ผมนั่งสมาธิแล้วรู้สึกมีเปลวไฟอ่อนนุ่มละมุลหุ้มทั่วร่างกายบางทีรอบศรีษะถามผู้รู้

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นายเมธี12, 11 มกราคม 2009.

  1. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    ผมเป็นอีกคนนึงที่รู้สึกแปลกๆ ในการนั่งสมาธิ ตอนที่อยู่ ประถมศึกษาซึ่ง ผมได้เคยนั่งสมาธิครั้งแรกตอน ป.3 ก็ไม่ค่อยจะเห็นอะไรเลยเพราะครั้งแรก แต่นั่งไปสักพักตอนแรกๆจะเห็นเป็นสีแดงๆเต็มไปหมดพอสักพักจะเป็นเหมือนภาพนี้[​IMG]
    หลังจากนั้นผมก็นั่งไปเรื่อยๆจนเหมือนมีจุดสีขาวๆเปล่งประกายสว่างขึ้นเรื่อยๆสว่างมากสว่างจ้าเลย พอโตขึ้น เริ่มหลับตา สีแดงๆจะกลายเป็นสีม่วงๆดำๆไม่ใช่สีแดงแล้ว ก็จะสว่างเหมือนในภาพ หลังจากนั้นก็จะสว่างจ้ามากเลยเหมือนกับเห็นดาวกลางแสงแดดยังไงยังงั้นเลยล่ะคับ
    [​IMG]
    แล้วก็รู้สึกร้อนผ่าวๆ ทั่วร่างกาย สู้สึกเหมือนเปลวไฟที่โดนลมพัดแล้วจะไหวไปมาตามที่ลมพัดพอลมหยุดพัดก็กลับมาที่เดิมไม่ไหวติง อยู่ทั่วร่างแต่เปลวไฟนี้ไม่ร้อน แต่กลับอุ่นๆ (ยิ่งอยู่ที่อากาศเย็นก็ไม่ค่อยจะรู้สึกหนาวเท่าไหร่เพราะมีเปลวไฟนี้ห่อหุ้มอยู่มีบ้างที่มันไหวแล้วรู้สึกเย็นๆบ้างนิดๆแต่ก็กลับมาอุ่นเหมือนเดิม)[​IMG](ภาพนี้ไม่ใช่การฝึกกสิณนะครับแต่อยากให้ดูว่าลักษณะเปลวไฟที่หุ้มร่างกายถ้าเมื่อมีลมจากที่ไหนก็ตามมันก็จะไหวพริ้วตามลมแต่ก็จะกลับมาหุ้มเหมือนเดิมครับ) แล้วผมก็มีไฟหุ้มร่างกายนี้ตอน ตั้งแต่ผมอยู่ ป.3แล้วล่ะคับ ถ้าอยู่ในห้องทึบๆที่ไม่มีลมพัด ไฟก็จะไม่ไหวไปมาก็จะนิ่งไม่ไหวติง

    นั่งสมาธิไปนานๆ(ในถ้ำตอนบวช)และก็ตอนนี้ด้วย นั่งนานๆไปแล้ว ลมหายใจแผ่วๆเหมือนกับไม่หายใจเลย แต่ก็ไม่รู้สึกอึดอัด รู้สึกว่าตัวเองเอนไปเอนมาเหมือนกับลูกตุ้มยังไงยั้งงั้น พยายามฝืนที่จะหายใจแต่มันกลับหายใจได้นิดเดียว แล้วภาพที่เห็นมันกลับเป็นแสงสว่างแบบใสๆ (นั่งนานๆแล้วจะเป็น)
    แล้วขณะนั่งนั้นบางครั้งจะรู้สึกขนลุกจากกลางหลังหรือ กระดูกข้อสุดท้ายของกระดูกสันหลังแล้วก็ค่อยๆไล่ขึ้นมาจนถึงบนหัว แล้วก็จะรู้สึกขนลุกอยู่ที่หัวคล้ายๆปิติล่ะมั้งคับผมก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่ แม้กระทั้งเกือบทุกอิริยาบถของผมก็มีเหมือนเปลวไฟ ไม่ต้องนั่งสมาธิก็มีเหมือนกันคับ ความรู้สึกเหมือนไฟห่อหุ้มร่างกาย คือมีตลอดเวลา เลยครับ

