ประสบการณ์พระพิฆเนศ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย sad boy, 12 ธันวาคม 2011.

  1. sad boy

    sad boy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2010
    โพสต์:
    230
    ค่าพลัง:
    +455
    ประสบการณ์พระพิฆเนศ

    <hr style="color:#FFFFFF; background-color:#FFFFFF" size="1"> [​IMG]

    "สิทธิวินายัก"
    องค์พระพิฆเนศที่มีชื่อเสียงที่สุดของอินเดีย
    เป็นองค์ประธานของเทวรูปพระพิฆเนศทุกองค์ในโลก




    พูดถึง พระพิฆเนศ เเล้วผมคิดว่าน้อยคน นักที่จะไม่รู้จัก

    ตามความเชื่อทางศาสนา พราหมณ์ฮินดู เเล้ว ท่าน เป็น บรมครู เเห่งศิลปะทั้งปวง
    ศาสนา

    เเละ ศาสนา พราหมณ์ฮินดู ยัง เชื่ออยู่ ว่า การจะทําพิธี บรวงสรวงอะไรก็ตาม
    อย่างเเรกที่ต้องทําก็จะต้อง ทําการอันเชิญ พระองค์ก่อนอันดับเเรก

    ไม่เช่นนั้นเเล้ว พิธี นั้นจะไม่สําเร๊จ

    กำเนิดพระพิฆเนศวร
    คัมภีร์ปราณะได้บันทึกไว้ช่วงหลังพุทธศตวรรษที่ 1 กล่าวถึงการกำเนิดพระพิฆเนศในฐานะเทพ และโอรสของพระแม่อุมาเทวีกับพระศิวะเทพ โดยแต่ละตำนานได้กล่าวไว้แตกต่างกัน ดังนี้
    ตำนานที่หนึ่ง ปราบอสูรและรากษส
    เมื่ออสูรและรากษส ทำการบวงสรวงพระศิวะเพื่อขอพรต่อพระองค์จนได้รับพร สมประสงค์ ต่อเมื่อได้ใจกลับรุกรานเหล่าเทวดาให้ได้รับความเดือดร้อนไปทั่ว จนความถึงพระอินทร์จึงจำต้องพาเหล่าเทวดาทั่งหลายไปขอเข้าเฝ้าพระศิวะเจ้า เพื่อขอให้ทรงหนหนทางหรือผู้ที่จะปราบเหล่าอสูรและรากษสใจพาลเหล่านั้น เมื่อได้ฟังคำร้องทุกข์จากเหล่าเทวดาแล้ว พระศิวะจึงทรงแบ่งกายเป็นบุรุษรูปงามซึ่งจะไปถือกำเนิดในครรภ์ของพระอุมา เทวี เมื่อถึงเวลากำเนิดแล้ว พระองค์จึงทรงให้พระนามว่าพระวิฆเนศวรเพื่อทำหน้าที่ปราบอสูรและรากษสทั้ง หลาย เมื่อเสร็จสิ้นการปราบอสูรแล้ว พระองค์จึงทรงมอบหมายให้พระวิฆเนศวรทรงเป็นผู้ขัดขวาง และป้องกันเหล่าผู้มีจิตใจพาลต่างๆ ที่จะมาขอพรจากพระศิวะเพื่อนำไปใช้ในทางที่ผิด รวมทึ้งเป็นผู้คัดสรรเหล่าเทวดาและมนุษย์ผู้ทำกรรมดีและช่วยเหลือให้ค้นพบ กับความสำเร็จ จากการขอพรต่อพระศิวะต่อไป
    ตำนานที่สอง พระปารวตี (พระแม่อุมาเทวี) ปั้นเหงื่อไหลให้เป็นพระบุตร
    เมื่อคราวที่พระปารวตีสรงน้ำอยู่ในอุทยาน พระองค์ทรงนำเหงื่อไคลของพระองค์มาปั้นเป็นหุ่นเทวบุตรรูปงาม และทรงใช้เวทย์มนต์เพื่อให้หุ่นนั้นมีชีวิตขึ้นมา จากนั้นจึงทรงรับสั่งให้เทวบุตรออกไปเฝ้ายังด้านหน้าประตูทางเข้าอุทยาน โดยได้รับสั่งว่าห้ามมิให้ผู้ใดเข้ามาโดยเด็ดขาด เหตุการณ์เป็นเช่นนี้มาโดยตลอดทุกครั้งที่พระแม่อุมาทรงสรงน้ำ ณ อุทยานแห่งนี้ จนกระทั่งเมื่อถึงวันกำหนดเสด็จกลับของพระศิวะ และเมื่อทั้งสองพระองค์พบกันในคราแรกต่างก็จะเข้าไปในอุทยาน อีกฝ่ายก็ปกป้องมิให้ผู้ใดย่างกายเข้าในอุทยานได้ด้วยเทวบุตรทรงได้รับคำ สั่งของพระอุมา ห้ามมิให้ผู้ใดล่วงละเมิดเข้าไปยังสถานที่สรงน้ำแห่งนี้ เมื่อเป็นดั่งนั้นพระศิวะจึงทรงสั่งให้บริวารเข้าต่อสู้และได้สังหารเทวบุตร (แต่ในบางคัมภีร์ก็ว่าพระศิวะทรงใช้ตรีศูลตัดเศียรเทวบุตรนั้น บ้างก็ว่าพระวิษณุทรงใช้จักรตัดเศียร)
    เมื่อพระปารวตีทรงพบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พระองค์ทรงโกรธและโมโหพระสวามียิ่ง จนถึงกับทำศึกใหญ่ระหว่างทั้งสองพระองค์ ร้อนถึงพระฤาษีนารอด (นารท) ต้องออกรับหน้าเจรจาศึกในครานี้ โดยพระปราวตีได้กล่าวให้พระศิวะผู้สวามีต้องหาหนทางให้เทวบุตรฟื้นชีวิตจึง จะยอมสงบศึกให้
    พระศิวะจึงทรงมีคำสั่งให้เทวดาผู้เป็นบริวารเดินทางไปทิศเหนือ และให้ตัดศรีษะของสิ่งมีชีวิตแรกที่พบเพื่อนำมาต่อให้กับเทวบุตรผู้เป็นโอรส ไม่นานนักเทวดาก็เดินทางกลับมาพร้อมกับนำเศียรช้าง (มีงาเดียว) เพื่อมาต่อให้พระโอรส ซึ่งต่อมาจึงทรงตั้งพระนามใหม่ คือ คชานนะ (มีหน้าเป็นช้าง) และเอกทันต (ผู้มีงาเดียว) เมื่อได้ชุบชีวิตฟื้นแล้วพระปราวตีจึงทรงเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ทั้งสองพระองค์ได้ฟังว่าทั้งสองพระองค์ทรงเป็นพระบิดาและพระโอรส ซึ่งฝ่ายโอรสได้ฟังดังนั้นถึงกลับหมอบกราบขออภัยโทษเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของตน พระศิวะทรงพอพระทัยยิ่งนัก ถึงกับประทานพรให้พระโอรสให้เป็นผู้มีอำนาจเหนือเหล่าภูตผีทั้งปวง และทรงแต่งตั้งให้เป็น คณปติ ผู้เป็นใหญ่ในที่สุด
    ตำนานที่สาม ขวางคนชั่วที่ต้องการล้างบาป ณ เทวาลัยโสมนาถ และเทวาลัยโสมีศวร
    ตำนานกล่าวถึงว่าพระปารวตีได้ทรงนำน้ำที่ใช้ในการสรงน้ำมาผสมเหงื่อไคล ปั้นเป็นเทวบุตรรูปเป็นมนุษย์แต่มีเศียรเป็นช้าง จากนั้นจึงนำน้ำจากพระคงคามาประพรมเพื่อให้มีชีวิตขึ้นมา โดยมีพระประสงค์ให้ไปขัดขวางคนชั่วที่จะไปบูชาศิวลึงค์ เพราะหวังที่จะล้างบาปตนเอง ณ เทวาลัยโสมนาถ และเทวาลัยโสมีศวร เพื่อไม่ให้ตนตกขุมนรก
    จากเรื่องเล่านี้ ทำให้ชาวฮินดูทั้งหลายนิยมนำรูปปั้นพระพิฆเนศมาจุ่มน้ำ ณ วัดคเนศจาตุรถี หรือบางครั้งก็จะนำเทวรูปเล็กๆ นำไปทิ้งตามแม่น้ำคงคาด้วยความเชื่อที่ว่า น้ำจากแม่น้ำคงคาจะทำให้พระคเณศมีชีวิตขึ้นมานั่นเอง
    ตำนานที่สี่ พระกฤษณะอวตาร
    เล่าไว้ว่าเมื่อครั้งพระปารวตียังไม่มีโอรส พระศิวะเทพผู้สวามีจึงให้คำแนะนำว่าให้จัดทำพิธีปันยากพรต (การบูชาพระวิษณุเทพในวันขึ้น 13 ค่ำ เดือนมาฆะ) โดยใช้เวลาในการทำพิธีตลอด 1 ปี ซึ่งหากทำโดยตลอดจนครบก็จะประสบความสำเร็จในการขอบุตร ซึ่งพระกฤษณะจะอวตารมาจุติ ต่อเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามคำของพระศิวะเทพแล้ว เหล่าเทพเทวดาทั้งหลายก็ได้มาร่วมอวยพรกับการถือกำเนิดของพระโอรสพระองค์นี้ รวมถึงเทพศนิ (พระเสาร์) ก็เข้ามาร่วมพิธีอวยพรด้วย ซึ่งพระศนิพระองค์นี้มีเรื่องกล่าวไว้ว่า เมื่อพระองค์ทรงเพ่งมองสิ่งใดมักจะเกิดไฟเผาผลาญสิ่งนั้นๆ จนหมดสิ้นไป
    ในคราวเข้าร่วมพิธีอวยพร พระศนิก็ทรงได้ชื่นชมพระโอรส จนเผลอตนเพ่งมองพระโอรสจนเศียรของพระกุมารหลุดกระเด็นไปยังโคโลก (ที่ประทับพระกฤษณะ) พระศิวะจึงมีบัญชาให้พระวิษณุออกตามหาเศียรพระโอรส แต่ก็ไม่ทรงพบต่อมาเมื่อผ่านแม่น้ำบุษปภัทร พระวิษณุทรงแลเห็นช้างนอนหันหัวไปทางทิศเหนือ จึงตัดเศียรช้างนั้นนำกลับมาต่อให้พระโอรส
    ตำนานที่ห้า พระศิวะ-พระปารวตีแปลงเป็นช้าง
    คราหนึ่งพระศิวะและพระปารวตีได้เสด็จไปยังภูเขาหิมาลัย ได้แลเห็นช้างกำลังสมสู่กัน จึงบังเกิดความใคร่ จากนั้นจึงทรงแปลงกายเป็นช้างและสมสู่กันจนเกิดพระโอรส นามพระพิฆเนศ
    ตำนานที่หก พระวิษณุเทพ เปล่งวาจากสิทธิ์ในพิธีโสกันต์
    จากที่พระศิวะและพระปารวตีทรงจัดพิธีโสกันต์ให้กับพระโอรสในพิธีฤกษ์คือ วันอังคารจึงได้แจ้งเชิญเทพทั้งหลายทั้งมวลมาเป็นสักขีพยาน แต่คงยังขาดเพียงองค์วิษณุเทพที่ทรงอยู่ระหว่างบรรทม จนเมื่อใกล้เวลาอันเป็นมงคล พระศิวะเทพจึงทรงให้พระอินทร์นำสังข์ไปเป่าเพื่อปลุกให้พระวิษณุเทพตื่นจากบรรทม เมื่อพระวิษณุเทพทรงตืนจากบรรทมด้วยเสียงดังของสังข์ จึงทำให้พระวิษณุเทพพลั่งโอษฐ์ออกไปว่า "ไอ้ลูกหัวขาดจะนอนให้สบายก็ไม่ได้" เพียงวาจานี้ถึงกลับทำให้เศียรของพระโอรสหายไปในทันที เหล่าเทพทั้งหลายเมื่อเห็นดังนี้แล้วจึงปรึกษากันว่า วันอังคารถือเป็นฤกษ์ไม่ดีขอห้ามทำพิธีการมงคลใดๆ ทั้งมวล กลับถึงเรื่อง พระเศียรของโอรสพระศิวะเทพจึงมีบัญชาให้พระวิษณุกรรมไปตัดหัวมนุษย์ที่เพิ่งสิ้นชีวิต ณ ทิศตะวันตก แล้วนำกลับมาโดยเร็ว แต่ในวันนั้นหาได้มีมนุษย์ผู้ใดสิ้นอายุขัยลง พระวิษณุกรรมแลเห็นเพียงช้างพลายงาเดียวเท่านั้นที่สิ้นชีวิตลง จึงตัดหัวช้างพลายตัวนั้นกลับมาถวายพระศิวะเทพ
    ในช่วงเวลาที่ศาสนาพุทธกำลังเติบโตในอินเดีย มีเรื่องเล่ากล่าวในตอนนี้ว่า เมื่อเทวดานำหัวช้างมาต่อแต่ก็ยังไม่สามารถทำให้พระโอรสฟื้นชีวิตได้ พระศิวะเทพจึงต้องให้พระวิษณุเทพไปทูลเชิญเสด็จพระศิริมานนท์อรหันต์ ให้โปรดเสด็จมาสวดพระคาถาชินบัญชรจนสำเร็จทำให้พระโอรสฟื้นชีวิต
    หรือบ้างก็กล่าวว่าในพิธีโสกัณต์ พระราหูได้เตือนพระศิวะแล้วว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น จึงควรทูลเชิญเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เข้าร่วมพิธีนี้ด้วย แต่พระศิวะเทพก็หารับฟังไม่ บ้างก็ว่าพระอังคารไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมพิธีจึงโกรธแค้น และได้ลอบตัดเศียรพระโอรสไปโยนทิ้งทะเล




