ประวัติหลวงปู่จาม มหาปุญโญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย KK1234, 23 มกราคม 2010.

  1. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td id="article_title" bgcolor="#fee6cb" valign="middle"> ประวัติหลวงปู่จาม มหาปุญโญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม </td> <td>[​IMG]</td> </tr> <tr><td>[​IMG]</td><td colspan="2">
    </td></tr> </tbody></table> [​IMG]

    ประวัติหลวงปู่จาม มหาปุญโญ จาก หนังสือจังหวัดมุกดาหาร

    หลวงปู่จาม มหาปุญโญ เกิดวันพฤหัสบดีที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ เป็นบุตรของนายกา ผิวขำ กับ นางมะแง้ ผิวขำ ที่บ้านห้วยทราย อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร ปัจจุบันหลวงปู่จาม มีอายุ ๙๕ ปี

    ชีวิตการอุปสมบท
    เมื่ออายุ ๗ ขวบ ได้บวชเรียนที่วัดหนองแวง บ้านห้วยทราย อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร ต่อมาได้ติดตามหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เพื่อศึกษาพระวิปัสสนากรรมฐาน ออกเดินธุดงค์ไปตามสถานที่ต่าง ๆ ทั้งในภาคอีสานและภาคเหนือเป็นเวลา ๑๕ ปี และได้ลาสิกขาออกมาอยู่กับบิดามารดา เนื่องด้วยสุขภาพไม่ดี

    ครั้นอายุ ๒๙ ปี (พ.ศ. ๒๔๘๒) จึงได้บวชอีกครั้งหนึ่งและได้ธุดงค์ไปภาคเหนือ จำพรรษาอยู่วัดเจดีย์หลวง ๓๒ พรรษา จากนั้น ได้ไปปฏิบัติธรรม กับ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ จึงกลับมาปักกรด จำพรรษาที่วัดป่าวิเวกวัฒนาราม สร้างวัดป่าวิเวกวัฒนาราม ให้เป็นที่พำนักนั่งวิปัสสนากรรมฐาน

    ผลงานที่เป็นคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
    หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ท่านเป็นพระที่อารมณ์ดี มีเมตตาสูง ปฏิบัติตามกฎระเบียบ วินัยพระ อย่างเคร่งครัด แม้ว่าสุขภาพไม่ดี ท่านก็ยังออกบิณฑบาต ทุกเช้า ไม่เบื่อหน่ายในความเพียร จึงทำให้มีศิษยานุศิษย์ ทั่วประเทศ พุทธศาสนิกชน หลั่งไหลมาฟังพระเทศนา ของหลวงปู่จามอยู่มิได้ขาด วันหนึ่ง ๆ มีญาติโยมมาเป็นจำนวนมากแต่หลวงปู่จาม ก็ไม่เคยบ่นมีแต่ความพึงพอใจ ที่ได้เทศนาสั่งสอน ด้วยใบหน้ายิ้มละไมอยู่เป็นนิจ ครั้งหนึ่ง ท่านเคยกล่าวว่า “ คนเรา เมื่อประพฤติปฏิบัติให้อยู่ในกรอบแห่งศีลธรรม อยู่ในความไม่ประมาท หมั่นบำเพ็ญบุญ สวดมนต์ไหว้พระทุกวัน แล้วก็ไม่ต้องวิ่งไปหาพระที่ไหนชีวิตก็เป็นสุข ” ซึ่งหลวงปู่ ได้สร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์ชัด แก่พุทธศาสนิกชน ทั่วไปทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ดังนี้

    ๑. เทศนาสั่งสอน ญาติโยมที่มานมัสการหลวงปู่ ทุกวันพระ และวันสำคัญจะมีประชาชนมาเป็นจำนวน ๑๐๐ - ๒๐๐ คนขึ้นไป
    ๒. หลักธรรม คำสั่งสอนของหลวงปู่ ได้มีคนบันทึกเทปไว้เป็นจำนวนมาก
    ๓. หลวงปู่จาม มีความคิด ริเริ่มสร้างสรรค์ธรรมชาติให้เป็นที่นั่งวิปัสสนา ได้อย่างกลมกลืนร่มรื่น ปราศจากสิ่งรบกวน
    ๔. สร้างพระเจดีย์ทรงจุฬามณีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
    ๕. สร้างกุฏิเสาเดียว จำนวน ๑๑ หลัง
    ๖. สร้างศาลาการเปรียญ และหอฉันสำหรับไว้เทศนาญาติโยมในวันสำคัญต่าง ๆ
    คุณความดี ผลงานของท่านล้วนเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง สรรเสริญ ที่บุคคลทั่วไปควรยึดไว้เป็นที่พึ่งและเป็นตัวอย่างที่เราควรจะจารึกไว้ให้ แก่ประชาชนทั่วไป ได้เลื่อมใสศรัทธา ปฏิบัติตามธรรมคำสั่งสอนของท่านจนกว่าชีวิตจะหาไม่
    ........................................................................................................................................

    [​IMG]

    ประวัติหลวงปู่จาม มหาปุญโญ รวบรวมโดย พ.ต.อ. ญาณพล ยั่งยืน

    พ.ศ. ๒๔๕๓ กำเนิด เด็กชายจาม ผิวขำ ในปลายรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ช่วงก่อนที่จะทรงเสด็จสวรรคต ( ๒๓ ตุลาคม ๒๔๕๓ ) ในปีนั้น หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ได้ถือกำเนิด เป็นเด็กชายจาม ผิวขำ เมื่อ วันพฤหัสบดี ที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๕๓ ตรงกับวันแรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ ปี จอ ณ บ้านห้วยทราย คำชะอี จ.นครพนม ( ปัจจุบันเป็น อ.คำชะอี จังหวัดมุกดาหาร ) โดยเป็นบุตรคนที่ ๓ ของนายกา นางมะแง้ ผิวขำ หลวงปู่จาม มีพี่น้องรวม ๙ คน ดังนี้คือ นายแดง นายเจ๊ก นายจาม นางเจียง นายจูม นางจ๋า นายถนอม นายคำตา และนางเตื่อย

    พ.ศ. ๒๔๕๙ ไปกราบ หลวงปู่เสาร์ และหลวงปู่มั่น เมื่ออายุได้ ๖ ปี พ่อแม่ได้พา เด็กชายจามฯไปกราบ หลวงปู่เสาร์ และหลวงปู่มั่น ซึ่งได้มาจำพรรษาอยู่ใกล้บ้านที่ภูผากูด คำชะอี

    พ.ศ. ๒๔๖๔ ดูแลอุปัฏฐากพระกรรมฐาน บรรดาศิษย์ของหลวงปู่เสาร์และหลวงปู่มั่นจำนวนประมาณ ๗๐ รูป ได้มารวมกันเป็นกองทัพธรรมสายพระกรรมฐานมากเป็นประวัติการณ์ ที่ภูผากูด เนื่องจาก หลวงปู่เสาร์ และหลวงปู่มั่น ได้มาพักประจำอยู่ที่ถ้ำจำปา ขณะเด็กชายจาม อายุได้ประมาณ ๑๑ ปี ได้ติดตามพ่อแม่ไปอุปัฏฐากดูแลพระกรรมฐานทั้งหลายอย่างใกล้ชิด( สถานที่ซึ่งรวมตัวกันนั้น ต่อมาได้ตั้งเป็นสำนักสงฆ์หนองน่อง ทางทิศใต้ของบ้านห้วยทราย และได้ย้ายมาเป็น วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ในปัจจุบัน )

    พ.ศ ๒๔๖๙ ถวายตัวกับหลวงปู่มั่น เมื่อเด็กชายจาม อายุได้ ๑๖ ปี พ่อแม่ได้พาไปถวายตัวกับหลวงปู่มั่น ที่ จ.อุบลราชธานี นุ่งขาวห่มขาว เป็นเวลา ๙ เดือน หรือที่เรียกว่าเป็น ผ้าขาว ๙ เดือน

    พ.ศ. ๒๔๗๐ บรรพชาเป็นสามเณร ครั้งที่ ๑ เมื่ออายุได้ ๑๗ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร จำพรรษาอยู่กับหลวงปู่มั่น ๑ พรรษา ที่บ้านหนองขอน อ.บุ่ง จ.อุบลราชธานี (อ.หัวตะพาน จ.อำนาจเจริญ) ได้รับใช้ครูบาอาจารย์หลายท่าน ได้แก่ หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ , หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ , ท่านพ่อลี ธมฺมธโร , หลวงปู่สิงห์ ขนฺยาคโม , หลวงปู่มหาปิ่น ปญฺญาพโล เป็นต้น นอกจากนั้น ยังเป็น สหธรรมิกเพื่อนสามเณร กับ สามเณรสิม ( หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ) อีกด้วย

    พ.ศ. ๒๔๗๑ ออกธุดงค์ เป็นครั้งแรก เมื่ออายุได้ ๑๘ ปี หลวงปู่มั่น ได้ฝากสามเณรจาม ไว้กับ หลวงปู่กงมา หลวงปู่อ่อน หลวงปู่มหาปิ่น โดย สามเณรจาม ได้ติดตามครูบาอาจารย์ออกธุดงค์ไปยโสธร เป็นครั้งแรก

    พ.ศ. ๒๔๗๒ ป่วยจำเป็นต้องลาสิกขา เมื่ออายุได้ ๑๙ ปี สามเณรจาม ได้ออกธุดงค์ไปยังขอนแก่น กับหลวงปู่อ่อน หลวงปู่กงมา ต่อมาในปีนั้น สามเณรจาม ป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหาร โรคเหน็บชา จึงจำเป็นต้องลาสิกขา เพื่อกลับ เพื่อกลับไปรักษาตัวที่ บ้านห้วยทราย คำชะอี จนหายจากโรคภัยไข้เจ็บ และใช้ชีวิตเป็นฆราวาส ทำไร่ ทำนา ค้าขาย ต่อมาจนถึงอายุ ๒๘ ปี

    พ.ศ. ๒๔๘๐ อธิฐานขอบวชในพระพุทธศาสนา เมื่อนายจาม ผิวขำ มีอายุได้ ๒๗ ปี พ่อกา ( โยมพ่อ ) บวชเป็นพระภิกษุ ( ใช้ชีวิตอีก ๖ ปี ก็มรณภาพในปี ๒๔๘๖ ) ส่วน แม่มะแง้ (โยมแม่) ก็ได้บวชชี ( ใช้ชีวิตอีก ๓๖ ปี จึงถึงแก่กรรม ) ช่วงเดือน พฤศจิกายน ๒๔๘๐ นายจาม ผิวขำ ไปไหว้พระธาตุพนม จ.นครพนม เพื่ออธิฐานขอบวชในพระพุทธศาสนา

    พ.ศ. ๒๔๘๑ บรรพชาเป็นสามเณร ครั้งที่ ๒ คณะญาติ ได้พาไปซื้อเครื่องบวชที่ร้านขายสังฆภัณฑ์ ที่ตลาดบ้านผือ นายจาม ผิวขำ พบนางสาวนาง เป็นลูกสาวเจ้าของร้าน เกิดปฏิพัทธ์จิตรักใคร่ทันทีเมื่อแรกพบ แม่ชีมะแง้ ได้ปรึกษากับแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ เกรงจะมีปัญหาจึงได้พานายจาม ผิวขำ บวชเป็นสามเณร ไว้ก่อนที่วัดป่าโคกคอน อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๔๘๑ เพื่อหนีผู้หญิง แล้วเดินเท้าต่อไป ไหว้พระพุทธบาทบัวบก หอนางอุษา และมุ่งหน้าไป วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี

    พ.ศ. ๒๔๘๒ ( อายุ ๒๙ ปีบริบูรณ์ ) อุปสมบท เมื่อ อายุได้ ๒๙ เต็มปีบริบูรณ์ จึงได้อุปสมบท เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๘๒ ที่วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี โดยมี พระเทพกวี ( จูม พนฺธุโล ) เป็นพระอุปัชฌาย์เมื่อบวชเสร็จ พระจาม มหาปุญโญ ได้ออกธุดงค์ไปองค์เดียวไปภาวนาที่พระบาทคอแก้ง อยู่บริเวณ วัดพุทธบาท ต.พระพุทธบาท อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ขณะภาวนาเกิดนิมิตเห็นพญานาคขึ้นมาแล้วบอกว่าที่นี่เป็นพระพุทธบาทจริง พวกตนได้ขอไว้เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จ ผ่านมา ต่อมา พระจาม ได้ภาวนาอยู่ถ้ำพระ อ.บ้านผือ แล้วย้ายไปภาวนาที่หออุษา และย้ายไปภาวนาที่ถ้ำบัวบก อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี ซึ่งไม่ไกลกันนัก ที่ถ้ำพระพุทธบาทบัวบกนี้ พระจามได้ตั้งใจปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้าและพระอริยสาวก จนได้รู้ว่า

    เจดีย์เก่าองค์หนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่บนก้อนหินใหญ่เป็นเจดีย์บรรจุอัฐิธาตุของพระอาจารย์ หลวงปู่บุญ ปญฺญาวุโธ อัฐิได้กลายเป็นพระธาตุแล้ว ซึ่งท่านได้เป็นพระอาจารย์ของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร ซึ่งพระจามไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย ขณะภาวนาอยู่ได้เกิดแสงสว่างเป็นลำพุ่งลงมาจากท้องฟ้า สว่างเฉพาะบริเวณเจดีย์ พอรุ่งเช้าขึ้นจึงไปค้นดู ปรากฏหลักฐานที่สลักไว้ที่ฐานเจดีย์เท่านั้น จึงทราบความจริงดังกล่าวหลังจากนั้น พระจาม จึงได้เดินทางกลับมาจำพรรษาที่วัดหนองน่อง บ้านห้วยทราย คำชะอี เป็นพรรษาที่ ๑

    พ.ศ. ๒๔๘๓ ( อายุ ๓๐ ปี ) เมื่อออกพรรษา จึงเดินทางไปอยู่ที่ภูเก้ากับหลวงพ่อกา ( โยมพ่อ ) ระยะหนึ่ง จึงไปอยู่ภูจ้อก้อจนถึง เดือน ๗ ( กรกฎาคม ๒๔๘๓ ) จึงเดินทางต่อไป อยู่กับพระอาจารย์คูณ อธิมุตโต วัดป่าพูนไพบูลย์ บ้านหินตั้ง อ.เมือง จ.มหาสารคาม จำพรรษาที่ ๒ กับพระอาจารย์คูณ ซึ่งเป็นญาติกับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร เมื่อออกพรรษาแล้ว พระจาม จึงได้เดินทางต่อไปบ้านห้วยยาง อ.ชุมแพ ต่อจากนั้นก็เดินทางต่อไปบ้านกกเกลี้ยง ต่อไปยังถ้ำผาบิ้ง อ.วังสะพุง จ.เลย

    ที่ถ้ำผาบิ้ง หลวงปู่จามได้นั่งภาวนา จนถึงคืนสุดท้าย เวลาใกล้รุ่ง ก่อนจะเดินทางไปยังเพชาบูรณ์ เกิดจิตแจ้งสว่างไปหมด เห็นทุกทิศทุกทางสว่างไสว จิตตั้งอยู่ในความสว่างประมาณ ๒๐ นาที เหมือนจุเทียนแล้วความสว่างก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนสว่างรอบทิศ แล้วค่อยๆ ลดความสว่างลงไปๆ จนดับมืด ขณะสว่างนั้น ได้ยินคนคุยกันซึ่งเป็นอาโลกกสิณ และ ในตอนท้ายของการภาวนานั้น ได้ทราบว่าถ้ำผาบิ้งแห่งนี้ เป็นสถานที่นิพพานของพระอุบาลีมหาเถระ ตั้งแต่ พ.ศ.๔ หลังจากนั้นจึงได้ออกจากถ้ำผาบิ้ง มุ่งไปเพชรบูรณ์ พักที่เชิงเขาใกล้บ้านเลยวังใส ริมแม่น้ำเลย

    พ.ศ. ๒๔๘๔ อายุ ๓๑ ปี ช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ เมื่อ ออกจากบ้านเลยวังใส ไปบ้านเลยวังกลอย เดินต่อไปอีกประมาณ ๔ โมงเย็น ถึงสำนักสงฆ์บ้านหินกลิ้ง เป็นที่ซึ่งพระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล และโยมสร้างไว้ และพระอาจารย์มหาปิ่น ได้เคยจำพรรษาที่นั่นมาก่อนพระจาม พักอยู่ที่นั่นนานพอสมควร เนื่องจากพระสิงห์ ซึ่งเดินทางไปด้วยกันเกิดอาพาธด้วยไข้มาลาเรียและได้มรณะภาพ ลงที่นั้น ในพรรษาที่ ๓ พระจาม เดินทางต่อไปจำพรรษา ที่สำนักสงฆ์บ้านโนนผักเนา อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์

    เมื่อออกพรรษาแล้ว พระจาม ได้เดินทางต่อไปโดยเดินข้ามเทือกเขาตะกุดรัง พิจิตร ตะพานหิน ถึงอุตรดิตถ์ต่อไปยังพระแท่นศิลาอาสน์ พักแรมที่นั่นแล้วออกเดินทางต่อไปตามเส้นทางรถไฟ เดินนับหนอนรถไฟจากพระแท่นศิลาอาสน์ ลอดอุโมงค์เขาพึง เด่นชัย – แม่เมาะ – แม่ทะ ถึงแม่ตาลน้อย นายสถานีรถไฟแม่ตาลน้อย เกิดความเลื่อมใสจึงซื้อตั๋วรถไฟถวายถึงทาชมภู จึงได้ขึ้นรถไฟช่วงสั้น ๆ ไปลงที่สถานีท่าชมภู แล้วเดินเท้าตามทางรถไฟต่อไปยังสถานีแม่ทา – ลำพูน – เชียงใหม่ เข้าไปพักที่วัดเจดีย์หลวง ประมาณกลางเดือนธันวาคม ๒๔๘๔

    พ.ศ. ๒๔๘๕ อายุ ๓๒ ปี พรรษาที่ ๔ พบพระอาจารย์สิม พุทธาจาโร,หลวงปู่ชอบ ฐานสโม พระ จามออกจากวัดเจดีย์หลวง มุ่งหน้าไปจำพรรษาที่ วัดโรงธรรมสามัคคี อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ได้พบกับอาจารย์สิม พุทธาจาโร ซึ่งเป็นสหธรรมิกกันในสมัยที่เป็นสามเณร แม้ว่าจะเป็นเพื่อนกันมาก่อน แต่ขณะนั้นก็ต่างพรรษากัน เป็นระดับครูบาอาจารย์แล้ว

    ความคิดเห็นที่แตกต่างกันก็ยังเป็นเชื้อให้มีการถกแถลงด้านธรรมะกันอย่างออก รสในธรรม ในปีนั้น หลวงปู่จามได้เคยโต้วาทีกับบาทหลวงคริสต์ ที่บ้านพุงต้อม ต.ยุวา อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ ช่วงนั้นมีหญิงสาวหลายคนพยายามที่จะได้ตัวหลวงปู่จามไปเป็นสามี หลวงปู่ขาว อนาลโย ได้เทศนาภัย ๔ อย่างของนักบวช ได้แก่ มาตุคาม ,ทนคำสอนไม่ได้ , ทนต่อปากท้อง ทนลำบากไม่ได้ และกามคุณ ๕ หลังจากนั้น พระอาจารย์สิม ได้พา พระจาม ออกธุดงค์ขึ้นไปถ้ำเชียงดาว และต่อมาได้พบกับ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ที่ บ้านป่าฮิ้น เสนาสนะป่าแม่กอย

    พ.ศ. ๒๔๘๖ อายุ ๓๔ ปี ธุดงค์กับ หลวงปู่ชอบ ,หลวงปู่สิม หลวง ปู่ชอบ ได้พาอาจารย์สิม และพระจาม ออกธุดงค์ไปที่ อ.ฝาง อ.แม่อาย-บ้านม่วงสุม-บ้านมุ่งหวาย-บ่อน้ำร้อน อ.ฝาง ถึงประมาณเดือน ๖ ของปีนั้น ใกล้เข้าพรรษา พระจาม จึงขอแยกทางมุ่งไปยังวัดโรงธรรมสามัคคี เพื่อจำพรรษา ส่วนหลวงปู่ชอบ เดินทางต่อไปเพื่อจำพรรษาใน พม่าและจะถูกทหารจีนจับ ชาวบ้านต้องพาหลวงปู่ชอบ ไปซ่อนไว้ในยุ้งข้าว สาเหตุที่ หลวงปู่จาม ท่านไม่ชอบที่จะไปพม่า เพราะรู้สึกในส่วนลึกของจิตใจว่า เคยรบพุ่งกับพม่ามาแต่อดีตชาติ จึงไม่อยากไปเมืองพม่า ในปีนั้นจึงได้ จำพรรษา ที่วัดโรงธรรมสามัคคีอีก ๑ พรรษา (พรรษาที่ ๕) พร้อมกับหลวงปู่สิม

    พ.ศ. ๒๔๘๗ อายุ ๓๔ ปี ใช้ “ ธรรมโอสถ ” รักษาโรค ได้ ออกธุดงค์ไปกับหลวงปู่สิม ตามป่าเขา ตามดอยต่าง ๆ เขตจังหวัดเชียงใหม่ แล้วกลับมาจำพรรษาที่วัดอุโมงค์ ( พรรษาที่ ๖ ) อยู่กับหลวงปู่สิม วัดอุโมงค์เชิงดอยสุเทพ อ. เมือง จ.เชียงใหม่ ในสมัยนั้นเป็นป่าทึบมีเจดีย์ทรงลังกา ๑ องค์ และอยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ ปัจจุบันวัดอุโมงค์ อยู่ติดกับด้านหลังของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

    ในปีนั้น ( ๒๔๘๗ ) หลวงปู่จามได้ป่วยเป็นโรคกระเพาะ มีอาการปวดท้อง ได้รักษาด้วยยาแผนปัจจุบันก็ไม่หาย เปลี่ยนมารักษาแผนโบราณก็ไม่หาย ในที่สุดท่านก็ได้ใช้วิธีภาวนาบำเพ็ญสมาธิและงดอาหารหยาบทั้งหมด ฉันเฉพาะนมถั่วเหลืองวันละ ๑ แก้วและน้ำเท่านั้น ใช้ “ธรรมโอสถ” รักษาโรคกระเพาะ อีกไม่นานนัก อาการป่วยก็ทุเลาเบาบางลง ในที่สุดก็หายจากโรคกระเพาะ มีอาการปกติ สามารถฉันอาหารได้เป็นปกติ

    พ.ศ. ๒๔๘๘ อายุ ๓๕ ปี ( พรรษาที่ ๗ ) หลวงปู่สิ ม และหลวงปู่จาม ได้เคยไปอยู่ที่บ้านพักบนดอยของแม่เลี้ยงดอกจันทร์ กิรติปาล ซึ่งเป็นภรรยาของนายคิวลิปเปอร์ซึ่งเป็นชาวอังกฤษ บ้านพักส่วนตัวนี้ตั้งอยู่บนดอย อยู่ทางทิศใต้ ของเมืองเชียงใหม่ และพักภาวนาอยู่ที่นั่นนานพอสมควร

    พ.ศ. ๒๔๘๙ อายุ ๓๖ ปี ( พรรษาที่ ๘ ) พบ หลวงปู่ขาว อนาลโย, หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ , พระอาจารย์น้อย สุภโร หลวง ปู่จาม กับหลวงปู่สิม ไปจำพรรษาที่ป่าช้าซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองเชียงใหม่ ก่อนเข้าพรรษา ได้พบกับหลวงปู่ขาว อนาลโย ที่บ้านแม่หนองหาน อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ หลวงปู่ขาว ได้เตือนหลวงปู่จามให้ระวังเรื่องผู้หญิงว่า “ ให้ระวังเรื่องผู้หญิงให้มาก ถ้ารอดได้ก็สามารถรักษาพรหมจรรย์ตลอดรอดฝั่ง ถ้าไม่ได้ก็ต้องแพ้มาตุคาม ( หญิง ) แน่นอน ”

