บทสวดรักษาโรคมะเร็ง :พระพุทธาจารย์เหลียนเซิน หลู่เซิ่งเยี่ยน

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย bluebaby2, 1 มีนาคม 2012.

  1. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,289
    องค์พระโพธิสัตว์กวนซื่ออิมตรัส<wbr>อีกว่า

    "ตอนที่เราอยู่ในวัดต้าเหลยอินซื่อ (วัดมหาฟ้าคำราม) พระพุทธเจ้าศากยมุนีได้สั่งไว้ว่าถ้าพบท่านให้ถ่ายทอดคาถาบทหนึ่งให้กู้ฉวน คาถานี้จะช่วยชำระเวรกรรมของกู้<wbr>ฉวนให้สะอาด มีกายใจที่สงบสุข แล้วโรคมะเร็งก็จะหายไป"

    "คาถาอะไรหรือ"

    องค์พระโพธิสัตว์กวนซื่ออิมจึงต<wbr>รัสคาถาดังนี้

    ตันจิทา เอ๋อลันตี เอ๋อลันหมี่ ซื่อลี่ปิ ซื่อหลี่ซื่อหลี่ มอเจสื้อจื่อ ซันปาลาตู โซหะ


    เมื่ออาตมาท่องจำคาถานี้ได้ จึงพนมมือน้อมส่งองค์พระ
    โพธิสัตว์กวนซื่ออิม แล้วพระโพธิสัตว์กวนซื่ออิมก็ทรงเหยียบ
    เมฆมงคล ลอยหายขึ้นบนท้องฟ้า


    อาตมานำคาถาบทนี้มาถ่ายทอดให้แก่กู้ฉวน กู้ฉวนก็ท่องคาถา
    บทนี้ทั้งวันทั้งคืน แบบวิริยะอุตสาหะยิ่งนัก


    พอ 2 เดือนต่อมากู้ฉวนไปตรวจที่โรงพยาบาล ก็พบว่ามะเร็งใน
    กระเพราะได้หายไปอบ่างน่ามหัศจรรย์ ตรวจเชื้อโรคมะเร็งก็
    พบว่าเป็นศูนย์ กู้ฉวนจึงกลับมาเป็นคนปกติดีอีกครั้ง


    กู้ฉวนหัวเราะเสียงดังด้วยความดีอกดีใจ อาตมาก็แสดงความ
    ยินดีด้วย
     
  2. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,918
    อนุโมทนาสาธุ กับเจ้าของกระทู้ด้วยครับ

    ขอมาแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งด้วยครับ สำหรับผู้ที่เป็นหรือมีญาติพี่น้องที่เป็นอยู่ ถ้าอยากมีชีวิตสู้ต่อไปนานๆทำแบบที่ผมบอก รับรองอยู่ได้อีกนาน
    ๑.ให้ทำใจ แต่อย่าให้ท้อใจ
    ๒.ชีวิตที่เหลืออยู่มุ่งทำแต่ความดี ไหว้พระ สวดมนต์ ทำบุญ ทำทาน
    ๓.ไถ่ชีวิตสัตว์เป็นประจำ
    ๔.หลีกเลี่ยงอาหารพวกเนื้อสัตว์ ถ้าไมได้ก็ให้งดวันพระใหญ่ๆหรือวันสำคัญก็ยังดี
    ๕.ออกกำลังกาย สม่ำเสมอ
    ๖.ทำอารมณ์ให้จิตใจแจ่มใส อารมณ์ดี

    รับรองเพียงเท่านี้ ก็อยู่จนถึงอายุขัยย์ของผู้ที่เป็น เพราะว่าผมมีตัวอย่างให้เห็นทั้งยายและเพื่อนของผมเอง ตอนนี้ยายก็อายุ ๗๒ ปีแล้ว ท่านเป็นตั้งแต่อายุ ๓o ปลายๆ เพราะว่ายายเค้าไม่กลัว ชอบทำบุญ ออกกำลังกาย อารมณ์ดี ล่าสุดเป็นโรคไตอีก หมอบอกว่า ยายไม่กลัวตายหรือยังไง ถึงไม่เลิกกินเค็มนี่ ยายบอกว่า "ตายให้มันตายไปเหอะ ยายไม่กลัว" คนมีกำลังใจดีนี่ ขนาดโรคยังเอาไม่อยู่เลย ส่วนเพื่อนผมก็ป่วยเป็นมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่ ตอนนั้นผอมเหลือแต่กระดูก ตอนนี้กลับมาสวย หุ่นดี กว่าตอนที่ผ่านๆมาอีก เพราะชอบไปทำบุญ ไหว้พระตามที่ต่างๆ ปล่อยนกปล่อยปลา ไถ่ชีวิตโคกระบือ ช่วยเหลือคน ผิดกับตอนก่อนที่เป็น ก่อนเป็นกินเหล้า สนุกสนานไปวันๆ ผลตรวจออกมา มะเร็งหยุดทำงานไปแล้ว ทุกอย่างอยู่ที่กำลังใจของผู้ป่วย ขอให้สู้และหมั่นทำความดี เรื่องที่ผ่านมาให้มันจบไป ที่เหลืออยู่เพื่อทำความดีไม่ว่าจะเป็นทางด้านศาสนาหรือสังคม เชื้อร้ายเค้าก็ให้อภัยได้

    ขออนุโมทนา สาธุกับทุกๆท่านด้วย เทอญ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  3. chibasusumu

    chibasusumu สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +169
    ใส่ร้ายป้ายสี

