พระนอน กับ พ่อท่านตามืด ที่วัดนางโอ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย smart7667, 22 กรกฎาคม 2013.

  1. smart7667

    smart7667 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,871
    ค่าพลัง:
    +6,755
    พระนอน กับ พ่อท่านตามืด ที่วัดนางโอ

    ...วัดนางโอ หรือวัดบุพนิมิต ต.แม่ลาน อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี มีความเก่าแก่จนกลายเป็นสถานที่สำคัญในการผูกสัมพันธ์ให้ชาวพุทธปักหลักและยืนหยัดอาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งนี้เป็นเวลายาวนานมากว่า ๒ ศตวรรษแล้ว และท่ามกลางสถานการณ์ที่ผันแปร ประกอบกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่แห่งนี้

    หลวงพ่อดำ” อดีตเจ้าอาวาสแห่งวัดนางโอ ลำดับที่ ๙ ซึ่งเป็นพระผู้ได้ชื่อว่าเป็น “พระผู้ให้” อีกทั้งยังมีเมตตาสูง ให้ความช่วยเหลือชาวบ้านที่ทุกข์ร้อนอย่างเท่าเทียมกันทุกศาสนา ไม่ว่าจะเป็นพุทธ หรือมุสลิม รวมไปถึงศาสนิกอื่น หากชีวิตเผชิญทุกข์อันใดมักต้องมาขอพึ่งใบบุญ และได้รับความช่วยเหลือจนชีวิตก้าวพ้นวิกฤติทุกราย

    [​IMG]
    รูปเหมือนหลวงพ่อดำ วัดนางโอ

    แม้นว่า “หลวงพ่อดำ” จะดับสังขารไปตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๗ แต่วันนี้ด้วยกิตติศัพท์และคุณูปการแห่งความดีที่ท่านได้สร้างไว้ เมื่อครั้งที่ยังมีลมหายใจ ทำให้วันนี้นอกจากเหล่าพุทธบริษัทในพื้นที่ อ.แม่ลาน และชุมชนใกล้เคียงแล้ว ยังมีสาธุชนที่เลื่อมใสศรัทธาจากต่างถิ่นเดินทางมากราบสักการบูชารูปเหมือนของอดีตเจ้าอาวาสรูปนี้ ณ วัดนางโอ อย่างไม่ขาดสาย

    คุณงามความดีของหลวงพ่อดำอดีตเจ้าอาวาสได้กลายเป็นแรงดึงดูดที่สำคัญที่ทำให้ศรัทธาของญาติโยมยังหลั่งไหลมายังวัดแห่งนี้ไม่ขาดสาย แม้นว่าวันนี้สถานการณ์ในพื้นที่จะยังอยู่ในภาวะไม่ปกติก็ตาม ตลอด ๖ ปีที่ความรุนแรงได้ปะทุขึ้นในดินแดน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ วัดนางโอแห่งนี้ปราศจากการก่อความรุนแรงของคนร้าย ช่วงที่สถานการณ์รุนแรง มีคนเฒ่าคนแก่ละแวกวัดได้มาเปรยให้ฟังที่วัดอยู่เสมอๆ ว่า ได้เห็นภาพพระภิกษุรูปหนึ่งยืนเด่นเป็นสง่า และโบกสะบัดจีวร เสมือนประหนึ่งว่า ได้ช่วยปัดภัยร้ายจากผู้ไม่หวังดีให้ผ่านพ้นไปจากวัดนางโอแห่งนี้ และพระภิกษุรูปดังกล่าว ชาวบ้านต่างพากันร่ำลือว่าคือ หลวงพ่อดำ นั่นเอง ซึ่งเรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละคน” นี่คือคำบอกเล่าของพระครูนิมิตรธรรมธาดา เจ้าอาวาสวัดนางโอรูปปัจจุบัน

