(ต่อ)
อะไรทำให้ “ผู้เชิดชูชีวิต” กลับกลายเป็น “ผู้ทำลายชีวิต” หากไม่ใช่เป็นเพราะความยึดติดถือมั่น เมื่อยึดติดถือมั่นในความคิดว่าชีวิตเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันละเมิดมิได้ ก็ง่ายที่จะมองเห็นผู้สนับสนุนการทำแท้งเป็นคนเลวร้าย ดังนั้นจึงสมควรที่จะถูกฆ่า ผลก็คือผู้เชิดชูชีวิตกลับทำอย่างเดียวกับ(หรือร้ายแรงกว่า)คนที่ตนเองประณาม
เมื่อเรายึดติดถือมั่นกับอะไรก็ตาม มีโอกาสง่ายมากที่เราจะทำตรงข้ามกับสิ่งที่เรายึดมั่น ที่วัดป่าแห่งหนึ่งมีชาวบ้านนิยมมาเก็บเห็ด หนักเข้าแม้กระทั่งเห็ดที่ยังโตไม่ได้ที่ก็ถูกเก็บไปด้วย แม่ชีไม่พอใจมากเพราะนอกจากจะเสียของแล้ว ยังเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัว ไม่คิดถึงคนอื่นที่มาทีหลัง แม่ชีพยายามขอร้องชาวบ้านว่าอย่าทำเช่นนั้น แต่ก็ไม่ได้ผล วันหนึ่งขณะที่แม่ชีกำลังหาเห็ดเพื่อไปทำอาหารถวายพระ เห็นเห็ดเกิดขึ้นเป็นกลุ่ม แต่ยังโตไม่ได้ที่ ทีแรกก็เดินผ่านไป แต่พอนึกได้ว่าถ้าคนเห็นแก่ตัวมาเห็นเข้าก็จะต้องเก็บเอาไปแน่ แม่ชีต้องการขัดขวางคนพวกนี้ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ในที่สุดก็นึกขึ้นมาได้ แม่ชีตรงเข้าไปถอนเห็ดเล็ก ๆ นั้นเสียเอง แล้ววางไว้ที่เดิม หมายจะสั่งสอนพวกนั้นว่า “ทีหลังอย่าทำ ๆ ”
แม่ชีต้องการเอาชนะชาวบ้านที่ชอบถอนเห็ดที่ยังเล็ก แต่แล้วในที่สุดก็กลับทำอย่างเดียวกับคนเหล่านั้น ทั้ง ๆ ที่สวนทางกับความคิดดั้งเดิมของตนเอง ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ?
ความยึดติดถือมั่นทำให้เราลืมตัวได้ง่าย รวมทั้งลืมสิ่งอื่น ๆ หมด เพียงเพื่อจะเอาชนะ นี้คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับผู้ที่สนับสนุนและต่อต้านพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอยู่ในขณะนี้ ลูกทะเลาะกับพ่อแม่ สามีทะเลาะกับภรรยา เพื่อนทะเลาะกับเพื่อน เพียงเพื่อยืนยันและปกป้องความคิดของตน แต่ผลที่ตามมาคือสายสัมพันธ์ที่ร้าวฉาน เราลืมไปว่าสักวันหนึ่งคุณทักษิณก็ต้องไป (จะด้วยสาเหตุใดก็แล้วแต่) แต่เราทุกคนก็ยังจะต้องอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน ร่วมสำนักงานเดียวกัน และร่วมประเทศเดียวกันไปอีกนาน จริงอยู่ทุกคนต้องมีจุดยืนทางความคิด แต่ไม่ควรให้ความคิดนั้นมาเป็นใหญ่จนกลายเป็นนายเรา และสั่งให้เราทำอะไรตามใจมันโดยไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นกับสายสัมพันธ์ระหว่างคนใกล้ชิด หรือกับความสงบสุขในบ้านเมือง
ไม่ว่าจะสนับสนุนหรือคัดค้านใคร ก็ไม่ควรมองผู้ที่เห็นต่างเป็นศัตรู คนที่เห็นต่างจากเราถึงอย่างไรก็มิใช่คนเลว คนดีก็มีสิทธิเห็นต่างจากเราได้ เราลืมไปแล้วหรือว่าคนที่เห็นต่างจากเราในวันนี้ เมื่อวานนี้เขาก็เคยเห็นเหมือนกับเรา (เช่น ต่อต้านรสช. รวมกำลังกู้ภัยสึนามิ) และวันพรุ่งนี้ก็อาจจะเห็นเหมือนกับเราอีก เมื่อมองให้ไกลและไม่ติดจมอยู่กับความขัดแย้งขณะนี้ จะพบว่าไม่มีเหตุผลเลยที่เราจะทุ่มเถียงหรือทะเลาะวิวาทกันอย่างเอาเป็นเอาตายจนตัดญาติขาดมิตรกัน
อย่ายึดติดถือมั่นกับความคิดใดมากเกินไป ปล่อยวางความคิดนั้น ๆ เสียบ้างด้วยการหันไปสนใจกับเรื่องอื่น แทนที่จะเอาแต่ครุ่นคิดว่าคุณทักษิณจะอยู่หรือไป ควรเอาใจไปอยู่กับงานการและกิจวัตรประจำวัน รวมทั้งมีเวลาให้กับคนใกล้ชิดบ้าง ถึงเวลาพักผ่อนก็พักผ่อนอย่างเต็มที่ เอาคุณทักษิณออกไปจากใจบ้าง จิตใจจะได้หายอึดอัด โปร่งโล่ง ผ่อนคลาย ข่าวสารแม้จะควรติดตาม แต่อย่าเสียเวลากับมันจนไม่เป็นอันทำอย่างอื่น ถ้ารู้สึกเครียดขึ้นมา ลองทำใจให้สงบด้วยการน้อมจิตอยู่กับลมหายใจเข้าและออก พร้อมกับนับจาก ๑ ถึง ๑๐ ไปด้วยก็จะดี
ที่สำคัญก็คือพยายามมีสติรู้ทันความคิดอยู่เสมอ อย่าให้ “ตัวกูของกู”เข้ามาพัวพันจับจองความคิด จนคิดแต่จะเอาชนะอย่างเดียว เพราะในท้ายที่สุด “มาร”หรือกิเลสต่างหากที่ชนะ หาใช่เราไม่
:- https://visalo.org/article/jitvivat254903.htm
บทความให้กำลังใจ(อย่าด่วนสรุป)
ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.
หน้า 34 ของ 49
-
-
ปล่อยวาง ไม่ใช่ วางเฉย
พระไพศาล วิสาโล
เช้าวันหนึ่ง นาย ก.อ่านคำสอน “สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ไม่ควรยึดถือเป็นตัวเราของเรา”หน้าหิ้งพระ รู้สึกปล่อยวางและเบาสบาย ก่อนออกจากบ้าน นายก.หยิบขยะไปทิ้ง และสังเกตเห็นว่าซอยข้างบ้านเต็มไปด้วยขยะที่คนในชุมชนข้างซอยเอามากองทิ้งไว้ บ่ายวันนั้นฝนตก น้ำชะขยะส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วบริเวณ นาย ก.เห็นเหตุการณ์นี้ครั้งแล้วครั้งเล่า รู้สึกทุกข์ใจ และรำคาญใจกับสภาพและกลิ่นขยะในขณะเดียวกัน แต่นาย ก.ก็ตระหนักว่า” ความทุกข์เกิดขึ้นเมื่อคุณไม่ปล่อยวางและยึดมั่นถือมั่น”
วิจักขณ์ พานิช เคยออกข้อสอบวิชาพุทธศาสนาข้อหนึ่งมีข้อความข้างต้น โดยถามนักศึกษาว่าเห็นด้วยกับความคิดและการกระทำของนายก.ว่า เป็นการตีความถูกต้อง “ตรงตามพระคัมภีร์”หรือไม่ ปรากฏว่านักศึกษากว่าร้อยละ ๘๐ เห็นด้วย
การที่นักศึกษาเกือบทั้งหมดเห็นด้วยกับพฤติกรรมของนายก. แสดงอย่างชัดเจนว่าในทัศนะของนักศึกษาเหล่านี้ คำสอนของพุทธศาสนาเป็นเรื่องของการ “ทำจิต” เท่านั้น ดังนั้นเมื่อมีปัญหาอะไร สิ่งเดียวที่ทำได้คือ “ปล่อยวาง”
ความคิดเห็นดังกล่าวสะท้อนถึงความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับคำสอนในพุทธศาสนา ซึ่งแพร่หลายอยู่มากไม่เฉพาะนักศึกษากลุ่มนี้เท่านั้น แท้จริงแล้วพุทธศาสนาไม่ได้สอนแค่ “การทำจิต” เท่านั้น หากยังให้ความสำคัญแก่ “การทำกิจ” ด้วย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ เมื่อพระพุทธองค์ทรงเตือนให้ตระหนักถึงความไม่เที่ยงของสังขาร ในด้านหนึ่งก็ทรงสอนให้ปล่อยวาง ดังพุทธพจน์ที่เรารู้จักกันดี นั่นคือ
“สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีความเกิดขึ้นและเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป ความสงบวางแห่งสังขารเหล่านั้นเป็นสุข”
แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ทรงสอนให้หมั่นเพียรในการทำกิจ ดังตอนหนึ่งในปัจฉิมโอวาท
“สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงบำเพ็ญกิจให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท”
พุทธพจน์ทั้งสองไม่ได้ขัดกันแต่เน้น “จริยธรรม”คนละด้าน ซึ่งเราพึงปฏิบัติควบคู่กันไป เช่น เมื่อเรารู้ว่าสักวันหนึ่งเราต้องตาย เอาอะไรไปไม่ได้แม้แต่น้อย ดังนั้นจึงต้องรู้จักปล่อยวาง หาไม่จะตายสงบได้ยาก แต่ขณะเดียวกันเราก็ควรเร่งทำความดี หมั่นทำหน้าที่ให้แล้วเสร็จ ไม่เพิกเฉย หรือปล่อยให้ค้างคา เพราะเราอาจจะตายวันนี้วันพรุ่งก็ได้
-
(ต่อ)
การปล่อยวางนั้นเป็นเรื่องของการทำจิต เพื่อไม่ให้ทุกข์ใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ควรทำอะไรมากกว่านั้นหากทำได้ เมื่อคนรักตายจากไป เราไม่สามารถทำให้เขาฟื้นขึ้นมาได้ สิ่งที่เราทำได้ในกรณีนี้ก็คือ การทำจิต หรือปล่อยวางเท่านั้น แต่หากเราล้มป่วย นอกจากการทำจิต คือ ไม่บ่นโวยวายหรือตีโพยตีพาย หากแต่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น หรือพิจารณาว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราแล้ว เรายังควรทำกิจด้วย คือ เยียวยารักษาร่างกายให้หายป่วย หรือถึงแม้จะยังไม่ป่วย สุขภาพยังดีอยู่ ในด้านหนึ่งก็ควรเผื่อใจว่าอะไรก็ไม่เที่ยง จะได้ไม่ทุกข์ใจเมื่อต้องล้มป่วย แต่พร้อมกันนั้นก็ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ ใส่ใจในคุณภาพของอาหาร เพื่อป้องกันไม่ให้ล้มป่วยเร็วเกินไป
ใครที่ทำใจอย่างเดียว โดยไม่ทำกิจเลย ย่อมเรียกว่าเป็นอยู่อย่างไร้ปัญญา จริงอยู่กล่าวในทางปรมัตถ์แล้ว ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เป็นเพียงสิ่งที่ “หยิบยืม”มาใช้ชั่วคราว แต่ตราบใดที่มันยังอยู่ในการดูแลของเรา เราก็มีหน้าที่ดูแลมันให้ดีที่สุด เช่นเดียวกับโทรศัพท์หรือรถยนต์ที่เราหยิบยืมมาจากเพื่อน แม้มันไม่ใช่ของเรา เราก็ต้องดูแลรักษาให้ดี ใครที่ปล่อยปละละเลย เอาแต่ใช้แต่ไม่ดูแล ด้วยเหตุผลว่า มันไม่ใช่ของเรา ย่อมเรียกได้ว่าเป็นผู้ไร้ความรับผิดชอบ เอาแต่ได้ ไม่น่าคบหาเลย
ผู้คนมักเข้าใจว่า ปล่อยวางหมายถึงวางเฉย หรือปล่อยปละละเลย นี้เป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เกิดจากความสับสนระหว่าง “ทำจิต” กับ “ทำกิจ” ปล่อยวางนั้นเป็นเรื่องของการทำจิต มุ่งแก้ความทุกข์ทางใจ แต่คนเราไม่ได้มีแต่ความทุกข์ทางใจ เรายังมีความทุกข์ทางกาย ตลอดจนปัญหาอื่น ๆ ที่อยู่รอบตัว ซึ่งต้องอาศัยการทำกิจควบคู่กับการทำจิต เช่น ถ้ารถเสียหรือหลังคารั่วก็ต้องซ่อม ขณะเดียวกันก็ควรรักษาใจไม่ให้ทุกข์ ตรงนี้แหละที่การทำจิตเข้ามามีบทบาท แต่ถ้ารถเสียหรือหลังคารั่วแล้วไม่ทำอะไรเลย ทั้ง ๆ ที่ยังต้องใช้มันอยู่และอยู่ในวิสัยที่ซ่อมได้ อย่างนี้แหละเรียกว่า วางเฉย หรือปล่อยปละละเลย ไม่ใช่ปล่อยวาง
ครั้งหนึ่งหลวงพ่อชา สุภัทโท เดินผ่านกุฏิของพระรูปหนึ่ง ท่านสังเกตเห็นหลังคาแหว่งไปครึ่งหนึ่งเพราะถูกพายุฝนกระหน่ำ แต่พระรูปนั้นไม่ขวนขวายที่จะซ่อมหลังคาเลย ปล่อยให้ฝนรั่วอย่างนั้น ท่านจึงถามเหตุผลของพระรูปนั้น คำตอบที่ได้ก็คือ ผมกำลังฝึกการไม่ยึดมั่นถือมั่นครับ หลวงพ่อชาจึงตำหนิว่า นี่เป็นทำโดยไม่ใช้หัวสมอง แทบไม่ต่างจากการวางเฉยของควายเลย
ปล่อยวางนั้นเป็นเรื่องของการทำจิตเพราะเข้าใจความจริงของชีวิตว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้ จัดว่าเป็นวิถีแห่งปัญญา ส่วนวางเฉยหรือปล่อยปละละเลยนั้นเป็นความบกพร่องในการทำกิจเพราะไม่เข้าใจว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ หรือเพราะสำคัญผิดว่าเป็นการทำจิต จึงไม่ใช่วิถีแห่งปัญญา