    หลวงปู่จาม สำนึกในคำสอนของหลวงปู่ขาว ไว้เสมอ ซึ่งแต่ละแห่งที่ไปจำพรรษาอยู่หรือไปพักอยู่นาน ๆ ก็จะพบผู้หญิงมาชอบเสมอมา เว้นแต่ที่ช่อแล ไม่มีผู้หญิงมาชอบ จึงบำเพ็ญอยู่ที่นั้นนานมากกว่าที่อื่น นอกจากที่นี่แล้ว เกือบทุกแห่งที่ไปพักแม้ไปปักกลดภาวนาอยู่ระยะสั้นก็พบผู้หญิงมาชอบ จนกระทั้งอายุ ๖๐ ปี จึงไม่มีผู้หญิงมายุ่งเกี่ยวในเชิงชู้สาวอีกเลย หลวงปู่จาม จึงมักเตือนพระหนุ่ม ๆ เสมอ ในเรื่องผู้หญิง ( แม่หญิง ) ให้ระวังเป็นอันดับแรก ต่อไปก็เรื่องเงิน และอวดอุตริ

    หลวงปู่จาม กับ พระอาจารย์น้อย สุภโร ไปฟังธรรมจากหลวงปู่ขาว ซึ่งท่านแสดงสติปัฏฐานสี่ให้ฟังอย่างละเอียดลึกซึ้งกินใจมาก พระอาจารย์ น้อย องค์นี้รุ่นราวคราวเดียวกับ ท่านพ่อลี (วัดอโศการาม) ซึ่งเป็นศิษย์รุ่นใหญ่ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และต่อมาท่านพระอาจารย์น้อยได้มรณะภาพ ที่ถ้ำพระสบาย ในปี ๒๕๐๐ ( พระอาจารย์น้อย เป็นคนบ้านผักบุ้ง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี รูปถ่ายในหนังสือบูรพาจารย์ หน้า ๑๔๒ มี ๕ องค์ รูปแรกที่ระบุว่าไม่ทราบชื่อ นั้นคือ พระอาจารย์น้อย ) หลวงปู่จามได้ศึกษาธรรมะกับหลวงปู่ขาว อยู่เสนาสนะป่าบ้านป่าเต้ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ โดยอยู่กับหลวงปู่แหวน และหลวงปู่ชอบ ด้วยที่นั่น

    ต่อมา หลวงปู่จามได้ทราบข่าวว่าหลวงปู่มั่น อยู่อีสาน ที่บ้านหนองผือนาใน จึงได้กราบเรียน หลวงปู่แหวน หลวงปู่ชอบได้ทราบ หลังจากนั้นจึงเดินทางจากเชียงใหม่เพื่อมุ่งไปอีสาน บ้านหนองผือ ต.นาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร โดยเดินทางเลาะมาทางหนองคายและเดินทางต่อไป บ้านหนองผือ นาใน กราบหลวงปู่มั่น ที่บ้านหนองผือ ต.นาใน อ.พรรณานิคม

    ในปี ๒๔๘๙ หลวงปู่จามไปพักที่วัดบ้านนาในกับหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร ต่อจากนั้นหลวงปู่หลุยจึงพาหลวงปู่จามเข้ากราบหลวงปู่มั่น ซึ่งพักอยู่บ้านหนองผือนาใน แล้วกราบเรียนหลวงปู่มั่นว่า “ สามเณรจาม ตอนนี้บวชเป็นพระแล้วครับกระผม ” หลวงปู่มั่นกล่าวว่า “ บวชแล้ว เพราะท่านมีนิสัยนักบวช ” หลวงปู่มั่นจึงให้โอวาทแก่หลวงปู่จามว่า “เมื่อก้าวมาสู่หนทางแห่งความดี ต้องเดินหน้าสู้ทน ตายเป็นว่า ( ายเป็นตาย ) อยู่เป็นว่า (อยู่เป็นอยู่ ) เหตุเพราะทางอื่นนั้นปราศจากความร่มเย็น ไม่เป็นความสุข อันนี้ความดีจะเป็นผลของตน ผู้เดินอยู่ในทางนี้ได้ตลอดไปนั้น จิตใจก็อยู่ใกล้ธรรมอยู่กับธรรมะไม่ละทิ้งความดี ตนก็จะเป็นผู้ราบรื่น ร่มเย็น ผาสุกอยู่ได้ในปฏิปทาแห่งตน ” เมื่อให้ธรรมะจบ หลวงปู่มั่นถามว่า “เข้าใจไหม จำไว้ให้ดี ”

    เมื่อลากลับไปที่วัดบ้านนาใน หลวงปู่จาม ซาบซึ้งในคำสอนนี้ ด้วยความปีติสุขใจยิ่ง พยายามทบทวนเพื่อให้จำไว้ให้ขึ้นใจ จะได้ไม่ลืม เพราะถือว่าคำสอนนี้เป็นกุญแจสำคัญแห่งชีวิตนี้ ต่อมาหลวงปู่จาม ได้มีโอกาสฟังธรรมจากหลวงปู่มั่นในวาระสำคัญหลายครั้ง โดยที่หลวงปู่จาม ได้ อธิฐานจิตถามหลวงปู่มั่นล่วงหน้าไว้ทั้ง ๔ ครั้ง ปรากฏว่าหลวงปู่มั่นทราบ ได้ด้วยญาณทัศนะและเทศนาในเรื่องที่หลวงปู่จามต้องการทราบทุกครั้ง

    ครั้งที่ ๑ หลวงปู่จามมีความสงสัยว่า ” คนที่ได้ธรรมะเป็นอย่างไร ทำไมถึงได้ธรรมะปฏิบัติอย่างไร “ จึงอธิษฐานถามหลวงปู่มั่น คืนวันนั้น หลวงปู่มั่นยก หิริ โอตฺตปฺป” ขึ้นมาเป็นหัวข้อแสดงพระธรรมเทศนา พระสงฆ์ที่พักอย่าตามสถานที่ต่างๆ จะมารวมกันฟังธรรมเสมอ เมื่อหลวงปู่มั่น เทศนาจบลงก็หันหน้ามามองไปที่หลวงปู่จาม แล้วถามเป็นเชิงปรารภว่า “เป็นอย่างไรท่านจาม ผู้ได้ธรรมเป็นอย่างนี้ เข้าใจไหม” หลวงปู่จามตอบว่า”เข้าใจครับกระผม” บรรดาพระสงฆ์ที่นั่งฟังก็หันมามองหลวงปู่จามก้นทั้งหมด

    เมื่อหลวงปู่จามมกลับไปที่พัก ก็รีบนั่งภาวนาเพื่อทบทวนคำสอนของหลวงปู่มั่น เพื่อให้จำได้อย่างขึ้นใจ
    ครั้งที่ ๒ หลวงปู่จามอยากรู้เรื่อง ”พระธรรมวินัยว่า ธรรมอย่างหยาบ ธรรมอย่างกลาง ธรรมอย่างละเอียด เป็นอย่างไร” จึงได้กำหนดจิต อธิษฐานถามหลวงปู่มั่น และหลวงปู่จาม ก็คิดนึกในใจต่อ ไปว่า “ อยากรู้ถึงปฏิปทาภพชาติของตนเองด้วย ” ในคืนนั้นหลวงปู่มั่น ได้เทศนา โดยยกหัวข้อธรรมขึ้นว่า “ หีนา ธมฺมา มชฺฌิมา ธมฺมา ปณีตา ธมฺมา ” แล้วอธิบายธรรมและวินัยควบคู่กันไปให้รู้เข้าใจกระจ่าง และ ได้แจกแจงโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ ตั้งแต่หัวค่ำจนถึงเที่ยงคืนพอดี ต่อจากนั้นหลวงปู่มั่นก็เทศนาต่อไปว่า
    “ ให้ตั้งใจเจริญพุทธคุณ ตามรอยบาทของพระพุทธเจ้า ถือด้วยใจ ปฏิบัติด้วยใจ เจริญพุทธเนตฺติ ด้วยการประพฤติเพื่อความหนักแน่นในธรรม ผู้ถึงพระพุทธเจ้าด้วยหัวใจ เท่านั้นที่เป็นผู้ทรงธรรม ทรงวินัยอยู่ได้…” เมื่อเทศน์จบหลวงปู่มั่น ก็หันมาถามอีกว่า “

    ท่านจามเข้าใจไหม ที่ต้องการรู้นะ จำไว้ให้ดี ”
    ครั้งที่ ๓ หลวงปู่จามอยากรู้เรื่องพระอภิธรรม จึงอธิษฐานจิตถามไว้ พอตอนกลางคืน หลวงปู่มั่นก็เทศนาเริ่มต้นที่มูลกัจจายนะ ตรงตามที่หลวงปู่จาม ตั้งอธิฐานไว้
    ครั้งที่ ๔ หลวงปู่ เกิดข้อสงสัยว่าเราเองก็ทำความเพียร อย่างจริงจังมาก แต่ไม่ค่อยได้ผลดีตามที่ปรารถนา พระองค์อื่นก็คงเป็นเช่นเดียวกันกับเราเองก็คงมีอีก ไม่น้อยจึงอธิษฐานจิตถามไว้ล่วงหน้า เมื่อหลวงปู่มั่น ได้เทศนากัณฑ์แรกจบไป ก็เทศนาเตือนสติในตอนท้ายว่า “ เอาจริงเอาจังเกินไป หรือขวนขวายพยายามพากเพียรมากไปแต่ขาดปัญญา ก็เป็นเหตุ ให้ใจดิ้นรนอยากได้ อยากเป็น อยากเห็น อยากสำเร็จ อยากบรรลุธรรม โลโภ ธมฺมานํ ปริปนฺโถ ความอยากของตนจึงเป็นอุปสรรคของตน จึงให้ดูใจดูตนของตนด้วยสติปัญญา “ เมื่อเทศน์จบหลวงปู่มั่นก็หันหน้ามาทางหลวงปู่จาม แล้วถามว่า “ เป็นอย่างไรท่านจาม ความโลภเป็นอย่างนี้ เข้าใจไหม ” หลวงปู่จาม ตอบอย่างเคารพและเกรงกลัวเป็นที่สุดว่า “ เข้าใจซาบซึ้งเป็นที่สุดครับกระผม”

    พ.ศ. ๒๔๙๐ อายุ ๓๗ ปี ( พรรษาที่ ๙ ) หลวงปู่จามจำพรรษาที่วัดเจดีย์หลวง

    พ.ศ. ๒๔๙๑ อายุ ๓๘ ปี ( พรรษาที่ ๑๐ ) พบ ครูบาไชยา ( ใจยา ) หลวง ปู่จามจำพรรษา กับหลวงปู่สิมที่ถ้ำผาพั้วะ ใกล้บ้านห้วยอีลิง เขตอำเภอจอมทอง ได้หาโอกาสไปกราบและศึกษาธรรมะกับ ครูบาไชยา (ใจยา) พระเกจิอาจารย์ชื่อดังที่จอมทอง สมัยนั้น ซึ่งท่านเป็นลูกศิษย์ของครูบาศรีวิชัย เมื่อออกพรรษา ก็ลงจากถ้ำผาพั้วะ ส่วนหลวงปู่สิม ขอแยกไปตั้งวัดป่าสันติธรรม

    พ.ศ. ๒๔๙๒ อายุ ๓๙ ปี ( พรรษาที่ ๑๑ ) ถูกยิงด้วยปืนลูกซอง หลวง ปู่จาม จำพรรษาที่สวนลำไย ระหว่างบ้านท่ากานและบ้านทุ่งเสี้ยว เขตอำเภอสันป่าตอง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นส่วนลำไยของพ่อน้อยมา ในพรรษานี้ หลวงปู่จาม เริ่มเทศนาเปิดธรรมะพิศดารให้ญาติโยมฟังมากขึ้น เมื่อออกพรรษาแล้ว หลวงปู่จามได้ไปพักภาวนาอยู่ในป่าอยู่กลางทุ่ง ถูกชาวบ้านชื่อนายดวง ซึ่งเป็นนักเลงโตแถบนั้น เป็นหลานกำนันซึ่งไม่เคยศรัทธาพระ นายดวงต้องการทดลองพระธุดงค์กรรมฐานที่แปลกหน้ามา นายดวงจึงยิงหลวงปู่จามด้วยปืนลูกซอง ยิงออกเสียงดังแต่กระสุนไม่ถูก จึงพูดกับลุงกำนันว่า “ พระองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์ดี จริง ๆ ข้า ฯ ไปยิงมาเมื่อกี้นี่ ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ”

    หลวงปู่จามได้ธุดงค์ต่อไป มุ่งไปสะเมิง ได้พบกับหลวงปู่ชอบ หลวงปู่ชอบจึงชวนหลวงปู่จามธุดงค์ไปดอยอินทนนท์ ต่อจากนั้นหลวงปู่ชอบได้ชวนหลวงปู่จามให้ไปบำเพ็ญภาวนาที่พระธาตุองค์หนึ่ง เจดีย์เก่าแก่ ตั้งอยู่กลางป่าบนเทือกเขา หลวงปู่ชอบบอกว่า ได้เคยไปมาก่อนแล้ว ท่านว่า “ เป็นสถานที่ ศักดิ์สิทธิ์เละเคยเป็นบริเวณรุ่งเรืองมาก่อน ”

    เมื่อลงจาก พระธาตุดังกล่าวแล้ว จึงแยกกับหลวงปู่ชอบ ไปอยู่คนละดอยในเขต อ.สะเมิง นั้นเอง หลวงปู่จาม แยกไปพักอยู่ใกล้บ้านกระเหรี่ยงอีกดอยหนึ่ง ต้องเดินลัดเลาะไปตามลำห้วยเพราะไม่มีเส้นทาง หลวงปู่จามไปอยู่ที่บ้านแม่บ่อแก้วประมาณ ๑ เดือน ( ต่อมาภายหลังเมื่อหลวงปู่จามได้มาอยู่ที่บ้านห้วยทรายแล้ว ก็ได้ภาวนาปรากฏเหตุการณ์ย้อนอดีตว่า หลวงปู่จามเคยเป็นกระเหรี่ยง เป็นหัวหน้าพวกนี้มาก่อนแต่อดีตชาติ ) เมื่อได้ลาจากบ้านแม่บ่อแก้วแล้ว ก็ได้มุ่งไปอีกดอยหนึ่งซึ่งอยู่ห่างไกล

    เลยบ้านแม่บ่อแก้วขึ้นไปอีกไกลมาก จึงไปปักกลดอยู่ไม่ห่างจากหมู่บ้านกระเหรี่ยงบนดอยนั้น หลวงปู่จามจึงได้พบกับความสัปปายะหลายอย่าง อันได้แก่ สถานที่สัปปายะ คนสัปปายะ อาหารสัปปายะ เป็นต้น ท่านจึงพักอยู่บำเพ็ญเพียร ประมาณ ๒ - ๓ เดือน ชาวกระเหรี่ยงศรัทธามาก จะมาหาหลวงปู่ทุกวัน หลวงปู่ต้องบอกหัวหน้าหมู่บ้านให้จัดแบ่ง ผู้ชายมาเข้าเวรเฝ้าหลวงปู่จาม เพราะจะมีผู้หญิงเข้ามาหาท่านตลอด และมาช่วยท่านแม้กระทั่งหาฟืน หิ้วขนน้ำมาให้ท่าน บนดอยอากาศหนาว ชาวบ้านชายหญิงจะผลัดเปลี่ยนกันมาปรนนิบัติ ต้มน้ำ ก่อไฟ เพราะอากาศหนาวจัด

    ชาวบ้านจะติดตามท่านมาดูแลตอนฉันภัตตาหาร หลวงปู่จามอยู่ที่นั้นประมาณ ๒ เดือนครึ่ง เนื่องจากอากาศบนดอยหนาวมาก หลวงปู่จามจึงลาชาวบ้านกลับลงมา ชาวกระเหรี่ยงศรัทธามาก เสียดายหลวงปู่ ก็ได้แต่ขอร้องและร้องไห้ หลวงปู่จาม มุ่งไปบ้านหาดเสี้ยว เขต อ.สะเมิง ไปอยู่ถ้ำเสือนอน วันหนึ่งหลวงปู่จามได้เดินไปเที่ยวป่า ได้พบซากสลักหักพัง และพบพระหัตถ์เบื้องขวาของ พระพุทธรูปเป็นทองสำริด จึงเก็บมาไว้กราบไหว้บูชา พอถึงกลางคืนขณะนั่งภาวนาอยู่ที่ถ้ำเสือนอน ปรากฏภาพเทวดามาบอกว่าให้ท่านเอาพระหัตถ์ พระพุทธรูปนั้นไปคืนไว้ที่เดิม

    หลวงปู่จามก็บอกว่า “ เราเอามาไว้กราบไหว้บูชาเฉย ๆ ไม่เอาไม่หวังสมบัติใด ๆ ” คืนต่อมา เทวดาก็มาบอกอีกว่า “ให้เอาไปคืนไว้ที่เดิม เนื่องจากผู้สร้างได้อธิษฐานไว้เป็นสมบัติของพระพุทธศาสนา ให้เป็นสมบัติของแผ่นดินแห่งนั้น การนำไปที่อื่นจะเป็นบาปกรรมติดใจ ติดตัวท่านไป” ต่อมาหลวงปู่จามจึงได้นำเอาไปคืนไว้ที่เดิม

    พ.ศ. ๒๔๙๓ พรรษาที่ ๑๒ ท่องพระปาฏิโมกข์ หลวงปู่ จามออกจากสะเมิง กลับไปจำพรรษาที่วัดเจดีย์หลวง จ.เชียงใหม่ เมื่อออกพรรษาแล้วจึงกลับไปสะเมิงอีก ไปองค์เดียว ไปพักอยู่บนดอยแห่งหนึ่ง เป็นดงป่าทึบในหุบเขา ห่างออกไปจากหมู่บ้านเชิงดอย หลวงปู่ได้ตั้งใจว่าจะขึ้นดอยท่องพระปาฏิโมกข์ให้ได้คล่องขึ้นใจให้ได้ก่อน จึงจะกลับลงมา หลวงปู่จามใช้เวลาเพียง ๑๕ วัน ก็ท่องได้จบด้วยความถูกต้อง

    ทั้งในอักขระและออกสำเนียงภาษาบาลี ต่อจากนั้นก็ได้ทบทวนจนคล่องและมั่นใจใน ๑๕ วันต่อมาร่วม ๓๐ วันพอดี ขณะที่หลวงปู่จามท่องพระปาฏิโมกข์อยู่นั้น จะมีอีเก้งขนาดรุ่น ๆ ตัวหนึ่งมาแอบฟัง พอนาน ๆ ไปก็คุ้นและเชื่อง พอได้ยินเสียงสวดก็โผล่ออกมาจากป่ามายืนฟังเฉยอยู่เป็นประจำ เมื่อหลวงปู่จามจะเดินจงกรมสลับกับการท่องพระปาฏิโมกข์เพื่อเปลี่ยนอิริยา บท อีเก้งตัวนั้นก็เดินไปเดินมาตามแนวขนานกับทางจงกรมเป็นทางลึก ต้นไม้ใบหญ้าถูกเหยียบจนเป็นทางเดิน ซึ่งอยู่ห่างจากทางเดินจงกรมประมาณ ๒ วา (๔ เมตร) เมื่อหลวงปู่เดิน อีเก้งก็เดินด้วย กลับไปกลับมา เห็นท่านหยุดมันก็หยุด บางวันหลวงปู่เดินจงกรมนาน ๆ อีเก้งเดินไปเดินมาพอมันเมื่อยก็ไปนอนพักดูหลวงปู่เดิน พักสักครู่มันก็เดินต่ออีก บางวันหลวงปู่เดินจงกรมเสร็จกลับไปพัก พอหลวงปู่ออกมาทำธุระส่วนตัว หรือเดินจงกรม มันก็ออกมาอีก

    พ.ศ. ๒๔๙๔ อายุ ๔๑ ปี ( พรรษาที่ ๑๓ ) หลวงปู่ได้ธุดงค์ต่อไป เดิน ไปตามเนินตามล้ำห้วย มุ่ง ไปเชียงราย ต่อไปแม่สาย แล้วกลับมาจำพรรษาที่วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่หลวงปู่ ได้ไปศึกษาธรรมกับ หลวงปู่คำแสน คุณาลงฺกาโร ที่วัดดอนมูล (สันโค้งใหม่)ต.ทรายมูล อ.สันกำแพง เมื่อออกพรรษาแล้วจึงเดินธุดงค์ไป อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ มุ่ง ไปแม่อาย เชียงใหม่ แล้วลงแพล่องไปตามลำแม่น้ำกก ไปกับคณะโยม มุ่ง ไปเชียงราย ผ่านตามแก่งต่างๆ เมื่อล่องแพไปถึงเชียงราย เลยไปลำปางและส่งคณะโยมกลับไปเชียงใหม่ หลวงปู่จามก็ย้อนกลับไปเชียงราย อีกครั้งเพียงองค์เดียว

    ขณะที่ได้บำเพ็ญภาวนาบริเวณริมแม่น้ำกก ไม่ ไกลจากเมืองเชียงรายมากนัก ได้ภาวนาแต่จิตไม่สงบก็ได้มีพญานาคโผล่ขึ้นมาจากแม่น้ำกกบอกว่า ” จิตสงบหรือไม่สงบไม่เกี่ยวกับพญานาค อยู่ที่จิตของท่านเอง” หลวงปู่จามถามว่า” ถ้าไม่เกี่ยวแล้วขึ้นมาทำไป” พญานาคตอบว่า ” ได้ยินเสียงสนั่นหวั่นไหว เหมือนดินจะถล่ม มีอะไรเกิดขึ้นจึงโผล่ขึ้นมาดู ก็เห็นว่าพระผู้เป็นเจ้านั่งสมาธิถาวนาจึงขออนุโมทนาแสดงความยินดีต่อการ บำเพ็ญสมณธรรมของท่านพระผู้เป็นเจ้าด้วย” หลวงปู่จามเล่าว่า เห็นภาพปรากฏในสมาธิโผล่ขึ้นเหมือน้ำสูงประมาณ ๓ เมตร ลำตัวใหญ่ประมาณเท่ากระบุงข้าวตัวขนาดเท่าลำต้นตาล สีเลื่อมพราย มีหงอนแดง ต่อมาในภายหลังหลวงปู่ได้ภาวนาจึงได้ทราบต่อมาว่าพญานาคตนนี้ได้ปรารถนาจะ เป็นพระอสีติมหาสาวกของพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอนาคตเบื้องหน้า(พระพุทธเจ้า ที่อุบัติขึ้นในโลกแต่ละพระองค์จะมีพระอสีติมหาสาวก ๔๐ องค์ ที่มีความสามารถเฉพาะตัวในด้านต่าง ๆ และมีพระอนุอสีติมหาสาวกอีก ๔๐ องค์ มีความสามารถรองลงมาในด้านต่าง ๆ ) หลวงปู่สิม ก็เคยกล่าวชื่นชมว่า หลวงปู่จาม เป็นผู้รู้เรื่องพญานาค เป็นอย่างดี

    พ.ศ. ๒๔๙๕ อายุ ๔๒ ปี อ่านพระไตรปิฏก ๓ รอบ หลวง ปู่จามเดินธุดงค์ต่อไป มุ่งไปพระธาตุจอมกิตติ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ไปภาวนาหลายแห่ง เช่น วัดพระธาตุจอมกิตติ วัดป่าสัก วัดเก่าแก่หลายแห่งในเขตอำเภอเชียงแสน สมัยนั้นมักเป็นวัดร้าง หลวงปู่จามเล่าว่า ภาวนาแถบนี้ได้รับผลดีมีความเจริญก้าวหน้าในด้านจิตใจ และภาวนาได้ทราบว่าที่ท่านเป็นผู้หนึ่งในอดีตชาติที่ร่วมก่อสร้างพระธาตุจอม กิตติ เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุพุทธเจ้าในสมัยยุคเชียงแสน หลวงปู่จามได้ธุดงค์วกกลับไปลำปาง ไปพักอยู่ในป่าช้าแห่งหนึ่ง

