พระพุทธเจ้าไม่ให้ฆ่าสัตว์แต่เรากินเนื้อสัตว์บาปมั้ยเนี่ย

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ส้มตำ_ไก่ย่าง, 16 กันยายน 2008.

  1. ส้มตำ_ไก่ย่าง

    ส้มตำ_ไก่ย่าง สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2008
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +3
    ผมถามคนที่บ้านและเพื่อนว่ากินเนื้อสัตว์บาปมั้ย ทุกคนบอกไม่บาปเพราะมันเป็นอาหารของคนและเราไม่ได้ฆ่า แต่ลองคิดดูว่าเราก็เป็นคนกินถ้าเราไม่กินมันก็อาจโดนฆ่าน้อยลง แสดงว่าเราก็มีส่วนฆ่ามันแล้วมันจะไม่บาปได้อย่างไร แต่ยังสงสัยอีกว่าพระพุทธเจ้าห้ามฆ่าสัตว์แต่ทำไมไม่ห้ามคนกินเนื้อสัตว์ ช่วยบอกทีครับ
     
  2. terryh

    terryh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    768
    ค่าพลัง:
    +1,280
    ลองอ่านจากเวปข้างล่างนี้ เพื่อเป็นข้อมูลในการพิจารณา ไตร่ตรอง แต่ที่แน่ ๆ ณ ปัจจุบันนี้ ฝรั่งตะวันตกได้หลีกเลี่ยง ลด ละ เลิกการทานเนื้อสัตว์ เพราะ ตระหนักถึงภัยร้ายแรงต่อสุขภาพ มีคนป่วยด้วยโรคมะเร็งนับร้อย ๆ ล้าน ด้วยเพราะอาหารเนื้อสัตว์ นอกจากโรคหัวใจ ไขมันอุดตัน และสารพัดโรคอื่น ๆ จากเนื้อสัตว์ มีหลักฐานจากงานวิจัยนับไม่ถ้วน ถึงภัยอันตราย ของเนื้อสัตว์
    http://www.dhammachak.net/board/viewtopic.php?t=307
     
  3. spiya

    spiya สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +11
    เราไม่ได้เป็นคนเจาะจงที่จะฆ่าตัวนั้นตัวนี้นี่คะ ถ้าอย่างนั้นก็บาปชัวร์เลย
    แล้วสมัยก่อนก็มีอาชีพนายพรานตั้งเยอะแยะ ขืนท่านทรงห้าม ชาวบ้านก็คงไม่รู้ประกอบอาชีพอะไรแน่ๆเลยค่ะ มีปลูกพืชกะล่าสัตว์เอง อย่างมากก็ทอผ้า ปั้นหม้อ... เดี๋ยวจะแย่งอาชีพกันเปล่าๆ คิดว่างั้นน๊า แต่ไม่รู้ว่าจะถูกอ้ะป่าว รอผู้รู้มาตอบดีกว่า อิอิ
     
  4. ส้มตำ_ไก่ย่าง

    ส้มตำ_ไก่ย่าง สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2008
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +3
    ขอบคุณที่มาช่วยกันตอยให้นะครับ
     
  5. ศนิวาร

    ศนิวาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    7,337
    ค่าพลัง:
    +17,638
    สัตว์ไม่ได้มีไว้เป็นอาหารของคน แต่คนล่าสัตว์มาทำอาหาร
    ใครฆ่าคนนั้นผิดศีลเป็นบาป
    คนสั่งฆ่าก็ผิดศีลด้วย
    แต่คนกินเนื้อสัตว์เป็นอาหารไม่เป็นบาปเพราะไม่ได้ฆ่าเองและไม่ได้สั่งให้ฆ่า
    คนฆ่าก็มีอยู่แล้วทั้งคนในและนอกศาสนา
    พระพุทธเจ้าให้ถือเนื้อบริสุทธิ์ ๓ อย่างคือ
    ๑.ไม่ได้ลงมือฆ่าเอง
    ๒.ไม่ได้สั่งเขาฆ่า
    ๓.ไม่ได้เห็นไม่ได้ยินว่าเขาฆ่าเพื่อเรา
    เนื้อบริสุทธิ์ ๓ อย่างนี้ทรงอนุญาตให้พระภิกษุรับประทานได้
    และต้องไม่ใช่เนื้อต้องห้าม ๑๐ อย่าง
    เพราะฉะนั้นเราก็ทานได้เช่นกันไม่เป็นบาปแต่อย่างใด
    แต่หากละเว้นได้ก็ดี
     
  6. Baby_par

    Baby_par เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2007
    โพสต์:
    2,743
    ค่าพลัง:
    +3,265
    10 อย่างมีอะไรบ้างค่ะ แต่ที่แน่ๆ เนื้อคน1อย่างล่ะ
     
  7. ศนิวาร

    ศนิวาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    7,337
    ค่าพลัง:
    +17,638
    ๑. เนื้อมนุษย์
    ๒. เนื้อช้าง
    ๓. เนื้อม้า
    ๔. เนื้อสุนัข
    ๕. เนื้องู
    ๖. เนื้อราชสีห์
    ๗. เนื้อหมี
    ๘. เนื้อเสือโคร่ง
    ๙. เนื้อเสือดาว
    ๑๐.เนื้อเสือเหลือง<O:p</O:p

    มังสะ(เนื้อ) ๑๐ อย่างนี้ห้ามภิกษุฉันและห้ามรับประเคน หากฉันหรือรับประเคนต้องอาบัติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กันยายน 2008
  8. Baby_par