ดังนั้นเมื่อนายก. พบว่าซอยข้างบานเต็มไปด้วยขยะและส่งกลิ่นเหม็นจนรู้สึกรำคาญและทุกข์ใจนั้น การที่เขาทำใจปล่อยวาง (เช่น มีสติเห็นความรู้สึกรำคาญ และปล่อยวางมัน ไม่ยึดติดถือมั่นจนเกิดตัวกูผู้รำคาญขึ้นมา) ย่อมช่วยให้ความทุกข์ใจบรรเทาเบาบางลง แต่ทำเพียงเท่านี้ยังไม่พอ เขาควรตระหนักว่านี้เป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข เพราะหากปล่อยทิ้งไว้ย่อมเป็นอันตรายต่อสุขภาพไม่เฉพาะของตนเท่านั้น แม้จะไม่ห่วงตนเองแต่ก็ควรมีสำนึกในหน้าที่ต่อส่วนรวม อันเป็นวิสัยของชาวพุทธ ดังนั้นเขาจึงควรทำกิจด้วย นั่นคือ พยายามลดขยะในซอย เช่น แจ้งเจ้าหน้าที่ให้มาเก็บขยะ หรือชักชวนผู้คนให้ทิ้งขยะเป็นที่ (อันที่จริง หากเขาทำใจปล่อยวางอย่างเดียว ก็ไม่ควรเอาขยะของตนเองไปทิ้ง ควรทนอยู่กับขยะที่สุมกองอยู่ในบ้านต่อไป ถ้าทนกลิ่นเหม็นของขยะในบ้านตนไม่ได้ แต่วางเฉยต่อขยะที่อยู่นอกบ้าน แสดงว่าไม่ได้ปล่อยวางจริง แต่เป็นการปล่อยปละละเลยปัญหาของส่วนรวมมากกว่า)
ทุกวันนี้ชาวพุทธจำนวนไม่น้อยสนใจแต่ทำจิต แต่ไม่ทำกิจ จึงเกิดปัญหามากมาย เช่น มีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน ก็ทำใจอย่างเดียว แต่ไม่คิดที่จะไปคุยหรือปรับความเข้าใจกัน ปัญหาจึงหมักหมมและลุกลาม จนทำใจไม่ไหว ในที่สุดก็ระเบิดออกมาเป็นความรุนแรงทั้งวจีกรรมและมโนกรรม ไม่ใช่แต่ปัญหาส่วนตัวเท่านั้นที่ลุกลาม ปัญหาส่วนรวมก็กำลังพอกพูนมากมาย ทั้งมลภาวะ อาชญากรรม ความไม่เป็นธรรม คอร์รัปชั่น การเอาเปรียบเบียดเบียน ทั้งนี้ก็เพราะผู้คนเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าพุทธศาสนาสอนให้ทำจิตเท่านั้น หรือสับสนระหว่างการปล่อยวางกับการวางเฉย จึงเปิดช่องให้ความเห็นแก่ตัวครอบงำจิตโดยคิดว่ากำลังทำตามคำสอนของพระพุทธองค์
ถ้าชาวพุทธในเมืองไทยรู้จักทำกิจควบคู่กับทำจิตอย่างถูกต้อง หรือตระหนักชัดว่าปล่อยวางไม่ได้หมายถึงวางเฉย คุณภาพชีวิตจะดีขึ้น และสังคมจะสงบสุขมากกว่านี้อย่างแน่นอน
:- https://visalo.org/article/jitvivat255606.html
-
มันมาเพื่อให้เราเรียนรู้
พระไพศาล วิสาโล
ร่างกายคนเราถ้าไม่เคยเจอเชื้อโรคเลย หากเจอครั้งแรกก็อาจจะตายได้ อย่างเช่นสมัยก่อนใครที่ไม่เคยเจอไข้ทรพิษ ไม่เคยเจอไข้ฝีดาษ ไข้รากสาด พอเจอก็ตายเลย แต่ทำไมบางคนไม่ตาย ก็เพราะว่าเขาเคยเจอมาก่อน คนสมัยก่อนถ้าเจอโรคฝีดาษ ไข้รากสาด หรือไข้ทรพิษแล้วไม่ตาย ต่อไปถ้าเจออีกก็ไม่ตาย เพราะอะไร เพราะว่าภูมิคุ้มกันร่างกายของเราจำเชื้อเหล่านี้ได้ มันเคยเจอมาแล้ว จึงเข้าไปจัดการกับเชื้อเหล่านั้น แต่ตอนที่ยังไม่เจอ ภูมิคุ้มกันร่างกายไม่รู้ว่าเชื้อโรคเหล่านี้เป็นอันตราย จึงพลาดท่าเสียที ปล่อยให้มันเข้ามาเล่นงานร่างกาย จนหลายคนถึงกับตาย แต่บางคนก็รอดตาย ครั้นรอดตาย ร่างกายก็มีประสบการณ์ ได้บทเรียน รู้แล้วว่าเชื้อพวกนี้เป็นอันตราย เพราะฉะนั้น พอมันเข้ามาในร่างกายอีก ภูมิคุ้มกันก็จะกินเชื้อเหล่านี้ ทำลายเชื้อเหล่านี้จนหมดสิ้น
เด็กที่อยู่กับดินกับทราย อาบน้ำคลอง หรืออาบน้ำธรรมชาติ พวกนี้จะป่วยยาก ทีแรกอาจจะป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะว่าได้รับเชื้อเข้าไป แต่หลังจากนั้นแล้วเขาจะมีภูมิคุ้มกัน จะป่วยยากมาก ไม่เหมือนคนกรุงที่สมัยนี้ป่วยด้วยโรคนั้นโรคนี้ เช่น โรคมือเท้าปาก เดี๋ยวนี้เป็นกันเยอะ โรคภูมิแพ้ หอบหืด ก็เป็นกันมาก ทำไมถึงเป็นเช่นั้น ก็เพราะว่าตั้งแต่เล็ก ๆ เขาไม่ค่อยสัมผัสกับเชื้อโรค เนื่องจากพ่อแม่ดูแลแบบประคบประหงมมาก ดินไม่ให้แตะ ทรายไม่ให้สัมผัส จะเล่นกับโคลนก็ไม่ยอมให้เล่น แถมมีน้ำยา สบู่ ครีม ไว้ทาฆ่าเชื้อ พอไม่ได้สัมผัสกับเชื้อโรค ร่างกายก็เลยไม่รู้ว่าเชื้อตัวไหนที่ไว้ใจได้ เชื้อตัวไหนไว้ใจไม่ได้ จึงพลาดท่าให้กับเชื้อโรคที่อันตราย
การได้สัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ ทำให้เกิดความฉลาด เวลาที่สัตว์เจอคน มันไม่เพียงรู้ว่าคนน่ากลัว มันยังรู้นิสัยใจคอของคน รวมทั้งรู้ทันพฤติกรรมของเราด้วย เช่น ลิงทันทีที่เห็นเราหยิบหนังสติ๊กขึ้นมา มันก็หนีแล้ว ทั้งที่หนังสติ๊กไม่มีหินหรือกระสุนเลย แต่ว่าประสบการณ์สอนมันว่าหนังสติ๊กสามารถทำร้ายมันได้ มันเคยเจอคนเอาหนังสติ๊กยิงมัน ฉะนั้นต่อไปพอแค่เห็นคนจับหนังสติ๊กมันก็หนีแล้ว มันรู้เพราะอะไร เพราะมันเจอบ่อย ๆ
การเจอบ่อย ๆ ทำให้เกิดประสบการณ์ เกิดการเรียนรู้ และทำให้ฉลาด แต่ก็แปลก จิตใจของเรา เจอความโกรธ เจอความเศร้า เจอความคับแค้น เจอความเครียด เจอความเบื่อนับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่ค่อยได้เรียนรู้เลย กลับพลาดท่าเสียทีให้กับอารมณ์เหล่านี้ง่ายขึ้น คนที่หงุดหงิดง่าย หรือหงุดหงิดบ่อย ๆ ตั้งแต่เล็ก พออายุมากจะยิ่งหงุดหงิดง่ายขึ้น คนที่โกรธ เจ้าอารมณ์มาตลอด พอแก่ตัวก็ยิ่งโกรธง่าย ยิ่งอารมณ์เสียง่าย ยิ่งตกเป็นเหยื่อของความโกรธ ความหงุดหงิดได้ง่าย เป็นเพราะอะไร มันเป็นเรื่องที่แปลก
-
(ต่อ)
ถ้าลองมาคิดดู ทำไมจิตใจเราไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยจากอารมณ์ที่ผ่านเข้ามา หรือเรียนรู้จากการเจอะเจอกับอารมณ์เหล่านี้อยู่บ่อย ๆ กลับถูกมันหลอก ถูกมันครอบงำง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเรียนสูงแค่ไหน ก็โดนอารมณ์เหล่านี้หลอก ครอบงำได้ง่าย ถ้าปล่อยให้มันครองจิตครองใจบ่อย ๆ
คนเราเวลามีใครมาหลอก ก็จะถูกหลอกได้อย่างมากแค่ครั้งสองครั้ง เช่น ทีแรกเขามาขอยืมเงิน อ้างว่าลูกไม่สบาย เราก็ให้ยืมเงินไปเพราะสงสาร ไม่กี่วันต่อมาเขาก็มาขอยืมอีก คราวนี้บอกว่าพ่อป่วย เราก็ให้ยืมเงินอีก อาทิตย์ต่อมาเขาก็มาหาอีก บอกว่าเมียประสบอุบัติเหตุ ขอยืมเงินหน่อย คราวนี้เราเริ่มไม่เชื่อแล้ว เพราะว่าเราจับทางได้ เราเริ่มผิดสังเกตกับพฤติกรรมของคน ๆ นี้ พอเราเจอแบบนี้มา ๒-๓ ครั้งเราก็รู้แล้วว่าคน ๆ นี้นิสัยอย่างไร ไม่ยอมให้หลอกอีก เพราะจับทางได้
แต่ทำไมอารมณ์ร้าย ๆ ทั้งหลายเช่น ความโกรธ เกลียด อิจฉา เศร้า คับแค้น หลอกเราได้ทุกครั้งเลย แต่ละครั้งก็สรรหาเหตุผลให้เราเชื่อมัน เช่น เวลาโกรธมันก็จะหาเหตุผลมาหว่านล้อมเราว่าสมควรที่เราจะโกรธคนนี้ เพราะว่าเขาทำไม่ถูกต้อง เขาไม่ยุติธรรม บางทีไม่ใช่แค่สรรหาเหตุผลมาให้เราโกรธ แต่ยังสรรหาเหตุผลมาเพื่อให้เราทำยิ่งกว่านั้น เช่น สั่งให้เราด่ามัน ทำร้ายมัน ทั้งที่การทำอย่างนั้นจะก่อผลเสียกับเรา แต่เราก็หลงเชื่อ เพราะมันให้เหตุผลที่ดูดีว่า เพื่อสั่งสอน เพื่อความถูกต้อง ปล่อยไว้ไม่ได้ ทำไมใจเราเจออารมณ์เหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งชีวิต ก็ยังถูกมันหลอกอยู่นั่นเอง
คนที่อายุ ๗๐- ๘๐ ปี คงโดนอารมณ์เหล่านี้หลอกนับหมื่น ๆ ครั้งแล้ว น่าคิดว่า มันมาทีไร เราก็ถูกมันหลอกได้ทุกครั้ง อย่างนี้เรียกว่าหลงก็ได้ พอหลงแล้วเราก็ไม่เรียนรู้ เจอมันทีไร เราก็โดนหลอกทุกที แต่ถ้าเปลี่ยนจากหลงมาเป็นเห็น เราจะฉลาดขึ้น อารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้นทีไร เราเห็นมัน เราไม่หลงเชื่อมัน เจอบ่อย ๆ เราจะฉลาดขึ้น
ตอนเจอใหม่ ๆ เราอาจจะพลาดท่าเสียที โดนมันเล่นงาน โดนมันหลอก จนร้อนรุ่ม กินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่เมื่อหลุดออกมาได้ และเห็นมัน เราก็จะจดจำได้ว่าอารมณ์แบบนี้ อาการแบบนี้ ไม่น่าไว้ใจ พอมันโผล่ครั้งหน้าเราจะเริ่มรู้ทาง ไม่ยอมหลงเชื่อมันอีกต่อไป หรือถ้าหลงเชื่อมันก็แค่ประเดี๋ยวเดียว
จิตของเราควรจะเป็นอย่างนี้ คือหลังจากพลาดท่าเสียทีให้กับอารมณ์อกุศลมาหลายครั้ง จิตเราก็ฉลาดขึ้น รู้ว่าอารมณ์เหล่านี้เป็นโทษ ในขณะเดียวกัน การที่เจอมันบ่อย ๆ จึงรู้ว่าอารมณ์แบบนี้ อาการแบบนี้ ไว้ใจไม่ได้ ไม่หลงเชื่อมัน ไม่ควรปล่อยให้มันครอบงำจิตใจอีกต่อไป ถ้าเราฝึกใจของเราให้หมั่นเห็นอารมณ์เหล่านี้ การเจอะเจออารมณ์เหล่านี้บ่อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี มันจะทำให้เราฉลาดมากขึ้น ฉลาดในการรู้ทางและรู้ทันอารมณ์อกุศลเหล่านี้
เรารู้ทางและรู้ทันมัน ไม่หลงเชื่อมัน ก็เพราะจำได้ว่ามันเคยหลอกเรา รวมทั้งจำลักษณะอาการของมันได้ พอเห็นอารมณ์ที่มีลักษณะอาการแบบนี้เข้ามา ก็ไม่หลงเชื่อมันอีกต่อไป แต่ก่อนนี้จำไม่ได้ พลาดท่าเสียทีมันทุกที ที่จำไม่ได้ก็เพราะไม่เห็นมัน มันมาทีไรก็หลงไปกับมันทุกที เรียกอีกอย่างว่า เข้าไปเป็นกับมัน ถ้าเราไม่ยอมพลาดท่าเสียทีหรือหมดเนื้อหมดตัวไปกับมันตั้งแต่เรายังหนุ่มยังสาว เมื่อเราอายุมาก แก่ตัวลง เราก็จะยังคงมีจิตใจสดใส เบิกบาน อารมณ์ดี ไม่ใช่เป็นคนที่หงุดหงิดง่าย เจ้าอารมณ์ หรือขี้โกรธ เราต้องเรียนรู้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ขณะที่ยังมีเวลา ฝึกจิตให้เห็น รู้ทันและรู้ทางอารมณ์เหล่านี้ เงื่อนไขอย่างหนึ่งที่ช่วยให้เรารู้ทัน หรือรู้ หรือฉลาดในการเกี่ยวข้องกับอารมณ์เหล่านี้ ก็คือการเจอมันบ่อย ๆ
เด็ก ๆ ถ้าเจอเชื้อโรค เจอจุลินทรีย์ เจอแบคทีเรียตั้งแต่เด็ก ๆ ต่อไปเชื้อโรคเหล่านี้ก็จะทำอะไรร่างกายเด็กไม่ได้ จิตใจเราก็เหมือนกัน ถ้าเราหมั่นรู้ทันหรือรู้ทางอารมณ์เหล่านี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เมื่อแก่ตัวเราก็จะไม่เป็นคนขี้หงุดหงิด ขี้โมโห เป็นคนเจ้าอารมณ์ อย่างที่เราเห็นคนแก่เดี๋ยวนี้จำนวนไม่น้อยเป็นกัน บางคนไม่ทันแก่ก็เป็นคนขี้หงุดหงิด เจ้าอารมณ์ หัวเสียแล้ว
เราควรหมั่นเห็น และหมั่นเรียนรู้จากอารมณ์เหล่านี้ เริ่มจากวางใจเสียใหม่ ว่าอารมณ์เหล่านี้ไม่ได้เป็นของเลวอย่างเดียว มันมีประโยชน์ที่ช่วยให้เราเรียนรู้ ทีแรกก็รู้ว่ามันมีอาการหรือลักษณะอย่างนี้ ความโกรธเป็นอย่างนี้ ความเกลียดเป็นอย่างนี้ ความฟุ้งซ่านเป็นอย่างนี้ ต่อไปมันจะแสดงสัจธรรมให้เราเห็นลึกไปกว่านั้นด้วย
เราจะเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือเห็นไตรลักษณ์ได้จากอารมณ์เหล่านี้ มันมาเพื่อสอนเราให้เห็นสัจธรรม เพื่อทำให้เราฉลาดมากขึ้น คนที่เจออะไรต่ออะไรมากมาย แต่ไม่ฉลาดเลย แสดงว่าเขาไม่ได้เรียนรู้ เรียกว่าไม่มีประสบการณ์ก็ได้ แต่ถ้าเรามีประสบการณ์เมื่อไหร่ ประสบการณ์จะสอนให้เราฉลาดและมีปัญญา
:- https://visalo.org/article/jitvivat256210.html
-
เติมความสุขในยุคเศรษฐกิจติดลบ
พระไพศาล วิสาโล
