ขอขอบคุณ /เครดิตและที่มาจาก เพจ คุณ ศิษย์กวง
เมื่อ ท่านหลวงพ่อตี๋ วัดบางคนทีใน พูดถึงหลวงพ่อ หลา อดีตเจ้าอาวาส ...
จะเป็นเช่นไร ติดตามศึกษากันได้ครับ อีกรูปที่เป็นพระดี แต่ไม่จำเป็นต้องดัง
เรื่องที่ หลวงพ่อตี๋พูดถึงหลวงพ่อหลา มีดังนี้ครับ (ขออนุญาตคัดลอก)
หลวงปู่หลา สุขวโร หรือ พระครูพิศาลสมุทรคุณ เจ้าอาวาสองค์เก่าซึ่งมีศักดิ์เป็นหลวงอาของท่าน ก่อนที่เราจะออกไปต่อยอดความรู้และสัมผัสเรื่องราวของหลวงปู่หลาจากชาวบ้านในพื้นที่ด้วยตัวของพวกเราเอง
หลวงพ่อค่อยๆ เล่าถึงเรื่องราวแต่หนหลังของหลวงปู่หลาทั้งในเรื่องปกติและเรื่องที่ถือว่ามหัศจรรย์ ซึ่งในประเด็นส่วนหลังท่านบอกว่าไม่ค่อยอยากเผยแพร่ถึงแม้จะเป็นเรื่องจริง เนื่องจากว่าไม่มีหลักฐานยืนยัน เช่นเรื่องที่หลวงปู่หลามรณภาพแล้วร่างกายไม่เน่าเปื่อย ถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานขนาดไหนก็ตามสังขารของท่านก็คงอยู่ในสภาพเดิม แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องทำพิธีพระราชทานเพลิงศพตามความประสงค์ของหลวงปู่ที่เคยบอกไว้ก่อนละสังขาร ดังนั้นเมื่อไม่มีสังขารให้เห็นเป็นหลักฐานแล้วจะเอาอะไรมายืนยันว่าเรื่องนี้เป็นความจริง
จริงอยู่ครับถึงเรื่องแบบนี้หลวงพ่อจะไม่ต้องการความคิดเห็นตอบ แต่พวกเราก็ได้แสดงความคิดเห็นร่วมว่า ถึงแม้ไม่มีสังขารของหลวงปู่เป็นหลักฐาน แต่ความมหัศจรรย์ในเรื่องแบบนี้ย่อมต้องถูกบันทึกอยู่ในความทรงจำของคนที่นี่ เพราะคุณธรรมและความมีเมตตาของหลวงปู่หลา มันได้ฝังเป็นความงดงามเล็กๆ ลงในจิตใจของชาวบ้านแถบบางคนทีแห่งนี้แน่นอน
อีกประการหนึ่งประวัติศาสตร์ของความจริงควรปรากฏและคนทั่วไปจะได้รับรู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์อันนี้ เรื่องดีๆ ก็บอกไปเถอะ โดยเฉพาะเรื่องพระที่หลวงปู่หลาท่านได้สร้างไว้ นั่นแหละท่านถึงยอมแบบประชาธิปไตยคือตามเสียงส่วนใหญ่
หลวงพ่อเล่าว่า...
“รอยยิ้ม” คือตัวแทนของหลวงปู่ และญาติโยมรอบๆ วัด หลวงปู่ท่านก็รักเหมือนลูกหลานทุกคน สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ในแต่ละวันมักจะมีคนเข้ามาขอความช่วยเหลือจากท่านเสมอๆ บ้างก็มาขอพระ บ้างก็มาขอเงิน ซึ่งหลวงปู่ไม่เคยขัดหากสิ่งนั้นเป็นส่วนของท่านที่ไม่ใช่สมบัติของวัด
หลวงปู่เคยให้เงินที่ได้รับจากการเทศน์แก่คนขับมอเตอร์ไซด์รับจ้างไปทั้งซอง(ประมาณ ๕๐๐ บาท) เพียงเพราะเขาขับรถมาส่งท่านที่วัด ถ้ามีใครถามท่านถึงเรื่องของการให้แบบนี้ ท่านก็จะตอบด้วยเหตุผลข้อเดียวคือ
“เก็บไว้ก็เป็นทุกข์”
หลวงปู่หลาท่านเป็นลูกศิษย์ที่ขึ้นกรรมฐานกับ”ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ แห่งวัดบัณฑูรสิงห์” ตำบลบางโทรัด อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาครครับ
ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ถือว่าเป็นฆราวาสผู้ทรงธรรมและได้รับการยกย่องให้เป็น “ปราชญ์ชุมชนแห่งบางโทรัด” จะว่าไปแล้วชื่อเสียงของท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ถึงจะไม่ค่อยแพร่หลายออกไปยังวงกว้าง แต่ถ้าใครเคยศึกษาในเรื่องเกี่ยวกับกรรมฐานหรือเรื่องของวัตถุมงคลมาบ้าง ก็จะรู้ว่าท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ท่านศักดิ์สิทธิ์ขนาดไหน
ซึ่งประวัติและเรื่องราวของท่านพ่อบัณฑูรสิงห์เป็นเรื่องที่น่าศึกษาครับ เพราะไม่ง่ายนักที่ชีวิตของคนๆ หนึ่งจะได้รับการยกย่องให้อยู่ในหน้าของประวัติศาตร์แห่งความดีงามและจิตใจของผู้คนตั้งแต่อดีตมาจนถึงทุกวันนี้
ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ เดิมชื่อ “พ่อเจิม คุณาบุตร” เกิดเมื่อ ๒๘ เมษายน ๒๔๓๔ ณ บางโทรัด สมุทรสาคร บิดามารดาของท่านชื่อ “ปู่แพ-ย่านุ่ม คุณาบุตร” มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๖ คน ท่านพ่อเป็นบุตรคนที่สองครับ
สมัยเด็กๆ ท่านได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีความสงบเสงี่ยมและสามารถอดกลั้นอารมณ์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ต่อมาท่านได้บวชเป็นสามเณรเมื่ออายุได้ ๑๕ ปี ณ วัดใหญ่บ้านบ่อ จังหวัดสมุทรสาคร และอุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่ออายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ณ วัดบางพลีใหญ่ ตำบลบางโทรัด จังหวัดสมุทรสาคร
สมัยที่พ่อท่านบัณฑูรสิงห์ยังบวชอยู่ ท่านได้ไปขอเรียนกรรมฐานและร่วมเดินธุดงค์กับ”หลวงพ่อหรุ่น วัดช้างเผือก” อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม สำหรับชื่อเสียงและชื่อชั้นของหลวงพ่อหรุ่นองค์นี้ คงไม่ต้องพูดกันมากครับ เอาเป็นว่าท่านเป็นพระที่ทั้งดีและเก่งอันดับต้นๆ ของเมืองไทยละกัน ยุคสมัยนั้นหากพระองค์ไหนจะเดินธุดงค์จะต้องผ่านการเข้าปริวาสกรรมเสียก่อน
เล่ากันว่าท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ได้บรรลุธรรมในขณะอยู่ปริวาสนั่นแหละครับ ซึ่งเรื่องนี้ได้มีผู้บันทึกจากคำบอกเล่าของท่านพ่อไว้ว่า
“ได้เห็นร่างกายโปร่งชัดเจนเหมือนกระจกแก้วไปทั้งร่าง ครั้งแรกแปลกใจ แต่เก็บความรู้สึกไว้ สอบสวนอยู่ทุกคืน และโอกาสที่ได้นั่งกรรมฐาน จนแน่ชัดแล้วจึงคิดว่า
เมื่อเราเห็นในตัวชัดแจ้งอย่างนี้แล้ว ในดินตรงหน้านี้มีอะไรบ้าง ก็เห็นในพื้นดินแจ้งไปทั้งหมด สงสัยตรงไหนตรงนั้นก็เห็น ไม่มีสิ่งใดบังกั้นเลยเป็นเวลานาน”
ในประเด็นเรื่องของการที่ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ได้บรรลุธรรมครั้งนี้ หลวงพ่อหรุ่นผู้เป็นอาจารย์ท่านได้กล่าวคำรับรองการบรรลุธรรมนี้ต่อหมู่คณะสงฆ์ว่า
“คุณเจิม รู้ธรรมแล้ว”
นอกจากเรื่องของการบรรลุธรรมแล้ว ยังมี”ความเชื่อ”อีกมากมายครับที่เกี่ยวกับท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ โดยเฉพาะเรื่องของการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของท่านที่ได้วางรากฐานไว้ ซึ่งการปฏิบัติธรรมดังกล่าวได้ถูกกระทำสืบทอดมาจนเป็นวัฒนธรรมและประเพณีของท้องถิ่นเลยทีเดียวครับ
นอกจากนี้ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะมีประชาชนมาทำบุญที่วัดกันมากเป็นพิเศษ เพราะท่าศาสนาจะอยู่ได้ก็ต้องอาศัยพระมหากษัตริย์ เป็นองค์อุปถัมภ์ ทั้งสามสถาบันจะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งมิได้ คือชาติ ศาสนา และองค์พระมหากษัตริย์ เปรียบเสมือนกับไตรสิกขา ซึ่งได้แก่ ศีล สมาธิและปัญญา”
ครับ เรื่องราวของท่านพ่อบัณฑูรสิงห์สอดคล้องกับเรื่องเล่าของหลวงพ่อตี๋ ตรงที่ว่า ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์เป็นผู้ทรงคุณธรรมและชำนาญในเรื่องของพระกรรมฐาน โดยเฉพาะการนั่งทางในที่สามารถบอกกล่าวเรื่องราวต่างๆ ได้ชัดเจนและแม่นยำ พระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในเขตจังหวัดสมุทรสาครและสมุทรสงครามจำนวนไม่น้อยที่ได้ขอเข้าศึกษากรรมฐานกับท่าน
ซึ่งโดยส่วนตัวของหลวงปู่หลาแล้วท่านให้ความเคารพท่านพ่อบัณฑูรสิงห์มาก และในช่วงที่หลวงปู่หลาศึกษากรรมฐานอยู่กับท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ ท่านพ่อได้มอบภาพถ่ายของท่านไว้เป็นที่ระลึก(ปัจจุบันถูกเก็บรักษาไว้ภายในกุฏิของหลวงปู่) และมอบดินศักดิ์สิทธิ์ให้หลวงปู่หลาไว้ทำประโยชน์ในภายหน้า
ดินศักดิ์สิทธิ์ที่ว่านี้มีลักษณะเป็นดินละเอียดสีเหลืองคล้ายทอง ซึ่งท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ได้นั่งทางในและพบว่าใต้พื้นดินของวัดบัณฑูรสิงห์มีดินศักดิ์สิทธิ์ที่มีลักษณะดังว่า ท่านจึงสั่งให้คนช่วยกันขุดขึ้นมาตรงบริเวณที่ท่านนั่งทางในเห็น หลังจากที่ลูกศิษย์ได้ช่วยกันขุดลงไปลึกพอสมควรก็พบว่ามีดินลักษณะตรงตามที่ท่านพ่อบอกไว้จริงๆ
ในประเด็นเรื่องดินศักดิ์สิทธิ์นี้ หลวงพ่อตี๋ท่านบอกว่า ใครจะเชื่อก็ได้ ไม่เชื่อก็ได้ เพราะเรื่องของความเชื่อไม่มีใครบังคับกันได้ แต่ที่แน่ๆ หลวงปู่หลาท่านให้ความสำคัญกับดินศักดิ์สิทธิ์นี้มาก เพราะในการสร้างพระของหลวงปู่หลาทุกครั้งท่านจะต้องนำดินศักดิ์สิทธิ์นี้มาเป็นมวลสารหลักเสมอ