    บทที่6
    ใส่ร้ายป้ายสี
    ชีวิตของอาตมาในชาตินี้ พบเจอแต่เรื่องที่แปลกเสมอ ตอนอายุ 26 ปี จิตวิญญาณของอาตมาได้ท่องเที่ยวไปภพภูมิแห่งนิมิต เบื้องบนเดินทางไปถึงสรวงสวรรค์ เบื้องล่างไปถึงปรโลก ไปเห็นความเป็นมาในชาติก่อนๆ ของตนเอง จึงเขียนหนังสือชื่อ หลินจีเสินซ้วนมั่นถัน (กล่าวถึงการทำนายแบบทิพยญาณโดยกลไกวิญญาณ) จนมีชื่อเสียงโด่งดัง จากนั้นก็มีแต่ผู้ถูกใส่ร้ายป้ายสี และถูกโจมตี
    อาตมาเคยนึกว่า ถ้าไม่ท่องไปในภพภูมิแห่งนิมิต ก็จะไม่สามารถออกมาเผยแพร่หลักธรรม โปรดกู้สรรพสัตว์ได้ และอาตมาเองก็เป็นเพียงผู้สำรวจ คนหนึ่งเท่านั้น
    หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ อาตมาคงได้แต่เชื่อถือ ศาสนาคริสต์ เขียนบทความ แต่งงานมีลูก แก่ตายอยู่แค่นี้ และชีวิตคงจืดชืดไปหมด เหมือนชาวโลกธรรมดา คนหนึ่ง ไม่มีคลื่นลมอุปสรรค อยู่แบบเรียบง่ายไปจนตลอดชีวิต ไม่รู้เกิดมาจากไหน ไม่รู้ว่าตายเพราะเหตุใด
    แต่ว่า เมื่อได้เปิดตาทิพย์แล้ว อาตมาก็มองเห็นสวรรค์ นรก รู้ถึงผลกรรมของชาติก่อนๆ มีความสามารถพิเศษอย่างอัศจรรย์ จนอาจารย์ด้านทิพย์มาสอนวิชาทางพุทธะให้
    อาตมาได้มรรคผล ไร้ซึ่งกรรมทั้งปวง สำเร็จพุทธเซียนทอง อยู่เหนือฟ้า หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
    ผู้ได้มรรคผลไฉนเลยจะประมาท การสอนธรรมะจะต้องศรัทธา ฉะนั้นจะต้องเลือกที่จะเปิดเผย
    แม้นมีทองคำหมื่นชั่ง ก็ไม่สามารถถ่ายทอดให้ง่ายๆ อาตมาของบอกสักนิดให้คนรุ่นหลังได้รับทราบ
    เนื่องจากอาตมาได้สำเร็จ พระพุทธแท้ ธรรมภูมิทั้งสิบทิศ ล้วนสื่อสารได้ และออกมาเผยแพร่ธรรมะ เพื่อโปรดสรรพสัตว์เป็นธรรมดาที่ถูกใส่ร้ายป้ายสีในโลกธุลีไพศาลนี้
    ต่อมาได้มีบทวิจารณ์ พระอาจารย์หลู ของนิตยสาร ผูถีสู่ (ต้นโพธิ์) และมีผู้ในนามปากกาว่า เยี่ยเฉ่าซันหริน (ชาวเขาในก่อหญ้า) ออกหนังสือ 2 เล่มมาด่าทอ
    เล่มแรกคือ หลู่เซิ่งเยี่ยนเป็นผู้กล่าวเท็จ (เป็นปีศาจหลอกชาวบ้าน) อีกเล่มคือ หลูเซิ่งเยี่ยน เป็นภูตผีปีศาจ
    หนังสือพิมพ์ นิตยสาร สื่อสิ่งพิมพ์ มากมายล้วนใส่ร้ายป้ายสีอาตมา มีตัวอย่างมากมายจนมาอ้างไม่หมด อาตมาได้ถูกบูรพาจารย์ทางศาสนาตัดสินและวิจารณ์ว่า
    มหามารฟ้า
    มหานอกรีด
    นักต้มตุ๋น
    ตัวตลก
    หลอกทรัพย์
    ลวงหญิง
    โรคจิต
    มโนจิตฟั่นเฟือนอยู่ในฝัน
    มารศาสนา
    ฯลฯ
    ชื่อเหล่านี้ล้วนทิ่มแทงใจของอาตมา หลายปีมานี้มีหนังสือ อีก 2 เล่มออกสู่ท้องตลาด คือ ฉันดิ้นหลุดออกจากนิกาย เจินฝอจง (พุทธแท้) ได้อย่างไร ส่วนอีกเล่มคือ ฉันรักอาจารย์ของฉัน ยังมีอีกมากมาย
    อาตมาเองรู้สึกว่า ชีวิตทั้งชีวิตที่อยู่บนโลกนี้ มีพวกใส่ร้ายป้ายสี รวมกันตัวกันสูงชันดุจขุนเขา ลึกสุดใต้พื้นมหาสมุทรนาที
    พูดแบบประชดก็ต้องบอกว่า.... ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง
    การดูถูกเหยียดหยามเหล่านี้ ส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากการกล่าวเท็จทั้งนั้น แน่นอนว่า ยังมีบางส่วน บางกลุ่มที่ได้จงใจวางแผน แล้วมาใส่ร้ายป้ายสี กล่าวฟ้อง ตัวอาตมา ยังมีที่ลูกศิษย์นิกายเจินฝอจง ของเราเองที่ไม่ได้รับผลประโยชน์ เช่น หนูตกถังข้าวสารออกมาทำร้ายอาจารย์ของตัวเอง ตัวอย่างเหมือน พระเทวทัตทำร้ายพระพุทธเจ้าศากยมันี ยูดาส์ทำร้ายพระเยซู แต่ว่าการใส่ป้ายสี เหล่านี้สำหรับตัวอาตมา ไม่กระเทือนแน่นอน
    เพียงแต่พูดไม่ออก อมเลือดไม่คิดว่าชาวโลกที่ไม่รู้แจ้งชัด เมฆฝนแห่งธรรมโปรยปรายลงแล้ว คนยากแท้ดูดซึมซับหลักธรรมคำสั่งสอน ทุกสิ่งล้วนผูกพันกันนั้นไม่มี
    พุทธะค้ำจุน ยืนยงคงอยู่บนแผ่นฟ้า ลงสู่พื้นปฐพีทั่วหล้า ไม่หมกมุ่น รวมจิตเป็นหนึ่ง ข้ามพ้นถึงฝังวิมุตติธรรม ไร้รูป ไร้ลักษณ์ ไร้ลักษณะ ไม่อาจกล่าวขานได้ ไร้อักษร ไร้นามแลรูป จุดรวมแสงเรืองรอง แจ้งชัดอย่างฉับไว
    อาตมาเพียงอุทานที่พวกเขาได้พลาดโอกาสอันดี จะได้พบกับผู้มีบุญ ณ แห่งใดแห่งหนึ่ง อาตมาย่อมรู้ว่า การใส่ร้ายป้ายสีไม่สามารถทำร้ายอาตมาได้ เพราะดวงจิตของอาตมา มีพุทธะ มีองค์ตถาคต
    อาตมาคิดอยู่เสมอว่า... ข้อข้อหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมจะผ่านพ้นไปได้เสมอ
    ข้อสอง มีเกิดย่อมมีดับ เป็นเรื่องธรรมดา
    ข้อสาม ทุกสิ่งล้วนเป็นสุญญตาในชั่วพริบตาเดียว
    อาตมาเป็นผู้สำเร็จมรรคผล ย่อมไม่รู้ร้อน รู้หนาว เป็นเรื่องธรรมดา ไม่กระทบกระทั้งแม้แต่น้อย กลับหัวเราะเสียงดังชอบใจ ด้วยซ้ำ ช่างไม่รู้จักของจริง
    อาตมาคือ มหาปรัชญาปารมิตา
    อาตมาคือ แสงวิโรจน์อิสระพุทธะ
    อาตมาคือ พุทธะ คงอยู่ชั่วนิรันดร
    สำหรับอาตมาแล้ว การใส่ร้ายป้ายสีก็เท่ากับการล้างบาปกรรมแทนอาตมา ทุกๆท่านคงอย่างรู้ว่า การใส่ร้ายป้ายสี มีผลกรรมอย่างไร
    มีชายคนหนึ่งชื่อ หลี่จิ้น เป็นพนักงานบริษัท เป็นคนใจซื่อมือสะอาดและรอบคอบ ไม่มีความชั่วร้าย ไม่ติดในอบายมุข
    อยู่มา ก็เกิดอาการป่วยเป็นลมง่ายๆ คือเป็นลมได้ทุกที่ ทุกเวลา แต่ว่าหลังจากเป็นลมแล้ว เพียงกี่นาทีก็ฟื้น เป็นอย่างนี้อยู่ตลอด หลี่จิ้นจึงไปหาหมอ หมอตรวจสภาพร่างกายดูก็ปรากฏว่าปกติธรรมดา
    บางคนก็ว่าเป็นลมบ้าหมูให้ยาไปกินแต่ก็ไม่หาย ใช้สูตรชาวบ้าน ก็หาต้นหญ้าสองสามต้นมาให้ดมก็จะฟื้น แต่สำหรับหลี่จิ้นแล้ว ถึงไม่ดมต้นหญ้า เขาก็ฟื้นได้เอง
    หมอได้เตือนเขาว่า ไม่ควรไปเที่ยวริมทะเล ถ้าตกไปก็จบกัน และไม่ควรไปเที่ยวบนภูเขา ถ้าตกลงไปก็ตายเช่นกัน
    หลี่จิ้นจึงไปถามเจ้า เจ้าบอกว่า ผิดฤกษ์ผิดยาม แต่พอให้กินแผ่นยันต์ก็ไม่หาย หลี่จิ้นไปกราบพระสงฆ์เพื่อศึกษาพระธรรม แต่ก็ไม่ได้ผล สรุปว่าหลี่จิ้น ช่องทางไหน ไปมาหมด ต่อมา มีคนบอกว่าให้เขามาพบอาตมาด้วยความจริงใจ แล้วเขาก็มาพบอาตมาเพื่อขอความช่วยเหลือ
    อาตมาจึงหลับตาทำสมาธิ จากนั้นได้พูดกับหลี่จิ้นว่า ท่านมุสาวาจา
    *หลี่จิ้นพูดว่าแต่ไหนมาผมเป็นคนจริงใจ ไม่เคยพูดปด*
    คนในครอบครัวก็ยืนยันว่า หลี่จิ้นเป็นคนจริงใจ ไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง
    อาตมาบอกว่า จำผู้หญิงที่ชื่อ หวังจือ ได้หรือไม่
    *อืม หวังจือ หลี่จิ้นนึกตั้งนาน แต่ก็ยังนึกไม่ออก คนในครอบครัว ก็ช่วยกันคิด คิดตั้งนาน สุดท้ายจึงนึกออกว่า มีคนชื่อหวังจือจริงๆ เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นเพื่อนบ้าน เมื่อ 10ปีที่แล้ว
    *ตอนนี้ผู้หญิงคนนี้เป็นอย่างไรบ้างครับ หลี่จิ้นถาม*
    หล่อนตามหาคุณ อาตมาตอบ
    *หือ ตามหาผมทำไมครับ*
    คนในครอบครัวของหลี่จิ้นเงียบหมด ภายหลังพวกเขาจึงเล่าว่า หวังจือเป็นสาวแก่ ครั้งหนึ่ง พวกเพื่อนบ้านจับกลุ่มคุยกัน บังเอิญพูดถึงหวังจือว่า จนบัดนี้ยังไม่ได้แต่งงาน ยังเป็นสาวโสด ทุกคนต่างพูดล้อเล่นกันสนุกสนาน
    บางคนว่า หวังจือไม่ประสีประสาเรื่องเพศ
    บางคนว่า หวังจือหัวโบราณ
    บางคนว่า หวังจือรักษาความจริงใจให้คนรักเก่า สาบานว่าไม่แต่งงาน
    บางคนว่า หวังจือไม่เคยสนใจผู้ใด
    แต่หลี่จิ้นกล่าวว่า ดูตามตำราโหงวเฮ้งแล้ว ท่าทางการเดินของหวังจือ ไม่ใช่คนโสด ก็เพราะคำพูดประโยคนี้เอง กลายเป็นข่าวลือ กระจายไปทั่ว ข่าวนั้นไปถึงหูของหวังจือ ยิ่งฟังยิ่งเครียด ยิ่งมีคนพูด ก็ยิ่งมีเรื่องเสริมเพิ่มเติม หวังจือฟังแล้วยิ่งเครียดเข้าไปอีก
    หวังจือจะอธิบายมา แต่ติดอยู่ไม่กล้าเอ๋ยปากได้แต่คิดว่า ถ้าไม่อธิบายให้รู้ความจริง ก็ยิ่งรู้สึกเครียดแค้นจนทนไม่ไหว
    สุดท้าย หวังจือก็ตายลงด้วยความแค้นใหญ่หลวง หวังจือเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดา คนหนึ่ง การตายของหวังจือ ไม่ได้เป็นที่หน้าสนใจของผู้คนเท่าไร ไม่นานนักเรื่องราวก็ได้หายไป
    *หลี่จิ้นไม่เคยคิดเลยว่า คำพูดประโยคเดียวก็ฆ่าคนให้ตายได้ เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดให้เป็นแบบนั้น
    10 ปีต่อมา หลี่จิ้นย้ายบ้านหลายครั้ง เรื่องของหวังจือก็ลืมไปนานแล้ว
    แต่วันนี้อาตมามองเห็นผู้หญิงคนนี้ ยืนอยู่ข้างหลังตัวเขา
    *หวังจือมาหาผมทำไม ผมไม่ได้ฆ่าเธอสักหน่อย หลีจิ้นเถียง*
    แต่คำพูดที่ล้อเล่นเป็นต้นเหตุ
    *นี่คือคำพูดตามตำราโหงวเฮ้ง หลี่จิ้นกล่าว*
    อาตมาว่าเรื่องใดไม่รู้อย่าว่ากล่าวส่งเดช นั่นหมายถึงชื่อเสียงของผู้อื่น คนทั่วไป รวมทั้งโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ บางรายการ ล้วนมีการคาดเดาส่งเดช และมุสา
    *หลี่จิ้นบอกว่าเขาเข้าใจว่าการกล่าววิพากวิจารณ์คนอื่น ล้วนไม่สมควรมีความผิดทั้งนั้น
    อาตมาก็บอกว่า ท่านพูดถูก ทุกวันนี้ไม่ว่าโทรทัศน์ นิตยสาร หนังสือพิมพ์ บางรายการยากที่จะรับใช้ประชาชน สิ่งที่เป็นข่าวล้วนเป็นเรื่องการฆ่า ข่มขืน ลักขโมย และชู้สาว การเข้าไปซอกแซกหาข่าวของคน เหมือนเอไข่มุกไปยิงนก ทั้งๆที่ข่าวนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด ข้อเท็จจริงประการใด สื่อมวลชนก็ตัดสิน หรือพิพากษาไปแล้ว สื่อมวลชนสมัยนี้ล้วนทำผิดบ่อยๆ ไม่ทราบความเป็นจริง ผิดถูกก็หมิ่นประมาทผู้ตกเป็นข่าว ก็ถูกทำลายชื่อเสียง นี่คือทำผิดข้อมุสาวาจา
    *สื่อมวลชนเป็นแบบนี้ ผมก็เป็นแบบนี้บ้าง หลี่จิ้นกล่าวไม่ยอมรับ*
    ถ้าพูดแบบนี้ ลองคิดดูว่าเขาจะมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร
    หลี่จิ้นเงียบไม่พูด ญาติของหลี่จิ้นจึงถามว่าแล้วตอนนี้สมควรทำอย่างไร
    อาตมาถามหวังจือ หวังจือว่าหลังจากที่ตนเองตายแล้ว ดวงวิญญาณไร้ที่พึ่ง ดีที่เทพเจ้าแห่งเตาไฟรับดิฉัน จึงได้อาศัยอยู่ในอัคคีเพลิงในห้องครัว ดิฉันไม่หวังถึงขั้นให้ชดใช้ชีวิต เพราะถ้าทวงชีวิตของเขาแล้วชาติต่อไปก็ต้องแก้แค้นซึ่งกันและกันไม่มีที่สิ้นสุด จมกับการเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบสิ้น เทพเจ้าแห่งเตาไฟบอกกับดิฉันว่า ทุกเช้าให้หลี่จิ้นหันหน้าไปทางเตาไฟของห้องครัว กราบลง 9 ครั้ง พร้อมสวดภาวนา นโมอมิตตาพุทธ 10จบ อุทิศให้แก่หวังจือ ขอให้ไปเกิดใหม่ในเร็ววัน
    ต้องกราบไหว้ ภาวนาถึงเมื่อไร อาตมาถาม
    กำหนดระยะ 10 ปีเต็ม หวังจือจะได้ไปเกิด หลี่จิ้นก็จะไม่เป็นอะไร
    ต้องใช้เวลา 10 ปีเชียวหรือ อาตมาตกใจ
    หวังจือตอบว่า ไม่ เพียงหลี่จิ้นกราบไหว้ 9 ครั้ง ทุกวันพร้อมกับสวดบท อมิตาพุทธ 10 จบ โรคเป็นลมชักก็จะไม่เกิด ดิฉันจะไม่รบกวนเขาอีก
    อาตมาบอกเรื่องนี้แก่หลี่จิ้น...
    ญาติชองหลี่จิ้นเห็นว่งเรื่องนี้ทำได้ง่ายมาก ไม่ต้องทำพิธีแก้บนให้เสียเงินทอง และไม่ต้องเผากระดาษเงิน กระดาษทอง ไม่ต้องนิมนต์พระสงฆ์มาสวดมนต์ทำพิธีกู้วิญญาณ ไม่ต้องสวดหรือทำพิธีกงเต็ก ไม่ต้องสร้างหรือแกะสลักรูปทองให้หวังจือ และไม่ต้องสร้างศาลเจ้า
    แต่ตัวของหลี่จิ้นไม่แสดงอาการว่าเห็นชอบด้วยหรือไม่
    พูดไปแล้วก็แปลก โรคของหลี่จิ้นที่เป็นลมกะทันหัน เดิมที 2-3 วัน จะเป็นครั้งหนึ่ง บางวันเป็น 2-3ครั้ง
    แต่หลังจากการได้ปฏิบัติการกราบไหว้ไฟในห้องครัว 9 ครั้ง และภาวนา นโมอมิตาพุทธ 10 จบ ตั้งแต่วันแรก จนมาถึง 1 สัปดาห์ก็ไม่เกิดอาการแต่อย่างใด
    จนวันหนึ่งหลี่จิ้นกลับไม่เชื่อเรื่องนี้ เขาแกล้งทำเป็นลืม วันนั้น เขาได้เป็นลมถึง 2-3 ครั้ง
    หลังจากนั้นเขาก็กราบไหว้ ภาวนาอย่างนี้ทุกวัน ยังมีอีกเรื่องวันหนึ่งลูกสาวของหลี่จิ้น เพียงอายุ 4 ขวบ ลูกสาวเดินเล่นในห้องครัว ได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่บนเตาไฟ เธอกำลังนั่งภาวนาพุทธะอยู่ เมื่อหลี่จิ้นถามลูกสาวว่า ลักษณะท่าทางของเธอเป็นอย่างไร
    ลุกสาวจึงบอกว่า ผู้หญิงคนนี้อ่อนโยน ยิ้มให้ และเรียกกวักมือให้ไปหาเธอ และพูดถึงการแต่งกาย จึงรู้ว่านั่นคือหวังจือ นั่นเอง
    คนในครอบรัวและญาติมิตร เมื่อเห็นว่าเรื่องนี้หน้าอัศจจรย์อย่างยิ่ง ทุกคนจึงเชื่อว่า ระหว่างฟ้าดินมีผีสางเทวดา กฎแห่งกรรมไม่เชื่อไม่ได้ แท้จริงแล้วมีดวงชะตาฟ้าลิขิตในความมืดมิด
    ตอนนี้อาตมาขอเตือนชาวโลกทั้งหลายว่า คุณแห่งศีล ของศาสนาพุทธเรา ข้อห้ามมุสาวาจา เป็นข้อบัญญัติละเมิดได้ง่าย เพราะวจีกรรมนั้นคนเรามักจะมองข้าม ไป
    สำหรับผู้บำเพ็ญธรรม คนอื่นเขาจะว่าอย่างไร เรื่องไม่รู้ ไม่พูด ไม่นินทา อย่างน้อยก็ภาวนา อมิตาพุทธ สักคำเถิด
     
