ปาฏิหาริย์ถ้ำมหัศจรรย์

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย happyokay, 7 พฤษภาคม 2014.

  1. happyokay

    happyokay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +447
    ปาฏิหาริย์ถ้ำมหัศจรรย์
    เนื่องจากเดือนที่ผ่านมา(เมษายน 2557) มีเหตุให้อาจารย์ยายต้องเดินทางไปที่จังหวัดเชียงรายเพื่อทำกิจธุระบางอย่าง เพราะพระธรรมดลใจจึงทำให้อาจารย์ยายได้เข้าทำสมาธิภาวนาในถ้ำแห่งหนึ่ง
    ถ้ำแห่งนี้ตั้งอยู่บนภูเขาสูง การเดินทางสามารถใช้รถเพื่ออำนวยความสะดวกได้ระยะหนึ่ง แต่ก็ต้องอาศัยกำลังกายเดินอีกซักหน่อยก็ถึงตัวถ้ำ ภายในถ้ำแห่งนี้นอกเหนือจากความสงบที่สัมผัสได้แล้ว สิ่งมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่งที่ทุกๆคนได้พูดเป็นเสียงเดียวกันคือ ความสะอาด และความเย็นของถ้ำ ทั้งๆที่ภายในถ้ำไม่มีใครเฝ้าดูแล แต่ถ้ำแห่งนี้ดูสะอาดสะอ้านมาก ไม่มีกลิ่นเหม็นมูลค้างคาว หรือมูลสัตว์เลยแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้ทุกๆคนจึงชอบบรรยากาศในถ้ำแห่งนี้มาก รวมไปถึงอาจารย์ยายผู้เป็นที่พึ่งของเหล่าลูกศิษย์ก็เช่นกัน ท่านก็รู้สึกประทับใจในบรรยากาศของถ้ำ เมื่อย่างก้าวเข้าไปในถ้ำเพียงไม่กี่ก้าว สิ่งที่อาจารย์ยายได้กระทำให้ลูกศิษย์เห็นก็คือ การนั่งกราบลงบนพื้นถ้ำพร้อมกล่าวระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ จากนั้นตามด้วยบทแผ่เมตตาให้เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย เมื่อลูกศิษย์ที่ติดตามเห็นท่านทำอย่างนั้น จึงรีบพากันถอดรองเท้า และนั่งลงกราบดังเช่นอาจารย์ยายทันที หลังจากนั้นอาจารย์ยายก็บอกให้ทุกๆคนสำรวมกาย วาจา และใจ พร้อมให้ทุกคนนั่งสมาธิภาวนา กำหนดจิตแผ่เมตตาให้กับดวงจิต ดวงวิญญาณในภพภูมิอื่นๆที่มีอยู่ในถ้ำซึ่งมีอยู่มากมาย โดยดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลาย ได้อาศัยอยู่ภายในถ้ำแห่งนี้ตั้งแต่สมัยโบราณกาลเป็นเวลาเนิ่นนานหลายร้อย หลายพันปี จากนั้นทุกๆคนจึงนั่งหลับตาภาวนา เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง เมื่อออกจากสมาธิ อาจารย์ยายได้เล่าให้ฟังว่าในขณะจิตที่รวมลงเป็นสมาธิได้ปรากฏภาพ วัตถุบางสิ่งบางอย่างที่ภพภูมิกายละเอียดให้ความเคารพสักการะบูชาเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นอาจารย์ยายเลยถามว่า “ท่านผู้ใดเป็นผู้รักษาพื้นที่แห่งนี้” พอคำถามของอาจารย์ยายสิ้นสุดลง ผู้ที่เป็นใหญ่ในที่แห่งนี้จึงปรากฏกายขึ้นทันที รัศมีรายล้อมรอบกายมีสีเขียว ลำตัวยาว และใหญ่มหึมา ท่านบอกว่า” เราชื่อ...(ขออนุญาติไม่เอ่ยนาม)เป็นผู้ดูแลถ้ำแห่งนี้ และเป็นหัวหน้าเหล่าพญานาคทั้งหลาย” พร้อมกันนั้นเองท่านพญานาคตนนี้ได้แสดงอำนาจจิตแผ่บารมีแห่งตน โดยแผ่ปกคลุมไปทั่วถ้ำ ในขณะนั้นอาจารย์ยายจึงบอกให้ลูกศิษย์ที่ตามไปด้วยอธิษฐานจิตแล้วถ่ายภาพเก็บเอาไว้ เมื่อเอาภาพถ่ายมาดูก็ปรากฏว่าภาพที่ถ่ายได้มีแสงสีเขียวเต็มไปทั่วถ้ำอย่างน่าอัศจรรย์ ในระหว่างนั้นอาจารย์ยายจึงได้บอกให้ทุกคนช่วยกันแผ่เมตตาให้เหล่า เทวดา พญานาค และเหล่าโอปาติกะทั้งหลายที่อยู่ในพื้นที่แห่งนี้ ก่อนออกจากถ้ำอาจารย์ยายได้บอกทุกๆคนว่า ลองขอพรท่านที่ไม่ปรากฏกายทั้งหลายดู เผื่อมีโชคมีลาภ และหากมีเหตุดลใจ คงได้กลับมายังถ้ำแห่งนี้อีกเป็นครั้งที่สองแน่ หลังจากที่อาจารย์ยาย และเหล่าลูกศิษย์ที่ติดตามกลับจากเชียงราย ก็ปรากฎว่าลูกศิษย์หลายคนได้โชคได้ลาภก้อนโตกันยกใหญ่ พร้อมทั้งมีเหตุการณ์ต่างๆอีกมามายอันเป็นเหตุดลใจให้ระลึกถึงถ้ำแห่งนี้เสมอ ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้อาจารย์ยายต้องเดินทางไปยังถ้ำที่เชียงรายอีกเป็นครั้งที่สอง และครั้งนี้ผมได้มีโอกาสติดตามท่านไปด้วย สิ่งมหัศจรรย์ได้เกิดขึ้นมากมาย ทั้งเรื่องราวของเทพเทวดา พญานาคที่มาขอฟังธรรม พร้อมกับเหตุการณ์เตือนล่วงหน้าเรื่องอุบัติเหตุจากท่านผู้ไม่ปรากฏกาย รวมถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นหลังจากที่พวกเราได้เดินทางกลับมาถึงกรุงเทพฯไม่กี่ชั่วโมง ทุกๆอย่างที่จะกล่าวต่อไปนี้มีทั้งความสนุก ความน่ากลัว และสิ่งที่น่าตื่นเต้นมากมาย ทุกๆเรื่องต่างมีหลักฐานทั้งสิ้น หากว่างจากงานแล้วแฮปปี้จะรีบมาเขียนเล่าให้ทุกๆท่านได้อ่านกันต่อนะครับ อนุโมทนา สาธุ แฮปปี้
    ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ที่
    https://www.facebook.com/ubonwattana.limlertpong.9
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 พฤษภาคม 2014
  2. happyokay