หลวงพ่อตี๋เล่าว่า ในชีวิตของหลวงปู่หลา ท่านได้สร้างวัตถุมงคลไว้พอสมควร เช่นลูกอมเทียนกรรมฐาน พระสมเด็จเนื้อไม้แก่นมะขาม พระผงพิมพ์กลีบบัว พระผงพิมพ์หยดน้ำ พระขุนแผนเนื้อขนมเทียน ขนมเข่ง พระปิดตาเนื้อผงแบบหลังเรียบและหลังนูน พระรูปเหมือนหลวงปู่หลาเนื้อผง เบี้ยจั่น ฯลฯโดยรายละเอียดเกี่ยวกับการสร้างพระของหลวงปู่หลาในแต่ละแบบ เท่าที่ฟังจากหลวงพ่อตี๋ ต้องบอกว่าน่าสนใจครับ การใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านแบบง่ายๆ แต่ไม่ใช่ว่าจะคิดได้ทุกคน ทำให้พระที่หลวงปู่หลาสร้างขึ้น มีความดิบๆ อันเป็นเสน่ห์และอัตลักษณ์เฉพาะตัวครับ
ซึ่งประเด็นดิบๆ แบบนี้แหละที่พวกเราเห็นตรงกันว่า มีคุณค่าไม่ด้อยไปกว่าพระที่สร้างออกมาแบบสมัยใหม่ที่เน้นความสวยงามเลยเชียว ถ้าจะเทียบกันแบบหมัดต่อหมัด ผมว่าพระของหลวงปู่หลากินขาด โดยเฉพาะพระเนื้อผงพิมพ์รูปเหมือนหลวงปู่หลา ซึ่งหลวงพ่อตี๋บอกว่าหลวงปู่หลานำดินศักดิ์สิทธิ์มาผสมในอัตราหนึ่งถ้วยน้ำชาต่อหนึ่งครกตำเลยทีเดียว
สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจจะทำบุญบูชาพระพิมพ์นี้ ต้องสังเกตุตรงที่ว่าถ้าเป็นเนื้อออกสีน้ำตาล ซึ่งมีแก่นไม้มะขามผสม จะเป็นการกดพิมพ์โดยหลวงปู่หลา แต่ถ้าเป็นแบบเนื้อสีขาวๆ นวลๆ ทั้งมีตะกรุดและไม่มีตะกรุด จะเป็นส่วนที่หลวงพ่อตี๋ได้ช่วยหลวงปู่หลากดพิมพ์ครับ พระทั้งสองเนื้อนี้ถูกจัดสร้างมาเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งหลวงปู่หลาได้นำพระทั้งสองแบบนี้เข้าไปปลุกเสกแบบบินเดี่ยวภายในกุฏิของท่านจนท่านมรณภาพลงเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๗
ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า เพราะอะไรพระที่หลวงปู่หลาสร้างขึ้นก็มีประสบการณ์มากมาย แต่ทำไมบางพิมพ์ถึงยังเหลือตกค้างอยู่ที่วัด
แต่ ณ ปัจจุบันนี้ ปี 2557 ไม่มีวัตถุมงคลของท่านตกค้างอยู่แล้วนะครับ
http://www.oknation.net/blog/sitthi/2010/05/05/entry-1
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
พระผงรูปเหมือนหลวงปู่หลาฝังตะกรุด
ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่ง30บาทระบบflashหรือJ&Tและ 50บาทemsไปรษณีย์ไทย(ปิดรายการ)
ยอดขุนพล ลพ.เอีย วัดบ้านด่านเสก เสมาหลวงปู่สายดอนกระต่ายทอง
ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.
หน้า 12 ของ 102
-
-
-
-
ประวัติโดยย่อของหลวงพ่อวิชัย(ทึม)ผาสุโกเจ้าอาวาสวัดเขาสว่างวงษ์ ต.สนามแจง อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรีผู้สืบทอดวิชาฝังเข็มทอง"จตุราวุธ"แห่งถําวัวแดง จ.เลย หนึ่งเดียวในประเทศไทย หลวงพ่อวิชัยท่านเป็นชาวบ้านหมี่โดยกําเนิด ตอนที่ท่านเป็นฆราวาสท่านเป็นคนจริงคนหนึ่ง ก่อนที่ท่านจะบวชเพราะเบื่อในชีวิตฆราวาส ท่านเคยเดินทางไปกราบหลวงพ่อพรหม ถาวโรที่วัดช่องแคเพื่อขอของดีป้องกันตัว ซึ่งหลวงพ่อพรหมก็ให้ความเมตตาต่อท่าน ก่อนที่ท่านจะกลับหลวงพ่อพรหมได้เรียกท่านให้เข้าไปหาและเอามือลูบหัวท่านแล้วบอกกับท่านว่าให้บวชซะถ้าไม่บวชเอ็งก็ติดคุก และมอบตําราคาถาอาคมให้กับท่านมาเล่มหนึ่งซึ่งหลวงพ่อวิชัยท่านบอกว่าเป็นตําราด้านคงกระพันมหาอุดซึ่งหลวงพ่อวิชัยท่านก็เก็บรักษาไว้อย่างดี หลังจากนั้นคําพูดของหลวงพ่อพรหมก็เป็นจริง หลวงพ่อวิชัยท่านต้องคดียิงคู่อริท่านต่อสู้คดีอยู่ 3เดือน จึงหลุดพ้นคดี หลวงพ่อวิชัยท่านบวชเมื่ออายุ 23 ปี ณ.อุโบสถวัดเขาวงกฏ เมื่อครั้งอดีตกาลวัดเขาวงกฏเปรียบเหมือนตักศิลา ด้านวิปัสนากัมฐาน โดยมีเกจิอาจารย์ที่เป็นเลิศด้านวิปัสนากัมฐาน นามว่าหลวงปู่เพา พุทธสโร เป็นเจ้าอาวาส หลวงพ่อวิชัยท่านจึงได้รําเรียนวิปัสนากัมฐานจากวัดเขาวงกฏโดยมีหลวงปู่บกเจ้าอาวาสที่สืบทอดต่อๆมาให้ความเมตตาอบรมสั่งสอนจนสําเร็จ หลังจากนั้นท่านจึงกราบลาหลวงปู่บกพระอุปฌาย์ออกธุดงค์หาสถานที่สงบเพื่อฝึกฝนสมาธิ และเสาะหาเกจิอาจารย์ที่มีวิชาเพื่อฝากตัวเป็นลูกศิษย์ ท่านเดินธุดงค์จนถึง หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเขตจ.เลยติดรอยต่อกับประเทศลาว ท่านได้พบกับอาจารย์สําลีซึ่งเป็นฆราวาสที่เก่งกล้าด้านสรรพวิชาไสยเวทย์ท่านหนึ่งอายุประมาณ 90ปี ท่าน จึงเข้าไปขอฝากตัวเป็นศิษย์ขอเรียนวิชา ซึ่งอาจารย์สําลีท่านก็เมตตารับเป็นลูกศิษย์โดยพาหลวงพ่อวิชัยไปที่ถําวัวแดงเพื่อให้หลวงพ่อวิชัยได้ฝึกสมาธิและรําเรียนสรรพวิชาไสย์เวทย์ โดยที่อาจารย์สําลีท่านได้ขนตําราทั้งหมดที่มีอยู่มาให้หลวงพ่อวิชัยรําเรียน จนสำเร็จ
ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
พระหูยานเหล็กน้ำพี้รุ่น๑หลวงพ่อวิชัย ผาสุโกอาจารย์ทึม บ้านหมี่จังหวัดลพบุรี
ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่ง 30 บาทระบบ flash หรือ j&t หรือ kerry
-
ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่ทองดี อนีโฆ (พระพิศาลญาณวงศ์)
วัดใหม่ปลายห้วย
ตำบลเนินปอ อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร
ประวัติ
หลวงปู่ทองดี อนีโฆ ถือกำเนิดในตระกูลเพชรพิจิตร
เมื่อเดือนอ้าย ปีขาล ไม่ทราบปี พ.ศ. เกิดที่ชัดเจน
เพราะท่านไม่เคยกล่าวถึง ต่างคาดเดากันเอง
บ้างก็ว่าท่าน 30 กว่า บ้างก็ว่า 60-70 ปี บ้างก็ว่าอายุท่านเป็นร้อยกว่า
มีคนเคยถามอายุที่แท้จริงของท่าน ในบ้างครั้งท่านก็ตอบว่า 2-3 ขวบ
บ้างครั้งท่านก็บอกว่ารู้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร สู้ไปรู้ธรรมะก็ไม่ได้
ซึ่งหลวงปู่จะสอนคณะศิษยานุศิษย์เสมอว่า
ให้ครองตนอยู่ในศีลในธรรม สร้างกุศล ละจากกิเลส
หลวงปู่ท่านเล่าให้ฟังว่าท่านไปศึกษาพระกรรมฐานกับหลวงปู่เรือง อาภัสสโร
สำนักปฏิบัติธรรมเขาสามยอด ต.เขาสามยอด อ.เมือง จ.ลพบุรี
โดยมีหลวงปู่ใส ปัญญาพโล วัดเขาตำบล ต.นาโสม อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี
และหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา
เป็นศิษย์ครูบาอาจารย์เดียวกัน
และศึกษาพระเวทกับหลวงปู่ศรี ธมฺมรโต ซึ่งหลวงปู่ศรีท่านเป็นศิษย์ของ
พระครูวิมลคุณากร (หลวงปู่ศุข เกสโร) แห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า
และได้ศึกษาตำรายากับ หลวงพ่อบุญยืน ฐิตตวิริโย
หลวงปู่ท่านเดินธุดงค์ออกหาสถานที่วิเวกเพื่อปฏิบัติธรรมจนถึงจังหวัดชุมพร
ปฎิบัติธรรมอยู่ในถ้ำเขาครามกับหลวงพ่อมนูญ
และท่านยังได้ศึกษาตำราพระเวทต่างๆของ หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน
ที่หลวงพ่อเงินมอบให้หลวงพ่อพิศ และตกมาถึงหลวงปู่ทองดี อนีโฆ
และท่านยังได้กล่าวอีกว่าสหายธรรมของท่าน มีหลวงปู่ละมัย ฐิตตมโน
หลวงปู่ใส ปัญญาภโล หลวงปู่จันทรา อนากุโล
ซึ่งสหายธรรมของท่านแต่ละรูปต่างมีอายุมากกว่า 90 ปีทุกรูป
และหลวงปู่ทองดี อนีโฆ ยังเป็นพ่อแม่ครูอาจารย์สอนพระกรรมฐาน
ให้แก่ญาติโยมผู้สนใจในธรรมทุกๆเดือน
หลวงปู่ทองดี อนีโฆ เป็นพระผู้ให้มีเมตตาสูงช่วยเหลือชาวบ้าน
และส่วนงานราชการอยู่เสมอๆและทำกุศลในทางพุทธศาสนา
ก่อสร้างอุโบสถ ศาลา หลายต่อหลายวัด
ท่านได้สร้างตึกสงฆ์อาพาธมอบให้โรงพยาบาลพิจิตรกว่า 70 ล้านบาท
ปรับปรุงต่อเติมสถานีอนามัย สร้างอาคารเรียนให้มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ให้แก่พระสงฆ์องค์เณรได้ร่ำเรียนศึกษา สร้างอาคารเรียนในอีกหลายแห่ง
ขุดคลองสาธารณะให้แก่ชาวบ้านได้ใช้ในการทำเกษตรกรรมได้ตลอดปี
มีพื้นที่ได้รับประโยชน์จากการขุดคลองสาธารณะนี้ถึง 70,000 ไร่
อีกทั้งยังสงเคราะห์ผู้ยากไร้ ตั้งกองทุนสงฆ์อาพาธ
รวมสิ่งก่อสร้างที่หลวงปู่ได้บำเพ็ญสาธารณะประโยชน์กว่า 400 ล้านบาท
ความทราบถึงสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์จึงได้รับโปรดเกล้า
ให้เป็นพระราชาคณะมีพระราชทินนาม "พระพิศาลญาณวงศ์"
พระครูวิมลคุณากร (หลวงปู่ศุข เกสโร)
งานสาธารณประโยชน์
โรงพยาบาล