  4. chibasusumu

    chibasusumu สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +169
    ตายแล้วฟื้น

    บทที่5
    ตายแล้วฟื้นคืนชีพ

    ครั้งหนึ่งเคยมีคนถามเรื่อง อายุขัย อาตมาตอบไปว่า... อาตมาไม่เคยทำนายใครจะตายเมื่ออายุเท่าไร นี่คือข้อปฏิบัติเก่าแก่โบราณ
    ผู้ถามก็พูดขึ้นว่า ถ้าอย่างนั้นไม่ให้ถามว่าตายอายุเท่าไร แต่ขอถามว่าอายุยืนแทนได้ไหม
    อาตมาจึงตอบไปว่า ยืน
    แขกผู้นี้ดีอกดีใจ นำข่าวที่ทำนายว่า อายุยืนไปบอกกับคนในครอบครัวและเพื่อนบ้านญาติมิตรสหาย ทุกคนต่างก็แสดงความยินดี
    ประมาณ 2 ปีผ่านไป เมื่อผู้ที่ถูกอาตมาทำนายว่าอายุยืน มีอายุเพียง 49 ปี ก็เกิดเป็นลมล้มลงหน้าบ้านตัวเอง และตายในที่สุด เมื่อถูกส่งเข้าโรงพยาบาล แพทย์บอกว่า เขาเสียชีวิตไปแล้ว ให้ญาติกลับไปเตรียมงายศพ
    เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้น ลูกชายของเขา ชื่อ เจี่ยงซิน ก็มาต่อว่าอาตมา ว่า ในเมื่อพ่อของผมถูกทำนายว่าจะอายุยืน แล้วทำไมถึงได้มีอายุเพียง 49 ปี ละครับ
    เป็นไปไม่ได้ อาตมาตอบ
    อะไรเป็นไปไม่ได้ ก็เห็นๆอยู่ว่าพ่อของผมตายไปแล้ว เจ้านี่เป็นนักต้มตุ๋นดีๆ นี่เอง เที่ยวอวดอ้างว่า สามารถทำนายแบบตาทิพย์ ได้เป็นหนึ่ง แท้จริง ก็แค่หมอเดา
    อาตมาอ้างปากค้าง พูดอะไรไม่ออก นี่นี่ ใจเย็นๆ ก่อนสิ
    นี่นี่ อะไร ชดใช้ชีวิตพ่อข้ามา
    ชีวิตอาตมามีเพียงหนึ่ง ถ้าชดใช้แล้ว พ่อของเธอจะฟื้นหรอก
    ถ้าไม่ชดใช้ชีวิตมา ผมก็ไม่เอาอะไรอีกแล้ว เจี่ยงซินโกรธเป็นไฟ กำมือจะต่อยอาตมา
    อาตมาจึงบอกว่า... จะลองตรวจสอบดู ว่าเป็นอย่างไรจึงได้อายุสั้น
    ได้... ไปเอาเหตุผลที่ถูกต้องมา ไม่อย่างนั้นจะไม่ปล่อยแกไว้ แล้วจะไปบอกพวกนักข่าวว่าแก่เป็นนักต้มตุ๋น
    อาตมาจึงตั้งสติ รวมรวบสมาธิให้นิ่ง ใช้จิตวิญญาณธาตุเดิมแท้ รวบรวมจักรวาล ฟ้า-ดินประกอบกัน แท้จริงโพธิสัตว์ลงจากเก้าชั้นฟ้า แสงสว่างเจิดจ้าคุ้มครอง ธรรมบาลทั้งหลายยืนเคียงข้าง กระถางทองธูปไม้จันทร์ควันอบอวล ธรรมกายบริสุทธิ์ จิตเป็นธรรมชาติ เสียงดังกึกก้องสามพันโลกธาตุ ผ่านพ้นไตรภูมิ แจ้งในฉับพลัน พระนิพพาน
    อาตมาไล่ตามบิดาของเจี่ยงซิน ในทางปรโลก อาตมาได้เห็นคนสวมเสื้อสีเขียว 2 คน จับตัวพ่อของเจี่ยงซินไว้แล้วเดินไป พออาตมามาถึง พ่อของเจี่ยงซินเห็นเข้าก็ตะโกนบอกว่า ท่านอาจารย์หลู ช่วยผมด้วยครับ
    อาตมาดักหน้า 2 คนนั้นไว้แล้วถามว่า คนผู้นี้อายุขัยยังไม่หมด ทำไมถึงลงปรโลกได้
    เมื่อคนสวมเสื้อเขียว 2 คนเห็นว่าตัวอาตมาเปล่งแสงไตรวิโรจน์ จึงคำนับอาตมา แล้วนำเอกสารชุดใหญ่ออกมาให้ดู
    ใต้ชื่อของพ่อเจี่ยงซิน มีตัวหนังสือมากมายล้วนแต่เป็นบันทึกชีวิตประจำวัน เมื่ออ่านดูแล้วปรากฏว่ามีอายุยืนนานจริง แต่มีเหตุตอนท้ายว่า
    วัน..เดือน..ปี.. ได้ข่มขืนหญิงสาวผู้หนึ่ง จึงควรตัดอายุขัย ให้สิ้นชีพเพียง 49 ปี
    อาตมาอ่านแล้วก็ตกใจมาก ถามพ่อของเจี่ยงซินว่าเป็นเรื่องจริงหรือ?
    ครับท่านอาจารย์หลู เพราะเพียงผมนึกสนุกชั่วครู่ เท่านั้น ตอนนี้รู้สึกนึกแล้ว ผมรับรองว่าจะแก้ไขและจะทำความดีอย่างจริงจัง ได้โปรดช่วยชีวิตผมด้วยครับ ผมไม่อยากลงนรก
    เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว อาตมาจึงอดสงสารไม่ได้ จึงถามคนเสื้อเขียว 2 คนนั้นว่า พอมีทางช่วยได้ไหม
    ไม่มีครับ สองคน ส่ายหัว เมื่อเอกสารชุดใหญ่ลงมาแล้ว ไม่มีผู้ใดคืนชีพได้ นอกจากนักโทษจะสาบานตนและเทพเจ้า ประทับตรารับรอง นอกนั้นช่วยไม่ได้ครับ
    ผมสาบานได้ ผมสาบานได้ พ่อของเจี่ยงซินพูดเสียงดัง
    แล้วใครล่ะจะประทับตรา
    แล้วคนเสื้อเขียวทั้งสองก็พูดขึ้นว่าตัวท่านมีแสงประทีป 3 ชนิดอยู่กับตัว แสงพุทธะ แสงวิญญาณ และและทอง สามารถประทับตราได้
    เสร็จแล้วคนเสื้อเขียวทั้งสองจึงพาตัว พ่อของเจี่ยงซินหันไปทางทะเลกว้าง ให้พ่อเจี่ยงซินสาบานตน
    ข้าขอสาบานว่าจะเลิกประพฤติผิดในกามตลอดชีวิต ไม่มีวันเปลี่ยนใจ หากทำผิดอีก ขอความหายนะจงสนองให้ทันตาเห็น ต่อจากนี้ไป จะขอร้องให้ผู้อื่นถือศีล ตามตลอดชั่วชีวิต จะกระทำแต่ความดีงาม เป็นศิษย์พระพุทธเจ้า จะบำเพ็ญตนถึงที่สุด
    และแล้วอาตมาจึงได้ลงนาม ลงไปในเอกสารชุดใหญ่นั้น
    คนเสื้อเขียวทั้งสองก็พาพ่อของเจี่ยงซินลงไปในทะเล
    ส่วนทางพ่อของเจี่ยงซินเดิมทีหัวใจหยุดเต้นแล้ว ร่างกายความอบอุ่นลดลง นัยน์ตากลับขาว เท้าทั้งสองข้างแข็งทื่อไปหมด เรียกว่ายืดขาถ่างตา ว่ากันง่ายๆคือตายไปแล้ว 1 วันเต็มๆ ข้างตัวห้อมล้อมด้วยลูกหลาน และญาติมิตร แต่อยู่ๆ หัวใจก็กลับเต้นขึ้นมาอีกรอบ ส่วนบริเวณหัวใจค่อยๆ มีความอบอุ่น มือเท้าก็ค่อยๆ มีความรู้สึกหนังตากระตุก นิ้วมือขยับ
    พ่อของเจี่ยงซินคนนี้ เหมือนนอนหลับไป ตายแล้วฟื้นคืนชีพ ลุกขึ้นมาขอน้ำดื่ม
    ข่าวการตายแล้วฟื้นคืนชีพเรื่องนี้ เคยฮือฮามากในสื่อมวลชน ลงข่าวในหนังสือพิมพ์ต่างๆ มีผู้คนมากมายถามว่า ตายแล้วรู้สึกอย่างไร
    เขาตอบว่าเหมือนฝันไปเท่านั้น
    ฝันอะไร
    ไม่มี พ่อของเจี่ยงซินตัดสินใจไม่บอกกับใครถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
    ถึงแม้พ่อของเจี่ยงซินไม่พูดอะไร แต่พอพบกับผู้คน ก็ขอร้องว่าอย่าประพฤติผิดในกาม
    วันหนึ่ง พ่อของเจี่ยงซินได้มาหาอาตมา
    ท่านอาจารย์หลู ผมมาหาท่านแล้ว
    อาตมารู้ว่าท่านต้องมา
    ผมมากล่าวขอขอบคุณที่ท่านช่วยลงนามประทับตา
    ไม่เป็นไรหรอก
    ผมมากราบคารวะเพื่อเรียนธรรมะ และกราบท่านเป็นอาจารย์
    ดีมาก
    ขอให้ท่านอาจารย์หลู นั่งเบื้องหน้า อาตมานั่งนิ่งบนเบาะกลม พ่อของเจี่ยงซิน กราบคารวะ
    อาตมากล่าวขึ้นว่า ไตรสรณะของอาตมานี้มีบางสิ่งไม่เหมือนคนอื่น ไตรสรณะของคนอื่นคือสรณะพุทธะไม่ตกนรก สรณะธรรมะไม่ตกเป็นเปรต อสุรกาย สรณะสังฆะไม่ตกวัฏจักรสงสาร ธรรมจักรหมุนเวียนไม่หยุดหย่อน
    ไตรสรณะของอาตมาคือพุทธะต้องสามจิตแน่วนิ่ง ขจัดเสียซึ่งความโลภทั้งปวง ทำจิตให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ ไม่ทำผิดต่อจิตเดิมแท้ สรณะธรรมะ คือคำหยาบพูดไม่พูด ผิดมารยาทไม่มอง ผิดศีลไม่กระทำ กายไม่มีการเดินออกนอกลู่นอกทาง ปากไม่มีวาจาที่ใส่ร้าย ใจเป็นหนึ่งเดียว สรณะสังฆะคือกายใจสะอาดผ่องใส รอดพ้นจากไตรภูมิ จุดยืนของธรรมกาย รู้แจ้งแห่งเกิดและดับ จิตผ่องใสไม่ดับสูญ
    พ่อของเจี่ยงซินฟังแล้ว จึงได้รู้ถึงไตรสรณะที่แท้จริง สิ่งที่ท่านอาจารย์หลู กล่าวนั้นเป็นหลักธรรม ความจริง ผมอยากตอบแทนบุญคุณการสั่งสอนของท่านครับ ไม่ทราบว่าอนาคตอาจารย์จะอยู่แห่งหนใด ผมจะรับใช้ปรนนิบัติอย่างไรได้บ้าง
    อาตมาตอบว่า ... ขึ้นเหนือลงใต้ ไร้กังวล ท่องไปทั่วหล้า 5 ทวีป หากถามกายอยู่ที่ใด บำเพ็ญตนสมถะเป็นนิจบนชั้นฟ้า
    อาตมาขอบอกไว้เลยว่า ไม่จำเป็นต้องปรนนิบัติเพื่อตอบแทน แต่ขอให้บำเพ็ญธรรมตามไตรสรณะ เพียรไม่หยุดหย่อน เพียงเท่านี้ก็คือการปรนนิบัติรับใช้แล้ว
    พ่อของเจี่ยงซินคำนับแล้วก็ลากลับไป
    ตามที่อาตมารู้ พ่อของเจี่ยงซินสั่งพิมพ์หนังสือมากมาย จัดพิมพ์ หนังสือเตือนชาวโลก ยิลิเป่าเชา (เรื่องรับโทษในขุมนรก) และพระสูตรแห่งเกาอ๋อง แจกคนทั่วไป
    จัดพิมพ์ พระสูตรเจินฝอจง (พระสูตรแห่งพุทธแท้)
    เรื่อง ไม่ประพฤติผิดในกาม เจอใครล้วนตักเตือน พ่อของเจี่ยงซิน ภายหลังออกบวชเป็นพระสงฆ์ พระสงฆ์บางรูปในวัด ก็เอ๋ยชื่ออาจารย์หลู ก็ด่าทอไม่หยุด
    พ่อของเจี่ยงซิน กลับนิ่งไม่พูดจาอะไร หมั่นสวกพระนามพระพุทธเจ้าตลอดเท่านั้น
    เขาจึงเขียนโศลกบทหนึ่งมาให้อาตมา
    พุทธะอื่น พุทธะตน เซียนอื่น เซียนตน
    ธุลีกว้างขวาง บริสุทธิ์ อยู่กับตน
    พ่อของเจี่ยงซินรู้แจ้งแล้ว


