ปฏิบัติเพื่ออะไร : ชยสาโรภิกขุ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย nondanun, 10 ตุลาคม 2008.

  1. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,612
    ปฏิบัติเพื่ออะไร...ชยสาโรภิกขุ

    โดยมากชาวบ้านไปวัดที่พระสงฆ์ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจะมีความรู้สึกชื่นใจ

    พระเราก็เช่นเดียวกัน เห็นฆราวาสมีการเสียสละ ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติธรรม ก็รู้สึกชื่นอกชื่นใจ

    วันนี้อาตมาก็ได้มีโอกาสมาเยี่ยม มาให้กำลังใจ ให้ข้อคิด และหลักปฏิบัติแก่พวกเราร้อยกว่าคน
    ที่ได้อุตส่าห์สละเวลา สละความสะดวกสบาย เพื่อมาฝึกอบรมตนตามหลักคำสอนของพระพุทธองค์
    อาตมาก็ขอแสดงความรู้สึกยินดีและชื่นใจ


    งานประเภทนี้อาตมาเคยตั้งชื่อว่า เป็นงานกินเกลือ
    เพราะว่าส่วนมากพวกเราเคยกินแต่ด่างมาหลายปีแล้ว
    รู้สึกว่าขาดเกลือสักหน่อย เพราะฉะนั้นต้องมีงานกินเกลือ ทีนี้วิธีกินเกลือของเราก็ไม่มีอะไรนอกจากการขัดเกลากิเลสของตัวเอง



    เรื่องการประพฤติปฏิบัตินั้น จุดสำคัญอยู่ที่ความเข้าใจในการกระทำหรืออย่างที่ภาษาพระเรียกว่า สัมมาทิฐิ

    ความเห็นชอบเรื่องนี้ หลวงพ่อชาซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของอาตมา
    เคยเตือนอยู่เสมอว่า อย่าลืม
    อย่าปฏิบัติ เพื่อจะเอาอะไร
    อย่าปฏิบัติเพื่อจะได้อะไร
    อย่าปฏิบัติเพื่อจะเป็นอะไร
    แต่ปฏิบัติด้วยการปล่อย เพื่อการปล่อยวาง

    ถ้าเรายังปฏิบัติด้วยความหวังว่าจะได้อะไรดีๆ เอาไปบ้าน เรามักจะผิดหวัง

    ความจริงแล้ว ขออภัยนะ
    วัดก็คล้ายๆ กับส้วม
    มีหลายคนที่ชอบถามว่า คุณไปวัดได้อะไรบ้าง คุณไปวัดก็เหมือนกับคุณไปห้องส้วม คุณจะได้อะไรบ้าง ก็ไม่ได้อะไร แต่ว่าเราก็ได้ถ่ายของสกปรกออกไปก็มีประโยชน์เหมือนกัน


    เพราะฉะนั้น แทนที่จะเห็นการปฏิบัติเป็นวิธีการที่จะได้ของดี
    เราควรจะถือว่าเป็นโอกาสที่จะถวายความดีแก่พระศาสนา

    เพราะว่าทุกวันนี้พวกเราในประเทศไทย
    นับวันก็ห่างไกลจากพระศาสนา
    จนกระทั่งมีคนในระดับปัญญาชนหลายคน ที่มีการพูด มีการแสดงออกต่างๆ
    ที่ให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่าท่านเหล่านั้น
    ไม่เข้าใจหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าเอาเสียเลย
    อย่างเช่นมีข้าราชการผู้ใหญ่บอกว่า พระไม่มีหน้าที่รักษาป่า เป็นต้น


    ถ้าเราอ่านในพระบาลีจะพบว่า พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนว่า
    ตราบใดที่พระหรือนักปฏิบัติยังมีความยินดีในเสนาสนะป่า
    พระพุทธศาสนาจะไม่เสื่อมหายจากโลกตราบนั้น

    เพราะฉะนั้น การอยู่กับป่า การอยู่กับต้นไม้เป็นสิ่งสำคัญ
    เพราะฉะนั้นเราต้องสร้างความเข้าใจในเรื่องพระพุทธศาสนาให้ดีขึ้น