- สร้างอาคารสงฆ์อาพาธและหอผู้ป่วยอายุรกรรมโรงพยาบาลพิจิตร จำนวน 43,000,000
และจัดซื้อคุรุภัณฑ์การแพทย์และคุรุภัณฑ์ทั่วไป จำนวน 2,700,000 บาท
- รับเป็นองค์อุปภัมภ์ในการดำเนินการก่อสร้าง อาคารศูนย์มะเร็งรังสีวิทยา
และหอผู้ป่วยสงฆ์อาพาธ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร
จำนวนในการดำเนินการก่อสร้าง 100 ล้านบาท
เริ่มลงเมือสร้าง วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2555 จะแล้วเสร็จใน วันที่ 15 มกราคม 2556
อีกทั้งเป็นผู้ก่อตั้งทุนพระพิศาลญาณวงศ์เพื่อพระสงฆ์อาพาธ
และกองทุนพระพิศาลญาณวงศ์เพื่อจัดซื้อเครื่องมือแพทย์
การศึกษา
- หลวงปู่ทองดี อนีโฆ เป็นผู้มอบทุนการศึกษาแก่นักเรียนในทุกๆปีอย่างสม่ำเสมอ
- พ.ศ.2552 มอบทุนการศึกษาแด่พระภิกษุสามเณรจังหวัดพิจิตร
ผู้ที่สอบได้ประโยคบาลีสนามหลวง ปี 2551 จำนวน 17 ทุน
ในงานส่งมอบอาคารเรียนหน่วยวิทยบริการ ณ วัดพฤกษะวันโชติการาม
- ในปี 2553 หลวงปู่ ทองดี อนีโฆ เป็นกรรมการสถานศึกษา โรงเรียนบ้านปลายห้วย
ตำบลเนินปอ อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร
- ในปี 2553 ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นผู้นำด้านการส่งเสริมสนับสนุนการศึกษา
ระดับเข็มทอง จากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร
- มอบทุนการศึกษาแก่นักเรียนในทุกๆปีอย่างสม่ำเสมอ
- ในปี 2553 เกียรติคุณเป็นผู้สนับสนุนอุปภัมภ์การศึกษาคณะสงฆ์จังหวัดพิจิตรเป็นอย่างดี
- ในปี พ.ศ. 2554 พระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ)
ได้สนับสนุนการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลีสำนักเรียน วัดตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์
และถวายค่าภัตตาหารเดือนละ 20,000 บาท
- ในปี พ.ศ. 2554 ได้ถวายปัจจัยสร้างห้องสมุดเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา ณ วัดตากฟ้า
พระอารามหลวง จังหวัดนครสวรรค์ เป็นจำนวนเงิน 400,000 บาท
- ในปี พ.ศ. 2554 ได้ถวายปัจจัยเป็นค่าหนังสือเรียนพระปริยัติธรรม
แด่สำนักศาสนศึกษาวัดตากฟ้า เป็นจำนวนเงิน 190,000 บาท
- ในปี พ.ศ. 2555 บริจาคเงินเข้ากองทุน รัตนภัตต์ จำนวน 100,000 บาท
- ในปี พ.ศ.2555 ถวายเงินจำนวน 100,000 บาทเป็นค่าหนังสือเรียนปริยัติธรรม
แผนกบาลี เพื่ออุปภัมภ์บำรุงสำนักศาสนศึกษา วัดตากฟ้า
โรงเรียนปริยัติธรรมแผนกบาลีประจำจังหวัดนครสวรรค์ แห่งที่ 1
ประโยชน์เพื่อสังคม
- ในปี 2552 ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติ ด้านสงเคราะห์ประชาชนและส่งเสริมการพัฒนาชุมชน
จากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
- ได้จัดหาปัจจัยและดำเนินการปรับปรุงต่อเติมอาคารชั้นล่าง สถานีอนามัยหนองโสน
ตำบลหนองโสน อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก
ขนาดกว้าง 18 เมตร ยาว 24 เมตร ฝาผนังก่ออิฐฉาบปูน พื้นปูกระเบื้อง กั้นห้อง
ติดตั้งเครื่องปรับอากาศและครุภัณฑ์ทางการแพทย์ ก่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์
ราคาค่าก่อสร้างเป็นจำนวนเงิน 750,000 บาท
- ได้มอบเงินแก่องค์การบริหารส่วนตำบลหนองโสนเพื่อขุดคลองในเขตพื้นที่ตำบลหนองโสน
จำนวน 1,400,000 บาท มีพื้นที่ได้รับประโยชน์จากการขุดคลองสาธารณะนี้ถึง 70,000 ไร่
- มอบทุนให้ผู้ยากไร้และผู้ขาดแคลนอย่างเป็นประจำในโอกาสต่างๆ
- พ.ศ.2552 ได้บริจาคเงินสร้างอาคารอำนวยการสถานีตำรวจภูธรเมืองพิจิตร
จังหวัดพิจิตร เป็นจำนวนเงิน 500,000 บาท
เราก็ทุกข์ของเราพออยู่แล้ว พอแม่ตายก็เลยตัดสินใจบวช เมื่อตอนอายุ ๒๑ ปี ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม เพื่อแสวงหาทางพ้นทุกข์ ตามแนวคำสอนของพระพุทธองค์ พอบวชเสร็จก็ไปอาศัยอยู่กับ หลวงปู่สี ธัมรัตโต ท่านเป็นพระที่ไม่ได้อยู่วัด ไม่มีชื่อเสียงอยู่ในป่า และได้ศึกษาพระเวทกับหลวงปู่ศรีธมฺมรโต ซึ่งหลวงปู่ศรีท่านเป็นศิษย์ของพระครูวิมลคุณากร (หลวงปู่ศุข เกสโร) แห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า พอไปอยู่กับท่านๆ ก็สอนการปฏิบัติให้ พิจารณารูปนาม ของเรานี้ว่า อะไรมันเกิดขึ้นกับใจ โลภเกิดขึ้น หลงเกิดขึ้น โกรธเกิดขึ้น ถ้าเรารู้ตัวเราได้ หาตัวรู้ก็จะรู้ตัว ถ้ายังไม่เจอตัวรู้ เราก็ยังไม่รู้ตัว เพราะเราไม่เข้าใจว่าอะไรคือ ตัวเรา จริงๆ ตอนนี้หลวงปู่ท่านก็บอกหาดูในใจตัวเองว่า ใจตัวเรานี้มีโลภเท่าไหร่ มีโกรธเท่าไหร่ มีหลงเท่าไหร่ ก็เลยพิจารณาตามที่ท่านสอนง่ายๆอย่างนี้ เมื่อศึกษาวิชาต่างๆและปฎิบัติกรรมฐานกับหลวงปู่สี จนสิ้นแล้ว จึงได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษาพระกรรมฐานกับหลวงปู่เรือง อาภัสสโร สำนักปฏิบัติธรรมเขาสามยอดต.เขาสามยอด อ.เมือง จ.ลพบุรี โดยมีหลวงปู่ใส ปัญญาพโล วัดเขาตำบล ต.นาโสมอ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี และหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทดจ.นครราชสีมา เป็นศิษย์ครูบาอาจารย์เดียวกัน และได้ศึกษาตำรายากับ หลวงพ่อบุญยืน ฐิตตวิริโย หลวงปู่ท่านเดินธุดงค์ออกหาสถานที่วิเวกเพื่อปฏิบัติธรรมจนถึงจังหวัดชุมพร ปฎิบัติธรรมอยู่ในถ้ำเขาครามกับหลวงพ่อมนูญและท่านยังได้ศึกษาตำราพระเวทต่างๆของ หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ที่หลวงพ่อเงินมอบให้หลวงพ่อพิศ และตกมาถึงหลวงปู่ทองดี อนีโฆ และท่านยังได้กล่าวอีกว่าสหายธรรมของท่าน มีหลวงปู่ละมัย ฐิตตมโน หลวงปู่ใส ปัญญาภโล หลวงปู่จันทราอนากุโล ซึ่งสหายธรรมของท่านแต่ละรูปต่างมีอายุมากกว่า ๙๐ ปีทุกรูป
แม้แต่ครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร ยังเคยฝากให้ลูกศิษย์นำเครื่องอัฐบริขารและปัจจัยมาน้อมถวายองค์หลวงปู่ฯ ที่วัดใหม่ปลายห้วย นอกจากนี้เมื่อมีญาติโยมจากจังหวัดพิจิตรไปกราบครูบาบุญชุ่ม ท่านยังกล่าวว่า ให้ไปกราบหลวงปู่ทองดีที่จังหวัดพิจิตรก็ได้ ไม่ต้องลำบากขึ้นมาหาท่านหรอก
หรือปู่ฤาษีเกศแก้ว ก็ให้ความเคารพให้ตัวองค์หลวงปู่อย่างมาก โดยในพิธีพุทธาภิเษกท่านจะมาร่วมแทบทุกครั้ง และยังค่อยช่วยเหลืองานบำรุงพระศาสนาที่องค์หลวงปู่ทองดีทำอีกด้วย
หลวงปู่ทองดี อนีโฆ เป็นพระผู้ให้มีเมตตาสูงช่วยเหลือชาวบ้านและส่วนงานราชการอยู่เสมอๆและทำกุศลในทางพุทธศาสนา
ก่อสร้างอุโบสถ ศาลา หลายต่อหลายวัด ท่านได้สร้างตึกสงฆ์อาพาธมอบให้โรงพยาบาลพิจิตรกว่า ๗๐ ล้านบาท ปรับปรุงต่อเติมสถานีอนามัย สร้างอาคารเรียนให้มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ให้แก่พระสงฆ์องค์เณรได้ร่ำเรียนศึกษา สร้างอาคารเรียนในอีกหลายแห่งขุดคลองสาธารณะให้แก่ชาวบ้านได้ใช้ในการทำเกษตรกรรมได้ตลอดปี มีพื้นที่ได้รับประโยชน์จากการขุดคลองสาธารณะนี้ถึง ๗๐,๐๐๐ไร่ อีกทั้งยังสงเคราะห์ผู้ยากไร้ ตั้งกองทุนสงฆ์อาพาธรวมสิ่งก่อสร้างที่หลวงปู่ได้บำเพ็ญสาธารณะประโยชน์กว่า ๔๐๐ ล้านบาท
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
รูปหล่อหลวงปู่ทองดี อนีโฆยุคแรกๆ ให้บูชา 500 บาทค่าจัดส่ง 30 บาทระบบflashหรือ j&t หรือเคอรี่
-
สมเด็จภะคะวา มหาโชค วัดโพธิ์ ท่าเตียน กทม. ปี ๒๕๓๕ พระดีพิธีใหญ่ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่ง 30 บาทระบบ flash หรือ j&t หรือเคอรี่
-
เข้าไปดูประวัติปฎิปทาท่านก่อนครับ สมัยก่อนท่านมีชื่อเสียง มาก ในด้านยาจินดามณี
รูปหล่อหลวงพ่อเติม วัดบ้านอ้อ อ.ผักไห่ อยุธยา ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่ง 30 บาทระบบ flash หรือj&t หรือ kerry
-
ประวัติพอสังเขป เอ่ยถึงพระหลวงปู่บุดดา คนเล่นพระอาจมองข้ามไปอย่างรวดเร็ว เนื่องด้วยเหตุผล พระท่านไม่ดัง พระท่านไม่แพง หรือห้อยแล้วไม่เท่ โชว์ไม่ได้ หรือไม่มีข่าวคราวปาฏิหาริย์อะไร อย่างฟันไม่เข้าหรือยิงไม่เข้าตามหน้าหนังสือพิมพ์ อันนี้ ขอท่านได้พิจารณาให้รอบคอบ อันศักดิ์ศรีของหลวงปู่บุดดานั้น แม้จะดูธรรมดาในสายตาชาวโลก แต่สายของเหล่ากองทัพธรรมนั้นสูงสุดจะบรรยาย