เมื่อปีที่แล้ว(2550)มีการสอบถามความเห็นของประชาชนทั่วโลก ปรากฏว่ามีคน ๓ กลุ่มที่มีความสุขติดอันดับสูงสุด (๕.๘ จากคะแนนเต็ม ๗) ได้แก่เศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกา ชาวอามิชในรัฐเพนซิลวาเนีย ชาวอินุยต์ในเกาะกรีนแลนด์ โดยมีชนเผ่ามาไซในแอฟริกาตามมาติด ๆ คือ ๕.๗
ผลการศึกษาดังกล่าวคงทำให้หลายคนอดแปลกใจไม่ได้ เพราะคนทั้ง ๓ กลุ่มนี้มีมาตรฐานความเป็นอยู่และรายได้แตกต่างกันอย่างมาก แต่กลับมีความสุขเท่า ๆ กัน ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่านั้นคือ เศรษฐีอเมริกันซึ่งมีเงินมากมายมหาศาล กลับมีความสุขมากกว่าชนเผ่ามาไซเพียงแค่ ๐.๑ คะแนนเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายหลังแทบไม่มีสมบัติอะไรเลย นอกจากกระท่อม ธนู และสัตว์เลี้ยงไม่กี่ตัว
การค้นพบดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าความสุขไม่ได้เกิดจากการมีเงินทองหรือสิ่งเสพสิ่งบริโภคเท่านั้น ยังมีความสุขอีกมากมายที่เราสามารถเข้าถึงได้โดยไม่ต้องพึ่งวัตถุ เช่น ความสุขจากสัมพันธภาพอันอบอุ่นในครอบครัว ความสุขจากการสังสรรค์ในหมู่มิตรสหาย ความสุขจากการทำงานอดิเรก ความสุขจากการทำสิ่งยากให้สำเร็จความสุขจากการช่วยเหลือผู้อื่น ความสุขจากการทำสมาธิภาวนา ฯลฯ ความสุขเหล่านี้สามารถบำรุงใจของเราให้ชื่นบานได้โดยไม่ต้องอาศัยเงินเลย
ดังนั้นแม้เราจะมีเงินในกระเป๋าน้อยลง เที่ยวห้างได้ไม่บ่อยเหมือนก่อน เราก็ยังสามารถมีความสุขได้ไม่ยิ่งหย่อนกว่าเดิม และหากเราสามารถเข้าถึงความสุขด้วยวิธีการดังกล่าวได้ เราจะพบว่ามีความสุขมากมายที่ประณีตลึกซึ้งกว่าความสุขจากวัตถุ และสามารถเติมเต็มชีวิตของเราได้อย่างแท้จริง
วิกฤตเศรษฐกิจไม่สามารถทำให้คุณภาพชีวิตของเราตกต่ำลงเลย หากเรารู้จักแสวงหาความสุขที่ประณีต เรียบง่าย ซึ่งมีอยู่แล้วรอบตัว หรือสามารถบันดาลให้เกิดขึ้นได้ไม่ยาก จะว่าไปแล้วการที่เรามีเงินน้อยลงกลับจะเป็นข้อดีเสียอีก ตรงที่กระตุ้นให้เราพยายามแสวงหาความสุขชนิดที่ไม่ต้องพึ่งพาเงินทองมาก ตราบใดที่เรายังมีเงินใช้จ่ายมากมาย ไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ตามใจปรารถนา ย่อมเป็นไปได้ยากที่เราจะรู้จักความสุขจากการได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่สงบงดงาม หรือความสุขที่ได้อยู่ท่ามกลางครอบครัว ได้พูดคุยสังสรรค์กัน มีเวลาให้กันและกัน เวลากับความรักเป็นของคู่กัน เมื่อมีเวลาให้กัน ความรักก็ถ่ายเทให้กัน ความรักนั้นให้ความสุขที่ประเสริฐกว่าวัตถุมากมาย
ความสุขจากวัตถุนั้นหามาได้ง่าย รวดเร็วทันใจก็จริง แต่ก็เลือนหายได้ง่ายเช่นกัน ทำให้ต้องแสวงหาไม่จบไม่สิ้นและต้องแก่งแย่งกับคนอื่น ผลก็คือ สุขชั่วคราวแต่ทุกข์ยาวนาน คำพูดที่ว่า “เงินซื้อความสุขได้” จึงมีส่วนถูกเพียงครึ่งเดียว แท้ที่จริงเงินทำได้อย่างมากก็คือ “เช่า”ความสุขให้เราเท่านั้น อะไรที่เราเช่าหรือยืมมา เรามีสิทธิครอบครองได้เพียงชั่วคราว ไม่ช้าไม่นานก็ต้องคืนเขาไป ความสุขที่ได้จากเงินก็เช่นกัน มันมาอยู่กับเราเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น
วิกฤตเศรษฐกิจจึงเป็นโอกาสดีที่กระตุ้นให้เราพยายามแสวงหาความสุขที่ประณีต เมื่อนั้น เราจะพบเลยว่าการมีเงินน้อยลง มีวัตถุน้อยลง ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เพราะเรามีความสุขอย่างอื่นที่ดีกว่าประเสริฐกว่ามาทดแทน ยิ่งกว่านั้นเรายังจะเป็นอิสระจากความสุขทางวัตถุ ชีวิตเราจะสงบเย็นขึ้น อีกทั้งสัมพันธภาพกับคนในครอบครัวและมิตรสหายก็จะดีขึ้น
การมองจนเห็นความจริงว่าวิกฤตเศรษฐกิจไม่ได้มีแต่ข้อเสีย แต่ยังมีข้อดีมากมาย เรียกว่าเป็นการมองแง่บวก การมองแง่บวกช่วยให้เรามองเห็นความสุขอยู่รอบตัว ต่อมาก็จะเห็นความสุขอยู่ใกล้ตัว ที่สุดก็จะพบว่าความสุขที่จริงอยู่ในตัวเรานั่นเอง
การมองแง่บวกนอกจากช่วยให้เราไม่เป็นทุกข์กับวิกฤตและสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นแล้ว ยังช่วยให้เรารับมือกับมันได้ดีขึ้น หลายคนพบว่า การมีรายได้ลดลงทำให้เขากลับมาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย และพบว่าชีวิตเรียบง่ายนั้นแฝงด้วยความสุขที่ไม่เคยพบมาก่อน มีอีกไม่น้อยที่ถูกภาวะล้มละลายผลักดันให้หันมาสนใจการปฏิบัติกรรมฐานจนพบชีวิตใหม่อย่างไม่นึกฝัน
การมองแง่บวกนั้นมีอยู่ ๒ แบบ แบบหนึ่งคือมองเห็นว่าสิ่งที่แย่ๆ นั้นมีด้านดีอยู่ เช่น การตกงานมีแง่ดีคือทำให้มีเวลากลับไปดูแลพ่อแม่ที่แก่เฒ่า เป็นโอกาสดีที่จะได้ตอบแทนบุญคุณของท่าน การมีบ้านเล็กลง มีข้อดีคือทำให้เสียเวลาน้อยลงกับการดูแลรักษาและทำความสะอาด การมีเสื้อผ้าน้อยลงทำให้เลือกได้ง่ายขึ้นว่าจะใส่ตัวไหนออกงาน ไม่ยุ่งยากสับสน
-
(ต่อ)
หลายคนบอกว่าโชคดีที่เป็นมะเร็ง เพราะทำให้หันมาศึกษาธรรมะจนค้นพบความสุขที่แท้ เด็กอายุ ๑๒ คนหนึ่งบอกว่าเธอมีความสุขมากที่สุดในชีวิตก็ตอนที่ป่วยเป็นมะเร็ง เพราะทำให้ได้อยู่ใกล้ชิดกับพ่อแม่ เนื่องจากพ่อแม่ลางานมาอยู่กับเธอ ก่อนหน้านั้นพ่อแม่ไม่มีเวลาให้ลูกเลยเพราะต่างคนต่างไปทำงานแต่เช้ามืดกลับบ้านก็ดึก ลูกจึงรู้สึกว้าเหว่ แต่เมื่อพ่อแม่ลางานมาอยู่กับลูก ลูกจึงมีความสุขมาก นี้คือการเห็นด้านดีจากสิ่งที่ดูเหมือนแย่
มองด้านบวกอีกแบบหนึ่ง คือการมองว่า นอกเหนือจากสิ่งที่แย่ ๆ ก็ยังมีสิ่งดี ๆ อีกมากมายอยู่เคียงคู่กัน ถึงแม้เศรษฐกิจตกสะเก็ด ถึงแม้รายได้ลดลง แต่เราก็ยังมีสิ่งดี ๆ ในชีวิตอีกมากมาย เช่น เรายังมีสุขภาพดี เรายังมีครอบครัวที่อบอุ่น พ่อแม่ลูกอยู่กันพร้อมหน้า เรามีสิ่งดี ๆ อยู่กับตัวมากมาย แต่เป็นเพราะเราไม่ใส่ใจ เรามัวไปจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ไม่ดี ก็เลยทำให้เรารู้สึกแย่
วันหนึ่งครูชูกระดาษแผ่นหนึ่งให้นักเรียนดู แล้วถามว่านักเรียนเห็นอะไรบ้าง นักเรียนทั้งชั้นบอกเห็นกากบาทสีดำอยู่มุมซ้ายของกระดาษ ครูจึงถามว่าแล้วนักเรียนไม่เห็นสีขาวของกระดาษเลยหรือ บทเรียนครั้งนั้นประทับใจเด็กคนหนึ่งมาก ทำให้เขาพยายามมองหาด้านดีจากทุกสิ่ง ส่งผลให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไป เด็กคนนั้นคือโคฟี่ อานัน ซึ่งต่อมาได้เป็นเลขาธิการสหประชาชาติ และได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ
ทุกวันนี้ที่เราทุกข์เป็นเพราะเรามองเห็นแต่กากบาทสีดำใช่ไหม เราไม่เห็นสีขาวของกระดาษเลยเพราะอะไร เป็นเพราะว่ามันปกติเกินไปใช่หรือเปล่า มันธรรมดาจนเรามองข้ามไปหรือไม่ใส่ใจมัน ในทำนองเดียวกัน คนทั่วไปมักมองว่าการมีสุขภาพดี ไม่เจ็บไม่ป่วย กินอิ่มนอนอุ่น มีพ่อแม่ลูกอยู่กับเรา เป็นเรื่องธรรมดาในชีวิต ผู้คนจึงไม่มองข้ามไป แต่กลับไปใส่ใจกับการมีเงินทองน้อยลง เมื่อเห็นแค่นั้นจึงรู้สึกเป็นทุกข์
ชีวิตเรามีสิ่งดี ๆ มากมาย ส่วนสิ่งไม่ดีอาจมีไม่มาก แต่พอเราไปจดจ่อกับมัน เหมือนนักเรียนที่เห็นแต่กากบาทสีดำในกระดาษ เราจึงเป็นทุกข์ แต่เมื่อใดสิ่ง ๆ ที่มีอยู่เกิดหายไป เราถึงจะเห็นความสำคัญของมัน และนึกเสียใจที่มองข้ามมันไป เราไม่เคยเห็นว่าอากาศเป็นสิ่งสำคัญ เพราะว่าเรารู้สึกว่ามันคือสิทธิ์ของเราที่จะได้อากาศที่บริสุทธิ์ เราไม่เคยรู้สึกว่าการที่พ่อแม่ยังอยู่กับเราเป็นโชคอันประเสริฐ เพราะเราคิดเอาเองว่าท่านจะอยู่กับเราไปตลอด แต่นั่นคือความประมาท เพราะว่าเมื่อใดก็ตามที่ท่านจากไป เมื่อใดก็ตามที่อากาศดีหดหายไป เราถึงจะได้คิดว่าเราเคยมีสิ่งดี ๆ หรือสิ่งประเสริฐอยู่กับตัว
เวลาเงินหายทำไมเราถึงเป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ว่าเป็นเพราะใจเราไปจดจ่ออยู่กับเงินที่หาย แต่เราลืมไปว่าเรายังมีเงินอีกมากมาย มากกว่าที่หายไปหลายร้อยหลายพันเท่า ถ้าเราใส่ใจกับเงินจำนวนมากมายที่เรายังมีอยู่ เราจะทุกข์น้อยลง เงินร้อยที่หายจะกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย มีเศรษฐินีคนหนึ่งถูกโกงไป ๖๐ ล้าน เธอทุกข์ใจมากในวันแรก แต่วันต่อมาเธอกลับร่าเริงแจ่มใส เมื่อมีคนถาม เธอก็ตอบว่า ถึงแม้เงินจะหาย แต่เธอก็ยังมีบ้านที่อบอุ่น มีอาหารที่อร่อย ยังมีชีวิตที่สุขสบาย ดังนั้นจะทุกข์ไปทำไม
สุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจ มิได้อยู่ที่ปัจจัยภายนอก หากวางใจให้เป็น ปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง ไม่ว่ามีอะไรมากระทบเรา ก็ไม่อาจกระเทือนไปถึงใจได้ ดังนั้น แม้เศรษฐกิจจะถดถอย ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณภาพชีวิตของเราจะถดถอยไปด้วย แม้การส่งออกจะติดลบ ก็ใช่ว่าความสุขของเราจะติดลบไปด้วย ตรงกันข้ามความสุขของเราสามารถเพิ่มเป็นบวก สวนกระแสเศรษฐกิจได้ หากเราวางใจและใช้ชีวิตให้เป็น
:- https://visalo.org/article/sukjai255203.htm
-
ทางแพร่งของชีวิต
พระไพศาล วิสาโล
“เขา” เป็นนักธุรกิจหนุ่มที่เคยถึงจุดตกต่ำที่สุดในชีวิต ครอบครัวเป็นหนี้สินถึง ๗,๐๐๐ ล้านบาท ไม่ใช่แต่บ้านเท่านั้น กระทั่งกรมธรรม์ชีวิตก็ยังต้องไปจำนอง เงินฝากในธนาคารแทบไม่เหลือ เขาถูกบิดาขอร้องให้มากอบกู้ฐานะของบริษัทซึ่งครั้งหนึ่งเคยยิ่งใหญ่ แต่เมื่อเศรษฐกิจวิกฤต ก็กลายเป็น “ยักษ์ล้ม” จวนเจียนจะพังพาบ
ในชั่วเวลาเพียงแค่สามปี เขาสามารถปลดเปลื้องหนี้สินได้หมด ยิ่งไปกว่านั้น อีกสามปีต่อมาบริษัทของเขากลับผงาดขึ้นมาใหม่ ติดอันดับหนึ่งในห้าของธุรกิจประเภทเดียวกัน มีผลประกอบการปีละเกือบ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท เขากลายเป็นมหาเศรษฐีระดับหมื่นล้านที่ใคร ๆ ในวงการก็รู้จัก
ถ้าคุณต้องแบกรับหนี้สินมหาศาลอย่างเดียวกับเขา ชั่วชีวิตนี้คงไม่หวังอะไรมากไปกว่าขอให้ปลดเปลื้องหนี้สินจนหมด และคงไม่มีวันไหนที่คุณจะเป็นสุขเท่ากับเมื่อวันนั้นมาถึง
แต่ถ้าคุณไม่ได้เพียงแค่หมดหนี้สินเท่านั้น หากยังกลายเป็นมหาเศรษฐีหมื่นล้านในเวลาไม่กี่ปี คุณคงนึกภาพตัวเองไม่ออกว่าจะดีใจล้นปรี่เพียงใด ถ้าไม่มีความสุขตอนนี้แล้ว จะมีความสุขตอนไหน