    ปีนี้อาตมาได้รับนิมนต์ไปสอนธรรมะที่อเมริกา
    มีบางคนถามอาตมาว่า ประเทศไทยเป็นประเทศนับถือศาสนาพุทธ
    แต่ทำไม่ประเทศไทยยังมีคอรัปชั่นมาก ๆ มีปัญหามากๆ
    ทำให้อัตราการฆ่าคนเป็นอันดับสองของโลก
    ทำไมจึงมีปัญหามากๆ

    อาตมาก็บอกไป ก็พูดเล่นๆ นะ
    ตอบว่าอาจจะเป็นเพราะว่าผู้หลักผู้ใหญ่ในเมืองไทยเข้าโรงเรียนคริสต์
    แล้วก็ทำปริญญาที่อเมริกา

    คือ จะไปโทษศาสนาพุทธไม่ได้ ไม่ใช่ว่าศาสนาพุทธมากไป
    แต่ศาสนาพุทธน้อยไป เรายังไม่เข้าใจถึงแก่นของศาสนาพุทธ
    เรายังพอใจในสิ่งที่เป็นเปลือกของศาสนาเสียมาก


    วิธีการที่เราจะเข้าถึงแก่นของศาสนาพุทธก็อยู่ที่การประพฤติปฏิบัติ
    พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนไว้ว่า ทุกข์เกิดเพราะอวิชชา ทุกข์เกิดเพราะความหลง

    การประพฤติปฏิบัติต้องเป็นไปเพื่อขจัดเหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์ คือ อวิชชานั้น

    พูดง่าย ๆ
    การประพฤติปฏิบัติธรรม คือการลดความโง่ขอตนเอง พูดภาษาชาวบ้านนะ

    เพราะฉะนั้น ใครอ้างว่าไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม ก็เท่ากับอ้างว่าไม่มีเวลาลดความโง่ของตัวเอง
    ซึ่งไม่น่าเป็นความจริง

    เรามีเวลา เพราะว่าชีวิตเราประกอบด้วย กาย วาจา ใจ
    และสิ่งเหล่านี้อยู่นิ่งไม่ได้ ต้องมีการกระทำ ต้องมีการเคลื่อนไหว
    อย่างที่พระท่านว่า กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม

    เพราะฉะนั้น การไม่ปฏิบัติไม่มีในโลก
    เราก็ปฏิบัติกันอยู่ทุกคน แต่สำคัญว่าเราปฏิบัติอะไรกันอยู่


    เราไม่มีทางที่จะเลือกระหว่างการปฏิบัติและการไม่ปฏิบัติ
    แต่ว่าเรามีทางเลือกระหว่างการปฏิบัติสิ่งที่เป็นธรรมะ
    กับการปฏิบัติสิ่งที่ไม่เป็นธรรมะ หรือสิ่งที่เป็นอธรรม



    วันนี้อาตมามีความชื่นใจที่เห็นญาติโยมได้ตั้งใจ
    เข้างานกินเกลือของวัดสวนโมกข์
    มาขัดเกลาตัวเองเพื่อเข้าถึงแก่นสารของพระพุทธศาสนา

    แก่นสารของพระพุทธศาสนาอยู่ที่ไหน แก่นสารพระพุทธศาสนาอยู่ที่แก่นสารของชีวิตของตนนั่นเอง
    เพราะว่าพุทธศาสนาเป็นเรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องของวัด ไม่ใช่เรื่องข้างนอก
    แต่เป็นเรื่องของเราทุกคน

    เพราะฉะนั้นเราต้องแสวงหาวิธีการดับความทุกข์นั้น
    เราต้องพยายามเข้าถึงอาการที่ปราศจากทุกข์
    ซึ่งเราถือว่าเป็นสิ่งสูงสุดที่มนุษย์เข้าถึงได้ ทั้งผู้ชาย ทั้งผู้หญิง
    ไม่ว่าเราเป็นคนชาติไหนชั้นไหน
    เราล้วนแต่มีโอกาสล้วนแต่มีความสามารถหรือมีศักยภาพ
    ที่จะหลุดพ้นจากอำนาจของกิเลสไม่มากก็น้อย