    หลังจากนั้นเรื่องๆแปลกก็เกิดขึ้น เหตุการ์ณเฉียดตาย หลายครั้ง รู้เหตุการ์ณล่วงหน้า(แล้วแต่สิ่งที่อยากให้ผมเห็น แต่ไม่ชัดเหมือนกับกำลังฝันในขณะที่เราตื่นอยู่) ปัจจุบัน และอดีต(ไม่ค่อยจะได้เห็นแต่ก็มีบ้าง)แล้ว ความรู้สึกล่าสุดวันนี้ ผมรู้เรื่องข่าวสองสามวัน ของสถานที่อัปโคจร ที่เป็นข่าวตายไปหลายศพ50กว่าศพ ที่ ผับซานติก้า ผมนึกถึงที่นั้นในวันนั้นเดี๋ยวนั้นเลย แล้วผมก็เห็นภาพลางๆคล้ายๆกับฝันหรืออะไรเนี๊ยะแหละแต่ตอนที่ผมเห็นภาพอยู่นั้นผมกำลังจะข้ามถนนนะผมมีสติแต่เห็นภาพได้ยังไงก็ไม่รู้ แล้วก็รู้สึกสงสารพวกเค้ามาก พวกเค้าทรมารมากๆๆ ผมเหมือนกับรับรู้ถึงความรู้สึกของพวกเค้าในขณะเกิดเหตุด้วย จนแขนขาผมเหมือนกับอ่อนแรง (ตอนที่เห็นภาพลางๆนั้นผมอยู่แถวๆประชาอุทิศนะครับ) บางท่านอาจจะไม่เชื่อแต่ ผมพูดจริงๆ ผมเป็นคนใจบุญสุนทานครับ เห็นใครเดือดร้อนก็ต้องช่วยเห็นขอทานก็ให้ทาน(ถึงจะเป็นดาบสองคมที่สนับสนุนให้พวกเค้าขอทาน)แต่ผมก็คิดแค่เค้าไม่มีโอกาส เอาเศษเงินที่ได้จาผมได้จากคนให้ทานหลายๆคน มารวมกันแล้วก็เอาไปซื้อข้าวเพื่อประทังชีวิต เรามีโอกาศที่ดีกว่าก็ควรจะช่วยเหลือคนอื่นสิจริงไหมคับ

    แล้วมีวันนึงผมโทรศัพย์คุยกับน้องคนนึง ซึ่งผมเคยเห็นมาภาพเหตุการมาก่อนหน้านี้แล้วไม่กี่วัน ผมคุยกับเค้าแล้วผมบอกกับน้องเค้าว่า สักพักผมจะเดินไปตรงกลางบ้านแล้วจะแกว่งแขนไปมาแล้วสักพักโทรศัพย์ที่บ้านน้องจะดังนะ ไม่แน่ใจว่า น้าหรือป้าโทรมา แล้ว สักพักผมก็เดินไปกลางบ้านจริงๆ แกว่งแขนแล้วอีกประมาณ5นาที ก็มีคนโทรเข้ามาบ้านของน้องเค้า จริงๆ (น้องก็ตกใจมากว่ารู้ได้ยังไง)

    ส่วนเรื่องเหตุการ์ณเฉียดตายนั้น ผมเราเรื่องเดียวแล้วกัน ว่า สมัยตอนยังเรียนอยู่ มัธยมต้น ม.3 ผมก็มีเพื่อนๆ แต่มีเพื่อนอยู่คนนึงที่ผมไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่ แล้ววันนั้น ผมก็ไม่รู้เหมือนกันจำไม่ได้แล้วแต่ที่แน่ๆรู้ว่าพูดไม่เข้าหูเพื่อนคนนี้ แล้วเพื่อนคนนี้มันเป็นคนติดยาบ้าขายยาด้วย ซึ่งตอนนั้นผมไม่รู้หรอกคับมารู้เอาตอนที่ผมอยู่เทคนิคแล้ว ตอนนั้น ผมพูดไม่เข้าหูเค้า แล้ว วันนั้นเป็นวันที่ผมรู้สึกแปลกๆ เวลาก็เย็นมากแล้ว ประมาณ17.00-18.00 ประมาณนี้ ผมเดินไปตรงกลางของโรงเรียน โรงเรียนจะมีถนนข้างใน แล้วมันเป็น3แยก ผมจะไปนั่งที่เก้าอี้ที่สามแยกนั้น ก็เดินมาเรื่อยๆไม่ได้ผิดปรกติอะไร สังเกตุดูแล้วก็ไม่มีอะไร แล้วตอนที่ผมกำลังคิดแล้วก็เอากระเป๋าขึ้นมาเพื่อที่จะวางไว้บนเก้าอี้นั้น ก็มีเพื่อนคนที่ผมพูดไม่เข้าหูเค้า ในมือถึงปากกากะจะเอาปากกามาปักที่หัวผม กะเอาให้ถึงตายกันเลยเหรอเนี๊ยะ แล้ว เหตุการ์ณก็เกิดขึ้น เค้าวิ่งมาขณะที่ผมหันหลังอยู่นั้น เค้าเอื้อมมือที่ถึงปากกาจะเอามาปักที่หัวผมกะแทงให้ตายแต่ทันใดนั้น ไม้กระบองลูกเสือมาจากไหนก็ไม่รู้สีขาวๆของลูกเสือสามัญ นักเรียนที่อยู่ระแวกนั้นก็ตกใจ ว่าคนที่จะแทงผมล้มลงเพราะสะดุดเจ้าไม้พลองสีขาวอันนึง เพราะถ้าไม่มีไม้พลอง อีกนิดปากกาก็จะปักที่หัวผมแน่นอน ผมหันมามองดูว่าเกิดอะไรขึ้นเค้าล้มหัวเกือบแตกขาและแขนเป็นแผล (ผมยังสงสัยอยู่ว่าไม่กระบองสีขาวๆหรือไม้พลอง มันมาจากไหนทั้งๆที่ผมเดินมาแล้วไม่เห็นเลย) ส่วนคนอื่นๆที่อยู่แถวๆนั้นก็ไม่มีใครสังเกตุไม้กระบองนั่นเลย เหตุการ์ณนี้ผมจำได้ขึ้นใจเลย
    แล้วมีอีกหลายๆเรื่องๆแต่ผมขอไม่เล่าแล้วกันเพราะมันจะยาวมากๆ
    ผมก็ลองนึกดูตั้งหลายครั้งว่าผมอุปทานขึ้นมาเองรึเปล่าแต่ ท้ายที่สุดแล้ว ก็ไม่ใช่คับ เป็นเรื่องจริง