ครั้งหนึ่งท่านได้เดินทางไปสนทนาธรรมกับหลวงปู่ดู่ วัดสะแก หลวงปู่บุดดาได้เทแป้งเสกลงในมือหลวงปู่ดู่ และทันทีทันใดเหมือนกัน หลวงปู่ดู่รีบเทแป้งเหล่านั้นลงบนศรีษะท่านจนขาวโพลนไปหมด ท่ามกลางความ ตกตะลึง ของเหล่าลูกศิษย์ท่านมากๆ เพราะปกติหลวงปู่ดู่ท่านมีกิริยาที่เรียบร้อยเอามากๆ จนเมื่อหลวงปู่บุดดากลับไป ลูกศิษย์ท่านหนึ่ง ถามหลวงปู่ทันที หลวงปู่ทำไมเทแป้งอย่างนั้นล่ะครับ ท่านตอบทันที ก็ผง พระอรหันต์ ท่านให้ จะให้เอาไว้ตรงไหนนอกจากบนศรีษะของเรา ไม่งั้นจะเป็นการไม่เคารพ และที่สำคัญในพิธีเปิดโลกที่แสนสะโด่งดังนั้น หลวงปู่ดู่ท่านยังเชิญบารมีขององค์หลวงปุ่บุดดามาร่วมเสกด้วย (ทางญาณนะครับ) แม้แต่องค์หลวงปุ่ชา วัดหนองป่าพง พระเถระที่ปกติไม่สรรเสริฐพระองค์ไหนง่ายๆ ในวันหนึ่ง เมื่อท่านทราบว่าหลวงปุ่บุดดา นั่งอยุ่บนรถบัส ท่านถึงพูดกับลูกศิษย์ว่า ไม่ให้ท่านลงมานะ เราจะขึ้นไปกราบหลวงปุ่บุดดาบนรถเอง แล้วท่านก็ขึ้นไปทั้ง กราบ ทั้ง ไหว้ อย่างเคารพและเรียบร้อยที่สุด หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุงท่านเคยบอกให้ลูกศิษย์ไปกราบ หลวงปู่บุดดา ตั้งแต่ที่ท่านยังอยุ่ที่วัดอาวุธ ฝั่งธน กทม. โดยให้เหตุผลว่า รีบไปกราบท่านนะ หลวงปู่องค์นี้ ท่านเป็นพระทองคำ ท่านจะไม่มาเกิดอีกแล้วนะ และยกย่องหลวงปุ่บุดดาอีกหลายครั้ง และหากท่านสงสัยในกัปกริยาที่ค่อนข้างจะแหวกแนว และ ล่อแหลมขององค์หลวงปู่ ที่มักทำอะไรที่คนทั่วไปมองว่าผิดปกติ ขอให้คิดเอาเสียใหม่ นี่คือเนื้อนาบุญของแท้ ซึ่งแม้แต่หลวงปู่สิม แห่งสำนักสงฆ์วัดถ้ำผาปล่อง ยังขอถวายสังฆทานและจีวร เป็นการเฉพาะ และบอกว่า หลวงปู่บุดดา ยอดเยี่ยมที่หนึ่ง แก่ทั้งอายุ แก่ทั้งพรรษา และแก่ทั้งมรรคผลนิพพาน หากท่านสงสัยในพุทธคุณที่หลวงปู่บรรจุไว้ในองค์พระแล้ว โปรดอ่าน ครั้งหนึ่งมีคนนำพระไปให้ท่านเสก ส่งไปแล้วท่านก้อส่งกลับ ทำอย่างนี้ถึง 3 ครั้ง โดยไม่แสดงอาการ เสก แต่อย่างใด ท่ามกลางความงุนงงของผุ้นั้นมาก จนหลวงพ่อองค์หนึ่งที่นั่งอยุ่ที่นั้นบอก พระองค์นี้ออกรบได้แล้วล่ะโยม เต็ม ตั้งแต่ที่ส่งมาให้แล้ว ........ตกใจไหม...... และเมื่อมีคนนำพระไปให้ครูบาสร้อย วัดมงคงคีรีเขต จ.ตาก พระอาคมขลัง ที่ผู้อ่านศักดิ์สิทธิ์คงรุ้จักกันดี ช่วยเสกซ้ำอีกที ท่านได้ปฏิเสธและให้เหตุผลว่า เต็มแล้ว เสกไม่ได้แล้ว แม้แต่องค์หลวงพ่อพุธ ยังปฏิเสธเหมือนกัน และบอก จะให้เสกทับไปได้อย่างไร หลวงปู่บุดดาก็เป็นครูบาอาจารย์องค์หนึ่งของเราเหมือนกัน สุดยอดจิงๆ ทุกวันนี้เราหาพระที่จะมาห้อยคอนั้น ง่ายเหลือเกิน แต่จะหาพระแท้ มาห้อยนั้น ยากครับ หากท่านเล่นพระ บูชาพระที่พุทธคุณ ไม่ใช่เล่นที่ค่านิยม อันเป็นเรื่องของทางโลกแล้ว พระหลวงปู่บุดดาเป็นอีกองค์หนึ่งซึ่งผม ขอฝากไว้ในใจท่านทั้งหลายครับ
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
ล็อกเก็ตหลวงปู่บุดดาถาวโรวัดกลางชูศรีเจริญสุขให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่ง 30 บาทระบบ flash หรือ j&t หรือ kerry(ปิดรายการ)
-
-
อภินิหาร หลวงพ่อเกษม เขมโก-
วันหนึ่งประมาณเก้าโมงเช้า เจ้าประเวทย์ ณ ลำปาง และเพื่อนเจ้าของโรงงานน้ำปลาโพธาราม ได้เอารถเบนซ์ รุ่น ๕๐๐ เอสอีแอล ไปรับหลวงพ่อเกษมออกเดินทางจากสุสานไตรลักษณ์เพื่อไปทำบุญที่บ้านเจ้าประเวทย์ ณ ลำปาง เมื่อเสร็จธุระต่าง ๆ แล้ว หลวงพ่อจะกลับสุสานไตรลักษณ์ แต่ท่านไม่ยอมขึ้นรถเจ้าประเวทย์และเพื่อนท่านบอกว่า จะนั่งรถ “ดาบหมาน” กลับ ทุกคนก็แปลกใจเพราะ “ดาบหมาน” ไม่ได้มาด้วย จึงโทรศัพท์ตามหาตัวให้มารับ ดาบหมานจึงขับรถฮอนด้าซีวิค ทะเบียน ฉ.๙๗๒๓ กรุงเทพฯ มารับหลวงพ่อเกษมที่บ้านเจ้าประเวทย์กลับสุสานไตรลักษณ์ทันที
“ดาบหมาน” เล่าว่า เมื่อหลวงพ่อเกษมนั่งบนรถ ท่านหลับตาภาวนาตลอดทางจนถึงสุสานไตรลักษณ์ ก่อนลงรถ ท่านเอามือล้วงถุงขนมปังที่พกติดตัวมา หยิบขนมปังเต็มกำมือ ยกขึ้นภาวนาสักครู่แล้วถาม “ดาบหมาน” ว่า “มีตำรวจ–ทหารมาคอยอยู่กี่คน” ไม่ทันที่ดาบหมานจะตอบ ท่านพูดต่อว่า “เอาขนมปังนี่แจกทหาร ๔ อัน แจกชาวบ้าน ๓ อัน แจกเด็ก ๒ อัน” ดาบหมานก็รับขนมปังจากหลวงพ่อเกษมไปแจกตามที่หลวงพ่อบอก
หลังจากแจกขนมปังเสร็จ พาหลวงพ่อเข้าที่พักแล้ว แม่ค้าขายของเข้ามาถามว่า “หลวงพ่อให้ขนมปังกี่อัน” ดาบหมานตอบว่า ท่านให้ ทหาร ๔ อัน ชาวบ้าน ๓ อัน เด็ก ๒ อัน แม่ค้าบอกดาบหมานว่า หลวงพ่อให้หวย ดาบหมานจึงแทงหวย ๓ ตัวบนงวดนั้นเลข “๔๓๒”ออกมาตรง ๆ ได้เงิน ๙๐๐,๐๐๐ บาท จึงนำเงินถวายหลวงพ่อ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ที่เหลือดาบหมานแจกลูกศิษย์ที่ดูแลท่าน จำนวน ๑๑ คน คนละ ๑๐,๐๐๐ บ้าง ๒๐,๐๐๐ บ้าง ทั่วทุกคนเป็นที่ฮือฮากันในสุสานไตรลักษณ์
ดาบหมานเล่าว่า เขาถูกหวยจากเลขหลวงพ่อเกษมหลายครั้ง รวมหลายล้านบาท ก่อนหลวงพ่อเกษมมรณภาพ ๑๕ วัน หลวงพ่อเกษมบอกปริศนาแก่ “ดาบหมาน” เขาแทงเลข “๕๑๙” ถูกอีก นับล้าน งวดนั้นได้เอาเงินที่ถูกหวยมาแจกลูกศิษย์หลวงพ่อ แถมด้วยแจกแม่ค้า-พ่อค้าบริเวณสุสานไตรลักษณ์แทบทุกคน จนเป็นที่เล่าลือกันมากในยุคนั้น
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
ของขวัญหลวงพ่อเกษมเขมโกออกวัดแหลมแคปลุกเสกพญาวัน 13 เมษายน 29 และพุทธาภิเษก 2 พฤษภาคม 29
ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่ง 30 บาทระบบ flash หรือ j&t หรือเคอรี่(ปิดรายการ)
-
พระศีลมงคล” หรือที่ชาวบ้านเรียกติดปากว่า “พ่อท่านทอง สีลสุวัณโณ” อดีตเจ้าอาวาสวัดสำเภาเชย อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี พระเกจิดังเมืองปัตตานี ที่ประชาชนในพื้นที่ให้ความเลื่อมใสศรัทธา
มีลิ้นดำที่ติดตัวท่านแต่กำเนิด ด้วยตามตำราโบราณถือว่าผู้มีลิ้นดำมีวาจาศักดิ์สิทธิ์ สามารถกำราบคุณไสย
ด้วยเหตุนี้จึงได้รับนิมนต์ร่วมพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลแทบทุกงาน
อีกภาพหนึ่งท่านเป็นพระของชาวบ้าน รอบรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในอำเภอปะนาเระ และแก้ได้ถูกจุด
เป็นลูกชาวปัตตานีโดยกำเนิด เกิดในตระกูลศรีชาติ มีใจฝักใฝ่ในพระศาสนามาแต่ครั้งเยาว์วัย จนกระทั่งเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ที่พัทธสีมาวัดดอนตะวันออก เมื่อพ.ศ.2482 ได้รับฉายาว่า สีลสุวัณโณ แปลว่าผู้มีศีลงดงามดั่งทอง
ต่อมาปีพ.ศ.2487 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสำเภาเชย จนถึงปีพ.ศ.2494 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ และเป็นเจ้าคณะตำบล พ.ศ.2509 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะอำเภอปะนาเระ พ.ศ.2543 ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์เจ้าคณะอำเภอปะนาเระ
พ.ศ.2497 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ในราชทินนามที่ “พระครูพินิตนรัญญู” พ.ศ.2545 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ที่ “พระศีลมงคล”
อุปนิสัยเป็นพระเรียบง่าย พูดน้อย แต่ทำงานเยอะ โดยเฉพาะงานด้านการศึกษาที่ท่านสนับสนุนส่งเสริมเต็มที่ โดยบริจาคที่ดินให้จัดตั้งโรงเรียนวัดสำเภาเชย ซึ่งทำการสอนในระดับมัธยมศึกษา ม.1-ม.3 (ป.5-ป.7 เดิม) ตั้งแต่พ.ศ.2499 ปัจจุบันได้ยุบรวมกับโรงเรียนบ้านปะนาเระ
มีลิ้นดำที่ติดตัวท่านแต่กำเนิด ด้วยตามตำราโบราณถือว่าผู้มีลิ้นดำมีวาจาศักดิ์สิทธิ์ สามารถกำราบคุณไสย
ด้วยเหตุนี้จึงได้รับนิมนต์ร่วมพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลแทบทุกงาน
อีกภาพหนึ่งท่านเป็นพระของชาวบ้าน รอบรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในอำเภอปะนาเระ และแก้ได้ถูกจุด
เป็นลูกชาวปัตตานีโดยกำเนิด เกิดในตระกูลศรีชาติ มีใจฝักใฝ่ในพระศาสนามาแต่ครั้งเยาว์วัย จนกระทั่งเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ที่พัทธสีมาวัดดอนตะวันออก เมื่อพ.ศ.2482 ได้รับฉายาว่า สีลสุวัณโณ แปลว่าผู้มีศีลงดงามดั่งทอง