    สําหรับผม เเล้ว ก็มีประสบการณ์ อยู่ หนึ่ง ครั้ง สมัยเล่น กีต้าร์ใหม่ใหม่

    ผมงง เเละ ไม่มีความเข้าใจเลย ในเรื่องกีต้าร์ เพราะว่าศึกษาด้วยตัวเองในutube

    ไม่ได้ไปเรียนที่ไหน หลังจากฝึกมาหลาย วัน ก็คิดว่าจะเลิกเล่นเเล้วทั้งทั้งที่ใจรัก

    ก็เลยลองกราบขอพรจากพระองค์ดู ว่าขอให้พระองค์โปรดประทาน ปัญญาทางด้านดนตรีเเก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ

    หลังจากนั้นตั้งใจลองอีกครั้ง ครั้งนี้ ความคิดกลับลื่นไหล เเละ เข้าใจอะไรขึ้นได้ง่ายง่าย

    ก็งงเหมือนกันครับ ใครมีประสกการณ์เเชร์บ้้้างนะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 ธันวาคม 2011
  2. อั๋นวัดสาม

    อั๋นวัดสาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    4,259
    ค่าพลัง:
    +9,023
    พระพิฆเนศไม่ค่อยมีครับ แต่ก็มีเหตุการหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ตอนเชิญองค์พิฆเนศของหลวงปู่ไข่ วัดลำนาว เข้าบ้าน แล้วฝันว่าองค์ท่านเข้ามายืนอยู่ในบ้านแล้วให้พรครับ ก็มีเพียงแค่นั้นครับ:cool:แต่ก็เคารพท่านตามสายครูศิลปครับ
     
  3. สมาธิ7689

    สมาธิ7689 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ส่วนตัวผม องค์พระพิฆเนศวรนั้นมอบ โชคลาภ (ตอนถ่ายพลุไซโก้ 80พรรษา)และ แคล้วคลาด(จากหนักเป็นเบา , หลายรอบเลยครับ)
     
  4. sad boy

    sad boy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2010
    โพสต์:
    230
    ค่าพลัง:
    +455
    จากที่อ่านมาน่ะครับจาก เวป สยามคเนศร เเท้ จริงเเล้ว พระไทยของ เราไม่สามารถ ทําพิธีเบิกเนตร ให้กับองค์เทพได้ครับ
     
  5. อั๋นวัดสาม

    อั๋นวัดสาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    4,259
    ค่าพลัง:
    +9,023
    ข้อมูลนี้น่าสนใจครับ มีรายละเอียดมั๊ยครับ:cool:
     
  6. sad boy

    sad boy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2010
    โพสต์:
    230
    ค่าพลัง:
    +455

    <table class="middle14" width="850" cellpadding="5" cellspacing="5"><tbody><tr valign="top" align="left"><td colspan="2" valign="middle" width="100%" align="center"><table width="850" cellpadding="5" cellspacing="5"><tbody><tr><td width="73%" align="left">วัสดุที่ใช้ผลิตองค์พระ ไม่ว่าจะเป็นองค์พระแบบเหรียญห้อยคอ แบบลอยองค์ หรือแบบตั้งโต๊ะ จะขนาดเล็กหรือใหญ่ก็ตาม ควรผลิตมาจากวัสดุธรรมชาติ เช่น แกะสลักจากไม้ หินทราย ปั้นจากดิน ผงสมุนไพร ว่าน เซรามิก แก้ว ตลอดจนโลหะต่างๆ เช่น สำริด ทองเหลือง ทองชมพู ดีบุก เงิน ทองคำ นวโลหะ ฯลฯ

    แต่ในกรณีที่องค์พระมีราคาแพง (เช่น ทองคำ เงิน อัญมณี ฯลฯ) หรือท่านที่มีทุนทรัพย์ไม่มากพอ ก็แนะนำให้เลือกบูชาองค์พระที่ผลิตจากวัสดุสังเคราะห์ (พลาสติก ไฟเบอร์กลาส เรซิ่น ฯลฯ) ก็ได้เช่นกัน

    มีข้อห้ามเด็ดขาดคือ ห้ามเลือกบูชาองค์พระที่ได้มาจากการเบียดเบียนสิ่งมีชีวิต เช่น พระพิฆเนศแบบงาช้างแกะสลัก (ซึ่งต้องตัดงาของช้างมาผลิต) กระดูกสัตว์บด หรือทำจากกระดูก-หนังวัว-เขี้ยว ฯลฯ หรือมวลสารที่ได้มาด้วยความมิชอบ แต่หากท่านได้มาแล้วด้วยการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือด้วยวิธีใดก็ตาม ก็ไม่ควรนำไปทิ้ง แต่ให้เก็บรักษาเอาไว้โดยไม่ห้อยคอ
    </td> </tr> </tbody></table></td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td colspan="2" valign="middle"><table width="850" bgcolor="#CCCCCC" cellpadding="10" cellspacing="15"> <tbody><tr> <td width="50%" bgcolor="#BCBCBC" height="178">ปลุกเสก-ไม่ปลุกเสก???