    พระสูตรกวันซื่ออิน แห่งเกาอ๋อง
    กวันซื่ออินผูซ่า หนาหมอฝอ หนาหมอฝะ หนาหมอเซิน ฝอกั๋วโหย่วเหยียน ฝอฝะเซียงอิง ฉังเล่อหว่อจิ้ง โหย่วเหยียนฝอฝะ หนาหมอโมเฮอปอเย่ปอหลอมิ ซื่อต้าเสินโจ้ว หนาหมอโมเฮอปอเย่ปอหลอมิ ซื่อต้าหมิงโจ้ว หนาหมอโมเฮอปอเย่ปอหลอมิ ซื่ออู๋ซั่งโจ้ว หนาหมอโมเฮอปอเย่ปอหลอมิ ซื่ออู๋เติ่งเติ่งโจ้ว หนาหมอจิ้งกวังมี่มี่ฝอ ฝะจั้งฝอ ซือจื่อโห่วเสินจู๋ยิวหวังฝอ ฝอเก้าซีหมี เติงหวังฝอ ฝะหู้ฝอ จิงกังจั้งซือจื่อหยิวซี่ฝอ เป่าเซิ่นฝอ เสินธงฝอ เย่าซือหลิวหลีกวังหวังฝอ ผู่กวังกงเต๋อซันหวังฝอ ซั่นจู้กงเต๋อเป่าหวังฝอ กั้วชี่ชีฝอ เว่ยไหลเสียนเจ๋เชียนฝอ เชียนอู๋ป่ายฝอ วั่นอู่เชียนฝอ อู๋ป่ายฮวาเซิ่นฝอ ป่ายยี่จิงกังจั้งฝอ ติ้งกวังฝอ ลิ่วฟางลิ่วฝอหมิงเห้า ตงฟางเป่ากวังเย่เตี้ยนเย่เมี่ยวจุนอินหวังฝอ หนานฟางซู่เกินฮวาหวังฝอ ซีฟางจ้าวหวังเสินธงเยี่ยนฮวาหวังฝอ เป่ยฟางเย่เตี้ยนชิงจิ้งฝอ ซั่งฟางอู๋ซู่จิงจิ้งเป๋าโส่วฝอ เซี่ยฟางซั่นจี๋เย่อินหวังฝอ อู๋เลี่ยงจูฝอ โตเป่าฝอ ซื่อเจียหมอหนีฝอ หมีเล่อฝอ อาชู่ฝอ หมีถอฝอ จงยังอี๋เช่จ้งเซิน ไจ้ฝอซื่อเจ้จงเจ่อ สินจู้อี๋ตี้ซั่ง จี๋ไจ้ซีคงจง ฉือยิวอี๋อี๋เช่จ้งเซิน เก้อลิ่งอันเหวิ่นซิวซี๋ โจ้วเย่ซิวฉือ ซินฉังฉิวซ่งฉื่อจิง เหนิงเม่เซินสื่อขู่ เซียวฉูจูตู๋ให้ หนาหมอต้าหมิงกวันซื่ออิน กวันหมิงกวันซื่ออิน เกาหมิงกวันซื่ออิน ไคหมิงกวันซื่ออิน เย่าหวังผูซ่า เย่าซั่งผูซ่า เหวินซูซือลี่ผูซ่า ผู่เสียนผูซ่า ซีคงจั้งผูซ่า ตี้จั้งหวังผูซ่า ชิงเหลียงเป่าซันอี้วั่นผูซ่า ผู่กวังหวังหยูไหลฮว่าเซิ่นผูซ่า เนี่ยนเนี่ยนซ่งฉื่อจิง ชีฝอซื่อจุน จี๋ซัวโจ้วเย (ท่องหนึ่งจบ)
    หลีผอหลีผอตี้ ฉิวเฮอฉิวเฮอตี้ ถอหลอหนีตี้ หนีเฮอลาตี้ ผีหลีหนีตี้ โมเฮอเฉียตี้ เจินหลิงเฉียนตี้ โซหะ (ท่องเจ็ดจบ)
     
  5. chibasusumu

    chibasusumu สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +169
    การประชุมสวรรค์

    บทที่4
    การประชุมสวรรค์
    วันที่ 5 เดือน 5 ตามปฏิทินการเกษตรของจีนถือเป็น วัน ตี่ (วันกาลเวลาครบรอบปีของปฐพี) และเป็นวันที่เหล่า 5 ราชันเทพเจ้าพิพากษาตำแหน่งยศศักดิ์ของมนุษย์ บนสวรรค์มีเทวดาต่างๆ มาร่วมประชุม และวันนั้นอาตมาก็มีโอกาสได้ไปร่วมประชุมด้วย
    พอเล่ามาถึงตรงนี้อาจมีคนถามขึ้นว่า แล้วอาตมาไปได้อย่างไร อาตมาขอตอบให้ทุกท่านได้เข้าใจดังนี้ว่า
    ที่นอนคือเกาะเซียนฝงไหล โบยบินในอากาศฉับพลัน
    ที่นั่งส่องแสงเจิดจ้า ที่เดินร่วมต้อนรับเสียงดีงกึงก้อง
    ดำเนินด้วยสุริยะจันทรา ยืนยันเส้นทางแห่งพุทธแท้
    ยามรุ่งอรุณลอยขึ้น ยามเย็นย้อนกลับ สื่อถึงภูมิธรรมทั่วสิบทิศ
    ที่ประชุมในวันนั้นเรียกได้ว่า หมื่นเทพชั้นฟ้าล้วนมาประชุม นำโดย เง็กเซียนอ๋องต้าตี้ สามหยวนสามกวน จตุมหาราชอู่ยิต้าตี้ (ราชันแห่งเขาทั้ง5) สือเตียนยันจู (สิบราชันแห่งขุมนรก) เหวินชางตี้จูน (เทพเจ้าแห่งการเรียนการสอน) กวนเซิ่นตี้จูน (เทพเจ้ากวนอู) เสียนเทียนซั่งตี้ (เจ้าพ่อเสือ) เย่กุงอู่ตี้ ( 5 เทพราชันแห่งวังจันทรา) ซื่อไห่หลงอ๋วน (เจ้ามังกรทั้งสี่มหาสมุทร) ฯลฯ
    เมื่อพระพุทธเจ้าไภษัชยคุรุไวฑูรยะประภา พระอมิตาภะ พระศากยมุนี เสด็จพุทธดำเนินมาเป็นประธาน และพระสมันตรภัทรโพธิสัตว์ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระจุนทิโพธิสัตว์ พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ พระข้าวทอง พระมหาสถานะปราปตะโพธิสัตว์ พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ หัวเหยียนโพธิสัตว์ ฯลฯ
    ที่ประชุมมีวาระมากมายเพื่อพิจารณา
    ในหนึ่งวาระการประชุมนั้น ได้กล่าวถึงคนคนหนึ่ง ซึ่งทำให้อาตมาตกใจมาก แต่อาตมาก็ไม่สะดวกที่จะเอ๋ยชื่อของเขา จึงขอใช้นามแฝงว่า ไช่วั่น ก็แล้วกัน
    ในวาระการประชุมมีการกล่าวถึงไช่วัน เรื่องการได้รับตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง พรรคหนึ่ง รวมถึงเรื่องทรัพย์สมบัติที่ถืออยู่ในชั้นแนวหน้าของโลก
    เทพเจ้าราชันทั้ง 5 พูดว่า ไช่วัน ควรเป็นผู้นำ เทพบริวารตอบว่า เห็นสมควรด้วยครับ
    แต่เทพแห่งเขาตะวันออกกลับยืนขึ้นพูดว่า ไช่วั่น ไม่สมควรได้รับเป็นหัวหน้าพรรค
    เทพเจ้าราชันทั้ง 5 จึงถามว่าเพราะเหตุใดหรือท่าน?
    เทพเจ้าแห่งเขาตะวันออกจึงบอกว่า ... ไช่วั่น มีลาภยศเต็มที่ แต่เมื่อเร็วๆนี้ได้ข่มขืนเด็กสาวคนหนึ่งจนตั้งท้อง เด็กสาวเสียใจมาก จึงตัดสินใจกระโดดตึกตาย วิญญาณที่มีแต่ความเครียดแค้นอาฆาต พยาบาท ในเวลานี้นางอยู่กับพวกเรา
    โอ้ อาตมาฟังแล้วก็รู้สึกตกใจมาก
    ถ้าแบบนั้น ใครกันที่จะเหมาะสมได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรค (5 ราชันถาม)
    เขามีอักษรว่า ไม้ สมควรได้เลือกรับเป็นหัวหน้าพรรค (เทพบริวารตอบ)
    แล้วไช่วั่น พวกเราจะลงโทษอย่างไรดี
    เทพราชันทั้ง10 ขุมนรกตอบว่า ไช่วั่นชาติก่อนทำบุญไว้มากมาย ที่จริงสมควรได้เป็นหัวหน้าพรรค แต่ว่าชาตินี้เสวยสุขมากเกินไป และทำบาปหนักไว้ด้วย ไม่เพียงแต่ตัดตำแหน่งผู้นำออกไป ทรัพย์สมบัติก็ต้องตัดออกไปอีก ยิ่งกว่านั้นต้องทำให้เขามีร่างกายสุขภาพอ่อนแอลง ประชุมด้วยโรคร้ายต่างๆ อีกไม่นานต้องเข้าสู่วัฏสงสาร เวียนว่ายตายเกิดใน 6 ภูมิ