แต่สำหรับเขาคนนี้ แม้จะมีความสำเร็จถึงขนาดนี้ ก็หาได้มีความสุขกับชีวิตไม่ เขาเริ่มรู้สึกเฉื่อยเนือย เบื่อหน่ายกับการทำงาน แต่ละวันหมายถึงเวลาที่ผ่านไปเปล่า ๆ เขารู้สึกว่า “ชีวิตเริ่มหมดค่าทางธุรกิจ” แต่ลึกลงไปเขายังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหมาย เขาเคยพูดว่า “ผมจะมีความหมายอะไร ก็เป็นแค่....มหาเศรษฐีหมื่นล้านคนหนึ่ง”
หลังจากที่ไต่เต้าจนกลายเป็นมหาเศรษฐีหมื่นล้าน เขาพบว่ามันไม่ได้ช่วยให้เขามีความพึงพอใจกับชีวิตเลย ในที่สุดเขาก็พบว่ามีสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้เขารู้สึกเต็มอิ่มกับชีวิตได้ นั่นก็คือ เป็นรัฐมนตรี
จะเรียกว่าเขาเอาความสุขทั้งชีวิตฝากไว้กับตำแหน่งนี้ก็ได้ เพราะเขาเปิดเผยความในใจว่า หากนายกรัฐมนตรีไม่เลือกเขา “รับรองว่าความมั่นใจในตัวเองจะต้องหมด เป็นศูนย์เลย” เขาเล่าว่าคืนที่นายกรัฐมนตรีพิจารณาชื่อของเขานั้น “ผมจะตายให้ได้ ประสาทจะกินเอา....หากท่านไม่เอาเรา รับรองเจ๊งเลย”
เขาเล่าว่า วันที่เขามีความสุขที่สุดในชีวิตคือวันที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการ แต่เมื่ออ่านประวัติความเป็นมาของเขามาถึงตรงนี้ เราคงอดสงสัยไม่ได้ว่า ความสุขดังกล่าวของเขาจะอยู่ได้นานเท่าใด ครั้งหนึ่งเขาก็คงมีความสุขที่ปลดหนี้มหาศาลได้สำเร็จ แต่เขาหาได้พอใจเพียงเท่านั้นไม่ หากยังเพียรพยายามสร้างเนื้อสร้างตัวอย่างไม่หยุดยั้ง เมื่อพบว่าตนเองกลายเป็นมหาเศรษฐีหมื่นล้าน เขาก็คงมีความสุขมิใช่น้อย แต่ความสุขดังกล่าวก็ไม่ยั่งยืน จึงหันไปเอาดีทางการเมือง
วันนี้เขาเป็นรัฐมนตรีช่วย แม้จะมีความสุขเพียงใด แต่สักวันหนึ่งเขาก็คงไม่พอใจที่เป็นแค่รัฐมนตรีช่วย ความหวังคือได้เป็นรัฐมนตรีว่าการ หากสมหวังเขาคงรู้สึกว่ามีความสุขที่สุดในชีวิต แต่เขาจะมีความสุขนานเท่าใดหากพบว่ากระทรวงที่ตนว่าการนั้นยังเป็นแค่กระทรวงเกรดซี ถึงตอนนั้นก็คงเอาความสุขไปฝากไว้กับตำแหน่งเจ้ากระทรวงเกรดบี และเกรดเอ ตามลำดับ และหากเขาประสบความสำเร็จ เขาจะยังพอใจเพียงเท่านั้นหรือในเมื่อยังไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
ถึงจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีในที่สุด ก็ยังน่าสงสัยต่อไปว่าเขาจะมีความสุขไปได้นานเท่าใด และเมื่อถึงวันที่เขาพบว่าเป็นนายกรัฐมนตรีก็แค่นั้น (เหมือนกับที่เคยรู้สึกกับการเป็นมหาเศรษฐีหมื่นล้าน) เขาจะไต่เต้าไปไหนอีกถึงจะรู้สึกเต็มอิ่มและพอใจกับชีวิตเสียที
ประธานาธิบดีมาร์คอสเป็นบุคคลที่เคยเรืองอำนาจอย่างถึงขีดสุดในประเทศฟิลิปปินส์ แทบเรียกได้ว่าเป็นเจ้าชีวิตของคนทั้งประเทศ แต่ครั้งหนึ่งเขาเคยเขียนความรู้สึกลงในบันทึกประจำวันว่า “ผมเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดในฟิลิปปินส์ ผมมีทุกอย่างที่เคยใฝ่ฝัน พูดให้ถูกต้องก็คือ ผมมีทรัพย์สมบัติทุกอย่างเท่าที่ชีวิตต้องการ มีภรรยาซึ่งเป็นที่รักและมีส่วนร่วมในทุกอย่างที่ผมทำ มีลูก ๆ ที่ฉลาดหลักแหลมซึ่งจะสืบทอดวงศ์ตระกูล มีชีวิตที่สุขสบาย ผมมีทุกอย่าง แต่กระนั้นผมก็ยังรู้สึกไม่พึงพอใจในชีวิต”
-
(ต่อ)
มีเงินนับหมื่นล้านก็ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตมีความสุขมากนัก ดัง “เขา” เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน แต่ใช่ว่าเมื่อหันไปหาอำนาจแล้ว ชีวิตจะเป็นสุข ก็หาไม่ ดังมีมาร์คอสเป็นพยานรับรอง สัจธรรมดังกล่าวแม้จะชัดเจนและเห็นง่าย แต่คนเป็นอันมากกลับมองไม่เห็น เพราะคิดว่าที่ตัวเองไม่มีความสุขนั้นเป็นเพราะยังมีไม่พอ ถ้ามีมากกว่านี้ ก็จะเป็นสุข ดังนั้นจึงพยามตะเกียกตะกายไขว่คว้าหามาให้มาก ๆ แต่ก็มีความสุขแค่ตอนได้มาใหม่ ๆ เท่านั้น หลังจากนั้นไม่นานก็กลับรู้สึกเหมือนเดิม หรืออาจยิ่งกว่าเดิมเพราะต้องเสียเวลาและพลังงานมากขึ้นในการรักษาทรัพย์หรืออำนาจที่เพิ่มขึ้น
การไล่ล่าหาทรัพย์และสมบัติเพราะคิดว่าจะทำให้มีความสุขมากขึ้น ทุกข์น้อยลงนั้น ไม่ต่างจากการวิ่งหนีเงาและรอยเท้าของตนเอง ไม่ว่าจะวิ่งเร็วเท่าใดหรือไกลเพียงใด เงาก็ยังไล่ตามทุกหนแห่ง ส่วนรอยเท้าก็ตามติดทุกฝีเก้า
ทำอย่างไรเงาและรอยเท้าถึงจะหาย ?
คำตอบก็คือ หลบมานั่งนิ่ง ๆ ใต้ร่มไม้
ต่อเมื่อหยุดวิ่ง หยุดไขว่คว้าล่าไล่ ความสุขและความพึงพอใจในชีวิตจึงจะบังเกิดขึ้น อันที่จริง “เขา” เกือบจะพบคำตอบที่แท้จริงของชีวิตอยู่แล้ว ตอนที่เขารู้สึกว่าการเป็นมหาเศรษฐีหมื่นล้านนั้นไม่มีความหมายอะไร หากเขากลับมาตั้งคำถามกับการไขว่คว้าล่าไล่สิ่งภายนอก และหันมาแสวงหาความสุขจากภายใน เขาอาจค้นพบความสุขที่แท้และยั่งยืน แต่แล้วเขากลับเลือกอีกทางหนึ่งเพราะคิดว่าที่ยังไม่มีความสุขนั้นเป็นเพราะยังมีไม่พอ
พระพุทธองค์เมื่อครั้งทรงเป็นเจ้าชายสิทธัตถะนั้น คงมีความรู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตอันพรั่งพร้อมบริบูรณ์ในพระราชวังไม่ต่างจาก “เขา” ตอนที่ถึงจุดสุดยอดในทางธุรกิจแล้ว แต่พระองค์ไม่ได้เลือกที่จะแสวงหาและตักตวงให้มากขึ้น หากเลือกที่จะสละให้เหลือน้อยที่สุด เริ่มด้วยการสละราชสมบัติและความสะดวกสบาย และจบลงด้วยการละวางความยึดถือในตัวตน จนพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง
เมื่อใดที่รู้สึกเบื่อหน่ายท่ามกลางทรัพย์สมบัติและอำนาจ นั่นหมายความว่าชีวิตมาถึงทางแพร่งที่สำคัญ พึงระลึกว่าเรามีทางเลือกอยู่สองทาง นอกจากการตักตวงให้มากขึ้นหรือไขว่คว้าหาสิ่งใหม่แล้ว ยังมีอีกทางเลือกหนึ่งนั่นคือหยุดไล่ล่าและหันมาแสวงหาความสุขจากภายใน
หากจะเลือกทางแรกก็ขอให้ตระหนักว่ายังมีอีกทางเลือกหนึ่งที่รอรับการกลับมาของเรา
:- https://visalo.org/article/sukjai254804.htm
-
ความทรงจำอำพราง
พระไพศาล วิสาโล
ความจำของคุณดีแค่ไหน ?
ลองนึกย้อนหลังไป ๔ ปี นึกถึงเหตุการณ์ประทับใจช่วงเกิดฝนดาวตก ย้อนไปอีก ๘ ปี คุณอยู่ไหนวันที่อิรักบุกคูเวตจนหุ้นตกระนาว นึกยาวไปอีกถึงวันสนุกสุดชีวิตครั้งเป็นนักเรียน
ถ้าความจำคุณยังดีอยู่ ลองนึกไปถึงวันแรกที่แม่พาเข้าโรงเรียน นึกต่อไปอีกถึงวันที่หัดเดิน แล้ววันที่คุณยังเป็นทารกแบเบาะ คุณจำได้ไหมว่าของเล่นที่แม่ผูกไว้เหนือเปลนั้นคืออะไร?
ถ้าคุณยังจำของเล่นชิ้นนั้นได้ นั่นแสดงว่าคุณจำผิดแล้ว พูดให้ถูกต้องก็คือ คุณปรุงแต่งความจำนั้นขึ้นมาเอง
แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่คนเราจะจำเหตุการณ์ในปีแรกของชีวิตได้ สาเหตุประการหนึ่งก็คือ สมองส่วนที่สร้างความทรงจำอันได้แก่ฮิปโปแคมปัสนั้นยังไม่เติบโตพอที่จะสะสมความจำไว้ได้นานจนสามารถดึงออกมาได้เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่
ถ้าเช่นนั้นเหตุใดบางคนจึงย้อนเห็นภาพตอนเป็นทารกได้ คำตอบก็คือ เพราะว่ามีคนมาช่วยเขาปรุงแต่งความจำจนนึกว่านั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงตอนเป็นทารก
เมื่อไม่กี่ปีมานี้มีการนำคนกลุ่มหนึ่งมาทดลอง ผู้ทดลองได้บอกคนกลุ่มนี้ว่าพวกเขามีประสาทตาและทักษะการสำรวจภาพที่ดี สันนิษฐานว่าอาจเป็นเพราะเกิดในโรงพยาบาลที่แขวนของเล่นหรือโมไบล์สีสวย ๆเหนือที่นอน ผู้ทดลองบอกว่าต้องการยืนยันทฤษฎีนี้ว่าจริงหรือไม่ จึงอยากให้คนกลุ่มนี้ย้อนระลึกไปถึงตอนแรกเกิด เพื่อผู้ทดลองจะได้รู้ว่าเขาประสบพบเห็นอะไรบ้างตอนนั้น
ผู้ทดลองแบ่งคนกลุ่มนี้เป็น ๒ พวก พวกแรกถูกสะกดจิตเพื่อย้อนระลึกถึงตอนแรกเกิด ส่วนอีกพวกหนึ่งนั้นผู้ทดลองใช้วิธีพูดนำให้ย้อนกลับไปสู่อดีต ปรากฏว่า ร้อยละ ๔๖ ของพวกแรก และร้อยละ ๕๖ ของพวกหลัง บอกว่าจำได้ว่ามีของเล่นหลากสีแขวนอยู่เหนือที่นอนของตนตอนแรกเกิด บางคนบอกว่ายังจำรายละเอียดอย่างอื่นได้อีก เช่น หมอ พยาบาล และแสงไฟ
ความจริงก็คือคนเหล่านี้จำอะไรไม่ได้เลยตอนแรกเกิด แต่ที่นึกว่าจำได้ก็เพราะมีคนมาโน้มนำความคิดไว้ก่อนแล้ว ความคิดนี้แหละที่ไปปรุงแต่งให้เกิด “ความจำ”อันใหม่ขึ้นมาขณะที่พยายามย้อนระลึกถึงความหลังครั้งแบเบาะ
อย่าว่าแต่ความหลังครั้งแบเบาะเลย แม้โตจำความได้แล้ว เราก็ยังสามารถเอาเรื่องไม่จริงเข้ามาปะปนกับความจำจนนึกว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตจริง ๆ
มีการทดลองที่ทำโดยอีกคณะหนึ่ง เขาได้ขอให้คนกลุ่มหนึ่งตอบว่าเหตุการณ์ ๔๐ อย่างในแบบสอบถาม มีเหตุการณ์ใดบ้างที่เขาคิดว่าได้เคยเกิดขึ้นกับเขาในวัยเด็ก และเหตุการณ์ใดที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลย เหตุการณ์ ๔๐ อย่างมีอาทิ เจอเงิน ๑๐ เหรียญ เรียก ๑๙๑ ทำกระจกหน้าต่างแตก
ตกต้นไม้ ฯลฯ หลังจากนั้น ๒ สัปดาห์ผู้ทดลองได้ขอให้กลุ่มนี้จินตนาการถึงเหตุการณ์บางเหตุการณ์ที่เขาบอกว่าไม่เคยเกิดขึ้นกับตนเลย โดยผู้ทดลองเป็นผู้นำจินตนาการ ด้วยการบอกบทอย่างละเอียด
หลังจากนั้น ๒ สัปดาห์คนกลุ่มนี้ก็กลับมาตอบคำถามเดิมว่า ๔๐ เหตุการณ์ในแบบ สอบถาม เหตุการณ์ใดบ้างที่คิดว่าเคยเกิดขึ้น และไม่เคยเกิดขึ้นเลย ปรากฏว่าคราวนี้คำตอบเปลี่ยนไป อาทิ คนที่เคยตอบในครั้งแรกว่าไม่เคยทำกระจกหน้าต่างแตก หลังจากจินตนาการว่าได้ทำกระจกแตก ร้อยละ ๒๔ ของคนกลุ่มนี้ตอบในครั้งหลังว่าเคยทำกระจกแตกตอนเป็นเด็ก
การทดลองนี้พิสูจน์ว่าการจินตนาการของคนเรานั้น แม้เป็นเรื่องไม่จริง แต่ก็สามารถเข้ามาปะปนในความรู้สึกนึกคิดของคนเรา จนถูก “กลืน”เข้ามาอยู่ในความทรงจำ กลายเป็นเรื่องที่เราสำคัญมั่นหมายว่าเป็นความจริงไป
ที่จริงไม่ต้องอาศัยจินตนาการก็ได้ เพียงแค่ได้ยินได้อ่านเรื่องซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นจริงในวัยเด็ก แต่ถ้าได้ยินหรืออ่านเรื่องนั้นพร้อม ๆ กับเรื่องจริง ๓-๔ เรื่องซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเดียวกัน เรื่องปรุงแต่งนั้นก็มีโอกาสที่จะถูกประทับในความทรงจำว่าเป็นเป็นเรื่องจริงในอดีตได้ เคยมีการทดลองแบบนี้กับคนกลุ่มหนึ่ง โดยเอาเรื่องราวในวัยเด็กของแต่ละคน(ซึ่งได้จากการสอบถามญาติผู้ใหญ่)มา ๓ เรื่อง แล้วแทรกเหตุการณ์ปลอมเข้าไปเป็นเรื่องที่ ๔ คือ การพลัดหลงกับพ่อแม่ในห้างสรรพสินค้าเมื่ออายุ ๕ ขวบ ปรากฏว่าพอได้อ่านครั้งแรก ร้อยละ ๒๙ ของคนกลุ่มนี้ก็”จำได้”ทันทีว่าเคยประสบเหตุการณ์ดังกล่าว ในการสอบถาม ๒ ครั้งต่อมา คนที่ยืนยันว่าจำเหตุการณ์ที่กุขึ้นมาก็ยังมีจำนวนไม่ต่างจากเดิมมากนัก
