บทความให้กำลังใจ(คำนิยมปฏิบัติการแห่งความรัก )
ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.
หน้า 18 ของ 49
-
-
-
ดนตรีบำบัดความเครียด ผสานเสียงธรรมชาติ ช่วยให้จิตใจสงบ เยียวยาจิตวิญญาณ
Al za
Sep 4, 2019
-
-
พลังความคิด
ความคิดในใจเราสำคัญมาก ส่งผลต่อทุกเรื่องตั้งแต่สุขภาพ ไปจนถึงเป็นพลังนำตัวเราไปทำสิ่งที่ดีหรือไม่ดีได้ ขึ้นอยู่กับว่าความคิดนั้นเป็นความคิดในทางที่ดีหรือในทางร้าย
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ดูก่อนตัณหาผู้เป็นเจ้าเรือน เรารู้แล้วว่าเจ้าเกิดจากอะไร แล้วพระพุทธองค์ก็สรุปว่า เกิดจากความคิดนี่เอง ขนาดตัณหาซึ่งเป็นต้นเหคุแห่งทุกข์ทั้งปวง พระองค์ยังทรงบอกว่า เกิดมาจากความคิด คนเราที่ชอบหรือไม่ชอบจะรู้สึกอย่างไรกับใคร ก็เริ่มจากความคิดปรุงแต่ง คิดเรื่องนั้นบ่อยๆ จินตนาการไป ความผูกพันก็จะเกิดมากขึ้น ๆ เสน่หา คือ ยางเหนียวก็เกิด ก็เริ่มจากความคิดทั้งนั้น
เมื่อรู้อย่างนี้ เราจึงต้องรู้จักใช้ความคิดไปในทางที่ถูกต้อง ดังปัจจุบันใช้คำว่า คิดเชิงบวก คิดอย่างสร้างสรรค์ คิดในแง่ดี อย่ามองโลกในแง่ร้าย เห็นอะไรเกิดขึ้นอย่าเพิ่งตีโพยตีพาย แต่ให้คิดในทางที่ดีไว้ก่อน ต่อให้ปัญหาท่วมฟ้า ค่อยๆ แก้ไปทีละเปลาะ ๆ เดี๋ยวก็แก้ได้ ยอดเขาเอเวอร์เรสสูงเท่าสูง ย่ำไปทีละก้าว ๆ สุดท้ายก็ขึ้นถึงยอดเขาได้ เมื่อมีความมุ่งมั่นตั้งใจจริงเชื่อว่าทำได้ แล้วค่อย ๆ ทำไป สุดท้ายก็สำเร็จได้จริง ๆ
ใครที่มีสุขภาพไม่ดี เจ็บออดๆ แอดๆ ให้เริ่มสำรวจที่ใจของเราเองก่อนเลย ให้เชื่อมั่นว่าเราอยู่ได้ เราสู้ได้ ที่ป่วยหนักก็จะเบา ที่เบาก็จะหาย เราจะดีขึ้นแน่นอน ถ้าหากเราสามารถควบคุมความคิดของเราไปในทางที่ดี ไปในทางที่สร้างสรรค์ได้ ซึ่งความคิดสร้างสรรค์จะเกิดขึ้นได้ ต้องฝึกให้ใจสงบเป็นสมาธิตั้งมั่น เมื่อใจสงบความคิดดีๆ จะเกิดขึ้นมา เราจะดีขึ้น ๆ ในทุก ๆ ด้าน ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ
:- https://kalyanamitra.org/th/article_detail.php?i=16943 -
-
-
-
เมื่อใกล้ถึงเวลาที่ต้องพลัดพรากสูญเสียผู้มีพระคุณ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทำหน้าที่ของลูกให้ดีที่สุด ดูแลท่านอย่างดีที่สุด และ ไม่ละเลยโอกาสที่สำคัญคือการมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา ปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก จะไม่ทำให้เศร้าโศกเสียใจ แต่จะทำให้ยิ่งมั่นคงในความเป็นจริงของธรรมว่า ความตายเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ตราบใดที่ยังมีการเกิดอยู่ ความตายก็ต้องมีทุกคนเกิดมาแล้วต้องตายด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะไปไหน หนีไปอยู่ ณ ที่ใดก็ไม่พ้นเพราะสัตว์โลกถูกความตายครองงำไว้ และจะต้องพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักทั้งปวงอย่างหนีไม่พ้น นี้คือ สัจจธรรม (ความจริง) ที่ทุกคนควรรู้ ความจริงเป็นอย่างไรก็
ต้องเป็นอย่างนั้น จะไปเปลี่ยนแปลงความจริงให้เป็นอย่างอื่น ก็ไม่สามารถที่จะเป็นไปได้เลย
จึงควรที่จะได้พิจารณาว่า ไม่มีอะไรที่จะเป็นที่พึ่งสำหรับชีวิตอย่างแท้จริง
นอกจากปัญญา ความรู้ความเข้าใจซึ่งความจริงเท่านั้น แม้จะมีพ่อแม่พี่น้อง
ญาติสนิทมิตรสหาย แต่ในที่สุดแล้ว ก็จะต้องทิ้งกันและกันอยู่ดี ด้วยความตายที่เกิดขึ้น ไม่มีทรัพย์สมบัติไม่มีบุคคลอื่นติดตามไปในภพหน้าได้ แต่ความดีที่ได้สะสมไว้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ปัญญาที่เกิดจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในแต่ละครั้งในชีวิตประจำวันนั้น ไม่สูญหายไปไหนสะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกขณะ และ จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงสำหรับชีวิต จนกว่าจะมีปัญญาคมกล้าสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาดไม่ต้องมีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
อนนุโสจิยชาดก
ทุกคนจะต้องตายควรเมตตากัน
[๖๑๒] อายุสังขารหาได้เป็นไปตามเฉพาะสัตว์
ที่ยืน นั่ง นอนหรือเดินอยู่เท่านั้นก็หาไม่
วัยย่อมเสื่อมไปทุกขณะที่ยังหลับตาและ ลืมตาอยู่.