    นอกจากคุณงามความดี และความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อดำที่กลายเป็นดั่งแม่เหล็กที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้ชาวพุทธในพื้นที่ละแวกวัดให้รวมเป็นหนึ่งเดียวแล้ว วัดนางโอแห่งนี้ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่เป็นดุจดั่งสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจของชาวพุทธในพื้นที่นี้ นั่นคือ "พระพุทธรูปไสยาสน์" หรือ "พระนอน" ที่ประดิษฐานเด่นตระหง่านอยู่บริเวณภายในวัด

    [​IMG]


    พระนอนองค์ใหญ่สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๙ จากดำริของ "พระครูกิตติคุณากร" อดีตเจ้าอาวาสรูปที่ ๑๐ แห่งวัดนางโอ ที่วาดหวังให้ชาวพุทธในพื้นที่ได้ร่วมสร้างสัญลักษณ์แห่งความร่วมแรงร่วมใจที่จะอยู่คู่กับพระพุทธศาสนาในพื้นที่แห่งนี้ตลอดไปตราบนานเท่านาน โดยความร่วมใจของชาวพุทธในพื้นที่และสามารถดำเนินการสร้างสำเร็จด้วยแรงกายและแรงใจของพระสงฆ์และพุทธบริษัทในเวลาอันรวดเร็ว

    ด้วยพุทธศิลป์อันงดงามขององค์พระอันก่อเกิดจากปณิธานของพระภิกษุ ที่หวังจะสร้างสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนาให้ปรากฏในดินแดนด้ามขวาน และถูกนำไปใช้เป็นส่วนหนึ่งในคำขวัญประจำอำเภอที่ว่า “ลองกองหวาน ชลประทานดี วิถีอำนวย พระนอนสวย รวยทุ่งกว้าง” จนในที่สุดวันนี้หน่วยงานราชการเริ่มเห็นถึงความสำคัญและมีแผนการเตรียมส่งเสริมและผลักดันสนับสนุนให้วัดนางโอ กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งของ อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี

    [​IMG]


    สิ่งที่ยังน่ากังวลสำหรับพระภิกษุ แม้ว่าวัดแห่งนี้ที่ปัจจุบันมีพระสงฆ์เพียง ๔ รูป แต่วัดเล็กๆ แห่งนี้สามารถยืนหยัดอยู่ได้ด้วยพลังของพุทธศาสนิกชน ที่ปักหลักไม่ไปไหน และช่วยกันทำนุบำรุงให้คงอยู่ จนสามารถก้าวมาเป็นอีกหนึ่งศาสนสถานอันสำคัญในดินแดนปลายด้ามขวาน

    ส่วนประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านนางโอ เมื่อครั้งอดีตกาลนานมาแล้ว ได้มีผู้คนอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้ ปรากฏเกิดโรคระบาดที่เรียกว่า “โรคห่า” ขึ้น มีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก และได้อพยพย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยออกจากหมู่บ้าน

    ใน เวลาต่อมามีครอบครัว ๒ ตายาย มาตั้งถิ่นฐานชื่อว่า ทวดจอม กับ จันแก้ว มาอยู่ในบ้านร้าง มีลูกมีหลานเกิดขึ้น และได้มีราษฎรอพยพตามมาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยมีครอบครัวหนึ่งซึ่งมีลูกสาวชื่อว่า “โอ” เป็น คนที่สวยมาก จึงทำให้มีข่าวลือไปทั่ว ทำให้มีผู้ชายมาชอบมาก แต่เมื่อมีใครมาขอแต่งงาน นางไม่ยอมตกลงกับใครสักคน ทำให้ผู้ชายเกิดความโกรธแค้นจึงได้ฆ่านางตาย ข่าวการฆ่านางโอตายจึงได้มีการร่ำลือกันไปทั่ว จนทำให้มีการเรียกหมู่บ้านนี้ว่า "บ้านนางโอ" ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