มาถึงตรงนี้คุณยังเชื่อมั่นในความทรงจำของคุณอยู่อีกหรือเปล่า แน่ใจหรือว่าเหตุการณ์ที่นึกว่าเป็นเรื่องจริงในอดีตนั้น ไม่ใช่สิ่งที่เติมแต่งเข้าไปทีหลัง จะโดยจินตนาการของตนเองหรือการโน้มนำของคนอื่นก็ตาม
ความทรงจำของเราไม่ได้มีกำแพงแน่นหนาอย่างที่เรานึก อีกทั้งไม่ได้ซื่อตรงอย่างที่เราอยากจะให้เป็น อะไรต่ออะไร ทั้งดีและไม่ดีมีสิทธิแทรกซึมเล็ดลอดเข้าไปในความทรงจำได้ทั้งนั้น อีกทั้งบางครั้งก็หลอกเราหน้าตาเฉย ถ้าเราเชื่อความจำของเรามากไป ก็อาจจะเดือดร้อนก็ได้
ใช่หรือไม่ว่าบ่อยครั้งผู้คนทะเลาะเบาะแว้งกันก็เพราะเรื่องความจำ ภรรยาจำได้ว่าสามีพูดอย่างนี้ แต่สามีบอกว่าพูดอย่างนั้นต่างหาก เจ้านายยืนยันว่ายื่นเอกสารนี้ให้เลขา ฯ แล้ว แต่เลขา ฯ ว่ายังไม่ได้รับ ต่างคนต่างยืนยันเพราะมั่นใจในความจำของตน ทุ่มเถียงจนหน้าดำคร่ำเครียด พร้อมจะเอาเป็นเอาตายกับเรื่องนั้น บางคนหนักกว่านั้นอีก นึกปรุงแต่งไปเองว่าคนนั้นคนนี้ด่าว่าตน พอผ่านไปสักพักก็ “จำ”ได้ว่าคนนั้นเคยต่อว่าตน เลยผูกใจเจ็บโดยที่คนนั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลย
-
(ต่อ)
แต่เรามั่นใจเต็มร้อยแล้วหรือว่าความจำของเรานั้นเชื่อได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
แม้เหตุการณ์จะเพิ่งเกิด ก็อย่านึกว่าเราจำได้ไม่ผิด ในการทดลองครั้งหนึ่ง คนกลุ่มหนึ่งเห็นอุบัติเหตุเกิดขึ้นตรงสี่แยกขณะที่สัญญาณไฟจราจรเป็นสีแดง หลังจากนั้นครึ่งหนึ่งของผู้เห็นเหตุการณ์ได้รับการบอกเล่าว่าสัญญาณไฟเป็นสีเขียว เมื่อมีการสอบถามในเวลาต่อมาว่าสัญญาณไฟเป็นสีอะไร คนที่ได้รับคำบอกเล่ามาก่อนมีแนวโน้มที่จะบอกว่าเป็นสีเขียว
ความจำของคนเรานั้นพร้อมจะแปรเปลี่ยนเมื่อมี “ข้อมูลใหม่”เข้ามา ข้อมูลนั้นหากเข้ามาอยู่ในความคิดของเราเมื่อไหร่ มันพร้อมจะเข้าไปแทรกซึมปะปนกับความทรงจำของเราได้ทุกเวลา ความคิด จินตนาการ และความจำนั้น บ่อยครั้งก็ใกล้กันมาก จนแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร
ที่จริงไม่จำเป็นต้องมีข้อมูลใหม่ ความจำก็อาจคลาดเคลื่อนผิดเพี้ยนได้หากเวลาผ่านไปไม่นาน หนึ่งวันหลังจากเกิดอุบัติเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เชอร์โนบิล ประเทศรัสเซีย ได้มีการมอบหมายให้นักศึกษากลุ่มหนึ่งในรัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา บันทึกว่าตนอยู่ไหนตอนที่ได้ข่าว กำลังทำอะไร และใครเป็นคนบอกข่าว ๓ ปีหลังจากนั้นก็ได้ให้นักศึกษากลุ่มเดียวกันนั้นจำนวน ๔๔ คน ตอบคำถามเดียวกันนั้นอีก ปรากฏว่าทุกคนตอบผิด มี ๑๑ คนที่ตอบผิดทั้ง ๓ ข้อ
นอกจากระยะเวลาแล้ว ภูมิหลัง ประสบการณ์ อคติ อารมณ์ความรู้สึกของเราขณะนั้นก็มีอิทธิพลต่อความจำมาก ที่จริงปัจจัยเหล่านี้มีอิทธิพลตั้งแต่ตอนรับรู้ข้อมูลก่อนที่จะถูกบรรจุในความทรงจำด้วยซ้ำ
ศาสตราจารย์คนหนึ่ง ขณะที่กำลังบรรยายวิชาอาชญาวิทยา มีชายผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาในห้องแล้วหยิบกระเป๋าศาสตราจารย์ผู้นั้นไป ไม่ทันที่นักศึกษานับร้อยจะหายตื่นตกใจ ศาสตราจารย์ก็ถามนักศึกษาว่าคนที่ขโมยกระเป๋านั้นไป มีรูปพรรณสัณฐานอย่างไร สูงแค่ไหน ใส่เสื้ออะไร รองเท้าแบบไหน ปรากฏว่านักศึกษานับร้อยบรรยายลักษณะของขโมยไม่ตรงกัน ศาสตราจารย์จึงสรุปว่าความจำของเรานั้นบางทีก็เชื่อไม่ได้ ดังนั้นจึงอย่ามั่นใจในประจักษ์พยานว่าจะให้ข้อเท็จจริงได้ถูกต้องเสมอกัน
ความจำไม่ใช่แค่ข้อมูลที่สะสมในสมอง มันมักถูกนำมาใช้เพื่อยืนยันความเป็นตัวเรา และบอกว่าเราเป็นใคร ลักษณะประจำชาติหรือความเป็นชาติ ขึ้นอยู่กับประวัติศาสตร์ที่จดจารฉันใด ความเป็นตัวเราก็ขึ้นอยู่กับความทรงจำเกี่ยวกับตัวเองฉันนั้น ถ้าในความทรงจำมีแต่เรื่องไม่ดีของเรา ย่อมยากที่เราจะมองตนเองในแง่ดี แต่ถ้าเรานึกเห็นแต่อดีตที่ดี ๆ ของตัวเอง ก็อาจเห่อเหิมอหังการจนหลงตัวลืมตัวไปก็ได้ อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้อาจเป็นมายาภาพก็ได้ เพราะความทรงจำของเราอาจคลาดเคลื่อนผิดเพี้ยนไปตั้งแต่แรกก็ได้
คนเราหนีความทรงจำของตนเองไม่ได้ก็จริง แต่อย่าปล่อยให้ตัวเองเป็นทาสของความทรงจำ ความทรงจำก็เช่นเดียวกับความคิดของเราตรงที่มันสามารหลอกเราได้ทั้งนั้น เมื่อปักใจเชื่อว่าใครเป็นขโมย เราก็มองเห็นคนนั้นมีพิรุธไปเสียทุกอย่าง ความทรงจำที่ไม่ดีเกี่ยวกับคนนั้นก็ผุดพรูขึ้นมาเป็นการใหญ่ ทั้งที่ประสบพบเห็นเองก็มี นึกเอาเองหรือได้ยินเขาว่ามาก็มี ที่แย่ก็คือถ้าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ก็เท่ากับว่าเราทำร้ายเขาไปแล้วโดยไม่รู้ตัว
อย่าตัดสินตัวเองหรือคนอื่นด้วยข้อมูลจากความทรงจำไปเสียหมด อย่าปล่อยให้ความทรงจำทิ่มแทงตัวเรา หรือกักขังเราไว้กับอดีต ลืมเสียบ้างก็ดี อย่าลืมว่าปัจจุบันนั้นสำคัญกว่าอดีตพยายามรู้จักปัจจุบันและสร้างปัจจุบันให้ดีที่สุด แม้อดีตจะช่วยให้เรารู้จักปัจจุบัน แต่ก็ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุด สิ่งที่เป็นอยู่ แลเห็นอยู่ขณะนี้ต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญสูงสุดอันเราพึงใส่ใจ
ปัจจุบันนั้นใช่หรือไม่ว่าเป็นเวลาประเสริฐสุด
:- https://visalo.org/article/sukjai254509.htm -
ผูกสัมพันธ์ สรรค์สร้างสุข
พระไพศาล วิสาโล
ทุกวันอาทิตย์ย่านธุรกิจอันจอแจขวักไขว่กลางเกาะฮ่องกงจะแปรสภาพเป็นแหล่งชุมนุมของหญิงสาวชาวฟิลิปปินส์นับพัน ๆ คน ผู้คนคลาคร่ำเต็มทางเท้าจนล้ำถนนและล้นเข้าไปในสวนสาธารณะ บ้างก็นั่งล้อมวงกินอาหาร บ้างก็ร้องเพลง เต้นรำ สนทนาเฮฮากัน ไม่ว่าใครเดินผ่านก็ถูกเรียกให้มาร่วมวงปิคนิค
ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส รื่นเริงบันเทิงใจ ราวกับชีวิตนี้ไม่มีอะไรที่ต้องทุกข์ร้อนอีกแล้ว
แต่ความจริงแล้วชีวิตของหญิงสาวเหล่านั้นมีเรื่องที่จะต้องทุกข์ร้อนเยอะแยะไปหมด เริ่มตั้งแต่
การจากบ้านเกิดเมืองนอน ไม่ใช่แค่ห่างไกลญาติพี่น้องเท่านั้น หลายคนยังพลัดพรากจากสามีและลูก ๆ ทำนองเดียวกับหญิงไทยจำนวนไม่น้อยที่ต้องออกไปทำงานในต่างประเทศเพื่อส่งเงินมาจุนเจือครอบครัว
แต่สาวฟิลิปปินส์เหล่านี้ไม่ได้มีแค่พันธะทางใจที่ต้องกังวลเท่านั้น หากชีวิตความเป็นอยู่ในฮ่องกงก็ยังเดือดร้อน
ไม่น้อย แทบทั้งหมดเป็นคนรับใช้ในบ้าน จึงต้องอยู่กินและทำงานกับนายจ้างชาวจีนทั้งวันทั้งคืน ถ้าได้นายจ้างที่ดีก็โชคดีไป แต่ส่วนใหญ่ได้นายจ้างที่ไม่ค่อยดูดำดูดีเท่าไร มิหนำซ้ำยังอาจเป็นที่รองรับอารมณ์ ของนายจ้าง มากกว่าครึ่งของคนรับใช้ชาวฟิลิปปินส์ไม่มีห้องของตัวเอง หลายคนต้องนอนในห้องน้ำ ใต้โต๊ะกินข้าว บางคนต้องนอนในตู้เก็บจาน กลางคืนก็เอาจานออกมาวางข้างนอก แล้วเข้าไปซุกนอน พอเช้าก็เอาจานกลับไปเก็บข้างในตามเดิม หนักกว่านั้นนายจ้างบางคนใช้กำลังกับสาวใช้
เช่น ตบตีเพราะคนงานทำความสะอาดหม้อไม่เรียบร้อย ที่รุนแรงถึงขั้นเอาเตารีดร้อน ๆ นาบมือก็มี
น่าแปลกที่ว่า ทั้ง ๆ ที่ชีวิตประสบกับความลำบากมากมาย แต่สาวใช้ฟิลิปปินส์ก็ยังยิ้มแย้มแจ่มใส
จนแม้คนฮ่องกงเองก็คงอิจฉา แน่ละใครที่หลุดออกมาจาก "นรก" ได้แม้เพียงชั่วขณะ ก็ย่อมดีใจเป็นธรรมดา แต่ถ้าหลุดมาแล้ว ทำอะไรคนเดียวหรือนั่งอยู่เฉย ๆ สักพักก็อาจจะกระสับกระส่ายหรือกลัดกลุ้มขึ้นมาได้ คนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อย ไม่เคยลาพักร้อนเลย สาเหตุก็เพราะทนไม่ได้ที่จะอยู่บ้านเฉย ๆ สู้ออกไปทำงานไม่ได้ ด้วยเหตุนี้สาวฟิลิปปินส์ที่ฮ่องกงจึงเลือกที่จะมาพบปะสังสรรค์กัน แทนที่จะแยกตัวไปเที่ยวคนเดียว ในวันหยุด คนเราเมื่อได้มีโอกาสมาเล่าปัญหา ระบายความเดือดร้อนของตนเองให้ผู้อื่นได้รับรู้ ความกลัดกลุ้ม ก็บรรเทา ลงไปราวกับว่ามีคนมาร่วมแบกด้วย ในอีกด้านหนึ่งการได้รับรู้ความทุกข์ของคนอื่น ก็ช่วยให้เราตระหนักว่าในโลกนี้ไม่ได้มีเราคนเดียวเท่านั้นที่ทุกข์ คนอื่นก็ทุกข์ด้วย และอาจจะทุกข์ยิ่งกว่าเราอย่างเทียบกันไม่ได้ จ.ส.๑๐๐ บางครั้งไม่ได้ช่วยคลายความแออัดของจราจรเท่าใดนัก แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้คนกรุงอัดอั้นตันใจ น้อยลง เพราะมีช่องระบายปัญหา รวมทั้งได้รับรู้ว่าคนอื่น ก็เจอรถติดเช่นเดียวกับเรา
แต่คนเราไม่ได้มาพบปะกันเพื่อระบายความทุกข์เท่านั้น หากยังมาเพื่อรับรู้ความสุขของกันและกัน มีเรื่องดี ๆ ในชีวิตมากมายที่ไม่ได้ทำให้เราเป็นสุขคนเดียว หากยังช่วยให้คนอื่นมีความสุขด้วย แม้แต่เรื่องเชย ๆ เปิ่น ๆ ที่ทำให้เราอับอายขายหน้า เมื่อกลับมาเล่าใหม่ในวงเพื่อน กลับกลายเป็นเรื่องขำขันที่เรียกเสียง หัวเราะ ทั้งของเราและเพื่อน ๆ ได้อย่างวิเศษ นับเป็นยาอายุวัฒนะที่หาซื้อที่ไหนไม่ได้
การรับรู้และแลกเปลี่ยนสุขทุกข์ของกันและกันช่วยให้จิตใจของเราเบาสบายขึ้นมาก แต่ที่สำคัญกว่า นั้นก็คือการได้รับรู้ถึงน้ำใจไมตรีของกันและกัน เมื่อได้ระบายความทุกข์ และรู้ว่าอีกฝ่ายห่วงใย ใส่ใจ และพร้อมจะช่วยเหลือ ความซาบซึ้งใจ ความหวังและกำลังใจจะผุดโพลงขึ้นมา และดึงจิตที่หนักอึ้ง ให้ลอยสูงขึ้นและมีเรี่ยวมีแรงอีกครั้งหนึ่ง
-
(ต่อ)
ตรงนี้เองเป็นกุญแจสำคัญของการเยียวยาจิตใจ การพบปะสังสรรค์จะมีความหมายน้อยลงถ้า
ทุกคนมาด้วยจิตที่คิดจะเอาหรือนึกถึงแต่ตัวเอง งานกาล่าดินเนอร์ในโรงแรมชั้นหรูมีคุณค่าทางจิตใจน้อยกว่า งานสังสรรค์กลางทางเท้าของสาวฟิลิปปินส์ก็เพราะเหตุนี้ ในลานปิคนิคกลางเกาะฮ่องกงทุกวันอาทิตย์ แม้ผู้คนจะจับกลุ่มตามท้องถิ่นพื้นเพของตน คล้ายบ้านเราที่มีทั้งอีสาน เหนือ ใต้ อะไรทำนองนั้น แต่ก็ไม่ได้ถึงกับแยกกันเป็นพวก ๆ มีการย้ายจากกลุ่มนี้ไปกลุ่มนั้น ชักชวนทักทายกันข้ามกลุ่ม แม้แต่คนชาติอื่นที่แวะเวียนผ่านมา ก็ถูกเรียกให้มาร่วมกินอาหารกัน