[๖๑๓] เมื่อวัยเสื่อมไปอย่างนั้นหนอ ในตน
ซึ่งเป็นทางอันตรายนั้นหนอ ต้องมีความ
พลัดพรากจากกันโดยไม่ต้องสงสัย หมู่ สัตว์ที่ยังเหลืออยู่ ควรมีเมตตาเอ็นดูกัน ส่วนที่ตายไปแล้ว ไม่ควรจะต้องเศร้า- โศกถึง.
ขออนุโมทนา
:- https://www.dhammahome.com/webboard/topic/23521
-
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ความรักก็เปรียบเสมือนหมากฝรั่ง ที่ตอนเคี้ยวๆใหม่ๆมันจะมีรสหวาน แต่พอเคี้ยวๆไปมันจะมีแต่รสจืด จะเหลือแต่ความเมื่อยกราม สัมผัสทุกอย่างมันยังอยู่แต่ว่ารสหวานมันหายไป ความรักมันก็เป็นอย่างนั้นนะครับ รสในที่นี้ก็คือรสที่เราปั้นขึ้นมาเอง ว่ามันมีว่ามันสุขอย่างนั้นอย่างนี้ เขาให้เราถึงขนาดนี้เขาดีกับเราถึงขนาดนั้น มันเป็นรสสุขที่เราปั้นขึ้นมา แต่พอล่วงเลยผ่านไปแล้วก็เคี้ยวรสนั้นจนเบื่อ จนรสนั้นค่อยๆสลายไปกับความโง่ของเรา ความจริงคือรสนี้มันไม่มี รสสุขมันไม่มี "รสจากความรักจริงๆมันไม่มี" แต่ว่าเราไปปั้นเอง พอเราไปปั้นมันก็มีความคาดหวังใช่ไหม ความคาดหวังมันก็โด่ง แต่สิ่งที่มาลดความคาดหวังก็คือความจริง ความจริงมันจะทำให้กร๊าฟค่อยๆตก อันนี้คือสภาพของความชรา นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราคบๆกันไป ทำไมการกระทำอย่างเดิมแต่มันไม่สุขเท่าเดิม ถึงจะพยายามให้รู้สึกสุขมันก็จะไม่สุขเท่าเดิม แต่จิตที่เป็นกิเลสมันก็ยอมไม่ได้ มันก็อยากเสพสุขที่มากกว่า ส่วนความจริงของสัจจะมันก็จะบอกเราว่ามันไม่มีสุข แต่กิเลสมันก็อยากเสพมากขึ้น แล้วในความจริงมันก็บอกว่าไม่มีสุข เพราะฉะนั้นวิธีแก้ปัญหาของคนส่วนใหญ่ก็คือไปหาคู่ใหม่... นี่คือลักษณะที่เป็นในโลก พอรักมันชรา เขาก็จะไปหาสิ่งใหม่มาเสพ เพราะว่ารสเดิมมันจืด แต่สุดท้ายมันก็หนีไม่ได้หรอก สุดท้ายแม้ไปหาคนใหม่ความรักก็ต้องจืดต้องจางต้องแก่ไปอีกเป็นธรรมดา
บทสวดมนต์ อภิณหปัจจเวกขณปาฐะ ( หันทะ มะยัง อะภิณหะปัจจะเวกขะณะปาฐัง ภะณามะ เส )
ชะราธัมโมม๎หิ ชะรัง อะนะตีโต ( หญิง . อะนะตีตา ) - เรามีความแก่เป็นธรรมดา , จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้
พ๎ยาธิธัมโมม๎หิ พ๎ยาธิง อะนะตีโต ( ญ . อะนะตีตา ) - เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา , จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้
มะระณะธัมโมม๎หิ มะระณัง อะนะตีโต ( ญ . อะนะตีตา ) - เรามีความตายเป็นธรรมดา , จะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้
สัพเพหิ เม ปิเยหิ มะนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว - เราจะละเว้นเป็นไปต่างๆ , คือว่าเราจะต้องพลัดพราก จากของรักของเจริญใจทั้งหลายทั้งปวง
กัมมัสสะโกม๎หิ กัมมะทายา โท ( ญ . ทา ) กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ กัมมะปะฏิสะระ โณ ( ญ . ณา ) - เรามีกรรมเป็นของ ๆ ตน , มีกรรมเป็นผู้ให้ผล , มีกรรมเป็นแดนเกิด , มีกรรมเป็นผู้ติดตาม , มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
ยัง กัมมัง กะริสสามิ , กัล๎ยาณัง วา ปาปะกัง วา , ตัสสะ ทายา โท ( ญ . ทา ) ภะวิสสามิ - เราทำกรรมอันใดไว้ , เป็นบุญหรือบาป , เราจะเป็นทายาท , คือว่าเราจะต้องได้รับผลของกรรมนั้นๆ สืบไป