    แล้ววันที่ 5 ธันวาคม 2551 เมื่อปีที่แล้ว ผมบวชให้ ในหลวง บวชให้พ่อแม่ บวชให้ครอบครัว ญาติพี่น้อง บวชให้ตัวเอง แล้วก็บวชให้กับ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นบุคคลที่ผมมองทีไรแล้วรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันทีโดยไม่ต้องนั่งสมาธิ เป็น บุคคลที่ผม เถิดทูร มากๆ
    ตอนนั้นผมอยู่ที่วัด ดอยกล่องข้าวจังหวัด เชียงราย(บ้านเกิด) แล้วก็มี เจ้าอาวาสต่างๆมารวมตัวกันเพื่อให้พวก พระ สามเณร แม่ชี และผู้ปฏิบัติธรรมที่นั้นได้ฝังเทศฟังธรรม
    มีเจ้าอาวาสท่านนึงเทศได้สนุกและได้ความรู้มากๆผมชอบมากเลยแต่ผมจำไม่ได้แล้วว่าท่านอยู่วัดไหน แต่ท่านเป็น เจ้าอาวาสที่มีความสามารถมากๆแต่ท่านมีอายุมากแล้ว เค้าเทศให้ฟังจะจบแล้วสุดท้ายก่อนที่ท่านจะกลับ ท่านถามว่ามีใครจะถามหรือสงสัยอะไรไหม ก็มีพระองค์อื่นๆยกมือ พระบางองค์ (ผมใช้ศัพย์ไม่ถูกก็ขออภัยด้วยนะครับ) พระบางองค์ก็ถามกับท่านเจ้าอาวาสว่า นั่งสมาธิไปแล้วรู้สึกเย็น แต่เจ้าอาวาสเค้าก็บอกว่าถ้านั่งไปเรื่อยๆแล้วจะ อะไรก็ไม่รู้ผมก็จำไม่ได้แต่ ผมก็ได้ถามท่านเหมือนกันว่า ผมนั่งสมาธิแล้วรู้สึกร้อนแผ่วๆ เจ้าอาวาสท่านก็บอกว่า ถ้าหากเจ้านั่งไปเรื่อยๆจะมองทะลุทุกอย่างเห็นทุกสิ่ง ซึ่งผมก็ตีคำตอบของเจ้าอาวาสไม่ค่อยจะออกสักเท่าไหร่และความหมายก็ยัง ฉงน กับคำตอบของท่าน
    แล้วเวลาก็ผ่านไป1ปีกว่าๆแล้วเหตุการเหลือเชื่อมากมายก็ผ่านไป1ปีด้วยเช่นกัน จนมาถึงทุกวันนี้ อยากถามผู้รู้หน่อยครับว่าผม เป็นอะไรยังไง ไม่ค่อยเข้าใจเลย เรื่องผับซานติก้า นั้นเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้ครับ

    ผมก็มีคำถามเยอะแยะมากมาย ล่าสุดเมื่อ3เดือนที่แล้ว ผมนั่งทำสมาธิทุกวัน วันละประมาณ1-2ชม. แต่มีอยู่วันนึงเหมือนกับผมรู้เองว่า(หรือมีใครมาบอก)ผมก็ไม่แน่ใจ ว่า ให้นึกว่า ร่างกายนี้หนอไม่ใช่ของเรา วิญาณนี้หนอไม่ใช่ของเรา ทุกอย่างนี้หนอไม่ใช่ของเรา แล้วผมก็เพ่ง ตัวเองอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่ได้อยู่ในรูปแบบ ร่างเนื้อกายหยาบ รู้สึกผมจะเป็นดวงๆ ผมไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ไม่ใช่บนโลกไม่ใช่ในจักรวาล แต่รู้สึก มีความสุข ปิติ แล้วผมก็นึกถึง องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วหลังจากนั้นไม่นานผมก็นึกขึ้นมาในใจ(จริงๆแล้วตอนแรกสงบมากแต่พอนานเข้าก็มีข้อสงสัยผุดขึ้นมาเยอะแยะมากมาย) ว่านี่หรือคือนิพพาน ในใจถกเถียกกันใหญ่ แล้วสักพักก็กลับมา แล้วผมก็ตกใจ ว่า วันนั้น ผมนั่งทำสมาธิไปได้ยังไงตั้ง 6-7ชั่วโมง ช่วงนั้นผมมีจิตใจที่สงบมาก หลังจากนั้นผมก็เปลี่ยนงานและพักหลังๆมานี่ไม่ค่อยจะได้นั่งสมาธิเลยจิตใจก็เลยถูกครอบงำไม่มีความสุขหงุดหงิด และตอนนี้จะกลับมานั่งสมาธิอีกครั้งทุกวันเหมือนเดิมแล้วครับ ท่านผู้รู้ ท่านใดช่วยตอบด้วยนะครับ ขอบคุณแล้วอนุโมทนา สาธุครับ

