ผู้ปฏิบัติอย่าทำเล่นๆ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 15 สิงหาคม 2013.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    การปฏิบัติธรรมทางพระพุทธศาสนาในครั้งพุทธกาล ท่านปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรมเพื่อความหลุดพ้นจริงๆ ไม่ได้ปฏิบัติแบบสะเทินน้ำสะเทินบก ตะเกียกตะกายแบบเสือกคลานไปตามโลกตามสงสารเหมือนอย่างพวกเราเป็นอยู่ทุกวันนี้ จนศาสนาก็ถูกฉุดถูกลากให้กลายเป็นโลกไปด้วย จะไม่มีศาสนาอย่างแท้จริงปรากฏภายในหัวใจของชาวพุทธและผู้ปฏิบัติเราแล้วนะเวลานี้ มีแต่ชื่อธรรมชื่อมรรคผลนิพพานในตำรับตำราและในความจดจำแบบนกขุนทอง โดยผู้นับถือไม่ปฏิบัติตามจะเกิดประโยชน์อะไร ทั้งนี้เพราะอำนาจของโลกซึ่งบีบบังคับอยู่ภายในจิตใจเหยียบย่ำทำลาย และปกปิดทางดำเนินเพื่ออรรถเพื่อธรรมเสียหมด

    แม้แต่นักบวช เฉพาะอย่างยิ่งนักปฏิบัติที่ตั้งใจเข้ามาชำระสะสางกิเลส ยังกลายเป็นให้กิเลสเหยียบย่ำทำลายได้ต่อหน้าต่อตาโดยเจ้าตัวไม่รู้สึกตัว แม้รู้สึกตัวก็กลายเป็นเรื่องมีเจตนาไปในทางเหยียบย่ำทำลายตนและพระศาสนาไปในตัวมีจำนวนไม่น้อย เพราะฉะนั้น ทุกท่านที่ตั้งใจมาศึกษาอบรม จงอย่ามาทำเล่นๆ ลุ่มๆ ดอนๆ กีดๆ ขวางๆ อันเป็นแบบทำลายตนและพระศาสนาดังที่ว่านั้นเลย อกจะแตก ดูไม่ได้ จงคำนึงถึงพระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวกท่านอยู่เสมอ อย่าลืมเนื้อลืมตัวในความเป็นอยู่และการปฏิบัติทุกแง่ทุกมุม จะไม่พ้นความเป็นพระขวางธรรมแห่งศาสดาองค์เอกไปได้เลย รีบพากันคิดให้ถึงใจ อย่าเมามัวมั่วสุมฟังเพลงกิเลสโลกามิสอย่างเพลินใจไม่มีวันเวลาอิ่มพออยู่เลย

    เคยพูดเสมอว่าไม่มีสิ่งใดที่จะเหนียวแน่นแก่นทนทาน ยิ่งกว่ากิเลสที่ติดแนบอยู่ภายในใจของสัตว์โลก เพราะเป็นสิ่งที่ละเอียดแยบคาย เกินกว่าสติปัญญาธรรมดาจะตามรู้ได้เห็นได้ละได้อย่างง่ายดาย แต่เป็นสิ่งที่รู้ยากเห็นยากแก้ยากมาตลอด พระพุทธเจ้าทรงแก้หรือทรงทำลายกิเลสถอดถอนกิเลส จนถึงขั้นสลบไสล ฟังดูซิเป็นของแก้ได้ง่ายๆ เมื่อไร จะมาทำแบบสุกเอาเผากิน เอาแต่ความสะดวกสบายประจำใจเข้าว่ากันกับกิเลสอยู่อย่างนี้ละหรือ ก็เรื่องทำนองนั้นมันเป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล ผู้ปฏิบัติจึงไม่ควรคิดว่าความสุขสบายเหล่านี้เป็นสิ่งที่จะถอดถอนกิเลส เพื่อได้รับความสุขความสบายยิ่งๆ เหนือกิเลสขึ้นไป ซึ่งผิดทางทั้งนั้น อย่าพากันหาญคิดและนำมาใช้ให้หนักพระศาสนา ซึ่งเดินสวนทางกันกับอาการดังกล่าวนี้

    ธรรมอยู่ฟากตาย ธรรมอยู่ที่การต่อสู้ ธรรมอยู่ที่การฝืน ฝืนกับกิเลสตัวชอบความสบาย แต่ขนทุกข์มาทับหัวใจอยู่เสมอ นี้คือเรื่องของกิเลสพึงทราบเสมอ การปฏิบัติไปไม่ถึงไหนล้มละลายๆ เพราะความอ่อนแอตามกิเลส เลยกลายเป็นเรื่องกิเลสฉุดลากไปทุกระยะ จนกลายเป็นการเสาะแสวงหากิเลสไปในตัว แล้วจะเจอธรรมที่ไหน

    หาสิ่งใดก็ต้องเจอสิ่งนั้น นี่เราหากิเลส หลงตามกิเลส หลงตามสัญญาอารมณ์ที่เคยคิดเคยปรุงขึ้นมาจากขันธ์ที่กิเลสผลักดันออกมา ให้คิดในเรื่องนั้นเรื่องนี้ แง่นั้นแง่นี้ อดีตอนาคต มีแต่เรื่องกิเลสทั้งมวลเต็มหัวใจ แล้วก็เอาเรื่องนั้นแหละมาครุ่นคิดมายึดมาถือ มาเสียบแทงจิตใจของตน เพราะนั่นเป็นอาการสั่งสมกิเลสโดยถ่ายเดียว ไม่มีธรรมเครื่องชำระกิเลสแฝงอยู่บ้างเลย การฝืนสิ่งเหล่านี้ต่างหากเป็นเรื่องของการแก้กิเลสและบาปธรรมทั้งหลาย

    ถ้าไม่คำนึงถึงความวิเศษของธรรมะและความเลวร้ายของกิเลสแล้ว จะเอาตัวไปไม่รอด เพราะกิเลสกับธรรมเคยเป็นข้าศึกกันมาแต่กาลไหนๆ การต่อสู้กับกิเลสต้องได้รับความทุกข์ความลำบาก เพราะกำลังของกิเลสมีมาก เมื่อสติปัญญาของเรายังมีน้อย กิเลสต้องมีมาก คอยแต่จะเหยียบย่ำทำลายสติปัญญา ศรัทธา ความเพียรให้ลดลงและขาดไปโดยลำดับ จนถึงกับล้มละลายไปก็มีจำนวนมากในวงผู้ปฏิบัติจิตตภาวนา

    มีแต่ชื่อว่ากรรมฐาน และอ้างตนเป็นลูกศิษย์สายท่านอาจารย์มั่นด้วย นี้อันหนึ่งที่จะทำลายพระกรรมฐานสายท่านอาจารย์มั่นและพระศาสนาซึ่งเป็นส่วนใหญ่ให้ขาดลงไป ลดคุณภาพลงไปทีละเล็กละน้อยจนขาดสะบั้นไปเลย และสร้างความเอือมระอาแก่ศรัทธาทั้งหลาย ตลอดวงคณะที่ปฏิบัติเป็นธรรมให้กระทบกระเทือนไปด้วย

    ความจริงสายท่านอาจารย์มั่นท่านปฏิบัติอย่างไร ท่านอาจารย์มั่นท่านเคยสั่งสอนอย่างไรบ้าง และปฏิปทาของท่านอาจารย์มั่นเราก็เคยเขียนไว้ในประวัติของท่าน ซึ่งเป็นที่แน่นอนและแน่ใจว่าไม่ผิดพลาด ท่านดำเนินอย่างไร ส่วนพวกเราดำเนินกันอย่างไร ความสมบุกสมบันความลำบากลำบน รวมอยู่กับท่านอาจารย์มั่น ท่านอาจารย์เสาร์ ในสมัยปัจจุบันใครจะลำบากลำบนยิ่งกว่าท่านทั้งสององค์นี้ไม่มี เราพูดได้อย่างเต็มปาก กว่าจะได้อรรถได้ธรรมมาอบรมสั่งสอนบรรดาลูกศิษย์ลูกหา ได้ประพฤติปฏิบัติจนเกิดความรู้ ถ่ายทอดจากท่านมาเรื่อยๆ กลายมาเป็นครูเป็นอาจารย์ที่เคารพนับถือของประชาชนพระเณรนั้น ท่านรอดตายมาแล้ว ทั้งท่านอาจารย์เสาร์ท่านอาจารย์มั่นและคณะลูกศิษย์ท่าน ตลอดที่รองๆ กันลงมาในบรรดาลูกศิษย์ของท่านอาจารย์มั่นซึ่งเป็นผู้ใหญ่มีจำนวนมาก ก็เพราะท่านตั้งจิตตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามหลักความจริง ที่ท่านอาจารย์มั่นท่านสอนด้วยความจริงใจจริงๆ

