พระครูพิมลธรรมานุศิษฐ์ (หลวงพ่อขวัญ ปวโร)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย santosos, 18 กรกฎาคม 2006.

  1. santosos

    santosos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,165
    ค่าพลัง:
    +3,212
    พระครูพิมลธรรมานุศิษฐ์ (หลวงพ่อขวัญ ปวโร)

    พระครูพิมลธรรมานุศิษฐ์ (หลวงพ่อขวัญ ปวโร) เดิมชื่อ ขวัญ หมอกมืด เกิดเมื่อวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2451 ที่บ้านไร่ หมู่ที่ 12 (ปัจจุบันเป็นหมู่ที่ 10) ตำบลสามง่าม อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร บิดาชื่อ นายเหลือ มารดาชื่อ นางเอี้ยง มีพี่น้องร่วมสายโลหิตจำนวน 4 คน เป็นชาย 2 คน เป็นหญิง 2 คน ท่านเป็นบุตรคนที่ 1 อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. 2470 ซึ่งขณะนั้นท่านมีอายุได้ 20 ปี อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดบ้านนา โดยมีพระครูศีลธรารักษ์ (หลวงพ่อยิ้ม) วัดท่าหลวง พระอารามหลวง เป็นพระอุปัชฌาย์ และมีพระอาจารย์ชิต เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์ฟัก เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายา ปวโร ท่านจบการศึกษาชั้นสามัญระดับประถมศึกษาปีที่ 6 สอบได้นักธรรมโทได้รับสมณศักดิ์ที่ พระครูพิมลธรรมานุศิษฐ์ ในปี พ.ศ. 2542 ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอสามง่าม (กิตติมศักดิ์) และเจ้าอาวาสวัดเทพสิทธิการาม ตำบลสามง่าม อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร

    ตำแหน่งทางสงฆ์
    1. ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดเทพสิทธิการราม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 จนถึงปัจจุบัน
    2. ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะตำบลสามง่าม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2482 - 2494
    3. ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการสงฆ์อำเภอ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2487 - 2496
    4. ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2489 จนถึงปัจจุบัน
    5. ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะอำเภอสามง่าม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2494 - 2533
    6. ยกเป็นเจ้าคณะอำเภอกิตติมศักดิ์ และที่ปรึกษาคณะสงฆ์อำเภอสามง่าม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533

    ผลงานด้านการก่อสร้าง และร่วมบริจาคเงินก่อสร้างเสนาสนะในพระพุทธศาสนา
    พ.ศ. 2518 ก่อสร้างศาลาพระครูพิมลธรรมานุศิษฐ์ วัดปทุมรัตนาราม ตำบลบึงบัว อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร มูลค่า 500,000 บาท
    พ.ศ. 2525 ก่อสร้างพระอุโบสถวัดปทุมรัตนาราม ตำบลบึงบัว อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร โดยนำพระภิกษุสามเณร และประชาชนร่วมก่อสร้าง และบริจาคเงินจำนวน 300,000 บาท
    พ.ศ. 2527 ก่อสร้างพระอุโบสถวัดกระทิง ตำบลประชาสุขสันต์ อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร โดยนำพระภิกษุสามเณร และประชาชนร่วมก่อสร้าง และบริจาคเงินจำนวน 500,000 บาท
    พ.ศ. 2529 ก่อสร้างพระอุโบสถวัดคงคาราม (วัดโขน) ตำบลหนองคล้อ อำเภอไทรงาม จังหวัดกำแพงเพชร ร่วมบริจาคเงินจำนวน 150,000 บาท
    พ.ศ. 2533 ก่อสร้างพระอุโบสถวัดวังตะขบ ตำบลวังโมกข์ อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร บริจาคเงินจำนวน 100,000 บาท ก่อสร้างศาลาการเปรียญ กุฎิสงฆ์ วัดนิคม ตำบลบ้านนา อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร บริจาคเงินจำนวน 100,000 บาท
    พ.ศ. 2535 ร่วมก่อสร้างวัดบึงหวายพระองค์ ตำบลไทรงาม อำเภอไทรงาม จังหวัดกำแพงเพชร จำนวน 20,000 บาท
    พ.ศ. 2536 ร่วมบริจาคเงินก่อสร้างอุโบสถวัดบึงบัวใน ตำบลบึงบัว อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร จำนวน 15,000 บาท
    ร่วมบริจารเงินสร้างศาลา วิหาร เมรุ วัดงิ้วสองนาง (หนองทอง) ตำบลหนองทอง อำเภอไทรงาม จังหวัดกำแพงเพชร จำนวน 1,087,657 บาท
    ร่วมบริจาคเงินสร้างศาลาการเปรียญวัดแม่บ้ว ตำบลหนองคล้อ อำเภอไทรงาม จังหวัดกำแพงเพชร จำนวน 5,000 บาท
    ร่วมบริจาคเงินสร้างอุโบสถวัดบ้านนา ตำบลบ้านนา อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร จำนวน 10,000 บาท
    พ.ศ. 2537 ร่วมบริจาคเงินก่อสร้างพระอุโบสถวัดวังแดง ตำบลสามง่าม อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร จำนวน 130,000 บาท
    ร่วมบริจาคเงินก่อสร้างศาลาการเปรียญวัดสวนทศพลญาณ ตำบลโดนพลวง อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร จำนวน 100,000 บาท
    พ.ศ. 2538 ร่วมบริจาคเงินก่อสร้างพระอุโบสถ เมรุ วัดมาบแฟบ ตำบลเนินปอ อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร จำนวน 332,600 บาท
    ร่วมบริจาคเงินสร้างศาลาการเปรียญวัดรายชะโด ตำบลสามง่าม อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร จำนวน 15,325 บาท
    ร่วมบริจาคเงินก่อสร้างศาลาการเปรียญวัดหลังถนน ตำบลบ้านนา อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร จำนวน 113,401 บาท