    และได้เทศนาสั่งสอนพระสงฆ์สามเณรฝ่ายมหานิกายและคณะญาติโยม เพื่อให้ได้สัมมาปฏิบัติ หลวงปู่จามพักอยู่ที่นั้นเป็นระยะเวลานานพอสมควร จนเป็นที่ทราบถึงพระเณรและคณะศรัทธาญาติโยมจากอำเภอต่าง ๆ ใกล้เคียงได้เดินทางมาฟังธรรมอยู่เป็นประจำหลวงปู่จามเล่าว่า อานิสงส์ของการเทศน์สั่งสอนพระสงฆ์สามเณรและญาติโยมคราวนั้นได้ปรากฏนิมิต ขณะเทศนานั้นปรากฏเป็นภาพฝนตกมาจากท้องฟ้าเป็นแสงระยิบระยับเหมือนเพชรพลอย ตกลงมา โปรยลงมาเฉพาะบริเวณที่เทศนาในป่าช้านั้นตลอดเวลาที่เทศนาอบรม เหนือพระสงฆ์สามเณรและญาติโยมที่มาฟังธรรมตอนนั้น

    หลวงปู่จามให้เหตุผลว่า “ ผู้เทศน์ได้อานิสงส์ ผู้ฟังได้อานิสงส์ ตลอดจนได้รับความรู้ฉลาดในเชิงอรรถภูมิธรรม ” ในปีนั้นได้จำพรรษาที่วัดเชตวัน อ.เมือง จ.ลำปาง โดยหลวงปู่จามได้อธิฐานจะอ่านพระไตรปิฏกให้จบทุกเล่มในพรรษานี้ ปรากฏว่าท่านได้จบถึง ๓ รอบ มุมานะทั้งกลางวัน กลางคืน เมื่อออกพรรษาแล้วได้เดินธุดงค์ไปลำพูน เดินธุดงค์ผ่านเข้าเชียงใหม่ ไปบ้านช่อแล ไปวัดหลวงปู่ตื้อ ไปโรงธรรมสามัคคี (อยู่แทนหลวงปู่สิม ๑ พรรษา)

    พ.ศ. ๒๔๙๙ อายุ ๔๖ ปี พรรษาที่ ๑๗ ถ้ำพระสบาย ที่ ถ้ำพระสบาย อ.แม่ทะ จ.ลำปาง ท่านพ่อลี ธมฺมธโร วัดอโศการาม ขณะสมณศักดิ์เป็นพระครูสุทธิธัมมาจารย์ได้นำคณะญาติโยมจัดสร้างเจดีย์เพื่อ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ในถ้ำพระสบายโดยมีเจ้าแม่สุข ณ ลำปาง แม่เลี้ยงเต่า จันทรวิโรจน์ แม่เหรียญ กิ่งเทียน เป็นเจ้าศรัทธาใหญ่ตามคำปรารภของท่านพ่อลี ให้จัดสร้างและทำพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และด้วยจิตอธิฐานของท่านพ่อลี ได้เกิดต้นโพธิ์ขึ้นเอง ๓ ต้นบริเวณหน้าถ้ำพระสบาย เมื่อสร้างเจดีย์เสร็จ ท่านพ่อลีได้นิมนต์ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม หลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ หลวงปู่แว่น ธนปาโล พระอาจารย์น้อย สุภโร

    ไปทำพิธีเจริญพระพุทธมนต์ โดยต่างองค์ก็ต่างสวดบทมนต์ตามถนัดตั้งแต่หัวค่ำจนถึงตีสี่จึงจบเสร็จพิธี พิธีที่แปลก แต่ละองค์จะมีพานไว้ข้างหน้าเพื่อเสี่ยงทายบารมี และจะนั่งอยู่องค์ละทิศของเจดีย์ หลวงปู่แว่น ธนปาโล นั่งอยู่หน้าถ้ำ จึงอธิษฐานว่าถ้าพระธาตุเสด็จมาในพานของใครมากน้อยก็แสดงว่าผู้นั้นได้ทำ ประโยชน์แก่พระพุทธศาสนามากน้อยตามปริมาณที่พระธาตุเสด็จมา แต่ละองค์ก็สวดบทมนต์ที่ตนถนัดหรือจำมาได้ ตลอดเวลารวมทั้งสวดปาฏิโมกข์ เมื่อสวดถึงประมาณตีสี่ ปรากฏว่าเสียงตกกราวลงมาคล้ายกระจกแตก จึงให้สัญญาณหยุดสวดเจริญพระพุทธมนต์ แล้วจึงได้ตรวจดูในพานของแต่ละท่านที่วางอยู่หน้าที่นั่งปรากฏว่าในพานของ ท่านพ่อลี มีพระธาตุมากที่สุด รองลงมาก็เป็นของหลวงปู่จาม ต่อมาก็พระอาจารย์น้อย,หลวงปู่ตื้อและหลวงปู่แว่น ตามลำดับ

    ในมติคณะสงฆ์ตอนนั้น ได้มอบหมายให้หลวงปู่ตื้อ เป็นผู้วินิจฉัยถึงเหตุผลว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะทุกองค์ยอมรับในความสามารถเข้าฌาณของหลวงปู่ตื้อ ว่ามีญาณทัศนะเป็นที่แน่นอน เมื่อหลวงปู่ตื้อเข้าสมาธิ เล็งญาณดูในอดีต จึงแจ้งให้คณะสงฆ์ทราบร่วมกันว่า ท่านพ่อลี เป็นพระเจ้าอโศกมหาราช หลวงปู่จาม เป็นกษัตริย์ชื่อ เทวนัมปิยะ ของประเทศศรีลังกา พระอาจารย์น้อย เป็นเสนาอำมาตย์ของกษัตริย์ศรีลังกาองค์นั้น (เทวนัมปิยะ) หลวงปู่ตื้อ เป็นโจรมีเมตตาคนจน ตั้งปางโจรอยู่แถวถ้ำพระสบาย ปล้นคนรวยเอาไปช่วยคนจน หลวงปู่แว่น เจ้าเมืองลำปางในอดีต

    ช่วงนั้นท่านพ่อลีได้บอกหลวงปู่จามอีกว่า “ได้พบสาวกของท่านองค์หนึ่งเป็นเจ้าแห่งผีที่ผานกเค้า (จ.เลย) อย่าลืมไปโปรดเขาด้วย” ต่อมาท่านพ่อลีได้ชวนหลวงปู่จามลงไปกรุงเทพฯ เพื่อไปสร้างวัดที่นาแม่ขาว ที่สมุทรปราการ ( วัดอโศการาม ในปัจจุบัน ) แต่หลวงปู่จาม ออกอุบาย อ้างว่าชอบที่จะหาสถานที่วิเวกต่อไป

    หลวงปู่จามเล่าว่า ชอบที่จะไปภาวนาที่ถ้ำเชียงดาว ถ้ำปากเปียง ถ้ำจันทร์ ถ้ำพระสบาย และถ้ำอื่น ๆ ในเขตเชียงใหม่ ซึ่งล้วนเป็นสถานที่สัปปายะ

    พ.ศ. ๒๕๐๐ อายุ ๔๗ ปี หลวงปู่จามไปภาวนาอยู่เกาะคา ลำปาง เป็นที่พักสงฆ์ชั่วคราว ในปีนั้นพระอาจารย์น้อย สุภโร มรณภาพ จึงได้ทำพิธีฌาปนกิจที่วัดสำราญนิวาส อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง

    พ.ศ. ๒๕๐๐ - ๒๕๐๑ ห้วยน้ำริน หลวงปู่จามธุดงค์ไป ลำพูน ไปพักอยู่ตามป่าช้า เพื่อตระเวนเทศนาสั่งสอนพระสงฆ์ สามเณร ญาติโยมได้พบกับหลวงปู่หลอด ปโมทิโต ( วัดใหม่เสนานิคม กรุงเทพฯ ) จึงธุดงค์ไปด้วยกันเป็นสหธรรมิกกัน ต่อมาภายหลังเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๙ หลวงปู่หลอดได้มาเยี่ยมหลวงปู่จามที่ห้วยทราย ( วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ) ได้พูดกับพระอุปัฏฐากหลวงปู่จามว่า “ ขณะอยู่ลำพูน หลวงปู่จาม เทศน์เก่งมาก ผู้ฟังธรรมล้นหลาม ”

    พ.ศ. ๒๕๐๑ ( พรรษาที่ ๒๐ ) อายุ ๔๙ ปี จำพรรษาที่วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่ หลวงปู่จาม ได้เทศนาอบรมพระสงฆ์ สามเณร ญาติโยมในด้านการภาวนาในช่วงตอนบ่ายเป็นประจำ

    พ.ศ. ๒๕๐๒ - ๒๕๐๔ ( พรรษาที่ ๒๑ - ๒๓ ) อายุ ๕๐–๕๒ ปี โยม แม่ผัน โยมเลียงพัน ทิพยมณฑล ได้นิมนต์หลวงปู่จาม ไปพักที่โรงบ่มใบยาบ้านแม่แต อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ได้สร้างเป็นที่พักสงฆ์ถวายเพื่อจะด้อบรมสั่งสอนธรรมะแก่พระเณรและญาติโยม มีพระสงฆ์ สามเณร จำพรรษาอยู่ด้วยหลายองค์ ได้แก่ หลวงปู่บุญหนา ธมฺมทินโน( วัดโสตถิผล อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ปัจจุบัน ) ได้เคยจำพรรษาอยู่ที่พักสงฆ์โรงงานบ่มใบยา ๒ พรรษา กับหลวงปู่จาม หลวงปู่จาม จำพรรษาอยู่ที่พักสงฆ์โรงบ่มใบยาแห่งนี้ ๓ พรรษา แต่ระหว่างที่พักอยู่ที่นี้ เมื่อออกพรรษาก็ไปธุดงค์ที่อื่นบ้าง ไปธุระบ้าง ตามเหตุอันควร

    พ.ศ. ๒๕๐๕ พรรษาที่ ๒๔ อายุ ๕๓ หลวงปู่จาม มีกิจนิมนต์ไปกรุงเทพฯ ได้พบกับ สมเด็จพระพุทธปาพจนบดี ขณะมีสมณศักดิ์เป็นท่านเจ้าคุณพุทธปาพจนจินดา ก็ได้สนธนาธรรมตามสมควร หลวงปู่จาม ได้ไปสนทนาธรรมกับ สมเด็จพระมหามุนีวงศ์(สนั่น) หลวงปู่จาม ชวนท่านออกไปปฏิบัติธรรมในป่าเขา สมเด็จฯท่านบอกว่าหาอุบายหลายปียังหาช่องทางออกไม่ได้ การสนทนาธรรม ได้สอบความถูกต้องระหว่างปริยัติกับปฏิบัติ ทำให้เข้าใจกันได้ดี
    ในปีนั้นมีศิษย์หลวงปู่จามท่านหนึ่งซึ่งได้ไปบวชที่วัดเจดีย์หลวง

    จากนั้นจึงได้ไปส่งที่บ้านเกิดที่ลพบุรี หลวงปู่จาม จึงถือโอกาสนั้นได้ไปแสวงหาสถานที่ภาวนาแถวลพบุรี มีหลายแห่ง หลวงปู่จามได้ไปภาวนาอยู่บนเชิงเขาแห่งหนึ่ง มีนกเอี้ยงจำนวนมากร้องเสียงดังมาก ท่านได้นั่งภาวนาและกำหนดจิตดูว่าทำไมนกตัวนี้จึงเสียงดังผิดปกติ จึงส่งจิตถามหัวหน้านกเอี้ยง หัวหน้าก็ร้องบอกเจ้านกบริวารว่าอย่าส่งเสียงดังรบกวนพระคุณเจ้ากำลังบำเพ็ญ ถาวนา ถ้าหากจะไปหากินหัวหน้าก็จะร้องเสียงดังครั้งเดียวนกเหล่านั้น ก็จะกระจาย สลายตัว ต่างก็บินไปหากินที่อื่นโดยไม่ส่งเสียงดังรบกวนอีกต่อไป หลวงปู่จามได้พัก อยู่ระยะหนึ่งก็ลานกเอี้ยงว่าจะกลับไปเชียงใหม่แล้ว พอวันที่ท่านออก เดินทางกลับด้วยเท้าพร้อมบริวาร บรรดานกเอี้ยงก็ร้องให้สัญญาณ แล้วทุกตัวก็บินมารวมกันเป็นขบวน อ้อมไปอ้อมมา นำหน้าท่านบ้างอ้อมมาตามหลังบ้าง เมื่อเดินทางออกไปได้หลายกิโลเมตร ประมาณ ๑ ชั่วโมง ฝูงนกเอี้ยงที่บินมาร้องดังระงมมาส่งตลอดทางนั้น ก็บินวนแล้วก็กลับไป

    พ.ศ. ๒๕๐๖ อายุ ๕๔ ปี กลับเยี่ยมบ้านครั้งแรก ใน ปี พ.ศ. ๒๕๐๖ เป็นปีแรกที่หลวงปู่จามยินยอมเดินทางกลับมาที่บ้านห้วยทราย หลังจากไปอยู่ทางภาคเหนือกว่า ๒๒ ปี ( ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๘๔–๒๕๐๖ ) ขณะนั้นแม่ชีมะแง้ โยมแม่ของหลวงปู่จาม ซึ่งบวชเป็นแม่ชีและพำนักที่สำนักชีบ้านห้วยทราย ส่วนหลวงปู่จาม พำนักอยู่กับสามเณรอินทร์ ( พระอาจารย์อินทร์ถวาย )ที่ป่าช้าบ้านห้วยทราย คำชะอี ในปี พ.ศ. ๒๕๐๖ เป็นปีแรกที่คณะญาติโยมบ้านห้วยทรายได้ไปรับคุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ กลับจากวัดป่าบ้านตาด เมื่อพักอยู่พอสมควรแล้ว หลวงปู่จาม ได้เดินทางกลับไปภาคเหนืออีกครั้ง และเปิดโอกาสให้คณะญาติไปเยี่ยมเยียนที่ภาคเหนือได้เป็นครั้งคราว และพร้อมจะเดินทางกลับมาโปรด หากคณะญาติมีความจำเป็น

    เมื่อได้เดินทางกลับถึงภาคเหนือแล้ว หลวงปู่จามได้พักอยู่ที่ป่าช้าบ้านปากทาง อ.แม่แตง หลวงปู่จาม ต้องไปนอนในโลงศพเพราะอากาศหนาวมาก ต่อมาภายหลังได้มีผู้นิมนต์หลวงปู่ตื้อมาจากน้ำตกแม่กลาง ดอยอินทนนท์ เชียงใหม่ ให้มาสร้างวัดขึ้นให้ชื่อต่อมาว่า “ วัดป่าอาจารย์ตื้อ ” หลวงปู่จามก็ได้อยู่ร่วมก่อสร้างวัดนี้ด้วย หลวงปู่แหวน หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่ชอบ และหลวงปู่จาม เคยไปพักอยู่ด้วยกันที่วัดป่าห้วยน้ำริน อ.แม่ริม เคยไปพักอยู่ร่วมกันที่วัดอรัญญวิเวก บ้านปง อ.แม่แตง

    พ.ศ. อายุ ๕๗ ปี ( พรรษาที่ ๒๘ ) หลวงปู่จามไป อยู่บ้านช่อแล ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๙ ถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๒ รวม ๔ ปี เขต อ.แม่แตง ติดกับเขื่อนแม่งัด แต่เดิมเป็นสวนมะม่วงของโยมพ่อทิดพรหมมา เป็นชาวหลวงพระบาง ได้อพยพมาตั้งหลักแหล่งอยู่เชียงใหม่นี้ ได้ถวายที่ดินเริ่มแรกจำนวน ๓ งาน ตั้งเป็นสำนักสงฆ์ อุทการาม เพราะอยู่ติดริมน้ำแม่งัด ต่อมาขยายที่ดินเป็น ๖ ไร่เศษ จึงได้สร้างเป็นวัดให้ชื่อว่า วัดจิตตาราม

    หลวงปู่จาม ได้ลงมาเยี่ยมโยมแม่ที่ห้วยทราย หลวงปู่ จาม จึงตัดสินใจเดินทางกลับไปห้วยทรายโดยไม่บอกให้ใครทราบล่วงหน้าก่อนเลย เมื่อหลวงปู่จามไปถึงห้วยทราย ก็มุ่งไปเยี่ยมโยมแม่ที่บ้านอย่างไม่มีใครคาดฝัน ญาติก็ตะโกนบอกโยมแม่ท่าน โยมแม่อยู่ในห้องนอนพอได้ยินเท่านั้นก็ร้องไห้โฮด้วยความดีใจมากที่มา อย่างกระทันหัน โดยไม่มีใครรู้ล่วงหน้า หลวงปู่จาม ก็พูดว่า มาแทนที่จะดีใจกลับร้องไห้ ถ้าไม่หยุดร้องไห้ก็จะกลับละ พอขาดคำเสียงร้องไห้ทุกคนก็หยุดนิ่งเงียบเสียง เสมือนถูกมนต์สะกดจิต
    หลวงปู่จามจึงได้อยู่อุปัฏฐากดูแลโยมแม่ตลอด ท่านพักจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ไปเยี่ยมโยมแม่ที่สำนักแม่ชีแก้วเป็นประจำ จนกระทั่งโยมแม่ถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. ๒๕๑๐ และทำ ฌาปนกิจศพโยมแม่จนเป็นที่เรียบร้อย

    พ.ศ. ๒๕๑๐ อายุ ๕๗ ปี พรรษาที่ ๒๙ เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๐ ภายหลังจากโยมแม่ของหลวงปู่จามเสียชีวิต ท่านได้ทำฌาปนกิจจนเป็นที่เรียบร้อย หลังจากนั้นก็ได้ออกปลีกวิเวก ธุดงค์ทางภาคเหนืออีกครั้ง เดินทางจนถึง วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่ ได้ไปกราบหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ที่วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว แล้วหลวงปู่จามได้เดินทางกลับไปจำพรรษาอยู่ที่ช่อแล

    พ.ศ. ๒๕๑๑ อายุ ๕๘ ปี พรรษาที่ ๓๐ นิมนต์กลับ บ้านห้วยทราย ใน ปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ญาติลูกหลานมีผู้ใหญ่จูม ผิวขำ ซึ่งเป็นน้องชายของหลวงปู่จามเป็นหัวหน้า ได้ไปนิมนต์หลวงปู่จามให้กลับมาอยู่ที่บ้านห้วยทราย คำชะอีโดยให้เหตุผลที่ว่าหลวงปู่ก็อายุมากแล้ว ควรอยู่เป็นที่ และคณะญาติทางบ้านห้วยทราย ก็รอคอยการกลับมาโปรดของตุ๊เจ้าจามอยู่ ( รวมเวลาที่หลวงปู่จาม อยู่ทางภาคเหนือ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๔ - ๒๕๐๖ , ๒๕๑๐ -๒๕๑๑ รวม ๒๔ ปี )

    พ.ศ. ๒๕๑๒ อายุ ๕๙ ปี พรรษาที่ ๓๑ หลวงปู่จาม ได้เดินทางกลับมาเยี่ยมบ้านเกิด และได้อยู่พำนักที่วัดป่าวิเวกวัฒนาราม บ้านห้วยทราย คำชะอี นับแต่นั้นตลอดมาจนถึงปัจจุบัน
    หลวงปู่จามเล่าว่า ทางภาคเหนือมีสถานที่สัปปายะ ภาวนาดี สมาธิเจริญดี ได้แก่ ถ้ำเชียงดาว อ.เชียงดาว เขต อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ เขต อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย เขต อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เขต อ.เกาะคา จ.ลำปาง และที่อื่น ๆ อีกหลายแห่ง

    หลวงปู่จามว่า สถานที่ต่าง ๆ ที่ภาวนาเจริญก้าวหน้าทางจิตดีนั้น ก็เพราะอดีตกาลเป็นสถานที่ ที่พระพุทธเจ้าในอดีตได้มาตรัสรู้บ้าง ตั้งพระพุทธศาสนาบ้าง เสด็จดับขันธปรินิพพานบ้าง ถือว่าเป็นเขตมงคล แม้ต่อไปภายภาคหน้าก็จะเป็นถิ่นมงคลสำหรับพระพุทธเจ้าในอนาคตอีกด้วย เช่นบริเวณวัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ. เชียงใหม่ เคยเป็นสถานที่จำพรรษาของพระอัครสาวกคือพระโมคคัลลาน์ และพระสารีบุตร จำนวน ๑ พรรษา ที่ในถ้ำตับเต่า อ.ฝาง และเคยเป็นที่นิพพานของ พระกิมพิละเถระ แม้กระนั้น หลวงปู่มั่นเคยจำพรรษาอยู่ ๑ พรรษา หลวงปู่จามก็เคยภาวนาที่นั้น จึงได้ทราบถึงเรื่องราวในอดีตดังกล่าว

    พ.ศ. ๒๕๑๔ อายุ ๖๑ ปี หลวงปู่จาม ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าวิเวกวัฒนาราม บ้านห้วยทราย คำชะอี ท่านพิจารณาเห็นว่าเสนาสนะเดิมนั้นชำรุดทรุดโทรมจากปลวก เกรงจะเป็นอันตรายต่อบรรพชิตและฆราวาส ท่านจึงได้ดำริให้บูรณะปฏิสังขรณ์ให้มีสภาพดีขึ้น

    พ.ศ. ๒๕๒๑ อายุ ๖๘ ปี หลวงปู่จามได้ออกแบบกุฏิเสาเดียว สร้างเป็นตัวอย่างครั้งแรก ๑ หลัง สามารถกันปลวกได้ จึงได้เปลี่ยนกุฏิไม้เดิมมาเป็นกุฏิเสาเดียว สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก อีกหลายหลังในเวลาต่อมา

    พ.ศ. ๒๕๒๓ อายุ ๗๐ ปี หลวงปู่จาม ได้นิมิตว่า “ เทวดาจะอันเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุพระสาวกมาถวายให้ ” หลังจากนั้นต่อมาไม่นาน ก็ได้มีญาติโยมนำพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุพระสาวก อย่างละไม่กี่องค์มาถวายให้หลวงปู่ จึงได้นำมาบูชาไว้ ต่อมาได้ปรากฏว่า พระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุพระสาวก ได้เสด็จมาเพิ่มเองอีกเป็นจำนวนมากและเพิ่มจำนวนมากขึ้นจนถึงปัจจุบัน

    พ.ศ. ๒๕๒๗ อายุ ๗๔ ปี หลวงปู่จาม ได้ดำริให้สร้างเจดีย์ โดยท่านเป็นผู้ออกแบบพระเจดีย์เองในแบบศิลปะประยุกต์ และท่านควบคุมการก่อสร้างด้วยตนเอง โดยอาศัยช่างชาวบ้านในละแวกนั้น ใช้เวลาก่อสร้าง ๓ ปี

    พ.ศ. ๒๕๒๘ อายุ ๗๕ ปี วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เป็นวัดอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อ วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๒๘

    พ.ศ. ๒๕๓๐ อายุ ๗๗ ปี หลวงปู่จาม ได้ประกอบพิธีบรรจุ พระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุพระสาวก ไว้ในเจดีย์
    หลวงปู่จาม ได้ปลูกต้นไม้สักไว้ในบริเวณวัดป่าวิเวกวัฒนาราม

    พ.ศ. ๒๕๔๑ อายุ ๘๙ ปี พรรษา ๖๐ เดือนธันวาคม ๒๕๔๑ ออกธุดงค์ครั้งสุดท้ายเพื่อไปโปรดสาวก
    คืน วันหนึ่งนั่งภาวนา สัญญาผุดขึ้นว่า ท่านพ่อลีได้เคยบอกไว้นานแล้ว เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ที่ถ้ำพระสบาย ลำปาง ว่า “ ผู้ที่จะเป็นสาวกท่านจามผู้หนึ่ง เป็นเจ้าแห่งผีทั้งหลาย ที่ชื่อ ตารุกขปติ อยู่ที่ผานกเค้า ถ้ามีโอกาส ขอให้ท่านจามไปโปรดเขาด้วย ” ผานกเค้า อยู่ในเขต อ.ผานกเค้า รอยต่อระหว่าง จ.ขอนแก่น กับ จ. เลย มีศาลตั้งอยู่เรียกว่า ศาลปู่หลุบ มีเจ้าปู่หลุบ ซึ่งผู้คนที่ได้ผ่านไปมา มักจะแวะสักการะอยู่เสมอ

