ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ แปลว่า พระธรรมอันผู้บรรลุจะพึงรู้เฉพาะตัว

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย rawiphan, 31 มีนาคม 2008.

  1. rawiphan

    rawiphan บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    มูลเหตุจากเรื่อง เราคือบุคคลอันเป็นที่พึ่งยามต้องการจะมาถึงช้า

    http://palungjit.org/showthrea...110#post522110
    แก้ธรรมะที่ผิด ก็คือมารู้เรื่องที่พระพุทธเจ้าและสาวกซ่อนเพชรซ่อนพลอยเอาไว้ หลังพุทธปรินิพพาน <O:p</O:p
    ที่ถูกต้องที่สุด คือ ก็คือมารู้เรื่องที่พญามารซ่อนเพชรซ่อนพลอยเอาไว้ หลังพุทธปรินิพพาน

    มูลเหตุมาจาก หนังสืองานประชุมเพลิง หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต
    นักปฏิบัติวิปัสสนาในขณะที่เวทนาเกิดอย่าอยากให้หาย
    ยิ่งอยากให้หายมากเท่าไรก็ จะกลับเป็นเวทนาทวีคูณขึ้น
    จนนักปฏิบัติธรรม ทนไม่ได้และจะล้มเลิกไปในที่สุด

    จากบทความนี้นำมาสารต่อถือกำเนิดเป็น ธรรมะจักรวาลย้อนหนึ่ง

    จักรวาลย้อนหนึ่ง
    บรรพชิต และ ฆารวาสบุคคลใดยึดพระบริยัติ เป็นครูเป็นอาจารย์จะไม่มีบรรพชิตอุบาสกอุบาสิกาสำเร็จเป็นพระอรหันต์
    บรรพชิต อุบาสก อุบาสิกา ถือตนเป็นครูเป็นอาจารย์วางพระปริยัตให้เบาบางจนหมดจากสัญญาให้มากที่สุด บรรพชิต และ ฆารวาสก็จะบรรลุธรรม เป็นพระอรหันต์
    ออกบวชได้ 7 วัน ในวันสำคัญทางพระศาสนาเป็นวันมาฆบูชาวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ ที่วัดวังชมพู จังหวัดเพชรบูรณ์ ถือเอาหมายสำคัญในอดีต พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโตและหลวงปู่ขาว อนาลโย ได้เดินธุดงค์มาบำเพ็ญภาวนาที่ถ้ำพระฤาษีในจังหวัดเพชรบูรณ์ ทางวัดจึงได้นิมนต์พ่อแม่ครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่นมาเมตตาชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ มีหลวงตามหาบัววัดป่าบ้านตาดหลวงปู่ท่อนวัดป่าศรีอภัยวัน หลวงปู่บุญเพ็งวัดถ้ำกลองเพลหลวงปู่จันทาวัดป่าเขาน้อยหลวงปู่เหรียญวัดอรัญญบรรพตมาแสดงธรรมอบรมกรรมฐานตลอดถึงการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน รุ่งขึ้นวันใหม่ ภายในโบสถ์โดยมีหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ มาร่วมในการแสดงพระปาฎิโมกข์พระกฤษฎาได้แสดงอาบัติและระลึกถึงนิมิตก่อนรุ่งอรุณ ที่เทวดาเต็มท้องฟ้ามาร้องรำดีดสีตีเป่าเครื่องดนตรี โปรยข้าวตอกดอกไม้ทิพย์ แสดงความดีใจ ก็ยิ่งทำให้พระกฤษฎาสุขใจ นึกอยู่ในใจว่าเราควรทำจิตให้ผ่องใสและเจริญพระกรรมฐาน วิปัสสนาดูลมหายใจเข้าออกอันธรรมดา คนที่ยังไม่เคยมองดูจิตของตัวเอง ไม่เคยฝึกฝน ขัดเกลารูปลักษณ์ เปรียบเหมือนกลุ่มดวงดาวที่กระจายอยู่ในห้วงจักรวาลนักปฏิบัติธรรมจะต้องรวบรวม จิตที่แตกกระจายอยู่รอบ ๆ ตัวของเรา ให้รวมเป็นจิตหนึ่งพระกฤษฎาก็เป็นนักปฏิบัติธรรมตามทฤษฎีธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ด้วยการกำหนดรู้ดูเวทนาทางกายต่อเนื่องด้วยเวทนาในจิตพระกฤษฎาจับดูอาการที่เวทนาในกายแสดงตัวเดี๋ยวเจ็บเดี๋ยวปวดเดี๋ยวปวดแสบปวดร้อนและก็เฉย ๆ ผู้รู้พูดจาโต้ตอบในความคิดกับพระกฤษฎา ว่ากำหนดรู้ดูเวทนาในจิตยิ่งกำหนดรู้ทุกข์ก็ยิ่งแสดงตัวความเจ็บปวดยิ่งทวีคูณ เวทนาเพิ่มขึ้น ยิ่งอยากให้หายเจ็บหายปวดหายเมื่อยเท่าไรกับกายเป็นความร้อนที่ร้อนสูงขึ้น จนร่างที่นั่งพับเพียบของพระกฤษฎา สั่นสะท้านไปด้วยทุกข์ เวทนา ราวกับกระดูกจะแยกชีกออกจากเนื้อ กระดูกถูกบด ร่างนั่งอยู่ในกองไฟ พระกฤษฎายังคงนั่งลืมตาดูทุกข์หูฟังเสียงพระสงฆ์แสดงพระปาฏิโมกข์ ใกล้จะจบลง มารในจิตท้าทายด่าว่าพระรูปนี้ชั่งโง่น่าสงสารมานั่งดูสิ่งไม่มีสาระ มารในจิตพยายามอ้อนวอน ให้เลิกปฏิบัติวิปัสสนาและขู่ด้วยกริยาของคนถ่อยว่านั่งให้ตายนั่งทั้งวันท่านก็ไมทางตรัสรู้หรอก พระกฤษฎายอมหักไม่ยอมงอ ตามมารจิตกลับดุด่ามารว่าเจ้าซิตัวไร้สาระ และพระกฤษฎาก็รวบรวมความกล้าอธิษฐานเอาบารมีความเพียรแบบสู้ตาย หากแม้ว่าพระปาฏิโมกข์ยังไม่แสดงจบลง เราพระกฤษฎาจะไม่สับเปลี่ยนอริยาบถถ้าเปลี่ยนอริยบถขอให้ตกนรกหมกไหม้อย่าได้ผุดอย่าได้เกิดกันเลย 1 ช.ม. กว่า พระยังคงส่งกระแสจิตไปตามทำนองพระปาฏิโมกข์ ในอาการสำรวม แต่กำหนดรู้ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวตนบุคลเขาเราเกิดขึ้นอยู่ตั้งอยู่ดับไป อนุโลมกลับไปกลับมา อยู่ ๆ จิตที่แสดงตัวว่าร้อนรุ่มวุ่นวายก็สงบตัวลงความร้อนในจิตใจ กลับกลายเป็นความเย็นที่ลดลง น้ำตาไหลรินอาบแก้มพระกฤษฎา เกิดสงสารคนไปทั้งโลกอยากให้เค้ามาเห็นทางพ้นทุกข์อย่างเรา บริเวณปริมณฑลนั้นมีละอองธรรมที่ตกกระทบกายแต่ไม่เปียกและเกิดพลังจากภายนอก พลังมหาศาลดึงจิตให้หลุดออกจากร่างเปลือกสมมติ พ้นจากแรงดึงดูดของโลกเกิดรัศมีแสงทิพย์สีขาว สว่างทลุขึ้นไปทุกชั้นฟ้า ที่สุดถึงพรหม และพระนิพพาน จิตพูดว่าจิตวิมุตติแล้ว จิตวิมุตติแล้ว จิตวิมุตติแล้ว (จิตหลุดพ้นแล้ว จิตหลุดพ้นแล้ว จิตหลุดพ้นแล้ว ) รูปลักษณ์ภาพที่ปรากฏ ฉายอยู่ตรงหน้าพระกฤษฎา ก็คือพระพุทธะสมณะโคดมผู้ไปดีแล้วนั่งอยู่บนอาสนะดอกบัวทิพย์ พร้อมกับทรงยิ้ม และทรงตรัสธรรมจิตที่บริสุทธิ์ว่าพระพุทธเจ้า....พระธรรม...พระสงฆ์เกิดขึ้นมานานแล้ว...... อีกคุณบิดามารดา.....ถ้าใครให้เราสึกเรายอมตาย พระกฤษฎาเข้าใจในเวลานี้เองว่าในสมัยพุทธกาล พระอริยะเจ้า อยู่ด้วยกันมากรูปก็เท่ากับอยู่รูปเดียว อาคารสิ่งก่อสร้างไม่ปรากฏรูปลักษณ์ รูปเรารูปเค้าไม่มีตัวตนอยู่จริง ดวงจิตบริสุทธิ์ลอยเด่นกลางจักรวาล สมจริงที่ว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา เมื่อธรรมได้เกิดขึ้นแล้วกับพระกฤษฎาก็บรรลุพระโพธิญาณ มีศีลอันสงบแล้วมีพุทธคุณอันแผ่ซ่าน พบตัวตนที่แท้จริงในเปลือกร่างสมมติ นับแต่ออกก้าวเดินก็ล้มลุกมาตลอด ค้นคว้าหาแนวทางตรัสรู้ใหม่ เดิมทีเกิดในสกุลฆราวาสธรรมดาตระกูล กองทรง รู้เห็นเรื่องราวพระพุทธประวัติ เกิดเลื่อมใสคิดตามเรียนแบบพระองค์ ทิ้งการเรียน ทิ้งครอบครัวพ่อแม่ ออกบวชหวังสำเร็จโพธิญาณ เมื่อรู้แจ้งแล้วก็รู้ว่าประเพณีวัฒนธรรม ยุคหนึ่งสมัยหนึ่งก็ใช้ได้ในยุคนั้นจะนำมาใช้หรือลอกเลียนแบบทั้งหมดไม่เกิดประโยชน์เสียเวลาตายทิ้งเสียเปล่า คำว่าพระไม่ได้มีแค่ผู้นุ่งห่มผ้าเหลืองเท่านั้นสกุลชาวบ้านธรรมดา ก็เป็นพระได้ พระเป็นที่จิต จิตที่เป็นหนึ่งเท่านั้น ผ้าเหลืองป็นเพียงแค่สัญลักษณ์บ่งบอกว่าเป็นนักบวชลัทธินั้น คณะนี้ สาวกพระศาสดาองค์นี้เท่านั้น เรื่องของจิตของใจคนทุกคนต้องปฏิบัติเองเป็นเรื่องรีบด่วนก่อนที่จะตาย จะให้พระศาสดาทำแทนกันไม่ได้ เมื่อรู้ความจริงที่เปิดออกก็ไม่ต้องแบกร่างและโครงกระดูก หัวสมองก็โปร่งใส ร่างกายก็มีสภาพไร้น้ำหนัก ด้วยสัญญา ตัณหาอุปปทาน ก็เท่ากับได้ลาจากความโง่ ออกเที่ยวไป ในสกุลชาวบ้านธรรมดาไม่คิดสะสมพรรษา คำว่าตรัสรู้ก็คือการที่มารู้แจ้งเรื่องที่พ้นสมัยของ พระศาสดาในอดีตหรือพูดง่าย ๆ ก็คือมารู้เรื่องที่พญามารซ่อนเพชรซ่อนพลอยเอาไว้ หลังพุทธปรินิพพาน
    ได้รับความเมตา จากหลวงปู่หล้า เขมปตฺโต วัดบรรพตคีรี ( ภูจ้อก้อ ) อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
    แสดงธรรม ภูมิพระโสดาบัน-ภูมิพระอรหันต์ แล้วจากภูมิพระอรหันต์กลับมาภูมิพระโสดาบัน
    การกินเจ...............การกินเนื้อ สังขารเป็นผู้กิน พระนิพพานไม่ได้มากินด้วย ความว่างไม่สามารถกลืนกินความว่างได้ต้องเป็นสิ่งเดียวกันเท่านั้น
    หลังหลังข้าพเจ้าได้เปลี่ยนชื่อสกุลเป็น นาย รวิพันธุ์ กองทรงวิศิษฐ์