เอวัง อัม๎เหหิ อะภิณ๎หัง ปัจจะเวกขิตัพพัง - เราทั้งหลายควรพิจารณาอย่างนี้ทุกวันๆ เถิด -
-
รวมเรื่องเศร้า-ซึ้ง-ประทับใจในปี พ.ศ.2510
ในวันหนึ่ง ๆ เรามักมีอารมณ์แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา... และ 1 ปี ที่ผ่านมา ก็มีเรื่องราวมากมายเข้ามาทักทายชีวิตให้ได้รับรู้ถึงรสชาติของความสุข รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และคราบน้ำตา โดยบ่อยครั้ง เราได้รับรู้เรื่องราวของบุคคลที่เป็นเหมือนแรงขับเคลื่อนของ พลังใจ แม้ว่าจะไม่เคยรู้จักพวกเขาเหล่านั้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเส้นทางชีวิตของพวกเขาล้วนสร้างความประทับใจ และก่อกำเนิดมุมคิดดี ๆ อยู่เสมอ
อภิรักต์ แซ่ฮ้อ : คนจนผู้ยิ่งใหญ่
ผู้คนเกือบทั้งประเทศได้อมยิ้มกับความน่ารัก ซื่อ ๆ ของเขาผ่านทางรายการ ตีสิบ หนุ่มคนนี้อาจเป็นคนธรรมดา ๆ ที่แทบไม่มีความน่าสนใจในตัวเองเลย ด้วยภาพลักษณ์ของคนเก็บขยะ แต่งตัวมอซอ หาเช้ากินค่ำ มีชีวิตซ้ำ ๆ ในรูปแบบเดิม ๆ ทุกวัน หากแต่ชีวิตของเขากลับมีเรื่องราวมากกว่าที่มองเห็น
อภิรักต์ ดำเนินอาชีพเก็บขยะของเขามามากกว่า 16 ปีแล้ว เช่นเดียวกับการที่เขาแบ่งเงิน 20 บาท จากรายได้ต่อวันประมาณ 50-100 บาท นำไปฝากธนาคาร เพื่อสะสมทีละเล็กทีละน้อย เป็นค่าผ่าตัดหัวใจให้กับแม่ที่ป่วยเป็นโรคหลายโรค ทั้งความดัน เบาหวาน เก๊า และโรคหัวใจ
จากความมุมานะของ อภิรักต์ ในการเข็นรถขยะหาเงินทุกบาททุกสตางค์ให้แม่ ทำให้เขาได้รับความรักจากสังคม และได้รับการคัดเลือกเป็นลูกกตัญญู ประจำปี 2553 นอกจากนี้ อภิรักต์ กำลังจะมีผลงานการแสดงภาพยนตร์เป็นครั้งแรกของชีวิต ในเรื่อง "ยายสั่งมาใหญ่" จากผลงานการกำกับของ นุ้ย เชิญยิ้ม อีกด้วย
มาร์ค - ปาน สุดยอดเด็กกตัญญู
สองเด็กหญิง-ชายต่างครอบครัวในดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ชีวิตของพวกเขาไม่ได้สนุกสนานอย่างเพื่อนในวัยเดียวกัน แต่กลับมีความเด่นชัด ในความกตัญญูอย่างยากที่จะเห็นได้ในสังคมเมืองปัจจุบัน
ในทุก ๆ วันของ มาร์ค สรวิศ ไชยสัจ เด็กหนุ่มวัย 14 ปี แห่งบ้านดงพลอง อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา เขาต้องทำหน้าที่เป็นพยาบาลคอยดูแลป้อนอาหารให้ ปู่ ที่ล้มป่วยด้วยโรคอัมพฤกษ์ และทำหน้าที่เป็นหมอคอยฉีดอินซูลินให้ ย่า ป่วยโรคเบาหวานขั้นรุนแรง ส่วนวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ที่ว่างเว้นจากการเรียนหนังสือและดูแลปู่กับย่า เด็กชายคนนี้จะไปรับจ้างทำงานร้านเชื่อมเหล็ก เพื่อแลกเงินวันละ 140 บาท มาประทัง 3 ชีวิตให้อยู่รอด ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่เขารู้สึกเหนื่อย มาร์ค จะบอกตัวเองเสมอว่า ปู่และย่า ที่เขาเรียกว่า พ่อและแม่ ยังดูแลเขามาตั้งแต่เล็กได้ ดังนั้น นี่คือเวลาที่ต้องตอบแทนบุญคุณพวกท่านบ้าง
ขณะที่ น้องปาน - ณมล เทพโสภา เด็กหญิงวัย 12 ปี ใน อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ เธอต้องทำหน้าที่เป็นพยาบาลตัวน้อย คอยเฝ้าดูแลพ่อที่ล้มป่วยอัมพาตมาตั้งแต่เธออายุได้เพียง 6 ขวบ หลังจากผู้เป็นแม่ทิ้งเธอไปขณะที่พ่อของปานเริ่มป่วย ทำให้ ปาน ต้องเป็นผู้จัดการดูแลทุกอย่างในบ้าน เป็นทั้งแม่บ้าน เป็นพยาบาล และหากมีเวลาว่าง ปาน ก็จะช่วยพ่อทำเปล หารายได้เสริม ซึ่งแม้ว่าภาระที่เด็กหญิงคนนี้ต้องทำทุก ๆ วัน จะหนักหนาสาหัสเพียงใด แต่เธอก็ไม่เคยปริปากบ่น ทั้งยังบอกด้วยว่า "เป็นบุญของเธอที่ได้เกิดเป็นลูกของพ่อ"