    หลวงปู่จาม ระลึกได้จึงได้เดินทางโดยรถยนต์ไปพักแรมอยู่บริเวณใกล้ ๆ นั้นหลายคืน เพื่อเทศนาโปรด ตารุกขปติ เมื่อไปก็ได้พบจริงตามที่ท่านพ่อลีได้บอกไว้ ตารุกขปติจึงเล่าว่าเขาเป็นเทพหัวหน้า มีหน้าที่กำกับดูแลปกครองพวกผี พวกเปรตทั้งหมดในสากลโลกนี้ ความเป็นมาที่ต้องมาเป็นหัวหน้าก็เพราะเหตุเมื่ออดีตชาติ ว่าตนมีลูกชายคนหนึ่งถูกผีมาเบียดเบียนรังควานต่าง ๆ นานา จนกระทั่งลูกชายคนนั้นถึงแก่ความตาย เมื่อลูกชายตายไปแล้วตนตั้งใจทำบุญให้ทานมากมาย วันหนึ่งได้ถวายแตงโมแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า

    ก็เลยตั้งจิตอธิษฐาน ขอพร ขอให้ตนได้เป็นเจ้าแห่งผีแห่งเปรตทั้งมวล มีปราสาทวิมาน มีบริวารทั่วโลก ตารุกขปติบอกว่าตนมีปราสาทวิมานอยู่ที่ผานกเค้า ส่วนสำนักงานผีอยู่ที่ภูผาม่าน อ.ภูผาม่าน จ.ขอนแก่น ตารุกขปติ ได้นิมนต์ให้หลวงปู่จามเทศน์ “ มงคลคาถา ” วันละ ๑ คาถา ติดต่อกันทุกวันจนครบ ๓๘ พระคาถา หลวงปู่จามจึงได้เทศนาให้ฟังทุกคืน จนครบ ๓๘ คืน จึงเดินทางกลับ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม บ้านห้วยทราย คำชะอี

    การเทศนาแต่ละคืน จะมีญาติโยมที่อยู่ใกล้เคียงมาฟังด้วยทุกคืน ญาติโยมไม่ทราบเรื่องก็สงสัยว่าทำไมหลวงปู่จามจึงเทศน์แต่มงคลสูตร อย่างอื่นไม่ได้เทศน์ พอขึ้นต้นเทศน์ก็ยกพระคาถามงคลสูตรตามลำดับ ก่อนกลับไปห้วยทราย หลวงปู่จาม จึงเฉลยปัญหาให้โยมฟังว่า เหล่าเทพเทวาแถวนี้ ต้องการฟังมงคลคาถา ขณะโยมรับฟังเหล่าเทพเทวาก็มาฟังด้วย แต่โยมไม่เห็นเขา แต่เขาเห็นโยม

    พ.ศ. ๒๕๔๔ อายุ ๙๑ ปี เนื่องจากศาลาของวัดป่า วิเวกวัฒนารามเดิมที่หลวงปู่จาม ได้สร้างไว้นั้น ได้เกิดความชำรุดทรุดโทรม คณะศิษย์จึงได้กราบขออนุญาตจากหลวงปู่ เพื่อขอรื้อศาลาเก่าและสร้างศาลาใหม่ โดยได้ดำเนินการก่อสร้างอย่างเรียบง่ายและประหยัด ด้วยฝีมือช่างที่เป็นพระสงฆ์ภายในวัดและชาวบ้าน ซึ่งคณะศิษย์ต่างร่วมแรงร่วมใจทั้งกำลังกายและกำลังทรัพย์กันเอง โดยมิได้มีการเรี่ยไร ทอดกฐิน ผ้าป่า แต่อย่างใด

    ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามากกว่า ๖๔ พรรษา หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ท่านได้ตั้งใจเจริญพุทธคุณ ตามรอยบาทของพระพุทธเจ้า ถือด้วยใจ ปฏิบัติด้วยใจ เจริญพุทธเนต.ติ ด้วยการประพฤติเพื่อความหนักแน่นในธรรม ผู้ถึงพระพุทธเจ้าด้วยหัวใจเท่านั้นที่เป็นผู้ทรงธรรม ทรงวินัยอยู่ได้ ท่านยึดมั่นตามคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นหลักใหญ่ รวมทั้งคำเทศนาสั่งสอนของครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ท่านเคร่งครัดในพระธรรมวินัย ทั้งศีลของพระสงฆ์ ๒๒๗ ข้อ และศีลอภิสมาจาร ๓,๕๐๐ ข้อ

    แม้ในกุฏิของท่านก็อยู่อย่างสมถะ ท่านไม่เคยขอเงินบริจาค ไม่มีการจำหน่ายวัตถุมงคล ดังนั้น ในวัดป่าวิเวกวัฒนาราม จึงไม่มีตู้รับบริจาค ท่านสอนเสมอว่า ใครทำใครได้ ท่านเน้นให้ทุกคนเร่งสวดมนต์ภาวนา ทำจิตให้สะอาด เกรงกลัวบาปกรรม เพื่อให้ได้ถึงพระนิพพานกันทุกคน สมควรแล้วที่พวกเราชาวพุทธ จะได้ยึดถือการปฏิบัติธรรมของท่านเป็นแบบอย่าง เพื่อให้เกิดความเจริญในธรรมต่อไป
    .....................................................................................................................................


    นำมาจาก
    ����ѵ���ǧ����� ��һح� �Ѵ������ǡ�Ѳ����� - � � � � � � � �
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 มกราคม 2010
  2. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    ประวัติหลวงปู่จาม มหาปุญโญ
    จากหนังสือพุทธังกุโร มหาปุญโญ

    โดย พระอาจารย์อินทร์ถวาย สนฺตุสฺสโก

    วัดป่านาคำน้อย อ.นายูง อุดรธานี


    คัดลอกจาก http://www.dhammasavana.or.th
    http://www.watkoh.co...sp?TID=850&PN=1

    ตอนที่ ๑

    ต้นตระกูลภูไท บรรพบุรุษของหลวงปู่จาม


    หลวงปู่จาม มหาปุญโญ นามสกุล ผิวขำ มีต้นตระกูลเป็นชนเผ่าภูไท กลุ่มเจ้าครองนคร หรือกลุ่มผู้ปกครอง

    ถิ่นฐานเดิมของภูไท อยู่ที่สิบสองปันนา สิบสองจุไท อาณาจักรน่านเจ้า มีสภาพภูมิอากาศหนาวจัด ต่อมาเมื่อมีประชากรมากขึ้น การทำมาหากินเริ่มอัตคัดขาดแคลน ส่วนหนึ่งได้อพยพมาหาแหล่งทำมาหากินโดยมาตั้งถิ่นฐานใหม่ที่เมืองแถง เขตประเทศเวียดนาม ซึ่งอยู่ห่างจากป้อมเดียนเบียนฟูประมาณ ๒๓ กิโลเมตร และที่เมืองอังคำ เขตประเทศลาว

    ต่อมา ภูไทส่วนหนึ่ง ก็ได้อพยพต่อมาหาแหล่งที่ทำมาหากินที่เมืองพิน เมืองพะ-ลาน เขตประเทศลาว ผู้ปกครองลาวสมัยนั้นคือเจ้าอนุวงศ์ ได้เกณฑ์ชาวภูไทไปเป็นทหารเพื่อขยายอาณาจักรและจัดกองทัพเพื่อมารบพุ่งกับ ชาวไทย(ชาวสยามประเทศ) แต่เนื่องจากชาวภูไทรักสงบ ไม่ต้องการรบพุ่งทำสงคราม จึงอพยพหนีมาอยู่ฝั่งขวาของแม่น้ำโขง โดยข้ามมาทางเรณูนคร มาตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณดงบังอี่ (คำชะอี หนองสูงในปัจจุบัน) ส่วนกลุ่มที่ข้ามมาทางท่าแขก นครพนมนั้น มาตั้งถิ่นฐานอยู่พรรณานิคม ตรงกับสมัยรัช-กาลที่ ๒ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ชาวภูไทได้เข้ามาในประเทศไทย(สยาม) หลายระลอกในหลายรัชสมัยได้มาตั้งถิ่นฐานอยู่แถวอำเภอกุสุมาลย์ พรรณานิคม วาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร อำเภอสหัสขันธ์ อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร และบางส่วนก็เลยไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในภาคกลางอีกหลายแห่ง ชาวภูไท เรียกตัวเองว่า ภูไท หรือผู้ไท สำเนียงอาจเพี้ยนกันบ้าง จึงอนุโลมเรียกภูไทหรือผู้ไทก็ได้ เพราะเข้าใจความหมายว่า เป็นกลุ่มเผ่าเดียวกันโดยความหมายที่แท้จริง คือ เป็นคนไทย เพราะชาวภูไทเองนั้น ภาคภูมิในความเป็นคนไทย หรือเป็นไท แปลว่าอิสระ รักสงบ

    ภูไทมีภาษาของตนเอง พูดภาษามีสำเนียงหางเสียงท่วงทำนอง ไพเราะน่าฟัง เป็นภาษาไทยแบบภูไท มีขนบธรรมเนียมประเพณีของตนเอง แต่ก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ถ้าหากพิจารณาเห็นว่าดีกว่า เหมาะสมกว่า เมื่อมาอยู่ในประเทศไทย ชาวภูไทมีความรักสามัคคีกัน สำหรับชาวภูไท ตระกูลของหลวงปู่จาม ทางบ้านห้วยทราย เป็นเชื้อเจ้า ทางผู้หญิงอพยพมาจากเมืองวัง เรียนหนังสือเก่ง มีความคิดเฉียบคม ปัญญาเฉียบแหลม มีขุนบรมเป็นบรรพบุรุษต้นตระกูล เมื่อถูกจีนรุกรานจึงอพยพมาเรื่อย ๆ ตามลำดับจากเมืองแถง สู่เมืองวัง เข้าสู่ประเทศไทยตามลำดับ


    ต่อ 1
     
  3. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    [​IMG]

    [​IMG]


    ตอนที่ ๒

    วิถีชีวิตชาวภูไทในไทย


    ตระกูลภูไทของหลวงปู่จาม มีคุณสมบัติที่สำคัญ คือ เป็นผู้มีปัญญานักปกครอง มีความเด็ดเดี่ยว รักสงบ ไม่รุกราน มีความยุติธรรม
    โดยทั่วไป ประเพณีหลัก จะยกย่องลูกผู้ชายคนแรก (ลูกกก) ให้ดูแลพ่อแม่ แต่ถ้าลูกชายคนแรกไม่มีความเหมาะสม พ่อแม่ก็จะเลือกลูกชายคนสุดท้อง(ลูกหล้า) ให้เป็นหลักของครอบครัว ดูแลเลี้ยงดูพ่อแม่ยามแก่เฒ่าลักษณะฝากผีฝากไข้ ชาวภูไท ชอบอาศัยอยู่ในภูมิประเทศที่มีลักษณะภูเขาผสมที่ราบ มีป่าไม้ รักธรรมชาติ เพราะมีที่ดินอุดมสมบูรณ์ เหมาะที่จะทำมาหากิน ใช้ชีวิตเรียบง่าย รักสงบ แต่มีความกล้าหาญสมเป็นนักรบในจิตวิญญาณของชาวภูไท ประเพณีดั้งเดิม นับถือผี นับถือไสยศาสตร์ ถือว่าผีเหล่านั้นเป็นผีปู่ผีย่ามีการบ่วงสรวง เซ่นไหว้ ยึดถือผีปู่ผีย่าเป็นสรณะที่พึ่งโดยไม่ลึกซึ้งคำสอนในพระพุทธศาสนา

    ต่อมาเมื่อ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล และ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้จาริกมาบำเพ็ญธรรมแถวภูผากูด และที่อื่น ๆ ในแถบนี้ จึงมีโอกาสได้ศึกษาเรียนรู้ธรรมะจากหลวงปู่ทั้งสองในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๕๙ เป็นต้นมา ท่านสั่งสอนให้ยึดมั่นในไตรสรณคมน์เป็นหลักใจ คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไว้เป็นที่พึ่งที่ระลึก เป็นหลักในการดำเนินชีวิต ย่อมจะเจริญรุ่งเรือง ทำให้วิถีชีวิตของชาวภูไทเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ความสันติสุขเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ความศรัทธาในพระกรรมฐานจึงมีมากขึ้น ทำให้เกิดสำนักสงฆ์มากขึ้น และเป็นวัดในเวลาต่อมา พระกรรมฐานจึงเพิ่มขึ้นอย่างมาก วิถีชีวิตของภูไทจึงยึดมั่นในแนวทางสัมมาทิฎฐิไว้เป็นหลักใจของชุมชน

    ชาวภูไทที่ได้บวชเป็นพระกรรมฐานที่มีชื่อเสียงมีปฏิปทาน่าเคารพ เลื่อมใสกราบไหว้บูชาเป็นสิริมงคล แก่คนและฟังคำสั่งสอนอบรมย่อมได้ปัญญานำทางดำเนินชีวิตไปสู่ความสุขใน ปัจจุบันและถ้าหากปฏิบัติตามอย่างจริงจังก็อาจพ้นทุกข์ได้ เท่าที่สามารถทราบได้ขณะเขียนก็ได้แก่ หลวงปู่คำ คมฺภีรญาโณ หลวงปู่กงแก้ว ขนฺติโก ซึ่งเป็นศิษย์รุ่นใหญ่ของหลวงปู่เสาร์ และหลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่สิม พุทธาจาโร หลวงปู่กว่า สุมโน หลวงปู่แว่น ธนปาโล เป็นต้น ซึ่งเป็นศิษย์รุ่นใหญ่ของหลวงปู่มั่น นอกจากนั้นก็มี หลวงปู่คูณ อธิมุตโม ที่มหาสารคาม ล้วนเป็นเชื้อสายภูไท และพระกรรมฐานรุ่นกลางรุ่นถัด ๆ ไปก็มีอีมาก ผู้เขียนยังหาหลักฐานไม่ทันขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย

    ต่อ 2
     
  4. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    ตอนที่ ๓

    กำเนิดเด็กชายจามในตระกูลสัมมาทิฎฐิ


    บ้านห้วยทราย อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร เป็นที่กำเนิดของเด็กชายจาม ผิวขำ เมื่อ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๕๓ ตรงกับวันพฤหัสบดี แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ ปีจอ

    นายกา และ นางมะแง้ ผิวขำ (ขณะเด็กชายจาม ก่อกำเนิดนั้นยังไม่มี นามสกุล เพิ่งได้รับการตั้งนามสกุลในรัชกาลที่ ๖ ) เป็นผู้ให้กำเนิดที่มีศรัทธาแรงกล้าต่อหลวงปู่เสาร์และหลวงปู่มั่น เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๙ หลวงปู่มั่น ได้มาจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่เสาร์ที่ภูผากูด อำเภอคำชะอี พ่อแม่ได้พาเด็กชายจาม อายุประมาณ ๖ ปี ไปกราบหลวงปู่ทั้งสอง พ่อแม่ให้กราบเด็กชายจามก็กราบทุกแห่งและพระกรรมฐานทุกองค์ตามที่แม่บอกด้วย ความตั้งใจนับว่าแม่ได้สั่งสอนปลูกฝังนิสัยให้เป็นคนดีตั้งแต่เป็นเด็กเล็กๆ จึงกล่าวได้ว่าเป็นตระกูลสัมมาทิฎฐิยึดมั่นในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก

    ต่อมาช่วงปี พ.ศ. ๒๔๖๔ บรรดาศิษย์ของหลวงปู่เสาร์และหลวงปู่มั่นจำนวนประมาณ ๗๐ รูป ได้มารวมกันเป็นกองทัพธรรมสายพระกรรมฐานมากเป็นประวัติการณ์ ขณะเด็กชายจาม อายุได้ประมาณ ๑๑ ปี ได้ติดตามพ่อแม่ไปอุปัฏฐากดูแลพระกรรมฐานอย่างใกล้ชิด แม่มะแง้ได้แกงขนุนอ่อนถวายพระสงฆ์ สามเณร แห่งกองทัพธรรมทั้งหมด

    เท่าที่ตรวจดูสอบถามได้มี หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม หลวงปู่ดุลย์ อตุโล หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ หลวงปู่กงแก้ว ขนฺติโก หลวงปู่สิม พุทธาจาโร หลวงปู่แว่น ธนปาโล หลวงปู่กว่า สุมโน หลวงปู่ มหาปิ่น ปญฺญาพโล หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่กู่ ธมฺมทินโน หลวงปู่ดี ฉนฺโน หลวงปู่ซามา อจุตโต หลวงปู่ชอบ ฐานสโม หลวงปู่เทสก์ เทสฺรังสี หลวงปู่สาม อกิญจโน หลวงปู่เกิ่ง อธิมุตโต หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่คำ คมฺภีรญาโณ เป็นต้น

    การบำเพ็ญสมณธรรมของกองทัพธรรมดังกล่าวได้ใช้ภูผากูดเป็นศูนย์กลาง เนื่องจากหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น พักประจำอยู่ที่ถ้ำจำปา ต่อมาจึงตั้งสำนักสงฆ์หนองน่องทางทิศใต้ของบ้านห้วยทรายให้เป็นที่รวมประชุม พระกรรมฐานแห่งกองทัพธรรมและบรรดาศิษย์ได้กระจายกันอยู่หาสถานที่วิเวก บำเพ็ญจิตภาวนา ซึ่งมีภูต่าง ๆ บริเวณนั้นมากมาย เช่น ภูผาแดง ภูเก้า ภูจ้อก้อ ภูค้อ ภูถ้ำพระ ภูกระโล้น ภูผากวาง ภูสร้างแก้ว ภูบันได ภูผาบิ้ง ภูกอง ภูผากูด ภูผาชาน ภูเขียว เป็นต้น

    นายกา และแม่มะแง้ ผิวขำ ได้ให้กำเนิดบุตรร่วมอุทรเดียวกันจำนวน ๙ คน ได้แก่ นายแดง นายเจ๊ก นายจาม นายเจียง นายจูม นางจ๋า นายถนอม นายคำตา และนางเตื่อย

    นายแดง ผิวขำ คือโยมบิดาของพระอาจารย์อินทร์ถวาย สนฺตุสฺสโก นางเจียงได้บวชเป็นแม่ชีตลอดชีวิต นอกจากนั้นก็ได้ให้กำเนิดลูกหลานปลูกฝังอุปนิสัยจนได้บวชใต้ร่มกาสาวพัสตร์ อีกหลายคน


    ต่อ 3
     
  5. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    ตอนที่ ๔

    เรียนรู้ชีวิตปฐมวัย พ่อมอบสมบัติทิพย์ให้

    [​IMG]
    เด็กชายจามมีอุปนิสัยใจร้อน ใจเร็ว ตัดสินใจเด็ดขาดอดทนมุ่งมั่น มุ่งสู่อนาคต ทำอะไรทำจริง ได้เข้าศึกษาเล่าเรียนเมื่ออายุ ๙ ปี ที่โรงเรียนบ้านคำชะอี ห่างจากบ้านห้วยทรายประมาณ ๓ กิโลเมตร ได้ขี่ม้าไปโรงเรียนกับเด็กชายเจ๊กผู้พี่ชาย บางวันได้แกล้งพี่ชายให้เดินไปเองเสี่ยงภัยจากเสือ ตนเองได้ควบม้าหนีกลับบ้าน แต่พี่น้องก็รักกัน โดยเฉพาะนายเจ๊กรักเด็กชายจามมากทั้งสองพี่น้องมีสติปัญญาดี แต่เรียนได้แค่ ป. ๒ เนื่องจากทางราชการแจ้งระงับการเรียนของเด็กที่บ้านอยู่ห่างโรงเรียนเกิน ๒ กิโลเมตร เพราะเสือชุกชุมได้กัดคนตายอยู่บ่อย ทั้ง ๆ ที่เด็กทั้งสองรักการเรียน ก็ได้แต่ร้องไห้

    เมื่อเด็กชายจามอายุย่างเข้า ๑๔ ปี ได้มีโอกาสขับเกวียนร่วมขบวน ๕ เล่ม บรรทุกอัฐบริขารและอาหารซึ่งมีนายกา ผิวขำ ผู้บิดาไปกับขบวน หลวงปู่มั่น พาโยมแม่ของท่านและคณะพระสงฆ์สามเณรเดินทางไปโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ขบวนทั้งหมดต้องบุกป่า ฝ่าดงไปด้วยความยากลำบาก แม้กระทั่งหมาที่เดินตามไปถึงกับหมดแรงต้องอุ้มหมาคู่ใจขึ้นเกวียนไปด้วย

    ด้วยความสามารถเฉพาะตัวของเด็กชายจาม ทำให้พ่อกาเชื่อมั่นว่าจะสามารถช่วยเหลือตนเองได้ จึงให้ขับเกวียนบรรทุกสินค้าต่าง ๆ เช่น ไหม ฝ้าย และของป่าไปขายที่จังหวัดยโสธร เพื่อแลกเกลือ ปลาร้าและของกินนำไปขายที่คำชะอีเพื่อเลี้ยงชีพ

    ต่อมานายจามอายุย่างเข้า ๑๖ ปี นายกาจึงนำไปฝากกับ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ก่อนที่หลวงปู่มั่นจะรับฝากได้ถามนายกาว่า “โยมรักลูกไหม” ท่านตอบว่า “ยังรักอยู่” หลวงปู่มั่นตอบว่า “ถ้ายังรักอยู่ก็ไม่รับ“

    จากคำตอบเด็ดขาดของหลวงปู่มั่นทำให้นายกาต้องคิดหนัก เพราะผิดหวังแต่ก็ยังไม่ย่อท้อ ได้ปรึกษากับหลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโมและศิษย์หลวงปู่มั่นท่านอื่น จึงได้รับคำแนะนำว่า “ถ้ามอบให้ท่านก็ให้เป็นลูกท่านเลย ไม่ต้องห่วงใย จะสมประสงค์“ จึงเข้าไปกราบหลวงปู่มั่นอีกครั้งหนึ่งแล้วกราบเรียนว่า ขอมอบนายจามให้เป็นลูกโดยเด็ดขาดจะทำอย่างไรก็แล้วแต่หลวงปู่มั่นจะเห็น สมควร ท่านจึงยินยอมรับฝากตั้งแต่นั้นมาและหลวงปู่มั่นกล่าวยกย่องนายกาว่า “มีสติปัญญาดี ตัดสินใจถูกต้อง ไม่เสียแรงที่ได้อบรมธรรมะให้ตลอดที่อยู่ห้วยทราย” จึงถือว่าเป็นจุดแปรผันของชีวิตที่สำคัญยิ่งที่พ่อได้มอบสมบัติทิพย์ให้ด้วย มองเห็นอนาคตอันสดใส นายจามได้เป็นศิษย์นุ่งขาวห่มขาวอยู่ประมาณ ๙ เดือน ก็ได้บรรพชาเป็นสามเณรได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่มั่น ที่บ้านหนองขอน อำเภอบุ่ง ( อำเภอหัวตะพาน ) จังหวัดอุบลราชธานี


    ต่อ 4
     
  6. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    ตอนที่ ๕

    ชีวิตสามเณรน้อยที่เด็ดเดี่ยว

    [​IMG]
    “กลัวจนขี้ขึ้นสมอง” เป็นคำกล่าวเปรียบเปรยคนขี้กลัวผีทั้งหลายที่มักจะมีอาการสั่นเทาทำอะไรไม่ ถูก หรืออีกคำพูดหนึ่งว่า “สติแตก” ผู้อ่านคงจะได้ยินมาแล้ว เหตุการณ์ที่จะเล่าถึงสามเณรจามต่อไปนี้ คงจะไม่ถึงขนาดนั้น แต่ใครเล่าอยากจะเอาตัวไปเสี่ยงกับเหตุการณ์นั้น

    คราที่ หลวงปู่มั่น เดินทางจาริกจากไป ท่านได้ฝาก สามเณรจาม อยู่ในความดูแลของ หลวงปู่กงมา หลวงปู่อ่อน หลวงปู่มหาปิ่น เผอิญโยมได้นิมนต์พระเณรไปยโสธร ระหว่างทางต้องแวะพักแรมเป็นเหตุให้เหลือแต่สามเณรสิมกับสามเณรจาม พักปักกลดอยู่ที่ป่าช้า วันนั้นมีการเผาศพคนตาย ๒ ศพ สมัยนั้นต้องใช้สิ่งของอยู่ในป่าต้มน้ำดื่ม ก็ได้อาศัยไม้ไผ่หามศพ มาตัดเป็นกระบอกต้มน้ำดื่มพอพลบค่ำต่างก็เข้ากลด ซึ่งอยู่ห่างกันพอประมาณในป่าช้านั้น