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 เมษายน 2008
  2. rawiphan

    rawiphan บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    หลักการนั่งสมาธิที่ถูกต้อง 100%

    หลักการนั่งสมาธิที่ถูกต้อง
    หลักการนั่งสมาธิที่ถูกต้องที่สุด ทำตัวสบายๆผ่อนคลายจากความตึงเกร็งของกล้ามเนื้อ ค่อยๆหลับตาเบาๆ วางจิตไว้ตรงฐานของจิตฐานของจิตอยู่ตรงที่เบาสบายที่สุด หายใจเข้าลึกๆ และก็ค่อยผ่อนออกช้าๆ และก็กำหนดคำภาวนา
    หายใจเข้าลึกๆว่าพุธ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆหายใจออกช้าๆว่าโธๆๆๆๆๆๆๆๆ จะเป็นที่เบาสบายๆไม่ตึงเกร็ง เมื่อลมละเอียดขึ้นก็จะมีแสงสว่างก่อตัวเป็นดวงกสิณ เกิดจากลมหยาบ ที่ละเอียดจนบางครั้งเราคิดเองว่าไม่ได้หายใจ เพราะลมละเอียดจนเกือบดับเสียหมด
    ที่นักปฏิบัติ ดึงลมหายใจเข้าหายใจออก ซักฟอกลมจนละเอียด กลายเป็นนิมิตโอภาสรังสี นักปฏิบัติหลายคนเพ่งนิมิตดวงกสิณเจริญเป็นบาทฐานอภิญญา ได้แต่ฤทธิ์ทางใจ ล้วนเดินทางไปพรหมโลก เพราะเข้าใจว่าดับรูปกาย เหลือแต่จิตที่ประภัสสร คืออนัตตาธรรม
    ซึ่งทางสายวิปัสสนาจาร ปรามาส สมาธิประเภทนี้เอาไว้รุนแรงมากๆ สมาธิหนักแน่นเหมือนแกนมะละกอ
    เพราะเป็นสมาธิที่หลบเวทนา ไม่ฉลาดในอุบายธรรมะ
    เวลากระทบ อารมณ์ภายนอก ก็ไม่ต่างอะไรกับนักภาวนาหัดใหม่ ยังปล่อยจิตปล่อยใจ เวลาดีก็ดีใจหาย ดีก็รักชั่วก็ชัง จิตแบบนี้ยังใช้ไม่ได้ อารมณ์ยังขึ้นๆลงๆ ไม่เป็นตัวปกติ

    ทางแก้ไข เมื่อนักปฏิบัติธรรมะ เจริญภาวนามาถึง มีอาการจิตลอยๆ เกิดความง่วงเหงาหาวนอน ในขณะเจริญสมณะธรรม ให้ถอนจิตขึ้นมาคิดนึกธรรมะแล้วน้อมเข้ามาในวงกายในกาย ที่ควรทำให้เกิดปัญญาในการถอนสังโยชน์
    ถ้ามีอาการสังขารไม่ไหว ก็ให้หลับในฌาน เมื่อพักเต็มที่แล้วก็ออกเดินทางปัญญา โดยกำหนดสิ่งที่เห็น เสียงที่ได้ยิน กลิ่นที่ได้กลิ่น สัมผัสที่ถูกต้อง แล้วน้อมเข้ามาดูในใจ ธรรมะที่เป็นกุศและอกุศลจะเกิดในจิตก็ให้ละที่จิตในจิต
    ก็จะเกิดภูมิวิปัสสนา เมื่อนั่งทับทุกข์นานๆเวทนาย่อมเกิด
    นักภาวนาที่ต้องการพ้นทุกข์ ห้ามหลบเวทนา ให้เจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นเครื่องเล่นเครื่องอยู่อบรมอินทรีย์ ๕ ให้แก่กล้า ก็จะเห็นกระแสปฏิจจสมุปบาท โซ่แห่งการเวียนว่ายตายเกิด เพราะละตัดขาดจากเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงดับ
    อุปมาอุปมัยได้กับ สายไฟฟ้าเส้นใหญ่ถูกตัดขาด
    ผลก็คือไฟฟ้าดับทั้งเมือง
    จิตที่ขาดออกจากรูปแล้ว ก็ไม่มีกระแสปฏิจจสมุปบาท อะไรส่งผ่านถึงดวงจิตดวงนี้ได้อีกต่อไป ก็อาศัยกาลเวลาในการขัดเกลาดวงจิตจน บริสุทธิ์หมดจดไร้รูปลักษณ์
    ทรงภูมิพระอรหันต์ขีณาสพ รอสังขารแตกดับ ก็ทิ้งขันธ์ไม่กลับมาเกิดอีกในสามโลก
     