วันที่แม่กลับบ้าน รายการ คน ค้น ฅน
ต้อม เด็กชายยอดกตัญญู ดูแลแม่ป่วยเอดส์
เด็กที่ไม่ได้เติบโตในครอบครัวพร้อมหน้า พ่อ-แม่-ลูก ย่อมใฝ่ฝันถึงวันที่จะได้อยู่กับพ่อหรือแม่ของเขาบ้าง เช่นเดียวกับ ต้อม เด็กชายแห่ง อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย พ่อแม่ของเขาแยกทางกันตั้งแต่อายุได้เพียง 6 ขวบ ต้อมเคยยินดีที่แม่กลับมาหาบ้าง แม้จะเติมเต็มความทรงจำและความผูกพันระหว่างต้อมกับแม่ได้ไม่มากนัก ทว่าเมื่อแม่กลับมาอยู่กับเขาอย่างถาวร กลับเป็นการเปลี่ยนชีวิตของ "ต้อม" ไปอย่างสิ้นเชิง
แม่ของต้อม ในวัย 33 ปี กลับมาด้วยสภาพคนป่วยโรคเอดส์ระยะสุดท้าย ร่างกายผ่ายผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ไม่มีแรงแม้แต่จะขยับเขยื้อนแขนขาด้วยตัวเอง และทานได้เพียงน้ำเพียงเล็กน้อยต่อวันเท่านั้น ทำให้ ต้อม ซึ่งเป็นลูกชายคนเดียว ต้องทิ้งชีวิตแบบเดิมที่เคยเล่นสนุกกับเพื่อน ๆ มารับภาระอันหนักอึ้งในการดูแลแม่ แม้ว่าเขาจะต้องร้องไห้กับโชคชะตาชีวิตมากสักเพียงใด แต่ก็ไม่เคยคิดทิ้งหน้าที่ของลูกที่ดีเลย
น้องวิว คนค้นคน
น้องวิว เด็กหญิงที่เติบโตในโลกเงียบ
โลกเงียบของน้องวิว ไม่ได้หมายความว่า เธอหูหนวกหรือเป็นใบ้ หากแต่เด็กหญิงคนนี้ต้องเติบโตขึ้นมาภายในห้องเช่าสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ แคบ ๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดแพร่ โดยที่แทบจะไม่เคยเห็นโลกภายนอกว่าเป็นไปอย่างไร ไม่เคยรู้จักผู้คนที่นอกเหนือจากพ่อแม่ของตัวเอง ไม่เคยมีเพื่อน ไม่ได้รับการศึกษา...โลกของเธอไม่สดใสอย่างที่ควรจะเป็น
เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว นับตั้งแต่น้องวิวอายุได้เพียง 2 ขวบ เธอถูกขังไว้ในห้องขณะที่พ่อและแม่ออกไปทำงานหาเงิน โดยมีตุ๊กตาเพียงตัวเดียวเป็นเพื่อนคนสำคัญ ครั้นเมื่อโตพอจะช่วยเหลือตัวเองได้ น้องวิว ก็มีกิจกรรมคลายเหงาอย่างการซักผ้า ล้างจาน และทำงานบ้านอื่น ๆ
รายได้วันละ 100 บาท จากอาชีพแม่บ้านของแม่ ผู้ซึ่งไม่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ รวมถึงสติปัญญา รวมกับอีก 200 บาท อันได้จากการใช้แรงงานของพ่อ ซึ่งเป็นรายได้ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย ทำให้น้องวิวได้รับรสชาติอาหารชั้นดีอย่าง "ไข่เจียว" ไม่บ่อยนัก แต่ภายหลังจากที่เรื่องราวของครอบครัวนี้ถูกนำเสนอผ่านรายการคนค้นฅน ก็มีคนจำนวนมากแสดงความประสงค์เข้าช่วยเหลือ ...นั่นแสดงให้เห็นว่า น้ำใจคนไทย ยังคงสวยงาม และอาจช่วยพลิกชะตาชีวิตของเด็กผู้หญิงคนนี้
น้องกัน - น้องกี้ ผู้ป่วยโรคพันธุกรรมบกพร่อง
อาลัย น้องกัน ผู้ป่วยโรคพันธุกรรมบกพร่อง