    ความมืดเริ่มเข้ามาเยือน พร้อมกับความเงียบวังเวง อากาศเย็นก็โชยมาตามกระแสลมไม่ได้ยินเสียงผู้คนเพราะหมู่บ้านอยู่ห่างไกลได้ ยินแต่เสียงสัตว์บางครั้งก็เสียงแมลงบางชนิดฟังดูมีอาการเย็นที่เท้าที่มือ หลังจากได้สวดมนต์แล้วต่างก็เข้าที่หวังจะภาวนาเอาธรรมะเป็นเพื่อน ความที่จิตยังตื่นกวัดแกว่งประกอบกับสัญญาที่มองเห็นศพที่ถูกเผา สังขารเกิดปรุงขึ้นผสมสัญญาเก่าในเรื่องผี จะภาวนาอย่างไรจิตก็ไม่สงบฟุ้งซ่านพิกล อากาศก็เย็นลงอีกเกิดปวดปัสสาวะขึ้นมาอีก ความรู้สึกก็ทวีมากขึ้นจนท้องแข็ง โผล่จะออกจากกลดเพื่อไปปัสสาวะ จิตก็ปรุงต่อไปอีกว่า “ ผีมันคงมานั่งเฝ้ากองไฟ ดูการไหม้ของร่างกายของมันแน่ๆ” ขยับแล้วขยับอีกก็ปวดหนักขึ้นมาอีก พยายามนิ่งไว้ให้ความปวดทุเลา เปิดมุ้งกลดเอาหัวโผล่ ๓ - ๔ ครั้งไม่กล้าออกจากกลด ครั้นจะเรียกสามเณรสิมออกมาเป็นเพื่อนก็เกรงเพื่อนจะว่าขี้ขลาดตาขาว

    สามเณรจามตัดสินใจพุ่งตัวออกจากกลดเพราะฉี่จะราดแล้ว น้ำปัสสาวะซึมออกมาแล้ว รีบวิ่งไปที่โล่งแล้วก็ปล่อยออกทันที ด้วยอาการเหลียวหน้าเหลียวหลังเพราะความกลัวจนสุดขีดปัสสาวะไม่สุดสักทีใช้ เวลานานเพราะกลั้นไว้นาน

    ขณะที่น้ำปัสสาวะกำลังออกมา ได้สติดีขึ้นโดยลำดับเกิดปัญญาออกมาว่า “เอ ก็ไม่เห็นมีอะไร ผีมาหลอกก็ไม่ทำร้ายให้ถึงตายได้ “ ถามตัวเองว่า “เรากลัวอะไร” และจะหาคำตอบของความกลัวนั้น “ใครทำให้เรากลัว“ ตาก็มองไปดูที่กองไฟกำลังครุกรุ่นไหม้ศพอยู่ใกล้จะหมดแล้ว เมื่อปัสสาวะสุดดีแล้ว ขณะนั้นความกลัวลดลง แต่ยังหวาดผวาอยู่ จึงตัดสินใจเดินไปดูที่กองฟอน เพื่อให้แน่ใจและจะหาคำตอบของความกลัวนั้น จากนั้นเขี่ยดุ้นฟืนเข้าไปในเตาเผา ซึ่งเป็นเตาเผาศพบ้านนอกก่อแบบชาวบ้านง่ายๆ เมื่อเขี่ยฟืนเข้าไปทั้งสองเตาไฟก็ลุกโพลงขึ้น

    ท่านพิจารณาทบทวนเหตุการณ์ตั้งแต่เกิดความรู้สึกกลัว จนถึงขณะนั้นจึงได้คำตอบว่า “ที่กลัวเพราะกลัวจิตตนเองที่กิเลสบังคับให้ปรุงแต่งให้จิตฟุ้งซ่านไป เพราะขาดสติปัญญา กิเลสเข้าครอบงำปัญญา ธรรมะจึงไม่เกิด เมื่อธรรมะเกิดเพราะมีสติปัญญามาทันก็ไม่กลัว” ท่านว่า “ธรรมะย่อมชนะกิเลส ถ้ามีสติปัญญาพร้อม” “กิเลสทำให้เรากลัว เราไม่ได้กลัวผีกลัวจิตของเราที่ปรุงแต่งไปต่างหาก” แต่ส่วนลึกของจิตใจยังมีข้อสงสัยว่า “ผีมีจริงหรือ“ จะต้องพิสูจน์แต่ที่แน่ๆ คือ “เราไม่กลัวผี” แล้ว ขณะที่สามเณรจามอยู่กับหลวงปู่มั่น สามเณรจามได้มีสหธรรมิกที่เป็นเพื่อนสามเณรด้วยกัน คือ สามเณรสิม ( หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ) และมีศิษย์หลวงปู่มั่นที่จำพรรษาอยู่เท่าที่จำได้คือ หลวงปู่สิงห์ ขนฺยาคโม หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ พระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล เป็นต้นมา ต่อมาหลวงปู่มั่นจะปลีกตัวออกไปวิเวกที่อื่น จึงฝากสามเณรจามไว้ให้อยู่ในความดูแลของ หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม

    หลวงปู่สิงห์ ได้เดินทางไปสร้างวัดป่าบ้านเหล่างา อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น และนำกองทัพเผยแผ่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า สามเณรจามได้ติดตามไปช่วยงานสร้างวัดและได้รับฟังการอบรมธรรมะตามโอกาสขณะ ที่ไปเผยแผ่ธรรมะจังหวัดขอนแก่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม เป็นต้น

    ขบวนกองทัพธรรมนำโดย หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม นั้นมีครูบาอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถปัญญาบารมีเฉพาะตัวหลายอย่างแตก ต่างกัน หลวงปู่สิงห์ จะเน้นด้านปัญญา ด้านหลักธรรม ไตรสรณาคมน์ เป็นหลัก หลวงปู่ดี ฉันโน จะเน้นด้านกสิณมีฤทธิ์ สามารถปราบความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องผี ได้รื้อศาลต่างๆ ที่นับถือผีอยู่เดิม ถ้ามีข่าวว่ามีผีเฮี้ยนที่ไหนท่านจะเดินทางไปปราบแล้วสั่งสอนชาวบ้านให้ยึด มั่นไตรสรณาคมณน์ ทำให้สามเณรจามได้สนใจศึกษาทางสมถะภาวนาเพื่อให้มีพลังกสิณ และฝึกฝนจนประสบผลสำเร็จตามที่มุ่งหวัง

    ด้วยความมุ่งมั่นพากเพียรปฏิบัติตามแนวทางพระกรรมฐานอย่างเด็ดเดี่ยวเสี่ยง เป็นเสี่ยงตายเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สามเณรจามเป็นโรคเหน็บชาถึงขั้นวิกฤติเพราะได้ บำเพ็ญในระดับขั้นอุกฤษฏ์ เพื่อมุ่งสู่ความพ้นทุกข์ในชาตินี้ ทั้งอดอาหาร อดนอน อธิษฐาน อดอาหาร ๓ วัน ๕ วัน ๗ วัน บางช่วงจะออกบิณฑบาต เพื่อฉันเฉพาะวันพระ และอดนอน เพื่อทำความเพียรภาวนาหลายวันติดต่อกันเป็นระยะๆ ตลอดไตรมาส จึงเป็นเหตุให้ร่างกายขาดอาหารและพักผ่อนน้อยเกินไป จนทำให้ร่างกายอ่อนเพลียอ่อนกำลัง คำนึงในใจว่าชีวิตนี้เราคงสิ้นหวังกระมัง


    ต่อ 5
     
  7. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    ตอนที่ ๖

    สามเณรจาม เจอผีจริงเข้าแล้ว


    ชาวบ้านแถวจังหวัดยโสธรสมัยนั้นนิยมเลี้ยงผีเพื่อใช้ประโยชน์ตามที่ตนเชื่อ ถือ จะนับถือผีมากกว่านับถือพระ ชาวบ้านได้สร้างศาลผีปู่ผีย่าไว้ในหมู่บ้านพื้นที่บริเวณใดชาวบ้านพบว่าผีดุ ก็จะไม่กล้าเข้าไปใกล้ เพียงแต่ให้เครื่องเช่นไหว้บวงสรวงขอให้ช่วยเหลือ

    คราวหนึ่ง หลวงปู่อ่อนเป็นหัวหน้าพร้อมด้วยหลวงปู่กงมา(ขณะนั้นยังเป็นพระหนุ่ม ๆ) พระอื่น ๆ อีก และสามเณรจามได้ติดตามไปเที่ยววิเวกในป่ารกชัฏตามแนวทางพระกรรมฐานที่หลวง ปู่เสาร์ และหลวงปู่มั่นได้สั่งสอนและได้ปฏิบัติมา สถานที่ใดที่มีผีดุ ชาวบ้านกลัว ท่านจะไปภาวนาทำความเพียรเพื่อทดสอบฝึกฝนตนเอง หาประสบการณ์ ตลอดจนวิจัยธรรมที่จะเหมาะสมในการละกิเลสอุปาทานทั้งหลาย ในทำนองที่ว่า “สถานที่น่ากลัวที่สุดย่อมมีสิ่งที่ดีที่สุด” ท่านไม่เคยปฏิเสธว่าไม่มีผีไม่มีเทวดา แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ปฏิเสธ

    คณะจาริกของหลวงปู่อ่อนพร้อมสามเณรจาม ได้เลือกพักปักกลดบริเวณป่ารกแห่งหนึ่งที่ชาวบ้านเชื่อกันว่าผีดุมาก เคยแสดงให้ปรากฏมาแล้วบริเวณใกล้ ๆ ที่เนินที่มีกอไผ่งามลำใหญ่ ไม่มีร่องรอยใครมาตัดฟันเลยแม้แต่บริเวณใกล้เคียงกันนั้นก็ตาม คณะจาริกแสวงธรรมได้ปักกลดอยู่ห่างกันพอประมาณ สามเณรจามอายุประมาณ ๑๖ - ๑๗ ปี กำลังแข็งแรงล่ำสัน อาสาที่จะไปหาฟืนแห้ง ไม้ไผ่แห้งมารมบาตรหรือระบมบาตร เพื่อไม่ให้เป็นสนิม ทำถวายหลวงปู่อ่อนและหลวงปู่กงมา

    เหตุสำคัญอยู่ที่กอไผ่มีศาลพระภูมิ มีไม้แห้งจำนวนมากจากที่ได้ค้นหาที่อื่นมาแล้ว ก่อไผ่ยืนตายอยู่เพราะเกิดขลุยไผ่หรือไผ่ออกดอกแล้วก็แสดงว่าหมดอายุ แต่ไม่มีรอยใครตัดเลย สามเณรจามจึงไปเรียนถามหลวงปู่ทั้งสองซึ่งยังเป็นครูบาในขณะนั้น ท่านวางเฉย แสดงว่าท่านคงรู้ว่าน่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ก็ได้ หรือไม่กล้าบอกเพราะความจำเป็นก็สุดจะคาดเดาได้ สามเณรจามก็จัดแจงตัดมาจำนวนเพียงพอที่จะใช้เผา(ระบม)บาตร ขณะที่จะตัดไม้สามเณรจามตะโกนร้องบอกว่า “ผีตาปู่เอ๋ย ถ้าอยู่ที่นี่ก็หนีไปก่อนนะข้าต้องการไม้ไผ่ เอาไปเผาบาตร ข้ากำลังต้องการไม้ไผ่อยู่ สูออกไปจากที่นี่ก่อนนะ”

    เย็นวันนั้นเอง สามเณรจามได้ยินเสียงเหมือนเสียงผู้หญิงสาวร้องโอย ๆ โหยหวนเข้าไปในหมู่บ้านแล้วก็กลับไปที่ศาลในป่า จากนั้นก็ได้ยินเสียงอื้ออึงในบ้าน หมาเห่าหอนกันทั้งคืน วันนั้นชาวบ้านก็ไม่เป็นอันนอน เสียงถ้วยโถโอชามกระทบกันก๊องแก๊ง ๆ ชาวบ้านในหมู่บ้านรู้ดีว่าต้องมีใครไปรบกวนผีที่ศาลแน่ ๆ

    พอรุ่งเช้าก็เกิดเรื่องใหญ่ ชาวบ้านแห่กันมากล่าวโทษเผดียงว่า เพราะเหตุที่พระเณรมาอยู่ที่นี่ ทำให้ผีปู่ย่าเดือดร้อนไปรบกวนที่ศาลพระภูมิเจ้าที่ ผีจึงมากวนชาวบ้าน ไม่ได้หลับไม่ได้นอนกัน ขอร้องให้ท่านย้ายไปอยู่ที่อื่นเถิด

    ด้วยเหตุที่ต้องการสถานที่สัปปายะและอาศัยชาวบ้านบิณฑบาตเลี้ยงชีวิต หลวงปู่อ่อนและหลวงปู่กงมา ขณะเป็นพระหนุ่ม ๆ ได้ เดินทางไปหาสถานที่ใหม่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน สามเณรจามทำหน้าที่เฝ้าอัฐบริขารอยู่องค์เดียว จนมืดค่ำก็ยังไม่กลับก็ได้แต่เฝ้ารอหลังจากสรงน้ำเสร็จก็นั่งผ่ามะขามป้อม จิ้มเกลือฉันไปรอไปในความมืด

    ช่วงระหว่างโพล้เพล้พลบค่ำนั้นสามเณรจามยังไม่ได้เข้ากลดเอาเสื่อปูนั่งฉัน มะขามป้อมไปพลาง เริ่มมืดสนิทได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้คร่ำครวญวนเวียนอยู่แถวศาล ได้ยินเสียงใบไม้ กร๊อบแกร๊บ ต่อมาก็ได้ยินเสียงเหมือนสัตว์หรือหนูวิ่งเข้ามาหา เมื่อใกล้ก็กระโจนเข้ามาใต้เสื่อที่นั่งอยู่ สามเณรจามจึงเอามือตบตรงเสียงนั้น ตะโกนว่า “ มึงเข้ามาทำไม” จึงจุดเทียนขึ้นส่องดูก็ไม่เห็นมีอะไร รอจนดึกหลวงปู่ทั้งสองก็ยังไม่กลับมา จึงดับเทียนไหว้พระนั่งภาวนา

    ครั้นหลวงปู่ทั้งสองกลับมาแล้ว หลวงปู่อ่อนส่งเสียงเรียก “ เณร…เณร” มาแต่ไกลแต่ท่านไม่ตอบ จนกระทั่งใกล้จึงตอบรับว่า “ครับผม มีอะไรหรือครับ” หลวงปู่อ่อนว่า “คิดว่าเธอนอนหลับแล้ว ยังไม่นอนหรือ” พอรุ่งเช้าจึงได้เล่าเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ให้หลวงปู่ทั้งสองฟัง ท่านก็พอใจในความกล้าของเณร

    พ่อแม่ครูอาจารย์เสาร์ พ่อแม่ครูอาจารย์มั่น และศิษย์พระกรรมฐานทั้งหลายที่จาริกไปแสวงหาสถานที่วิเวกเพื่อทำความเพียร เจริญจิตภาวนานั้นก็เพื่อให้เกิดปัญญาในธรรมขั้นสูง ๆ ขึ้นไป ในขณะเดียวกันนั้นก็เพื่ออบรม สั่งสอนประชาชนชาวบ้านที่ไปโปรดทั้งบิณฑบาต และแสดงธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้ละทิฏฐิเก่าที่เชื่อนับถือผี ให้หันมายึดในไตรสรณคมน์ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อันเป็นสัมมาทิฏฐิและเป็นหนทางที่จะดับทุกข์ได้ ภูต ผี เทวดาต่าง ๆ ยังมีกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ พอใจก็ให้คุณได้ ถ้าไม่พอใจก็ให้โทษ แต่ไตรสรณคมน์นั้นมีแต่คุณ พระพุทธเจ้าสอนให้ละ โลภะ โทสะ โมหะ และชักจูงให้ชาวบ้านญาติโยมประพฤติปฏิบัติตามจะได้มีสุขและหาทางพ้นทุกข์ใน ที่สุด

    ชาวบ้านที่มาฟังธรรม รักษาศีล ตามวัดต่าง ๆ ส่วนใหญ่ก็ยังรู้สึกกลัวผี โดยเฉพาะผู้หญิง เด็ก เรียกว่า “ขวัญอ่อน” เคยมีเหตุการณ์ยามดึกสงัด โยมได้ยินเสียงเสมือนสัตว์วิ่งเหยียบใบไม้บนพื้นดังชอบ ๆ สักพักก็หยุดแล้วก็ดังใหม่ขึ้นอีกมาเป็นระยะ ๆ เสียงตะโกนมาว่า “ช่วยด้วยผีมา” ได้ยินเหมือนขึ้นต้นไม้เมื่อฉายไฟไปยังเสียงก็ปรากฏว่าเป็นตัวบ่างวิ่งหากิน ในยามค่ำคืน นี่แหละจิตที่กิเลสครอบงำอยู่ปรุงแต่ง ปัญญาธรรมเข้ามาไม่ทันก็กลัว เมื่อรู้อย่างนี้แล้วความกลัวคงน้อยลง ความกล้าคงมากขึ้นจนไม่กลัวเลย

    พระอาจารย์อินทร์ถวาย เคยถามหลวงปู่ว่า “หลวงอา กลัวไหมครับ” หลวงปู่ตอบว่า “ไม่กลัวมันหรอก เพราะเขากลัวเราจนร้องห่มร้องไห้แล้ว เราจะไปกลัวเขาทำไม”

    เมื่อน้อมมาพิจารณาเป็นธรรมะจะเห็นได้ว่า ผีในจิตใจของเราร้ายยิ่งกว่าผีภายนอก กิเลสในจิตใจเป็นผีร้ายคอยสิงอยู่ให้จิตใจคิดทำความชั่ว บาปอกุศล แต่ถ้าธรรมะเข้ามาอยู่ในจิตใจเมื่อใดย่อมจะคิดทำความดีทำบุญกุศล หลวงปู่จามจึงพยายามสั่งสอนให้ทำความดีย่อมได้ผลดีตลอดไป


    ต่อ 6
     
  8. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    ตอนที่ ๗

    นิมิตสิ่งโบราณ

    [​IMG]

    ขณะที่บำเพ็ญธรรมพากเพียรมุ่งมั่นขั้นอุกฤษฏ์ อยู่กับหลวงปู่มั่นที่วัดป่าบ้านหนองขอน อุบลราชธานี สมเป็นลูกศิษย์หลวงปู่เป็นลูกธรรมแท้ในพระพุทธศาสนา แม้ว่าสุขภาพร่างกายจะไม่เอื้ออำนวยนักก็ตามแต่ก็คุ้มค่าของความพากเพียร

    ผลที่ได้รับทำให้จิตสงบดีขึ้นโดยลำดับ เกิดนิมิตแปลกใหม่ที่ไม่เคยปรากฏและแตกต่างกับผู้อื่นจึงพอใจในผลงานของตน คุ้มค่าที่อดนอนและอดอาหาร

    นิมิตเป็นภาพเจดีย์ปรักหักพังหลายแห่ง พระพุทธรูปเก่าแก่หลายปางมากมาย เนื้อเป็นทองคำบ้าง ทองสัมฤทธิ์บ้าง หินบ้าง ไม้บ้าง ปรากฏซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกิดปีติในสมาธิจนน้ำตาไหล เห็นภาพต้นโพธิ์ ต้นไม้อื่นที่พระพุทธเจ้าบางองค์ที่ได้ตรัสรู้

    ความสงสัยในจิตใจเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับปลื้มปีติในผลงานของการบำเพ็ญสมาธิภาวนา การปฏิบัติแต่ละวันแต่ละคืน เกิดภาพในสมาธิบ้าง เกิดภาพในฝันยามหลับนอนบ้าง แม้ว่าจะเปลี่ยนแนวทางมาพิจารณาปัญญาแต่ปัญญาไม่เกิด จะมีแต่ภาพนิมิตเกิดขึ้นมาแทน จึงเกิดความสงสัยในวิธีการปฏิบัติของตน แต่ความเป็นสามเณรน้อยเป็นเด็ก ๆ อยู่ไม่กล้าที่จะสอบถามหลวงปู่มั่น เพราะเกรงบุญญาบารมีของท่าน ได้แอบถามเพื่อนสหธรรมิกแต่ไม่กล้าเล่าให้ใครฟังเกรงจะเป็นการอวดอุตริหรือ อวดความสามารถจึงเจียมตัวไว้

    ระยะหลัง ๆ ที่ได้อุปสมบทเป็นพระสงฆ์แล้ว ได้ธุดงค์ไปแสวงหาสถานที่วิเวกเพื่อภาวนา ก็ได้ปรากฏภาพทำนองนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่เดิมก็คิดว่าเป็นภาพสัญญาที่เกิดขึ้นมาหลอกด้วยอำนาจของกิเลสจึงพยายาม แก้ข้อสงสัยนั้นเรื่อยไป แต่เมื่อธุดงค์ไปกลับพบสิ่งปรักหักพังที่วัดเก่าแก่ต่าง ๆ จึงได้แน่ใจขึ้นอีกว่า คงจะเป็นบุญญาบารมีที่ตนเองได้เคยสร้างสมไว้แต่อดีตชาติ

    คำถามที่ถามในใจตนเองว่า เหตุในอดีตคืออะไร เราสร้างบารมีเพื่อจุดมุ่งหมายอันใดแน่

    ทั้ง ๆ ที่เราพากเพียรเพื่อความพ้นทุกข์ในชาตินี้



    ต่อ 7
     
  9. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    ตอนที่ ๘

    ชีวิตวัยหนุ่มเรียนรู้ชีวิตทางโลก


    สามเณรจาม อายุได้ ๑๙ ปี ใกล้จะอุปสมบทแต่ความป่วยไข้เป็นสิ่งที่หนีไม่พ้น มีอาการหนักขึ้นตามลำดับ จนไม่สามารถออกไปบิณฑบาตได้ หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ได้เขียนจดหมายแจ้ง นายกา ผู้เป็นบิดา ได้ทราบอาการป่วยและนายกาจึงขับเกวียนไปรับเพื่อนำมารักษาตัวที่บ้านห้วย ทราย

    การรักษาโรคเหน็บชา จะต้องให้กินอาหาร ๓ มื้อหรือมากกว่าเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ด้วยเหตุของการอดอาหารเป็นระยะเวลานานและให้การรักษาด้วยยาพื้นบ้านที่ต้อง ใช้สุราเป็นกระสายยา จึงต้องให้ลาสิกขาจากสามเณร ทั้ง ๆ ที่ปรารถนาจะอุปสมบทเป็นพระสงฆ์เมื่ออายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ในอีกไม่นานนัก การรักษาใช้เวลาประมาณ ๓ ปี โรคเหน็บชาจึงหายขาด

    ช่วงนี้เป็นระยะแห่งการเปลี่ยนแปลงในครอบครัว นายแดงผู้เป็นพี่ชายคนโตได้แต่งงาน จึงแยกครอบครัวไปตั้งรกรากที่บ้านแวง ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปมากน้องชายก็ได้ออกบวชทำให้ขาดกำลังที่จะช่วยทำมาหากิน และทำงานต่างๆให้ครอบครัวตลอดจนดูแลน้องๆ อีกหลายคน ภาระอันหนักจึงตกอยู่แก่นายจามที่เป็นหลักให้แก่ครอบครัว

    จนกระทั่งอายุได้ ๒๗ ปี นายกาผู้เป็นพ่อได้ศรัทธาออกบวชเป็นพระ นางมะแง้ผู้เป็นแม่ก็ได้ออกบวชเป็นแม่ชี เนื่องด้วยเสียใจมากที่ลูกชายคนสุดท้องได้เสียชีวิตอีก ทั้งอายุมากแล้วควรหาที่พึ่งและสมบัติทิพย์ในบั้นปลายของชีวิต ดั้งนั้น นายจามจึงรับภาระหนักขึ้นในการดูแลเลี้ยงดูน้องๆด้วย