    การปฏิบัติด้วยความเป็นธรรมจะค่อยร่อยหรอไปโดยลำดับ จะไม่มีสิ่งใดเหลือติดตัวแล้วนะ นอกจากชื่อกรรมฐานเท่านั้น เราวิตกมากเกี่ยวกับเรื่องพระกรรมฐานสายท่านอาจารย์มั่น ลูกศิษย์พระกรรมฐานสายท่านอาจารย์มั่น จะเอาชื่อท่านไปจ่ายกินขายกินมีจำนวนมาก นี่เป็นการแสวงหาธรรมไหม ไม่ใช่เป็นการแสวงหาธรรม แต่เป็นการแสวงหาโลกามิส ก็จะเจอแต่เรื่องของโลกามิส คือ วัตถุ ทรัพย์สินเงินทอง ความยกย่องนับถือ ซึ่งเป็นเรื่องโลกๆ นั่นแล หาธรรมความแปลกประหลาดอัศจรรย์เป็นหลักจิตใจ เป็นที่อบอุ่นใจไม่ได้เลย มีแต่สิ่งภายนอกอันเป็นรัศมีของโลก อาการของโลกเต็มเนื้อเต็มตัวเหมือนกับโลกทั่วๆ ไปที่เขาไม่ได้สนใจศาสนาและปฏิบัติธรรมนั่นแล

    ส่วนโลกที่มีธรรมในใจ เขายังมีขอบเขตเหตุผลเครื่องรักษาตัว ไม่ปล่อยปละละเลยดังพระกรรมฐานตับแตกแหวกแนวจำพวกใช้ไม่ได้ หลักเกณฑ์ของนักประพฤติปฏิบัติธรรม เฉพาะอย่างยิ่งหลักใจของนักปฏิบัติเรานี้ ไม่ควรสนใจสิ่งใดยิ่งกว่าอรรถธรรม ตามความมุ่งหมายที่ตั้งไว้เดิมก่อนออกบวชและออกปฏิบัติ

    ธรรมเป็นของประเสริฐ ทำให้ประเสริฐขึ้นที่ใจ ใจพร้อมแล้วที่จะรับอรรถรับธรรม สัมผัสสัมพันธ์กับธรรมทุกขั้นทุกภูมิจนถึงวิมุตติหลุดพ้น ไม่มีภาชนะใดไม่มีสิ่งใดเหมาะสมในธรรมทั้งหลาย ยิ่งกว่าจิตใจของผู้ปฏิบัติให้ตรงตามหลักธรรมที่ว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วนั้น ผู้ปฏิบัติจึงควรคำนึงเสมอในการประพฤติปฏิบัติ

    จงบีบบังคับใจของตนไว้เสมอ อย่าสนใจสิ่งใดให้มากยิ่งกว่าธรรม อดอยากขาดแคลนต่างๆ ให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของผู้แสวงธรรมที่ต้องเผชิญ ดังศาสดาเป็นตัวอย่างอันดีเลิศมาแล้ว อย่านำโลกามิสเข้ามาเป็นข้อคิดข้อข้องใจ อันเป็นเรื่องของกิเลสที่จะมาขัดขวางถ่วงธรรมให้ล่มจมลงไปโดยลำดับ หาทางก้าวหน้าไม่ได้ ผู้ปฏิบัติทั้งหลายที่ผ่านมา ท่านเป็นผู้ยอมรับความลำบากลำบนทุกอย่างแม้ขั้นสาหัสมาโดยลำดับ นับแต่พระพุทธเจ้าตลอดสาวกทั้งหลายมาถึงครูบาอาจารย์ มีแต่ท่านที่ได้รับความลำบากลำบนมาแล้วทั้งนั้น แม้ผู้ที่ได้บรรลุธรรมง่ายรวดเร็วดังประเภทขิปปาภิญญาก็มีจำนวนน้อย หนึ่งในร้อยก็ยังหาไม่ได้ นี่เราจะมาล้างมือเปิบเฉยๆ ใช้ได้ยังไง ถ้าไม่ใช่ผู้อยู่ในข่ายแห่ง สุขา ปฏิปทา ขิปปาภิญญา น่ะ ส่วนมากพวกเรามักอยู่ในข่าย “ล้างมือคอยเปิบอยู่บนหมอน”ผลจึงมักได้ยินกันว่า “พระกรรมฐานหมอนแตก” นั่นแล มากกว่ากิเลสแตก

    การปฏิบัติต้องฝืนกิเลสสู้กิเลส ความฝืนความทุกข์ความลำบาก เพราะความพากเพียรในการฝืนกิเลสนั้น เป็นการทำลายกิเลส เป็นการถอดถอนกิเลส เพื่อความสุขความสมหวังอันเป็นผลที่จะให้เกิดธรรมขึ้นภายในใจ สมกับว่าใจเป็นภาชนะอันเหมาะสมอย่างยิ่งกับธรรมอยู่แล้ว ท่านกล่าวไว้เสมอว่า ธรรมมีอยู่ทั่วไป ธรรมมีอยู่ตลอดกาล ทำไมธรรมจึงไม่ปรากฏแก่ผู้ปฏิบัติ เป็นเพราะเหตุไร เพราะเราไม่แสวงหาธรรมไพล่ไปแสวงหาโลกหากิเลสก็มี แสวงหาธรรมแต่ไม่ถูกทางก็มี แสวงหาธรรมเพียงสักแต่ว่ากิริยา แต่ความจริงใจไม่มีในธรรมก็มี จึงไม่เจอธรรม การแสวงหาตามประเภทที่หนึ่งและที่สามนั้นเลวถึงใจและช้ำใจ ขออย่าให้ได้ยินเลยตลอดวันตาย ธรรมแม้มีอยู่ตลอดกาล แต่ที่ไม่ปรากฏก็เพราะใจซึ่งเป็นสิ่งคู่ควรแก่ธรรมนั้นไม่ยอมรับธรรม เพราะถูกกิเลสประเภทเลวๆ กีดกันไว้ ธรรมจึงไม่ปรากฏภายในใจ

    การเทศน์สอนหมู่สอนคณะมาก็เป็นเวลานาน นับแต่ออกสังคมมานี้เกือบสามสิบปีแล้ว ที่สอนแบบทุ่มเทกำลังทุกแง่ทุกมุมให้หมู่เพื่อนฟัง พอที่จะได้หลักได้เกณฑ์บ้างแต่ไม่ค่อยปรากฏ แม้แต่มาอยู่ในสำนักนี้ก็ยังทำลุ่มๆ ดอนๆ ให้เห็นอยู่ เพียงหยาบๆ พูดแล้วยังไม่เข้าใจกัน เราจะหาความละเอียดลออถูกต้องดีงามยิ่งกว่านี้ได้อย่างไร เพียงแต่สิ่งหยาบๆ ยังหาความถูกต้องไม่ได้ ผิดพลาดคลาดเคลื่อนอยู่ตลอดเวลาในการแสดงออก แม้ไม่มีเจตนาก็ไม่ใช่สิ่งน่าชมเชย น่าส่งเสริมว่าให้ทำลุ่มๆ ดอนๆ อย่างนี้ต่อไปได้ ไม่มีใครถือสาหรอกเพราะไม่มีเจตนา น่าให้อภัยด้วยซ้ำไป แต่ครูอาจารย์และเพื่อนฝูงที่ดูอยู่นอกเวทีละซิ จะลูกตาแตก อกแตกเพราะทนดูไม่ได้ ที่เห็นแต่กิเลสต่อยเอาๆ อยู่ทำนองนั้น

    การปฏิบัติทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีความจริงใจจงใจ มีสติคอยจดจ่ออยู่เสมอ การประพฤติปฏิบัติสิ่งใดต้องเต็มไปด้วยเจตนา มีความจริงจังต่องานที่ชอบของตนอยู่เสมอนั้นแลจัดว่าเป็นผู้มีความเพียร เพียรภายนอกเพียรภายในสะเทือนเข้าถึงใจดวงเดียวนี้ เผลอภายนอกก็แสดงว่าเผลอภายใน ผิดพลาดภายนอกก็แสดงว่าผิดพลาดภายใน ไปจากใจที่มีสติหรือไม่มีสตินี้แลเป็นสำคัญ ถ้ามีสติแล้วย่อมไม่ผิดพลาดมากนัก หรือไม่ผิดพลาด นั่น ถ้าไม่มีสติต้องผิดได้ตลอดไป ความผิดอยู่เสมอนั้นเป็นคุณธรรมประจำใจเราแล้วเหรอ นั่นเป็นความผิดทั้งมวล ความผิดนำมาซึ่งอะไรถ้าไม่นำมาซึ่งโทษทุกข์แก่ตัวเราเองน่ะ ฉะนั้นต้องระวังอยู่เสมอ การมาปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลสด้วยความเพียร คือ การเดินจงกรม การนั่งสมาธิภาวนา เป็นต้น นี่คือการก้าวขึ้นสู่เวทีตีต่อยแล้ว จะมัวเพลินเผอเรออยู่ไม่ได้ จะถูกน็อกตกเวทีแบบไม่เป็นท่า ขายหน้าครูจะทนดูต่อไปได้

    การอยู่ด้วยกันมากมันจะเริ่มโลเลไปละนะ ถ้ามากเข้า ๆ มักเป็นดังที่ว่านี้เสมอ ไม่ว่าที่ใดมองเห็นแต่พระเต็มวัดเต็มวา แต่อรรถธรรมที่จะแฝงอยู่ภายในหัวใจของพระจะไม่มี เมื่อสมาธิธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม ขันติธรรมไม่มีในใจแล้ว จะหวังเอามรรคผลนิพพานมาจากที่ไหน มีไม่ได้ ถ้ามีวิริยธรรม ขันติธรรม สติธรรม ย่อมจะสามารถมีสมาธิธรรมขึ้นมาได้ และค่อยเลื่อนขึ้นขั้นปัญญาธรรมโดยลำดับ เพราะการพินิจพิจารณาตามขั้นตามภูมิของจิตของธรรม จนกลายเป็นมรรคผลนิพพานขึ้นมาประจักษ์ใจไม่สงสัย

    เราหาความเที่ยงถาวรที่ไหนในโลกธาตุนี้ เห็นไหมนั่น องค์นั้นตายไปองค์นี้ตายไป คนนั้นตายไปคนนี้ตายไป เราจะอยู่ค้ำฟ้าได้เหรอ ทำไมจึงไม่วิ่งเต้นขวนขวายหาสารคุณเสียตั้งแต่บัดนี้ เสียดายอะไรในแดนสมมุติแดนป่าช้าแห่งการเกิดตายนี้ กิเลสพาคนให้วิเศษวิโสอย่างไรบ้าง ขึ้นชื่อว่ากิเลสแล้วไม่ว่าตัวใด ต้องเป็นพิษเป็นภัยเป็นเสนียดจัญไรต่อจิตใจและมรรยาทแห่งการแสดงออกอันดีงามทุกแง่ทุกมุมและกีดขวางธรรมทั้งนั้น ไม่ใช่เป็นของดีพอที่จะทะนุถนอม ลืมเนื้อลืมตัวไปตามมันตลอดไปดังที่เป็นอยู่นี้

    เราเคยลืมเนื้อลืมตัวเพราะเพลงกล่อมของกิเลสมาเป็นเวลานานเท่าไรแล้ว เวลานี้เป็นโอกาสอันเหมาะสมที่จะปลุกจิตใจเราให้มีสติให้มีปัญญา เพื่อรู้เหตุรู้ผล รู้โทษรู้คุณ ตลอดความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นเพราะกิเลสทำพิษ จะได้แก้ไขถอดถอนตามหลักธรรมเครื่องแก้กัน ให้เป็นจิตที่มีความสงบผ่องใส เป็นจิตที่มีความสง่างามขึ้นมาโดยลำดับจนถึงวิมุตติหลุดพ้น แต่แล้วยังมามั่วสุมกับเพลงกิเลสอยู่อย่างไรกันอีก ยังไม่เบื่อหน่ายอิ่มพออยู่หรือ

    การหลุดพ้นนั้นหลุดพ้นที่ไหน ถ้าไม่พ้นที่จิต ซึ่งเป็นตัวถูกผูกมัดอยู่ด้วยกิเลสทั้งหลายเวลานี้เท่านั้น ไม่มีที่ใดเป็นที่หลุดพ้น อย่าพากันงมเงาจะเสียการณ์ อย่าคิดคาดไปที่ไหนๆ ให้เสียเวลา ว่าหลุดพ้นที่โน่นหลุดพ้นที่นี่ หลุดพ้นที่ใจนี่แล ใจเวลานี้เหมือนผู้ต้องหาถูกกดขี่บังคับ ถูกมัดถูกตีอยู่ด้วยกิเลสประเภทต่างๆ ยังไม่ทราบและไม่สนใจจะทราบเพื่อปราบมันเลยหรือ

    ความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหา ผูกมัดรัดรึงอยู่ภายในใจ ใจหาความอิสระได้ที่ไหนแม้แต่ขณะหนึ่ง ถ้าไม่ตั้งใจแก้ไขถอดถอนหรือปราบปรามออกให้ได้แล้ว จิตจะหาความสงบร่มเย็นและหาอิสระไม่ได้เลยตลอดไป อย่าเข้าใจว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนจะมาช่วยแก้ช่วยถอดถอนกิเลสตัวศักดิ์สิทธิ์ฤทธิ์มหาศาลที่ครอบหัวใจอยู่เวลานี้ได้ ถ้าไม่เอาความศักดิ์สิทธิ์จากวิริยธรรม สติธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรมเหล่านี้เข้าแก้มัน ถ้าเชื่อธรรมก็ต้องเชื่อว่ากิเลสเป็นตัวก่อเหตุให้เกิดทุกข์แก่เราเรื่อยมา และแก้กันอย่างไม่ชักช้านอนใจ ด้วย อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นผู้ช่วยตัวเอง เป็นหลักใจในเวลาเข้าตาจนกับกิเลส

    การทำความสงบใจก็ดี การพิจารณาก็ดี ถ้ามีสติกำกับอยู่กับใจ ใจจะสงบไม่ได้มีเหรอ เป็นไปไม่ได้ เราเชื่อแน่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าลงสติได้กำกับใจแต่ใจยังจะฝืนฟุ้งซ่านพาลหาเรื่องส่งไปไหนได้อยู่แล้ว ใจนั้นก็ใช่ใจมนุษย์ที่รู้บุญรู้บาป ต้องเป็นใจสัตว์นรกนั้นแล

    นอกจากกำหนดลงไปชั่วระยะแล้วก็ปล่อยให้จิตเถลไถลไป เพราะสติปราศจากใจ ไม่มีผู้ควบคุมรักษา เดี๋ยวรู้เดี๋ยวเผลอ แล้วก็ตั้งใหม่ ได้สักครู่หนึ่งก็หายไป ตั้งสักครู่หนึ่งก็หายไป ดังนี้จิตเป็นไปเพื่อความฟุ้งซ่านได้

    แต่ถ้าลงได้ตั้งเจตนาฝังกึ๊กลงไปด้วยความเข้มแข็งในจุดที่ทำงาน ได้แก่ที่กำหนดภาวนา จะกำหนดอานาปานสติก็ได้ หรือกำหนดธรรมบทใดก็ได้ มีความจริงจังอยู่ในธรรมบทนั้น มีสติจดจ่ออยู่ในธรรมบทนั้น โดยไม่คาดผลว่าจะเกิดขึ้นอย่างไรบ้าง ไม่คาดอดีตอนาคต กำหนดอยู่เฉพาะงานที่ตนกำลังทำนั้นด้วยปัจจุบันธรรม โดยความมีสติกำกับรักษาอยู่ จิตถึงจะผาดโผนโลดเต้นขนาดไหน ก็พ้นอำนาจของวิธีการเหล่านี้ไปไม่ได้ จะต้องเข้าสู่ความสงบ ให้ได้ชมความสงบเย็นใจ เรียกว่าสมาธิธรรมแน่นอน