    ผลงานการก่อสร้าง และร่วมบริจาคเงินก่อสร้างเพื่อสาธารณประโยชน์
    พ.ศ. 2537 ก่อสร้างประปาใช้ในวัดเทพสิทธิการาม และบริการประชาชนใกล้เคียง จำนวนเงิน 80,000 บาท
    ก่อสร้างสะพานพิมลธรรมานุศิษฐ์ ข้ามคลองบ้านไร่ จำนวนเงิน 600,000 บาท
    พ.ศ. 2538 ก่อสร้างอาคารปวโร ตึกอาพาธ โรงพยาบาลสามง่าม จำนวนเงิน 5,112,132 บาท

    ผลงานการจัดตั้งมูลนิธิวัดเทพสิทธิการาม (วัดบ้านไร่) มีเงินกองทุน 5,000,000 บาท เพื่อช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ได้รับความเดือดร้อน และยังเป็นทุนการศึกษา รวมทั้งช่วยเหลือสาธารณประโยชน์ทั่วไป
     
  2. santosos

    santosos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,165
    ค่าพลัง:
    +3,212
  3. santosos

    santosos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,165
    ค่าพลัง:
    +3,212
    แต่ “ท่าน”เหล่านั้นในหลายๆครั้ง ก็”เซย์โน”พลางยื่น”โนติส”มาอย่างเด็ดขาดว่า “ไม่อนุญาต” พลาง”อัปเปหิ”ออกมาอย่างไม่ไว้หน้า ประมาณว่า”จงเร่งรีบไสหัว(ออกจากวัด)ไปให้กับเราในบัดดล”(สำนวนของ น.นพรัตน์) ก็มีให้ได้รู้ได้เห็นอยู่ไม่น้อย หนึ่งที่ขึ้นชื่อก็คือ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี (ในสมัยก่อนที่จะทำโครงการช่วยชาติ) อย่าว่าจะเอาเรื่องเอาธรรมะของท่านมาลงหนังสือจำหน่ายเลย เพียงแค่การ”ถ่ายรูป” หากไปถ่ายแบบ ”ทะเร่อทะร่า” ก็มีหวังโดนหลวงตา”เทศน์มหาชาติทรงเครื่องใหญ่”ให้ฟังอย่างแน่ๆ เรื่องแบบนี้ คุณ”บัว ปากช่อง”ผู้เขียนเรื่อง”อยู่กับหลวงปู่”(สายกรรมฐาน) ซึ่งมีสำนวนที่”มันส์พ่ะย่ะค่ะ”มากๆถึงมากที่สุด ที่ผมได้”ครูพักลักจำ”สำนวนวิธีเขียนของท่านมาใช้บ้าง ย่อมรู้ดีกว่าใครเพื่อน หรือแม้แต่ “หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ” แห่งวัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา ก็เช่นกัน “ไม่อนุญาต”ให้หนังสือพระใดๆ นำเรื่องของท่านไปลงตีพิมพ์โดยประการสิ้นเชิง
    หรือแม้ แต่ท่านพระครูวรวุฒิคุณ (อิน อินโท) พระแท้ทองเนื้อเก้าแห่งเมืองนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ วัดทุ่งปุย-ฟ้าหลั่ง จ. เชียงใหม่ (อายุ 101 ปี) ก็ไม่ผิดกัน