    ที่วัดนางโอนอกจากจะมีหลวงพ่อดำเป็นหลักใจแล้ว...ที่วัดนางโอแห่งนี้ยังมีเนื้อนาบุญที่มีวัตรปฏิบัติงดงามเคร่งครัดในศีลมีศีลาจารวัตรที่น่าเลื่อมใสนาม...ตาหลวงบ่าวหรือ...พ่อท่านบ่าว ปิยธโร พระเถระผู้ทรงศีลทรงธรรมแห่งวัดนางโอ อำเภอแม่ลานจังหวัดปัตตานี ผู้เป็นผู้บริสุทธิ์อุปสมบทมาเป็นระยะเวลากว่า40ปี ด้วยอำนาจบุญจากการที่ท่านถือครองผ้ากาสาวพัสตร์ทำให้จิตของท่านวิสุทธิ์และแข็งกล้าด้วยพลังศีลพลังธรรมที่มากอานุภาพมีกระแสพลังพระรัตนตรัยที่มากมิมีประมาณ

    พ่อท่านบ่าวเป็นพระเถระที่พิการทางสายตาไม่สามารถมองเห็นมาเป็นเวลาถึง 34 ปีแล้ว พ่อท่านบ่าวจึงดำเนินชีวิตด้วยวิถีที่เรียบง่ายและไม่คลุกคลีกับสังคมมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ท่านมีชีวิตท่ามกลางความสงบสงัดไม่ยุ่งเกี่ยวข้องกับผู้ใดนี่เองที่ทำให้ท่านมีเวลาปฏิบัติธรรมและการสวดภาวนามนต์ของพระพุทธเจ้ามาตลอดเวลานับสิบๆปีท่านจึงได้รับความศรัทธาจากพุทธศาสนิกชนที่ใฝ่ธรรม

    [​IMG]


    ตาหลวงบ่าวบวชมหานิกายที่วัดนางโอเมื่อปี 2510 พอบวชถึงก็อยู่วัดนางโอหนึ่งพรรษาก่อนที่จะไปจำพรรษาที่วัดพรุทุ่งคอก(ทุ่งยอ)อำเภอเมือง จังหวัดยะลามาตลอดเลยลูก หลังจากนั้นก็มาอยู่ป่าช้าเพียงลำพัง ลูกหลานกลัวว่าจะเป็นอันตรายจากโจรผู้ร้ายจึงมาอยู่ที่วัดนางโอแล้วการปฏิบัติปกติก็ปฏิบัติอยู่ตามวัดนั่นแหละ ส่วนใหญ่ก็ปฏิบัติเป็นการส่วนตัว ไปๆ กันบ้างก็เล็กๆ น้อยๆ ส่วนใหญ่จะฝึกฝนตามที่พระอุปัชฌาย์ให้ไว้ แถวโน้นมันเป็นป่า อยู่ป่าเหมือนกับพวกลิงพวกค้างนั้นแหละอยู่กันตามประสา เพราะต้องอาศัยเรียนรู้ด้วยตนเอง เพราะความรู้น้อย วาสนาน้อย เราจะเที่ยวดิ้นรนไปก็ไม่ได้ก็อยู่ได้เฉพาะในเขตอำเภอในเขตวัดของฉันนั้นแหละ ไม่ได้ออกไปข้างนอก เพราะไม่ได้มีชื่อเสียง แต่ว่าถึงอย่างหนึ่งอย่างใดก็ตาม ฉันรู้สึกว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า อย่างที่ละเอียด มันไม่จำกัด มันมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง มันอยู่กับบุคคลนะลูก ไม่ใช่ว่ามันจะอยู่ตามที่

    ถ้าพูดถึงการปฏิบัติของฉันนั้น ก็คือ "ละ" ฉันพยายามละ ตามที่พระท่านได้สอนเอาไว้ โดยให้ละความโกรธ ความโลภ ความหลง ให้ตั้งมั่นอยู่ในความสงบ เมื่อสงบได้สักเท่าใด นั่นแหละคือ “ตัวบุญ” พยายามละ ถือตัวละเพียงตัวเดียวเท่านั้นเอง การละของหลวงปู่ที่ต้องทำ คือ “ละหิน” ละความโกรธ ไม่อยากได้ของคนอื่น ของคนอื่นเราไม่อยากได้ ส่วนความโกรธนั้นพอดีพอร้าย ถ้ามันไม่เหลือเกินก็ไม่โกรธลูก “ไม่โกรธ” ไม่โกรธใคร อยู่ธรรมดาๆ อย่างนี้แหละ ทีนี้ความหลงที่จะหลงไปว่า ไอ้นู้นของกู ไอ้หนี้ของกู อันนี้มันไม่ค่อยหลงสักเท่าใดนัก เพราะนึกได้อยู่เสมอว่า เพราะมองเห็นอยู่ว่า“ไอ้ที่เขาตายๆ ไปกันนั้น ก็พาอะไรไปไม่ได้เลยสักคนหนึ่ง