คนฟิลิปปินส์นั้นขึ้นชื่อว่าเป็นคนเปิดเผย มีน้ำใจเอื้อเฟื้อ เป็นมิตรกับคนง่าย พร้อมจะผูกสัมพันธ์ และแบ่งปัน เป็นที่รู้กันว่าเมื่อมีแขกมาพัก เจ้าของบ้านจะย้ายมานอนพื้น เพื่อให้อาคันตุกะได้นอนเตียง หัวใจที่เปิดกว้างเช่นนี้ทำให้การสังสรรค์กลางทางเท้าของสาวฟิลิปปินส์ ในฮ่องกงมีชีวิตชีวา และเต็มไปด้วย บรรยากาศที่รื่นเริงแจ่มใส ขณะเดียวกันนี่ก็เป็นคำตอบว่าเหตุใด ความทุกข์ยากลำบากตลอด ๖ วัน ๖ คืนในบ้านเจ้านายชาวจีนจึงไม่สามารถเปลี่ยนสาวใช้ฟิลิปปินส์ให้กลาย เป็นคนอมทุกข์ เศร้าหมองไปได้ทั้ง ๆ ที่ทำงานมาหลายปี
ชีวิตของสาวใช้ฟิลิปปินส์ เป็นข้อพิสูจน์อย่างหนึ่งว่า ความสุขของ คนเรานั้น ไม่ได้เกิดจากปัจจัย ภายนอกเป็นสำคัญ สุขหรือทุกข์นั้นไม่ได้อยู่ที่ว่าเรามีมากหรือน้อย และไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนภายนอกว่า เขาปฏิบัติต่อเราอย่างไร ข้อนี้จะเห็นได้ชัดเมื่อมองไปอีกด้านหนึ่งคือนายจ้างชาวจีน ทั้ง ๆ ที่มีความ เป็นอยู่สะดวกสบาย มีเงินทองมากมาย แต่แล้วคนจีนฮ่องกงกลับกลาย เป็นคนที่มีความสุข น้อยกว่าลูกจ้าง ของตนเสียอีก ในการ สำรวจความเห็นของชาวเอเชียแทบทุกครั้งๆ จะได้ผลสรุปตรงกันว่า ชาวจีนฮ่องกง และชาวญี่ปุ่นมีความสุข น้อยที่สุด ส่วนคนที่มีความสุขมากที่สุดอันดับต้น ๆ คือชาวฟิลิปปินส์
จิตใจที่เปิดกว้าง พร้อมเชื่อมสัมพันธ์กับผู้อื่น ช่วยให้เราหมกมุ่นกังวลกับตัวเองน้อยลง ความทุกข์ของเราก็จะพลอยเล็กลง หรืออย่างน้อยก็ไม่ถูกขยายใหญ่เกินความจริง ขณะเดียวกันเราก็จะเห็นแก่ตัวน้อยลง เพราะนึกถึงคนอื่นมากขึ้น ความเห็นแก่ตัวนั้นเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ เพราะนำไปสู่ความอยากได้ใคร่เด่น ซึ่งทำให้ต้องดิ้นรนไขว่คว้าไม่รู้จบ การคิดถึงตัวเองน้อยลงเป็น จุดเริ่มต้นของการลดความทุกข์ในชีวิต และเมื่อเราตระหนักว่าไม่มีอะไรให้น่ายึดถือแม้แต่ตัวเราเอง ความทุกข์ในชีวิตก็เป็นอันสิ้นสุด มีแต่ความโปร่งโล่งเบาสบายในจิตใจ
นี่ใช่ไหมคือจุดหมายที่เราควรไปให้ถึง
:- https://visalo.org/article/sukjai254503.htm
-
รักษาใจ อย่าให้ความสุขถูกปล้น
พระไพศาล วิสาโล
ที่ประเทศญี่ปุ่น มีผู้ชายคนหนึ่งอยู่บ้านคนเดียว ทุกวันเขาก็ไปทำงานที่บริษัท วันหนึ่งเขาสังเกตว่าในช่วง ๒-๓ เดือนที่ผ่านมามีของในบ้านหายหลายอย่าง โดยเฉพาะอาหารดี ๆ ที่เขาอุตส่าห์ซื้อมาเก็บไว้ในตู้เย็นและในตู้เก็บของ อยู่ดี ๆ ก็หายไป ไม่รู้หายไปไหน เขาก็เลยสงสัยว่ามันต้องมีคนมาขโมย แต่ก็จับไม่ได้สักที เขาจึงติดกล้องวงจรปิดทุกจุดในบ้าน กล้องวงจรปิดสามารถถ่ายทอดสัญญาณมาที่โทรศัพท์มือถือได้ โทรศัพท์มือถือของญี่ปุ่นนั้นพัฒนามาก สามารถที่จะรับสัญญาณภาพจากกล้องวงจรปิดในบ้านได้
วันหนึ่งเขาออกไปทำงานตามปกติ พอเปิดภาพดูสักพักก็จะเห็นผู้หญิงคนหนึ่งมายุ่มย่ามในบ้านของเขา แล้วก็เอาของใช้และของกินในบ้านไป เขาก็รีบเรียกตำรวจทันที ตำรวจก็มาที่บ้านและพบว่าประตูบ้านยังปิดแน่นหนา ไม่มีร่องรอยการเปิดเข้าไป เมื่อตำรวจเข้าไปในบ้าน ทุกอย่างก็ปกติ หน้าต่างไม่มีร่องรอยงัดแงะ แล้วผู้หญิงคนนั้นเข้าไปได้อย่างไร ตำรวจพยายามค้นหาทุกซอกทุกมุมเพราะเชื่อว่ามีคนอยู่ในบ้านแน่นอน ในที่สุดก็เจอผู้หญิงคนนั้นซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้า เธอยอมรับว่าเป็นขโมย และที่น่าแปลกก็คือเธอบอกว่าอยู่ในบ้านของผู้ชายคนนั้นมาสองเดือนแล้ว เธอไม่ได้ไปไหนเลย ซ่อนตัวอยู่แต่ในบ้านตลอดเวลาเพราะว่าเป็นคนจรจัด เร่ร่อน เธอเล่าว่าวันหนึ่งเห็นประตูบ้านหลังนี้เปิดอยู่ก็เลยเข้าไป แล้วก็ซ่อนตัวอยู่ในตู้เสื้อผ้า เวลาเจ้าของบ้านออกไปทำงาน เธอก็ออกมาอาบน้ำ กินข้าว พอเจ้าของบ้านกลับมาก็ซ่อนตัวอยู่ในตู้เหมือนเดิม ผู้ชายคนที่เป็นเจ้าของบ้านนึกว่าเขาอยู่คนเดียวในบ้านมาโดยตลอด แต่ที่แท้ก็มีคนอยู่ในบ้านกับเขาด้วย เพราะฉะนั้นพวกเราเวลาอยู่คนเดียวก็ต้องแน่ใจนะว่าอยู่คนเดียว ไม่มีใครอยู่กับเราด้วย
ผู้ชายคนนี้หลงคิดว่าขโมยอยู่นอกบ้าน จึงคิดแต่จะป้องกันไม่ให้คนภายนอกเข้ามา แต่ไม่ได้เฉลียวใจเลยว่าที่จริงแล้วขโมยอยู่ในบ้าน และซุกซ่อนอยู่ใกล้ตัวเขามาตลอด ที่จริงไม่ใช่แต่ผู้ชายคนนี้ ตัวเราก็มีขโมยอยู่ข้างในเหมือนกัน เวลาเรากินอาหารเข้าไป แทนที่สารอาหารจะเข้าไปเลี้ยงร่างกายเรา มันกลับถูกขโมยไปเลี้ยงพยาธิ หรือไม่ก็ไปเลี้ยงเซลล์มะเร็งจนเติบใหญ่เป็นก้อน อันนี้ก็เป็นการขโมยเหมือนกัน คือขโมยสุขภาพของเราไป ไม่ใช่แค่สิ่งภายนอกเท่านั้นที่ทำให้สุขภาพของเราแย่ บางทีตัวการที่บั่นทอนสุขภาพเราก็อยู่ในร่างกายของเรานี้เอง แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือสิ่งที่ขโมยความสุขไปจากเรา ซึ่งไม่ได้อยู่ข้างนอก ตัวขโมยความสุขจริง ๆ อยู่ข้างใน ไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก อยู่ในใจเรา
เราอย่าไปคิดว่าเป็นเพราะเจ้านาย เป็นเพราะเพื่อนร่วมงาน หรือว่าเป็นเพราะนักการเมือง หรือว่าเพื่อนบ้านที่ทำให้เราไม่มีความสุข หรือทำให้ความสุขของเราลดน้อยถอยลง ที่จริงแล้วความสุขหายไปก็เพราะว่าขโมยที่อยู่ในใจเรานั้นเอง คือกิเลสและอารมณ์ต่าง ๆ ที่ครอบงำใจเรา ถ้าใจเราเปิดให้อารมณ์ต่าง ๆ เข้ามาครองใจ เช่น ความโกรธ ความเศร้าเสียใจ ความหดหู่ ความอิจฉา ความน้อยเนื้อต่ำใจ เราก็ไม่มีความสุข สิ่งเหล่านี้คือตัวการที่ขโมยความสุขไปจากเรา ไม่ใช่คนอื่น ไม่ใช่ใครที่อยู่ข้างนอก
-
(ต่อ)
แต่ว่ายังไม่สายที่เราจะไล่ขโมยเหล่านี้ออกไปจากใจของเรา วิธีการก็คือทำใจของเราให้มั่นคง เข้มแข็ง ไม่เปิดให้อารมณ์ต่าง ๆ เข้ามาครอบงำได้ จะทำอย่างนั้นได้ก็ต้องปลูกสติขึ้นมารักษาใจ สติเปรียบเหมือนยามเฝ้าบ้าน เป็นผู้รักษาประตูเมือง บ้านหรือเมืองก็คือใจ สติจะเป็นยามรักษาใจไม่ให้ ขโมยหรือโจรผู้ร้ายเข้ามาก่อกวนจิตใจ หรือขโมยความสุขไปจากใจเรา ถ้าเรามีสติดีเราจะไม่ปล่อยใจไปตามอารมณ์ ทุกวันนี้เราทุกข์เพราะเราปล่อยใจไปตามอารมณ์ หรือปล่อยให้อารมณ์ต่าง ๆ เข้ามาครอบงำ ไม่รู้จักปล่อย ไม่รู้จักวาง หมกมุ่น ครุ่นคิดอยู่กับสิ่งต่าง ๆ จนเป็นทุกข์ แต่ถ้าเรามีสติเราก็จะรู้ตัวว่าตอนนี้อารมณ์เข้ามาครอบงำใจ หรือกำลังขโมยความสุขไปจากเรา สติช่วยให้เรารู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น เหมือนกับเจ้าของบ้านที่เห็นขโมยกำลังยุ่มย่ามอยู่ในบ้าน ขโมยนั้นพอรู้ว่าเจ้าของบ้านรู้ทัน มันก็จะหนีไปเอง ไม่ยอมอยู่ให้ถูกจับง่าย ๆ
การปฏิบัติธรรมก็คือการสร้างสติหรือธรรมะมารักษาใจ ซึ่งก็ช่วยทำให้เรามีความปกติสุขได้ เวลามีอะไรมากระทบหรือเวลามีเหตุร้ายเกิดขึ้น มันก็กระเทือนได้แต่ภายนอก อาจจะทำให้ทรัพย์สมบัติของหายไป แต่ก็ไม่ทำให้เราทุกข์ใจ อาจจะทำให้เราเจ็บป่วย แต่มันก็หยุดอยู่แค่กาย ไม่ทำให้ใจเป็นทุกข์ด้วย แม้จะมีคนตำหนิ ต่อว่า คำตำหนิต่อว่านั้นก็เป็นเพียงแค่เสียงที่มากระทบกับหู แต่ว่ามันไม่สามารถทิ่มแทงใจเราได้ ทั้งนี้เพราะว่าเรามีสติคอยเป็นยามรักษาใจของเรา การปฏิบัติธรรมก็คือการเสริมสร้างสติปัญญา รวมทั้งสมาธิและคุณสมบัติอื่น ๆ ในฝ่ายบวกให้เกิดขึ้นในใจเรา เพื่อที่เราจะสามารถมีความสุขได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่สุขกายเท่านั้น แต่สุขใจด้วย แม้ในยามที่กายทุกข์ แต่ว่าใจก็ยังเป็นสุข ในยามที่เจอความพลัดพรากสูญเสียใจก็ไม่หวั่นไหว เพราะรู้ว่ามันเป็นธรรมดา หรือเพราะรู้ว่าถ้าปล่อยใจให้ทุกข์ก็มีแต่จะซ้ำเติมตัวเอง เมื่อจะเสียก็เสียอย่างเดียว จะไม่ยอมเสียสองอย่าง เสียคนรักก็เสียแค่นั้น แต่ว่าใจไม่เสีย สุขภาพไม่เสีย ยังเป็นผู้เป็นคนอยู่ได้ ก็ทำให้เราอยู่ได้อย่างมีความสุข นี่คือสิ่งที่จำเป็นต้องมี
เราอย่าไปคิดว่าจะสามารถป้องกันไม่ให้เหตุร้ายเกิดขึ้นกับเราได้ในทุกเรื่อง บางคนมีความหวังอย่างนั้น พยายามทำบุญทำทาน เข้าวัดเป็นประจำ ด้วยความเชื่อว่าบุญนั้นจะช่วยปกป้องไม่ให้เกิดเหตุเภทภัยได้ ตอนนี้หลายคนก็ไปทำบุญเพราะหวังว่าจะไม่เกิดภัยพิบัติขึ้นในปีนี้เหมือนอย่างปีก่อน บุญนั้นช่วยได้ก็จริง แต่ก็ไม่สามารถที่จะป้องกันเหตุร้ายได้ ๑๐๐ เปอร์เซนต์ ขนาดคนที่มีบุญมากมายอย่างพระอรหันต์หลายท่านหรือแม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังต้องเจอกับเหตุร้าย แล้วเราเป็นแค่ปุถุชน ไม่ว่าเราจะทำบุญแค่ไหน บุญก็ไม่สามารถจะเป็นทำนบหรือกำแพงป้องกันเหตุร้ายได้ ๑๐๐ เปอร์เซนต์ มันก็คงมีที่ทะลักหรือเล็ดรอดเข้ามาถึงตัวเราบ้าง ตรงนี้แหละที่เราต้องอาศัยใจที่ฉลาดในการป้องกันไม่ให้ความทุกข์มาแผ้วพานหรือมาทำร้ายได้ ก็เหมือนกับการที่เราพยายามป้องกันน้ำท่วม ไม่ว่าจะป้องกันอย่างไรก็ต้องเผื่อใจไว้ว่ามันอาจจะล้นข้ามทำนบมาได้ แต่ไม่ว่ามันจะมาอย่างไรเราก็สามารถรับมือกับมันได้ เพราะว่าเราไม่ได้เตรียมแต่ตัวหรือเตรียมการป้องกันด้วยวัตถุเท่านั้น แต่เรายังป้องกันที่จิตใจของเราด้วย ถ้าเข้าใจตรงนี้ก็จะมีคำตอบว่าทำไมต้องมาปฏิบัติธรรม คนที่เข้าใจความจริงของชีวิตจะไม่ถามด้วยซ้ำว่าทำไมต้องปฏิบัติธรรม เพราะเขารู้ว่าอนาคตมันก็ไม่แน่
การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกับการเตรียมพร้อมอยู่เสมอ อย่างที่เขาพูดว่า “ยามสงบเราฝึก ยามศึกเรารบ” ไม่ใช่ว่าต่อเมื่อเกิดสงครามแล้วค่อยมาฝึกกัน ประเทศใดที่ทหารเริ่มมาฝึกซ้อมกันเมื่อเกิดสงครามแล้ว ประเทศนั้นก็คงถูกยึดครองหรือพ่ายแพ้ต่อศัตรูเป็นแน่ ทุกประเทศจึงต้องฝึกในยามสงบ ฝึกอย่างจริงจังเพื่อว่าพอเกิดสงครามจะได้รับมือกับมันได้ทันท่วงที ชีวิตของคนเราก็ต้องเจอกับสงครามเช่นกัน คือสงครามชีวิต ไม่มากก็น้อย ไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่ขณะที่ชีวิตยังสงบราบเรียบเราก็ต้องฝึกเอาไว้ก่อน
เราฝึกเพื่อพร้อมรับมือกับเหตุร้ายที่เข้ามาในชีวิต ไม่ใช่สู้กับใคร ไม่ได้สู้กับสิ่งภายนอก สิ่งสำคัญคือสู้กับสิ่งภายใน คือสู้กับกิเลส สู้กับความหลงที่คอยก่อความทุกข์ให้แก่ใจเรา
อย่างที่บอกไปแล้วว่าตัวขโมยความสุขที่แท้จริงนั้นไม่ได้อยู่ข้างนอก แต่อยู่ที่ใจของเรา เราต้องเข้าใจตรงนี้ให้ดี เห็นให้ชัด ศึกษาให้แจ่มแจ้ง แล้วเราก็จะรู้ว่ามันมีวิธีที่จะทำให้ใจของเราสามารถปลอดภัยไร้ปัญหาได้ ไม่ใช่ด้วยการหลบไปหาที่ปลอดภัย เหมือนกับที่ตอนนี้หลายคนกำลังเตรียมหาที่ปลอดภัยจากน้ำท่วมหรือภัยธรรมชาติ เช่น มาซื้อที่ที่แก้งคร้อ ชัยภูมิ เพื่อที่จะหนีภัยพิบัติ อาจเป็นเพราะว่าชื่อ “ชัยภูมิ” เป็นชื่อที่มีความหมายดี แต่ถึงแม้จะได้ที่ปลอดภัยก็อาจจะปลอดภัยแค่บางเรื่อง แต่ว่าอาจเจอภัยอย่างอื่นก็ได้ เช่นมาอยู่จังหวัดชัยภูมิ อาจไม่เจอน้ำท่วม ไม่เจอแผ่นดินไหว ไม่เจอคลื่นยกตัวสูง แต่ว่าก็ต้องเจอภัยอย่างอื่นอย่างแน่นอน