    เทพเจ้าทั้งหลายเมื่อได้ฟังอย่างนั้นแล้ว ก็กล่าวว่า
    ดีแล้ว ดีแล้ว ขอให้เป็นไปตามนั้น ถือเป็นกฎแห่งกรรม ทุกสิ่งล้วนหลีกเลี่ยงไม่ได้
    ในระหว่างการเลือกตั้งครั้งใหญ่... ทุกคนที่เข้าสมัครเข้ารับการเลือกตั้ง ล้วนมาหาอาตมา มีทั้งที่มาเยี่ยมด้วยตัวเอง และเขียนจดหมายมาถึง บ้างก็โทรศัพท์เข้ามา และหนึ่งในผู้คนเหล่านั้นก็มีไช่วั่น รวมอยู่ด้วย อาตมาได้ให้พร ต่อผู้สมัครทุกๆคน
    ไช่วั่น ถามอาตมาว่า ผมจะประสบผลสำเร็จในสิ่งหวังไว้บ้างหรือไม่ครับ ท่านอาจารย์หลู
    อาตมาจึงตอบว่า... จงกระทำแต่ความดี อย่าเกียจคร้าน พิมพ์หนังสือธรรมะให้มากๆ
    โห...ในเวลากระชั้นชิดแบบนี้หรือครับ ผมจะทำอย่างไรดีครับ
    จงภาวนาสำนึกบาปกรรม กล่าวปณิธานต่อฟ้าว่าจะทำความดีงามตลอดชีวิต
    ในเมื่อผมไม่มีบาป จะสำนึกบาปอย่างไร
    อาตมาเงียบ ไม่กล้าให้คำตอบ
    เมื่อผลการเลือกตั้งประกาศออกมา ปรากฏว่า คนแซ่ไม้ เป็นผู้ถูกเลือก ส่วนไช่วั่นสอบตกไป อืม.. ทั้งๆที่ไช่วั่นทุกคนล้วนมองว่า ไช่วั่นน่าจะมาที่1 ถือเรื่องพลิกผันไปหมด เป็นการยืนยัน ว่าในโลกใบนี้สิ่งที่คาดหวังไว้มากมายล้วนแต่มีความผิดพลาดได้ทั้งนั้น
    เมื่อไช่วั่นไม่ได้รับตำแหน่งหัวหน้าพรรค ทรัพย์สินเงินทองมากมายของเขาก็ลดน้อยลง
    อาตมาจึงถามคนใกล้ตัวเขาว่าไช่วั่นสบายดีหรือเปล่า
    ผมไม่ทราบครับ
    แล้วอาตมาก็ถามอีกคนหนึ่งที่ใกล้ชิดเขา ก็ได้คำตอบกลับมาว่า... ห้ามบอกใครนะครับ ไช่วั่นมีโรคที่ไม่อาจรักษาได้
    โอ้ทุกสิ่งในโลกล้วนอนจจัง ไม่มีใครหนีกฎแห่งกรรมไปได้ อืม...
    อาตมาเป็นทุกข์แทนไช่วั่น เพราะอาตมารู้ว่า ผู้ที่กระทำผิดศีล ข้อกามานั้น เมื่อดวงชะตาของตัวเองควรจะร่ำรวยแต่กลับถูกตัดชื่ออก ผู้สมควรมียศถาบรรดาศักดิ์ ล้วนถูกตัดชื่ออก อาตมาดูแล้วเกิดสังเวชใจ บ้างต้องถูกคดีความติดคุกติดตาราง บ้างตายด้วยอุบัติเหตุ หรือถูกฆ่าจนเสียชีวิต
    อาตมาจึงขอพบเทพเจ้าแห่งเขาตะวันออก กรรมของไช่วั่น ต้องแก้ไขอย่างไรบ้าง เทพเจ้าแห่งเขาตะวันออกก็ตอบว่า เป็นเรื่องยากที่จะแก้ไขได้
    ยากอย่างไรล่ะ อาตมาถาม
    ทะเลแห่งกรรมนั้นกว้างใหญ่ไพศาล สิ่งที่ตัดขาดยากเกินคือเรื่องกาม ตัวไช่วั่นนั่นเดิมที มีชะตาบาปร่วมกันกับสาวน้อย จึงทำให้ชีวิตพบกับหายนะมาสู่ตน ต้องเวียนว่ายตายเกิดใน 6 ภูมิ ไม่มีที่สิ้นสุด
    พวกเขาต้องแก้แค้นกันไปมาจริงหรือ ท่านอาจารย์หลู ถาม
    เทพเจ้าแห่งเขาตะวันออกก็ตอบว่า เป็นเรื่องจริง เพราะเมื่อสาวน้อยคนนั้น มีจิตผูกอาฆาตพยาบาทอยู่กับไช่วั่น เมื่อกลับมาเกิดใหม่ ถ้าไม่ใช่เพราะกรรมนี้ส่งผลล่ะก็ จะพบว่าบ้างเมียฆ่าลูกสาวเขา บ้างผัวฆ่าเมีย หรือเมียฆ่าผัว พ่อฆ่าลูกหรือลูกฆ่าพ่อ จนเป็นปาณาติบาต แบบรุนแรง กรรมส่งผลแบบแรงจัด ยากการแก้ไข น่าสยดสยอง แทนน่าสังเวชใจเป็นที่สุด
    เมื่ออาตมาได้ฟังอย่างนั้นแล้วก็รู้สึกโศกเศร้าเวทนายิ่งนัก
    เทพเจ้าแห่งเขาตะวันออกจึงบอกว่า ความรัก คู่สามี ภรรยา ความกตัญญุตาชุบเลี้ยง ทุกสิ่งล้วนเป็นสุญญตา
    อาตมาถามเทพเจ้าแห่งเขาตะวันออกอีกว่า... การแก้ไขปมบาปกรรมนี้ ให้หลุดพ้น ได้อย่างไรทุกสิ่งล้วนมีทางออกไม่ใช่หรือ?
    เทพเจ้าแห่งเขาตะวันออกก็ตอบว่า มีแต่บำเพ็ญธรรมฝึกจิต สำนึกบาป ถือศีล มิให้ขาด ประกอบด้วยกรรมดี 10 ประการ
    แล้วจะทำอย่างไรถึงจะถึงฝังวิมุตติ คือความหลุดพ้นไปได้ อาตมาถาม
    เทพเจ้าแห่งเขาตะวันออกก็ตอบว่า ... จิตคือพุทธะ พุทธะก็คือจิต ไร้บุคคล ไร้ตัวตน ไร้สรรพสัตว์ จิตสาม ลักษณ์สี่ ทำกายใจให้บริสุทธิ์สะอาด ทำจิตให้ผ่องใส อกุศลกรรม 10ประการ รวมอธรรม 8 ประการต้องขจัดให้สิ้น ความรัก ความกำหนัด กาม ล้วนไม่ยึดติด ไม่แตะต้อง โลภ โกรธ หลง ไม่ให้เกิด เช้าเย็นนั่งสมาธิ ก่อนเที่ยงหลังเที่ยงไม่ประมาท จะหลบท่านยมบาล ขอเข้าเฝ้าแต่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทันใดนั้นก็จะพ้นจาก ภพทั้ง 3 เสียงดังกึกก้องเต็มท้องนภาอากาศ เสียงขับร้องดนตรี เสียงกลอง และปี่แพร สนั่นหวั่นไหว ถึงฝังวิมุตติรสแห่งธรรม ไม่กลับมาอีกในการเวียนว่ายตายเกิด วัฏสงสารเท่านี้เอย
    ถ้ากรรมมารังควานอยู่เรื่อยๆละ อาตมาถาม
    ต้องใช้ขันติ แห่งธรรมอันไร้ขอบเขต
    อะไรคือขันติแห่งธรรมอันไร้ขอบเขต
    จุดของผลปฏิบัติ คือ โลภ โกรธ หลง ไม่ก่อเกิด
    ผลกรรมของไช่วั่น ไม่เพียงมีแค่เขาบนโลกนี้เท่านั้น บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลาย ล้วนอยู่ในสายตาของพระพุทธเจ้า และเทพทั้งปวง สรรพสัตว์เพียงดิ้นรนอยู่ในธุลีเท่านั้น และในอนาคตตัวท่านเอง ก็เช่นเดียวกัน จะมีสตรีสาวสวยมาเย้ายวนเชิญชวน ขอให้ท่านระวังตัวด้วยก็แล้วกัน
    อาตมาตกตะลึง
    แล้วอาตมาควรจะทำอย่างไรดีล่ะ
    พระพุทธเจ้าเคยกล่าวไว้ว่า จงปฏิเสธเขาด้วยความเงียบ ผู้ใกล้ชิดไม่เกรงใจ ผู้ถูกห่างเหินก็บ่นด้วยความไม่พอใจ ทำโดยไม่ละอายแก่ใจต่อจิตเท่านั้น ถ้าถูกสังคมเข้าใจผิด คิดว่าเป็นการช่วยลดบาปกรรม หากถูกชาวโลกด่าทอ ล้วนไม่เกิดโทสะ นี่คือขันติธรรมไร้ขอบเขต
    อาตมาฟังแล้วก็รู้ได้ว่า อาตมาคงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ งานนี้ใหญ่หลวงนัก ถือเป็นการทดสอบตัวอาตมาเหมือนกัน ยังไงเสียอาตมาก็ต้องสอบให้ผ่าน
    เพราะในช่วงที่อาตมากำลังถูกชาวโลกเข้าใจผิดและด่าทออยู่นั้น อาตมาก็ตระหนักถึง ชาวโลกได้มาช่วยอาตมาล้างบาป และช่วยให้อาตมาบำเพ็ญ ขันติธรรมไร้ขอบเขตนี้ จนได้ตำแหน่งแห่งบุญกุศล
    อาตมาไม่ต้องโต้ตอบ มีแต่แบกรับไว้อย่างเงียบๆ และสำรวมจิตไม่ก่อเกิดซึ่งโทสะแม้แต่น้อย หมุนตัวทำจิตสลายในสุญญากาศ
    ไร้ตัวตน ไร้บุคคล ไร้สัตว์
    อาตมาคือ พระพุทธเจ้า หัวกวงจื้อไจ้พุทธะ ที่แท้จริง
     
  6. chibasusumu

    chibasusumu สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +169
    ฟ้าย่อมรู้