    เท่านี้แหละมิใช่จะรู้เสียมากมายเท่าไร “รู้แต่ว่ารู้” ถ้าพูดตามส่วนนั้น คือรู้ความจริงว่ามันอยู่ตรงนั้น ถึงเราจะเรียนจบมาสักเท่าใดๆ ก็ตาม หลักเกณฑ์ใดๆ มันก็อยู่ตรงนั้น เพราะพระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้อย่างนั้น คือ “ให้ละ” ที่นี้เมื่อคนเราถ้าละสามอย่างนี้ได้ ถึงว่าจะได้มากได้น้อย ก็แล้วแต่ ลองคิด...คำสอนของพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้บอกเอาไว้ที่ว่า ท่านเจ้าคุณ จะต้องเป็นสุขหรือว่าชาวบ้านจะต้องเป็นสุข นั้นแหละลูก เอาแค่เพียงสุขใจ สบายใจกัน กินพอดี เราหากินพอดี เหลือจากนั้นก็ทำบุญให้ทาน รักษาศีล พระท่านสอนเอาไว้ในศีล 5 นี่แหละที่สำคัญที่สุด ผู้ที่ปฏิบัติในศีล 5 ได้ เขาว่าปิดอบายไม่ต้องไปนรก

    การปฏิบัติของฉันไม่มีใคร คือ สวดมนต์ไหว้พระแล้วนั่งภาวนาอยู่ตามประสาเรานี้แหละ ตามประสาว่า “พุทโธ” คือว่าพุทโธ หมายถึงว่าที่พึ่งของเราคือพระพุทธเจ้า เป็นของพระพุทธเจ้าโดยแท้จริง ผู้ที่เคารพบูชาให้เหนือกว่าพระพุทธเจ้าไม่มี ไม่มีใครเหมือน ไม่มีใครที่จะดีกว่าพระพุทธเจ้า ไม่มีแล้ว ถ้าเราไปเคารพคนอื่น ก็ตามใจแหละแต่สำหรับฉันไม่มีจริงๆ ฉันต้องเคารพในพระพุทธเจ้าของฉันนั้น แหละ ถึงใครจะสอนคาถาดีๆ ให้สักเท่าใดก็ตาม ยิงไม่ออก ฟันไม่เข้า แทงไม่กินก็ตามใจ ใคร จะมาบอกอะไรอย่างนั้น ฉันไม่เกี่ยว ฉันไม่สนใจ ฉันไม่เอาเรื่องนั้น ฉันเอาเรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้นแหละ “ฟันไม่เข้า แทงไม่กิน ไม่ใช่เรื่องของพระพุทธเจ้า ยิงไม่ออก ก็ไม่ใช่เรื่องของพระพุทธเจ้า” การเสกพระนั้นก็ใช้จิตล้วนๆประกอบด้วยพระปริตรมนต์เพื่อขออำนาจพระรัตนตรัยมาช่วยให้ศักดิ์สิทธิ์ฉันไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์แต่พระพุทธเจ้าท่านศักดิ์สิทธิ์ที่ว่าศักดิ์สิทธิ์ก็เพราะความดีที่พระองค์ปฏิบัติ