กัน และกี้ เด็กชายสองพี่น้องจาก อ.จอมบึง จ.ราชบุรี พวกเขาป่วยด้วยโรคพันธุกรรมบกพร่อง หรือ โรคพันธุกรรมเมตาบอลิก ซึ่งเป็นความผิดพลาดตั้งแต่กำเนิด และไม่มีทางรักษาให้หายได้ นอกจากต้องรอช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต พวกเขาสองพี่น้องดูจะเข้าใจกับโรคที่กำลังรุมเร้า โดยเฉพาะ กัน เด็กชายผู้พี่วัย 18 ปี ที่ยอมรับกับสภาพของตัวเอง และเฝ้ารอวันสุดท้ายของชีวิตอยู่ทุกลมหายใจ
ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ใช่ว่า กัน จะไม่เคยฟูมฟายกับอาการป่วยของตัวเอง เขารับไม่ได้อยู่เป็นปี จากที่เคยเดินเหินได้ปกติ มีวัยเด็กอันสนุกสนานกับน้องกี้และเพื่อน ๆ แต่เมื่ออาการป่วยเริ่มสำแดงฤทธิ์จนเขาไม่สามารถเดินหรือขยับร่างกายของตัว เองได้อีกต่อไปแล้ว วิทยุและซีดีธรรมะจึงกลายเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความสงบให้กับชีวิตที่ รุ่มร้อนทั้งกายใจ
กระทั่งวาระสุดท้ายมาถึง น้องกัน ได้ไปร่วมงานเปิดมูลนิธิช่วยเด็กป่วยโรคพันธุกรรมเมตาบอลิก ที่เจ้าตัวปรารถนาตั้งขึ้น ก่อนจะอาการทรุดหนักและจากไปในวันที่ 4 พฤษภาคม 2553 ซึ่งผู้เป็นแม่บอกว่า ขอให้น้องกันไปดี ไปในที่ที่ปรารถนาอย่างที่เขาพูดเสมอว่า อยากไปเกิดใหม่เป็นคนที่มีร่างกายสมบูรณ์ ขณะที่ น้องกี้ น้องชายวัย 13 ปี กล่าวทั้งน้ำตาว่า... "พี่กัน ตายไปแล้วขึ้นสวรรค์ หายามารักษากี้ให้หายด้วยนะ"
จะเห็นได้ว่า...ท่ามกลางความทุกข์ทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บ ทำให้ครอบครัวนี้เรียนรู้ที่จะค้นหาความสุขบนโลกใบนี้ภายใต้เงื่อนไขที่มี อยู่จำกัด
น้องโมเน่ต์
เอาใจช่วย น้องโมเน่ต์ หนูน้อยไร้แขนแต่กำเนิด
เรื่องราวของหนูน้อยผู้โชคร้าย เกิดมาไม่มีแขนทั้ง 2 ข้าง ถูกบอกเล่าโดยผู้เป็นพ่อผ่านทางเว็บไซต์ pantip.com เขาและภรรยาไม่คาดคิดเลยว่า ลูกน้อยในครรภ์ที่ไม่เคยแสดงอาการผิดปกติใด ๆ จะคลอดออกมาด้วยน้ำหนักเพียง 1,500 กรัม และถูกส่งตัวเข้าห้องไอซียูทันทีพร้อมเครื่องช่วยหายใจ ก่อนจะได้รับคำตอบว่า น้องโมเน่ต์ เป็นโรค CDLS (Cornelia de Lange Syndrome) ซึ่งเกิดจากการจับคู่ผิดของโครโมโซม ทำให้เด็กหยุดการเจริญเติบโตในท้องมารดา หลังจาก 6 เดือนไปแล้ว โดยเด็กที่เกิดมา จะมีอาการปัญญาอ่อน เจริญเติบโตช้า และอาจมีชีวิตอยู่ได้เพียง 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาวะแทรกซ้อน ซึ่งโรคนี้มีโอกาสพบได้ 1 ต่อ 10,000-30,000 คนเท่านั้น
แม้จะเป็นความจริงที่แสนเจ็บปวด แต่ผู้เป็นพ่อและแม่พยายาม ทำใจยอมรับให้ได้ พวกเขาต้องพาลูกน้อยเข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลอยู่บ่อยครั้ง เพื่อรักษาชีวิตของน้องโมเน่ต์ กระทั่งตัดสินใจว่า จะไม่ให้แพทย์เจาะ หรือผ่าตัดอะไรที่จะทำให้ลูกสาวเจ็บต่อไปอีกแล้ว พร้อมกับขอให้แพทย์ไม่ต้องยื้อชีวิตหนูน้อยไว้ หากเกิดอาการอะไรหนัก ๆ ที่จำเป็นต้องปั๊มหัวใจ
ด้วยอาการป่วยของน้องโมเน่ต์ ทำให้เธอต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่มากกว่าเด็กเล็กทั่วไป แต่แม้จะเหนื่อยยากเพียงใด ครอบครัวนี้ก็สัญญาว่าจะดูแลน้องโมเน่ต์ อย่างดีที่สุด และร่วมต่อสู้ไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งไม่เพียงกำลังใจอันเข้มแข็งในครอบครัว พวกเขายังได้รับแรงใจมากมายจากชาวพันทิปที่ร่วมส่งกำลังใจ และสิ่งของจำเป็นมากมายไปให้น้องโมเน่ต์ ...และเราขอร่วมเป็นอีกหนึ่งกำลังใจ...สู้ต่อไปนะ น้องโมเน่ต์