    อย่าว่าแต่จะให้”หนังสือพระ”มาลงประวัติท่านเลย แม้แต่หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง เจ้าสำนักวิชชา มโนมยิทธิ แห่งวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี จะมาขอเข้ากราบนมัสการท่าน ครูบาอินท่านยัง”ไม่อนุญาต”เลย!!??!! สำหรับเหตุผลก็คือ ”หลวงพ่อฤาษีฯ มีลูกศิษย์ลูกหามาก หากว่าหลวงพ่อฤาษีไปกราบพระองค์ไหนแล้ว บรรดาศิษย์ๆทั้งหลายมีหวังแห่กรูกันไปกราบไปกวนท่านทั้งวันทั้งคืนจนไม่มีเวลาพักผ่อนอย่างแน่ๆ..”

    แต่....ก็ยังมี”นักเขียนหัวดื้อ”คนหนึ่ง ซึ่งศรัทธาครูบาอินมาก และเสียดายอย่างยิ่งที่พระดีที่สุดแบบนี้ จะต้องมา”เงียบ”อยู่แต่ในความรู้สึกนึกคิดจิตใจของคนเพียงไม่กี่กลุ่มเท่านั้น เลยริอ่าน”ลักไก่”นำประวัติและเรื่องราวเกี่ยวกับคุณธรรมพิเศษแห่งท่านไปลงหนังสือ”ศักดิ์สิทธิ์”ถวายให้เมื่อหลายปีก่อน จนชื่อเสียงของครูบาอินท่านเริ่มขจรขจายไปทั่วประเทศ มีผู้คนแวะเวียนเข้าไปกราบไหว้ไปสาท่านไม่ว่างเว้น
    วันหนึ่ง “นักเขียนหัวดื้อ”คนนั้น ก็ย่องๆเข้าไปนั่งต่อหน้าครูบาอิน ซึ่งตอนนั้นยังจำพรรษาอยู่ที่วัดฟ้าหลั่ง กิ่งอ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ โดยไม่เปิดเผยฐานะของตัวเองอย่างเงียบๆด้วยใจตุ๋มๆต๋อมๆเต็มที (ประมาณว่า กลัวครูบาจะรู้ว่า”อ้อ...อีตานี่เองที่มันลักเอาเรื่องของข้าไปลงหนังสือ..”แล้วจะถูกด่า) พลันก็มีชายจากเชียงรายคนหนึ่งเดินทางเข้ามากราบครูบาอินเป็นครั้งแรก เหมือนจะ”รู้ทัน” หลวงปู่ฟ้าหลั่งก็ถามชายคนนั้นอย่างที่ปกติไม่เคยถามใครเลยทีเดียวว่า “รู้จักครูบาได้อย่างไร??”
    “อ๋อ..รู้จากหนังสือศักดิ์สิทธิ์ครับ..!!”
    “หนังสือศักดิ์สิทธิ์รึ....อืมม..!!!!!”
    ทราบไหมครับ...ท่านผู้อ่านที่เคารพรักทั้งหลาย เมื่อครูบาอินพูดจบแบบเสียงเข้มๆ เล่นเอา“นักเขียนหัวดื้อ”รายนั้น ซึ่งทั้ง”รัก”และ”เกรง”ครูบาอินท่านมาก ถึงกับนั่งตัวลีบ หน้าซึดจ๋อยเหลือเพียงแค่สองนิ้วเท่านั้น!!!!!
    ชะอึ๋ยย..............
    ตายละวา..............
    งานนี้ ข้าพเจ้าจะถูกครูบาท่านด่าให้รึปล่าวนะนี่...............
    แต่....ก็นับเป็นบุญหัวของนักเขียนหัวดื้อรายนั้นนักหนา ที่ครูบาอิน ที่แม้จะ”รู้แกว”ทั้งหมดด้วยญาณวิถีอันไม่มีที่กั้นแห่งท่านจนหมดสิ้น แต่ท่านก็ยัง”ปล่อยนกปล่อยปลา”ไม่ถือสาหาความนักเขียนหัวดื้อรายนั้นใดๆ เหมือนหนึ่งประมาณว่า “ปล่อยให้มันได้เขียนถวายพระ ทำบุญสืบพระศาสนาต่อไปเต๊อะ....”ด้วยประการฉะนี้.............
    นี่คือเรื่องหนึ่งที่น่า”ประทับใจ”มากกกกก..........ที่ยังคงไม่เคยลืมเลือนมาโดยตลอด