    แล้วถ้าใครไปเรียนรู้เข้าไปปฏิบัติที่นอกเหนือพระพุทธเจ้ามาอย่างนั้น มันต้องเป็นเรื่องร้ายๆ ทั้งเพที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เรื่องดี ลองคิดดูนะ ฟันไม่เข้า ยิงไม่เข้า ถ้าใครยิงไม่เข้าขึ้นมาสัก 2 – 3 คน รับรองได้เลยมันต้องเกิดเรื่องขึ้น มาแน่ๆ เกิดยิงไม่เข้าขึ้นมา เราก็ไม่กลัวใครแล้ว ความเมตตาในตัวของเราไม่มีแล้ว เราไม่กลัวใครแล้ว เช่นตั้งตนเป็นผู้วิเศษ กลายเป็นการหลงตัวลืมตนสู้เรื่องที่พวกจะมาตั้งใจบูชาคุณพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ เรื่อง ของการทำสมาธิ มันมิใช่เรื่องคุยกัน ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเอามาอวด เอามาโชว์กันนะลูก มันไม่ใช่โนราที่เล่า ที่จะต้องออกมานั้งแสดงให้ใครๆ เห็น มันไม่จำเป็นที่จะต้องไปนั่งประกาศให้ใครรู้ว่าเราทำสมาธิก่อน นอนทุกๆ คืนเราต้องทำสมาธิกันเสียก่อน ถ้าไม่จำเป็นหรือติดขัดอะไร ก็ต้องนั่งให้ได้ทุกๆ คืน ทั้งหัวค่ำ หัวรุ่งทุกๆ คืน นั่งในแต่ละครั้งพอสบายๆ “ไม่รีบร้อน แต่ไม่ขาด” เหตุที่นั่งไม่ขาด นั่นคือการตั้งธรรมะเอาไว้ คือตั้งความเพียรเรานั่งตอนหัวค่ำ ถ้าใจมันฟุ้งซ่าน เราก็เลื่อนไปนั่งตอนหัวรุ่งแทน เราจะได้รู้ว่ามันจะฟุ้งซ่านหรือเปล่า ถ้าคืนนี้มันยังฟุ้งซ่านอยู่ คืนต่อไป เราก็ทำใหม่ เราต้อง “ธรรมะ” เราต้องมีความเพียรพยายามในการสร้างความดี ถ้าเราตั้งใจเข้าแล้วไม่วันใดก็วันหนึ่ง พอเราได้ปั๊บ ปัญญามันก็จะเกิดขึ้น พอปัญญาเกิด มันก็ทำอะไรๆ ได้หลายอย่าง มันจะเห็นคุณค่าของการปฏิบัติขึ้นมาก็ตอนนี้แหละอย่างเช่นว่า ลูกไปทะเลาะกับเขา นั่งด่าเขาปาวๆ แต่เขายังนั่งเฉย คนด่านี่แหละลูก อารมณ์โกรธอาจจะทำให้เป็นลมล้มลงได้ เรานั่งเฉยๆ ไม่ธุระ เพราะคำด่าเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ไม่จริงเลยลูก

    ศาสนาพุทธเขาไม่ได้สอนเรื่องนั้น เรื่องการละความโกรธ ละความโลภ ละความหลงนี้แหละ “เรื่องสำคัญ”...ไม่ได้บิณฑบาตนะลูกตาบอดมองไม่เห็นไม่รู้จะทำพรื้อ..ทำแต่จิตสวดมนต์อย่างเดียวในกุฏิ

