พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เราไม่บริโภคโภชนะที่ขับด้วยคาถาฯ

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 24 ตุลาคม 2012.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    [๖๕๘] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำสุนทริกา ในโกศลชนบท ฯ
    ก็โดยสมัยนั้นแล สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ บูชาไฟ บำเรอการบูชาไฟอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำ
    สุนทริกา ฯ
    ลำดับนั้นแล สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ บูชาไฟ บำเรอการบูชาไฟแล้วลุกขึ้นจาก
    อาสนะ เหลียวดูทิศทั้ง ๔ โดยรอบ ด้วยคิดว่า ใครหนอควรบริโภคปายาสอันเหลือจากการ
    บูชานี้ ฯ
    [๖๕๙] สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ ได้เห็นพระผู้มีพระภาค ทรงคลุมอวัยวะพร้อมด้วย
    พระเศียร ประทับนั่งที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง ครั้นแล้วถือข้าวปายาสที่เหลือจากการบูชาไฟ
    ด้วยมือซ้าย ถือเต้าน้ำด้วยมือขวา เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ ฯ
    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเปิดพระเศียรด้วยเสียงเท้าของสุนทริกภารทวาชพราหมณ์
    ครั้งนั้นแล สุนทริกภารทวาชพราหมณ์กล่าวว่า นี้พระสมณะโล้นผู้เจริญ นี้พระสมณะโล้น
    ผู้เจริญ แล้วประสงค์จะกลับจากที่นั้นทีเดียว ฯ
    ลำดับนั้นแล สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ได้มีความดำริว่า พราหมณ์บาง พวกในโลกนี้
    เป็นผู้โล้นบ้างก็มี ถ้ากระไรเราพึงเข้าไปหาพระสมณะผู้โล้นนั้นแล้วถามถึงชาติ ฯ
    ลำดับนั้นแล สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ เข้าไปหาพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ ครั้น
    แล้ว ได้ถามพระผู้มีพระภาคว่า ท่านเป็นชาติอะไร ฯ
    [๖๖๐] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
    ท่านอย่าถามถึงชาติ แต่จงถามถึงความประพฤติเถิด ไฟย่อมเกิดจาก
    ไม้แล บุคคลแม้เกิดในตระกูลต่ำเป็นมุนี มีความเพียรเป็นผู้รู้ทั่วถึงเหตุ
    ห้ามโทษเสียด้วยหิริ ฝึกตนแล้วด้วยสัจจะประกอบด้วยการปราบปราม
    ถึงที่สุดแห่งเวท มีพรหมจรรย์อันอยู่จบแล้ว ผู้ใดมียัญอันน้อมเข้าไป
    แล้ว บูชาพราหมณ์ผู้นั้น ผู้นั้นชื่อว่าย่อมบูชาพระทักขิไณยบุคคล
    โดยกาล ฯ
    [๖๖๑] สุนทริกภารทวาชพราหมณ์กราบทูลว่า
    การบูชานี้ของข้าพระองค์เป็นอันบูชาดีแล้ว เซ่นสรวงดีแล้วเป็นแน่
    เพราะข้าพระองค์ได้พบผู้ถึงเวทเช่นนั้น และเพราะข้าพระองค์ไม่พบบุคคล
    เช่นพระองค์ ชนอื่นจึงบริโภคปายาสอันเหลือจากการบูชา ฯ
    สุนทริกภารทวาชพราหมณ์กราบทูลว่า พระโคดมผู้เจริญเป็นพราหมณ์เชิญบริโภคเถิด ฯ
    [๖๖๒] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
    เราไม่บริโภคโภชนะที่ขับด้วยคาถา ดูกรพราหมณ์ นั่นไม่ใช่ธรรมของผู้
    พิจารณาอยู่ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมบรรเทาโภชนะที่ขับด้วยคาถา
    ดูกรพราหมณ์ เมื่อธรรมมีอยู่ นั่นเป็นความประพฤติ อนึ่ง ท่านจงบำรุง
    พระขีณาสพทั้งสิ้นผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ ผู้มีความคะนองอันสงบแล้ว