อาจจะไม่ใช่ภัยพิบัติแต่เป็นภัยธรรมชาติที่ทุกคนต้องเผชิญ นั่นคือความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากสูญเสีย สิ่งเหล่านี้ถ้าไม่มีธรรมะรักษาใจก็จะเกิดความโศก ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ หนีไม่พ้น แต่ถ้าเราปฏิบัติธรรมโดยมีพระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตร มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะอันประเสริฐก็จะหลุดพ้นจากความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจได้ หลุดพ้นอย่างไร หลุดพ้นที่ใจ แม้ว่าร่างกายจะเสื่อม แม้ว่าร่างกายจะป่วย แต่ใจไม่ป่วยด้วย อันนี้สำคัญมาก
:- https://visalo.org/article/komol5610.htm
-
เป็นมิตรกับตัวเอง
พระไพศาล วิสาโล
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "จิตที่ฝึกฝนไว้ผิด ย่อมก่อความเสียหาย ยิ่งกว่าศัตรูหรือคนจองเวรจะพึงกระทำให้กันเสียอีก” เวลาศัตรูห้ำหั่นทำลายกันนั้น ความวิบัติหรือความฉิบหายที่เกิดขึ้นก็ยังมากไม่เท่ากับจิตที่วางไว้ผิด แต่ในทางตรงข้าม จิตที่ฝึกไว้ดีนั้นสามารถก่อประโยชน์แก่เราอย่างมากมายมหาศาล ซึ่งแม้แต่พ่อแม่ คนรักหรือเพื่อนก็ไม่สามารถทำให้ได้ ไม่ว่าจะมีความปรารถนาดีต่อเราเพียงใดก็ตาม
ถึงแม้ว่าไม่มีอะไรที่น่ากลัวเท่ากับใจที่วางไว้ผิด แต่ใจนั้นฝึกได้ ฝึกให้เป็นมิตรแทนที่จะเป็นศัตรู แต่ใจจะเป็นมิตรกับเราได้ เราต้องเป็นมิตรกับใจเสียก่อน เป็นมิตรกับใจ ฟังดูเหมือนง่าย แต่คนส่วนใหญ่มักทำร้ายจิตใจของตัวเองโดยไม่รู้ตัว หรือปล่อยปละละเลย ทำให้จิตใจถูกทำร้ายด้วยกิเลส หรืออารมณ์ที่เป็นอกุศล เป็นเพราะเราปล่อยปละละเลยจิตใจ ปล่อยให้จิตใจถูกกระทำย่ำยีด้วยอารมณ์ต่างๆ ใจก็เลยย้อนกลับมาทำร้ายเรา กลายเป็นศัตรูกับเรา
ความทุกข์พื้นฐานของมนุษย์ เกิดจากการที่เราไม่สามารถเป็นมิตรกับตัวเองได้ ทนอยู่กับตัวเองไม่ได้ พยายามหนีออกจากตัวเอง ไปแสวงหาความสุขจากวัตถุสิ่งเสพ จากชื่อเสียง การยอมรับ ฐานะ ตำแหน่ง บริษัท บริวาร เพราะคิดหวังว่าสิ่งเหล่านั้นจะให้ความสุขแก่เราได้ แต่ถ้าคนเราเรียนรู้ที่จะเป็นมิตรกับตัวเอง ความสุขที่จะหล่อเลี้ยงใจก็หาได้ไม่ยาก ไม่ต้องไปแสวงหาความสุขจากที่ไหนมาหล่อเลี้ยงตน แค่อาศัยความสุขที่มีอยู่แล้วในใจ ซึ่งเกิดขึ้นได้จากการที่เรารู้จักเป็นมิตรกับตัวเอง
การเป็นมิตรกับตัวเอง หมายถึงการเป็นมิตรกับกายและใจ เพราะคนเราประกอบด้วยกายกับใจ เป็นมิตรกับกาย ก็มีความปรารถนาดีกับกายของตน เป็นมิตรกับใจ ก็มีความปรารถนาดีกับใจของตน พยายามดูแลรักษากายและใจให้ดี เรื่องกายเราใส่ใจมากอยู่แล้ว ถ้าหากไม่หลงใหลไปกับอบายมุข คนส่วนใหญ่ก็มักดูแลรักษากายให้มีความผาสุก แต่เรื่องใจกลับไม่ค่อยให้ความใส่ใจ
ในแต่ละวัน เราให้เวลากับกายมาก แต่ว่าให้เวลากับใจนิดเดียว เรามีเวลาหาอาหารมาเติมให้กายวันละสามมื้อ แต่อาหารใจเรากลับละเลย เราให้เวลาในการชำระร่างกายวันละหลายครั้ง แต่การชำระใจ เราทำบ้างหรือเปล่า เวลาของเราส่วนใหญ่หมดไปกับการทำงานเพื่อจะได้มีเงิน และเงินที่ได้มาส่วนใหญ่ก็ใช้ปรนเปรอร่างกาย ส่วนที่จะเป็นประโยชน์แก่จิตใจนั้นมีน้อยมาก เรามีเวลาสำหรับการพักกายมาก แต่เวลาพักใจไม่ค่อยมี
-
(ต่อ)
การหาโอกาสมาภาวนา นับเป็นการช่วยเหลือฟื้นฟูใจ ให้ใจได้พักผ่อน เป็นการให้อาหารหล่อเลี้ยงจิตใจให้เจริญงอกงาม ชำระจิตใจให้สะอาดผ่องใส ดังนั้นถ้าเรามอบสิ่งดีๆ ให้แก่จิตใจ ให้เวลาแก่จิตใจ พยายามเป็นมิตรกับใจ ใจก็จะกลับมาเป็นมิตรกับเรา ในยามที่ประสบทุกข์ทางกาย ใจก็จะคอยช่วยให้ไม่ทรมานมาก หรือช่วยทำให้ร่างกายดีขึ้น กายป่วยแต่ใจไม่ป่วย เมื่อใจสบายกายก็จะหายเร็วขึ้น ถึงแม้จะมีทุกขเวทนา ทุกขเวทนาก็ลดลงเมื่อใจสงบ มีสมาธิ
การฝึกฝนใจทำได้หลายวิธี เช่น การให้ทานเป็นการฝึกฝนใจให้รู้จักเสียสละ การรักษาศีลเป็นการฝึกฝนใจไม่ให้โลภะ โทสะ โมหะครอบงำ การภาวนาเป็นการฝึกฝนใจให้เห็นตามความเป็นจริง การเจริญสติปัฏฐาน ๔ เป็นการปฏิบัติเพื่อทำให้สติงอกงาม เมื่อมีสติ ใจก็ไม่หลงใหลไปตามแรงดึงดูดจากสิ่งภายนอก
สติในที่นี้หมายถึงสัมมาสติ ไม่ใช่สติที่ใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน เวลาเราไปไหนแล้วจำทางกลับบ้านได้ จำได้ว่าจอดรถไว้ตรงไหน บ้านเราอยู่ถนนอะไร กลับบ้านทางไหน สามารถกลับบ้านถูก อย่างนี้เรียกว่าเรามีสติระลึกได้ แต่เป็นความระลึกได้ในเรื่องนอกตัว
สิ่งที่เราต้องฝึกคือความระลึกได้ในเรื่องตัวเอง คือเรื่องกายและใจ เช่น กำลังทำงานอยู่แล้วเผลอคิดไปเรื่องนั้นเรื่องนี้ ขณะที่กำลังใจลอยอยู่ก็ระลึกได้ว่ากำลังทำงานอยู่ สติดึงจิตกลับมาอยู่กับงานที่กำลังทำ อย่างนี้เรียกว่าสัมมาสติ เวลามีความโกรธเกิดขึ้น ถ้าไม่มีสติ ใจก็จะถูกอารมณ์ครอบงำ หลุมอารมณ์สามารถดูดใจเราให้จมหายไปจนลืมตัว แต่ถ้าตั้งสติได้ สติก็จะดึงจิตออกมาจากความโกรธ สติช่วยให้เราไม่ลืมตัว หลงจมอยู่ในอารมณ์ ทำให้เรากลับมารู้สึกตัวเป็นปกติ และถ้าเรามีความรู้สึกตัวอย่างสม่ำเสมอ ก็จะเป็นทุกข์น้อยลง จิตสงบมากขึ้น
ขอให้เราพยายามเป็นมิตรกับใจของตัวเอง ไม่ว่าใจจะพยายามหนีออกจากตัวเองเพียงใดก็ตาม ก็เรียกเขากลับมา พยายามทนอยู่กับตัวเองให้ได้ ไม่นานก็จะเป็นมิตรกับใจ เมื่อเป็นมิตรกับใจของเราได้ ใจก็จะกลับมาเป็นมิตรกับเรา เมื่อมีใจเป็นมิตรแล้ว อยู่ที่ไหนก็มีความสุข อบอุ่น ปลอดภัย ไม่เหงา ไม่อ้างว้าง
:- https://visalo.org/article/5000s15.html
.. . . -
สุขง่าย ทุกข์ยาก
พระไพศาล วิสาโล
ธรรมชาติคนเราเวลามีความเจ็บปวดก็จะพยายามผลัก พยายามปฏิเสธ พยายามดิ้น สังเกตนะเวลากายร้อน เวลากายเหนื่อย เวลากายปวด กายจะผลักไสความเจ็บปวดออกไป แต่มันไม่ยอมไป สิ่งใดที่ไม่ยอมไปไปเราจะทำอย่างไร เราก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ คนเราต้องอยู่กับความผิดหวัง ความไม่สมหวัง อยู่กับความทุกข์ อยู่กับความเจ็บปวดให้ได้ วันนี้อาจจะไม่เจอแต่พรุ่งนี้อาจจะเจอ อย่างน้อยต้องมีสักครั้งหนึ่งในชีวิตที่ต้องเจอ ถ้าไม่เจอตอนเป็นหนุ่มเป็นสาวก็เจอตอนแก่
หลายคนรักษาตัวให้มีสุขภาพดีมาตลอดแต่สุดท้ายเป็นมะเร็ง เป็นมะเร็งเราก็รู้อยู่แล้วว่ามันปวดมาก ยามักเอาไม่อยู่ แม้จะไปฉีดยา ไปทำเคมีบำบัด หรือฉายแสงก็ยังปวด หลายคนตายไปด้วยความทุกข์ทรมานเพราะความปวด ไม่ว่ารวยแค่ไหนเป็นเศรษฐีพันล้านหรือร้อยล้าน เงินทั้งหมดทั้งหลายทั้งปวงที่มีไม่ได้ช่วยเราเลย แต่สิ่งที่จะช่วยเราได้ก็คือใจ ใจที่ไม่ใช่อดทนเท่านั้นนะ แต่ใจต้องมีสติด้วย ใจที่มีสติจะทำให้เราอยู่กับความเจ็บปวดได้ ทำอย่างไรเราถึงจะอยู่กับความเจ็บปวดได้อย่างสงบ สันติ ต่างตนต่างอยู่ ความเจ็บปวดก็อยู่ไปแต่ใจไม่ทุกข์ ให้มันรบกวนแต่ร่างกาย ส่วนใจเราสงบเป็นปกติ นี่คืออานิสงส์ของการฝึกจิต เราไม่ได้เดินกลางแดด เดินเท้าเปล่า เพื่อฝึกความอดทนเท่านั้น แต่ฝึกเพื่อให้ใจเป็นอิสระจากความทุกข์ทางกายได้ แล้วใจก็จะเบา
มีบางคนเป็นมะเร็งลำไส้แล้วปวดมากจนยาก็เอาไม่อยู่ แต่ว่าพอตั้งสติได้ เขาเล่าว่า สติดึงจิตมาอยู่ที่หัวไหล่แล้วมาดูกาย กายปวดแต่ใจไม่ปวดเลย สงบมาก แต่พอเผลอสติใจก็ไปรวมเข้ากับกาย จะรู้สึกปวดสุดๆ เลย ต้องตั้งสติใหม่ดึงจิตออกมาดูกาย ความปวดยังอยู่ ไม่ได้หายไปไหน แต่ใจไม่เป็นทุกข์แล้ว
เราอยากทำได้แบบนี้ไหม ถ้าอยากทำได้แบบนี้ก็ต้องฝึก แล้วจะฝึกอย่างไรก็ต้องฝึกจากชีวิต จากประสบการณ์จริงๆ การฝึกมันทำได้หลายแบบ การมาเดินให้แดดเผา เดินให้กรวดทิ่มแทงเท้า ก็เป็นการฝึกอีกแบบหนึ่ง แต่ไม่จำเป็นต้องฝึกแบบนี้ก็ได้ แต่ว่าควรจะฝึก ไหนๆ มาถึงนี่แล้ว แทนที่จะเดินด้วยความทุกข์ทั้งกายและใจ ก็ควรเดินด้วยใจที่ทุกข์น้อยที่สุด
แล้วจะทำอย่างไร ก็ต้องฝึก อาตมาถึงได้แนะว่า เวลาเดินให้เดินอย่างมีสติ พยายามพูดคุยกันให้น้อย การพูดการคุยมันช่วยให้เจ็บน้อยลงก็จริง แต่ช่วยได้ไม่มาก คุยกันนานๆ ก็เหนื่อย แถมยังสร้างความทุกข์ให้คนข้างๆ บางคนอุตส่าห์มาเดินถึงนี่ ก็ยังมาเดินคุยกัน มันได้แค่ความอดทนแต่อย่างอื่นไม่ได้เลย นับว่าเสียดายโอกาสเพราะว่าเราไม่ได้ถูกบังคับให้มาเดิน เมื่อมาเดินทั้งทีก็ควรใช้โอกาสนี้ฝึกใจของเราให้มีสติ ถ้าใจเรามีสติแล้วก็จะได้ประโยชน์คุ้มค่า แต่ถ้าเดินแล้วคุยกันเรื่องหนัง เรื่องการเมือง มันได้ประโยชน์น้อย แถมยังไปรบกวนคนอื่นที่ต้องการความสงบด้วย แต่ถ้าเดินอย่างมีสติจริงๆ แม้คนรอบข้างจะคุยกัน เราก็ใจสงบได้ อย่างที่พูดเมื่อวานว่า ใจก็สงบได้แม้ว่าคนจะคุยกันเพราะเราไม่เอาเสียงเหล่านี้มาเป็นเครื่องกวนอารมณ์
ถ้าเราเดินไปได้เรื่อยๆ แม้บางคนอาจจะยังฝึกไม่ถึงขั้นที่อาตมาว่า แต่สิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้นกับเราคือ ทำให้เราเป็นคนสุขง่ายและทุกข์ยาก คนเดี๋ยวนี้มักจะสุขยากแต่ทุกข์ง่าย ทั้งๆ ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อยู่ที่บ้านมีโทรทัศน์ มีโทรศัพท์มือถือ มีพัดลม มีแอร์ มีอาหารอร่อยๆ กิน แต่ว่าทุกข์ อยู่ที่บ้านไม่ได้ รู้สึกกระสับกระส่าย ต้องออกไปเที่ยวห้าง บางคนอยู่ว่างๆ ไม่เป็น ต้องโทรศัพท์หาเพื่อนคุยเป็นชั่วโมงสองชั่วโมง อาการอยู่เฉยไม่ได้นี้เป็นสิ่งบ่งบอกถึงความทุกข์ใจ คนเราถ้ามีความสุขจะนิ่งได้ ถ้าอยู่เฉยไม่ได้แสดงว่าทุกข์ เสาร์อาทิตย์ก็อยู่นิ่งๆ ไม่เป็น ต้องไปเที่ยวห้าง ต้องไปทำโน่นทำนี่ อันนี้เขาเรียกว่าทุกข์ง่าย สุขยาก