ต่อมาปีพ.ศ.2487 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสำเภาเชย จนถึงปีพ.ศ.2494 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ และเป็นเจ้าคณะตำบล พ.ศ.2509 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะอำเภอปะนาเระ พ.ศ.2543 ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์เจ้าคณะอำเภอปะนาเระ
พ.ศ.2497 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ในราชทินนามที่ “พระครูพินิตนรัญญู” พ.ศ.2545 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ที่ “พระศีลมงคล”
อุปนิสัยเป็นพระเรียบง่าย พูดน้อย แต่ทำงานเยอะ โดยเฉพาะงานด้านการศึกษาที่ท่านสนับสนุนส่งเสริมเต็มที่ โดยบริจาคที่ดินให้จัดตั้งโรงเรียนวัดสำเภาเชย ซึ่งทำการสอนในระดับมัธยมศึกษา ม.1-ม.3 (ป.5-ป.7 เดิม) ตั้งแต่พ.ศ.2499 ปัจจุบันได้ยุบรวมกับโรงเรียนบ้านปะนาเระ
ในฐานะเจ้าอาวาสวัดสำเภาเชย พัฒนาวัดโดยจัดสร้างอาคารเสนาสนะต่างๆ ภายในวัด เช่น อุโบสถ หอฉัน ศาลาอเนกประสงค์ ศาลาที่พัก ซุ้มประตู และกำแพงวัด ปรับบริเวณสถานที่ให้มีความร่มรื่น สวยงาม
จนได้รับการยกย่องให้เป็นวัดพัฒนาตัวอย่าง จากกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ ในปีพ.ศ.2525 และเป็นวัดพัฒนาตัวอย่างที่มีผลงานดีเด่นในปีพ.ศ.2544
นอกจากนี้ ยังได้สร้างและปรับปรุงเสนาสนะแก่วัดต่างๆ อีกด้วย คือ สร้างอุโบสถวัดโพธาราม สร้างตึกสงฆ์หลวงปู่ทวด ในโรงพยาบาลปะนาเระ สร้างอุโบสถวัดดอนตะวันออก สร้างอาคารอเนกประสงค์ หมู่ที่ 4 บ้านคลองต่ำ ตำบลปะนาเระ
รวมทั้งเพื่อให้พระภิกษุ-สามเณรมีกำลังใจ ท่านให้ทุนการศึกษาแก่พระภิกษุสามเณรที่ไปศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกบาลี ที่กรุงเทพฯ เป็นเวลากว่า 10 ปี
อีกทั้งยังมอบเครื่องเขียนแบบเรียนแก่พระภิกษุสามเณรที่ศึกษาพระธรรมวินัย ทั้งวัดสำเภาเชยเอง และวัดในอำเภอปะนาเระด้วย
มีโครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อนทุกปี เพื่อรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม และเปิดโอกาสให้เด็กเยาวชนได้ ใกล้ชิดกับวัดมากยิ่งขึ้น
ในฐานะเจ้าคณะอำเภอปะนาเระท่านมีส่วนช่วยเหลือจัดสร้างดำเนินการสาธารณูปโภค ร่วมกับประชาชนและราชการพัฒนาท้องถิ่นให้เจริญรุดหน้าอย่างต่อเนื่อง อาทิ สร้างศาลาที่พักริมทางในตำบลปะนาเระหลายแห่ง ตัดถนนลัดจากหมู่บ้านคลองต่ำถึงตลาดอำเภอปะนาเระ สร้างถนนจากหมู่บ้านมะรวดขึ้นไปยังสถูปเจดีย์หลวงพ่อหนอน ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขามะรวด จัดตั้งกองทุนเพื่อการศึกษาแก่เด็กนักเรียนในอำเภอปะนาเระที่ขาดแคลนทุนทรัพย์
และเผยแผ่ สร้างความเจริญแก่ชุมชนและเป็นคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา เช่น อบรมศีลธรรมแก่เยาวชนในช่วงปิดภาคเรียน จัดอบรมกรรมฐานแก่ประชาชน จัดพิมพ์หนังสือธรรมะเพื่อเผยแพร่ผลงานที่ท่านได้ทำ เพื่อเป็นอนุสรณ์ทิฏฐานุคติแก่อนุชนรุ่นหลัง
ทำให้ท่านเป็นผู้รับรางวัลเสาเสมาธรรมจักร ประเภทส่งเสริมการพัฒนาชุมชน และสงเคราะห์ประชาชนโดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา สาขาส่งเสริมการพัฒนาชุมชน ประจำปี 2540
ละสังขารอย่างสงบด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ 26 เม.ย.2554 สิริอายุ 93 ปี พรรษา 76
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
พระผงหลวงพ่อโต๊ะหักหลังหนุมานหลวงปู่ทองวัดสำเภาเชยรุ่นแรกหายาก
ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่ง 30 บาทระบบ flash หรือ j&t หรือเคอรี่(ปิดรายการ)
-
-
พระสมเด็จพระพุทธมงคลชัยวัดบรมวงศ์อิศรวราราม ปี๒๕๑๖ เนื่อหามวลสารดีพิธีใหญ่ ลองไปหาอ่านศึกษาประวัติดูนะครับ49ปีแล้ว เกจิอาจารย์ยุคนั้น ปลุกเสกอธิฐานจิต
ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่ง 30 บาทระบบ flash หรือ j&t หรือ kerry
-
รายละเอียด
ย อ ด ม ว ล ส า ร ย อ ด ก า ร อ ธิ ษ ฐ า น จิ ต --- (13)
พ ร ะ ส ม เ ด็ จ รุ่ น ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์
อ ธิ ษ ฐ า น จิ ต ย า ว น า น ถึ ง 12 ว า ระ
พระสมเด็จชินบัญชร รุ่นประวัติศาสตร์ 60 พรรษามหาราชินี ปี 2535 วัอรุณราชวราราม
#รุ่นแจกทหารไปร่วมรบกับกองทหารสหประชาชาติที่ติมอร์ตะวันออกที่ประเทศอินโดเนเซีย
#มวลสารต่างๆรวมทั้งส่วนผสมและพิธีพุทธาภิเษก
มีผงวัดระฆัง
ผงวัดบางขุนพรหม
ผงวัดเกสไชโย
ผงวัดสะตือ
ผงวัดไก่จ้น
ผงอิทธิเจ
ผงปัถมัง
ผงมหาราช
ผงตรีนิสิงเห
ผงกระแจจันทร์หอน
ผงพุทธคุณ
ผงธรรมคุณ
ผงสังฆคุณ
ผงมาตาปิตุปัจฐานมงคล38
#นอกจากนี้ยังมีเกสรดอกไม้จากพระอุโอสถ108วัดอาทิจาก
วัดพระแก้ว วัดพระพุทธโสธร วัดบ้านแหลม วัดพระปฐมเจดีย์ วัดพระธาตุพนม วัดรพะธาตุดอยสุเทพ วัดพระธาตุผาเงา วัดพระธาตุดอยตุง วัดพระธาตุดอยเวา เป็นต้นฯ
#บรรดาดอกไม้มี
ดอกกาหลง ดอกรักขาว ดอกกุหลาบแดงจากเชียงตุงประเทศพม่า ดอกกุหลาบขาวจากดอยเหมยจากประเทศจีน ดอกรักซ้อนตัวผู้ตัวเมีย ใบพลูสองหาง ไส้เทียนหรือขี้เทียนบูชาพระพุทธเจ้า ดิน 7 ป่า ตะไคร่เสมา ใบราชพฤกษ์ น้ำเซาะหินที่หยดในถ้ำขุลแผน กาญจนบุรี ผงใบลาน ผงปูนเปลือกหอย ข้าวสุก และภัตตาหารที่มีรสอร่อยๆที่ท่านเก็บไว้มาผสมกัน
#เริ่มพิธีพุทธาภิเษกตลอดปี2534
ครั้งที่1 วันที่9ม.ค.2534ล.พ. สมชาย วัดเขาสุกิม จ.จันทบุรี เจริญสมาธิปลุกเสกเดี่ยว
ครั้งที่2 วันที่9ก.พ.2534 ล.พ. เปิ่น วัดบางพระ จ.นครปฐม เจริญสมาธิปลุกเสกเดี่ยว,
ครั้งที่3 วันที่9 ม.ค.2534 ล.พ.เกษม เขมโก สุสานไตรลักณ์ จ.ลำปาง เจริญสมาธิปลุกเสกเดี่ยว
ครั้งที่4 วันที่9 เม.ย.2534 หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี เจริญสมาธิปลุกเสกเดี่ยว,
ครั้งที่5 วันที่9พ.ค.2534 หลวงพ่อจรัล วัดอัมพวัน สิงห์บุรี เจริญสมาธิปลุกเสกเดี่ยว,
ครั้งที่6 วันที่9 มิ.ย.2534 หลวงปู่หล้าตาทิพย์ วัดป่าตึง เชียงใหม่ เจริญสมาธิปลุกเสกเดี่ยว,
ครั้งที่7 วันที่9 ก.ค.2534 หลวงปู่ทองมา ถาวโร วัดสว่างท่าสี จ. ร้อยเอ็ด เจริญสมาธิปลุกเสกเดี่ยว
ครั้งที่8 วันที่9 ส.ค.2534หลวงปู่บุดดา วัดกลางชูศรีเจริญสูข สิงห์บุรี เจริญสมาธิปลุกเสกเดี่ยว,
ครั้งที่9 วันที่9 ก.ย.2534 หลวงพ่ออุตมะ วัดวังวิเวการามจ.กาจนบุรี เจริญ สมาธิปลุกเสกเดี่ยว
ครั้งที่10 วันที่9 ต.ค.2534หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา เจริญสมาธิปลุกเสกเดี่ยว,
ครั้งที่11วันที่ 9 พ.ย.2534 มหาพุทธาภิเษกที่วัดอรุณราชวราราม โดยมี สมเด็จพระสญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ พร้อมเกจิอาจารย์จากทั่วประเทศอีก 108รูป,
ครั้งที่12 วันที่10 ธ.ค.2534 มหาพุทธาภิเษกที่มณฑณท้องสนามหลวงโดยมี สมเด็จบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมารเสด็จเป็นองค์ประธานจุดเทียนชัยพร้อมด้วยเกจิอาจารย์ทั่วประเทศจำนวน108รูปเจริญสมาธิพุทธาภิเษก
สมเด็จพุทธโฆษาจารย์วัดสามพยาเป็นประธานดับ เทียนชัย ทหาร,หมอ,พญาบาลทุกคนที่ได้รับมอบให้เป็นของป้องกันตัวที่ประเทศติมอร์ทุกๆคนกลับมาด้วยความปลอดภัยไม่มีใครได้รับอันตรายทั้งสิ้น เล่าสู่กันฟังเป็นวิทยาทานสร้างปี34ออกปี35
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
พระดีพิธีใหญ่ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่ง 30 บาทระบบ flash หรือ j&t หรือ kerry
-
วัดช้างสร้าง หนุมานคลุกฝุ่น ลอยองค์ เสาร์ ๕ รุ่น ฤทธิเดช พระครูโสภณนาคกิจ พระอาจารย์เดช วัดช้าง เจ้าคณะอำเภอบ้านนา จ.นครนายก สืบสานตำนานเมืองกรุงเก่าศรีอยุธยา พระอาจารย์สาท ธรรมโชติ วัดขนอนเหนือ ผู้เป็นอาจารย์
ได้รับอนุญาตให้จัดสร้างตามตำรับวิชาหนุมานพร้อมปลุกเสกในวันเสาร์ที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๐ ซึ่งตรงกับวันขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ ในตำรับโบราณพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์....