    ด้วยสิ่งอื่นคือข้าวน้ำ เพราะว่าการบำรุงนั้นย่อมเป็นเขตของผู้มุ่งบุญ ฯ
    [๖๖๓] ลำดับนั้น สุนทริกภารทวาชพราหมณ์กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ
    ถ้าเช่นนั้นข้าพระองค์จะให้ปายาสอันเหลือจากการบูชานี้แก่ใคร ฯ
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ เรายังไม่แลเห็นบุคคลในโลก พร้อมทั้งเทวโลก
    มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ ซึ่งจะบริโภคปายาส
    ที่เหลือจากการบูชานี้แล้ว จะพึงถึงความย่อยไปโดยชอบ นอกจากตถาคตหรือสาวกของตถาคต
    ดูกรพราหมณ์ ถ้าอย่างนั้นท่านจงทิ้งปายาสอันเหลือจากการบูชานั้น ณ ที่ปราศจากของเขียว
    หรือทิ้งให้จมลงไปในน้ำที่ไม่มีตัวสัตว์ ฯ
    [๖๖๔] ลำดับนั้น สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ทิ้งปายาสอันเหลือจากการบูชานั้น
    ให้จมลงไปในน้ำที่ไม่มีตัวสัตว์ ฯ
    ครั้งนั้นแล ปายาสอันเหลือจากการบูชานั้น อันสุนทริกภารทวาชพราหมณ์เทลงแล้วใน
    น้ำย่อมมีเสียงดัง วิจิฏะ วิฏิจิฏะ และเดือดเป็นควันกลุ้ม เหมือนอย่างผาลที่ร้อนแล้วตลอดอัน
    อันบุคคลใส่ลงแล้วในน้ำ ย่อมมีเสียงดัง วิจิฏะวิฏิจิฏะ และเดือดเป็นควันคลุ้ม ฉะนั้น ฯ
    ลำดับนั้น สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ หลากใจเกิดขนชูชัน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
    ยังที่ประทับ ครั้นแล้ว ได้ยืนอยู่ในที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
    [๖๖๕] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะสุนทริกภารทวาชพราหมณ์ ผู้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วน
    ข้างหนึ่ง ด้วยพระคาถาทั้งหลายว่า
    ดูกรพราหมณ์ ท่านเผาไม้อยู่อย่าสำคัญซึ่งความบริสุทธิ์ ก็การเผาไม้นี้
    เป็นของภายนอก ผู้ฉลาดทั้งหลายย่อมไม่กล่าวความบริสุทธิ์ด้วยการเผา
    ไม้นั้น ดูกรพราหมณ์ เราละการเผาไม้ซึ่งบุคคลพึงปรารถนาความ
    บริสุทธิ์ด้วยการเผาไม้อันเป็นของมีในภายนอก แล้วยังไฟคือญาณให้
    โพลงภายในตนทีเดียว เราเป็นพระอรหันต์ มีไฟอันโพลงแล้วเป็น
    นิตย์ มีจิตตั้งไว้ชอบแล้วเป็นนิตย์ ประพฤติพรหมจรรย์อยู่ ดูกรพราหมณ์
    มานะแลเป็นดุจภาระคือ หาบของท่าน ความโกรธดุจควัน มุสาวาท
    เป็นดุจเถ้า ลิ้นเป็นประดุจภาชนะเครื่องบูชา หทัยเป็นที่ตั้งกองกูณฑ์
    ตนที่ฝึกดีแล้ว เป็นความรุ่งเรืองของบุรุษ ดูกรพราหมณ์ บุคคลผู้ถึง
    เวททั้งหลายนั้นแล อาบในห้วงน้ำคือธรรมของบุรุษทั้งหลาย มีท่าคือ
    ศีลไม่ขุ่นมัว อันบัณฑิตทั้งหลายสรรเสริญแล้ว มีตัวไม่เปียกแล้ว ย่อม
    ข้ามถึงฝั่ง ดูกรพราหมณ์ สัจจะธรรม ความสำรวม พรหมจรรย์
    การถึงธรรมอันประเสริฐ อาศัยในท่ามกลาง ท่านจงกระทำความนอบ
    น้อมในพระขีณาสพผู้ตรงทั้งหลาย เรากล่าวคนนั้นว่าผู้มีธรรมเป็นสาระ ฯ
    [๖๖๖] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ได้กราบทูล
    พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้
    เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ฯลฯ ก็แหละท่านพระภารทวาชะ ได้เป็นพระอรหันต์
    รูปหนึ่ง ในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย ดังนี้แล ฯ

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๕ หน้าที่ ๒๐๔/๒๘๙
    สุนทริกสูตรที่ ๙
     

แชร์หน้านี้

Loading...