    อันที่จริงเเล้ว พระสงฆ์ นั้นไม่สามารถทําพิธีเบิกเนตรนะครับ พราหมณ์ ต้องผ่านการทําพิธีจาก พราหมณ์เท่านั้น

    การจะเลือกเช่าบูชาเทวรูปทั้งหมดในศาสนาพราหมณ์นั้น ผู้บูชาจะจัดหามาโดยจะเลือกที่ผ่านพิธีเบิกเนตร หรือไม่เบิกเนตรมาก็ได้ เนื่องจากในอินเดียนั้นก็ไม่มีข้อห้ามใดๆ เพียงแต่เพื่อความสบายใจแล้ว ผู้คนก็นิยมเลือกบูชาแต่องค์พระ ที่ผ่านพิธีกรรมปลุกเสกมาแล้วทั้งสิ้น

    ทั้งนี้ องค์พระ-วัตถุมงคล-เทวรูป ที่ผู้บูชาเลือกเช่ามานั้น จะผ่านการปลุกเสกเบิกเนตรมาหรือไม่ ความจริงเราก็ไม่สามารถแยกออกด้วยตาเปล่า หรือการสัมผัสด้วยมือ หรือแม้แต่สัมผัสด้วยจิตได้เลย
    </td> </tr> <tr> <td class="middledetails" height="376">ในบางครั้ง ผู้บูชาอาจจะถูกหลอกให้เช่าพระราคาแพง ที่อ้างว่าปลุกเสกมาแล้ว แต่ในความเป็นจริงไม่ได้ปลุกเสกมาเลยก็เป็นได้ ผู้เขียนจึงย้ำผู้ศรัทธาทุกท่านเสมอว่า ให้บูชาตามกำลังทรัพย์ของตน โดยเน้นไปที่การสวดมนต์และจัดถวายของจะดีกว่า

    แต่หากท่านต้องการความสบายใจ โดยจะบูชาองค์พระที่ผ่านพิธีกรรมเบิกเนตรปลุกเสกมาแล้ว ก็ควรดูจากพิธีกรรมที่มีความชัดเจน ประธานจัดสร้างและพระสงฆ์ที่ปลุกเสกควรมีความน่าเชื่อถือ (แท้ที่จริงต้องเป็นคณะพราหมณ์ มิใช่พระสงฆ์) พิธีกรรมควรมีวัตถุประสงค์ในการจัดสร้างที่แน่นอนและเปิดเผย หรือหากในพิธีมีคณะพราหมณ์มาทำหน้าที่อัญเชิญเทพก็จะสมบูรณ์กว่า

    สถานที่ปลุกเสก-เบิกเนตร ในประเทศไทย
    ผู้ที่ต้องการนำพระพิฆเนศไปปลุกเสกเอง ให้นำองค์พระของตน ไปเข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เช่น ในวันคเณศจตุรถี ถือเป็นวันสำคัญทางศาสนาฮินดู จะมีการทำพิธีที่วัดหลายๆแห่งทั่วประเทศ โดยเฉพาะที่วัดแขกสีลม เพียงท่านนำพระติดตัวไปด้วย เมื่อเข้าไปในพิธีก็นำองค์พระของท่าน ยกขึ้นจรดหน้าผาก หรือชูขึ้นเหนือหัว ตั้งจิตอธิษฐานขอให้บารมีของเทพมาสถิตอยู่ ณ องค์พระของท่าน เท่านี้ก็เสร็จสิ้นการเชิญบารมีองค์พระด้วยตนเอง

    หรือหากยังไม่มั่นใจ สามารถไปที่ 1.วัดเทพมณเฑียร 2.วัดวิษณุยานนาวา หรือ 3.เทวสถานโบสถ์พราหมณ์เสาชิงช้า แล้วเข้าไปขออนุญาตกับคณะพราหมณ์ข้างใน ว่าอยากให้เบิกเนตรองค์พระให้ ท่านก็จะได้องค์พระที่เบิกเนตรอย่างถูกต้อง โดยไม่ต้องไปเสียเงินเช่าพระที่ปลุกเสกมาในราคาแพง
    วิธีการเดินทางไป เวลาเปิดของวัดแต่ละแห่ง ก็ดูรายละเอียดได้ที่หน้าแรกของเว็บ siamganesh นะครับ ทุกครั้งที่นำพระไปเบิกเนตร

    ***เมื่อเบิกเนตรแล้วก็แนะนำให้บริจาคเงินให้วัดหรือเทวสถานด้วยด้วย เพียงเล็กน้อยก็ได้ตามกำลังศรัทธา เพื่อเป็นค่าบำรุงเทวสถาน สถานที่ที่ถูกต้องและพราหมณ์เมตตาทำให้ก็มีแค่ 3 แห่งเองครับ ต่างจังหวัดก็ไม่ค่อยมีด้วย ที่อื่นๆก็ไม่แนะนำ อาจโดนหลอกเสียเงินฟรีๆครับ</td> </tr> </tbody></table></td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td colspan="2" valign="middle" align="center"><table width="850" cellpadding="5" cellspacing="5"> <tbody><tr> <td valign="top" width="517" align="left" height="158">องค์พระที่แตกหัก-เสียหาย...ห้ามทิ้ง!! เทวรูป-องค์พระที่ท่านได้มานั้น หากเกิดการแตกหักเสียหาย
    เช่น พระกร (มือ) แตกหัก หรือศาสตราวุธหลุด-บิดเบี้ยว แม้แต่เศียร (หัว) ขาด ก็ไม่ควรนำไปทิ้ง หรือมอบให้ผู้อื่นด้วยความที่ตนเองไม่อยากได้แล้ว ควรซ่อมแซมก่อน เช่น ถ้าติดกาวได้ก็ควรทำ หรือถ้าซ่อมไม่เป็นก็ให้เก็บรักษาไว้ ถ้าเห็นแล้วเกิดความไม่สบายใจก็เก็บใส่กล่องแล้วเก็บไว้ที่สูงก็ได้
    </td> </tr> <tr bgcolor="#CCCCCC"> <td class="middledetails" height="343">การเก็บองค์พระที่เสียหายไว้นั้น ไม่ก่อให้เกิดอาบัติเภทภัยใดๆ ไม่ก่อให้เกิดโชคร้ายดังที่เข้าใจกัน ในทางกลับกัน ยังเป็นการแสดงตนให้พระท่านเห็นว่า แม้ว่าองค์พระจะอยู่ในสภาพใดก็ตาม ท่านก็ยังมีความศรัทธาและพร้อมจะเก็บรักษาไว้เสมือนสมบัติล้ำค่า

    องค์พระที่ตกแตกกระจัดกระจายหรือแม้จะถูกทำลายจนป่นเป็นผง ก็ให้รวบรวมบรรจุใส่กล่อง กระถาง หรือขวดโหล แล้วตั้งไว้ที่เดิมที่ท่านกราบไหว้บูชาตามปกติ หากท่านไม่สนิทใจที่จะตั้งไว้ที่เดิม ก็นำเก็บใส่ลิ้นชักหรือใส่กล่องไว้ที่สูงก็ได้ แต่ห้ามนำไปทิ้งไว้ตามวัดหรือศาลเจ้าที่ข้างทางที่ไม่มีผู้ดูแล (เหมือนที่คนไทยส่วนใหญ่นิยมทำกับพระพุทธรูปที่แตกหักเสียหาย แล้วนำไปทิ้งไว้ที่วัดหรือตามศาลเจ้า) หากจัดหาองค์ใหม่มาประดิษฐานได้ก็ดี แต่ถ้ายังหาไม่ได้ก็กราบไหว้องค์เดิมที่เสียหายไปแล้วก็ไม่เป็นการบาปแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นองค์เทวรูปขนาดใหญ่บนโต๊ะหมู่บูชา หรือพระเล็กๆสำหรับห้อยคอก็ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกัน สังเกตุได้จากพิพิธภัณฑ์ต่างๆ จะเก็บรักษาเทวรูปเก่าแก่ โดยไม่เลือกว่าสวยงามสมบูรณ์หรือชำรุดแตกหัก

    ในเทวสถาน โบสถ์พราหมณ์ จะเห็นองค์พระพิฆเนศองค์หนึ่ง ทำจากหินทราย องค์นี้ งวงหักไปทั้งยวง แต่คณะพราหมณ์ก็นำมาประดิษฐานไว้ให้ผู้ศรัทธาได้สักการะ เทวรูปที่เสียหายองค์นี้ถือเป็นสมบัติล้ำค่าของประเทศ ไม่สามารถประเมินราคาได้แม้ชำรุดจนเห็นได้ชัดเจน และยังคงความศักดิ์สิทธิ์ ประทานพรแก่ผู้ศรัทธามาแล้วนับไม่ถ้วน

    อีกแง่หนึ่ง แม้ท่านจะได้รับองค์พระหรือเทวรูปที่มีความงดงาม สร้างอย่างพิถีพิถัน ไม่มีตำหนิ ผ่านพิธีกรรมอันยิ่งใหญ่ เช่ามาในราคาแพงมาก หรือเป็นอัญมณีแก้วคริสตัล เพชร หยก มรกตมีค่าปานใด หากท่านไม่มีวินัยในการบูชา สวดมนต์บ้างไม่สวดบ้าง ถวายของตามมีตามเกิด ปล่อยองค์พระให้ฝุ่นจับหนาเตอะโดยไม่ทำความสะอาด อย่างนี้ก็ไม่เกิดมงคล การบูชาก็ล้มเหลว นอกจากพระพิฆเนศจะไม่ประทานพรแก่ท่านแล้ว อาจจะลงโทษตัวท่านเองก็เป็นได้</td> </tr> </tbody></table></td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td colspan="2" valign="middle"><table cellpadding="10"> <tbody><tr> <td valign="middle" width="280" align="center"> Ganesha_Panchamukha.jpg
    </td> <td width="760">การนำพระพิฆเนศไปด้วยเมื่อต้องเดินทาง หากท่านต้องเดินทางไปไหนไกลๆ ควรระลึกถึงพระพิฆเนศตลอดการเดินทาง แต่ถ้าจิตของท่านระลึกถึงพระพิฆเนศได้ไม่แน่วแน่และเต็มที่ ก็แนะนำให้อัญเชิญพระพิฆเนศแบบห้อยคอ หรือแบบลอยองค์เล็กๆ ติดตัวไปด้วย เพื่อจะได้สวดมนต์ต่อท่านได้สะดวก