  3. rawiphan

    rawiphan บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ทางเดินของพญามาร

    เอามาฝากทุกท่านให้พิจารณาว่าตนเองติดขัดตรงไหน จะได้แก้ไขได้ถูก
    <CENTER> </CENTER><CENTER>วิปัสสนูปกิเลส คือ อุปกิเลสแห่งวิปัสสนา ๑๐ อย่าง ซึ่งจะเกิดแก่ผู้ปฏิบัติผิดวิธีตลอดถึงเห็นธรรมะคาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ภาวะทั้งสิบนี้ เป็นสิ่งที่น่าชื้นชมอย่างยิ่ง และไม่เคยเกิดมี ไม่เคยประสบมาก่อน จึงชวนให้ผู้ปฏิบัติเข้าใจผิดว่า ตนได้บรรลุมรรคผลแล้ว ถ้าเข้าใจอย่างนั้น ก็เป็นอันคลาดออกนอกวิปัสสนาวิถี คือ พลาดทางวิปัสสนา แล้วก็จะทิ้งกรรมฐานเสีย นั่งชื้นชมอุปกิเลสของวิปัสสนาอยู่นั่นเอง วิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง คือ ให้รู้เท่าทันเมื่อมันเกิดขึ้น ก็ให้กำหนดพิจารณาด้วยปัญญา มีสติสัมปชัญญะก็แก้ไขได้
    วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ อย่าง
    ๑. โอภาส แสงสว่าง ซึ่งรู้สึกว่างามเจิดจ้า แผ่ซ่านไปสว่างไสว ไม่เคยมีมาก่อน
    ๒. ญาณ ความหยั่งรู้ที่เฉียบแหลมคมกล้า รู้สึกเหมือนว่า จะพิจารณาอะไรเป็นไม่มีติดขัด
    ๓. ปิติ ความเอิบอิ่มใจ รู้สึกเต็มเปี่ยมไปทั่วทั้งตัว
    ๔. ปัสสัทธิ ความสงบเย็น เกิดความรู้สึกว่า ทั้งกายและใจสงบสนิท เบานุ่มนวล คล่องแคล่ว แจ่มใสเหลือกิน ไม่มีความกระวนกระวาย ความกระด้าง หนัก ความไม่สบาย หรือ ความรำคาญ ขัดขืนใดๆเลย
    ๕. สุข มีความสุขที่ประณีต ละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง อย่างยิ่งแผ่ไปทั่วทั้งตัว
    ๖. อธิโมกข์ เกิดศรัทธาอย่างแรงกล้า ประกอบเข้ากับวิปัสสนา ทำให้จิตใจมีความผ่องใสอย่างเหลือเกิน
    ๗. ปัคคาหะ ความเพียรที่ประกอบกับวิปัสสนา ซึ้งพอเหมาะพอดี เดินเรียบ ไม่หย่อนไม่ตึง
    ๘. อุปัฏฐาน สติที่กำกับชัด มั่นคง ไม่สั่นไหว จะนึกถึงอะไร ก็รู้สึกว่า ระลึกได้คล่องแคล่ว ชัดเจน เหมือนดังแล่นไหลไปถึงหมด
    ๙. อุเบกขา ภาวะจิตที่ราบเรียบ เที่ยง เป็นกลางในสังขารทั้งปวง
    ๑๐. นิกันติ ความพอใจ ติดใจ ที่สร้างความอาลัยในวิปัสสนา มีอาการสงบสุขุม ซึ่งความจริงเป็นตัณหาที่ละเอียดแต่ผู้ปฏิบัติไม่สามารถจับได้ว่าเป็นกิเลส
    วิธีแก้ไขหากพบอาการทั้ง 10 อย่างนี้อย่าไปยินดียินร้ายกับมัน
    </CENTER><CENTER>ให้ทำความเข้าใจเพียงแค่สักแต่ว่า</CENTER><CENTER>ก็จะเปลี่ยนจาก วิปัสสนูปกิเลส เป็น วิปัสสนาญาณเป็นปัญญา โลกุตตระ</CENTER>
     
  4. rawiphan

    rawiphan บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    wimutti

    <TABLE class=MsoNormalTable style="WIDTH: 99%; mso-cellspacing: 0cm; mso-padding-alt: 0cm 0cm 0cm 0cm" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="99%" border=0><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: #f4f4f4; PADDING-RIGHT: 0cm; BORDER-TOP: #f4f4f4; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: #f4f4f4; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: #f4f4f4; BACKGROUND-COLOR: transparent"><TABLE class=MsoNormalTable style="WIDTH: 100%; mso-cellspacing: 0cm; mso-padding-alt: 0cm 0cm 0cm 0cm" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: #f4f4f4; PADDING-RIGHT: 0cm; BORDER-TOP: #f4f4f4; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: #f4f4f4; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: #f4f4f4; BACKGROUND-COLOR: transparent">


    ท่านก็คือพุทธะ

    วันหนึ่ง พระหลิงซินได้ไปเยี่ยมพระกุยจง พระหลิงซินถามพระกุยจงว่า
     
  5. rawiphan

    rawiphan บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    กรรมในกาลก่อนของพระพุทธองค์

    ในสมัยที่พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพราหมณ์ ชื่อโชติปาละ ได้เคยกล่าวกับพระพุทธเจ้านามว่ากัสสปว่า "การตรัสรู้เป็นของที่ไม่ได้มาโดยง่าย ต้องได้มาโดยยาก ท่านจะได้มาจากใต้ต้นโพธิ์ที่ไหนกัน" ด้วยผลกรรมนั้น พระสิทธัตถะโพธิสัตว์ต้องบำเพ็ญทุกขกิริยาอย่างทรมานถึง ๖ ปี
    ต่อจากนั้นจึงได้ตรัสรู้ไต้ต้นโพธิ์ ตถาคตมิได้ตรัสรู้โดยง่ายใต้ต้นโพธิ์ได้แสวงหา โดยทางผิดถึง ๖ ปี เพราะผลกรรมเก่าที่ทำไว้กับ
    พระพุทธเจ้ากัสสปนั้นเอง
     
  6. rawiphan

    rawiphan บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    "พระสังกัจจายน์ กับ พระศรีอารยเมตไตรย : ความเหมือนที่แตกต่าง"

    ขอเล่าความเกี่ยวกับที่มาของพระสังกระจายจีน(ซึ่งเป็นพระจีนอ้วนท้วน ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ดูร่าเริง) ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเป็นรูปเคารพ พระศรีอริยเมตตรัยมนุษิโพธิสัตว์ ซึ่งจะเสด็จจากสวรรค์ชั้นดุสิตลงมาจุติประกาศพระสัจจะธรรมพุทธศาสนาต่อจากพระศากยมุนี พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน นั่นเอง

    อีกประการหนึ่ง พระรูปเคารพนี้ก็เป็นที่แพร่หลายในบ้านเราอย่างมาก
    ไม่ว่าวัดพุทธหินนยานหรือวัดพุทธมหายาน แม้แต่ศาลเจ้าซึ่งเป็นส่วนของศาสนาเต๋าก็ไม่เว้น มักจะสร้างรูปเคารพของพระโพธิสัตว์องค์นี้ประดิษฐานเอาไว้เสมอ ชาวจีนถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งมีศรีสุข
    ความอุดมสมบูรณ์พูนสุขของครอบครัว ซึ่งเป็นไปตามรูปลักของท่าน
    บังเอินพระโพธิสัตว์องค์นี้ไปพ้องกับพระอสีติอรหันต์พระองค์หนึ่งในคัมภีร์ของฝ่ายเถรวาท คือพระพระสังกระจายนะเถรเจ้า มีคติสร้างพระรูปเคารพเป็นพระอ้วนท้วน นั่งสมาธิ ยิ้มแย้มแจ่มใส เหมือนกัน แต่ที่จริงแล้วเป็นคนละองค์กัน ในหมู่ชาวพุทธที่เชื่อถือในเรื่องนี้มีความสับสนกันมาก ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าองค์หนึ่งเป็นพระอรหันต์สาวก อีกองค์เป็นพระโพธิสัตว์ ว่าที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ลองมาดูประวัติของพระอรหันต์ฝ่ายหินยานเถรวาทพระองค์นี้กันก่อน
    เดิมทีท่านเป็นกุลบุตรในตระกูลเศรษฐี (บางคัมภีร์ก็ว่าเป็นกุลบุตรในสกุลพราหมณ์เป็นปุโรหิต มีฐานะดี ) บิดามารดามีทรัพย์สินมากในระดับอภิมหาเศรษฐี มีกิจการเชิงพาณิชย์หลายอย่าง แล้วท่านก็เป็นลูกโทนเพียงคนเดียวของครอบครัว เมื่อท่านศรัทธาเข้าบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาแล้ว ไม่นานนักบิดามารดาก็มาอ้อนวอนรบเร้าให้ลาสิกขาบทออกมาช่วยทำมาค้าขาย ช่วยดูแลทรัพย์สินและกิจการของครอบครัวที่มีอยู่มาก ท่านทนการรบเร้าไม่ได้ก็สึกขาบทมา แต่เมื่อสักระยะเวลาหนึ่ง ท่านเห็นเวลาผ่านไปได้ระยะหนึ่งแล้ว ทุกอย่างก็เรียบร้อยดีแล้ว ก็ออกบวชใหม่อีกครั้ง ต่อมาบิดามารดาก็มาอ้อนวอนรบเร้าให้ลาสิกขาบทอีก อ้างว่าสองตายายชราภาพมากแล้ว ไม่มีใครอยู่ปรนนิบัติดูแล และทรัพย์สินเงินทองมากมายก็ไม่รู้จะยกให้ใครได้ ท่านต้องบวชแล้วลาสิกขาบทอย่างนี้ วนเวียนอยู่ถึง 7 ครั้ง 7 คราจึงได้บรรลุพระอรหันต์ในชั้นที่สุด พระมหากัจจายนะเถรเจ้า ได้ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ที่มีพระสรีระงดงาม สง่าผ่าเผย หลายคัมภีร์พรรณนาความตรงกันว่า มีพระสรีระและพระจริยวัตรทุกกระเบียดนิ้ว คล้ายหรือเรียกว่าเหมือนก็น่าจะได้ กับพระพุทธเจ้ามากที่สุดในบรรดาพระอสีติอรหันต์ทั้ง 80 พระองค์
    แม้แต่พระอริยะเจ้าในสมัยเดียวกันซึ่งมีฌานต่ำกว่าท่าน มักจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพระบรมศาสดาเจ้า พุทธบริษัทสี่ก็ยิ่งไปกันใหญ่ เมื่อเห็นพระมหากัจจายนะเถรเจ้า ก็ให้เข้าใจว่าเป็นพระพุทธองค์ทุกครั้งไป บรรดาสาวกแก่แม่หม้ายที่มักมากในกิเลสกามคุณ ครั้งได้พบเห็นพระอรหันต์องค์นี้ ต่างก็เกิดกระสันสิเน่หาดุจดังมีใครเอาไม้ไปกวนตะกอนนอนก้นของน้ำที่ใสอยู่ ให้ขุ่นข้นขึ้นมาฉับพลัน ไม่สามารถระงับกามราคะไว้ได้ใคร่จะได้สัมผัสจับต้องพระวรกายในทุกๆที่ที่เสด็จโปรดสัตว์ บางก็สำเร็จความใคร่ในอารมณ์ด้วยจินตนาการว่าถ้าตนมีสามีงดงามดั้งนี้ ก็จะปรนนิบัติกามกิเลสกันสุดชีวิตทีเดียว