    นี่ดูหมู่เพื่อนเราขวางตาอยู่ตลอด ดูว่าไม่มีความจริงจังอะไรเลย เจ้าของก็ยังไม่รู้ตัวเองว่าไม่จริงจัง แต่คนอื่นมองดูทำไมรู้ ในฐานะผมเป็นอาจารย์หมู่เพื่อนดูหมู่เพื่อนดูจริงๆ เพราะเราเป็นผู้คอยแนะนำพร่ำสอน บกพร่องตรงไหนๆ ก็มองเห็นชัดๆ นอกจากขี้เกียจเตือนแล้วเตือนเล่าของเก่าซ้ำๆ ซากๆ ก็ไม่เตือน ทนหูหนวกตาบอดไปบ้าง เมื่อความจริงจังไม่มีจะหาธรรมความสงบเป็นต้นก็ไม่ได้ตลอดไป

    ผู้ปฏิบัติต้องเป็นผู้จริงจัง เอาจริงเอาจังกับทุกสิ่งทุกอย่าง มีสติคอยกำกับรักษาอยู่เสมอ ไม่ว่าจะทำกิจนอกการใน มีสติสัมปชัญญะอยู่ในนั้น ยิ่งย้อนจิตเข้ามาสู่องค์ภาวนาด้วยแล้ว ไม่ยอมให้มีงานใดอารมณ์ใดเข้ามายุ่งเกี่ยวเลย มีแต่งาน คือ จิตตภาวนาอันเดียว จิตย่อมสงบได้ ไม่พ้นอำนาจของสติปัญญานี้ไปได้ เราเคยทำมาอย่างนี้จึงกล้าพูดกล้าสอนไม่กลัวผิด เพราะแน่ใจว่าไม่ผิด

    พูดถึงด้านปัญญาก็เหมือนกัน ถ้าลงปัญญาได้แทงลงไปตรงไหน พิจารณาจุดใด ย่อมจะปรากฏความจริงขึ้นมาถ้ามีสติ แต่ปัญญาที่ไม่มีสมาธิเป็นพื้นฐาน ย่อมกลายเป็นสัญญาไปได้ เร่ๆ ร่อนๆ ออกนอกลู่นอกทางไปเสีย มันไม่เป็นปัญญาให้ตามความมุ่งหมาย ฉะนั้นสมาธิกับสติจึงเป็นธรรมจำเป็นเพื่อวิปัสสนาปัญญา

    จิตที่ไม่มีความสงบตัว ย่อมเต็มไปด้วยความหิวโหยกระวนกระวายในอารมณ์ต่างๆ อันเป็นส่วนภายนอก ซึ่งเคยเป็นมานานจนกลายเป็นนิสัย ในขณะที่จะหักห้ามจิตใจเข้าสู่อรรถสู่ธรรม ก็กลายเป็นเรื่องของโลกสงสารของกิเลสตัณหาไปเสียหมด เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาก็มีแต่กิริยาของโลกเข้ามาเหยียบย่ำทำลาย เพราะอำนาจของกิเลสมันมีกำลังมาก มันฉุดมันลากไปเสีย ความเพียรก็ไม่ปรากฏ มีแต่เดินหย็อกๆ

    ความเพียรที่ไม่มีสติได้ประโยชน์อะไร นั่งสมาธิก็เป็นสมาธิหัวตอ ร่างกายก็ตั้งอยู่นั้นแหละแต่จิตมันไม่อยู่ ถูกกิเลสฉุดลากออกไปนอกโลกนอกสงสารที่ไหนกี่ทวีปก็ไม่รู้ พอย้อนจิตเข้ามาสู่ตัว ก็มาพาลหาเรื่องคิดเอาเวล่ำเวลาเป็นมรรคเป็นผล หรือมาตำหนิติเตียนธรรมว่า ทำไมทำความเพียรถึงขนาดนี้จึงไม่ได้ผล ก็ไม่ได้ทำเพื่อเอาผลแห่งธรรมนี่ แต่ทำเพื่อเอาผลแห่งกิเลสต่างหาก แล้วจะปรากฏธรรมขึ้นมาได้อย่างไร

    นี่ซิ จึงทำให้วิตกวิจารณ์กับหมู่เพื่อน มาปฏิบัติไม่ได้ร่องได้รอย ไม่เห็นความสงบร่มเย็น ไม่เห็นความสว่างกระจ่างแจ้ง ทั้งที่ครูบาอาจารย์ก็สอนเรื่องสมาธิสอนอย่างเต็มอรรถเต็มธรรม เต็มภูมิ สอนปัญญาก็สอนเต็มภูมิ จนกระทั่งวิมุตติหลุดพ้น พูดให้ฟังทุกแง่ทุกมุม ไม่ได้ด้นได้เดามาพูด พูดด้วยความจริงจังภายในใจจริงๆ เช่นว่า ธรรมมีอยู่ดั้งเดิมและทั่วไปดังนี้เป็นต้น

    อะไรจะเป็นผู้สัมผัสรับทราบธรรม ในแง่หนักเบาของธรรม ขั้นต่างๆ ของธรรมจนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้นอันเป็นธรรมประเสริฐ ถ้าไม่ใช่ใจเป็นผู้สัมผัสรับทราบ เป็นผู้ยืนยัน เป็นภาชนะอันเหมาะสม สิ่งอื่นๆ ไม่มี ถ้าอยากจะทราบสมาธิธรรมดังท่านสอนไว้ ก็ให้ทำอย่างที่ว่านี้ซิ ความสงบนั้นแหละจะเป็นพยานของใจ เพราะจะเป็นขึ้นที่ใจ

    ปัญญาความเฉลียวฉลาดในการคลี่คลายดูเหตุดูผล สกลกายอันเต็มไปด้วย อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา หรือปฏิกูลโสโครก กองป่าช้าผีดิบผีสดเต็มอยู่ในนี้หมด มันก็ทราบก็เห็นชัดเจนขึ้นที่ใจด้วยปัญญา ไม่ว่าจะพิจารณาไปทางใดแง่ใด ถ้าความจริงจังมีอยู่กับใจอย่างไรก็ปิดไม่อยู่ ต้องรู้สมาธิ ต้องแจ้งทางปัญญา ต้องหลุดพ้นเป็นวิมุตติขึ้นที่ใจแน่นอนไม่สงสัย

    กลางคืนทั้งคืนเป็นยังไง ทำความเพียรน่ะ มันถึงไม่ได้เรื่องได้ราว กลางวันก็เหมือนกัน เราไม่ให้มีการมีงานอะไร พยายามรักษาหมู่เพื่อนไม่ให้มีงานอะไรมายุ่งมาเกี่ยว นอกจากงานข้อวัตรปฏิบัติซึ่งเคยมีประจำวันเท่านั้น งานอื่นงานใดก็ไม่ให้ยุ่ง เพื่อจะได้ประกอบความพากเพียรให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ให้เห็นเหตุเห็นผลภายในจิตใจจริงๆ จึงไม่ให้มีงานอะไรภายในวัด เพราะเคยปฏิบัติมาแล้ว ว่างานทั้งหลายนั้นน่ะ มันเป็นข้าศึกต่อจิตตภาวนา

    แม้ท่านจะกล่าวว่าสมฺมากมฺมนฺโตก็ตาม งานส่วนหยาบนั้นแลกลับกลายมาเป็นข้าศึกต่องานละเอียดคืองานจิตตภาวนา และกลายเป็น มิจฺฉากมฺมนฺโต สำหรับนักจิตตภาวนาไปได้ไม่อาจสงสัย เช่น ทำนั้นสร้างนี้ ยุ่งนั้นยุ่งนี้ นั่นแหละมันทำลายจิตตภาวนา ทำจิตใจให้เกิดความกังวลวุ่นวาย เสียเวล่ำเวลาไปวันละเล็กละน้อย จนกลายเป็นการทำลายจิตใจทางความสงบร่มเย็นไปได้โดยไม่ต้องสงสัย ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่ามรรคหยาบทำลายมรรคละเอียด หรือฆ่ามรรคละเอียดให้เสียไปได้