    (ตอนนี้อยู่ทางโลก)เคยคิดจะอยู่ทางธรรมไปตลอดชีวิตแต่ยังมีอะไรต้องทำบางอย่างในทางโลก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 มกราคม 2009
  2. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    23,321
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,025
    จขกท คงมีของเก่าดีๆจากชาติที่เเล้วติดมาเยอะครับ อนุโมทนาครับท่าน
     
  3. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,818
    ปฏิบัติสมาธิ จะมองเห็น อะไร จะรู้สึกอะไร ก็ย่อมเกิดจากความคิด เกิดจากข้อมูลที่จดจำไว้ในสมอง
    ถ้านั่งสมาธิ แล้วมองเห็นนั่นมองเห็นนี้ รู้สึกอย่างนั้น รู้สึกอย่างนี้
    ข้าพเจ้าเรียกว่า "ประสาทหลอน" ไม่ใช่การปฏิบัติสมาธิ แต่เป็นการนั่งหลับตาแล้วปรุงแต่งหลอกตัวเองว่า เห็นอย่างนั้น เห็นอย่างนี้ รู้สึกอย่างนั้น รู้สึกอย่างนี้
    จบขอรับ
     
  4. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    เอ....ผมว่าคนอย่างนี้น่าจะไปฝึก มโนมยิทธิ จะไปได้ไวนะ.....เคยฝึกหรือยังครับ...
     
  5. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    ขอบคุณครับทุกท่านที่เข้ามาตอบนะครับ
     
  6. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    ใช่แล้วคับผมเป็นเหมือนกันครับเวลาโกรธไฟที่อยู่บนหัว มันจะหายไป แต่ กลับมานั่งสมาธิ ใหม่ มันก็มีกลับมาเหมือนเดิมครับ ท่าน wawa
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 มกราคม 2009
  7. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    ผมยังไม่เคยฝึกเลยครับท่าน Phanudet อ่อนึกได้ว่าเคยฝึก กสิณไฟ กับ กสิณลม ก็เห็นภาพมันติดตาแล้วก็รู้สึกแปลกๆเวลามอง แต่ก็ยังไม่ถึงไหนเลยครับฝึกคนเดียว และ คงเป็นเพราะไม่มีอาจารย์ผมก็เลยเลิกฝึก มานั่งสมาธิเฉยๆ แทนอ่ะครับ
     
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ไปเรื่อยๆ ครับ อันนี้ก็เป็นพวกกสิณลม ที่ผู้ฝึกอาจจะฝึกผสมกับกสิณกองอื่นโดยเฉพาะไฟ

    ภาพที่คุณแสดงนั้น เป็นภาพนิมิตปรกติที่จะเกิดขึ้น ถ้าจะทำกสิณต่อก็ให้รับรู้ไปเบาๆ อย่า
    ได้สงสัย หรือ พยายามไปเพ่ง หรือ ไปหมุนตาม หรือ ไปนึกอยากให้มันหมุนหรือปรากฏ
    อย่างใจ ให้ผ่านๆ ตรงนี้ไปก่อน จนมมันรวมกันเป็นแสงขาวก็ค่อยว่ากันต่อในขั้นต่อไป

    เพราะขั้นการรวมตัวนั้นก็ต้องฝึกอีก ฝึกเห็นได้แล้วก็ค่อยทำปฏิภาคินิมิตตามจิตอธิษฐาน

    หากรีบร้อนจะสร้างภาพให้เป็นอย่างใจ โดยคิดว่าเป็นปฏิภาคินิมิต ก็จะไม่ก้าวหน้า

    * * * *

    สำหรับ การยกปัญญา ก็ให้ระลึกดูอารมณ์ที่มีจิตพอใจที่ได้เห็น หรือ บางทีก็อาจจะเกิด
    ความไม่พอใจที่ได้เห็น บางครั้งไม่เห็นก็อยากจะเห็นจนสร้างภาพขึ้นมาเอง มันจะมืด
    กว่า และหนัก แข็งกว่าเห็นแบบนิมิตเกิดเองตามกระบวนการปรกติ