    เล่ากันว่า บ่อยครั้งมักมีหญิงสาวระงับอารมณ์ไว้ไม่ได้ โผเข้าสวมกอดพระวรกายของท่าน ด้วยเหตุผลที่พรรณนามาเป็นสังเขปนี้ ย่อมเป็นเหตุหรืออุปสรรคอย่างยิ่ง ต่อการรักษาพรหมจรรย์ของพระอรหันต์ และเป็นเหตุให้พระบารมีต้องด่างพร้อย ด้วยความเข้าใจผิดของพุทธบริษัท อันนำพระองค์ไปเสมอด้วยพระบรมศาสดาเจ้าโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งเป็นสิ่งไม่บังควรและไม่พึงกระทำอย่างยิ่ง

    คร้งหนึ่ง ท่านได้เข้าเฝ้าพระบรมศาสดาเจ้า แล้วทูลความทั้งหมดให้ทรงทราบ ก็แล้วพระมหากัจจายนะเถรเจ้าจึงทูลขอพระบรมพุทธานุญาต สำแดงฤทธิ์ด้วยอำนาจแห่งพระฌานของอรหันต์ ให้พระสรีระ (ร่างกาย กายเนื้อ ) แปรเปลี่ยนไป จากความงดงามอันน่าสิเน่หา ให้ร่างกายอ้วนพองเจ้าเนื้อขาดซึ่งความน่ารื่นรมย์เสียสิ้น จึงปรากฏพระสรีระดังที่เห็นกันในรูปเคารพปัจจุบัน

    ลองมาดูประวัติความเป็นมาของรูปเคารพพระสังกัจายน์จีน (พระศรีอริยเมตตรัยมานุษิโพธิสัตว์ ) กันบ้าง

    (คติที่ว่า พระมานุษิโพธิสัตว์พระองค์นี้จะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในกาลต่อไป) มาจากอินเดียด้วย มีการสร้างพระรูปเคารพบูชาองค์พระศรีอารยเมตตรัย ซึ่งนิยมสร้างเป็น รูปวีระบุรุษที่มีความสง่างามขนาดใหญ่ ในยุคนั้น ตามความเชื่อที่ว่าพระศรีอาริย์จะเป็นบุรุษร่างใหญ่ สง่างาม ขี่ม้าขาวเป็นพาหนะ เสด็จมาโปรดมนุษย์โลกให้พ้นจากยุคเข็ญ แผ่นดินจีนระสำระสายอย่างหนัก นั่นเป็นสมัยสามก๊กตอนปลาย (ภาคไต้ของจีนเป็นแดนปกครองของก๊กซุนกวน ซึ่งนับถือพระพุทธศาสนาเป็นหลัก) มีการรบพุ่งฆ่าฟันกันและขาดแคลนอาหารกันอย่างหนัก เรียกได้ว่าเข้าขั้นกลียุค ผู้คนล้มตายกันเป็นอันมาก แผ่นดินลุกเป็นไฟ ทั้งจากสงคราม ปล้นชิงวิ่งราว ขาดแคลนอาหารและอุปโภคบริโภค โรคภัยไขเจ็บ ภัยพิบัติตามธรรมชาติ ผู้คนล้มตายกันเป็นผักปลา ฯลฯ
    จนผู้คนจำนวนมากพากันเชื่อว่า นี่คือปรากฏการณ์สุดท้ายแห่งธรรม เป็นการสิ้นสุดโดยสิ้นเชิงของยุคพระศากยมุนี (ตามความในคัมภีร์ทั้งของหินยานและมหายาน) แล้วก็เฝ้ารอคอยการเสด็จมาอุบัติของพระศรีอริยเมตตรัย เพื่อชำระพระธรรมให้สะอาดหมดจดอีกวาระหนึ่ง เพื่อเปิดศักราชโลกใหม่นำความร่มเย็นเป็นสุข นำสันติภาพมาสู่มวลพุทธศาสนิกชนอีกครั้ง
    แต่กาลเวลาได้ผ่านพ้นมาเนิ่นนาน ความเชื่อในการเสด็จมาโปรดของพระศรีอาริยเมตตรัย ก็ค่อยๆเลือนลางลง และการเคารพบูชาวีรบุรุษผู้มีม้าขาวเป็นพาหนะที่ว่า ก็ค่อยๆผ่อนคลายลงตามกาลเวลา ในที่สุดรูปเคารพพระศรีอารยเมตตรัยก็ขาดหายไป

    ต่อมาในแผ่นดินรัชสมัยของราชวงค์ซ่ง
    รูปเคารพของพระศรีอาริยเมตตรัยมานุษิโพธิสัตว์ ก็กลับมาปรากฏเป็นที่นิยมอีกครั้ง แต่พระรูปเคารพที่พบในรัชสมัยนี้ ไม่เหมือนในยุคก่อน และได้กลายเป็นต้นแบบพระรูปเคารพของพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ มาจนถึงยุคปัจจุบัน นั่นคือพระอ้วนท้วนพุงพลุ้ย ยิ้มแย้มแจ่มใส ยิ้มปากกว้างอย่างอารมณ์ดี มือถือเส้นประคำพาดหัวเข่า ซึ่งยกชัน มือซ้ายพาดหน้าตัก บ้างก็ถือย่ามป่าน ฯลฯ

    เหตุที่พระรูปเคารพแปรเปลี่ยนไปอย่างนั้น เล่ากันว่ามีพระภิกษุมหายานรูปหนึ่งเป็นชาวเมืองเฉ้อเจียง รูปร่างเป็นคนอ้วนท้วน พุงพลุ้ย ยิ้มร่าเริงอารมณ์ดีอยู่เสมอ ท่านมีคุณสมบัติพิเศษหลายประการเช่น สามารถพยากรณ์ อากาศได้ราวตาเห็น ฝนจะตกแดดจะออก จะมีพายุหมุน จะมีพายุหิมะ น้ำจะท่วม แผ่นดินจะไหว ไฟจะไหม้ป่าหรืออื่นๆอีกหลายประการ ชนิดที่กรมอุตุนิยมวิทยาอเมริกาอายม้วนทีเดียวว่ากันว่ามีความแม่นยำร้อนเปอร์เซ็นต์ (การพยากรณ์อากาศถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งกับสังคมเกษตร โดยเฉพาะในสมัยยุคพันปีที่แล้ว ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือหรือวิทยาการเกี่ยวกับการตรวจวัดภูมิอากาศ ไม่สามารถหลีกเลี่ยงภัยพิบัติจากธรรมชาติประเภทนี้ได้เลย ทำให้ภัยจากธรรมชาติเป็นภัยที่ใหญ่หลวงเกินประมาณ การพยากรณ์อากาศที่แม่นยำจึงสำคัญมาก)

    มีผู้คนพบเห็นพระภิกษุท่านนี้ลงไปสรงน้ำในแม่น้ำ ว่าท่านมี 3 ตา โดยตาที่ 3 อยู่กลางแผ่นหลังนั่นเอง ส่วนย่ามป่านนั้นท่านมักจะหยิบขนมหรือของเล่นต่างๆแจกจ่ายให้เด็กๆ ซึ่งมักจะเดินตามท่านเป็นกลุ่มใหญ่อยู่เสมอ ว่ากันว่าแม้จะหยิบสักเท่าไรก็ไม่เคยหมดย่ามเสียที ทำนองเดียวกับกระเป๋าโดเรมอนการ์ตูนญี่ปุ่นยอดนิยมฮิตของช่อง 9 นั่นแหละครับ ผู้คนพากันเลื่อมใสและด้วยคติที่มีความเชื่อเรื่องพระศรีอาริย์มาก่อน จึงเชื่อว่าพระภิกษุรูปนี้คือ พระศรีอารยเมตรัยโพธิสัตว์ ต่างพากันสร้างรูปเคารพโดยยึดเอารูปลักษณ์พระภิกษุองค์นี้ เป็นต้นแบบ โดยนัยว่า ผู้ใดมีพระรูปเคารพไว้สักการะบูชาแล้ว ย่อมมีความมั่งมีทรัพย์สินเงินทอง ไม่มีวันหมด เช่นข้าวของในย่ามของท่าน อุดมสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะท่านอ้วนพุงพลุ้ย แปลว่ามีกินมีใช้ไม่ขาดปากขาดมือ เด็กๆชอบห้อมล้อมหน้าหลังเนืองๆ ก็หมายความว่ามีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ไม่ขาดเชื้อสายสืบวงศ์สกุล