    แต่ในกรณีที่ออกจากบ้านแล้วลืม ก็ไม่จำเป็นต้องมีครับ เพียงท่านสวดมนต์ระลึกถึงองค์พระพิฆเนศก็เพียงพอแล้ว ลองฝึกตั้งจิตอธิษฐานให้องค์ท่านคุ้มครอง สวดมนต์ให้ได้หลายๆบทเพื่อทำสมาธิ หรือนำกระดาษเปล่า มาเขียนบทสวดมนต์ที่ท่องเป็นประจำ (บทไหนก็ได้) แล้วพับเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ หรือสอดไว้ใต้หมอน สวดมนต์อธิษฐานระลึกถึงพระคุณและบารมีอันยิ่งใหญ่ของพระพิฆเนศ ทำสมาธิก่อนนอนทุกคืน บารมีของพระพิฆเนศก็จะแผ่มาถึงตัวท่าน ให้ความคุ้มครองปกป้องท่านจากภยันตรายได้เช่นกัน

    องค์เทวรูปในบ้าน ถ้าเป็นองค์ใหญ่มาก ไม่สามารถนำติดตัวไปได้ ก็เพียงแต่พกรูปพระพิฆเนศ ในกระเป๋า บางท่านก็นำโทรศัพท์มือถือถ่ายรูปองค์เทวรูปของตนเพื่อเก็บไว้ดู และระลึกถึงในยามที่อยู่นอกบ้านก็ให้ผลดีไม่แตกต่างกัน...สุดท้ายแล้ว หากท่านละเรื่องการพกพาวัตถุได้ ก็ไม่ต้องห้อยพระพิฆเนศเลยครับ ให้ปล่อยวางแล้วตั้งจิตสวดมนต์ถึงพระองค์โดยไม่ต้องพึ่งเทวรูป จะเข้าถึงพระองค์ได้ลึกซึ้งยิ่งกว่าใครทีเดียว
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>เครดิตเวป สยามคเนศร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 ธันวาคม 2011
  7. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,312
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,144
    ขอแชร์ประสบการด้วยคนครับ...อาจแตกต่างจากเจ้าของกระทู้ คงไม่ว่ากันนะครับ

    ผมทราบมาจากพระอาจารย์ของผมว่า

    องค์พระพิฆเนศ...ท่านเป็นมากกว่าเทพในฮินดูครับ
     
  8. คนกันเอง

    คนกันเอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    7,441
    ค่าพลัง:
    +8,979
    ช่วยต่อได้มั้ยครับ ขอบคุณครับ:cool:
     
  9. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,312
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,144
    ผมจะขอตอบไปทาง PM ให้ครับ

    ผมเคยถามท่านเรื่อง พระศิวะ พระแม่อุมา และอีกหลายๆองค์กับพระอาจารย์ของผมแต่มันยากที่จะนำมาเล่าในที่สาธารณะเพราะว่ามันไม่เหมือนกับที่คนทั่วๆไปที่เขารู้กันอยู่ในแบบปัจจุบัน เรื่องเดียวกันแม้แต่ครูบาอาจารย์สายเดียวกันก็ยังมีรายละเอียดบางอย่างไม่เหมือนกันเลย บางครั้งพอเราไปรับรู้มามากก็ยิ่งงง มากว่าอันไหนจริงอันไหนไม่จริง แต่พอมาตอนหลังผมก็จะเลือกจับเอาเฉพาะใจความสำคัญหลัก ๆ เท่านั้น เพราะตามลำพังด้วยสติปัญญาของผมเองก็ไม่มีทางรู้ได้เลยว่ารายละเอียดที่เราได้ฟังมานั้นอันไหนเป็นเรื่องจริงเว้นบางเรื่องที่เราสัมผัสมาด้วยตัวเอง

    แต่สิ่งที่ผมจะเล่าให้ฟังนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะเชื่อพระอาจารย์ของผมหมด ร้อยเปอร์เซนต์นะครับ บางเรื่องเมื่อฟังจากพระอาจารย์แล้วเราก็ยังต้องรับรู้ข้อมูลมาจากแหล่งอื่นๆอีกด้วย ซึ่งบางครั้งก็เป็นเรื่องจากประสบการณ์ของเราเอง เราถึงจะสามารถนำไปปะติดปะต่อให้เห็นเป็นเรื่องราวได้ แต่ก็ได้แค่เป็นแบบการตั้งสมมุติฐานว่าเรื่องที่เราสงสัยนั้นมีโอกาสเป็นไปได้มากน้อย แค่นั้น

    ผมขอเวลารื้อฟื้นความทรงจำหน่อยนึงครับ ถ้ารีบเล่าไปเดี๋ยวจะถ่ายทอดให้ไปแบบผิด ๆ มันจะไม่ดีต่อตัวผมเอง ซึ่งวันนี้คงไม่ทันแล้ว ผมต้องขอโทษด้วยครับ
     
  10. คนกันเอง

    คนกันเอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    7,441
    ค่าพลัง:
    +8,979

    ขอบคุณมากครับ :cool:
     
  11. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ที่จริงไม่ใช่บุคคลที่จะบูชาเทพได้ดี เพราะมาทางสายพระ
    แต่เคยนั่งสมาธิครั้งนึง เห็นพระพิฆเนศใส่ชฎาเป็นรูปข้าวหลามตัด
    ภาพค่อยๆซูมชัดเข้าไปที่ชฎา
    ทำให้คิดว่าท่านใส่ชฎาด้วยหรือ เลยมาลองค้นภาพในเน็ต
    เจอภาพที่มีแต่ชฎาสวยๆ(หรือมงกุฏสวยๆ) ที่ท่านใส่

    แต่ไม่กี่วัน ก็เจอพระพิฆเนศใส่ชฎารูปข้าวหลามตัดเรียบๆซึ่งสกัดมาจากหิน
    อาจเพราะสกัดมาจากหินน้ำโขง ทำให้จะแต่งชฎาแบบวิจิตรมากคงทำยาก
    เลยเป็นรูปข้าวหลามตัดแบบเรียบๆค่ะ
    ทั้งที่ท่านเป็นครูทางศิลปะที่เรานับถือ แต่ก็ไม่เคยสังเกตเรื่องชฎามาก่อน

    ส่วนเรื่องฝัน เคยฝันเห็นช้างสีดำตัวใหญ่มาก เดินผ่านหน้าบ้าน
    ฝันครั้งต่อๆมาก็เป็นช้างสีขาวมา หรือสีแดงมา .... ประมาณนี้ คือฝันนานมาพอควรแล้ว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2011
  12. sad boy

    sad boy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2010
    โพสต์:
    230
    ค่าพลัง:
    +455
    การบูชาพระพิฆเนศ ทวยเทพต่างๆ ควบคู่ไปกับพระพุทธเจ้า <table class="middle14" width="850" cellpadding="5" cellspacing="5"> <tbody><tr valign="top" align="left"> <td colspan="2" valign="middle" width="100%" align="center"><table width="850" cellpadding="5" cellspacing="5"> <tbody><tr> <td width="73%" align="left">ชาวไทยเรานิยมนับถือพระพุทธเจ้า ควบคู่ไปกับการบูชาเทพเจ้า-มหาเทพองค์อื่นๆ กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งก็ไม่มีข้อห้ามใดๆ เนื่องจากศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาฮินดู ต่างก็มีความเกี่ยวข้องกันทั้งในด้านประวัติศาสตร์ คำสอน และประเพณีวัฒนธรรม โดยเฉพาะกับวิถีชีวิตของคนไทย

    เช่น การนับถือ พระพุทธเจ้า พร้อมกับ เทพเจ้าของจีน (เจ้าแม่กวนอิม พระสังกัจจาย ฮก-ลก-ซิ่ว แปดเซียน จี้กง เทพเจ้าไฉ่สิ่งเอี๊ย ฯลฯ)

    หรือเป็นพุทธศาสนิกชนที่มีความสนใจบูชามหาเทพของ พราหมณ์-ฮินดู เพิ่มเติม เช่น พระพิฆเนศ พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ พระแม่อุมา พระแม่กาลี พระแม่สรัสวดี พระแม่ลักษมี ฯลฯ</td> </tr> </tbody></table></td> </tr> <tr valign="top" align="left"> <td colspan="2" valign="middle"><table width="850" bgcolor="#CCCCCC" cellpadding="5" cellspacing="5"> <tbody><tr> <td colspan="2" class="middledetails" width="100%" height="503">คำถาม - สามารถตั้งพระพิฆเนศหิ้งเดียวกับพระพุทธเจ้าได้หรือไม่?
    คำตอบ - ได้...แต่ควรหลีกเลี่ยง (ไม่บาป แต่ไม่เหมาะสม)