    ให้ระลึกดูอารมณ์ พอใจ ไม่พอใจ อยากมี อยากเป็น ไว้ด้วย ตรงนี้จะเป็นการอบรมให้
    จิตจดจำสภาวะธรรม เป็นการเจริญสติให้เข็มแข็ง ซึ่งจะทำให้ศีลบริบูรณ์ขึ้น ควบคู่ไป
    กับฝึกกสิณ ถ้าหากลืมยกปัญญา การคอยดูพอใจ ไม่พอใจ อยากมี อยากเป็นไว้ จะทำ
    ให้คลาดธรรมฝ่ายกุศล และอาจจะพลั้งเอาสมถะสมาธิไปใช้ในทางสนองความอยาก

    ซึ่งเป็นเรื่องอันตราย เช่น หากไปเจอสงฆ์ ก็จะนึกประลองฤทธิ์ ดั่งพระเทวทัตประลอง
    กับพระพุทธเจ้า เป็นต้น ผลของกรรมคงไม่ต้องบรรยาย
     
  9. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อ้อ ดีแล้วครับ มาทำสมาธิแบบเฉยๆ ไว้ก่อน สมาธิเฉยๆ นี่ไม่ใช่เพื่ออาการ
    ซึมนะครับ ต้องหาสมาธิที่เป็นการฝึกสติ โดยกลับไปที่ อานาปานสติ หรือ
    กรรมฐานท้องพองยุบ ดีที่สุดคือจงกรม เพราะกรรมฐานที่ยังใกล้กรรมฐาน
    กสิณเวลาทำแล้ว จิตอาจจะกลับไปเห็นนิมิตแบบเดิม ในขณะที่สติอินทรีย์
    ยังไม่ดีพอ(จะหมายถึงศีลไปบริบูรณ์ด้วย)

    นี่ถ้ากลับย้อนไปศึกษาบท จิตสิกขา เพิ่มก่อน ก็จะทำให้ทันสภาวะธรรมที่
    เกิดขึ้นในกาย ในใจเราได้ดียิ่งขึ้น ศีลจะบริบูรณ์ขึ้นจนรองรับคุณธรรมพิเศษ
    ได้
     
  10. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    ใช่ครับท่าน telwada ผมคิดผมคิดว่าคงเป็นยังงั้นแต่ความเป็นจริงไม่ใช่อะครับ เพราะผมมีอะไรไม่แตกต่างจากคนอื่นเลย ผมก็เลยใช้คำอุปทานคิดว่าตัวเอง ประสาทหลอน อย่างที่ท่านtelwada บอกล่ะมั่งครับ แต่เหตุการ์ณมันเหมาะเจาะอะไรเกินไปอย่างนั้น ทั้งในความคิด ในโลกแห่งความเป็นจริง แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้มากมายอะไรนัก แค่อยากนั่งสมาธิไปเรื่อยๆ ดีกว่า นั่งสมาธิแล้วรู้สึกดี ปิติ อย่างบอกไม่ถูก
     
  11. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    ความรู้สึกที่มีไฟ โดยรอบนั้นผม รุ้สึกตั้งแต่เด็กตอนอยู่ป.3มาจนถึงทุกวันนี้แล้วครับ การฝึก กสิณ ไฟ กับ กสิณลมนั้งผมเพิ่งมาฝึกก็เอาตอนจบมหาลัยใหม่ๆ นี่เองก็ไม่เปลี่ยนไปจากเดิม ก็ยังรุ้สึกเหมือนเดิมครับ ผมก็เลยคิดว่าคงไม่ใช่หรอกครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 มกราคม 2009
  12. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ก็ภาพลมดำๆ ควันดำ หรือ ขาว หรือ ดาวระยับ นั้นคือ กสิณลมครับ

    ถ้าหากฝึกแบบจับที่ปลายจมูก โดยเป็นอานาปานสติแบบหนึ่ง จะทำให้ได้
    ภาพนิมิตนี้ ส่วนความร้อน ก็เป็นผลพลอยได้ หากจิตตอนจับลมกระทบไป
    จับเอาตรงจุดสัมผัสที่ปลายจมูก จะทำให้รู้ลมร้อน เย็น ซึ่งคือธาตุไฟ แต่ถ้า
    จับลงที่เนื้อจมูกอีกก็จะได้ธาตุดิน ส่วนธาตุน้ำนี่ไม่ขอบอก เพื่อกันความฝุ้งซ่าน

    ถ้าคุณจะยินดีอยู่กับการเห็นภาพนิมิตแค่นี้ หรือแม้แต่การรู้สึกไอร้อนรอบตัว
    ก็จะติดอยู่ตรงนี้แหละครับ หากจะทำจะเดินต่ออย่างไรก็ต้องปล่อยวาง แต่
    คำว่าปล่อยวางนี้ไม่ได้ให้เลิกทำ แต่ให้ปฏิบัติอย่างปล่อยวางมันจึงจะเห็นผล