แบรท - ไมเคิล วูล์ฟ
ความรักของพ่อ ที่ความตายมิอาจพราก
เป็นข่าวน่าเศร้าเมื่อช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่าน มา แบรท วูล์ฟ หนุ่มชาวมะกัน ร่ำไห้ปิ่มจะขาดใจ และพยายามปั๊มหัวใจ "ไมเคิล" ลูกชายวัย 4 ขวบ แต่ก็ไม่เป็นผล หลังพลั้งเผลอปล่อยลูกเล่นใกล้ระเบียง จนพลัดตกจากคอนโดมิเนียมชั้น 10 กลางเมืองพัทยา และ วูล์ฟ ก็ไม่สามารถผ่านช่วงเวลาเลวร้ายนี้ไปได้ 3 วัน หลังการจากไปของไมเคิล เขาตัดสินใจกินยาปลิดชีวิตตนเอง โดยทิ้งโน้ตข้อความว่า... "I love my son Michael" ผมรักลูกของผม ไมเคิล
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ อาจพบกุญแจสำคัญว่าทำไม วูล์ฟ จึงเลือกทางออกด้วยวิธีการนี้... วูล์ฟ แต่งงานกับภรรยาชาวฟิลิปปินส์ มีลูกหนึ่งคน ก่อนจะหย่าร้างกัน และเขาได้สิทธิ์เลี้ยงดูลูก โดยในขณะที่ไมเคิลอายุได้เกือบ 2 ขวบ วูล์ฟ ต้องพบกับฝันร้าย เมื่อพี่เลี้ยงสาววัย 15 ปี พาลูกน้อยของเขาหายไปจากบ้านเป็นเวลากว่า 24 ชั่วโมง ซึ่งเหตุการณ์นี้สร้างความตื่นตระหนกมากพอที่ FBI จะให้ความร่วมมือกับตำรวจท้องที่ จนสามารถหาตัว ไมเคิล กลับมาสู่อ้อมกอดของพ่ออีกครั้ง หลังจากนั้น วูล์ฟ ก็หอบลูกมาอยู่พัทยา ก่อนจะมาพบกับจุดจบของชีวิตในที่สุด
พ่อ...แม้จะเป็นเพศที่เข้มแข็ง แต่เมื่อต้องแบกรับความรู้สึกแห่งการสูญเสียลูกอันเป็นที่รัก ที่ผู้เป็นพ่อคิดว่าตัวเองมีส่วนด้วยแล้ว เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดจึงเกิดขึ้นเช่นนี้...และขอสดุดีกับความรักของพ่อ คนนี้ แต่อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่า การฆ่าตัวตาย ก็ไม่ใช่ทางออกสุดท้ายในการแก้ปัญหาชีวิต
ลินดา พิริยะปัญญาพร
ลินดา สาวหัวใจแกร่ง แม้กายป่วยหนัก
คุณลินดา พิริยะปัญญาพร คือผู้ป่วยลำไส้ทะลักออกมาอยู่นอก ตัวตั้งแต่แรกเกิด แต่เธอกลับมีชีวิตรอดมากว่า 30 ปีแล้ว ด้วยกำลังใจจากคนในครอบครัว และการมองโลกในแง่ดี ทว่าหลายสิบปีมานี้เธอก็ต้อง เข้าออกโรงพยาบาลอยู่เป็นประจำจากอา กาiปวดท้อง และความเจ็บปวดซ้ำซากเช่นนี้ ทำให้คุณลินดา ตัดสินใจผ่าตัดเรียงลำไส้ แม้จะเสี่ยงต่อชีวิตสูงมาก แต่การผ่าตัดในครั้งนั้นเธอก็รอดชีวิตมาได้ แม้อาการจะไม่หายร้อยเปอร์เซ็นต์ เพียงแค่อาการปวดท้องจะลดน้อยลงก็เท่านั้น
จากนั้นแพทย์ แนะนำให้เธอผ่าตัดสร้างตาข่ายเทียม เพื่อยึดให้เกิดผนังหน้าท้องให้แข็งแรง ขึ้น แต่ด้วยเหตุผลทางการแพทย์ คุณลินดา จำเป็นต้องผ่านการตั้งครรภ์และคลอดบุตรมาก่อน ซึ่งเธอได้รับการช่วยเหลือ จากเพื่อนชายนักธุรกิจชาวต่างชาติเป็นผู้บริจาค น้ำเชื้อให้ และตั้งครรภ์ลูกแฝด ทว่าข่าวดีนี้มาพร้อมกับข่าวร้าย เมื่อเธอตรวจเจอมะเร็งต่อมไทรอยด์ จนสุดท้ายต้องแท้งลูกไป และผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออกไปได้สำเร็จ
ทั้งนี้ ในขณะที่คุณลินดากำลังรักษาตัวอยู่ เธอก็เดินหน้าสานต่อความฝันที่อยากก้าวไปเป็นช่างผมระดับโลกต่อไป ด้วยการไปศึกษาเรื่องการทำผมที่สหรัฐอเมริกา และเข้าร่วมการประกวดช่างผมระดับโลก ปี 2009 เธอต้องต่อสู้กับการกลั่นแกล้งสารพัดจากเวทีประกวด ก่อนจะได้รับรางวัลที่ 4 และรางวัล Best Perfomance Award ซึ่งแม้จะโกรธมากกับจนแทบไม่อยากได้รางวัล แต่เธอยังคงตั้งปณิธานว่า "จะเป็นที่ 1 ในเวทีโลกให้ได้ก่อนตาย" เพื่อสร้างชื่อเสียงประเทศไทยให้จงได้