    ถ้าท่านมีความศรัทธาและต้องการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์จำนวนหลายๆ องค์พร้อมๆ กัน ก็ไม่ควรจะตั้งบนชั้น หิ้ง หรือโต๊ะหมู่บูชาชุดเดียวกัน ควรจะแยกออกเป็นชุดๆ อาจจะจัดเรียงโต๊ะหรือหิ้งให้เรียงกันจากซ้ายไปขวา หรือมีฉากกั้น จะเป็นการเหมาะสมกว่า

    การแยกโต๊ะสำหรับบูชาพระ ควรแบ่งตามนิกาย-ลัทธิ ให้ชัดเจน ดังต่อไปนี้

    หิ้งศาสนาพุทธ - ประดิษฐานพระพุทธรูป (ศาสนาพุทธ) เช่น พระพุทธเจ้า และพระอัครสาวก (พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระอานนท์)
    พระบรมสารีริกธาตุ พระสีวลี พระธาตุของพระพุทธสาวก พุทธเจดีย์จำลอง ตลอดจนท้าวจตุคามรามเทพ และพระเกจิอาจารย์ ฯลฯ

    หิ้งเทพเจ้าจีน - ประดิษฐานเทพเจ้าของจีนหรือญี่ปุ่น เช่น พระสังขจาย เจ้าแม่กวนอิม ฮก-ลก-ซิ่ว แปดเซียน จี้กง ไฉ่ซิงเอี้ย เจ้าพ่อกวนอู
    เห้งเจีย รูปเทพธิดา นางฟ้าจีน มังกร เต่า หงษ์ แมวนำโชค วัตถุมงคลแก้ฮวงจุ้ย ฮู้ ยันต์จีนต่างๆ ฯลฯ

    หิ้งศาสนาฮินดู - ประดิษฐานมหาเทพ-มหาเทวีของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เช่น พระพิฆเนศ พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ พระแม่ทั้ง 3
    พระราม พระหนุมาน พระกฤษณะ ฯลฯ

    หิ้งกษัตริย์ไทย - พระบรมฉายาลักษณ์กษัตริย์ของไทย เช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สมเด็จพระบรมราชินีนาถฯ เสด็จพ่อ ร.5 เสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พ่อขุนรามคำแหง พระนางสุพรรณกัลยา ฯลฯ
    (โต๊ะนี้สำหรับชาวไทย ส่วนใหญ่จะอนุโลมให้ตั้งอยู่รวมกับโต๊ะหมู่บูชาของพระพุทธเจ้าได้ โดยตั้งให้มีระดับชั้นต่ำกว่าพระพุทธเจ้า)

    หิ้งวัตถุมงคล - วัตถุมงคลอื่นๆ เช่น ผ้ายันต์ ตะกรุด นางกวัก กุมารทอง รักยม เหล็กไหล ชูชก เงาะป่า ปลัดขิก มีดหมอ เขี้ยวเสือ ควายธนู ฯลฯ
    (ชุดนี้ควรตั้งให้เหลื่อมต่ำลงกว่าทั้ง 4 หิ้งที่กล่าวมา)</td> </tr> </tbody></table></td> </tr> </tbody></table> ต้องอ่าน!! ความรู้เรื่องการสวดมนต์

    การสวดบูชาพระพิฆเนศนั้น เราสามารถสวดด้วยบทใดก็ย่อมได้ตามที่ได้ลงไว้ให้ศึกษาในส่วนต่างๆ ของเว็บไซต์สยามคเณศนี้
    ไม่ว่าจะเป็นบทสวดสั้นๆ เพียงบรรทัดเดียว (เช่น โอม ศรี คเณศายะนะมะฮา, โอม เอกทันตะ ยะนะมะฮา, โอม เหรัมภะ ยะนะมะฮา ฯลฯ)
    หรือจะเป็นบทสวดยาวๆ (ที่เริ่มต้นด้วย โองการพินทุ นาถังอุปปันนัง....หรือ โอมปารวตีปัตเย...)
    ก็สามารถทำให้องค์พระพิฆเนศท่านพึงพอใจได้เช่นเดียวกัน

    การบทสวดสั้นๆเพียงท่อนเดียว ก็เพื่อการสะดวกเมื่อต้องเร่งรีบหรือเดินทางไปไหนมาไหน แล้วเดินผ่านเทวาลัยหรือศาลพระพิฆเนศ
    เพียงยกมือไหว้แสดงความเคารพ แล้วกล่าวบทสวดเพียงท่อนเดียวก็เสร็จพิธี (หรือจะสวด 3 จบ 5 จบ 9 จบก็ตามสะดวก)

    สำหรับการสวดบทยาวๆ ก็เพื่อให้เกิดสมาธิในการตั้งจิต หรือใช้สวดเนื่องในโอกาสพิเศษหรือขอพร
    แต่ผู้ศรัทธาหลายท่านก็ใช้บทสวดแบบสั้นที่มีท่อนเดียว แต่สวดท่องซ้ำๆกัน เป็นร้อยเที่ยว พันเที่ยว
    เพื่อการนั่งสมาธิให้เข้าถึงญาณและบารมีแห่งองค์ท่าน

    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ไม่สำคัญว่าจะสวดบทไหน หรือสวดกี่เที่ยว เพราะบทสวดทุกบทนั้น ต่างก็มีความหมายที่ดี ล้วนแปลความได้ว่าเป็นการยกย่องพระพิฆเนศ
    และเป็นการสื่อให้องค์พระพิฆเนศได้รับรู้ถึงความศรัทธาของเราที่มีต่อองค์ท่าน

    ผลดีจะเกิดกับผู้สวดก็ต่อเมื่อปฏิบัติการสวดบูชาเป็นประจำ และสวดให้ได้ทุกวัน
    ...ก่อนตัดสินใจกระทำการสิ่งใด ก็ให้สวดมนต์ต่อองค์ท่านก่อน เพื่อขอเปิดทางไปสู่ความสำเร็จ
    ...หากพบทางตันแม้ได้ทดลองทุกวิถีทางแล้ว ก็ให้สวดบูชาต่อองค์ท่าน เพื่อขอประทานสติปัญญาและทางออก
    ...เมื่อเกิดความเครียด กระวนกระวาย สับสนในจิตใจ ก็สวดบูชาต่อองค์ท่านเพื่อขอประทานสมาธิ
    ...ก่อนออกเดินทางไกล ก่อนไปเจรจาต่อรอง ก่อนกระทำการใดๆ อันเป็นการเสี่ยง ฯลฯ
    ก็สวดบูชาต่อองค์ท่าน เพื่อขอให้บารมีองค์พระพิฆเนศได้คุ้มครองให้ปลอดภัยและประสบแต่โชคดี

    การสวดมนต์นั้น ไม่ว่าจะสวดบูชาต่อพระพุทธรูปในศาสนาพุทธ หรือสวดบูชาต่อเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูก็ตาม
    ไม่สำคัญว่าเราจะรู้ความหมายหรือไม่ เนื่องด้วยการสวดมนต์แม้เราไม่ทราบความหมาย ก็ยังก่อให้เกิดสมาธิและความศรัทธา
    และหากสวดอย่างทราบความหมาย ก็ก่อให้เกิดปัญญา สื่อถึงอค์เทพเจ้าได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น...

    ฉะนั้น อานิงสงค์จากการสวดบูชาภาษาบาลี-สันสกฤตและภาษาโบราณต่างๆ นั้นมีอยู่จริง!!
    ขอเพียงตั้งใจสวด ไม่วอกแวก สวดด้วยใจบริสุทธิ์ สวดให้เกิดสมาธิ ก็ย่อมเกิดผลดีแก่ทุกคน
     
  13. sad boy

    sad boy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2010
    โพสต์:
    230
    ค่าพลัง:
    +455
    สวัสดีพี่พี่ทุกท่านนะครับ ตัว ผมนี้ก็ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย เกี่ยวกับ พระองค์ท่านน่ะครับ ผม เเต่ ขอนําข้อมูลบ้างส่วนจากเวปสยามคเณศร มาเเผยเเพร่นะครับ

    ถ้าใครอยากศึกษา เกี่ยวกับพระองค์ท่านหรือ เทพ ฮินดูองค์อื่นอื่น ก็ ไปดูได้ที่เวป สยาม คเณศรกะได้ครับ:cool:
     