    นั่นคือตำนานที่มาของพระรูปเคารพ พระศรีอาริยเมตตรัยมานุษิโพธิสัตว์ (หรือที่ชาวบ้านเข้าใจและเรียกว่าพระสังกัจจายน์จีนนั่นเหละครับ)

    สรุปจุดสังเกตุ:
    1. พระสังกัจจายน์มีขมวดผมแบบเม็ดพระศกบนศรีษะ ส่วนพระศรีอารยเมตไตรยไม่มีเม็ดพระศก (พระเศียรเกลี้ยง)
    2. พระสังกัจจายน์ห่มจีวรเฉียง มีสังฆาฏิพาดไหล่แบบเดียวกับพระพุทธรูปในนิกายเถรวาท ส่วนพระศรีอาริย์ครองจีวรเปิดด้านหน้า
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 เมษายน 2008
  7. rawiphan

    rawiphan บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ไพนรก 7 กอง

    ไฟนรกกองที่ 1 ได้แก่ พระพุทธเจ้า <?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    พระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ที่มีบุญบารมีมากที่สุดในโลก เป็นผู้เดียวในโลกที่มีสัพพัญญุตญาณ(ญาณที่รู้ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลโดยไม่มีที่สิ้นสุด) และพระพุทธเจ้ายังเป็นนายกของโลกตามตำแหน่งของกฎธรรมชาติที่ได้กำหนดไว้ ซึ่งผู้ใดก็ตามที่ได้ทำกุศลกรรมกับพระองค์ บุคคลนั้นจะต้องได้อานิสงฆ์ผลบุญมากที่สุดในโลก ซึ่งมนุษย์คนใดได้ไปทำทานด้วยแล้วจะได้ผลบุญมากเท่ากับทำทานแด่พระพุทธเจ้าเป็นไม่มี แต่หากผู้ใดทำอกุศลกรรมกับพระองค์ บุคคลนั้นจะต้องได้รับกรรมมากที่สุดในโลกที่เรียกว่า อนันตริยกรรม นั่นเอง
    ไฟนรกกองที่ 2 ได้แก่ พระธรรม <O:p></O:p>
    พระธรรม คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ได้ถ่ายทอดออกมาจากการรู้ซึ่งความจริงของกฎธรรมชาติทุกอย่าง
    ไม่มีผู้ใดในโลกที่จะฝืนหรือเปลี่ยนแปลงกฎธรรมชาติไปได้ แม่แต่พระพุทธเจ้า ผู้ใดก็ตามที่ไม่เชิ่อในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า บุคคลนั้นถือว่า เป็นผู้มีความเห็นผิด (มิจฉาทิฎฐิ) ซึ่งจะทำให้คนผู้นั้นได้รับความเดือดร้อนในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะการเชื่อว่าเกิดครั้งเดียว ตายครั้งเดียว ชาติหน้าไม่มี ตายแล้วสูญ ผู้ที่เชื่อเช่นนี้ เมื่อตายไปต้องไปเกิดในอบายภูมิอย่างแน่นอน หากผู้นั้นยังสอนให้ผู้อื่นเชื่อตามนี้ด้วยอีกแล้ว เมื่อตายไปต้องตรงไปเกิดที่โลกันต์นรกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
    ไฟนรกกองที่ 3 ได้แก่ พระสงฆ์ <O:p></O:p>
    พระสงฆ์ คือ พระอริยสงฆ์ที่ตรัสรู้ธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าในขั้นใดขั้นหนึ่งแล้ว ได้แก่ พระโสบัน พระสาทาคามี พระอนาคามี หรือขั้นสูงสุด คือ พระอรหันต์ เมื่อเราได้ทำบุญกับพระอริยสงฆ์เราก็จะได้บุญมากมายมหาศาลนับไม่ถ้วน แต่ถ้าใครก็ตามไปล่วงเกินทำบาปกับท่าน ก็จะต้องได้รับผลกรรมอย่างรุนแรง และมหาศาลเช่นเดียวกัน
    ไฟนรกกองที่ 4 ได้แก่ บิดามารดาผู้ให้กำเนิด <O:p></O:p>
    พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า พ่อแม่นั้นคือ พระอรหันต์ของลูก ผู้ใดก็ตามที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ ถือว่าผู้นั้นมีบุญวาสนาอย่างมาก เพราะเราสามารถทำบุญกับพ่อแม่ได้และได้รับผลบุญเทียบเท่ากับพระอรหันต์เช่นกัน เพียงแต่ว่าอาจจะได้ผลบุญช้ากว่าพระอรหันต์ซักหน่อย สาเหตุที่ได้บุญมากก็เพราะว่าพ่อแม่อยู่ในฐานะผู้มีพระคุณอย่างมากมายมหาศาลต่อลูกตามกฎของธรรมชาติ แม้พ่อแม่จะให้แต่กำเนิดเท่านั้นแต่ไม่เลี้ยงดูเลยก็ตาม ก็ยังถือว่าบุญคุณของพ่อแม่นั้นหา ที่สุดมิได้ ถ้าใครก็ตามที่ล่วงเกินท่านด้วยกาย วาจา ใจ ผู้นั้นก็ย่อมจะได้รับกรรมอย่างมหาศาลเทียบเท่ากับล่วงเกินพระอรหันต์เลยทีเดียว
    ไฟนรกกองที่ 5 ได้แก่ ครูบาอาจารย์ <O:p></O:p>
    ครูบาอาจารย์ เป็นผู้ที่มีความสำคัญมากตามกฎของธรรมชาติ โดยเฉพาะอาจารย์ผู้ที่สั่งสอน หรือ เขียนตำราให้เราอ่านแล้วทำให้เรารู้ธรรมะ ถ้าผู้ใดเกิดมาแล้วไม่รู้ธรรมะอะไรเลย ผู้นั้นย่อมใช้ชีวิตอย่างผิดๆ ถูกๆ ไม่รู้ว่าอะไรเป็นบุญอะไรเป็นบาปและทำทุกอย่างตามความคิดของตัวเองว่าถูก เมื่อตายไปเขาย่อมไปเกิดในอบายภูมิซึ่งมีนรกเป็นที่ต่ำที่สุด แต่เมื่อใดก็ตามที่เขามีบุญวาสนาได้พบอาจารย์ที่มีความรู้ในธรรมะตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง เขาผู้นั้นก็เสมือนว่าได้เกิดใหม่ ทั้งที่ยังไม่ตาย เขาจะรู้ว่า การกระทำใดเป็นบุญและการกระทำใดเป็นบาป เขาจะสามารถตั้งมั่นอยู่ในศีลในธรรมตลอดชีวิต ทำให้ได้รับความสุขความเจริญทั้งในชาตินี้ เมื่อตายไปก็จะมีโลกสวรรค์เป็นที่รองรับ ทั้งนี้ ก็ด้วยพระคุณของครูบาอาจารย์ที่ฉุดเขาพ้นจากนรกนั่นเอง และการที่เราเคารพครูบาอาจารย์จะทำให้เราเป็นผู้มีความสำเร็จเร็วและเป็นผู้มีปัญญามากอีกด้วย ดูอย่างเช่าน พระสาริบุตรเมื่อได้ฟังธรรมจากพระอัสสชิ ก็เกิดความศรัทธาในพระพุทธศาสนา พระสารีบุตรรู้บุญคุณของพระอัสสชิที่ทำให้ตนได้รู้จักธรรมะที่แท้จริงของพระพุทธศาสนา จึงยกย่องนับถือไว้เป็นอาจารย์ เมื่อพระสารีบุตรอยู่ที่ใดก็ตามก่อนจะจำวัด (นอน) จะต้องหันศรีษะไปทางที่พระอัสสชิอยู่ แล้วตั้งจิตอธิฐาน ถวายสิ่งที่อยู่เหนือเศียรเกล้าของตนเพื่อบูชาพระอาจารย์ จึงไม่น่าแปลกเลยที่ท่านเป็นพระอัครสาวก ผู้เป็นเลิศด้านผู้มีปัญญามาก
    <O:p></O:p>
    ไฟนรกกองที่ 6 ได้แก่ สมณะชีพราหมณ์ <O:p></O:p>
    สมณะหรือพระที่บวชในพระพุทธศาสนา โดยปฎิบัติตามพระวินัย คือ รักษาศีล 227 ข้อ เรียกว่า สมมติสงฆ์ หลายคนเข้าใจว่า สมมติสงฆ์ ก็คือ พระสงฆ์ แท้จริงแล้ว พระสงฆ์หมายถึง พระอริยะสงฆ์ที่บรรลุธรรมตั้งแต่พระโสดาบรรณจนถึงพระอรหันต์เท่านั้น ส่วนพระทั่วไปที่ยังไม่ได้บรรลุธรรมนั้นเรียกว่า สมมติสงฆ์ แม้จะเป็นสมมติสงฆ์แต่ถ้ารักษาศีลดี และปฎิบัติธรรมเพื่อความเป็นไปตามทางแห่งพระอรหันต์แล้ว ถ้าเราไปทำบุญกับท่าน เราก็จะได้บุญมากมายจนนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว แต่ถ้าเราไปทำบาปกับท่าน เราก็จะได้รับผลบาปนับไม่ถ้วนเช่นกัน หลายคนที่ไม่เข้าใจเห็นพระบางรูปกำลังทำชั่วอยู่ เช่น เดินช๊อปปิ้ง ซื้อซีดีโป๊ ก็อดไม่ได้ที่จะตำหนิ ในใจ หรือต่อว่าด่าทอต่างๆ นานา ซึ่งการไปตำหนิติเตียนหรือด่าว่าพระสมณะ ชี พราหมณ์ นั้น ถือเป็นบาปที่ต้องได้รับกรรม เพราะเรามีสิทธิ์ที่จะทำบุญกับพระรูปใดก็ได้ แต่เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปด่าว่าใคร เพราะเป็นการไปเบียดเบียนผู้อื่นนั่นเอง
    ไฟนรกกองที่ 7 ได้แก่ สามี <O:p></O:p>
    ผู้ชายนั้นจะมีไฟนรกแค่ 6 กอง แต่ผู้หญิงที่มีสามีจะมีไฟนรก 7 กอง เพราะสามีนั้นเปรียบเสมือนพ่อคนที่ 2 ของภรรยา ที่คอยทำหน้าที่ป้องกันภัย และดูแลห่วงใยภรรยา สามีจึงเป็นไฟนรกของภรรยาตามกฎของธรรมชาติ ฉะนั้นผู้หญิงคนใดที่มีสามีไม่ดี ถือว่าเป็นความโชคร้ายของผู้หญิงคนนั้นอย่างยิ่ง เพราะเมื่อมีการทะเลาะเบาะแว้งกัน ผู้หญิงจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบมาก เพราะจะมีโอกาส ทำกรรมหนัก จากการล่วงเกินไฟนรกนั่นเอง
     