มะกุด ต่ออำนาจ
มะกุด พิการแต่ตัว หัวใจยังเข้มแข็ง
แม้ว่า มะกุด ต่ออำนาจ จะเกิดมาโดยไร้แขน ไร้ขา แต่เธอก็ไม่เคยย่อท้อแต่อุปสรรค มะกุด ทำงานทุกอย่างทั้งถักโครเชต์ ขายผลไม้ และยังจับมือกับเพื่อนอีก 2 คนซึ่งคนหนึ่งตาบอดเลือนราง ขณะที่อีกคนร่างกายฝั่งขวาไม่มีแรง ตระเวนไปทั่ว อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ เพื่อรับซื้อของเก่า พอเป็นรายได้ประทังเลี้ยงชีพ และหากมีเงินเหลือมากกว่า 100 บาท มะกุด ก็จะนำเงินก้อนนั้นมาให้มารดา
มะกุด บอกตัวเองเสมอว่า จะไม่ท้อถอยกับชีวิต ต้องมองโลกในแง่บวกและพยายามที่จะนำพาชีวิตของตัวเองและคนใกล้ชิดให้ก้าวไป ข้างหน้าด้วยกัน เช่นนั้นแล้วใครที่กำลังสิ้นหวัง ท้อแท้ หมดกำลังใจ ลองนำเรื่องราวของ มะกุด ไปเป็นข้อคิดเตือนสติตัวเองว่า ยังมีคนที่ลำบากกว่าเราอีกมาก แต่เขาไม่เคยท้อแท้ หรือนั่งยอมแพ้กับให้กับโชคชะตาที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเลย
ยายยิ้ม ยิ้มเย้ยยาก
ยายยิ้ม หญิงชราวัยใกล้ร้อย จะเดินลงจากบ้านกลางป่าเขาระยะทาง 7-8 กิโลเมตร เป็นกิจวัตรสม่ำเสมอทุกวันพระ จนเป็นภาพชินตาของชาวบ้านบ้านท่าหนอง จ.พิษณุโลก ซึ่งแม้ว่าระยะทางไกลเต็มไปด้วยหล่มโคลน ถนนเป็นร่องขรุขระ หรือฝนจะตก ฟ้าจะร้อง ยายยิ้ม ก็ไปถึงวัดไม่เคยขาด
ทุกวันนี้แม้วัยจะล่วงเลยมาถึง 83 ปี แต่ ยายยิ้ม ยืนยันว่าร่างกายยังแข็งแรงดี และก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรกับการที่ต้องอยู่บ้านกลางป่าเพียง ลำพังมากว่า 20 ปีแล้ว และหลายครั้ง ลูกชาย 2 คน ที่คอยดูแลแม่คนนี้อยู่ห่าง ๆ จะพยายามรบเร้าให้แกไปอยู่ด้วย แต่ก็ดูเหมือนจะเอาชนะใจแม่ได้ยากยิ่ง ด้วยเหตุว่า บ้านกลางป่าของแก ทำให้ชีวิตไม่วุ่นวายจนเกินไปนัก ถึงจะต้องอดบ้างยามฝนตกลงจากเขาไม่ได้ แต่ยายยิ้ม ก็ยืนกรานว่า จะขออยู่ในป่าในเขาอย่างนี้ไปจนตาย
ด้วยความเป็นคนจริงเรื่องการทำบุญ รายได้ประจำตัวจากเบี้ยคนชราเดือนละ 500 บาท จึงมักหมดไปกับการทำบุญเสียทุกคราวที่ยายยิ้มไปวัด รวมไปถึงเงินที่ลูกหลานแบ่งไว้ให้ใช้ยามมาเยี่ยม ก็ร่อยหรอไปกับกิจกรรมในทางธรรมเช่นกัน โดยยามว่างยายยิ้มจะลงมือสร้างฝาย (คันกั้นน้ำ) เพื่อรักษาผืนป่าให้คงอยู่แบบธรรมชาติที่สุด ซึ่งที่ผ่านมา ยายยิ้ม สามารถสร้างฝายจากสองมือได้ถึง 11 ฝายแล้ว และตั้งเป้าจะทำให้ถึง 14 ฝายด้วย
วิถีชีวิตกลางป่าแบบ ยายยิ้ม ใช่ว่าจะเป็นทางเดินไร้ทางเลือก หากแต่ ยายยิ้ม ได้ตัดสินใจสละความทุกข์ยากในสังคมเมืองอันวุ่นวาย หันหน้าสู่ธรรมชาติและสรรหาความสุขที่แท้จริง จนมีชีวิตในแบบ ยายยิ้ม ยิ้มเย้ยยาก...ชีวิตที่มีครบทุกสิ่ง...จะขาดก็เพียงแต่ ไม่รู้ว่า "ความทุกข์" หน้าตาเป็นอย่างไร
จากเรื่องราวชีวิตที่ถ่ายทอดผ่านตัว บุคคลทั้งหมดนี้ ต่างสะท้อนความรู้สึกหลากอารมณ์ ทั้งเศร้า ซึ้ง และประทับใจ ซึ่งไม่แน่ว่า อาจทำให้กำลังใจดี ๆ ก่อตัวขึ้นในใจของคุณ และสำรองไว้เป็นภูมิคุ้มกันความท้อแท้สิ้นหวัง เพื่อต้อนรับกับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่นานนี้...