    บทที่3
    ฟ้าย่อมรู้
    มีชายคนหนึ่ง ชื่อ เจีย แซ่ซุย รูปร่างสูงใหญ่หล่อเหลาเอาการ จัดได้ว่าเป็นผู้ชายรูปงามได้มาตรฐานคนหนึ่ง ซุนเจียมาหาอาตมาเพื่อถามถึงเรื่องอนาคต
    พออาตมาถามเทพเจ้าในอากาศ ก็ได้คำตอบว่า ฟ้าย่อมรู้
    อาตมาฟังแล้วรู้สึกขบขัน แน่นนอน ฟ้าย่อมรู้ แต่ว่าอนาคตเป็นอย่างไรบ้าง ไม่มีคำตอบ
    อาตมาจึงถามต่อในคำถามเดิม ก็ได้คำตอบจากเทพเจ้าว่า
    ฟ้าย่อมรู้
    อาตมาถามครั้งที่3 เทพเจ้าก็ยังตอบว่า ฟ้าย่อมรู้ แต่เพิ่มอีกคำหนึ่งว่า คนผู้นี้ฟ้าย่อมรู้ จึงเพิ่มลาภยศให้ อนาคตสดใสไร้ขอบเขต
    อาตมาจึงถามซุยเจียว่า ทำไมฟ้าถึงพูดแต่คำว่าฟ้าย่อมรู้ ฟ้าย่อมรู้ ล่ะ
    ซุนเจียอายจนหน้าแดงกล้ำ แล้วเล่าว่าเรื่องต่อไปนี้ให้ฟัง
    เมื่อครั้งสมัยที่ซุนเจียเรียนหนังสืออยู่ในมหาวิทยาลัยเขาได้พักอาศัยอยู่กับชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงนั้น
    แม่บ้านของครอบครัวนั้นเป็นผู้หญิงที่สวยงามมาก รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น แต่งเนื้อแต่งตัวแต่งตัวแต่งตัวทันสมัย ดวงตาที่ชวนหลงใหลก็มีประกายของความเสน่หาจนทำให้ซุนเจียมีจิตใจหวั่นไหว
    จนวันหนึ่งสามีของเธอได้ออกไปทำธุระนอกบ้าน เมื่อซุนเจียเดินผ่านห้องนอนของเธอ แล้วประตูไม่ได้ลงกลอน ก็ได้เห็นหญิงสาวที่อยู่ข้างในห้องนั้น หน้าเต็มไปด้วยการเชิญชวน ยืนนิ่ง มองซุยเจีย ส่งสายตาท่าทางเย้ายวน เหมือนเชื้อเชิญซุยเจียเข้าห้อง
    ทางด้านซุยเจียเองก็ยืนนิ่งเช่นกัน เมื่อทั้งสองสบตากันซุยเจียเริ่มเกิดอารมณ์แปรปรวนหวั่นไหว แทบจะทนไม่ไหว
    หญิงสาวก็กล่าวขึ้นมาว่า
    ไม่มีคนรู้หรอก
    อารมณ์ปรารถนาของซุนเจียแรงกล้า ทำให้เขาเดินหน้าไปก้าวหนึ่งแล้วก็หยุด
    หญิงสาวคนนั้นก็พูดขึ้นอีกว่า
    ไม่มีคนรู้หรอก คิดเสียว่าเป็นเรื่องสนุกๆ
    ซุนเจียเองยังหนุ่มแน่น เลือดลมสูบชีดพลุ่งพล่าน และแรงปรารถนายิ่งมาก แต่ซุยเจียฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า สมัยเรียนหนังสือมีคำสอนประโยคหนึ่งกล่าวกันว่า 4 รู้ คือฟ้ารู้ ดินรู้ ท่านรู้ เรารู้ คนอื่นถึงจะไม่รู้ แต่ฟ้าย่อมรู้ ซุยเจียจึงบอกกับหญิงสาวว่า คนไม่รู้ แต่ฟ้าย่อมรู้
    หญิงสาวถามว่า แล้วฟ้าจะรู้ได้อย่างไร
    ซุยเจียก็ตอบว่า ฟ้าย่อมรู้ ฟ้าย่อมรู้ ฟ้าย่อมรู้
    แล้วเขาก็หันหลังกลับออกไป
    คืนนั้นหญิงสาวได้มาเคาะประตูที่หน้าห้องของซุยเจีย มีกลิ่นหอมกรุ่นของหญิงสาวกระจายไปทั่ว ผ่านช่องประตูเข้ามา ซุยเจียยังคงพึงพำว่า ฟ้าย่อมรู้ ฟ้าย่อมรู้ ฟ้าย่อมรู้
    คนไม่รู้ แต่ฟ้ารู้ ปิดบังคนได้ แต่ปิดบังฟ้าไม่ได้
    สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ยอมเปิดประตูให้
    วันรุ่งขึ้นซุยเจียจึงรีบย้ายออกจากที่พัก ไปอยู่กับเพื่อนนักเรียนอีกคน โดนที่เขาไม่กล้าเล่าเรื่องให้ใครฟัง แม่แต่เพื่อนสนิท เขาก็เพียงแต่บอกว่า เป็นเพราะความไม่เหมาะสม จึงย้ายออกมาเท่านั้นเอง
    เป็นความจริงที่ว่า คนไม่รู้ แต่ฟ้ารู้
    ซุยเจียได่เล่าเรื่องที่แปลกประหลาดอีกเรื่องให้อาตมาฟัง เป็นช่วงที่เขาเรียนที่มหาวิทยาลัยอยู่เช่นเดียวกัน ว่าเขาได้ย้ายหอพักอยู่ประมาณ 5 ครั้ง
    นี่เป็นเรื่องสมัยได้ย้ายที่อยู่ใหม่ หลังเรื่องหญิงสาวนั้น ผ่านไป
    คืนหนึ่ง ขณะที่เขากำลังนอนหลับสบายอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงพูดในความฝันนั้นว่า ฟ้าย่อมรู้ รีบๆตื่นจากที่นอน ฟ้าย่อมรู้ รีบๆตื่นจากที่นอน ฟ้าย่อมรู้รีบๆตื่นจากที่นอน ฟ้าย่อมรู้รีบๆตื่นจากที่นอน
    ซุยเจียได้ยินเสียงนี้อย่างชัดเจน จึงสะดุ้งลุกขึ้นทันที เขารีบไปที่หน้าต่างจึงรู้ว่า ข้างบ้านไฟไหม้ มีควันหนาลอยออกมา เขาเลยรีบไปปลุกเพื่อนคนอื่นๆ ที่พักอยู่ด้วยกัน แล้วรีบแจ้งสถานีดับเพลิง ก่อนจะหนีออกมาจากห้องได้อย่างปลอดภัย
    ทั้งๆ ที่ตอนที่ซุยเจียหนีออกมานั้น ไฟได้ไหม้มาถึงหอพักของพวกเขาแล้ว จนสุดท้ายหอพักก็จมอยู่ในกองเพลิงมอดไหม้ไม่มีสิ้นดี
    เหตุการณ์ไฟไหม้ในครั้งนั้นทำให้มีคนตายและบาดเจ็บหลายคน บ้าน 2 หลังถูกไฟไหม้ ทรัพย์สินเสียหายมากมาย
    ซุยเจียหวนคิดถึงตอนนั้นว่า ถ้าไม่คำเตือน ฟ้าย่อมรู้ รีบๆตื่นจากที่นอน เขาคงยังนอนหลับสนิท และเขากับเพื่อนอาจจมอยู่ในกองเพลิง และกลายเป็นศพดำเป็นตอตะโกไปแล้วก็ได้ คิดแล้วก็ใจหาย อืม...
    เพราะเดิมที่ซุยเจียไม่ยอมเชื่อเรื่องผีชางเทวดา และไม่เชื่อเรื่องศาสนา พอเกิดเรื่องนี้ขึ้น เขาจึงตระหนักได้ว่าในความมืดมิดนั้นล้วนมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ส่งข่าวเป็นคำพูดว่า
    ฟ้าย่อมรู้ รีบๆตื่นจากที่นอน เพราะถ้าไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วจะเป็นอะไรได้เล่า
    อาตมาฟังแล้วจึงว่ากับซุนเจียว่า...ในความมืดมิดนั้นย่อมมีเทพและผีคุ้มครอง อย่างที่กล่าวกันว่า ทำผิดต่อจิต ตาทิพย์ดุจสายฟ้า พึงระวังสำรวมตน
    ซุยเจียฟังแล้วก็ตอบว่า ฟ้าย่อมรู้จริงๆ
    ตัวท่านก็เหมืนลิ่วเซี้ยฮุ้ย ถึงมีหญิงนั่งตักก็ไม่หวั่นไหว (ท่านอาจารย์หลู กล่าว)
    *ผมไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ผมคงรอดมาได้โดยเหตุบังเอิญมากกว่า*
    รอดมาได้เพราะดีชั่ว บุญและบาป
    *ระห่างความคิดทุกขณะจิตใช่ไหมครับ*
    ถ้าหลงแล้วก็ตกเหว เป็นที่น่าแค้นใจร้อยพันปี
    *ถึงคิดได้ก็กลายเป็นร้อยปีให้หลังถูกไหมครับ*
    อาตมาได้บอกซุยเจียว่า คนสมัยนี้ การคบหาระหว่างชายหญิงมีมากขึ้น ความสัมพันธ์ยิ่งมาก ยิ่งสับสน ประเพณีที่ดีงามเริ่มทดถอย สามหลัก ศีล5 ซึ่งเป็นกฏเกณฑ์ต้องห้าม ไม่มีคนสนใจ แต่ว่า เหตุที่มนุษย์ไม่เหมือนสัตว์เดรัจฉาน ก็คือมนุษย์มีหลักธรรมปฏิบัติ ถ้าไม่มีหลักธรรมคำสั่งสอนแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรุจฉานเหล่านั้น คนไม่สนใจหลักธรรมคำสั่งสอน ก็ยังสู้สัตว์เดรัจฉานไม่ได้
    แต่ทว่า มนุษย์เราเกิดมาจากกาม ฉะนั้นพื้นฐานจึงเกิดจากธาตุเดิม และความเคยชินจะระงับก็ล้วนเป็นเรื่องยาก
    *แล้วควรจะเตือนสติตัวเองอย่างไรดีครับ*
    มีพระสูตร 42 บท ที่กล่าวไว่ว่า ผู้หญิงแก่เหมือนแม่ของเรา ผู้ที่มีรุ่นราวคราวเดียวกับเรา เหมือนพี่สาว ผู้หญิงที่เยาว์วัยเหมือนน้องสาวของเรา ผู้หญิงที่เป็นเด็กเหมือนลูกของเรา เมื่อคิดได้อย่างนี้ ก็สามารถยืนยัด บนโลกนี้ได้ และระงับความต้องการได้
    *ถ้าเกิดคิดแบบนี้ไม่ได้ล่ะครับ*
    ต้องฝึกฝนวิชาการพิจารณาอสุภะกรรมฐาน แล้วจะรู้ทั้งภายนอกและภายในของหญิงสาว ว่ามีเพียงหนังบางๆ ผืนหนึ่งเท่านั้น ถ้าเอาหนังบางออก ก็มีแต่ชุดกระดูก ต่อจากนั้นก็ใช้จิตระลึกตามดูผ่าตัดร่างกายของเขาออก เห็นแต่ตับไต่ไส้พุง เลือดหนอง ว่าง่ายๆ อาการ32 นั่นเอง น่าขยะแขยง มีกลิ่นหม็นชวนอาเจียน และน่ากลัวมากกว่าที่จะปรารถนา
    *ถ้าปฏิบัติไม่ได้ผลอีกล่ะครับ จะต้องทำอย่างไร*
    เมื่อเกิดอาการเร่าร้อนในจิต ควบคุมสติไม่ได้ จงให้คิดผลกรรมของมันที่จะตามมา นึกไปว่าเสียเงิน ทอง ทรัพย์สมบัติ ทำลายชื่อเสียง อับอายถึงบรรพบุรุษ กระทบกระเทือนถึงบุตรหลาน เสียทั้งหน้าที่การงาน อนาคตดับสูญ ชีวิตมลายสิ้น เมื่อคิดได้อย่างนี้ ความเร่าร้อนก็จะระงับลงทันที่
    *ถ้าควบคุมไม่ได้อีก จะทำอย่างไรดีครับ*
    อาตมานิ่งไปครู่หนึ่ง ตอบว่า สนุกชั่วครู่ หายนะมาเยือนไม่มีจบสิ้น
    และท่องไว้ว่า หายนะกำลังมาเยือน หายนะกำลังมาเยือน หายนะกำลังมาเยือน พึงระวังไว้
    *ซุยเจียก็พูดว่า คนส่วนใหญ่สนุกกับเรื่องนี้ มีความสุขชั่วคราว ยังมีคนแม้ตายก็ไม่สำนึกผิด*
    พระพุทธองค์ตรัสว่า ความสุขนั้นเป็นสุญญตา ทุกสิ่งล้วนว่างเปล่า
    คนทั่วไปมองไม่ทะลุ เหมือนบุคคลผู้ตาบอดแต่กำเนิด นั่นล่ะ
    ดีชั่ว บุญ-บาปไร้ประตู เรียกหาด้วยตัวเอง อาตมาตอบ.
    ตามความจริงแล้ว คำถาม คำตอบระหว่างซุยเจียกับอาตมานั้น เป็นปัญหาใหญ่ของสังคมในปัจจุบันนี้ เป็นอย่างมาก เรื่องอย่างนี้ นอกจากจะต้องอาศัย มโนธรรมและจิตใต้สำนึกที่ดีงามแล้ว ยังต้องมีสมาธิที่แน่แน่ว ฝึกฝนจิตให้แก่กล้า บำเพ็ญธรรมตามวิถี อาตมาว่าในความมืดมิดนั้นย่อมมีผีสางเทวดา ท่านอาจคิดว่าสิ่งที่กระทำลงไปนั้นไม่มีใครรู้ได้ แต่ความเป็นจริงแล้วนั้นฟ้าย่อมรู้ได้แน่นนอน
    อาตมาจึงขอวิงวอน มา ณ ที่นี้ ขอให้ทุกๆท่านจงรักษาตัวเองให้บริสุทธิ์ รู้จักบำเพ็ญธรรม ขอให้ทุกๆท่านจงถึงฝังวิมุตติ หลุดพ้นจากวัฏสงสารเถิดเถิด สาธุ สาธุ สาธุ
     
  7. chibasusumu

    chibasusumu สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +169
    หายนะที่ใหญ่หลวงและลึกซึ้ง

    บทที่2
    ความหายนะที่ใหญ่หลวงและลึกซึ้ง

    วันหนึ่ง มีนักเขียน ชื่อเซี้ยหยุ่น ได้มาหาอาตมา เซี้ยหยุ่น กล่าวกับอาตมาว่า การที่อาตมาเขียนหนังสือออกมาแล้วกว่า 100 เล่ม ไม่เคยหยุดเขียนแม้แต่วันเดียว ตัวเขารู้สึกเคารพนับถือยิ่งนัก
    อาตมาเองก็ทราบว่า เซี้ยหยุ่นเป็นนักเขียนที่มีความสามารถมาก ลงมือเขียนครั้งพันคำ พันประโยค บทวิจารณ์ของเขาละเอียดมีสาระ ไม่เหมือนใคร และหาใครเทียบไม่ได้ ในชั้นเชิงการเขียนนั้นอาตมาเองก็นับถือเขามากเช่นกัน เมื่อนักเขียนเช่นนี้มาเยี่ยม ตัวอาตมาจึงรู้สึกยินดีมาก
    เซี้ยหยุ่นถามว่า ท่านอาจารย์หลู ผมได้ยินมาว่า ท่านเป็นผู้รอบรู้เรื่องหยิน-หยางและเรื่องวิญญาณ เป็นเรื่องจริงหรือไม่ครับ
    อาตมาก็พอมีความรู้อยู่บ้าง
    งั้นท่านอาจารย์หลู ช่วยตรวจสอบดวงชะตาให้ผมหน่อยได้ไหมครับ
    อาตมาหัวเราะ ...ท่านเองก็ดูมีบุคลิกสง่างามไม่ธรรมดา มีชื่อเสียงทั้งในประเทศและต่างประเทศ รู้ซึ้งเรื่องปรัชญา ไม่น่าเชื่อว่าท่านยังมีปัญหาให้ขบคิด ไม่ออกเชียวหรือ
    เซี้ยหยุ่น พูดอย่างจริงจังว่า... ที่ท่านอาจารย์หลู กล่าวมานั้นไม่ผิด เพราะตัวกระผมทั้งชีวิตไม่เคยเชื่องเรื่องงมงายอะไรง่ายๆ ทั้งผีสางเทวดา เรื่องหยิน-หยาง หรือเรื่องการสื่อสารกับวิญญาณ หนังสือที่ท่านเขียนนั้น ผมสารภาพตามตรงว่าเคยดูถูกท่าน แต่นั่นก็เป็นเรื่องในอดีต ขอท่านจงอย่าได้ถือสาหาความ ปีนี้ผมอายุ64 ปีแล้ว ถ้าจะพูดถึงความสามารถก็ไม่แพ้ใครแน่นอน ถ้าพูดถึงกำลังก็ไม่ด้อยไปกว่าใคร แต่ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงไม่ได้รับความสำคัญในหมู่นักวิชาการเลย ทั้งๆที่ในวงราชการผมก็มีโอกาสได้ตำแหน่งหลายครั้ง แต่ก็คว้าน้ำเหลวมาตลอด ท่านอาจมองว่า ผมเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงมาก แต่ความจริงแล้วผมไม่เคยสมหวังอะไรเลย มักถูกคนอื่นเบียดเบียนอยู่เสมอ