    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย สอนว่า "สมถะเริ่มเมื่อหมดเจตนา" เอาคำสอนพระป่า
    สั้นๆ ไปขบไปฝึกเอานะครับ แต่ให้ดี ก็ควรฝึกกับครู ซึ่งแปลว่าคุณจะพร้อม
    น้อมตัวลงฟังคำสอน หากฝึกเองจะขาดอินทรีย์ศรัทธาเรื่อยๆ สุดท้ายจะทำ
    ให้วกกลับเข้าศาสนาพุทธได้ยาก

    * * *

    ขอเสริมคำพระให้ครบประโยค

    "สมถะเริ่มเมื่อหมดเจตนา วิปัสสนาเริ่มเมื่อหยุดคิด"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มกราคม 2009
  13. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    แล้วอีกอย่างภาพตัวอย่างนั้นผมทำให้เห็นว่าลักษณะของ ไฟที่หุ้มร่างกายผมเป็นยังไงเท่านั้นเองเวลาลมพัดเข้ามา ไฟที่หุ้มร่างกายมันเป็นยังไงหน่ะครับ ถ้านั่งในห้องที่ไม่มีลมก็จะ เป็นไฟหุ้มธรรมดาครับไม่ไหวติง ไม่ใช่ภาพฝึก กสิณนะครับท่าน นิวรณ์
     
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ในทางพุทธ หากจิตไปเห็นธาตุสี่เป็นอารมณ์ฌาณ ก็คือ กสิณ หนะครับ

    คำว่า กสิณ เป็นคำกลางๆ ไฟนั้นจะให้ปรากฏอย่างไรก็ได้ จะให้เห็นว่า
    หุ้มกายก็ได้ เป็นเทียน เป็นกองไฟ เป็นดวงก็ได้ ล้วนคืออันเดียวกัน

    ตรงนี้ก็เป็นขั้นภาพติดตา ก็เหมือนกับการฝึกของพวกมโนยิทธิที่ดูรูปพระ

    ซึ่งยังต้องฝึกไปเรื่อยๆ

    อย่างภาพควันดำๆ นั่น โดยส่วนตัวผมก็ยกให้เป็นรูปของจักรวาล จะหนึ่งวง
    สองวง สามวง สี่วง ก็ว่ากันไป แต่ก็เท่านั้น เพราะมันอันเดียวกัน เพียงแต่
    เราปรุงเพิ่มอย่างไร หากยังเผลอปรุงเพิ่มก็จะไม่เข้าใจคำว่า "หมดเจตนา"

    ขอบจบแค่นี้นะครับ ถ้าหากจะถกเรื่องกสิณ แต่ถ้าจะถามเรื่อง วิปัสสนา
    อย่างไร ต่อยอดวิปัสสนาอย่างไร จะเจริญสติให้เข็มแข็งควบคู่คอยควบ
    คุมเป็นพี่เลี้ยงการทำกสิณต่ออย่างไร ก็จะช่วยกล่าวเรื่องวิปัสสนาต่อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มกราคม 2009
  15. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    ขอบคุณครับท่านนิวรณ์ ที่ช่วยให้กระจ่าง แต่จะปรุงแต่งอย่างไรนั้น ผมก็ไม่ทราบนะครับเพราะ มันเป็นไปเองนั่งสมาธิที่ไรมันจะเห็นอย่างนี้ทุกทีไป
     
  16. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    เคยมีพระบางองค์พูดเหมือนกับท่าน tummaism เลยครับ ท่านเข้ามาทัก
     
  17. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อย่าพึ่งเข้าใจคำว่า ปรุงแต่ง นี่เป็นคำที่ผมพูดเพื่อตำหนินะครับ มันเป็นคำกลางๆ
    ที่ใช้บรรยายธรรม แบบธรรมดา ก็เหมือนคำว่า วิปลาส คำว่า ของชาวบ้าน คำ
    เหล่านี้เป็นคำที่พระพุทธองค์ก็ใช้สอน ดังนั้น ขอให้ปรับระดับสัญญาการหมายรู้
    เวลาเจอคำแปลกๆ อย่าให้นิวรณ์มันตีขึ้นมาก่อน ให้ฟังไปแบบได้ยินคำบรรยาย
    ธรรมะแบบธรรมดาๆ

    หากพอปรับได้ มาลองดูนัยหนึ่ง

    คุณลองนึกดูสิครับ ภาพไฟล้อมตัวปรากฏตอนไหน เฉพาะเวลาฝึก หรือ อยู่ใน
    สมาธิใช่ไหม มันปรากฏตลอดเวลาในชีวิตจริงหรือเปล่า จะเห็นว่าไม่มี แต่มัน
    มาจากไหนหละ

    มันมาจาก จิต ที่เป็นเพียงธาตุรู้ ไม่ใช่อะไรที่เป็นตัวเรา มันทำหน้าที่เป็นธรรม
    ชาติรู้ มันไปรู้ในแบบของจิตในอาการของธาตุที่ไหลเข้าออกในกานในใจเรา