credit postjung
พ่อ สระอู
:- http://onknow.blogspot.com/2011/01/2510.html -
ความสุขที่แท้จริงคืออะไร ฟังธรรมะกับความสุขที่แท้จริง
ธรรมะดีดี
"ขออัญเชิญคุณพระรัตนตรัย อำนวยอวยชัยให้ทุกท่านมีความสุข ความเจริญในหน้าที่การงาน และการดำรงชีวิต อยู่ก็มีชัย ไปก็มีโชค โดยถ้วนหน้าทุกท่านทุกคน เทอญ"
-
-
วัดป่าสุคะโต ธรรมชาติที่พักใจ
แม้กระทั่งการกระพริบตา เรายังต้องกระพริบตาอยู่บ่อยๆเพราะอะไร เพราะมันทุกข์ ถ้าไม่กระพริบตามันก็ปวดมันก็เมื่อย ถ้าไม่เปลี่ยนอิริยาบถมันก็ยิ่งปวดเข้าไปใหญ่ ก็ต้องขยับเนื้อขยับตัว ก็เพราะมันเมื่อยมันปวด มันก็เห็นเลยว่าความเป็นอนิจจัง ความเป็นทุกขังของร่างกาย มันไม่ต้องรอให้แก่หนังเหี่ยว ฟันหัก ถึงจะเห็นว่าเป็นอนิจจังหรือทุกขัง เพราะในแต่ละขณะๆก็แสดงให้เห็นความเป็นอนิจจังให้เห็นของรูปของกาย
ยิ่งมาดูใจ ก็ยิ่งเห็นใจแปรเปลี่ยน อารมณ์ขึ้นลงอยู่เป็นนิจ และไม่ว่าอารมณ์ใดไม่ว่าดีใจ เสียใจ มันก็มาแล้วก็ไป เกิดแล้วก็ดับ มันก็เห็นเลยว่าความเป็นอนิจจังของอารมณ์ของนาม แล้วการที่มันแปรเปลี่ยนไปก็เพราะตั้งอยู่ไม่ได้ มันเป็นทุกข์ ทุกขัง ตั้งอยู่ไม่ได้ ไม่สามารถคงสภาพเดิมได้ ก็ต้องไป ถ้าพิจารณาดูไปเรื่อยๆ มันก็จะเห็นว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ความโกรธก็ไม่ใช่เรา ความดีใจก็ไม่ใช่เรา
แต่ก่อนนั้นมีความคิดที่คลาดเคลื่อนเรียกว่าว่าจิตวิปลาสก็ได้ ก็ไปสำคัญมั่นหมายว่า ความคิดเป็นเราเป็นของเรา ความดีใจเป็นของเราเป็นเรา พอดีใจก็ฉันดีใจ พอมีความโกรธก็ฉันโกรธ ก็เกิดทิฏฐิวิปลาสขึ้นมาว่า มีเรามีตัวกูขึ้นมา แต่พอพิจารณาดูกายดูใจ ก็จะเห็นว่า มันมีก็แต่รูปกับนาม มีกายกับใจ มันไม่มีตัวกูเลย ถ้าไม่ดูกายดูใจ มันก็จะเห็นแต่ตัวกู กูทำนู่นทำนี่ กูคิดโน่นคิดนี่
แต่พอมาดูกายดูใจ ก็จะเห็นว่ามันไม่ใช่กูทำ แต่มันเป็นรูปที่เดิน มันเป็นนามที่คิดหรือนามที่รู้สึก อันนี้มันก็ทำให้ได้เห็นได้เข้าใจว่า จริงๆมันไม่มีตัวกู นอกจากสิ่งทั้งปวงไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนแล้ว แม้กระทั่งสิ่งที่เป็นตัวกูก็ไม่มี มันก็จะช่วยทำให้วิปลาสไม่ว่าจะเป็นสัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฏฐิวิปลาสค่อยๆเลือนหายไป จนสามารถที่จะเห็นความเป็นจริงว่า สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
หลวงพ่อไพศาล วิสาโล
:-
-
Spider web in snow
-
web with snow !
-
หน้า 18 ของ 49