    happyokay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +447
    นิทานจากอาจารย์ยาย
    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ แก่งลี่ผี ลุ่มแม่น้ำโขงเป็นที่อยู่ของเหล่านาคทั้งหลาย ในหมู่นาคทั้งหลาย มีนาคหนุ่มสาวคู่หนึ่งผูกพันกันมานานแสนนาน ทั้งคู่รักกันเป็นคู่ผัวตัวเมียกัน วันหนึ่งถึงกาลหมดภพชาติเดรัจฉาน ก่อนตายจากกัน ด้วยรักผูกพันที่มีต่อกัน ทั้งสองได้ตั้งจิตอธิฐานร่วมกันว่า เมื่อนาคหนุ่มมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ ขอให้ได้มาเกิดอย่าได้ไกลจากลุ่มแม่น้ำโขง เมื่อเกิดแล้วขอให้มีจิตใจชอบเครื่องดีดสีตีเป่ากับมีนิสัยชอบขับร้อง เพื่อเป็นสื่อนำพาให้ได้พบกัน จากนั้นก็ถึงวาระที่นาคหนุ่มต้องจากไป ตามกฎ แห่งวัฐฎสงสาร ต่อมานาคหนุ่มได้ถือกำเนิดในครรภ์มารดามนุษย์ วันเวลาผ่านไปจากเด็กน้อยเติบโตเป็นหนุ่มแรกรุ่นหนุ่มน้อยมีนิสัย สดใส ร่าเริงชอบขับร้อง และชอบเครื่องดนตรี ดีดสี ตีเป่า อันเป็นสัญญาเก่าบวกแรงอธิฐาน อยู่มาวันหนึ่งเด็กหนุ่มออกหาปลาริมแม่น้ำ ตอนเที่ยงวันเป็นช่วงพัก จึงคว้าขลุ่ยแล้วเดินไปยัง เนินหิน ที่ยื่นลงไปสู่แม่น้ำ แล้วก็เริ่มเป่าขลุ่ย เสียงขลุ่ยก้องกังวานเป็นเสียงเพลงไปทั่วลำน้ำ คงจะถึงวาระที่นาคสาวเฝ้ารอคอยทำให้นางได้ยินเสียงขลุ่ย จึงตามคลื่นเสียงขลุ่ยจนกระทังมาพบเด็กหนุ่มแรกรุ่น นางรู้ได้ทันที่ว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือคนที่นางรอคอย แต่นางไม่อาจปรากฎตัวให้เด็กหนุ่มเห็นได้ มีทางเดียวคือต้องรอให้เด็กหนุ่มสังขารหลับเสียก่อนนางจึงจะ.. ติดตามเรื่องราวสนุกๆเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/ubonwattana.limlertpong.9?fref=ufi
     