  8. rawiphan

    rawiphan บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    (อดีตสมัย ปัจจุบันสมัย อนาคตสมัย)

    คำว่าตรัสรู้ก็คือการที่มารู้แจ้งเรื่องที่พ้นสมัยของ พระศาสดาในอดีตหรือพูดง่าย ๆ ก็คือมารู้เรื่องที่พระพุทธเจ้าและสาวกซ่อนเพชรซ่อนพลอยเอาไว้ หลังพุทธปรินิพพาน
    จากประโยค ที่พิมพ์ข้างบนเป็น ธรรมะที่ผิด
    แก้ไขใหม่ ที่ถูกต้องเป็นคำว่าตรัสรู้ก็คือการที่มารู้แจ้งเรื่องที่พ้นสมัยของ พระศาสดาในอดีตหรือพูดง่าย ๆ ก็คือมารู้เรื่องที่พญามารซ่อนเพชรซ่อนพลอยเอาไว้ หลังพุทธปรินิพพาน
    หมายเหตุ ซ่อนเพชรซ่อนพลอย ในที่นี้ก็คือ มรรคผลนิพพานที่สมบูรณ์ที่สุดครับ คือธรรมะแท้ถูกถ่ายโอนเข้า สู่ครัวเรือน มนุษย์ทั้งชายหญิง
    จึงมีโอกาศ กึ่งบวชกึ่งบำเพ็ญ สำเร็จนิพพานในเพศคฤหัสถ์ ก็ได้เช่น ขีณา ชาติ วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ (ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว)
    ก็เลือกเอา จะอยู่ในเพศ บรรพชิต หรือ เพศคฤหัสถ์ ภายหลังที่พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว เราเลือก เพศคฤหัสถ์
    ในอดีตกาล ที่จะต้องออกจากครอบครัวละทิ้งการงานเข้าสู่ถ้ำลึกจาริกตามป่าเขาบำเพ็ญทุกรกิริยาจนถึงพร้อมซึ้ง 3000 บุญ 800 ผล
    อีกทั้งต้องเดินทางพันลี้เพื่อแสวงหา พระวิสุทธิอาจารย์เดินทางหมื่นลี้เพื่อแสวงหาสัจจะธรรมและหากโชคดีได้พบพานกับพระวิสุทธิอาจารย์ผู้รู้แจ้งจีงได้มีโอกาสได้สดับรับวิถีธรรมดังคำที่กล่าวว่า "ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกกร่อนก็ไม่อาจพบ"
    ปัจจุบัน ไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว ธรรมะกว้างขวางพอแล้ว
    แต่ปัจจุบันขอเพียงมีผู้แนะนำ-รับรองฉุดช่วยนำพาเราก็สามารถกราบขอรับวิถีธรรมได้อย่างง่างดายอย่างที่เรียกว่า"ได้รับโดยไม่ต้องลงแรง"
    เพราะเหตุใดการรับวิถีธรรมในอดีตและปัจจุบันจึงมีความยากง่ายแตกต่างกันราวฟ้ากับดินนั่นเป็นเพราะฟ้ามีกาลเวลาของฟ้าวิถีธรรมก็มีเกณฑ์วาระการโปรดของวิถีธรรม
    บุตรหนึ่งคนได้รับธรรม
    บรรพชนเจ็ดชั้นลูกหลานเก้าชั่วคน
    ได้รับรัศมีธรรมปกแผ่ถ้วนทั่ว
    บุตรหนึ่งคนได้สำเร็จธรรม
    บรรพชนเจ็ดชั้นลูกหลานเก้าชั่วคน
    ได้รับการฉุดช่วยถ้วนทั่ว
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 เมษายน 2008
  9. rawiphan

    rawiphan บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    พระเจ้าจักรพรรดิ

    [​IMG]
    ยุคพระศรีอาริยเมตไตรย ตอนที่ 2 <O:p</O:p


    ปัจจุบันนี้วิถีชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไปจากสมัยอดีตอยู่มาก เมื่อมีความเจริญทางวัตถุและเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นเพื่อสนองความต้องการของมนุษย์มากขึ้นเท่าไหร่ ความเจริญทางด้านจิตใจกับลดน้อยลงไปทุกทีๆ ทั้งนี้เนื่องจากอะไรเป็นต้นเหตุ ผู้คนเข้าวัดน้อยลง คิดเพียงว่าไปทำบุญ ตักบาตร ถวายพระสงฆ์แล้วเพียงแค่นั้นก็ได้บุญหรือคิดเพียงเป็นการสะเดาะเคราะห์ต่อดวงชะตา เสริมบารมีเหมือนอย่างที่เป็นข่าวให้ได้เห็นการอยู่เรื่อยๆมา เป็นพุทธศาสนิกชนแต่เพียงชื่อมีมากมายขนาดไหน เรายอมรับกันหรือไม่ ที่ประเทศอินเดียมีผู้นับถือพุทธไม่น่าจะเกินร้อยละ 7 ทั้งที่เป็นต้นกำเนิดของพุทธศาสนาเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น เราทั้งหลายได้พิจารณาด้วยความคิดและสติปัญญาแล้วหรือยังว่า
     
  10. rawiphan

    rawiphan บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    พระภิกษุณีอรหันต์ในสมัยพุทธกาล

    เบาะแสมีผู้หญิงสวยงามตัวนั่งอยู่ในลูกแก้วลอยไปมาในอากาศลอยผ่านใบไผ่ต้นไผ่ก็ลั่นดังเปี๊ยๆๆๆๆๆๆๆ


    ที่ถ้ำขามคอนสาร สโลแกน นักบวชไม่มีใครสำเร็จเพราะน้ำชากาแฟหลอก มีแต่ปฏิบัติเท่านั้น พวกเมาชากาแฟก็จะโม้แต่เหตุการณ์เดิมๆ นักฟังตัวยงก็ตั้งตารอจะฟังแต่เรื่องใหม่ๆ เมื่อไม่มีประสบการณ์ใหม่สดๆร้อนคนฟังก็เบื่อนักภวนาก็จะขี้เกียดปฏิบัติธรรม เพราะประมาท ตัวเองยังไม่ถึงที่พึ่งอันแท้จริง ก็สอนโดยรู้ไม่เท่าทันว่าเสียท่าให้กิเลสหลอก กว่าจะรู้ตัวนักปฏิบัติบางคนก็อายุอานามปาไป ๘๐ บางคนก็ยังหลงตัวจนตายไปแล้วก็ยังไปหลงในเมืองผี
    เรื่องของพี่ตอนออกวิเวก
    kook1519 ; สังคมนักบวชก็มีพระทั้งดีและไม่ดี มีทั้งเก่งและไม่เก่ง คละเคล้ากันไป นั่งคุยกันจนมืดค่ำก็ไม่เห็นเข้าสมาธิ นั่งคุยกันว่าเมื่อคืนมีพระเจอผีหลอกถอนกลดหอบบาตรหนีกันกลางดึก ลงมาก็ไม่กล้ากลับเข้าไปอีกเลยบอกว่าเจอผีหัวขาด เดินมาหาท่านและก็โยนหัวให้ท่าน ท่านว่าท่านใส่ตีนหมาธรรมอะไรผมก็ไม่เอาแล้ว และก็อ้อนวอนพี่รวิพันธุ์อย่าขึ้นเขาเลย เปลี่ยนความตั้งใจล้มเลิกที่จะขึ้นเขาอย่าไป พี่รวิพันธุ์บอกพระกลางวงกาแฟหมดแก้วนี้ผมจะขึ้นเขา พระในวงกาแฟแซว ท่านไม่กลัวได้ผีเป็นเมียรึไง
    _/l\_ ขึ้นหลังเสือเขาไม่ให้ลงหลังเสือ ก็ตอบแบบมวยวัดว่า มีแต่พวกขาดสติเท่านั้นเหละที่ได้นางฟ้าเป็นเมีย และก็ไม่สนใจกับคำสบประมาท เดินขึ้นเขาไปคนเดียวเวลากลางคืนเดือนมืด มีไฟฉายส่องนำทางไปในป่าขึ้นเขาไปตามทางสันเขาข้ามเขาเป็นลูกๆจนมาถึงปากถ้ำก็พบสถานที่ปฏิบัติธรรมและของสะสมสะเบียงอาหารของแม่ชีประทุม และพี่รวิพันธุ์ก็สำรวจบริเวณรอบปากถ้ำก็พบ ลายแทงสมบัติที่คนโปราญเขียนด้วยสีแดงของเลือดสัตว์ผสมสีแดงของดอกไม้ป่าไว้ฝาผนังหน้าถ้ำเป็นรูปหมาป่าเห่าหอนยืนเฝ้าเปรตตัวสูงถูกล่ามด้วยโซ่ที่ข้อมือข้อเท้าอย่างแน่นหนา ข้างหลังผีเปรตมีเพชรเม็ดโตเท่าหัวคน พี่ก็แกะรอยเดินลึกเข้าไปในถ้ำตามลายแทงสมบัติ ลึกเข้าไปลึกเข้าไปก็พบเตียงสำหรับแขวนกลดสำหรับนั่งภาวนา นักปฏิบัติที่เก่งควรรู้ว่าจะเจริญธรรมแบบไหนทำให้สมาธิไม่เสื่อมง่าย ก็คือต้องเดินจงกลมก่อนที่จะนั่งสมาธิ และก็นอนกำหนดจิตจนหลับไปหรือจะเข้าฌานก็อยู่ที่ความฉลาดของจิตดวงนั้น แต่พี่รวิพันธุ์ออกเดินจงกลมจนจิตสงบก็มีความรู้สึกว่ามีดวงตาคู่หนึ่งจ้องมาที่เราแต่ก็ไม่มาให้เห็นเลย สัมผัสที่ ๖ บอกเราว่ามีผีหัวขาดยืนถือหัวอยู่ในถ้ำที่ลึกเข้าไปอีก [​IMG] พี่เดินจนเหนื่อยก็มานั่งสมาธิในมุ้งกลดเมื่อจิตรวมก็มองเห็นผีหัวขาดมาจ้องหน้า และก็เดินกลับไปกลับมาวนเวียนอยู่นานทีเดียวกว่าจะเดินเข้าไปในถ้ำลึก เมือผีหัวขาดไปแล้วพี่รวิพันธุ์ก็ถอนจิตออกจากสมาธิ และก็นอนภาวนาต่อไม่ช้าไม่นานจิตก็รวมใหญ่ แต่บังคับไม่ให้จิตส่งนอกให้มีสะติกับร่างกาย สว่างรุ่งเรืองอยู่เป็นธรรมภายใน จู่ๆก็มีอสุรกายหน้าตาหน้าเกียดหน้ากลัวเล็บยาวตามมือตามตัวเต็มไปด้วยเลือดโซมกายเข้ามาปลุกปล้ำข่มขืนพี่รวิพันธุ์จะสมสู่กับพระให้ได้ ตัวพี่รวิพันธุ์ถูกระดมจูบไปทั่วเรือนร่าง ก่อนที่จะเกือบตกเป็นผัวของผี พี่รวิพันธุ์ต่อรองกับอสุรกายเพศหญิงว่า ทำไม่มากระทำย่ำยีเรา และเราก็เป็นพระที่รักษาพรหมจรรย์ ตั้งแต่วัดที่พระบรรลุธรรม จะขอแบ่งบุญให้เธอครึ่งหนึ่ง หยุดการกระทำอันจะทำให้พระต้องมีมลทินหัวใจ ได้ผลอสุรกายหยุดการจู่โจม และก็เปลี่ยนจากร่างที่น่าขยะขแยง กลับคืนสภาพเป็นพระภิษุณี อรหันต์มีรัศมีปัญญารอบหัวและลอยในระดับอกพระ พร้อมสาธุการ บอกว่าเธอมาลองกรรมฐานของพระ ต่อแต่นี้จะไม่มีอะไรมารบกวนการภาวนาท่านอีก ขอให้พระเจริญในพระศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็อยู่ในถ้ำโดยอบอุ่นจนเป็นเช้าของวันใหม่ก็ลงจากเขาเพื่อจะไปบิณฑบาตรโปรดสัตว์ ระหว่างทางพบแม่ชีประทุมถามพระด้วยเสียงใส ครูบาเมื่อคืนเจออะไรบ้างว่าจะนิ่งเก็บเป็นความลับ แต่ถูกทวงถามจากแม่ชีประทุมถึงสามครั้ง ก็บอกด้วยอาการสำรวม ว่าตอนแลกพบอสุรกาย ภายหลังอสุรกายกลับกลายเป็นพระภิกษุณีอรหันต์ในสมัยพุทธกาล หลังจากนั้นก็ขึ้นไปอีกสิ่งที่ไม่เคยได้รู้ก็ได้รู้สิ่งที่ไม่เคยได้เห็นก็ได้เห็น




    ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นมาในโลกหรือไม่ก็ตาม ธรรมทั้งหลายก็มีอยู่ก่อนแล้วพระพุทธเจ้าทั้งหลายแค่ทรงค้นพบ และนำออกตีแผ่ให้เข้าใจง่ายขึ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 เมษายน 2008
  11. rawiphan

    rawiphan บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ครั้งหนึ่งนานมาแล้วในจักรวาลของจิต
    กระผมถอดจิตเข้าไปหา ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ในวิมานของท่าน
    พบสามเณรยืนข้างๆท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ พระอาจารย์มั่นท่านแนะนำให้รู้จักครูบาเณร และบอกว่า เณรองค์นี้เป็นพระอรหันต์นะ ท่านพูดจบ ก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธาท่านโดยอัตโนมัติ ว่าท่านน่ารัก ทำไมฉลาดมากๆ
    สิ้นกิเลสในสภาพเด็กน้อย สภาพที่เห็นโดยรวมท่านเป็นเณรอรหันต์ที่ไม่ถือเนื้อถือตัว เคยรับใช้ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ เช่นไรก็ ไม่ยกตนข่มท่านอาจารย์มั่น ไม่ดีตัวเสมอพระอาจารย์มั่น พระอาจารย์มั่นถามปัญหาเชาว์กระผมว่า ระหว่าง ฆ้อนกับ หนังสติก ท่านจะเลือกอะไร ฆ้อนมีค่า = ๕
    หนังสติก = ๙
    ก็เลยกราบเรียนท่านว่าผมเลือก ฆ้อนครับ ท่านก็ว่าตกลงท่านเลือกฆ้อนแล้วนะ ครับผมเอาฆ้อน ทั้งพี่ท่านและเณรก็หายไปจากจักรวาลที่พระอาจารย์มั่นจำวัดอยู่ ลำดับเหตุการณ์ ฆ้อน ๕
    นี่ไม่ใช่เป็นการบอกใบ้ให้หวยแน่ๆเลย รู้แล้วท่าน ๕=พระเจ้าห้าพระองค์
    ๙=นวโลกุตตระธรรมทั้ง 9 แยกได้สมาบัติแปด + 1 = นิพพาน(รู้แจ้งโลก)
    [​IMG]

    บรรพชิต ควรพิจารณาเนืองๆ ว่าคุณวิเศษของเรามีอยู่หรือไม่ ที่จะไม่ให้เราเป็นผู้เก้อเขินในเวลา เพื่อนบรรพชิตถามในกาลภายหลัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 พฤษภาคม 2008
  12. rawiphan

    rawiphan บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นมาในโลกหรือไม่ก็ตาม ธรรมทั้งหลายก็มีอยู่ก่อนแล้วพระพุทธเจ้าทั้งหลายแค่ทรงค้นพบ และนำออกตีแผ่ให้เข้าใจง่ายขึ้น