จัดสร้างด้วยจำนวนไม่มาก....
1. เนื้อทองคำ จัดสร้าง 4 ตน
2. เนื้อเงิน จัดสร้าง 99 ตน
3. เนื้อดีบุก จัดสร้าง 77 ตน
4. เนื้อสัมฤทธิ์ จัดสร้าง 1,000 ตน
วัตถุประสงค์ สมทบทุนโครงการสร้างพระกริ่งอินทร์สาน หรือพระสานด้วยตอกไม้ไผ่ ขนาดหน้าตัก ๕.๕๙ เมตร สูง ๑๐.๕๙ เมตร
เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ ในพระบรมโกศ
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่ง 30 บาทระบบ flash หรือ j&t หรือเคอรี่(ปิดรายการ)
-
ประวัติพอสังเขป เอ่ยถึงพระหลวงปู่บุดดา คนเล่นพระอาจมองข้ามไปอย่างรวดเร็ว เนื่องด้วยเหตุผล พระท่านไม่ดัง พระท่านไม่แพง หรือห้อยแล้วไม่เท่ โชว์ไม่ได้ หรือไม่มีข่าวคราวปาฏิหาริย์อะไร อย่างฟันไม่เข้าหรือยิงไม่เข้าตามหน้าหนังสือพิมพ์ อันนี้ ขอท่านได้พิจารณาให้รอบคอบ อันศักดิ์ศรีของหลวงปู่บุดดานั้น แม้จะดูธรรมดาในสายตาชาวโลก แต่สายของเหล่ากองทัพธรรมนั้นสูงสุดจะบรรยาย
เปิดดูไฟล์ 6037469
ครั้งหนึ่งท่านได้เดินทางไปสนทนาธรรมกับหลวงปู่ดู่ วัดสะแก หลวงปู่บุดดาได้เทแป้งเสกลงในมือหลวงปู่ดู่ และทันทีทันใดเหมือนกัน หลวงปู่ดู่รีบเทแป้งเหล่านั้นลงบนศรีษะท่านจนขาวโพลนไปหมด ท่ามกลางความ ตกตะลึง ของเหล่าลูกศิษย์ท่านมากๆ เพราะปกติหลวงปู่ดู่ท่านมีกิริยาที่เรียบร้อยเอามากๆ จนเมื่อหลวงปู่บุดดากลับไป ลูกศิษย์ท่านหนึ่ง ถามหลวงปู่ทันที หลวงปู่ทำไมเทแป้งอย่างนั้นล่ะครับ ท่านตอบทันที ก็ผง พระอรหันต์ ท่านให้ จะให้เอาไว้ตรงไหนนอกจากบนศรีษะของเรา ไม่งั้นจะเป็นการไม่เคารพ และที่สำคัญในพิธีเปิดโลกที่แสนสะโด่งดังนั้น หลวงปู่ดู่ท่านยังเชิญบารมีขององค์หลวงปุ่บุดดามาร่วมเสกด้วย (ทางญาณนะครับ) แม้แต่องค์หลวงปุ่ชา วัดหนองป่าพง พระเถระที่ปกติไม่สรรเสริฐพระองค์ไหนง่ายๆ ในวันหนึ่ง เมื่อท่านทราบว่าหลวงปุ่บุดดา นั่งอยุ่บนรถบัส ท่านถึงพูดกับลูกศิษย์ว่า ไม่ให้ท่านลงมานะ เราจะขึ้นไปกราบหลวงปุ่บุดดาบนรถเอง แล้วท่านก็ขึ้นไปทั้ง กราบ ทั้ง ไหว้ อย่างเคารพและเรียบร้อยที่สุด หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุงท่านเคยบอกให้ลูกศิษย์ไปกราบ หลวงปู่บุดดา ตั้งแต่ที่ท่านยังอยุ่ที่วัดอาวุธ ฝั่งธน กทม. โดยให้เหตุผลว่า รีบไปกราบท่านนะ หลวงปู่องค์นี้ ท่านเป็นพระทองคำ ท่านจะไม่มาเกิดอีกแล้วนะ และยกย่องหลวงปุ่บุดดาอีกหลายครั้ง และหากท่านสงสัยในกัปกริยาที่ค่อนข้างจะแหวกแนว และ ล่อแหลมขององค์หลวงปู่ ที่มักทำอะไรที่คนทั่วไปมองว่าผิดปกติ ขอให้คิดเอาเสียใหม่ นี่คือเนื้อนาบุญของแท้ ซึ่งแม้แต่หลวงปู่สิม แห่งสำนักสงฆ์วัดถ้ำผาปล่อง ยังขอถวายสังฆทานและจีวร เป็นการเฉพาะ และบอกว่า หลวงปู่บุดดา ยอดเยี่ยมที่หนึ่ง แก่ทั้งอายุ แก่ทั้งพรรษา และแก่ทั้งมรรคผลนิพพาน หากท่านสงสัยในพุทธคุณที่หลวงปู่บรรจุไว้ในองค์พระแล้ว โปรดอ่าน ครั้งหนึ่งมีคนนำพระไปให้ท่านเสก ส่งไปแล้วท่านก้อส่งกลับ ทำอย่างนี้ถึง 3 ครั้ง โดยไม่แสดงอาการ เสก แต่อย่างใด ท่ามกลางความงุนงงของผุ้นั้นมาก จนหลวงพ่อองค์หนึ่งที่นั่งอยุ่ที่นั้นบอก พระองค์นี้ออกรบได้แล้วล่ะโยม เต็ม ตั้งแต่ที่ส่งมาให้แล้ว ........ตกใจไหม...... และเมื่อมีคนนำพระไปให้ครูบาสร้อย วัดมงคงคีรีเขต จ.ตาก พระอาคมขลัง ที่ผู้อ่านศักดิ์สิทธิ์คงรุ้จักกันดี ช่วยเสกซ้ำอีกที ท่านได้ปฏิเสธและให้เหตุผลว่า เต็มแล้ว เสกไม่ได้แล้ว แม้แต่องค์หลวงพ่อพุธ ยังปฏิเสธเหมือนกัน และบอก จะให้เสกทับไปได้อย่างไร หลวงปู่บุดดาก็เป็นครูบาอาจารย์องค์หนึ่งของเราเหมือนกัน สุดยอดจิงๆ ทุกวันนี้เราหาพระที่จะมาห้อยคอนั้น ง่ายเหลือเกิน แต่จะหาพระแท้ มาห้อยนั้น ยากครับ หากท่านเล่นพระ บูชาพระที่พุทธคุณ ไม่ใช่เล่นที่ค่านิยม อันเป็นเรื่องของทางโลกแล้ว พระหลวงปู่บุดดาเป็นอีกองค์หนึ่งซึ่งผม ขอฝากไว้ในใจท่านทั้งหลายครับ
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
พระสมเด็ตจเมตตามหาลาภ
หลวงปู่บุดดาถาวโรวัดกลางชูศรีเจริญสุขให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่ง 30 บาทระบบ flash หรือ j&t หรือ kerry
-
พระศีลมงคล” หรือที่ชาวบ้านเรียกติดปากว่า “พ่อท่านทอง สีลสุวัณโณ” อดีตเจ้าอาวาสวัดสำเภาเชย อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี พระเกจิดังเมืองปัตตานี ที่ประชาชนในพื้นที่ให้ความเลื่อมใสศรัทธา
มีลิ้นดำที่ติดตัวท่านแต่กำเนิด ด้วยตามตำราโบราณถือว่าผู้มีลิ้นดำมีวาจาศักดิ์สิทธิ์ สามารถกำราบคุณไสย
ด้วยเหตุนี้จึงได้รับนิมนต์ร่วมพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลแทบทุกงาน
อีกภาพหนึ่งท่านเป็นพระของชาวบ้าน รอบรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในอำเภอปะนาเระ และแก้ได้ถูกจุด
เป็นลูกชาวปัตตานีโดยกำเนิด เกิดในตระกูลศรีชาติ มีใจฝักใฝ่ในพระศาสนามาแต่ครั้งเยาว์วัย จนกระทั่งเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ที่พัทธสีมาวัดดอนตะวันออก เมื่อพ.ศ.2482 ได้รับฉายาว่า สีลสุวัณโณ แปลว่าผู้มีศีลงดงามดั่งทอง
ต่อมาปีพ.ศ.2487 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสำเภาเชย จนถึงปีพ.ศ.2494 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ และเป็นเจ้าคณะตำบล พ.ศ.2509 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะอำเภอปะนาเระ พ.ศ.2543 ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์เจ้าคณะอำเภอปะนาเระ
พ.ศ.2497 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ในราชทินนามที่ “พระครูพินิตนรัญญู” พ.ศ.2545 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ที่ “พระศีลมงคล”
อุปนิสัยเป็นพระเรียบง่าย พูดน้อย แต่ทำงานเยอะ โดยเฉพาะงานด้านการศึกษาที่ท่านสนับสนุนส่งเสริมเต็มที่ โดยบริจาคที่ดินให้จัดตั้งโรงเรียนวัดสำเภาเชย ซึ่งทำการสอนในระดับมัธยมศึกษา ม.1-ม.3 (ป.5-ป.7 เดิม) ตั้งแต่พ.ศ.2499 ปัจจุบันได้ยุบรวมกับโรงเรียนบ้านปะนาเระ
มีลิ้นดำที่ติดตัวท่านแต่กำเนิด ด้วยตามตำราโบราณถือว่าผู้มีลิ้นดำมีวาจาศักดิ์สิทธิ์ สามารถกำราบคุณไสย
ด้วยเหตุนี้จึงได้รับนิมนต์ร่วมพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลแทบทุกงาน
อีกภาพหนึ่งท่านเป็นพระของชาวบ้าน รอบรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในอำเภอปะนาเระ และแก้ได้ถูกจุด
เป็นลูกชาวปัตตานีโดยกำเนิด เกิดในตระกูลศรีชาติ มีใจฝักใฝ่ในพระศาสนามาแต่ครั้งเยาว์วัย จนกระทั่งเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ที่พัทธสีมาวัดดอนตะวันออก เมื่อพ.ศ.2482 ได้รับฉายาว่า สีลสุวัณโณ แปลว่าผู้มีศีลงดงามดั่งทอง
ต่อมาปีพ.ศ.2487 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสำเภาเชย จนถึงปีพ.ศ.2494 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ และเป็นเจ้าคณะตำบล พ.ศ.2509 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะอำเภอปะนาเระ พ.ศ.2543 ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์เจ้าคณะอำเภอปะนาเระ
พ.ศ.2497 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ในราชทินนามที่ “พระครูพินิตนรัญญู” พ.ศ.2545 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ที่ “พระศีลมงคล”