    อยู่ภาคใต้มีอิสลามเยอะที่นั่นก็มีปัญหา บ้างแถวๆ นี้ไทยกับ อิสลามผสมกัน อย่ามีเรื่องกัน “มันมิได้รังเกียจเรา เราก็มิได้รังเกียจเขา” เพราะเขาก็มิใช่ใครที่ไหน มันก็ “คน” เหมือนกับเรานี้แหละลูก นี้แหละลูก “ธรรมะ” ถ้าเรามาพูดเป็นภาษาของเรา ที่พูดมาทั้งหมด นี่แหละคือธรรมะ แต่ว่ายังไม่ได้ยกขึ้นไปตั้งไว้บนธรรมมาศ มันไม่ได้เป็นภาษาบาลีแต่ถ้าพูดกันตามศัพท์แล้ว นี่แหละตัวธรรมที่แท้จริงแล้วแหละลูกเราลองหันไปมอง หันไปพิจารณาคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่ามันจะตรงหรือไม่ตรง มันไม่จำเป็นที่จะต้องมาสอนกันเป็นภาษาบาลีหรือสันสกฤต “ธรรม” มันอยู่ของมันโดยทั่วไป มันอยู่ตามธรรมชาติ มิใช่ว่ามันจะไปอยู่ที่ไหนๆ มีแต่เรานั้นแหละที่ไม่ได้หันมาสนใจในธรรมเสียเอง...เพราะ พระพุทธเจ้า ท่านได้พูดเอาไว้แล้วว่าคนเรา ถ้ามีปัญญา สามารถพิจารณานำพาตนเอง หาหนทางให้มันพ้นไปจากทุกข์ได้ มันก็เป็นอันใช้ได้แล้ว จะไปแสวงหาวิธีใดๆ ก็ตามใจ แต่ว่าเราต้องอาศัยบุญบารมี ที่เราสะสมกันมา ถึงจะพ้นทุกข์ไปได้ แต่ถ้าเราพูดกันในทางธรรม ให้มันยาวๆ ไป ก็ได้เหมือนกันแหละถ้าใครเขาเข้าใจนะ....

    ตาหลวงบ่าวหรือพ่อท่านบ่าว เป็นพระลูกวัดที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาโดยตลอดจนได้รับความเลื่อมใส ความสว่างในโลกมืด...เป็นมิติพิเศษของภิกษุสูงอายุรูปหนึ่งซึ่งพิการทางสายตาทั้ง 2 ข้าง อยู่ในโลกมืดยาวนานถึง 34ปี แต่มีจิตในธรรม...อันเป็นแนวชี้ทางส่องสว่างให้กับผู้อื่นได้อย่างถูกต้อง...!!!

    ..อีกทั้งในยามที่ใคร ๆ มีทุกข์ก็จะให้คำศีลให้พรหาทางออกให้ความสุขทางใจที่สาธุชนทั้งหลายได้รับ ก็เป็นปัจจัยหนึ่งทำให้เกิดแรงศรัทธา..!!!

    [​IMG]

    โดยเฉพาะกับความทุกข์ความกังวลใจที่อยากจะสลัดออก ก็จะต้องมาถวายสังฆทานกับตาหลวงบ่าวผู้มีศีลรับน้ำมนต์พร้อมทั้งเป่าศรีษะให้พรให้ธรรมและส่วนใหญ่จะได้รับความสบายใจไปอย่างน่าพอใจ...และไม่ต้องเสียค่าซองปัจจัยอะไร

    และหากมีอะไรที่ไม่เป็นมงคลจะเกิดขึ้นกับวิถีชีวิต จะบอกให้ท่องมนต์ก็คือสวดมนต์สร้างสมาธิจิตประกอบบุญภาวนาแก้ไขผ่อนหนักเป็นเบา และก็ลุล่วงไปด้วยดี...จึงทำให้เกิดแรงศรัทธาเป็นทวีคูณ ลูกศิษย์ลูกหามาเยือนโดยไม่ขาดสาย

    ตาหลวงบ่าวหรือพ่อท่านบ่าว เป็นพระดีมีศีลท่านไม่ยุ่งวุ่นวายกับใครเวลาผ่านไปมาหน้ากุฏิจะเห็นท่านนั่งบ้างจำวัดบ้างตรงแคร่ในกุฏิ กองบุญธารบุญธารธรรมไปดูแลท่านเสมอรวมถึงถวายผ้าไตรจีวร ไม้เท้า พระพุทธรูป จตุปัจจัย เทปสวดมนต์ ที่รวบรวมจากทั่วทุกสารทิศให้ท่านทุกเดือน

    เราเชื่อว่าท่านมีจิตที่วิสุทธิ์บริสุทธิ์สะอาดเข้มแข็ง
    วิสุทธิจิต (จิตที่บริสุทธิ์) นั้นย่อมมี "พลังงาน" ที่สูงที่มากไร้ขีดจำกัด...
     

แชร์หน้านี้

Loading...