    มรรคหยาบก็คือการทำนั้นทำนี้ภายนอกเกี่ยวกับด้านวัตถุ แล้วมาทำลายด้านนามธรรม คือจิตตภาวนาของเราให้เสื่อมลงไปโดยลำดับลำดา จนเสื่อมหายไปหมดไม่มีอะไรเหลือ นี่เราเคยเห็นโทษมาแล้ว จึงไม่ส่งเสริมในการก่อสร้างนั้นก่อสร้างนี้ซึ่งหาเหตุผลไม่ได้ จะทำอะไรก็ต้องให้มีเหตุผล เป็นความจำเป็นที่ควรทำจริงๆถึงได้ทำ ทำก็ทำด้วยการกำหนดกฎเกณฑ์เอาไว้โดยเฉพาะๆ ไม่ให้เลยเถิดเลยเหตุเลยผล นี่เราพยายามเสมอในการรักษาหมู่เพื่อนเพื่อให้ได้หลักเกณฑ์ในธรรมปฏิบัติ

    สำหรับจิตตภาวนานี้ขาดตกบกพร่องไม่ได้ อะไรจะขาดก็ขาดไปเถอะ จตุปัจจัยทั้งสี่นั้นจะขาดก็ขาดไป ถือเป็นของธรรมดา แม้แต่ชาวโลกเขาแสวงหาได้ เขาก็ยังมีขาดตกบกพร่องได้ ทำไมเราเป็นผู้ไปขอทานเขากินเขาใช้เขาอยู่อาศัย ไม่ได้ทำอะไรเลย จะไม่มีขาดตกบกพร่องได้เป็นไปได้เหรอ เป็นไปไม่ได้ ต้องมีขาดตกบกพร่องเหมือนโลกทั่วๆ ไป

    ก็เราอยู่ในท่ามกลางแห่งโลก อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ที่หาความสม่ำเสมอไม่ได้ เราจะสม่ำเสมอไปได้ยังไงในสิ่งเหล่านั้น แล้วก็ไม่เป็นเรื่องที่จะนำมาคิดให้เป็นกังวล นอกจากจะชำระสิ่งที่มันก่อความกังวลภายในใจให้หมดไปๆ โดยลำดับเท่านั้น นี้เรื่องของพระเป็นอย่างนี้แต่ครั้งพุทธกาลมา อย่าวุ่นวายส่ายแส่หาเสี้ยนหนามมาแทงหัวใจ จงอยู่สงบสุขด้วยความมักน้อยสันโดษตามทางศาสดาที่พาดำเนินมา

    อย่าคิดเรื่องใดให้เสียเวล่ำเวลา โลกนี่เราต่างก็ได้เคยผ่านมานานกี่ปีกี่เดือน นับตั้งแต่วันเกิดมาจนกระทั่งบวชมาถึงวันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็เคยได้ผ่านมาแล้ว ทางหู ทางตา ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ตลอดทางใจที่คิดยุ่งเหยิงวุ่นวายอยู่เรื่อยมา ได้ผลได้ประโยชน์อะไร ทำไมจึงไม่นำมาเทียบเคียงความหนักเบาได้เสียซึ่งกันและกัน ระหว่างเรากับความคิดอารมณ์ต่างๆ นั้น ทีนี้เราจะทุ่มเทจิตใจเราลงสู่อรรถสู่ธรรมอย่างแท้จริง ทำไมมันจึงถอยหลัง มันถึงจะไปไม่รอด ถ้าเราไม่เชื่อกิเลสจนไม่ยอมฟังเสียงอรรถเสียงธรรมเลยเท่านั้น

    มรรคผลนิพพานมีอยู่ที่ไหน ถ้าไม่มีอยู่ที่ใจนี้เท่านั้น แต่ที่ปรากฏขึ้นมาไม่ได้เพราะกิเลสทับถมอยู่จนมองหาจิตไม่เจอ แล้วจะเอามรรคผลนิพพานมาจากไหน ถ้าไม่ฟาดฟันหั่นแหลกกันลงไปด้วยสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร อย่างเอาจริงเอาจัง ฝากเป็นฝากตายกับพระพุทธเจ้าจริงๆ แล้ว จะไม่เห็นความอัศจรรย์ภายในจิต และจะไม่เห็นคำว่าธรรมมีอยู่ดั้งเดิมและมีอยู่ทั่วไปเลย ธรรมจะมาปรากฏที่ไหนก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่ธรรมพร้อมจะปรากฏขึ้นที่ใจ รู้ที่ใจ รับทราบที่ใจ ยืนยันกันได้ที่ใจทุกเวลาอกาลิโกนั่นแล

    นับแต่สมาธิธรรมจนถึงวิมุตติธรรม จะนอกเหนือไปจากใจจะเป็นผู้รับทราบเป็นภาชนะ เป็นเจ้าของแห่งธรรมทั้งหลายไปไม่ได้เลย ทำให้จริงให้จังซิ ถ้าอยากรู้อยากเห็นธรรมกับใจเป็นธรรมแท่งเดียวกันอย่างอัศจรรย์ในชีวิตของพระเรา

    นี่นับวันร่อยหรอไปโดยลำดับๆ ต่อไปจะไม่มีใครสืบทอดข้อวัตรปฏิบัติทั้งภายในทั้งภายนอกกันแล้วนะ ภายในก็หมายถึงภูมิจิตภูมิธรรมภายในใจของผู้ปฏิบัติ ภายนอกก็คือธุดงควัตรข้อปฏิบัติไม่ให้เสื่อมคลาย หลักสำคัญก็ขึ้นอยู่กับใจ ถ้าใจมีหลักมีเกณฑ์ ใจมีภูมิอรรถภูมิธรรมอยู่ภายในตัว การประพฤติปฏิบัติข้อวัตรภายนอก ก็คงเส้นคงวาสม่ำเสมอ ถ้าใจไม่มีหลัก ไม่มีภูมิอรรถภูมิธรรมภายในใจ ข้อวัตรปฏิบัติก็ค่อยเสื่อมและจืดจางไปๆ เลยกลายเป็นเรื่องอื่นขึ้นมาแทนที่เสีย

    งานทั้งหลายมีงานเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา งานเสาะแสวงหาป่าเขาลำเนาไพรเพื่อบำเพ็ญเพียรชำระกิเลส ที่เคยทำมาก็เสื่อมคลายหายไป จิตกลับกลายแสวงหางานของโลกไปเสีย แล้วก็ไปกันใหญ่ละที่นี่ หาทางยับยั้งตั้งตัวด้วยธรรมไม่ได้ จิตเคลิ้มหลับใหลตามโลกไปเสียอย่างน่าเสียดายและสังเวชใจ

    นี่วิตกมากกับหมู่เพื่อนที่มาอาศัยอยู่ด้วย ตลอดวงคณะที่เกี่ยวข้องกัน จนถึงส่วนใหญ่คือสังฆมณฑล จึงได้พูดแล้วพูดเล่า ย้ำแล้วย้ำเล่าอยู่เสมอในเรื่องเหล่านี้ เพราะเราเห็นคุณค่าแห่งธรรมของพระพุทธเจ้าเต็มหัวใจ และพูดอย่างตรงไปตรงมา ได้กำหนดพิจารณาเต็มกำลังความสามารถหมดแล้วในสามโลกธาตุนี้ว่า อันใดที่เด่นกว่าเพื่อนในทางความดีความสุขความประเสริฐเลิศเลอ ก็ไม่เห็นอะไรนอกเหนือไปจากใจกับธรรมที่สัมผัสสัมพันธ์กัน และใจกับธรรมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นั้นคือความประเสริฐสุด เมื่อถึงความประเสริฐสุดแล้วเสียดายอะไร มันสลัดออกหมด เพราะไม่มีอะไรเยี่ยมยิ่งกว่านั้น เมื่อใจได้รู้ได้เห็นเต็มตัวแล้วยังจะเสียดายป่าช้าที่เคยเกิดตายนี้อยู่เหรอ

    เวลานี้กิเลสพาให้สร้างป่าช้า พากันเข้าใจหรือยัง เกิด แก่ เจ็บ ตาย เราเคยเป็นมาสักเท่าไรแล้ว ไม่เบื่อไม่อิดหนาระอาใจเหรอ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็คือความหมุนไปด้วยความทุกข์ความทรมานตลอดไปนั่นเอง ความพ้นเสียจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เพราะจิตหลุดพ้นนี้เป็นสิ่งที่ประเสริฐเลิศโลกแล้ว นิจฺฉาโต ปรินิพฺพุโต เรียกว่าดับสนิท บรรดาชาติความเกิด ชราความแก่ พยาธิความเจ็บ มรณะความตาย ภพน้อยภพใหญ่ดับไปหมดภายในจิต เป็น นิจฺฉาโต ปรินิพฺพุโต ดับสนิทที่ใจ