  14. sad boy

    sad boy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2010
    โพสต์:
    230
    ค่าพลัง:
    +455
    ความเข้าใจผิดๆเกี่ยวกับการบูชาพระพิฆเณศและทวยเทพ เรื่องธูปและกำยาน
    การจุด ธูป หรือ กำยาน มีวัตถุประสงค์เพียง 2 อย่างเท่านั้น คือ
    - ถวายกลิ่นหอมแก่เทพ
    - ให้ควันธูปหรือกำยาน เป็นสื่อนำคำอธิษฐานเราไปสู่เทพ
    มีความหมายเพียงเท่านี้นะครับ ไม่เกี่ยวว่าต้องใช้กี่ดอก? หรือต้องปักแบบไหน?
    คนไทยเข้าใจผิดกันเยอะครับ เกี่ยวกับการจุดธูป
    สมัยโบราณนานมา ไม่มีการกำหนดหรอกครับว่าต้องใช้กี่ดอก
    มีแต่คนรุ่นหลังเท่านั้นที่กำหนดกันว่าเทพองค์นี้ต้องจำนวนธูปเท่านี้..บาง คนบอกว่าต้องปัก..ต้องวาง..ต้องปักเป็นวงกลม...ต้องเรียง ฯลฯ ขอจงอย่าซีเรียสเรื่องพวกนี้ครับ และถ้าใช้ธูปเยอะไปก็ไม่ดีหรอกครับ เปลืองเงินและเปลืองทรัพยากรธรรมชาติอีกต่างหาก เป็นเรื่องตลกที่เราจะเห็นกันว่า วัด ศาล เทวาลัย แต่ละแห่ง จะบอกให้จุดจำนวนธูปไม่เท่ากัน ทั้งๆที่ข้างในก็ประดิษฐานเทพองค์เดียวกัน พระพิฆเนศ ก็พระพิฆเนศเดียวกันทั้งโลก ไม่ได้มีหลายพระพิฆเนศซะหน่อยครับ คนอินเดียมาเที่ยวเมืองไทยยังสงสัยกันเลยครับ ว่าที่คุณๆไหว้กันนั้น ไม่ใช่พระพิฆเนศองค์เดียวกันหรอกหรือ?? เหตุใดจึงต้องใช้ธูปแต่ละที่จำนวนไม่เท่ากัน?? ทำไมที่นี่ต้องเดินวนซ้าย แต่ศาลพระพิฆเนศอีกแห่งต้องเดินวนขวา?? ทำไมต้องใช้ธูปแดง?? ธูปขาวธรรมดาไม่ได้หรือ?? ทำไมพระพิฆเนศที่นี่ต้องเทียนขาว?? แต่ทำไมอีกที่ต้องเทียนแดง?? สุดท้าย..คนไทยเราก็โดนเยาะเย้ยจากต่างชาติ ว่าบูชาเทพให้เป็นเพียงวัตถุ ไม่ได้เข้าถึงหัวใจหลักแห่งการบูชาเทพเลย...
    เพราะชาวฮินดูในอินเดียจริงๆ แล้วจะไม่มีการกำหนดจำนวนธูป เทียน และกำยานมาตั้งแต่โบราณ ไม่มีการกำหนดสีสันและขนาดด้วยครับ เค้าหยิบออกจากซอง ได้มากี่ดอก ก็จุดเลยครับ ไม่มีการนับ เนื่องจากเหตุผลในการจุดธูปก็คือ 1.ถวายกลิ่นหอม และ 2.ให้ควันนำพาคำอธิษฐานไปถึงเทพเบื้องบนเท่านั้นเอง... ขอให้เข้าใจตามนี้นะครับ (แต่ถ้าให้สบายใจ ใช้ธูป 3, 5, 9 ดอกแบบคนไทยหรือคนจีนก็ได้ครับ) และขอยืนยันว่า สามารถใช้ได้ทั้ง ธูป และ กำยาน

    ถ้าอยู่ห้องเล็กๆ หรืออยู่ร่วมกับคนอื่น หรือไปค้างแรมที่อื่น การจุดธูปเทียนจะทำให้ควันธูปรบกวนคนรอบข้าง หรือเสี่ยงต่อไฟไหม้ ก็ไม่ต้องจุดเลยครับ โดนด่าซะเปล่าๆ
    <hr> เรื่องการถวายเครื่องเซ่นสังเวย

    การถวายของนั้น
    ถ้าถวายได้เป็นประจำ และฐานะเอื้ออำนวย ก็เป็นสิริมงคลครับ
    แต่จะเกิดคำถามบ่อยๆว่า...ถ้าไม่มีทุนทรัพย์มากพอ จะถวายแต่เพียงเล็กน้อยได้หรือไม่??
    คำตอบคือ ย่อมได้แน่นอนครับ!! เราไม่จำเป็นต้องถวายผลไม้ อาหาร ขนม เป็นประจำทุกวัน เพราะจะทำให้สิ้นเปลืองมากเกินไป ควรเลือกถวายให้ประหยัดดีกว่าครับ ถวายน้ำเปล่าเฉยๆก็ได้ จะเป็นส้มผลเดียว กล้วยผลเดียวก็ได้ครับ ถ้าถวายเป็นประจำ แต่ละครั้งก็ไม่ต้องใช้ของแพงครับ แค่ใช้ของใหม่ สะอาด หรืออยากจะจัดถวายให้สมบูรณ์ ก็จัดเพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้งก็พอแล้ว

    ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า ให้ถวายตามมีตามเกิด หรือขาดๆ หายๆ นะครับ
    การถวายแต่ละครั้งก็ควรตั้งใจ สรรหาของที่สด สะอาด ใหม่ มีคุณภาพ
    คนไทยเรายึดติดกับการถวายของ คือ ถวายเยอะๆ ได้บุญเยอะๆ แบบนี้ไม่ถูกครับ พระพิฆเนศและเหล่าทวยเทพ ไม่โปรดให้ผู้ศรัทธาทำการบูชาท่านแบบฟุ่มเฟือย เนื่องจากพระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ ท่านเหล่านี้ปฏิบัติตนเป็นโยคี หลุดพ้นไปสู่โมกษธรรมแล้ว ท่านไม่มีกิเลสต้องการรับประทานของเซ่นจากเราหรอกครับ การถวายเครื่องเซ่นสังเวย เช่น ผลไม้ น้ำ นม ขนม ดอกไม้ ธูป เทียน ฯลฯ ก็เพื่อแสดงให้พระองค์เห็นถึงความศรัทธาของเราที่มีต่อพระองค์ แสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีที่มีต่อพระองค์
    ฉะนั้นอย่าไปยึดติดกับกฏเกณฑ์มากครับ จะเครียดเปล่าๆ หากมีความศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยมและเคารพรักในเทพที่เราบูชาแล้ว เพียงยกมือไหว้ สวดมนต์ สรรเสริญท่านอย่างสม่ำเสมอ และขอพร พระองค์ท่านก็เมตตาเราแล้วครับ

    อาจถวายนม 1 กล่องเมื่อตื่นนอน พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วก็ "ไหว้ลานม" แล้วนำมาดื่มก่อนออกจากบ้านได้เลย
    หรือถ้าสะดวกตอนกลางวัน เช่น อยู่ที่ทำงาน หากมีพานเล็กๆสำหรับประดิษฐานเทวรูปอยู่บริเวณโต๊ะทำงานด้วย เมื่อพักกลางวันก็หาซื้อขนมนมเนย น้ำผลไม้มาถวาย เมื่อถวายเสร็จก็ "ไหว้ลาขนม" แล้วนำไปแบ่งเพื่อนร่วมงานรับประทานก็ได้บุญ
    หรืออยู่บ้าน หากต้องการประหยัด อยากถวายของสักอย่างหนึ่งเป็นประจำทุกๆวัน แต่ไม่อยากเสียเงินเยอะ แนะนำให้ซื้อน้ำเปล่าขวดใหญ่ๆ มาตั้งไว้ข้างๆหิ้ง แล้วเทใส่แก้วเล็กๆ แบ่งถวายทุกวัน เท่ากับว่าได้ถวายทุกวันด้วย และประหยัดด้วย
    หากนานๆถวายของสักครั้ง อาจจะเลือกถวายเฉพาะวันที่ตรงกับวันเกิดของตน หรือเฉพาะวันพระ หรือทุกวันพฤหัสบดี (ถือเป็นวันครูของไทย) หรือเฉพาะสิ้นเดือนเมื่อเงินเดือนออก หรือถวายเมื่อต้องการขอพรเป็นพิเศษ ควรเลือกของดีๆ มาถวาย ไม่ควรใช้ของใกล้เสีย ของใกล้หมดอายุ หรือผลไม้ช้ำๆไม่สวยงาม ยังไงสุดท้ายแล้วคนที่ทานก็คือเราเอง หากเอาของใกล้เสียมาถวาย เราเองก็ต้องเสี่ยงกับท้องเสียท้องร่วงเมื่อทานเข้าไป
    ขอพรจากทวยเทพแล้ว แม้จะสมหวังหรือไม่ก็ตาม อย่าลืมจัดหาผลไม้ ดอกไม้ ขนม ฯลฯ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายๆอย่างมาถวาย เป็นการแสดงความศรัทธาและภักดีต่อองค์เทพ การบูชาเทพอยู่ที่ใจศรัทธา ไม่ได้อยู่ที่ว่าไหว้แล้วจะสมหวังในคำขอหรือไม่ ขอจงบูชาไปเรื่อยๆ พระพิฆเนศและทวยเทพทุกพระองค์เมตตาต่อผู้ศรัทธาและประทานพรอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว หากมีจิตศรัทธาในเทพองค์ใด ท่านก็ลงมาคุ้มครองดูแลเราทันทีเพียงแต่เราอาจไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง การจะสมหวังในสิ่งที่ปรารถนาหรือไม่ ขึ้นอยู่กับบุญที่เราสั่งสมมาด้วย การถวายของแด่ท่านก็คือการสั่งสมบุญอย่างหนึ่ง ไหว้เทพอย่าเพิ่งท้อ สวดมนต์+ถวายของบูชา+ทำความดี+ไม่ทำบาป ทำได้อย่างนี้มหาเทพมหาเทวีทั้งหลายก็จะคุ้มครองเราตลอดไป
    <hr>
    ขอเล่าให้ฟังเพิ่มเติมว่าคณะพราหมณ์ และทีมงานเว็บสยามคเณศทุกคน จะสวดบูชาพระพิฆเนศอย่างลึกซึ้งและตลอดเวลาทีเดียวครับ หมายความว่า เวลาจะทานข้าวก็ระลึกถึงท่าน เวลาจะเดินทางไปไหน ขณะทำงาน ขณะพักผ่อน เวลาตื่น เวลานอน เวลาอาบน้ำ เราทุกคนก็ภาวนาถึงพระองค์ท่าน บอกเล่าเรื่องราวที่เราพบเจอในแต่ละวันให้ท่านฟัง และขอพรท่านอยู่บ่อยๆ แม้จะสัมฤทธิ์ผลหรือไม่ก็จะตอบแทนท่านด้วยการสวดมนต์และ ถวายนม ขนมต่างๆ (ขนมที่ถวายแล้วเราก็นำมาทาน ถือเป็นอาหารทิพย์อีกด้วย) และนำเงินที่เราหามาได้ แบ่งไปทำบุญตามวัดเพื่อมอบความเมตตาแก่ผู้อื่น เมื่อเราเดินทางไปไหน ถ้าพบเห็นขนม ผลไม้ ดูน่าทานน่าอร่อย เราก็จะซื้อติดไม้ติดมือมาถวายท่านที่หิ้งพระบ่อยๆ เพราะเราทุกคนบูชาและศรัทธาพระพิฆเนศเปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่ที่เราเคารพรัก ผู้ศรัทธาพระพิฆเนศจำนวนมาก ก็ไม่ได้มีเทวรูปขนาดใหญ่ไว้ในบ้าน ส่วนใหญ่ก็มีแต่พระพิฆเนศแบบห้อยคอแค่องค์เดียว แต่เขาเหล่านั้นก็ทำการสวดมนต์ ถวายของ และทำสมาธิอย่างสม่ำเสมอ พวกเขาก็ได้รับพรบันดาลจากพระองค์ ให้ประสบความสำเร็จและมีความสุขกันได้อย่างสมบูรณ์ครับ
    เราไม่ได้บูชาพระพิฆเนศด้วยความกลัว ความขลัง หรือด้วยความอยากขอพร ขอหวยเพียงอย่างเดียว และเราไม่ได้มองว่าท่านเป็น "เจ้าพ่อพิฆเนศ" หรือ "พ่อปู่" อะไรต่างๆแบบที่คนไทยหลายคนชอบเรียก (พระพิฆเนศไม่ได้เป็นคนแก่นะครับ !!) แต่ท่านเปรียบเสมือน "ญาติผู้ใหญ่" ท่านคือเทพผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่เราทุกคนสามารถเข้าถึงและใกล้ชิดได้ไม่ยากเลย (ไม่ใช่เจ้าพ่อ หรือเป็นผี) ฉะนั้น การสวดบูชาท่าน ก็ไม่ต้องเกรง ไม่ต้องกลัวนะครับ สวดทุกครั้งที่มีโอกาส แล้วท่านจะบันดาลพรและปกป้องเราในยามคับขันอย่างแน่นอน ซึ่งทีมงานเราทุกคนพิสูจน์มาแล้วครับ
    จะเห็นว่าแนวทางของเราต่างจากการไหว้พระแบบคน ไทยทั่วๆไปนะครับ เพราะเรายึดตามแนวทางของชาวฮินดูอย่างแท้จริง ชาวฮินดูในอินเดียแทบจะทุกคนบูชาเทพที่ตนนับถือด้วยความรักและซื่อสัตย์ ไม่ได้ไหว้ที่องค์วัตถุ ไม่ได้ไหว้เฉพาะเทวรูปขนาดใหญ่ๆ และชาวอินเดียจำนวนมากก็ไม่มีพระพิฆเนศห้อยคอ เพราะเค้าไม่ได้คิดว่าพระพิฆเนศเป็นเพียงแค่วัตถุมงคล ที่จะมานำติดตัวไว้เฉยๆ หรือเป็นเทพเจ้าที่เราจะไหว้เพื่อขอพรอย่างเดียว แต่เทพทุกพระองค์จะถูกระลึกอยู่ภายในจิตใจ ภายในจิตวิญญาณอยู่ตลอดเวลา และเชื่อว่าเทพทุกพระองค์คือผู้ประทานชีวิตอันมีค่าแก่เรา สำหรับเรื่ององค์เทวรูป และพิธีกรรมต่างๆก็เป็นเรื่องรองๆไปครับ ถ้าเราหมั่นบูชาท่านและทำความดีอย่างสม่ำเสมอ ท่านจะประทานพรให้เราประสบความสำเร็จ เดินไปสู่ทางที่ดีงาม เกิดสิริมงคลแก่ชีวิตและประสบแต่ความโชคดีครับ