  3. happyokay

    happyokay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +447
    เหตุการณ์ตอนแรก
    เรื่อง ... นิทานจากอาจารย์ยาย.ตอน1และตอน2
    ขณะที่อาจารย์ยายสอนธรรมะ สอนแง่คิดต่างๆในการปฏิบัติธรรม และการฝึกสมาธิในชีวิตประจำวันนั้น ในระหว่างที่นั่งฟังคำสอนจากอาจารย์ จิตของอาจารย์ยายก็รวมลงเป็นสมาธิ อาจารย์ยายเลยหลับตาลง ซักพักพออาจารย์ยายลืมตาขึ้น อาจารย์ยายได้บอกกับผมว่า หนู พ่อของหนู มีรูปร่าง ลักษณะ หน้าตา เป็นอย่าง....นี้หรือเปล่า ผมก็ตอบอาจารย์ยายไปว่า ใช่ครับ(เพราะลักษณะทุ...กอย่างที่อาจารย์ยายพูดมาตรงทั้งหมดเลยกับคุณพ่อของผม) อาจารย์ยายพูดต่อไปว่า แล้วที่บ้านหนูอยู่ริมแม่น้ำ หรือใกล้กับแม่น้ำหรือเปล่า อันนี้ผมก็ตอบว่า ใช่ครับ เพราะว่าผมอยู่จังหวัดนครพนม ติดแม่น้ำโขงอยู่แล้ว และหมู่บ้านผมก็มีแม่น้ำสายใหญ่ล้อมรอบหมู่บ้าน โดยหมู่บ้านผมมีลักษณะเป็นเหมือนเกาะ ที่มีแม่น้ำล้อมรอบด้วย อาจารย์ยายพูดต่อวไปว่า "หนู ลองถามพ่อของหนูดูนะว่า เคยมีนิมิต หรือฝันเห็นคนขึ้นมาจากน้ำมาหาหรือเปล่า" ผมก็งงในใจ เพราะตั้งแต่เล็กจนโต พ่อไม่เคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับเห็นคนขึ้นมาจากน้ำมาหาพ่อ ผมก็รับปากอาจารย์ว่า "ได้เลยครับ เดี๋ยวกลับบ้านผมจะลองถามพ่อดูว่า พ่อเคยเห็น คนขึ้นมาจากน้ำมาหาพ่อหรือเปล่า" พอผมกลับมาถึงห้อง ผมก็เลยโทรศัพท์หาพ่อ แล้วก็ถามพ่อว่า"พ่อคับ พ่อเคยมีนิมิต หรือความฝันที่เห็นเกี่ยวกับคนขึ้นจากน้ำมาหาพ่อหรือเปล่า" พ่อบอกว่า ตอนผมถามคำถามนี้ขึ้นมาแกก็อึ้งในใจเลยว่า ผมรู้ได้อย่างไร เพราะพ่อยังไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลยแม้แต่คุณแม่ก็ยังไม่รู้ พ่อเล่าให้ฟังว่า " ตั้งแต่ตอนที่พ่อเป็นเด็กหนุ่ม อายุน่าจะประมาณซัก 14-15 ปี พ่อฝันว่ามีผู้หญิง แต่งตัวเป็นชุดไทยสีเขียวๆ เป็นประกาย สวยงามมาก สวยเหมอืนนางฟ้า ตั้งแต่ศรีษะจนถึงเท้า ซึ่งรองเท้าก็เป็นรองเท้าแบบเทพธิดาใส่ สวยงามมาก ผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาจากน้ำแล้วมาหาพ่อ แล้วบอกพ่อว่าจะพาพ่อลงไปในน้ำด้วย พ่อก็เดินไปด้วย แต่พอถึงริมน้ำแล้ว ผู้หญิงคนนั้นก็บอกว่า สงสารพ่อเห็นพ่อยังเด็กอยู่ เดี๋ยววันหลังจะมารับใหม่" พ่อฝันอย่างนี้อยู่สองสามครั้ง พ่อบอกกับผมว่าพ่อจำลักษณะหน้าตาของผู้หญิงคนนั้นได้เป็นอย่างดี โดยทุกวันนี้พ่อก็ยังไม่เคยลืมเลือนจากความทรงจำ เพราะพ่อบอกว่า ผู้หญิงคนนั้นสวยงามมาก พ่อไม่เคยเห็นใครสวยเท่านี้มาก่อน จากที่ผมได้ฟังคำตอบจากพ่อแล้ว ผมเลยนำเอาเรื่องที่พ่อเล่าให้ฟังนี้ มาเล่าให้อาจารย์ยายฟังว่า พ่อเคยมีความฝันเห็นคนขึ้นมาจากน้ำมาหาพ่อจริงๆ อาจารย์ยายเลยบอกว่า เหตุที่พ่อต้องมาอาศัยอยู่ติดกับน้ำโขงก็เพราะ...
    นี่เป็นเพียงแค่ครั้งที่4ที่มาสัมผัสกับอาจารย์ยายเมื่อก่อนอ่านหนังสือและอ่านในเฟสก็ยังแคลงในใจแต่วันนี้สิ่งที่เคยสงสัยได้ประสบกับตนเองแล้ว ดังเรื่องที่เล่ามาแต่ยังไม่มีข้อสรุปว่ายังมีเรื่องอะไรสืบต่อจากข้อมูลที่พ่อมาแล้ว เรื่องราวตอนต่อไปคำตอบอยู่ที่อาจารย์ยายว่าทำไมคนที่เข้ามาในความฝันของพ่อเขาต้องการอะไร ? เขาเป็นใคร?
    แล้วทำไมอาจารย์ยายจึงรู้เรื่องความฝันของพ่อที่ผู้หญิงขึ้นจากน้ำมาหา ทั้งที่เวลาผ่านไปยาวนานมาก ว่างจากงานเมื่อไรต้องไปนั่งจับมือ
    อาจารย์ยายถามหาความจริงเรื่องทั้งหมด ได้เรื่่องอย่างไรจะนำมาเล่าให้เพื่อนชาวเฟสอ่านกันต่อไป...^_____^

    เรื่อง ..เรื่องของพ่อ ตอนที่สอง
    หลังจากที่ว่างจากการทำงาน ผมก็รีบเก็บกระเป๋าเพื่อไปหาอาจารย์ยาย พอไปถึงก็พักกินน้ำให้หายเหนื่อย เวลาผ่านไปไม่นานนัก ก็ได้พบกับอาจารย์ยาย บทสนทนาเลยเริ่มต้นขึ้น
    ผม: สวัสดีครับอาจารย์ยาย วันนี้จะมาขอจับมืออาจารย์ยายเพื่อฟังเรื่องราวของพ่อต่อครับ กำลังสนุกดีเลย
    อาจารย์ยาย: สวัสดีจ้าหนู เรื่องราวของคุณพ่อเราน่ะ มันไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันเลยนะ อาจารย์ยายว่าเราไม่น่าจะพูดเรื่องนี้ออกไป เดี๋ยวคนอ่านเค้าจะหาว่าเราเตี๊ยมกันมา เพราะถ้าเค้าถามถึงหลักฐานล่ะ แล้วเราจะตอบเค้าว่ายังไง
    ผม: ไม่เป็นไรหนิครับอาจารย์ยาย อย่างน้อยความฝันของพ่อก็เป็นหลักฐานอย่างหนึ่งที่พิสูจน์แล้วว่า คำพูดของอาจารย์ยายเป็นจริง โดยที่พ่อยังตกใจเลยเพราะพ่อไม่ได้เล่าให้ใครฟัง แม้แต่แม่ยังไม่รู้เรื่องความฝันของพ่อเลยแม้แต่น้อย
    อาจารย์ยาย : ในเมื่อหนูว่าอย่างนั้น สิ่งที่อาจารย์ยายจะเล่าต่อไปนี้ไม่มีหลักฐานนะ ในเมื่อไม่มีหลักฐาน อาจารย์ยายจะถือว่าเรื่องนี้เป็นนิทานก็แล้วกัน งั้นฟังนิทานแล้วกัน ตกลงไหม
    ผม: ตกลงครับอาจารย์ยาย
    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณแก่งลี่ผีลุมแม่น้ำโขงเป็นที่อยู่ของเหล่านาคทั้งหลาย ในหมู่นาคทั้งหลาย มีนาคหนุ่มสาวคู่หนึ่งผูกพันกันมานานแสนนาน ทั้งคู่รักกันเป็นคู่ผัวตัวเมียกัน วันหนึ่งถึงกาลหมดภพชาติเดรัจฉาน ก่อนตายจากกัน ด้วยรักผูกพันที่มีต่อกัน ทั้งสองได้ตั้งจิตอธิฐานร่วมกันว่า เมื่อนาคหนุ่มมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ ขอให้ได้มาเกิดอย่าได้ไกลจากลุ่มแม่น้ำโขง เมื่อเกิดแล้วขอให้มีจิตใจชอบเครื่องดีดสีตีเป่ากับมีนิสัยชอบขับร้อง เพื่อเป็นสื่อนำพาให้ได้พบกัน จากนั้นก็ถึงวาระที่นาคหนุ่มต้องจากไป ตามกฎแห่งวัฐฏะสงสาร ต่อมานาคหนุ่มได้ถือกำเนิดในครรภ์มารดามนุษย์ วันเวลาผ่านไปจากเด็กน้อยเติบโตเป็นหนุ่มแรกรุ่นหนุ่มน้อยมีนิสัย สดใส ร่าเริงชอบขับร้อง และชอบเครื่องดนตรี ดีดสี ตีเป่า อันเป็นสัญญาเก่าบวกแรงอธิฐาน อยู่มาวันหนึ่งเด็กหนุ่มออกหาปลาริมแม่น้ำ ตอนเที่ยงวันเป็นช่วงพัก จึงคว้าขลุ่ย แล้วเดินไปยังเนินหิน ที่ยื่นลงไปสู่แม่น้ำ แล้วก็เริ่มเป่าขลุ่ย เสียงขลุ่ยก้องกังวานเป็นเสียงเพลงไปทั่วลำน้ำ คงจะถึงวาระที่นาคสาวเฝ้ารอคอยทำให้นางได้ยินเสียงขลุ่ย จึงตามคลื่นเสียงขลุ่ยจนกระทั่งมาพบเด็กหนุ่มแรกรุ่น นางรู้ได้ทันที่ว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือ คนที่นางรอคอย แต่นางไม่อาจปรากฎตัวให้เด็กหนุ่มเห็นได้ มีทางเดียวคือ ต้องรอให้เด็กหนุ่มสังขารหลับเสียก่อนนางจึงจะ
    ติดตามอ่านได้ที่https://www.facebook.com/ubonwattana.limlertpong.9?fref=ufi
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 พฤษภาคม 2014
  4. happyokay