    เราประพฤติปฏิบัติ เรามุ่งที่จะลดความโง่ของตัวเองทีละเล็กทีละน้อย
    ไม่ต้องมักใหญ่ใฝ่สูง
    ไม่ต้องเอามากๆ เอาทีละเล็กเอาทีละน้อยก็ยังดี
    ค่อยเป็นค่อยไป

    และในการประพฤติปฏิบัตินี้อย่าไปเปรียบเทียบตนเองอับคนอื่น
    จะเป็นทุกข์ฟรี ๆ ไม่ฉลาด
    เรื่องนี้เราไปดูคนอื่นไม่ได้ ต้องดูตัวเอง
    ต้องสังเกตการเคลื่อนไหวกายใจของตนเอง ให้เข้าใจว่า ชีวิตนี้คืออะไร
    อันนี้มันสนุกที่ตรงนี้ เรียกว่าจะมีความสุขที่ตรงนี้

    แต่ว่า การที่เราจะประพฤติปฏิบัติอย่างราบรื่น อันนี้เป็นของยาก
    น้อยคนที่จะเป็นอย่างนั้น ส่วนมากเราก็ต้องผ่านการล้มลุกคลุกคลาน
    แต่ว่าเราควรที่จะพิจารณาในแง่ของความจริงที่เรียกว่า ปัญญาเกิดจากการฟันฝ่าอุปสรรค

    ยิ่งมีอุปสรรคมากยิ่งมีโอกาสที่จะสร้างปัญญามาก
    ฉะนั้นผู้ที่มีอุปสรรคมากๆ เป็นผู้มีบุญมากน่าอิจฉา

    ครูบาอาจารย์ของอาตมาเอง คือ หลวงพ่อชา ท่านมีปัญหามาก
    ท่านอยู่ด้วยความอดทน จนในที่สุดท่านก็ผ่านพ้นอุปสรรคเหล่านั้นมาได้
    ท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่น่าเคารพ
    เป็นที่เคารพนับถือของคนไทยทั่วโลกในสมัยปัจจุบัน
    ก็อาจจะเป็นเพราะว่าท่านเคยผ่านความทุกข์มาแล้ว

    เวลาท่านสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหา ท่านก็รู้จักปัญหาที่ลูกศิษย์กำลังเผชิญหน้าอยู่อย่างถ่องแท้
    ท่านจึงสามารถเลือกคำสอนและธรรมะที่เหมาะสมกับจิตใจของลูกศิษย์ได้อย่างน่าอัศจรรย์

    อาจจะเป็นได้ว่า ถ้าการประพฤติปฏิบัติของท่านง่ายกว่านี้ สบายกว่านี้ ท่านอาจจะไม่มีปัญญาในการสอนถึงขนาด

    มองดูตัวเองก็เหมือนกัน
    ถ้าเรากำลังมีปัญหาก็อย่าไปท้อใจ อย่าหดหู่ใจ
    แต่ปลอบใจตัวเองว่า ถ้าเราอดทน ถ้าเราไม่ท้อถอย ในที่สุดเราต้องผ่านพ้นอุปสรรคนี้ได้

    เพราะพระพุทธองค์ทรงยืนยันได้ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว อันนี้เป็นกฏตายตัวของธรรมชาติ จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม

    ยอดของความดีหรือบุญสูงสุดคือการ ภาวนา เราภาวนากับความทุกข์
    เราภาวนากับปัญหา เราไม่รังเกียจปัญหา อันนี้ก็จะเป็นการสร้างบารมี เป็นการชำระจิตใจของตนเอง แล้วในที่สุดเมื่อเราพ้นจากปัญหานี้ได้แล้ว เราจะมีความสามารถที่จะช่วยคนอื่นที่กำลังเจอปัญหานี้ได้อย่างดี ถ้าเรามองอย่างนี้แล้วก็ได้กำลังใจ

    เรื่องการฝึกจิตนี้ก็เหมือนกับการอบรมเด็ก ๆ จะด่าว่าอย่างเดียวก็ไม่ได้
    จะปลอบใจเอาอกเอาใจอย่างเดียวก็ไม่ได้
    จะเอาอย่างใดอย่างเดียวไม่ได้
    แต่เราต้องมีสติให้รู้ว่าเวลาไหนควรปลอบใจ
    เวลาไหนควรเอ็ดควรด่า ควรว่า ก็ต้องมีเหมือนกัน
    เอาอย่างใดตายตัวไม่ได้