    แม้กระทั่งถึงวินาทีที่กำลัง”เขียนต้นฉบับ”เรื่อง”หลวงพ่อขวัญ วัดบ้านไร่”นี้อยู่ ก็ยังประทับใจไม่หายเลยจริงๆ!!!!! นี่แหละ”ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของพูดได้นั้นไม่จริง”สมดังคำของท่านพระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต(ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ) แห่งวัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานครท่านว่าไว้ไม่ผิดคำเลยจริงๆ
    และแน่นอนที่สุด.....แม้กรณีของท่านพระครูพิมลธรรมานุสิษฐ์ หรือหลวงพ่อขวัญ ปวโร พระอริยวราจารย์แห่งวัดเทพสิทธิการาม ต.สามง่าม อ.สามง่าม จ.พิจิตร ก็คือหนึ่งใน”สุดยอดพระดี”ที่บำเพ็ญตนเป็น”ของจริงนิ่งเป็นใบ้”อย่างเด็ดขาดและมั่นคง ตลอดระยะเวลาเกือบ 100 ปี ตราบเท่าถึงปัจจุบันนี้
    “หลวงพ่อเกษมรับรอง
    การันตีแรกสุด ที่มีน้ำหนักความน่าเชื่อถือที่หนักแน่นมากๆถึงมากที่สุด ในความเป็นสุดยอดพระดีที่”เก่งแท้ แน่จริง”ของหลวงพ่อขวัญ ปวโร แห่งวัดเทพ สิทธิการาม (บ้านไร่) จ.พิจิตร ก็มาจากปากของหลวงพ่อเกษม เขมโก แห่งสำนักสุสานไตรลักษณ์ จ.ลำปาง ผู้”นิพพาน”ไปแล้วองค์นั้นนั่นแล เรื่องของเรื่องก็ได้บังเกิดขึ้น เมื่อสมัยที่หลวงพ่อเกษม ได้เจริญอายุมาจะครบ 80 ปี เมื่อราวพ.ศ. 2530 คุณสมคราม เพชรนา ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็น”ผู้ช่วยส.ส.”ของท่านศิริวัฒน์ ขจรประสาธน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรจังหวัดพิจิตร พรรคมหาชน (บุตรชายของพลตรีสนั่น ขจรประสาธน์ หรือ”เสธฯหนั่น”ผู้โด่งดัง ซึ่งปัจจุบัน เป็นที่ปรึกษาพรรคมหาชน) พร้อมกับเพื่อนๆอีก 3-4 คนเข้าไปกราบหลวงพ่อเกษม เขมโก ถึงสุสานไตรลักษณ์ จ. ลำปาง เมื่อพบแล้ว หลวงพ่อเกษมก็แจกพระข้าวก้นบาตรมาคนละหนึ่งองค์ ก่อนที่หลวงพ่อเกษม เขมโก ก็ถามคุณสงคราม ผู้ช่วยส.ส.ท่านนั้นเลยทีเดียวว่า
    “มาจากไหนกัน??”
    “มาจากจังหวัดพิจิตรครับ...หลวงพ่อ”
    “มาจากพิจิตรหรือ..???”
    “ครับผม...”
    “อืมม์....”หลวงพ่อเกษมรำพึงเหมือนอย่างใช้ความคิด ก่อนที่จะกล่าววาจาประกาศิตสืบต่อไปอีกว่า
    “ ทีหน้าทีหลัง ไม่ต้องมาไกลถึงลำปางนี้ก็ได้ ที่จังหวัดพิจิตรก็มีพระดีอยู่ที่นั่นแล้ว ชื่อหลวงพ่อขวัญ วัดบ้านไร่ นั่นไง....” และ
    “หลวงพ่อขวัญ วัดบ้านไร่นั่นน่ะ เหมือนกับเราทุกอย่างเลยนะ.....!!!!!!!!”
    “เหมือนกับเราทุกอย่างเลย...!!!???!!!”
    นี่ขนาดพระอัจฉริยเจ้าผู้บรรลุมรรคผลนิพพานอันสูงสุดอย่างหลวงพ่อเกษม เขมโก ยังกล้ากล่าวรับรอง หลวงพ่อขวัญว่า “เหมือนกันเราทุกอย่างเลย”อย่างนี้ ยังจะมีอะไรต้องสงสัยกันอีกหรือนี่..???? แต่จะต้อง“ยอดเยี่ยม”และ”ประเสริฐสูงสุด”ทุกประการแล้วเป็นแน่แท้แน่นอนที่สุดแล้ว.....
    ช่างเป็นบุญแท้ๆ..........
    ช่างเป็นบุญอย่างเหลือล้นแล้วจริงๆ............
    สาธุ....สาธุ.....สาธุ........ .
    สังฆัง นมามิ...............
    “ไม่เคยอนุญาตให้ใคร”