    พวกเราผู้ศรัทธาไม่ไช่คนงมงาย
    แต่เรามีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเดียวกัน คือ องค์พระพิฆเนศ และองค์เทพต่างๆ ซึ่งก็ไม่ต่างจากพระแม่กวนอิม พระสีวลี หรือเทพเจ้า เทวดา ที่หลายๆคนนับถือเพิ่มเติมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้
    ทีมงานสยามคเณศหวังว่า ผู้อ่านทุกท่านจะพอเข้าใจและมีแนวทางการบูชาพระพิฆเนศและทวยเทพที่ชัดเจนขึ้นนะครับ สรุปแล้ว สิ่งที่ควรกระทำคือ การตั้งจิตให้แน่วแน่ในการสวดบูชา พร้อมทั้งให้ปรับจิตใจของเราให้มีความ รัก และ ศรัทธา พระพิฆเนศและทวยเทพอย่างเต็มเปี่ยม เคารพองค์ท่านไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ระลึกถึงองค์ท่านเสมอ มีความเมตตาต่อผู้อื่นและสำนึกดีอยู่ตลอดเวลา ถ้าทำได้อย่างนี้ พระองค์ท่านก็เมตตาเรา ประทานพรให้เราได้เต็มที่ครับ (วิถีแบบนี้ เป็นวิถีของชาวพราหมณ์-ฮินดูในอินเดียที่แท้จริง และสามารถใช้ได้กับการบูชาเทพทุกองค์)
    ขอให้หมั่นไหว้พระพิฆเนศทุกวัน ทุกคืนนะครับ สำหรับคำสอนขององค์เทพ เช่น คัมภีร์ภควัทคีตา จะแปลและนำมาเผยแพร่ในเว็บนี้ต่อไป และถ้าจะช่วยกันเผยแพร่พระพิฆเนศและเทพของพราหมณ์ ไปสู่ผู้อื่นในแนวทางที่ถูกต้อง ก็จะเป็นกุศลแก่ตัวเราเองครับ ตั้งแต่นี้ต่อไป หากผู้อ่านได้ไปพบเห็นใครที่กล่าววาจาดูถูก หรือลบหลู่ดูหมิ่น ทั้งดูถูกองค์เทพของพราหมณ์ และดูถูกพวกเราที่บูชาพระองค์ ก็ขอให้อธิบายให้เขาเหล่านั้นเกิดความเข้าใจว่า เทพของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูนั้นไม่ได้เลวร้าย ไม่ใช่เจ้าพ่อ ไม่ใช่ผี ไม่มาประทับทรงใคร คนบูชาอย่างเราๆก็ไม่ได้เลวร้ายหรือเป็นคนชั่ว คนที่ชั่วร้ายคือคนที่นำไปเผยแพร่และปฏิบัติไปในทางที่ไม่ถูกต้องมากกว่า... ขอให้ช่วยๆกันนะครับ เพื่อยกระดับการบูชาเทพในประเทศไทยให้ดียิ่งขึ้น...
     
  15. sad boy

    sad boy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2010
    โพสต์:
    230
    ค่าพลัง:
    +455
    คติการนับถือพระพิฆเนศ น่าจะเข้ามาถึงประเทศไทยตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 10 โดยเข้ามาทางภาคใต้ก่อน แต่เทวาลัยของพระพิฆเนศที่เก่าที่สุดในเมืองไทยปรากฏที่ แหล่งโบราณคดีเขาคา จ.นครศรีธรรมราช มีอายุในพุทธศตวรรษที่ 12 เทวรูปพระพิฆเนศที่เก่าที่สุดก็พบทางภาคใต้ของไทย และกำหนดอายุได้ในช่วงเวลานั้น เชื่อว่าบรรพชนในภาคใต้ของเราในยุคดังกล่าว คงจะนับถึอพระพิฆเนศตามแบบอินเดีย คือเป็นเทพผู้ขจัดอุปสรรค เทวรูปพระพิฆเนศ เริ่มแพร่หลายมากขึ้นเมื่อถึงสมัยที่เมืองไทยเรา ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากขอม เทวรูปเหล่านี้พบในปราสาทหินหลายแห่ง ทั้งที่เป็นเทวรูปลอยองค์สำหรับบูชาภายในปราสาท และอยู่บนทับหลังหรือหน้าบันในลักษณะภาพแกะสลักนูนสูง คติการนับถือพระพิฆเนศในเมืองไทยเราช่วงนี้ น่าจะเป็นแบบเขมร คือ เป็นเทพองค์สำคัญในไศวะนิกาย คือจะต้องมีประจำในเทวสถานของลัทธินี้ รวมทั้งการบูชาในฐานะเทพแห่งอุปสรรค และเทพแห่งการประพันธ์ด้วย เพราะเท่าที่พบเทวลักษณะก็เป็นแบบเขมร คือประทับนั่งชันพระชานุข้างหนึ่งแบบมหาราชลีลาสนะ หรือประทับนั่งขัดสมาธิราบ ถ้าประทับยืนก็ประทับยืนตรงๆ ไม่ใช่ยืนเอียงพระโสณีหรือตริภังค์แบบอินเดีย