    ด้วยเหตุนี้เองญาติพี่น้องจึงหมายมั่นจะให้นายจามแต่งงานมีครอบครัวเป็นหลัก ฐาน มีแม่บ้านมาช่วยเหลืออีกแรงหนึ่ง จึงได้มีการทาบทามหญิงสาวสวยชาวภูไท ญาติผู้ใหญ่ได้ไปขอหมั้นเป็นเงิน ๑๒ บาทตามประเพณีและผู้ชายจะต้องปลูกเรือนหอ ทำไพลหญ้ามุงหลังคาด้วยตนเอง

    นายจามคิดคำนึงถึงภาระอันหนักหน่วง และห่วงที่จะเกิดขึ้นมาผูกคอผูกเท้าผูกมือ แต่ในจิตใจส่วนลึกหวังจะออกบวชเพื่อหาทางพ้นทุกข์ เพราะได้รู้ได้เห็นทุกข์ของการมีครอบครัวและความยากลำบากในการเลี้ยงดู เอาอกเอาใจผู้อื่นอีกหลายคนจะไหวหรือ ในที่สุดจึงไปปรึกษาแม่ชีมะแง้ที่อยู่ภูเก้า ( วัดภูเก้า ) อำเภอหนองสูง ซึ่งบำเพ็ญธรรมร่วมอยู่กับ แม่ชีแก้ว เสียงล้ำ

    แม่ชีมะแง้ได้ให้ข้อคิดเป็นแนวทางตัดสินใจด้วยตัวเองว่า “ ถ้าลูกจะแต่งงานนั้นแม่ดีใจ แต่ถ้าลูกบวชแม่จะดีใจยิ่งกว่า” แสดงถึงความมีสัมมาทิฏฐิอย่างแท้จริง นายจามจึงได้นำข้อคิดของแม่มาพิจารณาทบทวน เนื่องจากตามประเพณีเมื่อหมั้นผู้หญิงแล้วถ้าหากไม่แต่งงานจะต้องถูกปรับสิน ไหม

    นายจามจึงกลับไปปรึกษากับแม่ชีมะแง้อีกครั้งหนึ่งว่า “ แม่อยากจะให้บวชจริงๆหรือ เขาจะต้องปรับถ้าไม่แต่งงานกับเขา” แม่ชีมะแง้ตอบอย่างหนักแน่นว่า

    “ ปรับก็ไม่เป็นอะไรหรอกลูก แม่ยินดีมากๆเลย ที่จะเห็นลูกบวช “

    เหตุการณ์เกิดเกื้อหนุนพอดี นายจูมผู้เป็นน้องชายได้ลาสิกขา มาเป็นกำลังให้ครอบครัวจึงเป็นโอกาสมาแก้ไขวิกฤต ประกอบกับแม่ชีมะแง้ได้เจรจาต่อรองกับฝ่ายหญิงว่าจะบวช โดยไม่มีเจตนาจะหนีหมั้นแต่อย่างใด จึงได้ลดค่าปรับลงเหลือเพียง ๖ บาท

    ( สมัยนั้นควายราคาตัวละ ๒ บาท ๕๐ สตางค์ ) นายจามจึงตัดสินใจบวชโดยเร็ว



    ต่อ 8
     
  10. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    ตอนที่ ๙

    สงครามหัวใจ

    [​IMG]

    พระอาจารย์พัน โยมบิดาของพระอาจารย์ สวัสดิ์ โกวิทโท ซึ่งเคยบวชเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น ขณะเป็นพระนักเทศน์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง พร้อมด้วยแม่ชีมะแง้ แม่ชีแก้ว และญาติได้พา นายจาม เดินทางจากบ้านห้วยทรายเมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๔๘๐ เดินเท้ากันไปไหว้พระธาตุพนมที่นครพนม เพื่ออธิฐานขอบวชแล้วเดินทางเรียบแม่น้ำโขง ผ่านสกลนคร เพื่อมุ่งหน้าไปอุดรธานี

    เมื่อถึงบ้านผือได้พบหญิงชื่อบาง เธอได้ชักชวนให้นอนด้วย จะปล้ำเอาเป็นผัว “พี่นาคเข้าห้องด้วยกันเถอะ” หญิงสาวคนนี้ตามตื้ออยู่หลายวันแม้จะเดินทางต่อไปผ่านบ้านอื่นก็พบหญิงสาว ผู้นี้ตามไม่ลดละ

    แม่ชีมะแง้ได้ปรึกษากับแม่ชีแก้วและญาติแล้วเห็นว่าอาจเสียทีเขา “กลัวผู้หญิงตะครุบเอาไปเป็นผัวจะต้องบวชให้โดยเร็ว” จึงรีบพานายจาม ไปบรรพชาเป็นสามเณรไว้ก่อนที่วัดป่าบ้านโคกคอน อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๔๘๑ เพื่อแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นเพราะหญิงสาวผู้นี้ในขั้นต้นเสียก่อน

    การเดินทางสมัยนั้น ค่อนข้างยากลำบาก เดินไปกันทางเท้าค่ำไหนนอนนั้น ต้องใช้เวลารอนแรมไปหลายเดือน จะต้องพบปะกับผู้คน เดินทางไปแต่ละแห่งก็ได้พบหญิงสาวหลายแห่งหลายคน ที่บึงกาฬก็พบหญิงสาวขอแต่งงานแต่ไม่หนักหนาเท่าหญิงสาวที่บ้านผือ ได้สอบถามหลวงปู่ถึงเหตุการณ์ดังกล่าวท่านบอกว่า “อดีตชาติเคยเป็นสามีภรรยากันมา” และ “เป็นธรรมดาที่เกิดมาหลายชาติ” และเหตุการณ์นั้นได้ผ่านพ้นได้อย่างหวุดหวิด อาจเป็นด้วยแรงอธิฐานที่ปรารถนาไว้จึงมีทางออกให้สามารถแก้ปัญหาวิกฤติชีวิต นั้นผ่านไปได้ ท่านยิ่งเชื่อมั่นในไตรสรณคมน์ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างถึงหัวใจเอาชนะสงครามหัวใจของอำนาจกิเลสได้


    ต่อ 9
     
  11. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    ตอนที่ ๑๐

    แม่วางเส้นทางชีวิต

    [​IMG]

    แม่ชีมะแง้ ได้รับคำแนะนำจาก แม่ชีแก้ว เสียงล้ำ ผู้เป็นญาติสนิทและพระอาจารย์พัน ได้พร้อมใจกันวางเส้นทางชีวิตให้สามเณรจามโดยจะต้องรีบบวชเป็นพระโดยเร็วและ เลือกวัดที่มีรากฐานทางด้านพระกรรมฐานตามที่พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นได้วางแนว ทางไว้ตามที่ตั้งใจไว้แต่เดิมนั้น ถูกต้องเหมาะสมแล้วคือ วัดโพธิสมภรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เพื่อดำเนินตามรอยทางพระกรรมฐานที่มีแหล่งกำเนิดที่ดีและเชื่อมั่นในแนวทาง ที่จะบำเพ็ญพากเพียรเพื่อที่จะบรรลุธรรมขั้นสูงสุดได้ และมีทั้งภาคปริยัติและภาคปฏิบัติควบคู่กันไป

    ในที่สุดคณะก็ได้ไปถึงวัดโพธิสมภรณ์ การอุปสมบทจึงเกิดขึ้น เมื่อ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ตรงกับเดือนเกิด อายุเกือบ ๒๙ ปีเต็ม โดยมี พระเทพกวี (จูม พนฺธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ ที่พระอุโบสถวัดโพธิสมภรณ์ เป็นอันว่าแม่ชีมะแง้ได้วางเส้นทางชีวิตให้ลูกชายได้สมความปรารถนาแล้ว

    แม่ชีมะแง้และแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ เป็นเพศหญิงย่อมเข้าใจในจริตนิสัยใจคอของผู้หญิงสาวอยู่แล้วอย่างดี จึงใช้สติปัญญาปฏิภาณไหวพริบที่ทั้งสองได้เคยผ่านชีวิตทางโลกมาแล้วสามารถปก ป้องคุ้มครองลูกชายให้ผ่านพ้นสงครามหัวใจที่เป็นเหตุการณ์สำคัญถึง ๒ ครั้ง ท่านเข้าใจดีว่า “เสือป่านั้นไม่น่ากลัวเท่าเสือบ้าน” เสือบ้านคือผู้หญิงจะตะครุบเอาไปกินน่ากลัวกว่าเสือในป่าเพราะเชื่อมั่นว่า บุญบารมีของพระจามนั้นได้สะสมมาแต่อดีตชาติแล้วได้แววมาตั้งแต่เด็กแล้ว ใครเล่าจะรู้จักลูกของตนดีไปกว่าแม่บังเกิดเกล้าคงไม่มีอีกแล้ว

    แม่ชีมะแง้เป็นผู้มีสติปัญญาดี มีไหวพริบปฏิภาณดีมีอุปนิสัยเป็นคนละเอียดช่างสังเกต การปฏิบัติที่แสดงถึงคุณสมบัติดังกล่าว เมื่อคราวหลวงปู่มั่นพาโยมแม่กลับไปจังหวัดอุบลราชธานี ได้แวะพักที่ห้วยทราย เห็นหลวงปู่มั่นเดินหลังจากบิณฑบาตได้แวะไปแบ่งอาหารให้โยมมารดาถึง ๒ ครั้งในวันเดียวกัน แม่ชีมะแง้เห็นอย่างนั้นจึงจัดแจงทำอาหารคาวหวานไปให้โยมแม่หลวงปู่มั่นเสีย เอง เป็นที่ประจักษ์ใจท่าน เมื่อหลวงปู่มั่นจะนำอาหารในบาตรออกมาให้โยมแม่ของท่าน โยมแม่ของหลวงปู่มั่นจึงห้ามว่า “แม่แดงจัดมาให้ฉันทานแล้ว” (ที่เรียกว่าแม่แดง เรียกตามชื่อลูกชายคนโต แม่ชีมะแง้มีลูกชายคนโตชื่อแดง) และพฤติกรรมของหลวงปู่มั่นที่ปฏิบัติต่อโยมแม่อย่างนี้เป็นที่ประทับใจและ เป็นตัวอย่างอันดี เป็นเหตุสำคัญประการหนึ่งนอกเหนือปฏิปทาอื่น ๆ ของท่านแล้วนั้น ทำให้ชาวบ้านแถบนี้ได้เคารพนับถือด้วยคำเรียกว่า “ญาท่านเสาร์” และ “ญาท่านมั่น”ด้วย

    มีข้อสังเกตกันว่า แม่ชีมะแง้คงจะเข้าใจรู้จักลึกซึ้งในคุณธรรมบุญวาสนาบารมีของ พระจาม ผู้เป็นลูกชายที่อดีตชาติคงได้บำเพ็ญบารมีมามาก จะเห็นจากคุณลักษณะประจำตัวที่เด็ดเดี่ยวทำอะไรทำจริง ประสบความสำเร็จเป็นขั้นเป็นตอนชะรอยจะต้องบวชอยู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ตลอด ชีวิตอย่างแน่นอน เล่ากันว่า แม่ชีแก้ว เสียงล้ำ คงจะมีส่วนสำคัญในการให้คำปรึกษาเพราะการปฏิบัติเจริญจิตภาวนาของแม่ชีแก้ว นั้นเจริญก้าวหน้ารวดเร็ว รู้จักนรกสวรรค์ได้อย่างดี ญาณทัศนะที่ล้ำลึกเป็นสิ่งที่เชื่อมั่นได้และสิ่งที่ปรากฏประจักษ์ในคุณธรรม ของ แม่ชีแก้ว เสียงล้ำ ที่ได้ละสังขารไปแล้ว กระดูกอังคารของท่านกลายสภาพเป็นสิ่งสดใสเสมือนแก้วไปแล้ว ท่านผู้รู้ได้โปรดพิจารณา


    ต่อ 10
     
  12. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    ตอนที่ ๑๑

    วิกฤติสร้างวีรบุรุษ


    เมื่อการบวชได้ผ่านไปด้วยความเรียบร้อย คณะจึงได้เดินทางไปนมัสการปูชนียสถานสำคัญ เพื่ออธิษฐานฝากฝั่ง พระจาม ตลอดจนพระจาม ก็อธิษฐานตนฝากไว้ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ให้ตลอดรอดฝั่ง จึงพากันไปนมัสการ พระธาตุหลวง ที่เวียงจันทน์ ประเทศลาว โดยผ่านไปนมัสการพระธาตุบัวบกที่บ้านผือ พระธาตุโคกซวก ที่ศรีเชียงใหม่ ข้ามไปยังฝั่งประเทศลาว ความมั่นใจจึงเกิดขึ้นอย่างเต็มหัวใจ คณะจึงมุ่งกลับสู่คำชะอี ด้วยการเดินทางด้วยเท้าไม่มียานพาหนะและคณะมีหลายคนบางคนก็อายุมาก ย่อมทำให้การเดินทางได้ไม่รวดเร็วเท่าที่ควรประกอบด้วยลักษณะนิสัยประจำตัว ของพระจามที่มีอยู่เดิมนั้น ค่อนข้างใจร้อนทำอะไรรวดเร็ว เด็ดเดี่ยวอยู่แล้วจึงได้ขอร้องกับคณะที่ไปส่งโดยขอแยกตัวไปเพื่อแสวงหาสถาน ที่วิเวกเพื่อภาวนาสักระยะหนึ่งจึงจะตามไป

    เมื่อข้ามจากฝั่งประเทศลาวมาไทยแล้ว พระจามจึงขอแยกออกจากคณะเพื่อ มุ่งไปบำเพ็ญจิตภาวนาเพียงองค์เดียว เพราะมีความเชื่อมั่นในตนเองอย่างเต็มหัวใจ ที่ตนเองได้เคยศึกษาปฏิบัติธรรมอยู่หลวงปู่มั่นขณะเป็นเณรมาในขั้นอุฤษฏ์ แล้ว ตลอดจนแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรียนรู้จากครูบาอาจารย์ผู้เป็นศิษย์หลวงปู่มั่น หลายองค์ เช่นหลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม หลวงปู่ดี ฉนฺโน มาแล้วโดยเฉพาะหลวงปู่ดี เก่งทางกสิณพระจามเชื่อมั่นตนเองว่า มีฤทธิ์อำนาจพอที่จะรักษาตนเองได้ตลอดจนเรียนรู้ธรรมเนียมพระธุดงค์กรรมฐาน อย่างดีมาแล้ว

    พระจามได้มุ่งสู่ถ้ำพระ อำเภอผือ ปักกลดบำเพ็ญจิตภาวนาระยะหนึ่งแล้วเดินธุดงค์ต่อไปยังถ้ำเกิ้ง ใกล้ภูย่าอู่ เขตจังหวัดอุดรธานี อยู่บนเทือกเขาภูพาน ที่บริเวณนั้นมีเสือชุกชุม เสือแถบนี้เคยกินคนมาแล้ว เมื่อชาวบ้านทราบจึงมีความเป็นห่วงว่าจะถูกเสือตะครุบเอาไปกิน

    ชาวบ้านบอกเล่าว่า มีเสือโคร่งสามารถกินควายวัวคนได้ เสือดาวมักจะกินลูกควายลูกวัวและคนได้ เสือดำมักกินหมาที่ติดตามคนไปแต่ถ้าเข้าใจผิดว่าคนเป็นหมาก็สามารถกินคนได้ เช่นกันที่เสือแถวนี้ชอบกินคนเพราะได้เคยกินศพคนเดินทาง มีคณะที่แบกหามสัมภาระไปขายโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวเวียดนาม เมื่อใครตายก็ทิ้งศพไว้ในป่าโดยไม่เผาหรือฝัง เสือจะกินซากศพที่ตายใหม่ ๆ รสชาติเนื้อคนคงจะอร่อยทำให้เสือติดใจในรสชาติจึงเป็นสาเหตุที่เสือชอบกินคน

    ชาวบ้านแนะนำว่ากลางคืนต้องอยู่ในกลดอย่าออกมาข้างนอกจนกว่าจะรุ่งเช้า ต้องหากระบอกไว้ปัสสาวะในกลด เสือดำ เสือดาว อาจเข้าใจเป็นหมาก็จะตะครุบเอาไปกิน ถ้าออกมานอกกลด แม้แต่ระหว่างการเดินทางก็ต้องระมัดระวัง

    คืนวันแรกที่ถ้ำเกิ้ง พระจามสวดมนต์ก่อนพลบค่ำจากนั้นก็เข้าภาวนาในกลด โดยไม่ออกมาจนกระทั่งรุ่งเช้าออกไปบิณฑบาตปรากฏว่าคืนนั้น เสือไม่มาหากินบริเวณนั้น เป็นเรื่องที่แปลกประหลาด เมื่อชาวบ้านทราบตอนไปบิณฑบาต ถามเรื่องราวแล้วชาวบ้านตกใจถามว่า “ เสือไม่มาหรือ” ท่านตอบว่า “ ไม่มี “ แต่ชาวบ้านเข้าใจเหตุการณ์ดีจึงพากันไปตัดไม้ไผ่มาปักตามซอกหินที่เงื้อมผา ถ้ำเกิ้งนั้นทำคอก ๒ ชั้น และทำไม้ค้ำยันเพื่อป้องกันเสือทุกชนิด ทำให้พระจามได้ใจชื้นขึ้นจากความรู้สึกที่ชาวบ้านเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง

    คืนวันที่สองท่านได้เข้าคอกเข้ากลดสวดมนต์ทำวัดเสร็จเรียบร้อยก่อนมืด พอเริ่มพลบค่ำได้ยินเสียงเสือร้องรับกันเป็นทอดๆแต่ไกลและเสียงร้องใกล้เข้า มาๆ เป็นระยะหลายตัวเสียงดังสนั่นหวั่นไหว จิตเริ่มปรุงแต่งจึงเกิดความกลัวมากขึ้นตามลำดับ รู้สึกกลัวมากขึ้นจนตัวสั่น แม้ยังไม่เห็นตัวก็เพราะเป็นเวลาค่ำมืด ในช่วงวิกฤติตรงที่เสือมาร้องอยู่ที่หน้าถ้ำห่างนิดเดียวที่พึ่งสุดท้ายคือ การสวดมนต์ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ท่านบอกว่าเริ่มแรกนั้นตั้งนะโม สวดก็ไม่จบ สวดอิติปิโสก็ไม่ถูก เสือเดินวนไปเวียนมา ได้แต่นะโมเฉยๆ อิติปิโสเฉยๆ เกิดกลัวจนขนพองสยองเกล้า แต่เมื่อเสือไม่เข้ามาตะกุยคอกที่ชาวบ้านสร้างให้ไว้ ก็มีสติขึ้นมา ตั้งสติได้ก็สวดมนต์ได้จนจบ สวดอย่างถี่ยิบเพื่อให้จิตสงบโดยเร็ว เพราะไม่แน่ใจว่าเสืออาจหวนกลับมาเล่นงานก็ได้

    จากนั้นไม่นานจิตก็สงบเป็นสมาธิ ความกลัวหายไปหมด เชื่อมั่นในพระรัตนตรัยอย่างปราศจากข้อสงสัย ต่อจากนั้นก็ปรากฏหัวหน้าเทวดาแต่งตัวสวยงามมาบอกว่า ถ้าต้องการให้ช่วยเหลือก็ให้นึกถึงจะมาช่วยเหลือทันที และบอกบริวารที่เป็นเพศหญิงให้ออกไปจากบริเวณถ้ำเสียก่อนและให้ช่วยปกป้อง คุ้มครอง และบอกอีกว่าใกล้ๆมีบ่อน้ำทิพย์ให้ใช้ดื่มกินได้

    วิกฤติชีวิตได้ผ่านไปจากการเสี่ยงภัยจากเสือร้าย ท่านจึงเกิดความมั่นใจ ตอนรุ่งเช้าออกไปบิณฑบาต ก็ได้เดินสำรวจดูรอยตีนเสือมากมายตามทางเดิน แต่จิตใจไม่สะทกสะท้าน จิตใจมั่นคงอยู่กับ “ พุทโธ “ ตลอดเวลาท่านได้พักภาวนาอยู่ที่ถ้ำนี้ระยะหนึ่งพอสมควรแล้วและเห็นว่าใกล้จะ เข้าพรรษา จึงเดินทางกลับไปจำพรรษาที่ห้วยทราย ที่โปรดโยมแม่ชี

    เมื่อพรรษาผ่านไปรู้สึกเป็นห่วงโยมแม่ จะลาสิกขาถ้าตัวเองไม่อยู่ห้วยทราย จึงไปเรียนปรึกษา ว่าจะออกธุดงค์ไปหาวิเวกที่ต่างๆ เป็นระยะเวลายาวนาน แม่ชีมะแง้จึงกล่าวให้เกิดความสบายใจว่า “ ไม่ต้องเป็นห่วงใยแม่ เพราะแม่มีหลักใจแล้วขอให้ออกไปแสวงหาธรรมขั้นสูง ณ สถานที่สัปปายะตามรอยพระกรรมฐานเถิด “ ต่อจากนั้นพระจามจึงตัดสินใจ ออกหาวิเวก โดยเดินทางไปลาพ่อซึ่งบวชเป็นพระอยู่ที่ภูเก้า เพื่อไปหาพระอาจารย์คูณ อธิมุตโตที่มหาสารคาม หลวงพ่อกา จึงเดินทางไปจำพรรษาที่มหาสารคามเพราะด้วยความห่วงใย


    ต่อ 11
    <!--cached-Sat, 23 Jan 2010 07:29:06 +0000-->
     
  13. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    ตอนที่ ๑๒

    อัศจรรย์เด็กผู้หญิง

    [​IMG]

    เมื่อออกพรรษาญาติโยมได้รับหลวงพ่อกากลับไปห้วยทราย พระจามและสหธรรมิกรวม ๔ องค์ ได้เดินธุดงค์ไปตามป่าเขา ช่วงระหว่างเลยกับเพชรบูรณ์ เพื่อแสวงหาสถานที่วิเวก บนเชิงเขาหินผาได้พบพระธุดงค์ ๒ องค์ จะเดินข้ามดงใหญ่ องค์หนึ่งพึ่งหายป่วยตั้งใจจะข้ามไปอีกฟากเขา พอเดินไปกลางดงก็หมดแรง ขอให้เพื่อนกางกลดให้เพื่อพักอยู่ก่อนโดยขอให้เพื่อนเดินไปให้พ้นดงก่อนมืด แล้วชวนให้ชาวบ้านกลับมาช่วยในวันรุ่งขึ้น ปรากฏว่าในคืนนั้นพระองค์นั้นถูกเสือคาบไปกินเหลือแต่ร่องรอย เป็นอัฐบริขารในกลด สันนิษฐานว่าคงออกไปปัสสาวะข้างนอกจึงถูกเสือคาบเอาไปกิน ส่วนท่านและสหธรรมิกเดินข้ามฟากไปโดยปลอดภัย

    ต่อมาได้ไปพักปักกลดอยู่บนเชิงเขาแห่งหนึ่งใกล้หมู่บ้านเลยวังใส ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ริมแม่น้ำเลย เช้าวันหนึ่งคณะสงฆ์ได้เดินทางออกไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน มีศรัทธาญาติโยมใส่บาตรให้พอสมควรแล้วก็เดินทางกลับไปที่พักปักกลด ได้มีศรัทธาญาติโยมบางท่านติดตามเอาอาหารมาถวายเพิ่มเติม มีเด็กหญิงตัวเล็กๆไปด้วยโดยไม่มีพ่อแม่นำไป เด็กหญิงคนนั้นได้นำข้าวและสัปปะรดครึ่งลูกไปถวาย