    ก็อย่างที่ได้กล่าวไว้แต่ต้น ว่าอัน”พระดีพระแท้”จริงๆนั้น ท่านย่อมแลเห็น”ลาภ”และ”สักการะ”คือเรื่องเงินเรื่องทองตลอดจนความนับถือยกย่องสรรเสริญทั้งหลายทั้งปวงว่า เป็นของต่ำของหยาบ เป็นพิษเป็นภัย ซึ่งกีดกั้นมรรคผล ทั้งต่อพรหมจรรย์และความสงบในการบำเพ็ญสมณเพศของท่านเป็นอย่างยิ่ง
    พระผู้ใฝ่หาความสงบและสันติแท้ ย่อมไม่ยินดีและอาลัยในลาภยศสรรเสริญใดๆทั้งสิ้น นอกจาก”ธรรม”ที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานไว้แต่เพียงประการเดียวเท่านั้น

    ด้วยเหตุนี้ “หลวงปู่หลวงพ่อ”ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบหลายๆองค์ ท่านจึง”ปฏิเสธ”ที่จะ”ดัง”หรือเป็นที่”ฟีเวอร์”อย่างสิ้นเชิง ใครจะเอาเรื่องท่านไปเขียนไปโฆษณาอะไรๆ ท่านเป็น”ห้าม”ไว้ทั้งสิ้น ยกเว้นแต่.....เมื่อ”ถึงคราว”ที่จะต้องเพื่อ”ช่วยชาติ”หรือ”ส่งเสริมศาสนา” ให้เป็นที่เจริญศรัทธาปสาทะผู้คนทั้งหลายได้ปลาบปลื้มปีติใน”พระดีที่คงอยู่” หลวงปู่หลวงพ่อนั้นๆท่านก็จะ”เปิด”ให้โดย”พฤตินัย”อย่าง”เงียบๆ” โดยปราศจากคำพูดใดๆ ตาม”พุทธวิถี”อย่างแนบเนียนและงดงามที่สุด นั่นก็คือ” การอนุญาตโดยการนิ่ง” ไม่ปฏิเสธนั่นแลฯ ดูอย่างเช่นหลวงพ่อขวัญ ปวโรในสมัยก่อนก็ได้

    มีหนังสือพระเครื่องยักษ์ใหญ่เล่มหนึ่ง มากราบขอเอาประวัติท่านไปลงหนังสือของตน สมัยที่มีข่าวฮือฮาเกี่ยวกับอภินิหาร”แหวนพิรอด”ที่มีนายทหารคนหนึ่ง”โดดร่มไม่กางไม่ตาย” แต่หลวงพ่อขวัญ ตอบปฏิเสธกลับไปอย่างไม่ไยดีเลยทีเดียว!!! หรือแม้แต่การ”ถ่ายรูป” ก็คล้ายๆกับหลวงปู่ดุลย์ อตุโล พระอริยเมธีผู้ทรงปัญญายิ่งแห่ง วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์ ผู้ปราศจาก”มายา”ในการ”สร้างภาพ”เพื่อให้ดูเด่นเป็นสง่าทั้งสิ้น
    คนถ่ายต้องคอย”หาโอกาส”ถ่ายเอาเอง
    แต่ก็ใช่ว่าจะ “ง่าย”..!!??!!