    happyokay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +447
    ทุกขเวทนา เหตุเกิดของแฮปปี้ กับคำสอนของอาจารย์ยาย เนื่องจากไม่กี่วันที่ผ่านมา ในระหว่างสนทนาธรรมกับอาจารย์ยาย แฮปปี้ได้เกิดอาการปวดท้องรุนแรงมาก อาการปวดท้องทวีความรุนแรงขึ้น จนแทบทนไม่ไหว ในขณะนั้น ผมเพียงได้แต่ระลึกอยู่ในใจว่า คนเราถ้าจะตายมันตายได้ง่ายกันจริงๆ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม แล้วผมก็หลับไปพร้อมมีอาจารย์ยายนั่งอยู่ข้างๆ ด้วยเหตุการณ์นี้ จึงเป็นที่มาของคำสอนของอาจารย์ยายในวันรุ่งขึ้นว่า “สิ่งที่เกิดกับเราคือเวทนาทางกายมันรุมเร้า หากเราน้อมจิตพิจารณาในขณะนั้นแบบตามติดเวทนาให้รู้ดำรู้แดงไปเลย เราจะเห็นที่เกิดของเวทนา นั่นคือ ธาตุลมกำเริบ และเป็นพิษ ถ้าหากเราเพ่งดู ต่อสู้ แล้วเราชนะ เราจะเห็นได้ว่า ธาตุลมในกายของเรา เมื่อมันเป็นพิษ มันมีโทษ มันส่งผลให้ธาตุอีกทั้งสามในกาย นั่นคือ ดิน น้ำ และไฟ ปั่นป่วนไปด้วย เมื่อทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นมีความรุนแรง จนทำให้เจ้าแทบสิ้นชีวิต คนเรา เมื่อกำลังจะตาย ขณะกำลังจะสิ้นลม ตัวทุกขเวทนาที่มันกำลังขยี้จิต จะปลุงจิตให้ทุรนทุรายเร่าร้อนแสนสาหัส จนเราไม่สามารถเอาอะไรมายึดเหนี่ยวได้ หากเราฝึกจิตจับพุทโธจนแนบสนิทจิตแล้ว กุศลจากการจับพุทโธ คือระลึกถึงพระพุทธเจ้าจะพาเราหนีกรรมไปรับผลบุญเสียก่อน หมดบุญค่อยไปรับกรรมทีหลัง ในทางตรงกันข้าม หากเราทำกรรมชั่ว จิตไม่เคยฝึกอยู่กับพุทโธ หรือเคยฝึกแต่ยังไม่แนบสนิทในพุทโธ ก่อนจะสิ้นลม จิตมีแต่ทุรนทุรายปรุงไปตามทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น เมื่อตายไป กระแสแห่งอกุศลย่อมเป็นเครื่องนำทางอย่างไม่ต้องสงสัย สิ่งที่ได้จากความทุกขเวทนาเจียนตายในครั้งนี้ คือ 1.สังขารเป็นของไม่เที่ยง มันดับสิ้นได้ตลอดเวลาไม่เลือกกาลเวลา และสถานที่ 2.ได้รับรู้ถึงอาการของทุกขเวทนาอย่างรุนแรง 3.ได้รู้จักธาตุลม ที่มีสองแบบ คือทั้งดี และไม่ดี ที่สามารถเป็นตัวทำลายธาตุทั้งหลายในกาย ให้ดับสิ้นแม้แต่ชีวิต นี่แหล่ะคือของจริงที่เราต้องรู้จัก แล้วใช้สติตามดูตามรู้ให้ทันว่า สิ่งใหนเกิดก่อน เกิดเหลัง เกิดที่ไหน ดับที่ไหน ถ้ามันเกิดอีกจะได้รู้ แล้วให้น้อมเข้ามาพิจารณา มองเป็นไตรลักษณ์ จะทำให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งด้วยตนเอง เรื่อง กายในกาย จิตในจิต ธรรมในธรรม เวทนาในเวทนา จึงจะพบ และเข้าใจคำสอนของพระพุทธองค์ ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันเป็นอย่างไร “ ขออนุโมทนา สาธุ ในคำสอน และความเมตตาของอาจารย์ยายครับ สาธุ (แฮปปี้) ติดตามได้ที่https://www.facebook.com/ubonwattana...ong.9?fref=ufi
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 พฤษภาคม 2014
  5. happyokay