    ทางสายกลางนี้มีการเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาเหมือนกันนะ
    คือทางสายกลางไม่ใช่เราจะเอาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
    แต่ว่ามันขึ้นอยู่กับการสร้างความรู้สึกที่สุขุมละเอียดอ่อนต่อความพอดี
    และความพอดีนั้นหมายถึงความพอดีต่อการชำระกิเลส
    เรามุ่งปัญญา มุ่งที่จะปล่อยวาง


    คำสั่งสอนของพระพุทธองค์ที่ทรงฟังง่ายก็มี ที่ฟังยากก็มี
    คำสั่งสอนบางข้อเราฟังแล้วก็รู้ลึกซึ้ง บางข้อฟังแล้วก็รู้สึกงง ไม่เข้าใจ
    คำสอนบางข้อนี้ฟังแล้วก็รู้สึกเฉย ๆ หรือไม่ประทับใจ

    แต่มีข้อหนึ่งเป็นธรรมที่สำคัญอย่างยิ่งในชีวิตของนักปฏิบัติ
    นั่นคือคำว่า นิโรธ คือ ความดับ

    ถ้าเรายกเรื่องความดับขึ้นมาเป็นเป้าหมายในการปฏิบัติ
    อาจมีหลายคนที่รู้สึกว่าเป็นเป้าหมายที่ไม่ค่อยดึงดูดจิตใจ
    เราต้องเข้าใจเรื่องนี้ให้ได้


    อาตมาขอเปรียบเทียบกับเลื่อย เลื่อยไฟฟ้าที่กำลังตัดต้นไม้
    เสียงดังเสียงน่ารำคาญ ฟังไปฟังมาก็รู้สึกเครียด
    แล้วมันจะถึงจุดหนึ่งที่เครื่องนั้นดับ
    ขอให้สังเกตตรงนี้ว่า เรารู้สึกอย่างไรบ้าง อันนี้ คือ ความดับ

    ดับทุกข์มันจะอยู่ในลักษณะนี้ แล้วก็สังเกตต่อว่าหลังจากเสียงเลื่อยไฟฟ้าดับแล้ว
    ไม่ใช่ว่าไม่มีเสียงอะไรเลย ก็มีอยู่เหมือนกัน เช่นเสียงนก เสียงลมพัด
    เสียงธรรมชาติก็ยังมีอยู่ แต่ว่าเสียงเหล่านั้นไม่เป็นอุปสรรค
    หรือไม่แระทบกระแทกต่อความสงบที่เรากำลังเสวยอยู่

    ความทุกข์ดับแล้วไม่ใช่ว่าจะไม่มีอะไร
    สิ่งที่มีอยู่ก็คือสิ่งที่เรียกว่า ความปลอดโปร่ง
    อาตมาเองก็ไม่ค่อยได้ใช้คำว่าว่าง เพราะรู้สึกว่าคำนี้ค่อนข้างอันตราย
    บางคนฟังแล้วก็เข้าใจผิดก็มี เขาใช้คำว่า ปลอดโปร่งอาจจะดีกว่า


    สมมติว่าเรามีห้องใหญ่ หรือศาลาหลังใหญ่
    ถ้าหากว่าเปิดหน้าต่าง เปิดประตูอากาศถ่ายเท มีแสงสว่าง ถึงแม้ว่าห้องนั้นไม่ว่างมันก็มีเก้าอี้ มีคน มีโต๊ะ มีอะไรต่ออะไรบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่างทีเดียว
    แต่เราไม่มีความรู้สึกว่ารก รู้สึกว่าปลอดโปร่ง

    จิตใจของเราก็เหมือนกัน
    ไม่ใช่ว่าความทุกข์ดับไปแล้วจะไม่มีอะไร
    ชีวิตจะจืดชืดแห้งแล้ง ...ไม่ใช่

    เมื่อความสกปรกหายไปแล้วจะมีอะไรไหม ...มันก็มีอยู่
    ... มีความสะอาด
    ความวุ่นวายหมดไปแล้วเราก็มีความสงบ