    เพราะหลวงพ่อขวัญท่านจะ”มองเมิน”ไปทางอื่นที่ไม่มีคนแบบ”ไม่ง้อ”และ”ไม่สนใจใคร”อยู่นานเท่านาน..... ใครจะมา ใครจะไปอะไรที่ไหนอย่างไร หลวงพ่อขวัญก็แทบจะไม่”กรายหางตา”ไปดูไปมองเลยจริงๆ!!!! เรื่องนี้ ใช่ว่า หลวงพ่อขวัญท่านจะ”ไม่เมตตา” ก็หามิได้แต่ประการใด สำหรับ”ผู้รู้จริง” ย่อมทราบว่า อัน”กริยา”ที่”ทำเป็นไม่สนใจโยม”ของหลวงพ่อขวัญนั้น โดยแท้แล้ว ก็คือการ”สอนธรรม” หรือ”เทศน์กันฑ์ใหญ่”โดยการ”ทำให้ดู”หรือการ”ไม่พูด”นั้นเอง หนึ่งในนั้นก็คือ หลวงพ่อขวัญท่านไม่ต้องการให้ผู้คนมา”ยึดติด”ในองค์ท่าน แต่ประสงค์จะให้”ติดในธรรม”ของพระพุทธองค์มากกว่า หลวงพ่อ ท่านเลย “ทำ”เป็น”ไม่ดู”และ”ไม่แล”ใครๆ ราวกับเหมือน”ไม่มี”ญาติโยมคนไหนๆอยู่ต่อหน้าท่านหรือ”ปราศจากตัวตน”อยู่ในโลกนี้ก็ไม่ปาน
    “สัพเพ สังขารา อนิจจา”
    สังขารทั้งหลาย ล้วนไม่เที่ยง
    “สัพเพ สังขารา ทุกขา”
    สังขารทั้งหลาย ล้วนไม่อาจตั้งอยู่ในสภาพเดิมได้โดยตลอด(เป็นทุกข์) และ
    “สัพเพ ธัมมา อนัตตา”
     