    เช่นการเห็น ควันหมุนๆ หากมองด้วยสายตานี้ไม่เห็น แต่ จิต เขาเป็นธรรมชาติรู้
    เขาเห็นได้ละเอียดกว่าตาเนื้อ เขาจึงเห็นอนูของอากาส มันไหลวนเป็นดังวังน้ำ
    วนก่อนที่จะมุดเข้าสู่รูจมูก หากคุณเคยนั่งดูน้ำที่ไหลลงท่อล้างหน้า จะเห็นมันวน
    แบบนั้นด้วยตาเปล่า แต่กรณีของ จิต ที่รับรู้ได้ละเอียด ก็จะเห็นอนูธาตุมันไหล
    เข้ารูจมูกได้ แต่เห็นแล้วสร้างภาพอย่างไรเพื่อให้เราได้รู้ด้วย ก็ต้องใช้ภาพของ
    ควันบ้าง ดาวบ้าง จักรวาลบ้าง กาแลคซี่บ้าง เป็นสัญญาภาพที่ทำให้หมายรู้ตาม จิต
    ที่เขาเป็นธาตุรู้ ไม่ใช่เรา เขาไปรู้ของเขาได้ ตรงที่เราเอาสัญญาแบบต่างๆเข้า
    ไปจับเพื่อรับรู้ตามธาตุจิตรู้ ก็คือ การปรุง ก็คือ ส่วนของขันธ์5

    หลวงปู่มั่น หลววงปู่ดูลย หลวงพ่อพุธ จะกล่าวเป็นทางเดียวกันว่า การเห็นนิมิต
    ก็คือ การส่งจิตออกนอก เพราะมันต้องเอาธาตุรู้ที่เป็นจิตบางขณะไปรู้ในกอง
    สัญญาขันธ์ เวทนาขันธ์ วิญญาณขันธ์ เพื่อปรุงนิมิตขึ้นมารู้ในแบบสมมติสัจจะ

    หากจะคงการรู้แบบไม่ปรุง ก็จะเห็นเพียงธาตุ รับรู้แค่การมีอยู่ของธาตุ 4 จะคง
    การรู้อยู่ที่ปรมัตถสัจจ ไม่หลุดออกมาปรุงเป็นสมมติสัจจะ อันนี้คือขั้นต่อไปใน
    การรู้ แต่น้อยคนจะเห็นได้ ส่วนใหญ่จะติดการรับรู้ในแบบเห็นนิมิต(สมมติสัจจ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มกราคม 2009
  18. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    ขอบคุณและอนุโมทนาครับท่าน นิวรณ์ แต่ยังมีข้อสงสัยคลางแคลงใจ ว่า นั่งสมาธิไปนานๆ(ในถ้ำตอนบวช)และก็ตอนนี้ด้วย นั่งนานๆไปแล้ว ลมหายใจแผ่วๆเหมือนกับไม่หายใจเลย แต่ก็ไม่รู้สึกอึดอัด รู้สึกว่าตัวเองเอนไปเอนมาเหมือนกับลูกตุ้มยังไงยั้งงั้น พยายามฝืนที่จะหายใจแต่มันกลับหายใจได้นิดเดียว แล้วภาพที่เห็นมันกลับเป็นแสงสว่างแบบใสๆ กว้างใหญ่มากๆ ขนาดอยู่ในถ้ำแล้วยังสว่าง สวยมากครับ แต่ผมก็ไม่ได้ยึดติดกับตรงนี้แค่สงสัยเท่านั้น (นั่งนานๆแล้วจะเป็น) ขอบคุณครับที่มาตอบเพื่อให้ความรู้ อนุโมทนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 มกราคม 2009
  19. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ก็ไปเรื่อยๆ ครับ คำถามสุดท้ายนี้คือส่วนของการเดิน ฌาณ ฝึกได้อย่างนั้นก็ดีแล้ว

    แต่เมื่อออกจากสมาธฺแล้ว อย่าลืมตามรู้ใจตน ที่มันจะมี ยินดี หรือ ไม่ยินดี ให้ระลึก
    ตามดูตามรู้ใจตัวนี้ไว้ด้วย เป็นการยกวิปัสสนาญาณไปพลางๆ หากเข้าออกฌาณ
    อย่างเดียว น่าเสียดายขณะที่จิตที่พึ่งถอยออกจากฌาณ อารมณ์ยินดี ยินร้ายที่เกิด
    ขึ้นขณะนั้นจะละเอียดปราณีตและร้ายมาก หากเราฝึกเห็นตรงนั้น จนรู้ทัน แล้วสติเกิด