    ขณะนั้นก็มีการเตรียมอาหารแยกอาหารและกับข้าวเพื่อจัดถวายพระสงฆ์เพื่อ เฉลี่ยกันฉันให้ทั่วถึง เด็กหญิงคนนั้นกุลีกุจอจัดอาหารคาวหวานตลอดจนการประเคนอาหารมีความแคล่ว คล่องกว่าผู้ใหญ่ การพูดการจาฉะฉานรู้จักวิธีการปฏิบัติต่อพระกรรมฐานอย่างดีกว่าผู้ใหญ่ที่มา ถวายด้วย เพราะยังรู้สึกเก้ๆกังๆ ทำอะไรไม่ค่อยจะถูก เด็กหญิงคนนั้นพูดขึ้นว่า “ ขออภัยด้วยบ้านนี้เป็นบ้านป่าดง ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่รู้จักพระสงฆ์ ทำอะไรไม่ค่อยจะถูก” ทุกคนรู้สึกประหลาดใจ สะดุดใจ ทำไมเด็กหญิงตัวน้อยๆพูดจาฉะฉานดีกว่าผู้ใหญ่ รู้ข้อวัตรปฏิบัติของพระกรรมฐานดีขนาดนี้ พระจามและสหธรรมิกรู้สึกแปลกใจ ทั้งๆที่ผู้ใหญ่ได้ผ่านโลกมาก็มากผ่านการทำบุญมาก็มาก ทำไมจึงแตกต่างกันถึงปานนั้น ท่านได้นำคำพูดนั้นมาสนทนาพิจารณาทบทวนความสงสัย ในที่สุดก็ลงความเห็นเป็นคำตอบที่น่าจะเป็นไปได้ว่า “ถ้าเป็นมนุษย์ก็เป็นโสดาบันมาเกิดใช้ชาติ แต่ถ้าไม่ใช่มนุษย์ก็เป็นเทวดา”

    คณะจึงเดินทางไปบำเพ็ญจิตภาวนาที่ถ้ำผาบิ้ง จังหวัดเลย ระยะหนึ่ง การภาวนายังไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร จึงเดินธุดงค์ต่อไปยังเพชรบูรณ์


    ต่อ 12
     
  14. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    ตอนที่ ๑๓

    ทดสอบจิตใจตนเอง


    คณะสหธรรมิกได้จาริกไปถึงเทือกเขาในอำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่บริเวณเทือกเขาแห่งนี้เป็นบริเวณที่สัปปายะพื้นที่ลาดลงไปทุ่งนา มีหมู่บ้านไม่ไกลนัก ขณะที่บำเพ็ญจิตภาวนาอยู่ที่นี่

    สหธรรมิก ๑ องค์เป็นไข้มาลาเรียอาการหนักไม่สามารถรักษาได้เพราะอยู่ห่างไกล แม้จะใช้ยาพื้นบ้านก็ไม่สามารถรักษาให้อาการทุเลาได้เป็นเหตุให้เสียชีวิต

    ส่วนอีก ๑ องค์เกิดได้มีศรรักปักอกเพราะได้พบรัก จึงลาสิกขาบทไปแต่งงาน

    จึงเหลือเพียง ๒ องค์ มุ่งทำความเพียรที่นั่นต่อไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะหาทางพ้นทุกข์ การบำเพ็ญพากเพียรไม่เกิดผล เพราะเหตุสหธรรมิก ๒ องค์ต้องลาจากไปด้วยเหตุดังกล่าว ทำให้จิตใจสับสนกระวนกระวายภาวนาหลายคืนจิตไม่สงบ มีแต่ร้อนรนรุ่มร้อน

    พระจามได้นึกถึงวิธีการสั่งสอนฝึกจิตที่ พระพุทธเจ้า ตอบสารถีผู้ฝึกม้า ควรจะทำอย่างไรกับม้าที่ฝึกยาก ม้าที่ฝึกยากเปรียบเสมือนจิตของคนเราที่จะต้องฝึกฝนทรมานอย่างเหมาะสมกับ จริตนิสัยของตน ท่านจึงหาวิธีทดสอบจิตที่ดื้อมากขณะนั้นทั้ง ๆ ที่เคยทำได้และสูญหายไป ฝึกใหม่ก็ไม่ยอมลง แสดงถึงจิตตนเองมีความดื้อมากขณะนั้น

    ช่วงนั้นระหว่างเดือน ๙ เดือน ๑๐ ฝนกำลังตกหนักน้ำไหลจากภูเขา ไหลตามลำห้วยลงมาในทุ่งนาท่วมเอ่อเป็นบริเวณกว้างต้นข้าวกำลังงอกงามดี เกิดความคิดขึ้นมาว่า เอาละคราวนี้จะลองภาวนาในน้ำ เพื่อแก้ความร้อนรนในจิตใจ เอาความเย็นเข้าแก้ไข และแก้สติที่ชอบเผลอหลับขณะภาวนาเสมอ

    เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงตั้งจิตอธิษฐานไม่นอน จะภาวนาในอิริยาบถนั่ง จึงลงไปภาวนาในทุ่งนา โดยแช่ตัวในน้ำ บางคืนตั้งแต่ ๓ ทุ่มบ้าง ๔ ทุ่มบ้าง จนถึงตี ๔ หรือตี ๕ แล้วแต่ความเหมาะสมของแต่ละคืน พระจาม กับสหธรรมิกอีก ๑ องค์ จำพรรษาอยู่ที่นั้นตลอดไตรมาสโดยชาวบ้านได้สร้างเสนาสนะให้ชั่วคราว

    ท่านได้บำเพ็ญความเพียรอย่างเอาจริงเอาจัง บางครั้งก็หลับขณะนั่ง หลับขณะยืน หลับขณะเดินจึงแก้ไขการหลับในน้ำกลางทุ่งนา นั่งในน้ำอยู่ระดับคอหอยพอดี ถ้าหลับสัปหงกหัวทิ่มลงมาน้ำจะเข้าจมูก หน้าแช่น้ำพอรู้สึกว่าจะสำลักน้ำตาย ก็โผล่ขึ้นมาหายใจ ปฏิบัติอยู่อย่างนี้อยู่หลายคืนเว้นบ้าง ถ้าขณะภาวนาตัวลอยขึ้นก็จะใช้มือจับต้นข้าวไว้ เพื่อให้ตัวจมไว้ในระดับที่ต้องการ ทำให้การบำเพ็ญจิตภาวนาได้ผลดีขึ้นพอสมควร

    เมื่อจิตสงบก็พิจารณาไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พิจารณาธาตุสี่ ดินน้ำลมไฟ พิจารณากายานุสติ พิจารณาอสุภะอสุภังว่าร่างกายนี้ไม่สวยไม่งาม ปัญญาทางธรรมยังไม่เฉียบคมพอที่จะตัดกิเลสออกได้แม้แต่กิเลสหยาบหรือกลาง แล้วกิเลสขั้นละเอียดจะหลุดออกจากจิตใจได้อย่างไรเกิดความสงสัยตัว เองอย่างบอกไม่ถูก เมื่อจิตออกจากสมาธิก็เร่าร้อน จึงต้องหาสาเหตุว่าทำไมจิตจึงร้อน ถามใจตนเอง ต้องค้นหาความจริงให้ได้

    ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ที่ตั้งไว้แน่วแน่ที่จะต้องให้หลุดพ้นในชาตินี้ให้ได้ จึงทรมานจิตอย่างหนักหน่วงอย่างต่อเนื่อง ผลการปฏิบัติแม้ว่าจะไม่ได้ผลเท่าที่ตั้งใจไว้ก็ตาม แต่ก็ยังเกิดความรู้ขึ้นเกือบทุกครั้งที่เกือบตาย เกือบขาดใจ ทำให้เข้าใจแจ่มแจ้งถึงหน้าที่ของกายกับจิตนั้นแยกกัน จิตไม่อาจบังคับกายได้ทุกอย่าง จิตจะบงการการให้ทำงานตามที่ธรรมชาติสร้างไว้ให้ กิเลสจะคอยปิดบังให้จิตหลงว่าเป็นเจ้าของกาย จึงหวงกายเป็นที่สุด แท้จริง กายไม่ใช่ของใจ ใจเพียงอาศัยกายอยู่ กายตายได้แต่ใจไม่ตายแต่กิเลสบังไว้ พระพุทธเจ้าจึงให้พิจารณาไตรลักษณ์คือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา

    บางคืนจิตสงบเป็นสมาธิก็เกิดนิมิตภาพเดิม ๆ อีก เห็นพระพุทธรูปมากมาย วัดร้างต่าง ๆ ที่ชำรุดผุพัง ต้นโพธิ์ เกิดความรู้สึกขึ้นว่าได้เกิดหลายชาติ มีส่วนในการสร้างสิ่งที่ปรากฏในนิมิตนั้น บางคืนเกิดญาณทัศนะรู้อดีตชาติแบบลาง ๆ แต่ย้อนไปหลายชาติ แม้กระทั่งบางชาติเคยตกนรก บางชาติเคยเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน

    เมื่อออกพรรษาได้ระยะหนึ่งท่านจึงจาริกต่อไป ด้วยการเดินทางตามป่าเขาลัดเลาะไป ณ สถานที่ต่าง ๆ ค่ำที่ไหนก็หาที่พักปักกลดภาวนา ๒ วันบ้าง ๓ วันบ้าง เรื่อย ๆ ไปมุ่งไปเหนือ


    ต่อ 13
     
  15. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    ตอนที่ ๑๔

    แสวงหามัชฌิมาเพื่ออริยมรรค

    [​IMG]

    พระจามเดินธุดงค์ไปยังเชียงใหม่ ได้ปักกลดบำเพ็ญภาวนาทำความเพียรบริเวณที่เนินเขาแห่งหนึ่งใกล้แม่งัด การภาวนายังไม่ก้าวหน้าจิตจะดิ้นรนแส่ส่ายออกไปภายนอกอยู่ตลอดเวลา จิตจะปรุงแต่งไม่ยอมสงบ แม้ว่าจะผ่านการทดสอบจิตใจอย่างเข้มข้นมาแล้ว เป็นปัญหาหนักที่ท่านต้องเอาไปขบคิดอย่างหนัก ต้องหาทางออกที่เหมาะสมเป็นอย่างไรแน่ ท่านหวนคิดถึง แนวคำสอนของหลวงปู่มั่น ที่ตนต้องค้นหาแนวทางที่เหมาะสม หาความพอดีของตนเอง แต่ละคนไม่เหมือนกัน ท่านได้ทบทวนแนวคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ได้ไปพบปัญจวัคคีย์ พระพุทธเจ้าแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตร จึงเกิดความคิดขึ้นว่าเราเองทดลองมาสมควร ยังหาจุดสมดุลของจิตยังไม่ได้ กระนั้นเลยเราต้องหาจุดที่เป็นมัชฌิมาเฉพาะตนให้รู้แจ้งให้ได้ มิฉะนั้นจะดำเนินไปสู่อริยมรรคไม่เกิดผล เกิดความเชื่อว่าจะหามัชฌิมาที่นี่แหละคราวนี้

    วันหนึ่งได้ไปสรงน้ำที่ริมน้ำแม่งัด เหลือบเห็นขอนไม้จมอยู่ใต้น้ำ เกิดสะดุดใจขึ้นว่า เราต้องใช้ขอนไม้นี้เป็นครูสอนจิตของเราที่ดื้อด้านนัก จึงพิจารณาท่อนซุงจมน้ำ ซุงเขาคงไม่รู้จักร้อนไม่รู้จักหนาวอยู่ของเขาเฉย ๆ แม้น้ำจะไหลแรงก็เฉยความรู้เกิดขึ้นว่านั้นคือธรรมชาติของเขา เมื่อน้อมนำมาสู่จิตของตนเองก็เกิดปัญญาฉุกขึ้นว่าเราคงต้องวางเฉยไม่รู้ไม่ ชี้ไม่ต้องอยากได้ใคร่ดี จะภาวนา “พุทโธ” อย่างเดียวจิตจะสงบหรือไม่ก็ไม่สนใจไม่ต้องการใด ๆ ไม่รู้สึกใด ๆ เป็นแบบซุงไม้จมน้ำ จิตเราก็จมอยู่ในกิเลสก็เป็นทำนองเดียวกันนั้นแหละ

    ต่อจากนั้นท่านก็จัดแจงนุ่งผ้าให้กระชับเพื่อไม่ให้หลุดลงน้ำแล้วตั้งจิต อธิษฐาน แล้วดำลงไปใต้ซุงเอามือค้ำซุงไว้บริกรรม “พุทโธ” จนสุดกลั้นลมหายใจก็โผล่ขึ้นมาหายใจ ต้องการรู้ว่าจิตจะเป็นสภาพอย่างไรขณะกำลังจะหมดลมหายใจ ขณะใจจะขาดจะเป็นอย่างไร

    ปัญญาได้เกิดขึ้น ขณะที่ลมหายใจจะหมดกำลังจะขาดใจ จิตจะรวมลงเป็นสมาธิเป็นระยะ ๆ จะดำน้ำได้นานขึ้นเรื่อย ๆ เพราะขณะที่จิตรวมเป็นสมาธิได้ลมหายใจจะแผ่วเบาต้องการอากาศไปใช้น้อยลงเกิด ความรู้ความเข้าใจความสัมพันธ์สามัคคีกันของจิตกับกาย สติ สมาธิ ปัญญา มารวมกันแนบแน่นเป็นเอกัคคตารมณ์ มีพลังมาก จึงเข้าใจอำนาจของจิต ความรู้แจ้งเกิดขึ้นว่านี้คือ มัชฌิมาของตนเฉพาะมีพลังแรงมาก เดินทางปัญญาได้แล้ว

    ท่านเกิดความมั่นใจว่าตนเองดำเนินตามแนวทางปฏิบัติได้ถูกต้องแล้วคงจะสามารถ บรรลุธรรมขั้นสูงหลุดพ้นได้ในชาตินี้กระมัง เกิดปีติอย่างแรงกล้าหารู้ไม่ว่าเป็นวิปัสนูปกิเลส ที่หลอกให้หลงทางเสียอีกแล้ว จึงมุ่งมั่นภาวนาเดินทางปัญญาหนักขึ้น เพื่อพิจารณาสติปัฏฐาน เอาอริยสัจสี่ มรรคแปด มาดำเนินไปแต่ผลที่ได้ยังไม่เป็นที่พอใจ กลับมีสัญญาเกิดขึ้นเป็นนิมิตแบบเดิม ๆ

    ท่านหันมาพิจารณาในนิมิต โดยตั้งใจใหม่ว่า ถ้านิมิตจะเกิดก็ให้เกิด เราจะดูให้รู้เฉย ๆ เกิดก็เกิดไป เราจะรู้เขาเท่านั้น โดยไม่เอาจิตตามเหมือนที่เคยทำมาแล้ว เราจะวางจิตเป็นกลางไว้เสมือนท่อนซุงที่จมอยู่ในน้ำ กิเลสจะหลอกก็หลอกไปดูซิว่าจะมีฤทธิ์เดชสักแค่ไหน ในที่สุดนิมิตที่เกิดขึ้นนั้นมีปัญญาเกิด เพราะญาณทัศนะเกิดขึ้นบอกชัดว่าอดีตชาติตนเองเสริมสร้างบารมีไว้มาก นิมิตภาพเหล่านั้นชัดเจนว่าเป็นผู้มีส่วนร่วมสร้างไว้หลายต่อหลายชาติมาแล้ว ดังนั้นจึงปรากฏให้เห็นซ้ำแล้วซ้ำอีก จิตส่วนลึกว่าเราอาจไม่ใช่จะเป็นสาวกที่สามารถหลุดพ้นอาสวะกิเลสได้เพราะการ อธิษฐานไว้เดิมคงไม่ใช่เสียแล้ว

    ต่อ 14
     
  16. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    ตอนที่ ๑๕

    เหตุการณ์ประหลาด

    [​IMG]
    ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ หลังจากได้แยกกับหลวงปู่สิมไปแล้ว จึงไปพบหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ที่อำเภอสเมิง จังหวัดเชียงใหม่ จึงได้ธุดงค์ไปด้วยกันตามภูต่าง ๆ ที่ชาวเขาอาศัยอยู่ ได้ระยะหนึ่งก็ได้แยกทางกันธุดงค์ไปตามลำพังหลวงปู่ชอบได้ธุดงค์ไปตามหมู่ บ้านชาวกระเหรี่ยงไปเรื่อย ๆ ส่วนหลวงปู่จามก็เดินธุดงค์ไปตามลำน้ำแม่ขาล ได้ไปปักกลดอยู่ที่ถ้ำใกล้หมู่บ้านหาดเสียวสะเมิง บริเวณถ้ำมีโพรงลึกเข้าไปมีรอยตีนเสืออยู่บริเวณถ้ำ ชาวบ้านเรียกว่าถ้ำเสือนอน

    หลวงปู่จามได้พักอยู่ในถ้ำนั้นระยะหนึ่งจึงเดินธุดงค์ต่อไป ระยะทางที่จะไปยังมีหมู่บ้านท่ากระถิน ซึ่งไกลมากต้องใช้เวลาเดินทาง ๑ วันเต็มๆ หลังจากฉันอาหารแล้วก็พักผ่อนพอสมควร เมื่อตะวันตรงหัวก็เริ่มเดินทางไปยังหมู่บ้านดังกล่าว

    ขณะเดินทางไป ได้พบทหารยามที่อยู่บนคบไม้ เพื่อตรวจการเข้ามาของเครื่องบินพันธมิตรที่ตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ในพม่า ทหารยามเห็นพระธุดงค์เดินมาจึงลงจากคบไม้และนิมนต์ให้พักและขอเครื่องลางของ ขลัง แต่หลวงปู่จามไม่มีอะไรจะให้เผอิญมีรูปถ่ายของท่านที่ทำใบสุทธิเหลืออยู่ ๑ รูป จึงมอบให้ทหารไทยคนนั้น ประมาณ ๔ โมงเย็นจึงได้เดินทางต่อไป ตามแนวทางเดินเป็นสภาพป่าดงดิบสลับห้วย ต้องเดินลัดเลาะไปตามลำห้วยขึ้นดอยลงดอย เพื่อมุ่งไปสู่บ้านเป้าหมาย คือบ้านท่ากระถิน ไปทาง อ.สันป่าตอง ขณะเดินทางตะวันได้ตกดินไปแล้วแต่ สิ่งที่น่าประหลาดใจว่าทำไมตามทางเดินไปนั้นไม่มืดเห็นทางสว่างตลอด เห็นต้นไม้ได้ชัดเจนเห็นสัตว์ป่าวิ่งตัดหน้า ทั้ง ๆ ที่เป็นข้างแรมไม่เห็นดวงจันทร์ ใช้เวลาเดินทางไปจนเมื่อยล้าก็พักผ่อนตามทาง เมื่อกระหายน้ำก็แวะตักน้ำดื่มตามลำห้วย เกิดความสงสัยว่าเหตุใดจึงสว่างไสวเช่นนั้น ยังหาคำตอบไม่ได้

    การเดินทางในคืนนั้นปรากฏว่ามาถึงทางสามแพร่งไม่แน่ใจว่าทางใดจะไปสู่บ้าน ท่ากระถิน จึงได้หยุดพิจารณาดูแต่ไม่แน่ใจ จึงหลับตาตั้งจิตอธิษฐานว่าเส้นทางใดจะไปสู่บ้านท่ากระถินก็ให้จิตใจอยากไป ทางนั้น หลังจากอธิษฐานเสร็จจิตก็บอกให้ไปทางซ้ายมือปรากฏว่าถูกทาง พอเดินไประยะหนึ่งก็พบลำห้วยจึงข้ามห้วย ขณะนั้นก็มืดลงทันทีมองไม่เห็นสิ่งใดต้องใช้มือคลำทางไป รู้สึกแปลกใจอย่างมาก

    ขณะนั้นมีไม้ขีดไฟเหลืออยู่เพียง ๒ ก้าน ไม่มีไฟฉายไม่มีเทียน เพราะใช้หมดแล้ว จึงตัดสินใจเอาไม้ขีดมาจุด เพื่อดูทางไปได้ เห็นต้นไม้ถูกฟันเปลือกออกแสดงว่าใกล้หมู่บ้านแล้ว จึงใช้มือคลำต้นไม้เพื่อแหวกทางเดินต่อไปอีกระยะหนึ่งก็ได้กลิ่นควันไฟ จึงแน่ใจว่าคงจะพบคนบริเวณไม่ไกลนัก ได้ยินเสียงชาวบ้านคุยกันจึงมุ่งตรงไปยังเสียงนั้นต่อมาได้เห็นชาวบ้านออกมา ผิงไฟเพราะอากาศหนาวจัด จึงมุ่งตรงไปหา ชาวบ้านแตกตื่นคิดว่าเป็นคนร้ายจึงได้ถือมีดไม้ออกมา พอรู้ว่าเป็นพระจึงนิมนต์เข้าไปในบ้านปรากฏว่าเวลาขณะนั้นประมาณตี ๔ เศษใกล้สว่าง ชาวบ้านต่างแปลกใจว่าท่านมาได้อย่างไรเพราะตามเส้นทางมีเสือชุกชุม ถามท่านว่า “ไม่พบเสือหรือ” ท่านตอบว่า “ไม่เห็นเพียงได้กลิ่นเยียวเห็นรอยเยี่ยว” ทำให้ชาวบ้านแปลกประหลาดใจทั้ง ๆ ที่เดือนมืด ชาวบ้านจึงนิมนต์ไปพักผ่อนที่บ้านระยะหนึ่ง นอนได้ถึงแปดโมงเช้า ชาวบ้านก็นำอาหารมาถวาย ชาวบ้านได้ทำที่พักให้พัก อยู่ ๗ วันท่านจึงลากลับ

    ด้วยความสงสัยยังไม่หายข้องใจว่าทำไมจึงสว่างตามทางเดินทั้ง ๆ ที่เป็นเวลาค่ำคืนเดือนมืด ท่านจึงเดินทางตอนกลางวันย้อนกลับไปยังบ้านหาดเสี้ยวอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ได้รับความกระจ่างจนถึงบัดนี้ใช้เวลาเดินทางตั้งแต่ประมาณ ๗ โมงเช้าถึง ๕ โมงเย็นจึงถึงบ้านหาดเสี้ยว


    ต่อ 15
     
  17. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    ตอนที่ ๑๖

    ผีสางเทวดา

    [​IMG]
    หลวงปู่จามเดินธุดงค์ไปริมแม่น้ำกก เชียงราย เดินดุ่มไปองค์เดียว เพื่อวิเวกแสวงหาธรรมขั้นสูง ในพื้นที่ธรรมชาติป่าเขาลำเนาไม้ ริมแม่น้ำกก ที่เชิงดอยมีถ้ำขนาดเล็กพออาศัยพักพิงทำความเพียรได้เพียงองค์เดียว

    หลังจากที่ท่านได้ทดสอบจิตใจ ทดสอบวิธีการฝึกฝนอบรมจิตใจของตนเอง ณ สถานที่สัปปายะต่าง ๆ มาโดยลำดับแล้ว ก็ยังมีข้อสงสัยอยู่ มิอาจแสวงหาคำตอบข้อสงสัยได้จึงเลือกสถานที่ใหม่ เพื่อทดสอบแสวงมัชฌิมาอันเป็นทางสายกลางที่จะเดินอริยมรรคเพื่อให้จิตละ กิเลสตัณหาอุปาทานออกไปจากจิตใจให้ได้

    การบำเพ็ญจิตภาวนาที่บริเวณถ้ำริมแม่น้ำกก ท่านได้ทำความเพียรอย่างแกล้วกล้าแต่จิตก็ไม่สงบ แส่ส่ายออกไป มีแต่สัญญาเข้ามาและปรุงแต่งออกไปอย่างกว้างขวางจนถึงกับท้อใจบ้างในบางเวลา แม้จะพิจารณาธรรมด้วยสติปัฏฐาน เอาอริยสัจมาเป็นข้อธรรมเพื่อเดนอริยมรรคมีองค์แปด ก็เกิดสับสนในจิตใจ ปัญญาไม่เกิดสว่างไสวเท่าที่ควร

    ท่านจึงเกิดความสงสัยว่าจะอำนาจอื่นหรือพลังอื่นเข้ามาขวางกัน ไม่ให้ความเพียรที่ทำนั้นเกิดผลหรืออย่างไร ท่านจึงตะโกนออกไปว่า “เทวดา ยม ยักษ์ นาค มารบกวนทำไมอยากจะตกนรกหรือ” ต่อจากนั้นท่านก็บริกรรมพุทโธต่อไปอีกไม่นานจิตก็สงบ เห็นพญานาคโผล่มาในนิมิต มาบอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องไม่มีส่วนในการรบกวนใดๆ “การไม่สงบเพราะจิตใจของท่านเองต่างหาก” ท่านจึงหวนมาพิจารณาในจิตท่านว่า “ชะรอยจะไม่ใช่บำเพ็ญตนมาเพื่อตัดกิเลสแต่เพียงผู้เดียวเสียแล้ว คงจะได้ปรารถนาเป็นพระพุทธ องค์หนึ่งในภายภาคหน้ากระมัง” เป็นการตอกย้ำความมั่นใจของตนเองว่า ชาตินี้เราคงบรรลุมรรคผลนิพพานไม่ได้เสียแล้ว