    ท่านอาจารย์หลู กล่าวว่า มีอย่างนี้ด้วยหรือ
    เซี้ยหยุ่น กล่าวต่ออีกว่า ... ท่านเห็นว่าผมเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียง แต่ความเป็นจริง ทั้งทรัพย์สิน สมบัติ เงิน ทอง ไม่มี ตำแหน่งทางราชการก็ไม่มี ครอบครัวก็มาแตกแยกไปอีก บ้านช่องก็ไม่มี สุขภาพก็ไม่ดีเหมือนเก่าก่อน ทั้งชีวิตมีแต่หนังสือเล่มเก่าๆ ขาดๆ ไม่กี่เล่มเท่านั้น ผมต้องพบแต่ความยากลำบากมาโดยตลอด เหมือนกับว่าในความว่างเปล่าที่มองไม่เห็น มีมือๆหนึ่ง มักคอยคว้าเอาลาภยศทั้งหมดของผมไป ในความมืดมิดคล้ายกับมีเทพเจ้าแห่งโชคชะตากำหนดไว้ ผมเองก็ไม่ทราบว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ขอให้ท่านโปรดช่วยหาสาเหตุให้หน่อยเถิดครับ
    ก็ได้อาตมาจะช่วยนะ อาตมารับปาก
    อาตมาจึงหลับตาทั้งสองข้างลง ในใจภาวานถึงองค์เทพประจำกายของตังเองทั้งสาม มีพระพุทธเจ้าอมิตาภะ พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ เจ้าแม่สุวรรณแห่งสระเหยา
    ในใจสื่อออกไปว่า ปัจจุบันผู้มีนามว่า เซี้ยหยุ่น มีความประสงค์จะขอทราบถึงบุญ-บาปกรรม อาตมาขอทำนายโดยทิพยญาณ สื่อความจริงอันวิเศษแห่งเต๋า ขอจงโปรดให้คำตอบโดยเร็ว เพื่อขจัดตาข่ายแห่งความหลงผิด และรับรู้ล่วงหน้าได้อย่างสมบูรณ์ รีบๆทำตามคำสั่ง ...ทันใดนั้นอาตมาได้มองเห็นแสงสีขาวเจิดจรัสอยู่เบื้องหน้า ในแสงสีขาวนั้นมีถ้ำใหญ่แห่งหนึ่ง มีกุมารสวมชุดสีเขียว ในมือถือสมุดรายชื่อเล่มหนึ่ง
    ในสมุดเล่มนี้ได้เขียนชื่อของเซี้ยหยุ่นอย่างชัดเจน หลังจากนั้นกุมารเสื้อสีเขียวได้เปิดสมุดรายชื่อให้อาตมาดู อาตมาอ่านแล้วก็ตกใจมาก
    เนื่องจากว่าดวงชะตาของเซี้ยหยุ่นนั้น มีตำแหน่งทางราชการ เขาไม่เพียงได้เป็นครูบาอาจารย์ที่ดี แต่ยังมีความสามารถเป็นถึงอาจารย์ใหญ่ได้ ได้รับเชิญเข้าไปร่วมบริหารงานทางราชการ มีทรัพย์สินเงินทองและตำแหน่ง มีครอบครัว สมบูรณ์พูนสุข อีกทั้งสุขภาพแรงกายแข็งแรง อายุยืนถึง89ปี
    นิสัยของเซี้ยหยุ่น มีจิตใจจงรักภักดีหนักแน่น รักเพื่อนพ้องมิตรสหาย แต่ทำไมจึงเป็นเช่นนี้กันล่ะ อาตมาได้อ่านถึงบรรทัดสุดท้ายก็เห็นบันทึกตัวเล็กๆ แถวหนึ่งเขียนว่า
    เซี้ยหยุ่น เคยทำสิ่งหนึ่ง เมื่อเยาว์วัย คือการเขียนหนังสือลามก 6 เล่มบางๆ เนื่องจากต้องการค่าตอบแทนในการเขียนจากพ่อค้าหนังสือ และทำด้วยความสนุก หนังสือเหล่านั้นเขียนได้อย่างอนาจาร และพิมพ์อย่างหยาบๆ
    การเขียนหนังสือลามก 6 เล่มนี้เอง เป็นสิ่งที่ทำให้บุญวาสนาเรื่องภรรยา บุตร ทรัพย์สิน ยศถาบรรดาศักดิ์ ตลอดจนเรื่องสุขภาพของเขา ล้วนสูญหายไปหมดสิ้น
    เมื่ออาตมาลืมตาจึงได้ถามเซี้ยหยุ่นว่า ตอนเยาว์วัย เคยทำเรื่องอะไรมาบ้าง
    *ผมเรียนหนังสือ สอบได้ที่หนึ่งมาตลอด*
    มีบทประพันธ์ไหม
    *มีครับ ส่งไปลงหนังสือพิมพ์*
    เคยพิมพ์เป็นเล่มไหม
    *ตอนนั้นยังไม่มีครับ*
    แต่ว่าอาตมาว่ามี อาตมายืนยันเสียงแข็ง
    *ไม่มีจริงๆครับ*
    แล้วหนังสือลามก เล่มบางๆ ยังไงล่ะ อาตมากล่าวกับเซี้ยหยุ่นตรงๆ
    เซี้ยหยุ่นอ้าปากค้าง หน้าแดงกล้ำ สีหน้าบ่งบอกถึงความอัศจรรย์ใจ
    *โอ้...ท่านรู้ได้อย่างไร มีจริงๆ มีจริงๆครับ *
    มีถึง 6 เล่ม
    *ครับ มี6เล่มครับ เซี้ยหยุ่นพยักหน้า*
    ท่านรู้ไหมว่าหนังสือลามกทั้ง 6 เล่มนี้ ได้ตัดสิ่งที่เป็นสิริมงคลออกไปจากชีวิตของท่าน ทำให้มีแต่ความหายนะ มาตลอด ทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะบุญเก่าที่เหลืออยู่มาก แม้แต่ชีวิตก็รักษาไว้ไม่ได้
    *อันตรายขนาดนี้เชียวหรือครับ เซี้ยหยุ่นตกใจมาก*
    อาตมาตอบว่า หนังสือลามกทำให้คนจิตใจหวั่นไหว ชักนำคนไปในทางกรรมชั่ว ชายหญิงทั้งหลายอ่านแล้วเกิดความนิยมในการผิดศีลไปตามๆ กัน
    อาตมายังกล่าวอีกว่า...อันโลกนี้ มีสัตว์เดรัจฉานอยู่มากทั้งตัวผู้ ตัวเมีย ไม่รู้จักอับอาย อัปลักษณ์ไม่น่าฟัง
    อันมนุษย์เป็นอย่างไร เป็นแบบอย่างสรรพสิ่ง รักษาศีล คุณธรรมประจำใจ
    มั่วเมาหลงผิดติดกามา แม้เป็นคน ยังมิอาจสู้ได้กระทั้งสัตว์เดรัจฉาน
    อันกามานี้ ถือเป็นวิชาของเหล่ามาร ชวนคิดคำนึงถึงอบายภูมิ
    เมื่อผู้บำเพ็ญธรรม รู้แจ้งชัด ทำลายซึ่งความโลภ กามา ให้ขาดสูญเอย...
    แล้วกล่าวต่อไปอีกว่า
    มนุษย์เรานั้นเดิมทีเกิดจากกาม ทุกคนล้วนมีพื้นฐานแห่งรูปกาม ฉะนั้นความเคยชินของอารมณ์จึงหนักหนาเป็นพิเศษ คนเราเกิดมาจากรูปกาม ก็จะตายโดยรูปกาม เมื่อทำความเข้าใจในตรงจุดนี้แล้ว ก็ต้องละซึ่งกามารมณ์ให้ขาด มีจิตใจบริสุทธิ์ แล้วจะทำให้อายุยืนยาว สุขภาพดี หมั่นทำกุศลกรรม ดาวหนุนดวงมงคลคุ้มครอง
    ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากชักชวนผู้อื่นให้หลงใหลในกามา ร่างกายย่อมทรุดโทรม ลมปราณถดถอย ครอบครัวแตกแยก เหล่ามารมาเยือน ล้วนกีดขวาง ขวางกั้น ล้วนไม่ประสบผลสำเร็จ
    เซี้ยหยุ่นได้ฟังได้ก็ตอบว่า
    *ใช่ครับๆ แล้วเรื่องสามีภรรยาล่ะครับ*
    อืม... กฏเกณฑ์ของสามี-ภรรยา ก็ควรละไม่ให้หลงติดในกามา สรุปแล้ว ให้รู้จักระงับบ้าง ถ้าไม่รู้จักหักห้ามแล้วก็จะเป็นเหตุแห่งอายุสั้นเช่นกัน
    *ผมผิดไปแล้วครับ แบบนี้จะแก้ไขได้อย่างไรบ้างครับ*
    ตามที่อาตมารู้ การเขียนหนังสือลามก วาดภาพลามก หรือแกะสลักภาพลามก ต้องรอจนกว่า หนังสือ ภาพวาดหรือรู้แกะสลักเหล่านั้น ต้องสูญหายไป บาปกรรมทั้งหมดจึงจะหมดสิ้นไปในเบื้องต้นเท่านั้น มิฉะนั้นบาปกรรมก็จะติดตัวไปตลอด
    *ร้านแรงขนาดนั้นเลยหรือครับ*
    ถูกต้อง อาตมาตอบ
    หนังสือลามก 6 เล่มนี้ ถ้ามีการไหลเวียนในโลกตลอดไป ก็จะมีวิบากกรรมอย่างนี้ตลอดไป ลองคิดดูเมื่อเป็นแบบนี้ บาปกรรมจะสูญหายได้อย่างไร
    *นั่นเป็นเพียงอารมณ์นึกสนุกชั่ววูบ ที่ผมเขียนหนังสือเพราะการค่าต้นฉบับเท่านั้น คิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเป็นบาปกรรมหายนะที่ใหญ่หลวงขนาดนี้
    *ผมควรทำอย่างไรดีครับ...
    อาตมาได้บอกกับเซี้ยหยุ่นว่า... ดูตามรูปการมีสองทางเท่านั้น หนึ่งให้เขียนหนังสือเตือนชาวโลกให้ถือศีล ไม่ให้ติดในกามอารมณ์ สองหากพบหนังสือลามกก็ให้เผาทำลายทิ้งเสีย
    *เป็นวิธีที่ดีครับท่านอาจารย์หลู
    เซี้ยหยุ่นจึงกลับบ้านด้วยอาการดีใจ ต่อมาเขาเขียนจดหมายมาแสดงความขอบคุณ ในจดหมายกล่าวว่าการทำนายแบบทิพยญาณของอาตมาแม่นยำมาก และเขาเริ่มศรัทธาในการไหว้พระ สวดมนต์ ไม่กล้าพูดว่ากฎแห่งกรรมเป็นเรื่องงมงายอีกต่อไป
    แถมเขายังต้องการ ยืนยันการทำนายของอาตมาอีก ถึงกับส่งหนังสือลามก 6 เล่มมาให้ ที่แท้เขายังเก็บรักษาไว้ นามปากกาของเขาคือ อินเกิน (รากเหง้าของกาม)
    อาตมานึกได้ว่า ตอนเยาว์วัย เคยเห็นหนังสือเหล่านี้ที่ไหน คลัยคล้ายคลับคลา ในแผงขายหนังสือเหล่านี้ได้ ทำร้ายจิตใจของนักเรียนนักศึกษาเป็นอันมาก
    เซี้ยหยุ่นของร้องอาตมาให้ช่วยเผาหนังสือทั้ง 6 เล่มนี้เพื่อแสดงถึงการสำนึกผิดบาปของเขา อาตมาจึงได้จัดการในสิ่งที่เขาขอมา พร้อมกับเขียนเป็นโศลกบทหนึ่งว่า
    ผู้ใฝ่ในกามนั้นเหมือนฝันไม่รู้ตื่น
    เงามืด มัวมน ในกรรมชั่ว
    ลิขิตฟ้าช้าเร็วหายนะล้วนมาถึง
    จงคำนึงถึงจิต ว่างเปล่า แจ่มใส
     
  8. chibasusumu

    chibasusumu สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +169
    ปฐมเหตุแห่งการประพันธ์หนังสือเล่มนี้