    <table class="middledetails" width="850" cellpadding="5" cellspacing="5"> <tbody><tr> <td valign="top" width="69%" align="left"> อย่างไรก็ตาม เทวรูปเหล่านี้ล้วนแต่สร้างอย่างงดงามมาก และอาจจะมีทั้งที่สร้างด้วยหินและสำริด หรือแม้แต่ทองคำ แต่ที่ตกทอดมาถึงยุคของเราส่วนมากมีแต่เป็นหินเท่านั้น ในจำนวนนี้องค์ที่เด่น ๆ ได้แก่พระคเณศทรงเครื่องจาก ปราสาทหินเมืองต่ำ จ.บุรีรัมย์ ส่วนพระพิฆเนศจากปราสาทที่งามที่สุด อย่างเช่นปราสาทหินพนมรุ้งนั้น ปัจจุบันเราได้พบแต่ที่เป็นขนาดเล็ก
    เทวลักษณะที่ประทับยืนตรงของพระพิฆเณศแบบขอม ได้ต่อเนื่องมาถึงพระพิฆเนศแบบเชียงแสนและสุโขทัยด้วย ปัจจุบันเรามีตัวอย่างของเทวรูปพระพิฆเนศแบบเชียงแสน ที่ทำอย่างงดงามหลายองค์ แต่ที่งามกว่าคือแบบสุโขทัย ซึ่งเท่าที่รู้จักกันเป็นสมบัติของ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล และมีการถ่ายแบบทำเป็นเทวรูปสำหรับบูชาทั่วไปเมื่อ พ.ศ. 269 ซึ่งปัจจุบันก็หาดูยากแล้ว
    </td> </tr> </tbody></table> <table width="850" bgcolor="#CCCCCC" cellpadding="5" cellspacing="5"> <tbody><tr> <td class="middledetails" valign="middle" align="left" height="451"> ในสมัยสุโขทัย การนับถือพระพิฆเนศก็คงเป็นไปตามแบบทีได้อิทธิพลจากขอม แต่ก็น่าจะเสื่อมคลายลงมาก เพราะได้มีการให้ความสำคัญต่อศาสนาพุทธยิ่งกว่าศาสนาฮินดูที่นับถือกันมาแต่ เดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัย พระมหาธรรมราชาลิไท ที่ศาสนาพุทธเฟื่องฟูมาก
    ล่วงถึง สมัยกรุงศรีอยุธยา ศาสนาฮินดูได้กลับมามีความสำคัญในราชสำนักอีกครั้ง มีหลักฐานว่าได้มีการหล่อพระพิฆเนศ และ พระเทวกรรม คือพระพิฆเนศในฐานะที่เป็นครูช้างขึ้นมาหลายองค์ แต่หลักฐานที่ตกมาถึงเรามีแต่เทวรูปสำริดขนาดเล็กเพียงไม่กี่องค์ และเทวรูปสำริดขนาดใหญ่ที่เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ เสาชิงช้า รวมทั้งเทวรูปศิลาที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระราชวังจันทร์เกษม เป็นต้น พระพิฆเนศได้กลับมามีบทบาทสำคัญในราชสำนักกรุงศรีอยุธยาก็เพราะเกี่ยวเนื่องด้วยการคชกรรมนี่เอง และก็ยังคงมีความสำคัญตามคติที่ได้รับจากขอม คือเป็นเทพผู้ขจัดอุปสรรค เป็นเทพที่จะต้องบูชาก่อนอื่นในพิธีกรรมสำคัญ และเป็นเทพแห่งการประพันธ์คัมภีร์ต่าง ๆ
    ส่วนคติที่นับถือพระพิฆเนศวรเป็น เทพแห่งศิลปวิทยา อันเป็นการแทนที่คติเดิมของพระสรัสวดีที่มีมาแต่อินเดียนี้ ยังไม่ปรากฏว่ามีในเมืองไทย จนกระทั่งผ่านพ้นสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เพราะใน 4 รัชกาลแรกภาพเขียนพระพิฆเนศในพระอุโบสถ วัดสุทัศนเทพวราราม และ วัดบวรสถานสุทธาวาส หรือแม้แต่ภาพแกะสลักบนประตูไม้ที่ วัดเพลงวิปัสสนา บางกอกน้อย ยังเป็นเรื่องจากนารายณ์สิบปางอยู่ ภาพเหล่านี้คงมีที่มาจากตัวอย่างพระเทวรูปในตำราภาพเทวรูปและเทวดานพเคราะห์ ซึ่งเป็นแบบอย่างภาพลายเส้นรูปเทพเจ้าแทบทุกพระองค์ สำหรับช่างเขียนใช้เป็นต้นแบบ ตำราภาพดังกล่าวสร้างในรัชกาลที่ 3-4 และคงมีมาแล้วตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
    ที่เป็นหลักฐานทางเอกสาร โดยเฉพาะในพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ยังเป็นคติเก่าที่มีอยู่ในเรื่อนารายณ์สิบปางเช่นกัน และองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงนั้น โดยส่วนพระองค์ก็ดูจะทรงนับถือพระพิฆเนศอยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อเสด็จประพาสชวาก็ทรงนำพระพิฆเนศขนาดใหญ่ของที่นั่นมาด้วย (ปัจจุบันยังจัดแสดงอยู่ใน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร)

    </td> </tr> </tbody></table> <table width="850" cellpadding="5" cellspacing="5"><tbody><tr><td class="middledetails" valign="middle" width="65%" align="left">
    [​IMG]
    image from photobucket.com
    </td> <td class="middledetails" valign="middle" width="65%" align="left">นอกจากนี้แล้ว พระองค์ก็ทรงมีพระราชประวัติที่เกี่ยวข้องกับพระพิฆเณศวรอีก คือเมื่อครั้งยังทรงกรม ก็ได้พระนามกรมครั้งแรกเป็น กรมหมื่นพิฆเนศวรสุรสังกาศ และยังได้รับพระราชทานเทวรูปพระพิฆเนศ มาจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย แต่พระองค์ท่านก็มิได้ทรงนับถือพระพิฆเนศในด้านศิลปวิทยาแต่อย่างใด เพราในรัชกาลของพระองค์นั้น ยังมีพระสรัสวดีเป็นเทพแห่งศิลปวิทยาอยู่ ตามที่นับถือกันมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยานั่นเอง
    จึงต้องนับว่า การนับถือพระพิฆเนศเป็นเทพแห่งศิลปวิทยา เป็นการริเริ่มโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวอย่างแท้จริง เนื่องจากพระองค์ท่านโปรดการประพันธ์กวีนิพนธ์ และศิลปศาสตร์ จึงทรงยกย่องพระพิฆเนศเป็นพิเศษ โดยทรงนำคุณสมบัติที่เป็นของพระสุรัสวดีมาแต่เดิมมารวมเข้าเป็นของพระพิฆเนศ ด้วย พระองค์ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเทวาลัยพระพิฆเนศสำหรับกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเป็นครั้งแรก ณ พระราชวังสนามจันทร์ จ.นครปฐม และทรงมีพระราชนิพนธ์เรื่องเกี่ยวกับพระพิฆเนศไว้สำหรับการนาฏศิลป์โดยเฉพาะ เมื่อทรงตั้งวรรณคดีสโมสร ก็พระราชทานเทวรูปพระพิฆเนศเป็นตราประจำสถาบันนั้น เมื่อกรมศิลปากรเกิดขึ้นและรับตราดังกล่าวมาเป็นตราประจำกรมต่อมา พระพิฆเนศจึงกลายมาเป็นเทพแห่งศิลปวิทยาของไทยเราโดยสมบูรณ์
    </td></tr></tbody></table>
     
  16. windman

    windman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    994
    ค่าพลัง:
    +744

    ขอตอบทาง PM ด้วยคนครับ ขอบคุณครับ
     
  17. windman

    windman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    994
    ค่าพลัง:
    +744
    เคยมีหมอดูบอกผมว่า ตัวผมมีองค์พระพิฆเนศรคุ้มครองอยู่ (เพื่อนผมอีกคนเขามีท้าวเวสสุวรรณคุ้มครอง) ผมเลยเกิดศรัทธาเหมือนกัน ก็ไปหาวัตถุมงคลของท่านมาหลายอัน เคยสั่งจากเวบคเณษนี่แหละ แต่ไม่ได้คิดอะไร มีขนาดใหญ่พอควรถ้าจะมาห้อยคอ ก็เลยเลี่ยมแล้วตั้งหิ้งที่บ้าน (ผมไม่ได้ตั้งหิ้งแยกเลย ตั้งรวมกันติดกันเพราะเนื้อที่ห้องเล็ก ทำหิ้งหลายอันไม่ได้) และทุกวันนี้ที่ผมพกห้อยคอ (หรือไม่ห้อยแต่ก็พกติดตัว) ก็คือ เหรียญพระพิฆเนศร วิเศษลาภา ที่ทีมหมอลักษณ์ฯ จัดสร้าง ไม่ทราบพอไหวไหมครับ

    โอม ศรีคเณศายะ นะมะฮา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. windman

    windman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    994
    ค่าพลัง:
    +744
    ภาพไม่ขึ้นเอาใหม่ ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. sad boy

    sad boy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2010
    โพสต์:
    230
    ค่าพลัง:
    +455
    พระเครื่อง พระพิฆเนศ ถ้้าเรามีความศรัทธาต่อพระองค์ องค์พระผ่านพิธีเบิกเนตรอย่างถูกต้อง ไม่ใช้ พวกงาช้าง หรือซากสัตว์อ่ะไรต่างต่าง มาทํา

    ถือว่าเป็นอันใช้ได้ทั้งหมดครับ

    สําหรับ
    พระพิฆเนศ ไม่จําเป็นเลยที่ต้องเช่าในราคาที่สูงหลักหมื่นหลักเเสน
     
  20. windman

    windman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    994
    ค่าพลัง:
    +744
    ผมเองก็ไม่จำเป็นต้องเช่าหลักหมื่นหลักแสน เพราะว่าผมไม่มีปัญญาจะไป "จำเป็น" ขนาดน้านน ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...