    ต่อ 16
     
  18. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    ตอนที่ ๑๗

    เทพเป่าและนำทางไป

    [​IMG]
    หลวงปู่จาม ธุดงค์องค์เดียวจากเชียงรายไปอำเภอแม่สาย เพื่อมุ่งไปสู่อำเภอพร้าว ระยะทางไกลมากต้องอาศัยเดินลัดตัดดอยข้ามดอยไปจะใกล้กว่าเดินทางตามทางราบ ท่านจึงบากบั่นมุ่งหน้าไปอย่างไม่ลดละ จากบ้านหนึ่งกับบ้านหนึ่งระยะก็ห่างกัน ค่ำก็ปักกลดพักภาวนา บางวันก็ได้ฉันอาหารบางวันก็ไม่ได้ฉันเพราะไม่มีหมู่บ้านจะไปบิณฑบาตได้ ทำให้ร่างกายอ่อนเพลียแต่จิตใจไม่ท้อถอยคงมุ่งมั่นบากบั่นตามที่ตั้งใจไว้จน ถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ก็ปักกลดอยู่ใกล้ๆ ไม่ห่างไกลนักเพื่อจะได้บิณฑบาตในตอนเช้า

    ชาวบ้านได้มาพบก็ไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านว่ามีพระธุดงค์มาพักอยู่ชายบ้าน ผู้ใหญ่บ้านก็ทำอาหารมาถวายในตอนค่ำ แต่หลวงปู่จามไม่รับถวายเพราะเลยเวลาฉันแล้ว แต่ผู้ใหญ่บ้านคนนั้นไม่เข้าใจ ผู้ใหญ่บ้านเสียใจจึงกลับไปบอกลูกบ้านว่า “ รุ่งขึ้นไม่ต้องใส่บาตร เพราะพระองค์นี้ไม่ฉันอาหาร ขนาดต้มไก่ร้อนๆ มันยังไม่ฉันเลย “

    รุ่งเช้าหลวงปู่จามก็เข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้านปรากฏว่าไม่มีใครใส่บาตรเลยแม้ แต่คนเดียว บางคนมีศรัทธาแต่ไม่กล้าเพราะเกรงกลัวผู้ใหญ่บ้าน ท่านก็แต่สะพายบาตรเปล่ากลับไปที่พัก ดื่มแต่น้ำเปล่า แล้วเตรียมบริขารเดินทางต่อไปจนกระทั่งเวลาประมาณ ๓ โมงเย็น ไปพบหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่งก็ปักกลดพักอยู่ใกล้ๆหมู่บ้านนั้น

    พอรุ่งเช้าอีกวันหนึ่งก็สะพายบาตรเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อบิณฑบาต ปรากฏว่าหมู่บ้านนี้ชาวบ้านนับถือคริสต์ศาสนาไม่มีใครใส่บาตรได้เลยแม้แต่คน เดียวก็สะพายบาตรเปล่ากลับมาอีกเป็นคำรบที่สอง ได้ฉันน้ำ เก็บอัฐบริขารเดินทางต่อไปอีกจนค่ำก็ปักกลดบนดอย ได้ยินเสียงคน เสียงหมาเห่า อยู่เชิงดอย ก็หวังว่ารุ่งเช้าจะได้บิณฑบาต ฉันอาหารให้อิ่มหนำสำราญ

    เมื่อตะวันขึ้นก็สะพายบาตรลงเขาไปบิณฑบาตตามข้อวัตรปฏิบัติ เดินจนสุดหมู่บ้านก็ไม่มีใครใส่บาตรอีกเพราะเป็นหมู่บ้านที่คริสต์ศาสนาได้ ไปเผยแพร่คำสอนไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ท่านก็เดินต่อไปยังบ้านโดดเดี่ยวหลังหนึ่ง ที่มียายกับหลานเล็กๆ ๑ คนอายุประมาณ ๖ - ๗ ขวบ หลานออกมาดูแต่ยายไปหลบอยู่ที่หลังบ้าน ท่านจึงยืนนิ่งอยู่นาน หลานได้โผล่หน้าดูแล้วบอกว่า “ ยายๆตุ๊เจ้ามากุมบาต “ ( กุมบาต หมายถึง มาบิณฑบาต ) ยายบอกว่า “ อย่าไปมองดูมัน “ หลานบอกยายว่า “ ไม่มองดูก็เห็น ยืนอยู่หน้าบ้าน “ ยายเห็นว่าท่านยืนอยู่ไม่ไปไหนยายจึงเอาข้าวมาปั้นหนึ่งให้หลานลงมาใส่บาตร ให้ หลานจึงลงมาใส่บาตรให้ท่าน

    ต่อจากนั้นท่านก็เดินกลับที่พักเพื่อจะฉันข้าวปั้นนั้น ขณะกำลังเดินกลับใกล้จะพ้นหมู่บ้านนั้นมีหมาแม่ลูกอ่อนวิ่งตามมา จะไล่กลับมันก็ไม่กลับวิ่งตามไปตลอด ท่านจึงหยุดคิดพิจารณาว่าหมามันคงจะอยากกินข้าว มันคงหิว และต้องมีนมให้ลูกมันกิน ท่านคิดในใจว่า “ ข้าวปั้นเดียวกินคงไม่อิ่ม ให้หมาหิวมันกินดีกว่า “ ก็เลยล้วงข้าวปั้นจากบาตรโยนให้หมาลูกอ่อนกิน เมื่อเดินกลับไปที่พักก็จัดอัฐบริขารเดินทางต่อไป

    เนื่องจากไม่ได้ฉันอาหารมา ๓ วันแล้ว ประกอบกับการเดินทางที่ต้องใช้พละกำลังขึ้นเขาลงห้วยทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ระหว่างเดินทางไปในวันนั้นรู้สึกหูอื้อตาลาย ใจหวิว จนถึงเวลาประมาณเที่ยงวันขณะเดินปีนเขารู้สึกวูบดับไปไม่รู้สึกตัวล้มลง พอรู้สึกตัวอยู่ในท่านอนอยู่บนทางเดินในป่า ได้พบชายหนุ่มคนหนึ่งอายุประมาณ ๒๐ ปี ชายหนุ่มถามว่า “ท่านคงจะเหนื่อยมากนะครับ “ ท่านตอบว่า “ เหนื่อยมาก ไม่ได้ฉันอาหารมา ๓ วันแล้ว “ ชายหนุ่มบอกว่า “ ไม่เป็นไรให้นอนอยู่นิ่งๆ เดี๋ยวจะเป่าให้ “ เขาเริ่มเป่าตามแขน ขาลำตัว ขึ้นมาถึงตีนผม รู้สึกประหลาดว่า ลมที่เป่านั้นเย็นมาก พอเป่าตรงจุดไหนก็เบาสบายขึ้น แล้วเป่าย้อนลงไปจากตีนผมลงไปถึงเท้า

    เมื่อชายหนุ่มเป่าเสร็จก็นิมน๖ให้ท่านลุกขึ้นนั่งแล้วถามว่า “ เป็นอย่างไรสบายดีหรือยัง ให้ลองขยับแขนขาดู “ หลวงปู่ตอบว่า “ รู้สึกสบายขึ้น “ ชายหนุ่มถามว่า “ ท่านจะไปไหนต่อ “ หลวงปู่ตอบว่า “ จะไปที่บ้านป่าเมี่ยงแม่สม “ ชายหนุ่มตอบว่า “ งั้นก็ไปทางเดียวกับผม เดี๋ยวผมจะสะพายกลดสะพายบาตรให้ ท่านคอยเดินตามผมไป” ท่านก็เดินตามหนุ่มคนนั้นไป ทิ้งระยะไม่ห่างนัก ไม่ใกล้นัก ถ้าจะคุยกันก็ไม่ค่อยสะดวก แต่ก็พอมองเห็นกันได้เพราะอยู่ในป่า ถ้าเห็นว่าทิ้งระยะห่างมากชายหนุ่มก็ยืนรอ แม้จะเร่งฝีเท้าก็ตามไม่ทันชายหนุ่ม จนถึงทางแยก ชายหนุ่มบอกว่าทางนี้ไปบ้านป่าเมี่ยง ผมจะไปอีกทางหนึ่งแยกกันตรงนี้ จึงประเคนบาตร กลด คืนท่าน บอกว่าเดินข้ามห้วยก็ถึงบ้านป่าเมี่ยงแล้ว

    เมื่อแยกกันท่านก็นั่งพักสักครู่เพื่อจะเดินทางต่อไปนั่งมองดูชายหนุ่มที่ เดินแยกทางไป พอเห็นผ่านต้นไม้ใหญ่ก็ไม่เห็นโผล่ออกมาตามทางเดินนั้นอีกเลย ชายหนุ่มหายลับไปที่ต้นไม้ใหญ่ ด้วยความสงสัยจึงไปตรวจสอบดูรอยเท้าก็ไม่พบรอยเท้าเลยแม้แต่น้อย

    เมื่อถึงบ้านป่าเมี่ยง ท่านได้นอนพักหลับไปและโยมได้นำน้ำอ้อยมาถวายให้ฉันทำให้ร่างกายดีขึ้น หูที่เคยอื้อไม่ได้ยินก็ดีขึ้นโดยลำดับ


    ต่อ 17
     
  19. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    ตอนที่ ๑๘

    ผจญผีที่ซากเจดีย์เก่า

    [​IMG]
    หลวงปู่จามได้เดินธุดงค์ไปอำเภอฝางจังหวัดเชียงใหม่กับ พระอาจารย์หนู สุจิตโต และมีตาผ้าขาวไปด้วยหนึ่งคน ไปปักกลดบนหลังดอยที่มีลักษณะหลังปลาช่อน ด้านหนึ่งของภูป็นสันสูงเป็นหลังปลามีซากเจดีย์ปรักหักพังอยู่หนึ่งองค์ อีกด้านหนึ่งเป็นผาชัน หลวงปู่จามได้ปักกลดมุมหนึ่งขององค์เจดีย์ ส่วนตาผ้าขาวปักกลดอยู่อีกมุมหนึ่งตรงกันข้าม ส่วนพระอาจารย์หนู ปักกลดอยู่ด้านหน้าผา

    ชาวบ้านได้ทัดทานว่าอย่าปักกลดแถวนั้นเลยจะเกิดเภทภัยเพราะเคยมีพระและ ฆราวาสขึ้นไปถูกอาถรรพ์โดยเกิดภาพหลอนให้เห็นเป็นน้ำ จึงว่ายหนีน้ำแต่เป็นการว่ายอยู่บนบก อกแถกพื้นดินพื้นหินเกิดบาดแผลฟกช้ำดำเขียวอยู่ไม่ได้มาแล้ว แต่ตาผ้าขาวดันปากโป้งบอกว่าไม่กลัว หลวงปู่จามบอกว่าจะมาภาวนาหาทางพ้นทุกข์ไม่ต้องการทรัพย์สินใดๆ

    พอเริ่มพลบค่ำต่างก็เข้าอยู่ในกลดขณะที่กำลังสวดมนต์อยู่นั้น ตาผ้าขาวมองเห็นชายนุ่งผ้าโสร่งเดินไปมารอบกลด ภาวนาจิตก็ไม่สงบ ไม่ได้หลับนอนตลอดคืน พอรุ่งเช้าเผ่นหนีไป ส่วนหลวงปู่จาม ขณะสวดมนต์ได้ยินเสียงคล้ายค้างคาวบินไปมาอยู่รอบกลด ๓ ตัวและเข้ามาในกลด และกระโดดเกาะหลังรู้สึกคล้ายสำลีมาสัมผัสหนังท่านจึงเอามือปัด ก็กระโจนหนีได้ยินเสียงร้องคิกคักเป็นเสียงคล้ายผู้หญิง สมัยนั้นไม่มีไฟฉาย มีแต่เทียนไขจึงต้องภาวนาไม่ได้นอนหลับเลย พอมาคืนที่สองก็เกิดเหตุการณ์ลักษณะทำนองเดียวกัน ต้องนั่งภาวนาตลอดคืน ส่วนกลางวันต้องหลับพักเอาแรงไว้สู้กับอมนุษย์ที่มองไม่เห็นตัวต่อไป

    เริ่มค่ำในคืนที่สาม หลวงปู่จาม รำลึกถึงโอวาทของ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ขณะอยู่ที่วัดป่าห้วยน้ำริน อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ให้สวดบทโพชณังคปริตร จะช่วยระงับเหตุเภทภัยอาเพทต่างๆ หลวงปู่จามจึงสวดมนต์บทนี้แทนการภาวนาพุทโธ สวดโพชฌงค์ หลายๆ เที่ยวต่อเนื่อง ทำให้จิตสงบรวมลงเป็นสมาธิ สิ่งที่เคยรบกวนไม่สามารถเข้ามาใกล้ได้เลย จิตได้สงบเป็นสมาธินานพอสมควรก็บังเกิดความสว่างไสวมองเห็นได้ทั่วบริเวณ ปรากฏเห็นร่างเป็นหญิง ๓ คนที่เคยกระโดดเกาะหลัง หลวงปู่จามจึงส่งกระแสจิตขู่จะใช้กระสิณไฟ ร่างอมนุษย์นั้นทำท่ากลัวจนตัวสั่น บอกว่ามารบกวนเพราะได้รับคำสั่งจากเจ้านายผู้ชายนุ่งโสร่งเจ้าของทรัพย์ สมบัติที่เฝ้าอยู่เพราะห่วงสมบัติ ต่อมาก็เห็นภาพผู้ชายนั้นยืนอยู่ มือถือพระพุทธรูปทองคำ เทียน ๒ เล่ม อีกมือหนึ่งถือแก้วมณีบนเชิงรองลูกแก้วมณีเปล่งแสงประกายโตขนาดไข่ไก่ หลวงปู่จามจึงส่งกระแสจิตตวาดว่ามารบกวนทำไม อมนุษย์ตอบว่า กลัวท่านจะมาขุดเอาของมีค่าใต้เจดีย์ จึงติองหาทางให้ท่านหนีไป หลวงปู่จามจึงบอกว่า “ มาที่นี่ไม่หวังทรัพย์สินเงินทองใดๆ เรามาภาวนาเพื่อหาทางพ้นทุกข์ มารบกวนไม่กลัวบาปกรรมหรือจะตกนรกนะ”

    หลวงปู่จามถามว่า “ ในมือเจ้านั้นอะไร” เขาเลยว่า “สมณะไม่สำรวม” ท่านเลยขู่ไปทางกระแสจิตว่า “ เดี๋ยวจะใช้เตโชกสิณเผาให้เป็นจุณหรอก” พวกนั้นจึงกลัวลาน ร้องขอชีวิต ท่านจึงกล่าวสำทับว่า “ พวกเจ้าไม่รู้จักบุญกุศลหรือมาทำบาปทำกรรมอยู่ทำไมจะตกนรก” ต่อมาจึงได้ตกลงว่าต่างคนต่างอยู่ไม่รบกวนกันแต่สัญญานี้ไม่รวมถึงพระ อาจารย์หนูด้วย ต่อจากนั้นพระอาจารย์หนูก็ถูกเล่นงาน หลวงปู่จามถามพระอาจารย์หนูว่า “ อาจารย์หนูทำอะไรเสียงดัง ฟันดาบหรืออย่างไรเมื่อคืนนี้” พระอาจารย์หนูตอบว่า “ ฟันดาบอะไรพวกผีมันอาละวาดต่างหาก” พระอาจารย์อินทร์ถวาย สันตุสสโก ขณะที่ไปจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ที่วัดดอยแม่ปั๋ง จึงขอให้พระอาจารย์หนูได้ไขปริศนาเกี่ยวกับผีผู้หญิง ๓ ตนนั้น พระอาจารย์หนูบอกว่า “ มันไม่เพียงกระโดดเกาะหลังเท่านั้น มันเข้ามาจับหำ ( ของลับ ) อาจารย์ด้วย”


    ต่อ 18
     
  20. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    ตอนที่ ๑๙

    รู้แจ้งประจักษ์อนาคตอันไกลโพ้น

    [​IMG]
    หลวงปู่จาม ได้เดินธุดงค์ไปเชียงใหม่ ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดโรงธรรม อำเภอสันกำแพง อยู่กับ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ๒ พรรษา ในช่วงนั้นได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ท่านจึงอยู่ที่นี่เป็นหลักในบางโอกาสก็ออกไปหาวิเวกตามดอยต่างๆ

    ต่อมาได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่ ในช่วงนั้น ได้มีการทิ้งระเบิดในเมืองบ่อยครั้ง จึงเป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะปลอดภัย หลวงปู่สิมจึงชวนหลวงปู่จามออกไปอยู่ที่จอมทอง ระยะหนึ่ง

    การปฏิบัติธรรมเจริญจิตภาวนาที่จอมทองแห่งนี้ได้พบกับความแปลกใหม่ของจิตตัว เอง เพราะเป็นสถานที่สัปปายะเหมาะสมแก่การบำเพ็ญพากเพียร และบุคคลสัปปายะ เนื่องด้วยหลวงปู่สิมเคยเป็นสามเณรอยู่ด้วยกัน ขณะที่อยู่กับหลวงปู่มั่น จึงมีความเข้าใจสนิทสนมกันดี

    ในช่วงแรกของการภาวนา จิตไม่สงบแส่ส่ายออกนอกเกิดสัญญาปรุงแต่งลักษณะเดียวกันกับที่เคยปรากฏมา ก่อนแล้ว แม้ว่าจิตจะเคยสงบถึงขั้นอัปปนาสมาธิหลายครั้งแล้วก็ตามเกิดเสื่อมลงอย่าง ไม่น่าเชื่อ ทั้งๆที่ได้ใช้อุบายต่างๆ แก้ไขมาหลายครั้งต่อหลายหนแล้ว บางคืนจิตร้อนรนเสมือนว่ากิเลสไม่เบาบางเลยทั้งๆที่ปกติธรรมดาจะไม่ปรากฏแต่ พอเริ่มอธิฐานจิตเข้าที่ภาวนาจะเกิดอาการลักษณะนี้ขึ้นมา คิดทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา ทั้งๆที่บำเพ็ญพากเพียรอย่างจริงจัง แต่ผลที่ได้ดูเหมือนไม่คุ้มค่ารู้สึกว่าเกือบหมดกำลังใจ

    แต่เนื่องด้วยอุปนิสัยของท่านเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่นไม่ย่อท้อ ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ท่านระลึกถึงหลวงปู่มั่น ตลอดจนครูบาอาจารย์ที่เคยให้คำแนะนำสั่งสอนและปฏิปทาของท่านเหล่านั้นแล้ว จึงเกิดพลังใจตั้งสัจจะอธิฐานว่า “ ถ้าจิตจะสงบหรือไม่สงบก็ไม่ว่า จะเกิดหรือไม่เกิดอะไรก็ไม่ว่า เราไม่หวังอะไรอีกแล้วต่อไปนี้จะเอาเฉพาะ พุทโธ ให้แนบแน่นกับลมหายใจที่ตรงหัวใจของเรา จะไม่ยอมให้หนีไปไหน “

    ต่อจากนั้นอีกไม่นาน จิตค่อยๆ สงบละเอียดรวมลงเป็นสมาธิกายเบาจนไม่มีกายเหลือแต่จิตดวงเดียว เกิดนิมิตภาพเจดีย์ปรักหักพังมากมาย พระพุทธรูปเก่าแก่ปางต่างๆมากมาย ต้นโพธิ์ ต้นจิก และอื่นๆ เป็นภาพแล้วภาพเล่า ต่อจากนั้นก็เห็นภาพตนเอง ในอดีตชาติเกิดขึ้นมาจนนับไม่ไหว ท่านได้กำหนดรู้ในภาพนิมิตที่เกิดขึ้นมาโดยลำดับปัญญารู้แจ้งในแต่ละชาติใน อดีตทั้งกรรมดีกรรมชั่วคละเคล้าปะปนกันไป ตลอดจนบุญบารมีที่สร้างไว้แต่อดีตชาติ ทั้งขึ้นสูงและลงต่ำ สวรรค์ นรก มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน

    การพิจารณากลับไปกลับมาปรากฏความรู้แจ้งชัดขึ้นมาว่าการที่มุ่งทำความเพียร เพื่อละกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นเพื่อความหลุดพ้นทุกข์ในชาตินี้คงเป็นไปไม่ได้ เสียแล้ว เสมือนว่ามีอะไรสักสิ่งหนึ่งปิดกั้นไว้ ปัญญาไม่ทะลุแจ้ง ฉุกคิดถึงแนวทางปฏิบัติของพระโพธิสัตว์ที่ปรารถนาพุทธภูมิมาแล้ว ชะรอยเราจะเคยปรารถนา............มาแล้วกระมัง ท่านจึงถอนจิตออกจากสมาธิแล้วไปที่หน้าองค์พระพุทธรูป ห่มผ้าจีวรจรดไหล่เรียบร้อย กราบแล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า “ถ้าได้เคยปรารถนา......ที่บำเพ็ญมาเพื่อการเป็น.......ในภายภาคหน้าแล้วก็ ขอให้จิตสงบเยือกเย็นขอให้ภาพนิมิตเหล่านั้นหายไปและให้เกิดความรู้แจ้งเห็น ชัดเป็นที่ประจักษ์เถิด” จึงได้พักผ่อนหลับ

    ในคืนต่อมาการภาวนาได้ผลดี จิตสงบรวดเร็วจิตใจที่เคยร้อนมีแต่เยือกเย็น เบาสบาย จิตรวมลงถึงฐานอัปปนาสมาธิพักในสมาธิเพื่อให้เกิดพลังเต็มที่แล้วจิตถอนขึ้น มาเองอยู่ในขั้นอุปจารสมาธิ เกิดญาณทัศนะสามารถรู้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างที่ไม่เคยรู้เห็นมาก่อน หยั่งรู้เข้าใจภาพนิมิตที่เคยปรากฏมาแล้วอย่างปราศจากข้อสงสัย รู้แจ้งแล้วว่าชาตินี้ยังไม่สามารถบำเพ็ญพากเพียรให้สิ้นอาสวะกิเลสได้ ได้รู้เห็นจิตใจของตนในส่วนลึกอย่างละเอียดว่า ได้เคยอธิฐานตั้งความปรารถนา...........ไว้แล้วในอดีตชาติและได้รับการ ...............แล้ว ไม่สามารถถอนออกได้ จึงจะต้องบำเพ็ญบารมีเพิ่มขึ้นจะต้องเกิดตายอีกหลายชาติ จนกว่าบารมีจะเต็มและถึงระยะเวลาที่จะต้องลงมาอีก เพื่อการ................ ที่จะต้องมาโปรดสัตว์ที่โลกกำลังร้อนระอุซึ่งเป็นระยะเวลาอีกนานเท่าใดไม่ สามารถจะประมาณได้

    การสั่งสมอุปนิสัยบุญบารมีในแนวทางของความเป็น.......และได้รับการ ...........แล้วนั้นก็เป็นเรื่องเฉพาะตน การจะบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นใครก็เป็นเรื่องเฉพาะของการเป็นใครคนนั้น กรณีบำเพ็ญสาวกบารมีก็จะเป็นสาวก บำเพ็ญอัครสาวกบารมีก็จะเป็นอัครสาวก บำเพ็ญปัจเจกบารมีก็เป็นปัจเจกพุทธเจ้า ถ้าบำเพ็ญพุทธบารมีก็ต้องเป็นพระพุทธเจ้า

    ผู้เขียนได้ถามหลวงปู่ว่า เกิดตายอีกหลายชาติไม่เบื่อหรือ ท่านตอบว่า “เบื่อไม่ได้เพราะเป็นหน้าที่ต้องมาเกิดตายจนกว่าจะหมดภาระหน้าที่นั้น”

    ต่อ 19
     

แชร์หน้านี้

Loading...