    พออารมณยินดี ยินร้ายชนิดละเอียดปราณีตเกิดแล้ว สติรู้ทัน มันจะขาด ตรงนี้จะทำ
    ให้จิตบริสุทธิ ฌาณที่ทำมาไม่เสียเปล่า แถมบริสุทธิตามไปด้วย เพราะ สติที่เกิดทัน
    การผุดของอารมณ์ยินดี ยินร้ายชนิดปราณีต ตัวนี้จะเป็นตัวปัญญาในทางพุทธศาสนา
    เพราะมันจะทำหน้าที่พาจิตเราให้ห่างจากกิเลส สภาวะจิตที่ห่างจากกิเลสนี่ ก็คือ นิพพาน

    ดังนั้น หากเราทำฌาณ แล้วตามระลึกรู้ยินดี ยินร้ายที่เกิดขณะถอยออกจากการทำฌาณ

    ก็ชื่อได้ว่า เรายังมุ่งตรงต่อการทำนิพพานให้แจ้ง ไม่ใช่ทำแต่ฌาณอย่างเดียว

    * * * *

    สิ่งที่ปรากฏในนิมิตทั้งหลายนั้น คุณรู้สึกไหมว่า มันง่ายๆ มันเห็นง่ายๆ ตรงนั้น
    มันแปลว่า เราจมกับมันมานานหลายอสงไขยแล้ว ดังนั้น อย่าไปยินดีกับการแค่
    เห็นนิมิตแบบนั้น ต้องไม่ลืมดูยินดี ยินร้าย ตรงนี้จะทำให้ฌาณลึกซึ้งขึ้น ในขณะ
    ที่จิตบริสุทธิขึ้น

    เชื่อผมเถอะครับ อย่าลืมยกวิปัสสนา ภาพนิมิตแบบที่คุณเล่าหนะ ผมเองก็ทำได้
    แต่เด็กเหมือนกัน เล่นอย่างนั้นมาเรื่อยจนเริ่มแก่ ยังไม่ได้อะไร มันวนเวียนซ้ำๆ อยู่
    อย่างนั้น

    แต่พอพบพระท่านชี้ทางการยกวิปัสสนาเท่านั้นแหละ แจ่มเลย พบเลยว่า การยก
    วิปัสสนานี่ไม่เคยรู้จักยังใหม่ ไม่เหมือนนิมิตซึ่งมันคุ้นเคยมานานนนแสนนนนานนนนนน

    * * * *

    ขออภัยนะ หากมีทำให้ขัดเคืองบ้าง ผมเน้นแต่จะชักชวนมาทำ วิปัสสนา ชี้ว่า ยกอย่างไร

    หากสนใจที่จะฝึกอย่างเดิมต่อ ก็รอท่านอื่นมาชี้แนะนะครับ

    อย่าลืมว่า การเห็นนิมิต ก็คือ การใช้ขันธ์5 เข้ามาสร้างสัญญาให้เราหมายรู้ และตราบใด
    ที่จิตยังแนบสนิทกับขันธ์5 ก็แปลว่า จิตไม่เห็นสิ่งที่ปราศจากขันธ์5(นิพพาน)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มกราคม 2009
  20. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    ขอบคุณครับ แต่ผมก็มีคำถามเยอะแยะมากมาย ล่าสุดเมื่อ3เดือนที่แล้ว ผมนั่งทำสมาธิทุกวัน วันละประมาณ1-2ชม. แต่มีอยู่วันนึงเหมือนกับผมรู้เองว่า(หรือมีใครมาบอก)ผมก็ไม่แน่ใจ ว่า ให้นึกว่า ร่างกายนี้หนอไม่ใช่ของเรา วิญาณนี้หนอไม่ใช่ของเรา ทุกอย่างนี้หนอไม่ใช่ของเรา แล้วผมก็เพ่ง ตัวเองอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่ได้อยู่ในรูปแบบ ร่างเนื้อกายหยาบ รู้สึกผมจะเป็นดวงๆ ผมไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ไม่ใช่บนโลกไม่ใช่ในจักรวาล แต่รู้สึก มีความสุข ปิติ แล้วผมก็นึกถึง องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วหลังจากนั้นไม่นานผมก็นึกขึ้นมาในใจ(จริงๆแล้วตอนแรกสงบมากแต่พอนานเข้าก็มีข้อสงสัยผุดขึ้นมาเยอะแยะมากมาย) ว่านี่หรือคือนิพพาน ในใจถกเถียกกันใหญ่ แล้วสักพักก็กลับมา แล้วผมก็ตกใจ ว่า วันนั้น ผมนั่งทำสมาธิไปได้ยังไงตั้ง 6-7ชั่วโมง ช่วงนั้นผมมีจิตใจที่สงบมาก หลังจากนั้นผมก็เปลี่ยนงานและพักหลังๆมานี่ไม่ค่อยจะได้นั่งสมาธิเลยจิตใจก็เลยถูกครอบงำไม่มีความสุขหงุดหงิด และตอนนี้จะกลับมานั่งสมาธิอีกครั้งทุกวันเหมือนเดิมแล้วครับ ท่านผู้รู้ ท่านใดช่วยตอบด้วยนะครับ ขอบคุณแล้วอนุโมทนา สาธุครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 มกราคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...