    happyokay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +447
    ธรรมะในวันวิสาขบูชา จากอาจารย์ยาย เรื่อง การอนุโมทนาบุญ
    สำหรับดวงจิตที่ยังวนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร กระแสบุญกระแสบาปยังเป็นตัวนำทางในการดำเนินไปในแต่ละภพภูมิ สำหรับดวงจิตที่ได้มาเกิดเป็นคน อาจารย์ยายสอนเสมอว่า คนทุกคนต่างมีบุญวาสนาด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จึงได้มาเกิดเป็นคน ดังนั้นคนที่คิดว่าตัวเองเกิดมาต่ำต้อย ด้อยวาสนา จงภูมิใจเถิดที่ได้เกิดมาเป็นคนในชาตินี้ ได้มีโอกาสได้สร้างบุญ สร้างทานบารมี และตลอดจนสามารถน้อมจิตพิจารณาในธรรมให้แตกฉานเพื่อตัดขาดจากอาสวะกิเลสทั้งหลายได้
    ทุกครั้งที่มีการทำบุญ หรือมีการสอนธรรมะ อาจารย์ยายจะกล่าวคำว่า”อนุโมทนาสาธุ” ให้เหล่าลูกศิษย์ดูอยู่เสมอ ผมเคยสงสัยจึงได้ถามท่านว่า” การอนุโมทนาบุญนี่ หมายถึงอะไร แล้วทำไปเพื่ออะไรครับอาจารย์ยาย” และคำตอบที่ได้จากอาจารย์ยายก็คือ “ การอนุโมทนาบุญเป็นการแสดงเจตนาจิต ยินดีในบุญที่ผู้อื่นได้กระทำไป ผู้ที่อนุโมทนาก็ถือเป็นส่วนหนึ่ง ที่ได้ร่วมทำบุญด้วย ถือว่าเป็นการเสริมพลังบุญของผู้กระทำนั้น ทำให้กระแสบุญเพิ่มยิ่งๆขึ้นไปนั่นเอง สาธุ “
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_1324.JPG
      IMG_1324.JPG
      ขนาดไฟล์:
      249.4 KB
      เปิดดู:
      180
  6. oui_mark

    oui_mark สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +13
    อยากทราบรายละเอียดการเดินทางไปชมถ้ำคะ

    อยากทราบรายละเอียดการเดินทางไปชมถ้ำคะ
     
  7. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    968
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,638
    ติดตามเรื่องราวของ อ.ยาย(คุณวารุณี)ตั่งแต่สมัยยังเปิดพูดคุยธรรมในเฟสบุ๊คมานานแล้วค่ะ แต่ไม่เคยมีโอกาสไปกราบท่านซักครั้ง หวังว่าท่านคงสบายดีนะคะ ฝากกราบอาจารย์ยายของคุณ lovelyhappy ด้วยความเคารพด้วยค่ะ ขอบคุณข้อมูลดีๆที่นำมาเล่าสู่กันฟังนะคะ ^0^

    ท่านจะกลับมาจันทบุรีบ้างไหมคะ จะหาโอกาสไปกราบท่านบ้าง ที่ภวันตุเต ไม่สะดวกไปค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 พฤษภาคม 2014
  8. happyokay

    happyokay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +447
    คุณ oui_mark ถ้ำชื่อว่า ถ้ำหลวง แม่สาย จังหวัดเชียงรายครับผม
     
  9. happyokay

    happyokay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +447
    อนุโมทนาสาธุครับ ช่วงนี้อาจารย์ยายก็สบายดีครับ อาจมีความลำบากประจำสังขารอยู่บ้างเพราะท่านอายุเยอะแล้ว เดี๋ยวยังไงผมจะบอกท่านให้นะครับ สาธุครับ
     
  10. happyokay

    happyokay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +447
    เหตุใดพญานาคถึงสนใจในธรรม เหตุใดพญานาคจึงมีฤทธิ์ถึงแม้เป็นเดรัจฉาน เดี๋ยวจะเอาคำตอบจากอาจารย์ยายมาเล่าให้ทุกๆท่านได้อ่านสนุกๆครับ ติดตามเรื่องราวราวดีๆได้ที่https://www.facebook.com/ubonwattana.limlertpong.9
     