    มีกิเลสเท่านั้นที่เป็นเครื่องยุแหย่ก่อกวน ทับถมโจมตีจิตใจอยู่ตลอดเวลาให้ตั้งเนื้อตั้งตัวอยู่ผาสุกบ้างไม่ได้ นั่งอยู่ที่ไหนก็เป็นฟืนเป็นไฟ อิริยาบถทั้งสี่เป็นฟืนเป็นไฟ ไม่ใช่เป็นฟืนเป็นไฟเพราะธรรมมาเผาผลาญ แต่เป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวลเผาผลาญจิตใจ

    เมื่อชำระกิเลสขั้นหยาบคือความฟุ้งซ่านรำคาญไปได้ จิตก็สงบ นี่เราก็พอเห็นคุณค่าของธรรมคือความสงบเย็น และเห็นโทษของกิเลสตัวพาให้ยุ่งเหยิงวุ่นวายไปโดยลำดับแล้ว.แน่ะ เมื่อแก้เข้าไปๆ กิเลสค่อยหมดไปๆ ความสะดวกสบายของใจค่อยปรากฏขึ้นมาโดยลำดับ เอาจนกระทั่งกิเลสไม่มีเหลือภายในใจเลย อะไรที่นี่จะมายุแหย่ก่อกวนอีก เรื่องเล็กเรื่องน้อยแม้เท่าเม็ดหินเม็ดทราย ซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสที่จะมายุแหย่ก่อกวนอีกไม่มีแล้ว มีแต่จิตล้วนๆ เป็นธรรมทั้งแท่งก็ทราบได้ชัดๆ ที่นี่ร้อยทั้งร้อยไม่สงสัย ว่าอ๋อ ไอ้เรื่องจิตยุ่งเหยิงวุ่นวายมาตั้งแต่ขั้นนั้นจนถึงขั้นละเอียดสุด มีแต่เรื่องของกิเลสทั้งนั้นเป็นผู้ยุแหย่ก่อกวน

    เมื่อกิเลสสิ้นสุดลงไปเพราะอำนาจของตปธรรม มีสติปัญญาเป็นเครื่องแผดเผาแล้ว ถ้าจะเปรียบเทียบก็เหมือนบ้านร้าง บ้านร้างคือยังไง แต่บ้านร้างหากยังมีคนอยู่ นั่นฟังซิ เหมือนบ้านร้างที่เงียบปราศจากสิ่งวุ่นวายพลุกพล่าน ภายในจิตนั้นเงียบไม่มีอะไรแสดงความคึกความคะนอง ความวิ่งเต้นเผ่นกระโดด ความเหลวไหลโลเล ความยุแหย่ก่อกวนเหมือนแต่ก่อน เหมือนกับบ้านร้างทั้งๆ ที่มีคนอยู่

    บ้านร้างแต่มองเห็นคนมีอยู่ในบ้านนั้นคืออะไร ก็มีแต่ขันธ์ดีดดิ้นปรุงแต่งตามประสาของมันยุบยิบๆ เท่านั้น กิเลสตัวสำคัญที่นำขันธ์ไปใช้เป็นเครื่องมือนั้นตายหมดแล้ว ยังเหลือแต่ขันธ์ซึ่งไม่มีความหมายอันใดเลย เพราะไม่มีเจ้าของคือกิเลสเป็นตัวการ ขันธ์ก็หมดจากการบังคับของกิเลส เหลือแต่อาการที่คิดไปปรุงมา จำได้หมายรู้ธรรมดาเท่านั้น นี่เรียกว่าบ้านร้างแต่มีคน

    หลักใหญ่ก็คือจิต บ้านร้างแต่จิตรู้ รู้ล้วนๆ รู้ไม่มีอะไรยุแหย่ก่อกวน รู้ไม่มีพิษมีภัย รู้ด้วยความบริสุทธิ์ล้วนๆ ขันธ์ก็เป็นขันธ์ล้วนๆ ไม่มีกิเลสเข้าเคลือบแฝง นั่นแหละที่ว่าบ้านร้างหากแต่มีคนอยู่เป็นอย่างนั้น

    ถ้าไม่ร้างเป็นอย่างไร อาการของขันธ์ทุกอย่างที่แสดงออกเต็มไปด้วยพิษด้วยภัยเพราะกิเลสเป็นผู้บงการใช้ออกมา ความคึกคะนองความยุ่งเหยิงวุ่นวาย ราคะตัณหา ความโลภ ความโกรธ ความหลง เต็มไปหมด ออกมาจากขันธ์ทั้งนั้นเป็นเครื่องมือ เมื่อหมดตัวการสำคัญแล้ว ขันธ์ก็มีอยู่อย่างนั้นแหละ เวทนาก็มี แต่มีภายในร่างกายเท่านั้น ภายในจิตใจไม่มี จะเป็นสุขก็ดี ทุกข์ก็ดี อุเบกขาก็ดี มีอยู่ภายในธาตุในขันธ์นี้เท่านั้น ไม่มีภายในจิตที่บริสุทธิ์สุดส่วนแล้ว

    นับตั้งแต่ขณะที่กิเลสขาดหลุดลอยออกไปจากใจ ทุกขเวทนาต่างๆ จึงไม่มีในจิตของท่านผู้หลุดพ้นแล้วจากสมมุติโดยประการทั้งปวง มีแต่เวทนาในขันธ์ รูปขันธ์ก็เพียงทรงตัวอยู่ตามสภาพของตน เวทนาขันธ์ สุข ทุกข์ เฉยๆ ที่เป็นไปตามร่างกายก็เป็นไปตามหลักธรรมชาติของมัน ไม่มีพิษมีภัยอะไรต่อจิตใจ สัญญาก็เพียงจำได้หมายรู้ยิบๆ แย็บๆ ไปตามธรรมดาของมัน พอถึงกาลก็สลายไปตามเรื่องของมัน จิตซึ่งเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์พุทธะเต็มดวงอยู่แล้ว จะมีอะไรหวั่นไหวกับเรื่องทุกขเวทนาเหล่านี้ที่ปรากฏขึ้นตามธรรมชาติของมันเล่า ไม่มีหวั่นไหวกับเวทนาใดขันธ์ใดทั้งสิ้น

    นั่น การดับทุกข์ดับที่นี่ เมื่อสมุทัยคือกิเลสไม่มีครองหัวใจ ไม่มีมาบีบบังคับจิตใจแล้วแสนอิสระ ทั้งๆ ที่ยังไม่ตายก็รู้เห็นได้ชัดๆ อยู่ไหนก็อยู่สบาย เป็นอิสระตลอดเวลา อกาลิโก ไม่เลือกกาลสถานที่เวล่ำเวลาอิริยาบถเลย ถึงเรียกว่า อกาลิโก

    เพียงกิเลสดับไปเท่านั้น สิ่งทั้งหลายก็เป็นความปกติของตนไปหมด รูปก็ปกติตามหลักธรรมชาติของเขา เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ปกติ เพราะไม่มีใครเข้าไปยึดไปถือไปสำคัญมั่นหมาย จิตก็บริสุทธิ์รู้เท่าทันอาการทั้งหลายโดยหลักธรรมชาติ เป็นแต่เพียงอาศัยกันไปชั่วระยะกาลเท่านั้น ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น มีแต่เพียงความรับผิดชอบภายในร่างกายของตน แต่ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นว่าสิ่งนี้เป็นเราเป็นของเราเป็นต้น เมื่อถึงกาลแล้วก็สลายลงไปตามวิสัยของสมมุติ เพราะเรียนรู้หมดแล้ว รอคอยดูและรับผิดชอบกันไปจนถึงวันแตกดับไปเท่านั้น ไม่นอกเหนือไปจากตาข่าย คือญาณความรู้แจ้งเห็นจริงภายในจิตนี้ไปได้เลย