อุปนิสัยเป็นพระเรียบง่าย พูดน้อย แต่ทำงานเยอะ โดยเฉพาะงานด้านการศึกษาที่ท่านสนับสนุนส่งเสริมเต็มที่ โดยบริจาคที่ดินให้จัดตั้งโรงเรียนวัดสำเภาเชย ซึ่งทำการสอนในระดับมัธยมศึกษา ม.1-ม.3 (ป.5-ป.7 เดิม) ตั้งแต่พ.ศ.2499 ปัจจุบันได้ยุบรวมกับโรงเรียนบ้านปะนาเระ
ในฐานะเจ้าอาวาสวัดสำเภาเชย พัฒนาวัดโดยจัดสร้างอาคารเสนาสนะต่างๆ ภายในวัด เช่น อุโบสถ หอฉัน ศาลาอเนกประสงค์ ศาลาที่พัก ซุ้มประตู และกำแพงวัด ปรับบริเวณสถานที่ให้มีความร่มรื่น สวยงาม
จนได้รับการยกย่องให้เป็นวัดพัฒนาตัวอย่าง จากกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ ในปีพ.ศ.2525 และเป็นวัดพัฒนาตัวอย่างที่มีผลงานดีเด่นในปีพ.ศ.2544
นอกจากนี้ ยังได้สร้างและปรับปรุงเสนาสนะแก่วัดต่างๆ อีกด้วย คือ สร้างอุโบสถวัดโพธาราม สร้างตึกสงฆ์หลวงปู่ทวด ในโรงพยาบาลปะนาเระ สร้างอุโบสถวัดดอนตะวันออก สร้างอาคารอเนกประสงค์ หมู่ที่ 4 บ้านคลองต่ำ ตำบลปะนาเระ
รวมทั้งเพื่อให้พระภิกษุ-สามเณรมีกำลังใจ ท่านให้ทุนการศึกษาแก่พระภิกษุสามเณรที่ไปศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกบาลี ที่กรุงเทพฯ เป็นเวลากว่า 10 ปี
อีกทั้งยังมอบเครื่องเขียนแบบเรียนแก่พระภิกษุสามเณรที่ศึกษาพระธรรมวินัย ทั้งวัดสำเภาเชยเอง และวัดในอำเภอปะนาเระด้วย
มีโครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อนทุกปี เพื่อรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม และเปิดโอกาสให้เด็กเยาวชนได้ ใกล้ชิดกับวัดมากยิ่งขึ้น
ในฐานะเจ้าคณะอำเภอปะนาเระท่านมีส่วนช่วยเหลือจัดสร้างดำเนินการสาธารณูปโภค ร่วมกับประชาชนและราชการพัฒนาท้องถิ่นให้เจริญรุดหน้าอย่างต่อเนื่อง อาทิ สร้างศาลาที่พักริมทางในตำบลปะนาเระหลายแห่ง ตัดถนนลัดจากหมู่บ้านคลองต่ำถึงตลาดอำเภอปะนาเระ สร้างถนนจากหมู่บ้านมะรวดขึ้นไปยังสถูปเจดีย์หลวงพ่อหนอน ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขามะรวด จัดตั้งกองทุนเพื่อการศึกษาแก่เด็กนักเรียนในอำเภอปะนาเระที่ขาดแคลนทุนทรัพย์
และเผยแผ่ สร้างความเจริญแก่ชุมชนและเป็นคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา เช่น อบรมศีลธรรมแก่เยาวชนในช่วงปิดภาคเรียน จัดอบรมกรรมฐานแก่ประชาชน จัดพิมพ์หนังสือธรรมะเพื่อเผยแพร่ผลงานที่ท่านได้ทำ เพื่อเป็นอนุสรณ์ทิฏฐานุคติแก่อนุชนรุ่นหลัง
ทำให้ท่านเป็นผู้รับรางวัลเสาเสมาธรรมจักร ประเภทส่งเสริมการพัฒนาชุมชน และสงเคราะห์ประชาชนโดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา สาขาส่งเสริมการพัฒนาชุมชน ประจำปี 2540
ละสังขารอย่างสงบด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ 26 เม.ย.2554 สิริอายุ 93 ปี พรรษา 76
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
เหรียญกะไหล่ทองหลวงปู่ทวดหมอนหลวงปู่ทองวัดสำเภาเชย 2537 รุ่นนิยมของท่านก่แนฟน้าท่านยังไม่มรณภาพรุ่นนี้ราคาสูงมาก ผมเก็บไว้หลายปีแล้ว สภาพเดิมไปครับ
ให้บูชา 600 บาทค่าจัดส่ง 30 บาทระบบ flash หรือ j&t หรือเคอรี่
-
เหรียญมังกร รุ่นแรก หลวงพ่อไพบูลย์ วัดอนาลโย จ.พะเยา
สุดยอดแห่งเหรียญมังกร หลวงพ่อไพบูลย์ วัดอนาลโยทิพยาราม จ.พะเยา
สร้างโดย
-หลวงพ่อพระอาจารย์ไพบูลย์ สุมังคโล หรือพระเทพวิสุทธิญาณ เจ้าอาวาสวัดอนาลโยทิพยาราม ดอยบุษราคำ
ลักษณะเหรียญ
-ด้านหน้าเหรียญ เป็นรูปมังกรคาบแก้ว
-ด้านหลังเหรียญ เขียนว่า เมตตา บารมี ไพบูลย์ พูลสุข มั่งมี
หลวงพ่อพระอาจารย์ไพบูลย์ สุมังคโล แห่งดอยบุษราคัม ท่านเป็นลูกศิษย์ หลวงปู่หลวง กตปุญโญ พระป่าวิปัสนาสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ลำดับสมณศักดิ์
-พ.ศ.2517 หลวงพ่อไพบูลย์ ได้รับแต่งตั้งเป็นพระฐานานุกรมของพระเทพวราภรณ์ เลขานุการของสมเด็จพระสังฆราชวัดราชบพิธ ที่ พระครูปลัด
-พ.ศ.2524 ได้รับพระเมตตาจาก สมเด็จพระญาณสังวร วัดบวรนิเวศวิหาร แต่งตั้งเป็นพระฐานานุกรมที่ พระครูปลัดสัมพิพัฑฒญาณาจารย์
-พ.ศ.2532 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ที่พระปัญญาพิศาลเถร
-พ.ศ.2547 ได้รับพระ ราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นราชฝ่ายวิปัสสนาธุระ ที่พระราชสังวรญาณ
-พ.ศ.2551 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพฝ่ายวิปัสสนาธุระ ที่ พระเทพวิสุทธิญาณ
***ณ วันนี้ พระเทพวิสุทธิญาณ ได้รับเป็นประธานจัดสร้างวัดพระจอมเกล้าราชานุสรณ์ (เฉลิมพระเกียรติ ครบ 200 ปี) ต.วิเชตนคร อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง เป็นวัดที่คณะกรรมการบริหารคณะธรรมยุต ได้อนุมัติให้สร้างขึ้นในปีมหามงคลวโรกาสคล้ายวันพระบรมราชสมภพ ครบ 200 ปี ในวันที่ 18 ตุลาคม 2547 แห่งรัชกาลที่ 4 ผู้ทรงสถาปนาคณะสงฆ์ธรรมยุต เพื่อเป็นการประกาศพระเกียรติ คุณของพระองค์ให้แผ่ไพศาลและสนองพระคุณูปการและเป็นการแสดงกตัญญูกตเวทิตา ธรรม อุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ
-พระเทพวิสุทธิญาณ เป็นพระเถระที่มีปฏิปทาเป็นพระกัมมัฏฐานในสายพระอาจารย์ ใหญ่มั่น ภูริทัตโต เป็นที่เคารพเลื่อมใสของชาวบ้านในเขตจังหวัดพะเยาและจังหวัดใกล้เคียง ท่านมีความเคร่งครัดต่อการฝึกฝนวิปัสสนากรรมฐาน.............
ด้วยกิตติศัพท์ แห่งคุณงามความดีที่ท่านได้ฟื้นฟูสภาพจากสำนักสงฆ์วิปัสสนาที่ไม่มีอะไรเลย จนกลายเป็นวัดที่โดดเด่น คือ วัดอนาลโยทิพยาราม จนเป็นที่นับถือเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนทั่วไป.............
แม้ทุกวันนี้ พระอาจารย์ไพบูลย์ สุมงฺคโล วัดอนาลโยทิพยารามแม้จะดำรงตำแหน่งพระสังฆาธิการชั้นผู้ใหญ่ แต่วัตรปฏิบัติท่านยังคงเรียบง่ายดุจเดิม ยังคงให้การอบรมศีลธรรมแก่สาธุชนที่เข้ามาทำบุญฟังธรรม เน้นให้ประพฤติปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระ พุทธศาสนา ตามหลักเบญจศีล เบญจธรรม เป็นข้อปฏิบัติพื้นฐานในการดำรงชีวิตให้เป็นปกติสุขในสังคม แม้สังขารเริ่มโรยราไปบ้างตามกาลเวลา แต่จิตใจของท่านยังเข้มแข็ง เป็นบุคคลต้นแบบในการดำเนินชีวิตที่ดีงามโดยแท้.................ใหญ่แห่งนี้พอเล่นน้ำเสร็จเรียบร้อยพอใจแล้วก็จะชูคอขึ้นสูงยาวไปถึงกรุงเทพ ไปคาบเงินมาเป็นฟ่อนๆโยนมาบนเขาลูกนี้ .....ซึ่งในกาลต่อมาคำบอกเล่าของซินแสกลับกลายเป็นเรื่องจริงอย่างน่าอัศจรรย์ใจตรงตามคำพยากรณ์ทุกประการ เพราะในขณะที่หลวงพ่อกำลังสร้างวัดอนาลโยฯ อย่นั้น ท่านได้มีนิมิตบอกเหตุว่าควรสร้างเจดีย์องค์ใหญ่ขึ้นบนพื้นที่ว่างบนบริวณยอดเขา แต่ก็ติดขัดเรื่องของปัจจัยในการก่อสร้างที่หนักหนาสาหัสเอาการอยู่ แต่ในเวลาต่อมาก็ได้มีท่านผู้ใจบุญ ท่านหนึ่งร่วมถวายปัจจัยจำนวนหลายล้านบาทเป็นค่าก่อสร้างพระเจดีย์องค์นี้จนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี...
....สำหรับวัตถุมงคลที่หลวงพ่อท่านอธิษฐานจิต จะมีพุทธคุณดีเด่น ทางด้านเมตตามหานิยม โชคลาภ และความเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน ด้านการค้าขายและทางด้านแคล้วคลาด คุ้มครองป้องกันภยันตราย....