แต่เมื่อมาที่นี่ หลายคนบอกว่ามีความสุขง่ายขึ้น เวลาเดินแค่มีลมพัดมาเบาๆ หรือได้พักใต้เงาไม้ก็มีความสุขแล้ว กำลังเหนื่อยๆ ได้กินน้ำ น้ำเปล่า ๆ ไม่ต้องแช่น้ำแข็ง ไม่ต้องเป็นน้ำอัดลมก็มีความสุขแล้ว ถ้าเป็นแต่ก่อนต้องกินน้ำอัดลม ต้องกินไอศกรีมฮาเก้นดาส แต่ว่าที่นี่เพียงแค่ได้กินน้ำเปล่าดับกระหายก็มีความสุขแล้ว ความสุขหาได้ง่ายเพราะไม่ต้องใช้เงินเลย ได้กินน้ำฝน น้ำประปา ไม่ต้องใส่น้ำแข็ง ได้นอนกลางดินก็หลับได้ ไม่จำเป็นต้องนอนบนเตียงในห้องที่หรูหรา หลายๆ คนได้นอนบนเตียงราคาแพงในห้องที่หรูหราก็ยังไม่หลับ แต่มาที่นี่นอนในเต๊นท์กลับหลับได้สบาย ความสุขนั้นหาได้ง่ายมาก สังเกตหรือเปล่าว่า เราไม่มีโทรศัพท์มือถือ เราไม่ได้ดูโทรทัศน์ คืนนี้เป็นคืนที่ ๔ ก็ยังอยู่ได้ ไม่ตาย ไม่มีวีดีโอเกมส์ให้เล่น ไม่มีคอมพิวเตอร์ให้แชทก็ยังอยู่ได้ ขณะที่อยู่ในเมืองถ้าไม่มีอินเตอร์เน็ท ไม่มีโทรศัพท์มือถือจะตายให้ได้ เคยมีการสอบถามคนในเมือง โดยเฉพาะวัยรุ่นว่าอะไรเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิต มากกว่าครึ่งตอบว่าโทรศัพท์มือถือ ไม่รู้ว่ารวมถึงพวกเราด้วยหรือเปล่า แต่เห็นไหมว่าถึงแม้ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เราก็ยังอยู่ได้และอยู่ได้สบายด้วย
-
(ต่อ)
ลองไตร่ตรองดูว่าสิ่งของเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นที่ชีวิตต้องการจริงๆ หรือเปล่า หลายคนบอกว่าโทรศัพท์มือถือเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิต แต่มาอยู่ที่นี่จะรู้เลยว่า ถึงไม่มีมันเราก็อยู่ได้ อยู่ที่นี่ไม่ต้องมีอะไรมาก แค่ได้พักใต้ร่มไม้ก็มีความสุขแล้ว มีข้าวกิน แม้ข้าวไม่อร่อย ก็ยังมีความสุขได้ มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอายุ ๑๓ ปี เขาอยากเป็นนักแสดง ก็เลยไปสมัครเข้าค่ายละคร พอไปเห็นค่ายก็รู้สึกผิดหวังมาก เพราะมันอยู่กลางทุ่งเป็นค่ายเหมือนที่เรากางเต็นท์แบบนี้ ที่แย่กว่านั้นคือไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ก็ไม่มีให้ดู รู้สึกผิดหวังมากเพราะฝันไว้อีกแบบหนึ่ง แต่พอเข้าค่ายละครได้สี่ห้าวัน ได้แสดงละครได้เข้ากลุ่มพูดคุยกันในเรื่องการกำกับละคร การเขียนบท เธอก็ลืมความทุกข์ไปเลย ถึงวันสุดท้ายเธอบอกว่ามีความสุขมาก แล้วก็ฉุกคิดขึ้นมาว่าวันแรกเธอมีความทุกข์มากเพราะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ความสะดวกก็ไม่มี ห้องน้ำก็ลำบาก แต่ทำไมพอถึงวันที่ ๕ กลับมีความสุข ทำไมถึงมีความสุข ก็เพราะได้ทำสิ่งที่ชอบ เธอเห็นเลยว่าความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีสิ่งของสิ่งอำนวยความสะดวก ความสุขมันอยู่ที่ใจ อยู่ที่การทำสิ่งดีๆ ที่มีค่าที่น่าภาคภูมิใจ คนเราถ้าเห็นความจริงอย่างนี้จะเป็นคนสุขง่าย ทุกข์ยาก
ทุกข์ยากหมายความว่าเป็นคนที่ไม่ทุกข์ง่ายๆ อยู่ที่นี่ถ้ากินกล้วยใบหนึ่งแล้วรู้สึกอร่อย กินข้าวกับน้ำพริกก็อร่อย อันนี้เรียกว่าสุขง่าย ถ้าสุขง่ายแบบนี้ความทุกข์จะเกิดขึ้นได้ยาก เราอยากจะเป็นไหมคนสุขง่าย ทุกข์ยาก หลายคนบอกว่ามาลำบากทำไม ประการแรกก็เพื่อให้เรารู้ว่าคนเราสามารถมีความสุขโดยไม่มีสิ่งมาอำนวยความสะดวกก็ได้ ของแบบนี้ถ้าไม่ได้ปฏิบัติเองก็ไม่รู้ คิดเอาเองก็ไม่รู้นะ ประการที่สอง ก็เพื่อให้เราหันมาชื่นชมสิ่งที่เรามีอยู่ที่บ้าน หลายคนตอนอยู่บ้านมักมีเรื่องบ่นอยู่เรื่อย อาหารทานไม่อร่อย ที่นอนก็ไม่ค่อยดี ห้องนอนเล็ก ห้องน้ำไม่หรู แต่มาพออยู่อย่างนี้หลายคนจะคิดถึงบ้านและได้รู้ว่าบ้านนั้นคือสวรรค์ ถ้าไม่มาลำบากอย่างนี้ก็ไม่รู้นะว่าสิ่งที่เราเคยมี หรือกำลังมีอยู่นั้นมีค่ามากเพียงใด
คนเราถ้าไม่เคยพลัดพรากจากสิ่งที่เคยมีจะไม่เห็นคุณค่าของสิ่งนั้น คนที่มีมือมีเท้าจะไม่รู้สึกเลยว่ามือเท้านั้นสำคัญเพียงใด จนกว่ามือหรือเท้าจะมีอันเป็นไป เช่น พิการหรือยกแขนไม่ขึ้น เคยเป็นไหมยกแขนไม่ขึ้น แล้วจะรู้เลยว่าการมีมือปกติที่เคลื่อนไหวไปมาปกตินั้นเป็นความสุขอย่างหนึ่งที่มีค่ามาก แต่ก่อนเราไม่รู้สึกเลยว่ารองเท้าธรรมดานั้นมีค่าเพียงใด เราอยากได้รองเท้าสวยๆ ราคาแพงๆ ได้อย่างไร ยี่ห้อธรรมดาไม่เอาจะเอายี่ห้อที่แพงกว่านั้น แต่มาอยู่ที่นี่เพียงคุณมีรองเท้าแตะคู่หนึ่งคุณก็มีความสุขแล้ว ไม่เชื่อก็ลองถอดรองเท้าดู รองเท้าแตะราคา ๑๐ บาท ๑๕ บาทก็ทำให้มีความสุขได้
คนเราถ้าไม่ขาด ไม่สูญเสีย หรือไม่พลัดพรากห่างไกลจากสิ่งที่เคยมีเราจะไม่รู้เลยว่าสิ่งนั้นมีคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของหรือบุคคล คนที่มีพ่อแม่จะค่อยไม่รู้สึกเลยว่าการที่ได้อยู่กับพ่อแม่ หรือพ่อแม่ยังอยู่กับเรานั้นมีความหมายเพียงใด พอไกลจากท่านหรือท่านเสียชีวิตไปจึงค่อยได้คิดว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่เรามีความสุขที่สุดในชีวิต แต่ตอนนั้นไม่รู้สึกนะว่าเป็นช่วงที่มีความสุขเพราะใจอยากได้อย่างอื่นที่ไม่เคยมี คนเรามักจะแสวงหาสิ่งที่ไม่มี เราคิดว่าถ้าเราได้มันมาเราจะมีความสุข แต่เราลืมมองไปว่าสิ่งที่เรามีอยู่กับตัวตอนนี้ให้ความสุขกับเราแล้ว ไม่ต้องแสวงหาความสุขจากที่ไหนอีก
การที่เรามาลำบากอย่างนี้ อย่างน้อยๆ มันทำให้เราได้เห็นว่าบ้านเอย หอพักเอย เป็นที่ ๆ ให้ความสุขแก่เรา ไม่ต้องดิ้นรนเรียกร้องแสวงหาอะไรมากกว่านี้ก็ได้ เป็นเพราะเราไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามี เราถึงอยากได้โน่นอยากได้นี่ มีโทรศัพท์มือถือแล้ว ก็ไม่พอใจอยากได้รุ่นใหม่ อยากได้รุ่นที่มีลูกเล่นมากกว่านี้ แต่พอโทรศัพท์หายถึงค่อยรู้ว่ามันมีค่า เราอย่ามาคอยให้มันหายหรือสูญเสียมันไปก่อนแล้วค่อยเห็นคุณค่า ต้องรู้จักชื่นชมมันเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ตั้งแต่มันยังอยู่กับเรา
:- https://visalo.org/article/komol255503.htm
-
บ่มเพาะความรู้ กล่อมเกลาความรู้สึก
พระไพศาล วิสาโล
อะไรทำให้ผู้คนยังติดในกามสุขทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันเป็นโทษ ก็เพราะใจเขายังไม่เคยได้เสพหรือได้สัมผัสกับความสุขที่มันประณีต คนเรานั้นต้องการความสุขหล่อเลี้ยงใจ ถ้าขาดความสุข โหยหาความสุข อะไรอยู่ข้างหน้าก็คว้าทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นความสุขที่หยาบหรือประณีต อะไรอยู่ใกล้ก็ขอเสพก่อน
พระพุทธเจ้าทรงอุปมาว่า เหมือนกับคนที่เดินมากลางแดด อากาศร้อนคอแห้งหิวกระหายมาก ถ้าหากเจอน้ำเต็มแก้ว มีสีสดใส แม้จะมีคนบอกว่าน้ำนี้มีพิษกินแล้วทำให้ตายได้ คนที่หิวกระหายไม่ได้กินน้ำมา 2-3 วันแล้ว เขาจะฟังหรือไม่ เขาจะปฏิเสธน้ำแก้วนี้หรือไม่ ถึงอย่างไรเขาก็จะยังกินน้ำแก้วนั้นอยู่ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันอันตราย ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเขากระหายน้ำมาก ยังไงก็ขอดับกระหายก่อน ส่วนจะเป็นอันตรายอย่างไรค่อยว่ากันทีหลัง แต่ตอนนี้ฉันหิวมาก ความรู้สึกหิวมันมีพลัง มันไม่ยอมทำตามความรู้ ความรู้บอกว่าอย่ากินๆ แต่ความรู้สึกบอกว่าไม่ไหว หิวน้ำเหลือเกิน ถึงอย่างไรก็ต้องกินแล้ว พระพุทธเจ้าทรงอุปมาเรื่องนี้เพื่อชี้ว่า คนเราเข้าหากามก็เพราะโหยหาความสุข แม้จะรู้ว่ากามนี้มีโทษ แต่ถ้าใจยังโหยหาความสุข ก็ต้องเข้าหากามอยู่นั่นเอง ทำนองเดียวกันแม้พระจะสอนว่า บุหรี่หรือเหล้ามีโทษ แต่ตราบใดที่เขายังไม่พบหรือไม่สามารถจะหาความสุขอย่างอื่นได้ เขาก็ต้องพึ่งความสุขจากอบายมุขเหล่านี้
ย้อนกลับไปที่คนเดินกลางแดดที่กำลังหิวน้ำ ถ้าเกิดมีน้ำอยู่ 2 แก้ว แก้วหนึ่งน้ำสีสวยรสอร่อยแต่เจือยาพิษ อีกแก้วหนึ่งเป็นน้ำฝนน้ำบริสุทธิ์ ไม่มีสี ไม่มีรส แต่ว่าไม่อันตราย ถ้ามีน้ำอยู่ ๒ แก้ววางใกล้ ๆ กัน ก็เป็นไปได้ว่าคนที่หิวกระหายจะเลือกกินน้ำแก้วที่ 2 แต่ถ้าไม่มีแก้วที่ 2 ให้เห็นเลย ก็ยากที่จะปฏิเสธน้ำแก้วเดียวที่มีอยู่แม้จะอันตรายก็ตาม ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า คนเราไม่อาจละกามสุขได้ จนกว่าได้สัมผัสหรือเข้าถึงความสุขที่ประณีตกว่า เป็นความสุขที่ไม่ต้องพึ่งกามหรือเป็นความสุขที่เว้นจากกาม เรียกว่า เนกขัมมสุข
นี้ก็หมายความว่าเพียงแค่ความรู้อย่างเดียวไม่พอ ต้องอาศัยความรู้สึกด้วย คือการได้เสพได้สัมผัสกับความสุขที่ประณีตแล้วรู้สึกได้ชัดเลยว่า มันประเสริฐกว่ากามสุขเยอะเลย อันนี้พระองค์พูดจากประสบการณ์ของตัวเอง เพราะพระองค์เคยตรัสว่า เมื่อครั้งที่ยังเป็นพระโพธิสัตว์หรือยังไม่ทันตรัสรู้ แม้พระองค์จะเห็นประโยชน์ของความสงบ เห็นประโยชน์ของเนกขัมมะ คือความปลอดจากกาม แต่ว่าใจยังไม่น้อมตาม ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งมั่นในเนกขัมมะ นั่นเป็นเพราะว่ายังไม่เห็นโทษของกามสุข อีกทั้งยังไม่ได้สัมผัสกับอานิสงส์ของเนกขัมมะ คือยังเข้าไม่ถึงเนกขัมมสุขนั่นเอง
ที่ตรัสเช่นนี้หมายความว่า การเห็นประโยชน์ของเนกขัมมะนั้นตราบใดยังเป็นแค่ความรู้ เป็นแค่ความคิด แต่ถ้าใจยังไม่สัมผัสกับความสุขจากภาวะที่ปลอดกาม ก็เป็นไปได้ยากที่ใจจะโน้มหาเนกขัมมะอย่างแท้จริง เพราะความรู้สึกยังไม่ไปด้วย ที่พระองค์ตรัสว่า ใจยังไม่แล่นไป ใจยังไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งมั่น ก็แสดงว่าความรู้สึกยังไม่ได้ไปในทางเดียวกับความรู้ เพราะยังไม่เจ็บปวด ยังไม่เจอความเจ็บแสบของกามสุข แล้วก็ยังไม่ได้สัมผัสกับรสชาติของเนกขัมมสุข ต่อเมื่อพระองค์ได้สัมผัสกับรสชาติของเนกขัมมสุข แล้วก็ได้เห็นโทษของกามสุขจริงๆ เห็นโทษในที่นี้หมายถึงเจอความเจ็บปวดหรือเป็นทุกข์ด้วยตัวเอง ไม่ใช่แค่คิดเอา เมื่อนั้นแหละใจก็เลื่อมใส ตั้งมั่นในเนกขัมมะ นั่นก็คือความรู้กับความรู้สึกไปในทางเดียวกันแล้ว
ในการปฏิบัติธรรม ในการดำเนินชีวิตพรหมจรรย์ หรือว่าในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐในทางพระพุทธศาสนา ความรู้อย่างเดียวยังไม่พอ คือรู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี รู้ว่าสติสัมปชัญญะนี้ดี รู้ว่าสมาธิภาวนานี้ดี รู้ว่ากามเป็นโทษ แต่ถ้าใจยังไม่สัมผัสกับความสุขที่ประณีตจริงๆ รวมทั้งไม่ได้เจอโทษของกามสุข ยังไม่สัมผัสกับความทุกข์จากกามสุขจริงๆ ก็ยากที่จะประคองชีวิตพรหมจรรย์ไปได้อย่างต่อเนื่อง ใจก็ยังหวนหารสชาติเอร็ดอร่อยของกามสุขอยู่นั่นเอง หรือว่าอาจจะรู้แต่ไม่กระตือรือร้นที่จะทำอะไรเพื่อที่จะฝึกหัดขัดเกลาตัวเอง
หน้า 34 ของ 49