    บทที่1
    ปฐมเหตุแห่งการประพันธ์หนังสือเล่มนี้

    คืนหนึ่งขณะที่อาตมากำลังนอนหลับอยู่ ได้ฝันเห็นเมฆสีรุ้งลอยลงมา โดยมีกึมารสองคนยืนอยู่ ในมือต่างก็ถือธงริ้วของพุทธศาสนา
    กุมารทั้งสองได้คำนับอาตมาแล้วกล่าวว่า
    “ท่านพระพุทธาจารย์เหลียนเซิน อาจารย์ของเราให้มาเรียนเชิญท่าน”
    อาจารย์ของเจ้าเป็นใครหรือ
    อาจารย์ของเราคือ พระพุทธเจ้าส้างกวง
    ได้ยินชื่อแล้วอาตมาก็ยังนึกไม่ออกว่า พระพุทธเจ้าส้างกวงคือใคร เพราะว่าพระนามของพระพุทธเจ้าทั้งสามพันองค์นั้น ล้วนแต่มีพระนามเสมือนคล้ายคลึงกันมาก แต่อาตมาก็ไม่ได้ซักถามอะไรอีก อาศัยปุยเมฆเป็นพาหนะ เหาะขึ้นไปกับกุมารทั้งสองทันที
    ไม่นานนักก็มาถึงยังสถานที่แห่งหนึ่งเรียกว่า “ฉุ้ยหัวต้งเทียน” (ถ้ำฟ้าดอกเขียวหยก)
    เมื่ออาตมาก้าวเข้าไปข้างในปราสาทแก้ว พระพุทธเจ้าส้างกวงก็ออกมาต้อนรับ
    เหลียนเซิน ตั้งแต่เราจากกันคราวก่อน ท่านเป็นอย่างบ้าง สบายดีหรือเปล่า
    อาตมารู้สึกแปลกใจมาก เพราะอาตมาไม่เคยรู้จักพระพุทธเจ้าส้างกวงองค์นี้จริงๆ อีกทั้งองค์แห่งพระพุทธเจ้านั้นมีทั้งธรรมกาย สัมโภคกาย และนิรมานกาย
    ธรรมกาย คือ แสงรัศมีพระวรกายอันไร้ขอบเขต
    สัมโภคกาย คือ ความถึงพร้อมด้วย มหาปุริลักษณะ 32 ประการ และอนุพยัชนะ 80 ประการ
    นิรมานกาย คือ ลักษณะในนามรูป
    ยกตัวอย่างเช่นอาตมาเองก็มี ธรรมกาย รัศมีเจิดจ้าไร้ขอบเขต เสมือนอัคครีสุริยะ สัมโภคกายเป็นปัทมกุมารแห่งพระพุทธเจ้าอมิตาภะ นิรมานกาย คือเราเองพระพุทธาจารย์เหลียนเซิน-หลูเซิ่งเหยี่ยน
    อาตมายังงุนงงอยู่ชั่วขณะ พระพุทธเจ้าส้างกวงมองแล้วก็ทรงทราบ แล้วทรงพลางยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะตรัสกับอาตมาว่า เพราะเราได้แสดงรูปลักษณ์เป็นสัมโภคกาย ท่านจึงจำเราไม่ได้ ไหนๆท่านลองมองดูดีๆ สิว่าเราคือใคร
    แล้วพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าส้างกวงก็เปลี่ยนไป หลายครั้ง
    ท่านคือเทพเจ้าเหวินชางแห่งวังฉือจี้นั่นเอง (พระพุทธาจารย์เหลียนเซินตอบ)
    เทพเจ้าเหวินชางแห่งวังฉือจี้กับอาตมาเคยพบปะกันหลายครั้ง เราต่างก็คุ้นเคยกันดี แต่อาตมาไม่นึกเลยว่า ท่านจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าแล้วมีพระนามว่า “พระพุทธเจ้าส้างกวง”
    พระพุทธเจ้าส้างกวงตรัสต่ออีกว่า
    มนุษย์โลกในปัจจุบันนี้มีความโลภหนักหนาสาหัส จะหาซึ่งผู้ละเว้นจากกามารมณ์ได้น้อยมาก แม้อารยธรรมจะก้าวหน้าแต่แสงแห่งความดีงาม เกือบสูญสิ้นไป เราไม่นึกเลยว่าชาวโลกส่วนใหญ่จะหลงผิดติดอยู่ในภพทั้งสาม พอเห็นแล้วก็รู้สึกสงสารและโศกเศร้าไม่ได้ วันนี้เราเสียมารยาทเรียนเชิญท่านมา ก็เพราะอยากจะอาศัยความสามารถของท่านสักหน่อย
    ให้ท่านเขียนบทประพันธ์เป็นหนังสือขึ้นมาสักเล่มหนึ่ง เพื่อที่จะกอบกู้ให้ชาวโลกตื่นจากความหลงผิด ให้คำนึงถึงศีล ละเว้นจากความโลภทั้งปวง อันจะยังประโยชน์และผาสุขแก่มวลมนุษย์
    แล้วอาตมาก็ถามพระพุทธเจ้าส้างกวงว่า แล้วจะหาข้อมูลมาจากที่ไหนหรือ
    ข้อมูลนะมีอยู่แล้ว แต่ต้องใช้กุศโลบายในการเขียนของท่าน ไม่ต้องวิตกกังวลไป เราจะสั่งคนส่งข้อมูลไปให้ท่านเขียนเอาเองก็แล้วกัน
    อาตมาถามขึ้นว่า ผู้นั้นคือใครหรือ
    เขามีนามว่าแซ่ลี
    แล้วอาตมาก็ชมทิวทัศน์อันสวยงามในสวรรค์ “ฉุ้ยหัวต้งเทียน” ของพระพุทธเจ้าส้างกวงแล้ว ก็ได้เจรจากับพระพุทธเจ้าส้างกวงที่โต๊ะ และได้ฉิมน้ำทิพย์ บนพุทธเกษตรของท่าน เสร็จแล้วอาตมาจึงได้ขออนุญาตลากลับ
    จากนั้นไม่นานอาตมามีโอกาสได้ไปไหว้พระที่ อาศรมพุทธศรัทธา
    ขณะนั้น เจ้าอาวาสได้ถามอาตมาว่า
    ท่านแซ่หลูใช่หรือไม่
    อาตมาตอบว่า ทำไมท่านถึงทราบล่ะ
    เพราะเมื่อคืนอาตมาฝันเห็นพระพุทธเจ้าส้างกวง มาพบ แล้วตรัสว่า วันนี้จะมีคนแซ่หลูมาหาพร้อมกับจุดธูปบูชา เมื่อพบแล้วให้อาตมานำเอกสารนี้มอบให้
    แล้วเอกสารที่ท่านพูดถึงนั้นอยู่ที่ไหน
    สิ้นคำถามแล้ว เจ้าอาวาสได้มอบกระดาษซองใหญ่ซองหนึ่งให้อาตมา เมื่ออาตมาเปิดดูคร่าวๆ ก็พบว่าเป็นกระดาษที่เขียนด้วยลายมือ มีข้อความขอร้องให้ผู้อื่นทำแต่ความดีงามทั้งสิ้น
    อาตมาจึงถามเจ้าอาวาสว่า ท่านรู้หรือไม่ว่าใครเป็นคนเขียน
    เจ้าอาวาสตอบว่า ไม่ทราบเหมือนกัน เมื่ออาตมารับหน้าที่เป็นเจ้าอาวาส ก็มีเอกสารเหล่านี้อยู่แล้ว พอเปิดดู ก็คิดอยู่ว่าถ้าเราทิ้งไปคงเสียดาย จึงเก็บเอาไว้ ไม่นึกเลยว่าวันหนึ่ง พระพุทธเจ้าส้างกวงจะมาเข้าฝัน เพื่อนำเอกสารนี้ส่งมอบให้ท่าน
    ได้ยินเจ้าอาวาสเล่าเรื่องมาแบบนี้ อาตมาจึงคิดว่า หากถามต่อไปก็คงไม่ได้อะไร เอาล่ะท่านก่อนจากกัน อาตมาขอถามเจ้าอาวาสหน่อยเถิดว่า
    เจ้าอาวาสมีนามว่าแซ่อะไร
    อาตมาแซ่หลี่
    นี่ล่ะคือปฐมเหตุ...แห่งการประพันธ์หนังสือเล่มนี้ เย็นจิตสดใส ในฉับพลัน
     
  9. chibasusumu

    chibasusumu สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +169
    บทนำ

    บทนำ
    ภพภูมิแห่งจิตวิญญาณที่เจิดจ้า สว่างและมหาสุขะ

    หลายวันมานี้ ได้เกิดพุทธะจิตในจิตกล่าวเตือนสติอาตมา
    ถึง3ประโยค และแม้เป็นเพียงสำนวนที่ธรรมดา แต่ก็ได้แฝงไว้ด้วยปรัชญา ดังนี้
    1.ทุกสิ่งย่อมจะผ่านพ้นไป
    2.ทุกชีวิตล้วนต้องดับสูญ
    3.ทุกสิ่งที่มีอยู่ จะเป็นสุญญตาในชั่วพริบตา
    อาตมาคิดคำนึงถึง 3 ประโยคนี้อยู่เสมอ และรู้ว่ากิเลสต่างๆ ในสากลโลกจะต้องผ่านพ้นไปในที่สุด
    เพราะเมื่อมีการเกิดก็ย่อมมีการตาย และที่ผ่านมาคลื่นทะเลได้ชะล้างสัตบุรุษกลืนหายไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร มาตั้งแต่สมัยโบราณกาล ซึ่งล้วนมีแต่ความว้าเหว่เหงาหงอย และแท้จริงแล้วสุดท้ายชีวิตต่างต้องเอยดับสูญ
    ทุกสิ่งถือเป็นวัตถุธาตุ หมุนเวียนเปลี่ยนมืออยู่ตลอดเวลา บ้างก็สูญหาย บ้างก็มอบให้ผู้อื่น คนเราไม่ควรเสียเวลาคิดถึง วัตถุ ทรัพย์สิน เงิน ทอง เพราะเพียงแค่พริบตาเดียวสรรพสิ่งเหล่านี้ก็กลายเป็นสุญญตาแล้ว
    เมื่ออาตมาหวนนึกถึงพุทธะในจิตทั้ง 3 ประโยคนี้คราใด ก็ล้วนรู้สึกสะเทือนใจยิ่งนัก แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกเย็นจิต เกิดความสดใสในฉับพลันขึ้นมาทันที
    สมัยก่อนอาตมาชอบพูดถึงประวัติศาสตร์ของประเทศจีนอยู่บ่อยครั้ง ตั้งแต่ราชวงศ์ถังอี๋ เซี้ย ซังโจว ราชวงศ์ฉิน ฮั่น สามก๊ก เว่ย จิ้น และราชวงศ์เหนือใต้ จนสุดท้ายมาถึงราชวงศ์ถัง ซ่ง หยวน หมิง และชิง
    รัชสมัยหนึ่งต่อเนื่องสืบราชบัลลังก์ ต่อจากฮ่องเต้อีกองค์หนึ่ง...
    พระราชวังหลวงแห่งหนึ่งที่ต่อเนื่องจากอีกแห่งหนึ่ง...ฮ่องเต้องค์หนึ่งก็มีข้าราชบริพาร ทั้งราชสำนัก...ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร ทุกอย่างล้วนต้องผ่านพ้นไป ทุกสิ่งล้วนต้องแตกสลาย เหมือนปุยเมฆ เหมือนน้ำค้าง
    สรรพสิ่งล้วนว่างเปล่าไม่มีตัวตน การที่ชาวโลกโศกเศร้าก็ดี อาลัยอาวรณ์ก็ดี ทั้งหมดนี้อยู่ในท่ามกลางมหากระแสแห่งกาลเวลา ลงท้ายไม่มีประโยชน์ที่แท้จริง

    อาตมาขอรบกวนเวลา เล่านิทานให้พวกท่านฟังสักเรื่องหนึ่ง
    นานมาแล้ว มีนักเดินทางผู้หนึ่ง เจอหมีตัวหนึ่งไล่ตามเขาตกใจวิ่งหนี สุดท้ายได้ตกลงไปในผาหินของหุบเขาแห่งหนึ่ง แต่พอดีจับกิ่งไม้ของต้นไม้ใหญ่ได้จึงไม่ตาย ทว่าใต้ต้นไม้นั้นมีเสือหิวตัวใหญ่กำลังเดินวนเวียนอยู่ใต้ต้นไม้รอเขาอยู่ แล้วใกล้ๆ กับกิ่งไม้ที่เขาเกาะอยู่นั้น มีผลสตรอเบอร์รี่มากมาย
    ข้างบนมีหมี
    ข้างล่างมีเสือ
    บูรพาจารย์ฝ่ายนิกายเซน เคยกล่าวเป็นคำสอนถึงเรื่องนี้เอาไว้ว่า
    นักเดินทางผู้นี้ได้เด็ดผลสตรอเบอร์รี่มากิน เสวยสุขจากความหอมหวานของผลนั้น ไม่สนใจไยดี วิตกถึงหมีที่อยู่เบื้องบนหรือเสือที่อยู่เบื้องล่าง เพราะว่าหมีที่อยู่เบื้องบน ได้ผ่านพ้นไปแล้ว หรือพูดง่ายๆ ว่าเป็นอดีตนั่นเอง
    ส่วนเสือที่อยู่เบื้องล่าง ก็เป็นเรื่องของอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ซึ่งอนาคตนั้นย่อมมีการเปลี่ยนแปลงได้อยู่ตลอดเวลา แล้วทำไมถึงไม่จดจำปัจจุบันที่ได้เสวยสุขกันอยู่เล่า ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่จิตแห่งความสงบเย็นและสดใสได้เกิดขึ้น
    ในความคิดเห็นส่วนตัวของอาตมา นิทานเรื่องนี้มีความหมายทางปรัชญามาก เมื่อเกิดเป็นคน สิ่งที่ผ่านพ้นไปแล้วไม่ต้องคิดถึง ส่วนอนาคตนั้นก็ยังมาไม่ถึง ไม่มีความแน่นอน ไม่ต้องกังวลใดๆล่วงหน้า สำหรับโชคดีโชคร้ายเองก็ยังไม่แน่นอน ส่วนวาสนากับหายนะเป็นของคู่กัน และผู้ดวงดีย่อมมีฟ้าคุ้มครอง
    ขอให้ทุกคนจงกิน “ผลสตรอเบอร์รี่” ดีกว่ามัวกังวลเรื่องหมีหรือเสือ
    ดั่งเช่นตัวของอาตมาในปัจจุบัน ที่รู้ลึกซึ้งถึง “ปรัชญาของพระตถาคต”
    อาตมามีชีวิตอยู่ใน “ปัจจุบันขณะ” มีชีวิตอยู่กับ “ความสงบเย็นและสดใส”
    อาตมารู้ว่า ชีวิตของคนเราสิ่งที่มีค่าที่สุดคือ "ปรัชญา" ในทันใดขอให้พวกเราจงจำให้ดีว่า
    เมื่อใดไม่ก่อกรรมชั่ว
    เมื่อใดระวังกฎแห่งกรรม
    เมื่อนั้นไม่เข้าสังสารวัฏ
    หากเป็นเช่นนี้แล้ว ย่อมจะได้มาซึ่ง......"เย็นจิตสดใสในฉับพลัน
     
  10. chibasusumu

    chibasusumu สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +169
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2016

แชร์หน้านี้

Loading...