    ชาติปิ ทุกฺขา ชราปิ ทุกฺขา มรณมฺปิ ทุกฺขํ เวลาเกิดก็เป็นทุกข์ แก่ก็เป็นทุกข์ ตายก็เป็นทุกข์ ท่านว่า ถ้าเป็นธรรมดาสามัญทั่วๆ ไปแล้ว เป็นทุกข์จริงๆ เดือดร้อนวุ่นวายระส่ำระสาย ร่างกายเป็นทุกข์ จิตใจก็เป็นทุกข์ขึ้นมาตามๆ กัน เลยกลายเป็นโรคสองชั้น โรคทางกายก็เสียดแทงเข้าไปสู่จิต โรคทางจิตก็เกิดความวุ่นวายเดือดร้อน นี่เรื่องสามัญชนเราเป็นอย่างนี้

    แต่พระอรหันต์ท่านไม่เป็น ชราปิ ทุกฺขา ท่านก็ทราบเรื่องของขันธ์เสีย มรณมฺปิ ทุกฺขํ ขณะจะตายท่านก็ทราบว่ามันแสดงเต็มที่ คือทุกขเวทนานั้นแหละ ท่านก็ทราบเสียแต่ท่านไม่เป็นทุกข์ ใจท่านคำว่าทุกข์ก็สักแต่ว่ามีอยู่ภายในขันธ์ เมื่อหมดกำลังของมันที่จะสืบต่อต่อไปได้แล้วก็ปล่อยลงตามสภาพเดิม ธาตุไหนก็ไปเป็นธาตุนั้น ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ สลายลงไปสู่ธาตุเดิมของตน ธรรมชาติจิตที่บริสุทธิ์หลุดพ้นแล้วก็ไม่มีความเยื่อใยอะไรทั้งสิ้น นั่นความเป็นอิสระ นั่นคือผลแห่งความเพียรที่เต็มไปด้วยความทุกข์ความลำบากในการตะเกียกตะกายต่อสู้กับกิเลสตัณหาอาสวะผลเป็นอย่างนี้ พากันเข้าใจหรือยัง ถึงใจบ้างหรือเปล่า หรือถึงแต่กิเลส ถึงแต่ทุกข์อยู่ร่ำไป ไม่สนใจในสุขในธรรมเลยเหรอ ถ้าเช่นนั้น กุสลา ธมฺมา ก็หมดความหมาย

    เพราะฉะนั้นการได้รับความทุกข์ความลำบากเพราะการประกอบความเพียร จึงไม่ถือเป็นอุปสรรค ไม่ถือเป็นข้อรำคาญ ต่อสู้กันเพื่อชัยชนะ นักมวยเขาต่อสู้กันบนเวที เขาไม่คิดอิดหนาระอาใจในความเมื่อยหิวอ่อนเพลีย ความเจ็บความปวดต่างๆ เลย ขณะนั้นเขาไม่คิด มีแต่จะเอาชนะท่าเดียวเท่านั้น ถ้ามามัวคำนึงถึงเรื่องความเมื่อยหิวอ่อนเพลียอยู่แล้ว กำลังใจจะตกทันที และก็แพ้โดยไม่ต้องสงสัย

    นี่ถ้าเรามาคำนึง หรือมาคิดมามัววุ่นวายอยู่กับความลำบากลำบนในการประกอบความเพียร แสดงว่าเราเตรียมแพ้แล้วตั้งแต่ยังไม่ขึ้นเวที เพราะฉะนั้นจงคำนึงถึงศาสดาของเราอยู่เสมออย่าได้ลืม ท่านทำขนาดสลบสามหน เรามีใครบ้างสลบเพราะความเพียรน่ะ พิจารณาดู เอามาเทียบซิ

    ท่านผู้เป็นครูเป็นศาสดาสอนโลก สอนธรรมแก่พวกเราได้กราบไหว้บูชา และประพฤติปฏิบัติตามอยู่เวลานี้ ท่านลำบากหรือไม่ลำบาก การต่อสู้กับกิเลสยากขนาดไหน พระสาวกก็เหมือนกันต่างองค์ต่างลำบากลำบน เพราะกิเลสเป็นสิ่งที่แก้ยาก กิเลสเป็นสิ่งที่แหลมคมมากเกินกว่าสติปัญญาของคนธรรมดาจะรู้ได้ จะเห็นได้จะแก้ได้ จะสู้ได้ ในบรรดากลมายาของกิเลสซึ่งมีมากต่อมาก นอกจากธรรม คือสติธรรม ปัญญาธรรมเป็นต้น โดยมีความเพียรและธรรมอื่นๆ เป็นเครื่องสนับสนุนเท่านั้น จึงจะทราบกลมายาของกิเลสได้เป็นลำดับๆ จนถึงขั้นพอฟัดพอเหวี่ยงกัน คือ กิเลสมีความละเอียดลออขนาดไหน สติปัญญามีความละเอียดลออไปตามกัน ตามกันทัน และฟาดฟันหั่นแหลกกันไปทุกระยะๆ ได้ชัยชนะไปเป็นระยะๆ

    อยู่ท่าใด ไปที่ใด มีแต่ท่าต่อสู้กับกิเลส ฆ่ากิเลส ขณะเดินจงกรมอยู่ ถ้ากิเลสเป็นตัวเป็นตนเหมือนสัตว์เหมือนบุคคลแล้ว จะเห็นตัวกิเลสทั้งลูกเต้าหลานเหลนของกิเลส ทั้งพ่อ-แม่ ปู่-ย่า ตา-ยายของกิเลสตายเกลื่อนอยู่ข้างทางจงกรมเต็มไปหมด ที่นั่งที่นอน หมอนมุ้ง ที่ขบที่ฉัน ตามสายทางบิณฑบาตจะเต็มไปด้วยซากศพของกิเลสที่ถูกฆ่าตายเกลื่อนหมดนั่นแล เพราะความเพียรของท่านผู้แก่กล้าฆ่ากิเลสให้ฉิบหาย ท่านมีสติท่านมีปัญญารอบตัว รอบอารมณ์ภายในภายนอก และฟาดฟันหั่นแหลกกันอยู่ทุกอิริยาบถ

    ไปไหนก็มีแต่การฆ่าการฟันกิเลส ไปบิณฑบาตเพื่อยังอัตภาพชีวิตให้เป็นไป ท่านก็สักแต่ว่า ถือเป็นกิริยาตามข้อวัตรปฏิบัติเท่านั้น แต่หลักใหญ่คือความเพียรฆ่ากิเลสท่านไม่ลดละ เดินไปไหนมาไหนมีแต่ความเพียร โดยมีสติปัญญาเป็นเพื่อนสองอยู่ตลอดเวลาทุกอิริยาบถ ความที่เคยพลั้งเผลอและล้มลุกคลุกคลานมาแต่ขั้นเริ่มแรกหายหน้าไปหมด ปรากฏแต่สติปัญญาอยู่รอบตัว เมื่อเป็นเช่นนั้นทำไมจะไม่พบไม่เจอไม่ทันกับกิเลส ละเอียดขนาดไหนก็เถอะ ท่านค้นขึ้นมาฆ่าจนได้ จนแหลกแตกกระจายไปหมด

    คำว่ามหาสติมหาปัญญานั้น ต้องเรียนมาเฉพาะในตำรับตำราเท่านั้นเหรอ นั้นเป็นชื่อของมหาสติมหาปัญญาต่างหาก องค์ของมหาสติมหาปัญญาจริงๆ นั้นต้องผลิตขึ้นที่ใจเรา ราคะตัณหา ความโลภ ความโกรธ ความหลง ในตำรา มีแต่ชื่อของกิเลสทั้งนั้น ตัวกิเลสจริงๆ อยู่ภายในใจเรา จงมองเข้ามาที่นี่ แก้กันที่นี่ ชำระกันที่นี่ซิ ตำราธรรมท่านสอนให้พิจารณาให้แก้ให้ถอดถอนกันที่นี่ คำว่านิพพานๆ ก็ดี ความบริสุทธิ์หลุดพ้นก็ดี นั่นเป็นชื่อของธรรมที่ท่านชี้เข้ามาสู่ตัวจริง คือใจของเรานี้ เอาให้รู้แจ้งและหลุดพ้นที่นี่ซิ