    1 ทุกคนได้เวลามา คนละเท่าๆกัน อยู่ที่ตัวเราจะจัด
    เวลาให้กับตัวเองให้ลงตัวได้อย่างไง
    2 เมื่อเข้าถึง ศาสนาที่แท้จริงแล้ว จิตจะไม่แบ่งชั้นวรรณะ มองโดยเนื้อแท้แล้ว เท่าเทียมกัน
    จิตจะไม่มีชาติ จิตจะไม่มีศาสนา จิตจะไม่มีเจ้าเหนือชีวิต ตนเป็นอิสระจาก พระเป็นเจ้ามีความบริสุทธิ์สะอาดเทียบเท่าพระเป็นเจ้า ภูมินี้ของพระอริยเจ้าขั้นสูงสุดเท่านั้น ต่ำกว่านี้ตกอยู่ในการควบคุมความประพฤติหมด
    3 มนุษย์ทุก นามก็คือพระเจ้า แต่ผู้ยังไม่ลืมตาตื่น
    ก็จะดูถูกดูแคนตนเอง ไม่มีมหันตภัยอะไรจะร้ายแรงเท่าตนดูถูกศักยภาพของตน
    4 ผมเคยได้ ออกความเห็นกับเพื่อนสายนักปฏิบัติ
    ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ชื่อทิด จิตผมถามว่าทำไม่มนุษย์ต่างดาว ปรากฎอยู่บ่อยมาก ทิดจิตว่าเป็นเพราะเค้ารับรู้ว่า มีคลื่นพลังที่เค้ากระทบแล้วมันสงบเย็นมนุษย์ต่างดาว เค้าต้องการรู้แหล่งพลังบริสุทธิ์นั้นมาจากไหน จึงมีการออกสำรวจ พลังที่ว่าแต่ก็ยังไม่ผบแหล่งกำเนิดพลังงานตัวนี้
    5 แม่ผมเดินทางไปในชีวิตหลังความตาย จิตออกจากร่างในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็เดินทางไปตามทาง
    ถนนและก็พบผู้คนที่เคยรู้จัก และก็คนมากมายหลายชาติหลายภาษาพากันเดินไปในเส้นทางที่จะไปนรก
    ในขณะที่แม่ของผม เหงาบวกกับความกลัว เดินไปอีกหน่อยก็พบลูกชาย คนโต คนรอง คนเล็ก และเบื้องหน้าก็จะเป็นปากทางเข้านรก แม่ผมก็บอกลูกทุกๆ คนว่าให้ ภาวนานะลูก พุธโธๆๆๆ และแม่ของผมก็เห็นมีนายนิยบาลถามปัญหากับ คนที่อยู่ข้างหน้าพูดอะไรฟังก็ไม่รู้เรื่อง นายนิยบาลก็บอกว่าเอาตัวไปนรก พอตาแม่ผมตอบปัญหานายนิยะบาล แม่ก็เห็นแต่ปากของนายนิยะบาลขยับงุบๆงิบๆ แต่ไม่มีเสียงลอดออกมาให้ได้ยิน ถึงฟังไม่ได้ศัพท์แต่แม่ผมก็ตอบ นายนิยบาลว่า พุธโธๆๆๆ นายนิยบาลแสดงอาการดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ ถูกๆตอบถูก และแม่ก็ให้ลูกติ ลูกศัก ลูกดา ตอบพุธโธ ลูก นายนิยบาลก็บอกว่าเอาแม่ลูกสามคนนี้ กลับโลกมนุษย์
    6 การถล่มตึกเวอร์เทรด เกิดจากการทดลองพลังจิต
    และมีการใช้พลังจิตเคลื่อนย้าย บังคับวัตถุ สิ่งที่ผมพบก็คือมีการยิง แสงเรเซอร์สีเขียว มองด้วยตาเปล่าและเรด้าจับไม่ได้ ไร้เสียงสีแสง เดินทางได้เร็วทะลุสิ่งกรีตขวาง ยิงเข้าตรงเป้า ประเทศอเมริกา เพื่อให้สำเร็จตามคำนาย ของนอตตราดามุส ที่ได้รับการดลใจให้เขียนโดยพระเจ้ายะโฮวาห์
    7 ถ้าคุณเข้าใจคำว่าสอบได้กับสอบตก เริ่มแล้วนะครับ เป็นแนวคิดสากล ทุกคนจะมีแบบทดสอบชีวิตแต่ละแต่ชีวิต มีการถูกทดลองใจ บางชาติก็ผ่านพ้นไปได้ก็เริ่มต้นกับบทเรียนของชาติใหม่ อีกหลายๆ
    ในแต่ละชาติที่เกิด บางครั้งจิตไม่ผ่านแบบทดสอบการลองใจ ก็ต้องมีการเกิดซ้ำชาติที่เคยเกิดแล้วเป็นแล้วจนกว่าจิตจะฉลาด และผ่านพ้นไปได้
    8 ให้คุณลืมให้หมด สิ้น การบุญการกุศล บุญบาป
    นรก สวรรค์ นิพพาน สิ่งเหล่ามีไว้ใช้สมมติ ในโลกเท่านั้น ถ้าจะเข้านิพพานต้อง ละการยึดมั่นถือมั่นจากบุญและบาป
    9 ความหมายคือ ทูตของพระเจ้าที่ถูกส่งลงมาเป็นศาสดา เพื่อเป็นตัวเชื่อม มนุษย์กับสวรรค์ ตลอดถึงพระเจ้า
    10 โอ้โฮ อันนี้เต็มเลย เห็นผิดจาก บัณฑิต นักปราชญ์ เหมือนว่าท่านอาจารย์โนวา อนาลัย มองรูปร่างกายนี้เป็นตัวตนมองออกนอกก็จะเป็นวิทยาศาสตร์พวกนี้จะไม่ยอมรับว่าผีมีในโลก แต่ผมมองว่าร่างกายนี้เป็นของไม่มีตัวตน ที่เห็นกันก็แค่มายาการ
    11 อดีตเป็นเรื่องเจ็บปวด ผ่านไปแล้วจะแก้ไขให้ดีขึ้นไม่ได้ ต้องยอมรับมันให้ได้ และกลับใจใหม่ให้อยู่ในปัจจุบัน ก็เท่ากับประกอปเหตุที่ดี ผลก็จะออกมาดี
    และดีที่สุด จนบริสุทธิ์หลุดพ้น
    ฟันธง
    ท่านอาจารย์โนวา อนาลัย ยังห่างจากความรู้ของพระพุทธเจ้าตลอดถึงพระอรหันต์ ท่านอาจารย์ท่านนี้ยังมีจุดดำ มืดบอด ไม่ใช่ที่สุดแห่งทางปัญญา แต่เป็นชนวนของความทุกข์ ให้เกิดความลังเลสงสัย อยากแท้ที่ใช้คำว่าบรรลุ ถึงจิตจักรวาลเป็นแค่สื่อ ผิดบ้างถูกบ้าง แต่โดยรวม เป็นแค่ปรัชญามันจะเป็นนิพพานของพระอริยะเจ้าไปได้อย่างไง ต้องขอโทษผู้อ่านเป็นร้อยๆ ครั้งท่านอาจารย์โนวา อนาลัย แต่งตำราเข้าข้างกิเลสตัวเอง พิจารณาให้แท้จะพบความแยบยลของปุถุชน
     
  13. rawiphan

    rawiphan บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    พระศรีมาตรัสรู้

    แรกๆ ญาณรู้เห็นมักจะเกิดกับนักปฏิบัติใหม่ๆ ที่ยังไม่
    มีอาการอยากรู้อยากเห็นจะเป็นจริง นานไปอาศัยความอยากก็เสื่อมถอย
    เพราะยังต้องอาศัย วิปัสสนาคุมอีกทีหนึ่ง
    พอที่นี้ สิ่งที่รู้กับสิ่งที่เห็นมีอาการจริงบ้างไม่จริงบ้าง
    จิตของเราก็ไม่เศร้าหมองไปตาม ญาณที่เป็นเครื่องรู้
    ปัจจุบัน อดีต อนาคต เพราะนักปฏิบัติเกิด ภูมิรู้ของวิปัสสนาเป็นตัวตัดการปรุงแต่ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พอพระทัยที่สุด ที่จะใช้ อนุสาสนีปาฎิหาริย์ คือ การพูดสั่งสอนกัน ด้วยเหตุผล ที่ผู้ฟังจะตรองเห็นตามได้เอง อันเป็น การทรมาน ที่ได้ผลเด็ดขาด ดีกว่าฤทธิ์ ซึ่งเป็นของชั่วขณะ อันจะต้องหาวิธีทำให้ มั่นคง ด้วยการสั่งสอน ที่มีเหตุผล อีกต่อหนึ่ง ในภายหลัง

    [​IMG]


    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...