    และความสงบที่ประกอบไปด้วยปัญญา เป็นความสงบที่ทนทาน
    เราจะมีความเป็นกลางที่สมบูรณ์ บริบูรณ์ คือ อุเบกขาในระดับนี้


    ไม่ใช่ความเฉยเมยหรือความเป็นกลางที่เกิดขึ้น
    เพราะเราไม่ยอมรับสิ่งภายนอก หรือว่าหลบหลีกจากสิ่งรบกวน แต่ว่าเป็นความเป็นกลางที่อาศัยปัญญา
    (เพื่อ)รู้สิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามความเป็นจริงว่าเป็นของไม่แน่

    ดีใจก็ของไม่แน่
    เสียใจก็ของไม่แน่
    สมหวังก็ของไม่แน่
    ผิดหวังก็ของไม่แน่
    ก้าวหน้าก็ของไม่แน่
    ถอยหลังก็ของไม่แน่
    อยู่กับที่ก็ของไม่แน่
    อยากอยู่ก็ของไม่แน่
    ตื่นเต้นอยู่ก็ของไม่แน่
    นี่มันสงบด้วยสัมมาทิฐิ

    ความสงบนี้เป็นความสงบที่กล้าหาญ
    ความสงบที่เกิดจาก สมถะ เป็นสิ่งที่ดี

    แต่สิ่งที่เราขาดไม่ได้ คือปัญญาอันแหลมคม
    หรือปัญญาที่มีพลังพอที่จะขจัดกิเลสได้
    ย่อมเกิดจากจิตที่สงบเป็นฐานแต่ว่าความสงบที่เกิดจากสมถะภาวนาเป็นความสงบที่เปราะ
    เป็นความสงบที่อ่อนแอ

    ความสงบที่มุ่งหวังในการประพฤติปฏิบัติคือ
    ความสงบที่เกิดจากการรู้เท่าทันสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง

    ขออย่าลืมว่า เราปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความเป็นจริงของชีวิต
    ชีวิตของมนุษย์ต้องการความจริง
    ชีวิตของมนุษย์ต้องการความหลุดพ้นตัณหาที่เกิดขึ้นในจิตใจของมนุษย์ในปัจจุบันนี้
    ส่วนมากเกิดขึ้นจากการเก็บกดความต้องการในความเป็นอิสระ
    ซึ่งเป็นความต้องการอันดั้งเดิมของมนุษย์

    หลายสิบปีที่แล้วมีนักปราชญ์ชาวยิว ชื่อ ฟรอยด์
    ท่านมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมตะวันตกทุกวันนี้
    อาจจะรวมถึงวัฒนธรรมตะวันออกด้วยอย่างมากมาย

    ทิฐิหรือความคิดเห็นของเขามีข้อหนึ่งแล้วก็เป็นข้อสำคัญว่า
    ศรัทธาในศาสนธรรมหรือความสนใจในเรื่องศาสนา
    เกิดจากการเก็บกดความรู้สึกทางเพศ

    แต่อาตมามีความเห็นตรงกันข้าม ความมัวเมาในเรื่องทางเพศเกิดขึ้นเพราะเราเก็บกดความต้องการทางศาสนา
    อันนี้เราต้องเห็น(ว่า)เรามีความต้องการ
    ต้องการความจริง
    ต้องการสัจธรรม
    ต้องการหลุดพ้นจากความบีบคั้นของความโลภ ความโกรธ ความเหงา

    ปัญญา...เราก็มีอยู่ทุกคน
    แต่โดยปกติแล้วปัญญาดั้งเดิมของเราถูกความคิดฟุ้งซ่านของจิตปรุงแต่ง
    กลบเกลื่อนไว้หรือทับถมไว้

    เราอยู่โดยชีวิตที่ผิวเผิน ..
    ลึก ๆ อยู่ในใจเรา เราก็มีความคิดถึงบ้าน
    และพูดสำนวนของหลวงพ่อชาคิดถึงบ้านที่แท้จริง
    เพราะฉะนั้นชีวิตประจำวันของเราก็แสวงหาความสุขทางเนื้อหนัง
    หรือว่าด้วยสิ่งที่มีความเกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมดา

    แต่เราก็สงสัยว่าทำไมเราไม่อิ่มสักที
    ทำไมเรามีความรู้สึกว้าเหว่อยู่ในใจ
    บางครั้งก็รู้สึกกลัดกลุ้มใจ
    รู้สึกว่าขาดอะไรสักอย่าง แต่ไม่รู้ขาดอะไร
    นี่แหละแสดงถึงอาการเก็บกด ความต้องการทางศาสนา

    หันหลังใส่ประโยชน์ตน หันหลังใส่ประโยชน์ท่าน
    ไปมั่วสุมกับสิ่งทรยศทั้งหลาย
    รูปเป็นของทรยศ เสียงก็ของทรยศ กลิ่นก็ทรยศ รสก็ทรยศ การสัมผัสก็ทรยศ

    รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เป็นเพื่อนกิน ไม่ใช่เพื่อนตาย

    เพื่อนตายมีองค์เดียวคือ พระพุทธเจ้า
    แล้วเราต้องการอะไรในชีวิต ต้องการเพื่อนกิน หรือต้องการเพื่อนตาย

    ต้องการเพื่อนตายต้องเอา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งทางใจ
    เราต้องมีการเสียสละเพื่อศาสนธรรม

    ทุกวันนี้เท่าที่อาตมาสังเกต ส่วนมากพวกเรา
    พร้อมที่จะสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อศาสนา
    เว้นในสิ่งเดียว คือ ผลประโยชน์ของตนเอง อย่างนี้เรียกว่า เข้าข้างตัวเอง
    ยังไม่เข้าถึงศาสนา

    เราต้องเข้าข้างพระพุทธเจ้าเสียบ้าง
    เข้าข้างความจริงเสียบ้าง
    เข้าข้างความถูกต้องเสียบ้าง

    มีศรัทธา มีความเข้มแข็ง พอที่จะอดทนต่อความยั่วยุของกิเลส

    พร้อมที่จะสละสิ่งที่ถูกใจ ถ้าหากว่าสิ่งที่ถูกใจเป็นไปเพื่อความเบียดเบียนตน เบียดเบียนผู้อื่น หรือเพื่อการเบียดเบียนธรรมชาติสิ่งแวดล้อม

    เราต้องเป็นนักเสียสละ
    แต่ว่ายิ่งสละออกไปมันก็ยิ่งมีความสุข ยิ่งทิ้งของหนักก็ยิ่งมีความเบา
    ยิ่งเขี่ยของสกปรกออกไปยิ่งมีความเบิกบานกับของสะอาด

    ถ้าเราคลุกคลีอยู่กับความรู้สึก​
     
  2. wara43

    wara43 ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2006
    โพสต์:
    9,108
    ค่าพลัง:
    +16,130
    [​IMG][​IMG] ขอกราบโมทนาสาธุครับ สาธุ...[​IMG][​IMG]
     
  3. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ที่นำสาระ ดี ๆ มาให้อ่านครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p



    _____________________________<O:p</O:p
    เชิญร่วมบริจาคหนังสือ เข้าห้องสมุดชุมชนวัดย่านยาว<O:p</O:p
    http://palungjit.org/showthread.php?t=130823<O:p</O:p
     
  4. Khundeaw

    Khundeaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    339
    ค่าพลัง:
    +706
    ขออนุโมทนาสาธุ ด้วยคนครับ
     
  5. TUK2800

    TUK2800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,766
    ค่าพลัง:
    +1,161
    ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ....
    ;aa16<O:p</O:p
    การนั่งสมาธิอย่างน้อยวันละ 15 นาที(หรือเดินจงกรมก็ได้)
    อานิสงส์ --- เพื่อสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดขึ้นทั้งภพนี้และภพหน้า
    เพื่อจิตใจที่สว่างผ่อนปรนจากกิเลส ปล่อยวางได้ง่าย
    จิตจะรู้วิธีแก้ปัญหาชีวิตโดยอัตโนมัติชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองไม่มีวันอับจน
    ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพกายและจิตแข็งแรง
    เจ้ากรรมนายเวรและญาติมิตรที่ล่วงลับจะได้บุญกุศล
     

แชร์หน้านี้

Loading...