หลวงปู่ไพบูลย์ สุมงฺคโล เป็นพระเถระที่มีปฏิปทา เป็นพระกัมมัฏฐานในสาย พระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทัตโต เป็นที่เคารพเลื่อมใสของชาวบ้านในเขตจังหวัดพะเยาและจังหวัดใกล้เคียง ท่านมีความเคร่งครัดต่อการฝึกฝนวิปัสสนากรรมฐาน ด้วยกิตติศัพท์แห่งคุณงามความดีที่ท่านได้ฟื้นฟูสภาพจากสำนักสงฆ์วิปัสสนาที่ไม่มีอะไรเลย จนกลายเป็นวัดที่โดดเด่น คือ วัดอนาลโยทิพยาราม จนเป็นที่นับถือเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนทั่วไป
แม้ทุกวันนี้ หลวงปู่ไพบูลย์ สุมังคโล วัดอนาลโยทิพยาราม จะดำรงตำแหน่งพระสังฆาธิการชั้นผู้ใหญ่ แต่วัตรปฏิบัติท่านยังคงเรียบง่ายดุจเดิม ยังคงให้การอบรมศีลธรรมแก่สาธุชนที่เข้ามาทำบุญฟังธรรม เน้นให้ประพฤติปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระ พุทธศาสนา ตามหลักเบญจศีล เบญจธรรม เป็นข้อปฏิบัติพื้นฐานในการดำรงชีวิตให้เป็นปกติสุขในสังคม แม้สังขารเริ่มโรยราไปบ้างตามกาลเวลา แต่จิตใจของท่านยังเข้มแข็ง เป็นบุคคลต้นแบบในการดำเนินชีวิตที่ดีงามโดยแท้
อนึ่ง “หลวงปู่หลวง กตปุญโญ” อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าสำราญนิวาส ผู้เป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อไพบูลย์ ในสมัยที่หลวงปู่หลวงยังมีชีวิตอยู่ท่านเคยกล่าวยกย่อง หลวงพ่อไพบูลย์ไว้หลายประการ เช่น
๑. หลวงปู่ไพบูลย์ สุมังคโล เป็นพระที่เก่งนิมิตจากการปฏิบัติธรรม แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๙) ท่านทรงโปรดให้พระอาจารย์ไพบูลย์แปลพระนิมิตที่เกิดจากการปฏิบัติธรรมของพระองค์บ่อยครั้ง
๒. หลวงปู่ไพบูลย์ สุมังคโล เป็นพระที่เปี่ยมด้วยจาคะเสียสละด้วยการให้ ไม่ว่าจะเป็นให้ (ทาน) ให้อภัย เป็นพระสุปฏิบัติที่ปรารถนาพระโพธิญาณในอนาคตกาล”
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
เหรียญมังกรรุ่นแรกหลวงพ่อไพบูลย์นานาโยให้บูชา 800 บาทค่าจัดส่ง 30 บาทระบบ flash หรือ g&t หรือเคอรี่
-
-
-
สำหรับหลวงเตี่ย หรือพระครูสังฆรักษ์พงษ์สิงห์ ฐิตวํโส อดีตเจ้าอาวาสวัดบางมดโสธราราม
หรือสำนักสงฆ์กลางนาในอดีตนั้น เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีลูกศิษย์ลูกหาคนจีนขึ้นเยอะมาก
ตัวท่านเองก็ขลังและศักดิ์สิทธิ์ เรียกว่าเป็นพระมีอิทธิฤทธิ์ อดีตเคยเป็นทหารแล้วมาบวชพระ
สักยันต์เต็มตัว หนังเหนียว พูดจาโผงผาง ห้าวหาญ ชอบดูหมอ สักยันต์ ทรงเจ้า
สมัยเมื่อมีชีวิตอยู่ท่านจะนั่งบนเก้าอี้เหล็กแหลม ทำพิธีกรรมปัดเป่าและช่วยเหลือคน
=======================================
จากส่วนหนึ่งของประวัติอาจารย์เม้ง
ต่อมาก็ได้เดินทางมาเรียนต่อกับพระครูสังฆรักษ์พงศ์สิงห์หรือที่ชาวบ้านแถวนั้นเรียกท่านว่าหลวงเตี่ยแห่งวัดกลางนาหรือวัดบางมดโสธราราม กรุงเทพฯในปัจจุบัน หลวงเตี่ยเป็นพระนักเลงและเป็นพระที่ภูตผี ปีศาจเกรงกลัวมาก ในสมัยนั้นมีการเล่ากันว่า เพียงแค่บ้านไหนที่มีคนถูกภูติผีวิญญาณร้ายเข้าสิงอยู่ เพียงแค่หลวงเตี่ยท่านผ่านบ้าน ผีร้ายที่สิงอยู่ก็ออกทันที ที่วัดกลางนานี้นี่เอง อ.เม้งได้รับการถ่ายทอดวิชาปลดปล่อยและสยบวิญญาณร้ายมาเต็ม ๆ นั่นก็คือการนำเถ้าอาถรรพ์มาผสมสร้างวัตถุมงคล เพื่อสร้างบุญกุศลให้กับดวงวิญญาณที่แตกดับโดยทุกขเวทนา ปลุกอาถรรพ์ไว้ใช้งาน เฝ้าบ้านเรือน เฝ้าของมีค่า ตลอดจนได้รับการอบรมวิธีจริญสมาธิทำอสุภกรรมฐานต่าง ๆ ท่านว่าหลวงเตี่ยนี่ในเรื่องการปลุกเสกพระเครื่องวัตถุมงคลนั้นไม่ธรรมดาไม่เหมือนพระเกจิอาจารย์รูปอื่น เพราะท่านปลุกเสกพระโดยที่ไม่หลับตา และดวงตาของหลวงเตี่ยนั้นมีลักษณะคล้ายลุกเป็นไฟเห็นแล้วน่ากลัวเพราะหลวงเตี่ยเองนั้นท่านชำนาญเรื่องการเดินกสินไฟเป็นอย่างมากและ อ.เม้ง ยังได้รับการถ่ายทอดวิชาอีกหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น สอนวิธีตั้งธาตุ แก้เสน่ห์เล่ห์กล ถอนคุณถอนของลมเพลมพัดต่างๆ หลวงเตี่ยสอนให้เยอะมาก และหลวงเตี่ยเองก็พอใจในความ วิริยะ อุตสาหะ สนใจใคร่รู้ในตัว อ.เม้ง เป็นอย่างมากเช่นกัน จึงได้ถ่ายทอดให้โดยไม่ปิดบังอำพรางแต่ประการใด
ยินดีครับที่ยังมีคนรู้จักอาจารย์สุรพงษ์....
ผมรู้จักท่านตั้งแต่สมัยท่านมาอยู่พระประแดงใหม่ ๆ ในสมัยนั้นวัดที่ท่านตั้งอยู่กลางทุ่งกลางนาทางเข้าไปก็ลำบาก เข้าได้ 2 ทาง ทางหนึ่งเข้าทางสมาแยกพระประแดง อีกทางหนึ่งเข้างกิโลเก้า ( ประชาอุทิศ )...
ในสมัยนั้นที่ท่านมาอยู่แถวพระประแดง ช่วงนั้นเกิดการรบขึ้นที่เขาค้อ ( จ.เพชรบูรณ์ ) ประมาณปี 2519 หรือ 2520 นี่แหละครับ
อ.สุรพงษ์ ผู้คนแถวนั้นรู้จักท่านในเรื่องของไสยศาสตร์มนต์ดำ คือท่านจะดังมากในเรื่อง " รัก-ยม " เพราะของท่าน....ทั้งแรง ทั้งเฮี้ยนจริง ๆ อันนี้ผมยืนยันได้ แล้วที่ท่านดังสุด ๆ ก็คือ เหรียญ
เหรียญนั้นก็คือ " เหรียญลุย " ที่ดังมากเพราะในยุคนั้นหากไปรับพระจากหลวงพ่อท่านจะทำการ " ลอง " ให้ทันที โดยท่านให้ถอดพระและเครื่องรางที่มีอยู่ออกให้หมด โดยท่านจะพูดว่า " หากไม่เอาออกเดี๋ยวจะหาว่าของกูไม่ดี " การ"ลอง"ก็มีหลายวิธีทั้งนั่งเก้าอี้ตะปู เอามีดดาบฟัน จนถึง เอาปืนยิง...และท่านก็ทำออกมาอีกหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็นเหรียญพระเจ้า ๕ พระองค์ ฯลฯ
ส่วนล๊อกเก็ตที่ท่านเจ้าของกระทู้นำมาลงไว้นั้นเป็นรูปเหมือน " เจ้าพ่อสิงหเดช "
ในสมัยนั้นเจ้าพ่อสิงหเดชดังมาก เรื่องความศักดิ์สิทธิ์และความเฮี้ยน....ในยุคประมาณปี 2517-2519 มีหนังกลางแปลงแถว ๆ ฝั่งธนฯ จนถึงพระประแดงที่ดังมาก ๆ มีอยู่ 2 เจ้าคือ ศรีสุทธาภาพยนตร์ และ แจกันหยกภาพยนตร์...แต่....มีลูกศิษย์ที่เคารพ อ.สุรพงษ์ ท่านนึง ไปบนกับเจ้าพ่อสิงหเดช ( ขณะนั้นเพิ่งจะเริ่มสร้างเสร็จใหม่ ๆ ) แล้วลูกศิษย์ อ.สุรพงษ์ ท่านนั้นเกิดถูกทั้งหวย และล๊อตเตอรี่รางวัลใหญ่ ท่านก็เลยเอาเงินที่ได้มาลงทุนทำหนังกลางแปลง โดยใช้ชื่อว่า " สิงหเดชภาพยนตร์ ".....นั่นคือความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าพ่อสิงเดช ยิ่งทำให้ผู้คนรู้จักวัดกลางนามากยิ่งขึ้น....
ในเรื่องประวัติท่านเท่าที่ผมได้เคยคุยกับท่าน ท่านเคยเล่าให้ฟังว่าท่านเป็นลูกคนมีเงินแต่ท่านชอบทางไสยศาสตร์ท่านออกบวชและธุดงค์มาเรื่อย ๆ ท่านสร้างวัดมาแล้วหลายวัด แต่ท่านก็บอกเอาไว้ว่า " กูคงไม่ไปไหนแล้วว่ะ สร้างที่นี่เป็นที่สุดท้าย "....หลวงพ่อท่านชอบและศึกษาในเรื่องนี้มากจริง ๆ ผมไม่เคยและไม่กล้าถามว่าท่านเรียนมาจากอาจารย์ท่านใด....? แต่ที่แน่ ๆ คนแถวพระประแดงและราษฎร์บูรณะจะรู้กันดีเวลาท่าน " ร้อน " จะมีอะไรแปลก ๆ ให้เห็น......
ส่วนเรื่องวัดกลางนาและประวัติหลวงพ่อในยุคหลังผมไม่ค่อยรู้เรื่องแล้วครับเพราะผมย้ายออกจากฝั่งธนฯ มาตั้งแต่ปี 2524 แล้วครับมาทราบอีกที่ก็ตอนท่านมรณะภาพไปแล้วครับ ส่วนฉายา " หลวงเตี่ย " ผมก็เพิ่งทราบจากท่านเจ้าของกระทู้นี่แหละครับ เพราะในยุคผมอยู่ส่วนมากจะเรียก " จารย์พงษ์ " ครับ
แหะ ๆ จบแล้วครับพิมพ์จนเมื่อย แต่ก็ชอบครับเพราะได้รำลึกความหลังไปในตัว...
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
พระสังกัจจายน์พระกรุหลวงเตี่ยวัดกลางนาปี 2519 ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่ง 30 บาทระบบ flash หรือ j&t หรือ kerry
หน้า 12 ของ 102