  11. happyokay

    happyokay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +447
    ปาฏิหาริย์พระแม่ธรณี
    ขณะที่อาจาย์ยายเดินทางไปบำเพ็ญธรรมในประเทศอินเดีย เมื่อประมาณสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา ท่านเล่าว่า สมัยนั้นอินเดียยังลำบากมากในเรื่องการเดินทาง เมื่อท่านเดินทางไปถึงเมืองสาวัตถี ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าจำพรรษานานถึงสิบเก้าพรรษา ณ วัดแห่งแรกของพระองค์ ที่ท่านอณาถบิณฑิกเศรษฐี ซึ่งขึ้นชื่อว่าร่ำรวยที่สุดในอดีตกาล ได้สร้างวัดที่เมืองสาวัตถีขึ้นเป็นแห่งแรกถวายพระพุทธเจ้า(อาจารย์ยายบอกว่า ท่านจำชื่อวัดไม่ค่อยได้ เลยขอเรียกชื่อวัดง่ายๆว่า วัดสาวัตถี ท่านผู้อ่านผู้ใดรู้จักชื่อวัดก็แนะนำด้วยนะครับ) วัดในเมืองสาวัตถีจึงเป็นวัดแห่งแรกในศาสนาของพระองค์ พระองค์จึงจำพรรษาในวัดนี้นานถึงสิบเก้าพรรษา เรื่องนี้พระวิทยากรที่นำทางเป็นผู้บรรยาย ผิดถูกอย่างไร ขอกราบขอขมาพระพุทธองค์ และท่านผู้อ่านด้วยครับ ในช่วงนั้นอาจารย์ยายจิตโลดโผนมาก แบบว่า จิตออกรู้ออกเห็นไปหมด แต่เป็นคนเชื่อยาก เวลาไปถึงที่ใดมักอยากรู้ว่า ในกาลก่อนในสถานที่ต่างๆ มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธองค์อย่างไรบ้าง ซึ่งในทุกๆที่ ก็ได้เห็นเรื่องราวต่างๆในนิมิต จึงส่งผลให้ผู้ร่วมเดินทาง ได้มีโอกาสร่วมรู้เห็นเหตุการณ์แปลกประหลาดนั้นด้วยทุกครั้งเช่นกัน เมื่อคณะของอาจารย์ยายเดินเข้าไปในอาณาบริเวณวัดสาวัตถี ทุกคนได้พากันไปนั่งใต้ต้นโพธิ์ต้นใหญ่มากที่พระผู้บรรยายบอกว่า พระอานนท์ได้เป็นผู้อธิฐานจิตปลูกไว้ ทุกคนจึงพากันนั่งบนขอบปูนที่ล้อมเป็นวงกลมโคนต้นโพธิ์ จากนั้นก็ต่างคนต่างนั่งสมาธิ ในครั้งนี้อาจารย์ยายนั่งสมาธิจิตไม่ยอมรวมลงเหมือนทุกครั้ง อาจารย์ยายจึงลืมตาขึ้น มองอณาบริเวณที่กว้างใหญ่ แล้วคิดในใจ ว่า “เบื้องหน้าเราแห่งนี้เคยเป็นวัดที่พระพุทธองค์ และพระอรหันตสาวกต่างฝากรอยพระบาทรอยเท้าเต็มไปหมดในอดีดกาล แล้วรอบบริเวณก็เต็มไปด้วยซากปรักหักพังอยู่ทั่วไป เช่นเบื้ิองหน้าเรา” พระวิทยากรเล่าว่ากองหินที่ยังเห็นทับถมหักพังอยู่นั้น คือกุฎิของพระพุทธองค์ในอดีตกาล อาจารย์ยายอยากเห็นมากแต่จิตไม่ยอมรวมลงเป็นสมาธิ จากนั้นท่านเลยพยายามใหม่อีกครั้ง แต่ในครั้งนี้ ท่านคิดว่า ท่านนั่งลงทับดินที่โคนต้นโพธิ์ โดยที่ไม่มีอะไรรองนั่ง เมื่อร่างท่านสัมผัสดิน ในวินาทีนั้นท่านก็เกิดนึกขึ้นมาในจิตว่า เรื่องพระแม่ธรณีที่ท่านเคยสงสัย มีจริงหรือไม่มีจรึงขึ้นมา ท่านเลยอธิษฐานจิตว่า” ถ้าหากพระแม่ธรณีมีจริง ขอให้ท่านเมตา ขอให้ข้าพเจ้าจิตรวมลงเป็นสมาธิ มีบุญได้เห็นความเป็นจริงในอดีตกาลที่ผ่านมาของวัดแห่งแรกที่พระพุทธเจ้า และสาวกด้วยเถิดว่าเป็นอย่างไร “พออธิฐานจบก็หลับตากำหนดสติให้จิตเกิดสมาธิ ทันใดนั้น อาจารย์ยายบอกว่าจิตรวมทันทีอย่างรวดเร็วมาก ทั้งที่ก่อนหน้าทำอย่างไรก็ใม่ยอมรวมลง จากนั้นก็มีไออุ่นผุดขึ้นจากพื้นดินที่นั่ง ค่อยๆลามขึ้นมาจากขาที่อยู่ในท่านั่งสมาธิ ไออุ่นลามขึ้นมาเรื่อยๆพอมิดหัว จิตก็รวมดิ่งลงลึกสุดของสมาธิ จากนั้นก็เกิดโอภาสสว่างไสวเจิดจ้าในจิตของอาจารย์ยาย พอแสงสว่างเจิดจ้าของจิตดับลง ก็ปรากฎภาพพระสงฆ์จำนวนหกรูป โดยรูปหนึ่งนั่งอยู่ตรงกลางที่มีฐานรองนั่งสูงสุด และพระอีกห้ารูปนั่งล้อมรอบ ในขณะนั้น อาจารย์ยายท่านบอกว่าเกิดความปิติมากเกินกว่าจะพรรณนาออกมาให้ฟังได้ แบบว่าพูดอย่างไรก็ไม่เหมือนภาวะที่สัมผัสได้ ในวูบนั้นอาจารย์ยายได้ก้มลงกราบพร้อมทั้งน้ำตาอาบแก้ม แล้วได้พูดว่า “อยากรู้จังเลยว่าในอดีตกาล พระท่านสวดมนต์กันอย่างไร แบบไหน เพราะอาจารย์ยายสวดมนต์ไม่เป็น ทั้นใดนั้น เสียงพระที่นั่งอยู่รายล้อมทั้งห้ารูปก็ยกมือพนมไหว้พระที่นั่งสูงกว่า พร้อมกับเปล่งเสียงสวดมนต์ดังสนั่นหวั่นไหวพร้อมกัน ว่า “พุทธังสะระณังคัจฉามิ ธัมมังสะระณังคัจฉามิ สังฆังสะระณังคัจฉามิ” เสียงพระภิษุทั้งห้ารูปดังก้องกังวาน สั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณ ทำให้อาจารย์ยายน้ำตาไหลพราก จากนั้นจิตก็ค่อยๆถอนออกมา จนเป็นปกติ แต่อาจารย์ยายก็ต้องแปลกใจว่า ภาพนิมิตเรื่องราวดับไปแล้ว เหตุไฉนเสียงของพระจึงยังคงดังก้องกังวานอยู่ ไม่ต่างกับที่ได้ยินเสียงของพระทั้งห้ารูปในนิมิต อาจารย์ยายจึงค่อยๆลืมตาดูว่าเสียงนั้นมาจากไหน ก็ปรากฎว่า เบื้องหน้าอีกฝั่งของขอบปูนที่ล้อมต้นโพธิ์พระอานนท์ อาจารย์ยายได้เห็นชายแขกรูปร่างสูงใหญ่มาก หน้าตามีสง่าราศี ได้นั่งสวดมนต์ พุทธังสะระณังคัจฉามิ ... แบบพระในนิมิตเลย ความไพเราะเหมือนแบบก้อปปี้ออกมาจากที่เดียว และที่อัศจรรย์คือคนเพียงคนเดียวทำไมพลังของเสียงที่เปล่งออกมาจึงดังก้องสะท้านไปทั่วบริเวณที่กว้างใหญ่ได้ขนาดนั้น แล้วคนๆนี้มาจากไหน จึงมานั่งสวดมนต์ดังก้องกังวาลไปทั่ววัดสาวัตถีในขณะนี้ เพราะก่อนนั่งสมาธิก็มีแต่พวกเรากันเอง เมื่อเขาสวดมนต์จบอาจารย์ยายเลยถามเพื่อนที่มาด้วยกันว่า “คนนี้มาจากไหน เขาเป็นใคร“ เพื่อนที่ได้ฟังเขาสวดมนต์ต่างน้ำตาไหลกันทุกคน พร้อมบอกว่า เขาเป็นคนเฝ้าบริเวณนี้ อาจารย์ยายจึงหยิบน้ำมะม่วงกล่องที่ชื้อในอินเดียส่งให้ชายคนนั้น พอเขารับเขาบอกพวกเราว่าเขามีอายุหกสิบกว่าปีแล้ว ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้กินน้ำมะม่วงกล่องเป็นครั้งแรกในชีวิต อาจารย์ยายฟังแล้วอึ้ง รู้สึกสะเทือนใจ นึกว่าน้ำมะม่วงกล่องเล็กๆไม่กี่รูปี ทำไมเขาจึงไม่มีโอกาสชื้อกิน ช่างน่าสงสารจริง อาจารย์ยายจึงหยิบเงินรูปีทั้งหมดที่มีติดตัวส่งให้เขา ผู้อ่านคงคิดไม่ถึงกันแน่ว่าอะไรเกิดขึ้น ผู้ชายแขกแปลกหน้า เขายกมือให้อาจารย์ยายแล้วบอกว่า “เราขอบคุณ อีกไม่นานเราก็ต้องตายแล้ว ชีวิตเราไม่เคยขอเงินใครเลย ขอให้เราตายไปพร้อมกับการไม่ขอเถอะครับท่าน” เขาก้มลงกราบอาจารย์ยาย ชึ่งในขณะนั้นท่านยังสาวอยู่เลย แล้วเขาก็เดินจากไป ทิ้งให้อาจารย์ยายคิดตามหลังเขาว่า เงินคือเศษกระดาษสำหรับคนบางคนที่จิตยึดในคำสอนของพระพุทธองค์ ชึ่งเขาบอกก่อนลาจากว่า “เรานั้นมีพระพุทธเจ้าหนึ่งเดียวในดวงใจ เรามอบหัวใจทั้งหมดในชีวิตนี้ถวายให้พระองค์ไปหมดแล้ว เมื่อวันที่เราตายจากโลกนี้ไป เราคงได้พบพระองค์แล้วก้มลงกราบบาทพระศาสดา” จากนั้นเขาก็เดินจากไป อาจารย์ยายจึงก้มลงกราบต้นโพธิ์พระอานนท์แล้วขอขมาลาโทษ ถ้าเคยทำอะไรล่วงเกินพระแม่ธรณี พร้อมแผ่เมตตาถวายท่าน ที่ทำให้มีโอกาสได้พบสิ่งมหัศจรรย์ ทั้งในนิมิตแล้วก็ของจริง รวมทั้งยังมีพยานกล่าวอ้างอิงได้อีกด้วย ทุกคนที่ร่วมเดินทางไปด้วยยังมีชีวิตอยู่กันทั้งนั้น ต่อจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ไม่ว่าจะเกิดถ่ายหนักเบาที่ไหน อาจารย์ยายจะยกมือขอขมาก่อนทุกครั้ง และแผ่เมตตาให้ท่านทุกครั้งเป็นเวลานานมากนับจากวันนั้นจนถึงทุกวันนี้
    สำหรับเหตุการณ์ในอินเดียครั้งนั้น หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งปี ในปีที่สอง อาจารย์ยายได้เดินทางไปอินเดีย และไปที่ต้นโพธิ์พระอานนท์อีกครั้งหนึ่ง ท่านได้ถามคนเฝ้าวัดถึงผู้ชายคนนั้น และคำตอบที่ได้ก็คือ เขาได้ตายไปแล้วในปลายปีนั้นเอง สาธุ ขอผลบุญที่เคยกระทำมา นำส่งเขาสู่สุขคติโลกสรรค์ เทอญ(คำพูดอาจารย์ยาย)
    บ้านสนทนาธรรมภวันตุเต ก่อนที่จะมีรูปปั้นพระแม่ธรณีองค์ที่เห็นดังรูปที่โพสมาบูชา โดยที่อาจารย์ยายไม่ได้แสวงหา แต่ท่านได้มาเองจากการที่ช่วยให้ลูกของอาจารย์ยายขายที่ดินได้ คนที่หนึ่งยี่สิบแปดล้าน คนที่สอง สามร้อยล้าน จึงเป็นที่มาของพระแม่ธรณีที่ประทับอยู่ในภวันตุเตดังที่เห็น แล้วเป็นที่มาของเรื่องเล่า ตอนต่อไป ครับ สาธุ (แฮปปี้)
    รับรู้เรื่องราวอื่นๆได้ที่ https://www.facebook.com/ubonwattana.limlertpong.9
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 พฤษภาคม 2014
  12. happyokay