    เมื่อได้รู้แจ้งเห็นชัดภายในใจแล้ว จะสงสัยพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ว่ามีหรือไม่มีที่ไหนกันอีก เมื่อใจดวงนี้เป็นพยานยืนยันความจริงสุดส่วนอยู่แล้ว เราเชื่อมั่นในความจริงของเรา เราเห็นชัดในความจริงของเรา แล้วจะไปลบล้างพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ว่าไม่มีได้ลงคอละหรือ ถ้าจะลบล้างพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ว่าไม่มี ก็จงลบล้างความรู้สุดส่วนอยู่ภายในใจซึ่งเป็นธรรมชาติเหมือนกันนั้นเสีย

    แต่ร้อยทั้งร้อยบรรดาท่านที่รู้เห็นธรรม ซึ่งเป็นยอดพุทธ ยอดธรรม ยอดสงฆ์ ภายในใจของตนแล้ว ต้องกราบพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อย่างราบคาบไม่อิ่มพอด้วยกันทั้งสิ้น ฉะนั้นเมื่อเรายอมรับความรู้เห็นภายในใจของตนแล้ว ก็ต้องยอมรับ พุทธ ธรรม สงฆ์ ในสากลโลกเท่าเทียมกัน โดยไม่มีอะไรมาขัดแย้งเลย ที่เคยขัดแย้งก็มีกิเลสอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งไม่เคยลงกับธรรมมาแต่กาลไหนๆ เพราะความจริง พุทธ ธรรม สงฆ์ ที่ท่านแสดงบอกไว้ในตำรา ย่อมเป็นเหมือนกันกับความรู้ที่บริสุทธิ์ ซึ่งเรารู้เราเห็นเราทรงไว้อยู่เวลานี้ ไม่ผิดกันแม้แต่นิดเลย

    นี่แลที่ท่านว่า พระพุทธเจ้าอยู่ที่ใจ พระธรรมอยู่ที่ใจ พระสงฆ์อยู่ที่ใจ ไม่อยู่ที่อื่นๆ ไม่มีที่สถิตของธรรมนอกจากจิตเท่านั้น จะเป็นที่สถิตของธรรมทุกขั้นตลอดถึงวิมุตติหลุดพ้น จะไม่หลุดพ้นที่ไหน พ้นที่จิตนี้แล จงเอาให้จริงให้จัง

    อย่ามาทำเล่นๆ เหลาะๆ แหละๆ นะ เราหนักใจ เพราะเคยปฏิบัติมาแล้วก่อนที่จะนำธรรมมาสั่งสอนหมู่เพื่อน และเคยพูดให้ฟังไม่รู้กี่ครั้งกี่หน ไม่ได้พูดได้คุยเพื่ออวดหมู่เพื่อน พูดเป็นคติและพูดตามความจริงของตนที่ได้ดำเนินมา เราแทบล้มแทบตายมาหลายหนแล้วในการต่อสู้กับกิเลส แต่แล้วเราก็ไม่ตาย สุดท้ายกิเลสมัน….ถ้าสู้เราไม่ได้

    นี่ก็เป็นพยานได้ที่ว่าพระพุทธเจ้าสลบไปสามหนไม่ตาย สุดท้ายกิเลสก็ตาย เราก็เคยทำเคยทุกข์แสนสาหัสมาแล้วหลายหนแต่ไม่ถึงขั้นสลบ ไม่ถึงขั้นตาย แต่ประจักษ์ชัดว่ากิเลสมันตายมาโดยลำดับๆ เอาให้คว่ำไปหมดโคตรแซ่ของมันซิกิเลสภายในใจน่ะ โคตรแซ่มันคืออะไร อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นั้นแหละโคตรแซ่กิเลสเราจะไปหาที่ไหน ฟาดฟันหั่นแหลกกันลงไปที่นั่น เมื่อโคตรแซ่มันตายเกลี้ยงหมดแล้ว ไม่มีอะไรเป็นพืชเป็นพันธุ์ต่อไปแหละ หมดเรียบวุธ

    อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ,สงฺขารนิโรธา วิญฺญาณนิโรโธ,…ตลอดถึง นิโรโธ โหติ. เรียบไปหมด เมื่ออวิชชาดับ อะไรนั้นๆ ดับหมด เหมือนเราถอนต้นไม้ทั้งรากแก้วขึ้นมา พรวดเดียวเท่านั้นแหละ กิ่ง ก้าน สาขา ดอก ใบ ไม่ต้องพูดมันตายไปด้วยกันหมดเพราะเป็นบริษัทบริวารของกันและกัน ตัวสำคัญก็คือรากแก้ว ตัวสำคัญคืออวิชชา ฆ่าลงไปๆ จนถึงจุดสุดท้าย ถอนพรวดออกมา รากแก้วก็คือโคตรแซ่ของมัน เอาให้เรียบ แล้วอยู่ไหนก็อยู่ไปเถอะ ตายที่ไหนก็ไม่มีปัญหาอะไรแหละที่นี่

    เรื่องความตายเรียนรอบหมดแล้วมันตายที่ไหน มีแต่ธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟสลายตัวลงไปตามหลักธรรมชาติของเขาเท่านั้นไม่มีอะไรตาย จิตที่กลัวตายๆ ความกลัวเป็นเรื่องของกิเลสหลอกต่างหากนี่ เมื่อเข้าถึงความจริงแล้วตายก็ไม่กลัว กลัวอะไรมันไม่มีอะไรตายนี่ เพราะเป็นหลักธรรมชาติแห่งความจริงด้วยกัน แล้วกลัวอะไร จะมีชีวิตอยู่เราจะได้อะไรจากธาตุจากขันธ์อันนี้ ฉะนั้นท่านที่ถึงความพอตัวแล้ว จึงไม่ประสงค์อะไรจากธาตุจากขันธ์นี้ เวลาตายแล้วจิตใจนี้จะไปล่มจมที่ไหน เพราะจิตใจไม่ใช่ขันธ์ ขันธ์ไม่ใช่จิต ต่างอันต่างจริงอยู่แล้ว

    เราวิตกวิจารณ์กับหมู่เพื่อนอยู่เสมอ เพราะสังขารร่างกายสุขภาพก็ยิ่งชำรุดทรุดโทรมลงไปเรื่อย ๆ การให้โอวาทสั่งสอนก็ได้สั่งสอนมาเต็มเม็ดเต็มหน่วยเต็มอรรถเต็มธรรมเรื่อยมา ไม่สงสัยในการสั่งสอนหมู่เพื่อนว่ายังบกพร่องอยู่ที่ตรงไหน เราสอนอย่างเต็มภูมิ มีเท่าไรลากออกมาหมด แล้วทำไมผู้ที่จะเป็นสักขีพยานให้ได้ชมบ้างว่า ธรรมของพระพุทธเจ้า หรือโอวาทที่แนะนำสั่งสอนแทบเป็นแทบตายนี้ไม่เป็นโมฆะ ยังพอปรากฏผลบ้างแก่ผู้รับฟังและปฏิบัติตามอย่างนี้ แต่ทำไมไม่ปรากฏ เป็นเพราะเหตุไร

    หูก็ตั้งใจมาฟัง ตาก็ตั้งใจมาดู จิตก็ตั้งใจมาศึกษาอบรม แล้วทำไมมันไม่เห็นปรากฏผลขึ้นมาบ้างดังที่มากันนี่ มันเป็นเพราะเหตุไร ถ้าไม่ใช่มาเหลาะๆ แหละๆ อยู่อย่างนั้น เราคิดคงเป็นดังที่ว่านี้ ที่นี่ธรรมเหลาะๆ แหละๆ เพื่อต้อนรับผู้ปฏิบัติแบบเหลาะๆ แหละๆ ไม่มีแม้ในห้องพระไตรปิฎก อย่าว่าแต่จะมีอยู่กับครูอาจารย์ที่เรามาศึกษาอบรมกับท่านนี่เลย ความเหลาะแหละไม่จริงไม่จังนั้นเป็นกลอุบายของกิเลสขวางธรรม ขวางผู้ปฏิบัติธรรมต่างหาก จงพากันทราบไว้อย่างถึงใจ จะได้ไม่หวังธรรมเหลาะแหละว่าจะมาสนองต่อไป

    เอาละยุติแค่นี้

    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๒๓
    Luangta.Com - ��ǧ����Һ�� �ҳ����ѹ�
     

แชร์หน้านี้

Loading...