  4. santosos

    santosos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,165
    ค่าพลัง:
    +3,212
    เรื่องของเรื่องก็ได้บังเกิดขึ้น เมื่อสมัยที่หลวงพ่อเกษม ได้เจริญอายุมาจะครบ 80 ปี เมื่อราวพ.ศ. 2530 คุณสมคราม เพชรนา ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็น”ผู้ช่วยส.ส.”ของท่านศิริวัฒน์ ขจรประสาธน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรจังหวัดพิจิตร พรรคมหาชน (บุตรชายของพลตรีสนั่น ขจรประสาธน์ หรือ”เสธฯหนั่น”ผู้โด่งดัง ซึ่งปัจจุบัน เป็นที่ปรึกษาพรรคมหาชน) พร้อมกับเพื่อนๆอีก 3-4 คนเข้าไปกราบหลวงพ่อเกษม เขมโก ถึงสุสานไตรลักษณ์ จ. ลำปาง เมื่อพบแล้ว หลวงพ่อเกษมก็แจกพระข้าวก้นบาตรมาคนละหนึ่งองค์ ก่อนที่หลวงพ่อเกษม เขมโก ก็ถามคุณสงคราม ผู้ช่วยส.ส.ท่านนั้นเลยทีเดียวว่า
    “มาจากไหนกัน??”
    “มาจากจังหวัดพิจิตรครับ...หลวงพ่อ”
    “มาจากพิจิตรหรือ..???”
    “ครับผม...”
    “อืมม์....”หลวงพ่อเกษมรำพึงเหมือนอย่างใช้ความคิด ก่อนที่จะกล่าววาจาประกาศิตสืบต่อไปอีกว่า
    “ ทีหน้าทีหลัง ไม่ต้องมาไกลถึงลำปางนี้ก็ได้ ที่จังหวัดพิจิตรก็มีพระดีอยู่ที่นั่นแล้ว ชื่อหลวงพ่อขวัญ วัดบ้านไร่ นั่นไง....” และ
    “หลวงพ่อขวัญ วัดบ้านไร่นั่นน่ะ เหมือนกับเราทุกอย่างเลยนะ.....!!!!!!!!”
    “เหมือนกับเราทุกอย่างเลย...!!!???!!!”
    นี่ขนาดพระอัจฉริยเจ้าผู้บรรลุมรรคผลนิพพานอันสูงสุดอย่างหลวงพ่อเกษม เขมโก ยังกล้ากล่าวรับรอง หลวงพ่อขวัญว่า “เหมือนกันเราทุกอย่างเลย”อย่างนี้ ยังจะมีอะไรต้องสงสัยกันอีกหรือนี่..????
    แต่จะต้อง“ยอดเยี่ยม”และ”ประเสริฐสูงสุด”ทุกประการแล้วเป็นแน่แท้แน่นอนที่สุดแล้ว.....
    ช่างเป็นบุญแท้ๆ..........
    ช่างเป็นบุญอย่างเหลือล้นแล้วจริงๆ............
    สาธุ....สาธุ.....สาธุ........
    สังฆัง นมามิ...............
    “พระผู้รู้ล้วนการันตี”
    นอกจากหลวงพ่อเกษม เขมโก แห่งสำนักสุสานไตรลักษณ์ จ.ลำปาง จะรับรอง”คุณธรรม”ของหลวพ่อขวัญอย่างสุดองค์ดังว่านี้แล้ว ก็ยังได้มีพระคณาจารย์ผู้ทรงธรรมอันเลิศอีกหลายองค์ต่างก็ได้พากัน”การันตี”ถึงความเป็น”พระดี พระแท้”ผู้ยอดเยี่ยมด้วยอาการทั้งปวงของหลวงพ่อขวัญกันโดยถ้วนหน้า อาทิ
    “หลวงพ่อขวัญ วัดบ้านไร่ท่านเป็นพระดีนะ...!!!” (หลวงปู่หล้า ตาทิพย์ วัดป่าตึง สันกำแพง เชียงใหม่)
    “หลวงพ่อขวัญ วัดบ้านไร่นี้ เก่งมาก...!!!!” (หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง สิงห์บุรี)
    “หลวงพ่อขวัญ วัดบ้านไร่ ที่พิจิตรนั้นเป็นพระดีที่ ทรงคุณธรรมสูง ที่น่าไปกราบไหว้มากอีกองค์หนึ่งในยุคนี้เลยทีเดียวนะ..!!!!” (หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง อุทัยธานี)

    และที่คุณสุวิทย์ ชอบใช้ สจ.พิจิตร ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์(รุ่น 28)กับผู้เขียนมาด้วยกัน(เรียนหนังสือเก่งมาก รู้สึกว่าจะได้เกียรตินิยมอันดับสอง ซึ่งตรงข้ามกับผู้เขียนซึ่งได้เกรดแย่มาก เพราะมักจะโดดเรียนไปส่องพระหรือไม่ก็หนีเข้าวัดไปหาหลวงปู่หลวงพ่อเป็นกิจวัตร) ได้เห็นและได้ยินมากับหูกับตาตนเอง ก็เมื่อครั้งที่คุณสุวิทย์ไปกราบหลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม กาญจนบุรี ที่สำนักพุทธมณฑลสาย 2 ด้วยความศรัทธา คุณสุวิทย์ก็ได้”ถวายแหวน”หลวงพ่อขวัญแด่หลวงพ่ออุตตมะจำนวนหนึ่ง......

    ในทันใดนั้นเอง หลวงพ่ออุตตมะก็เรียก”เหลนศิษย์”ตัวน้อยๆคนหนึ่ง ซึ่งสนิทชิดเชื้อกับหลวงพ่ออุตตมะเป็นอันดี พลางหยิบเอาแหวนพิรอดหลวงพ่อขวัญนั้นมาใส่นิ้วให้อย่างตั้งอกตั้งใจด้วยมือของหลวงพ่ออุตตมะเอง ก่อนสั่งสำทับอีกด้วยว่า “ของดีนะ.... ของดีนะ.....ใส่ไว้ให้ดีนะ...!!!!!”
     

แชร์หน้านี้

Loading...