    happyokay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +447
    ปาฏิหาริย์พระแม่ธรณี ตอนที่สอง
    เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มีพี่คนหนึ่งเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ยาย แต่อาจารย์ยายท่านบอกว่า ขอเรียกว่า ลูกหลานดีกว่า ได้มาปรารภว่า “อยากขายที่ดินได้ ขอให้คุณแม่ช่วยด้วยเถอะ ไปดูที่ของหนูหน่อยเถอะค่ะ ถือว่าไปเยื่อมเยืยนหนูสักครั้ง” ในที่สุดอาจารย์ก็ตอบไปว่า “ไป” แล้วก็ไม่ยอมไป ทั้งๆที่ ที่ดินชึ่งก็อยู่ใกล้ๆ ทำให้พี่เขาสงสัยว่า ทำไมอาจารย์ยาบอกว่า ไป แต่ไม่ได้ไป ท่านจึงบอกว่า “ยืนอยู่ตรงไหนก็อธิษฐานถึงพระแม่ธรณีได้ทั้งหมด และตอนนี้ก็อธิษฐานขอบารมีพระแม่ธรณีให้แล้ว” จากนั้นอาจารย์ยายจึงบอกพี่เขาว่า “จะขายที่ได้ แต่ขายได้ไม่ถึงยี่สิบแปดล้าน แต่จะขายได้แค่ยี่สิบเจ็ดล้าน” ในขณะนั้น พี่เขาก็ยังงง เชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง เพราะตอนนั้นยังไม่มีใครมาติดต่อซื้อเลย จากนั้นพี่เขาเลยถามว่า “อีกนานป่าวค่ะคุณแม่” อาจารย์ยายบอกว่า “ก็เรากำลังจะเดินทางไปกราบพระพุทธเจ้าที่ประเทศอินเดีย อีกเดือนหนึ่งก่อนถึงเวลาเดินทาง ลูกจึงจะสามารถขายที่ดินแปลงนั้นได้จริงๆ ในราคายี่สิบเจ็ดล้าน” และความมหัศจรรย์ก็ปรากฎขึ้น นั่นคือ พี่คนนี้สามารถขายที่ดินได้ในราคา ยี่สิบเจ็ดล้านก่อนจะเดินทางไปอินเดียหนึ่งเดือนจริงๆอย่างน่าเหลือเชื่อ ในเวลานั้นเป็นช่วงที่อาจารย์ยายกำลังก่อสร้างตึกสนทนาธรรม ซึ่งใกล้จะเสร็จเต็มทีแล้ว อาจารย์ยายหวังว่าจะทำให้เสร็จก่อนเดินทางไปอินเดีย ด้วยพระคุณของอาจารย์ยายที่เมตตาพี่เค้าในครั้งนี้ พี่เขาเลยขอเป็นเจ้าภาพสมทบช่วยอาจารย์ยายมา หนึ่งแสนบาท(ผมขอ อนุโมทนา สาธุกับพี่ด้วยครับ) ลูกหลานภวันตุเตทุกคที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างทึ่งในความเมตตา และความมหัศจรรย์ของพระแม่ธรณีไปตามๆกัน จึงมีความคิดอยากอัญเชิญพระแม่ธรณีมาตั้งบูชากราบไห้ว ที่ภวันตุเต แต่อาจารย์ยายท่านยังเฉยๆ จึงไม่มีใครกล้า เพราะเหตุผลของท่านก็คือ ความศรัทธา ความนับถือ อยู่ที่จิต ไม่ใช่สิ่งสมมุติ
    ต่อมาอีกสองเดือน คุณพี่สุขสันต์ลูกคนโปรดของอาจารย์ยาย ไดัโทรสับมาหาพี่แหม่มซึ่งเป็นพี่สาว ซึ่งในขณะนั้นพี่แหม่มอยู่ที่ภวันตุเตกับอาจารย์ยาย พี่สุขสันต์ได้บอกว่า “จะเป็นนายหน้าขายที่ดิน ในราคาสามร้อยล้านบาท ขอให้พี่แหม่มช่วยเดินไปบอกคุณแม่ให้ที และขอให้คุณแม่เมตตาช่วยให้ขายได้” จากนั้นพี่แหม่มได้เดินถือโทรสับมาหาอาจารย์ยาย พร้อมบอกให้อาจารย์ยายได้รับรู้เรื่องดังกล่าว เพียงพี่แหม่มพูดจบเพียงเท่านั้น ท่านเลยลุกขึ้นจากการสนทนาธรรมกับคนมากมาย จากนั้นจึงบอกพี่แหม่มจุดธูปมาให้เก้าดอก แล้วท่านก็เดินตรงไปที่กลางสนามหญ้าเพื่ออธิฐานจิตเงียบๆ แบบไม่มีใครได้ยิน พออธิษฐานเสร็จท่านก็ปักธูปลงกลางสนามหญ้า แล้วบอกพี่แหม่มให้บอกพี่สันต์ว่า “แม่จุดธูปบอกพระแม่ธรณีให้แล้ว สันต์จะขายที่ได้แน่นอน ยังไงก็แล้วแต่ ให้ส่งข่าวบอกด้วย ถ้าเป็นจริง”
    หนึ่งอาทิตย์ต่อมา สิ่งที่น่าเหลือเชื่อก็บังเกิดขึ้นอีกครั้ง พี่สุขสันต์ได้ส่งข่าวมาบอกว่า ขายที่ได้ในราคาสามร้อยล้านได้จริงๆ เป็นเรื่ีองที่พวกเราตื่นเต้นกันมาก และที่แปลกคืออาจารย์ยายไม่เคยทำเรื่องแบบนี้ให้เห็นเลย โดยเฉพาะการจุดธูปทำพิธีอะไรแบบนี้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เห็นอาจารย์ยายปักธูปบอกกล่าวพระแม่ธรณีให้เห็น พี่สันต์ได้ระลึกถึงพระคุณของอาจารย์ยายที่พี่เค้าเรียกท่านว่า”คุณแม่” ที่เมตตาช่วยเหลือในครั้งนี้ และที่ผ่านๆมา พี่เค้าจึงนำเงินมาให้อาจารย์ยายสองแสนบาท เพื่อร่วมสร้างตึกสนทนาธรรมที่พวกเราได้เห็น และได้เข้าไปนั่งสนทนาธรรมกับอาจารย์ยายในวันนี้ครับ
    จากเงินสามแสนบาทที่พระแม่ช่วย และประทานพรให้อาจารย์ยายผ่านลูกหลานภวันตุเต แบบแตกต่างกันไป ในกาลต่อมา สำหรับพี่ที่ขายที่ได้ยี่สิบเจ็ดล้าน ก็ได้พาพ่อ และแม่ไปเที่ยวเมืองลาว พอพี่เค้าได้เห็นรูปปั้นพระแม่ธรณีเลยซื้อกลับมา แล้วนำมามอบให้อาจารย์ยายตั้งไว้ให้พวกเราได้เคารพ และขอพรท่าน เพื่อความเป็นศิริมงคลครับ
    อาจารย์ยายบอกแฮปปี้เสมอครับว่า “เวลามาบ้านภวันตุเตทุกครั้งก่อนกลับ ก็ขอให้กราบพระแม่ธรณี แล้วให้ใช้มือแตะน้ำที่เป็นฐานรองพระแม่อันเป็นสมมติแทนน้ำ ที่ท่านบีบออกมาจากหมวยผม แล้วนำมาแตะเนื้อตัว ลูบศรีษะ เพื่อความเป็นสิริมงคล ยายเชื่อว่าพระแม่จะประทานพรให้นะลูก จำไว้ สาธุ”
    ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของเรื่อง “พระแม่ธรณีที่ภวันตุเต” ด้วยความเมตตาของอาจารย์ยายจึงทำให้แฮปปี้มีเรื่องมาเล่าให้พี่ๆ น้อง ๆและเพื่อนๆได้ฟังกันครับ อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ (แฮปปี้)
     

แชร์หน้านี้

Loading...