    Baby_par เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2007
    โพสต์:
    2,743
    ค่าพลัง:
    +3,265
    อ่อค่ะ แต่เสือเหลือง เกิดมายังไม่เคยเห็นเลย สูญพันธุ์ไปแล้วหรือค่ะ
     
  9. bluephoenix

    bluephoenix Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +40
    เกี่ยวกับวิวัฒนาการไหมครับ ที่ว่าเปงสัตว์มีความซับซ้อนมาก ยิ่งบาป
    ห้ามเฉพาะภิกษุเหรอครับ ถ้าหากว่า รับการบินฑบาตมา จะทำไงครับ
     
  10. Baby_par

    Baby_par เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2007
    โพสต์:
    2,743
    ค่าพลัง:
    +3,265

    อ้าวพี่เป็นผ฿หญิงมะใช่หรือค่ะ (ถ้าผิดขออภัยค่ะ)
     
  11. ศนิวาร

    ศนิวาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    7,337
    ค่าพลัง:
    +17,638
    สาเหตุที่ทรงห้ามฉันเนื้อ ๑๐ อย่าง มีปรากฎอยู่ในพระวินัยปิฎกเล่ม ๕ มหาวรรคภาค ๒ สรุปใจความได้ว่า

    เนื้อมนุษย์ทรงห้าม เพราะไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ....ภิกษุรูปใดฝ่าฝืนฉันเนื้อมนุษย์ ต้องอาบัติถุลลัจจัย


    <O:p</O:p
    เนื้อช้างเนื้อม้าทรงห้าม เพราะประชาชนเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ช้างม้าเป็นราชพาหนะ ถ้าพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบคงไม่ทรงเลื่อมใส ภิกษุรูปใดฝ่าฝืนฉันเนื้อช้างหรือเนื้อม้า ต้องอาบัติทุกกฎ

    <O:p</O:p
    เนื้อสุนัขทรงห้าม เพราะประชาชนเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า สุนัขเป็นสัตว์น่าเกลียด น่าชัง ภิกษุรูปใดฝ่าฝืนฉันเนื้อสุนัข ต้องอาบัติทุกกฎ

    <O:p</O:p
    เนื้องูทรงห้าม เพราะประชาชนเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เป็นสัตว์น่าเกลียดน่าชัง และอาจถูกนาคงูเบียดเบียนเอา รูปใดฝ่าฝืน ต้องอาบัติทุกกฎ

    <O:p</O:p
    เนื้อราชสีห์ เนื้อเสือโคร่ง เนื้อเสือเหลือง เนื้อหมี และเนื้อเสือดาวทรงห้าม เพราะถ้าภิกษุฉันเนื้อเหล่านี้แล้วอยู่ในป่า สัตว์ดังกล่าวได้กลิ่นเนื้อของตนแล้ว อาจฆ่าพวกภิกษุได้ ภิกษุรูปใด ฝ่าฝืนฉันเนื้อดังกล่าว ต้องอาบัติทุกกฎ<O:p</O:p

    หากรับบิณฑบาตมาก็ต้องอาบัติ และเข้าใจว่าเสือเหลืองคงจะสูญพันธุ์ไปแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กันยายน 2008
  12. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,131
    การกินเนื้อสัตว์ บาป หรือ ไม่ ?

    การที่จะวินิจฉัยว่าบาปหรือไม่บาปนั้น ต้องพิจารณาว่า การกินเนื้อสัตว์ที่ตายแล้ว เป็นการผิดศีลข้อปาณาติบาต หรือไม่ ศีลข้อปาณาติบาต คือ งดเว้นจาก

    การฆ่าสัตว์ นั้นจะผิดศีลก็ต่อเมื่อประกอบด้วย องค์ ๕ คือ
    ๑. ปาโณสัตว์มีชีวิต
    ๒. ปาณสญฺญิตารู้ว่าสัตว์มีชีวิต
    ๓. วธกจิตฺตํ จิตคิดจะฆ่า
    ๔. อุปกฺกโม พยายามที่จะฆ่า
    ๕. เตน มรณํ สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น


    เมื่อครบองค์ประกอบทั้ง ๕ ข้อ จึงถือว่าเป็นการฆ่าสัตว์ ผิดศีลข้อที่ ๑ เป็นบาป แต่ถ้าไม่ได้ลงมือฆ่าเอง และไม่ได้ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า ก็ไม่เป็นบาป

    ตัวอย่าง
    เราไปจ่ายตลาด ซื้อกุ้งแห้ง ปลาดุกย่าง ปลาทู เนื้อหมู ฯลฯ เราได้มีส่วนร่วมในการฆ่าสัตว์เหล่านั้นหรือไม่ สัตว์เหล่านั้นย่อมตายก่อนที่เราจะไปซื้อมาเป็นอาหาร ถึงเราจะซื้อหรือไม่ซื้อ สัตว์เหล่านั้นก็ตายอยู่แล้ว เราไม่ได้มีส่วนทำให้ตาย

    มีพุทธภาษิตบทหนึ่งว่า
     
  13. Baby_par

    Baby_par เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2007
    โพสต์:
    2,743
    ค่าพลัง:
    +3,265
    ปลาเคยอ่านหนึ่งในเวปแห่งหนึ่ง

    เค้าเล่าว่าเค้าไปกินก๊วยเตี๊ยวแห่งหนึ่ง แต่เค้าสามารถมองเห็นสัมผัสสิ่งที่มองไม่เห็นได้

    พอเค้าเข้าไปในร้าน เห็นวิญญาณ(สัตว์ที่เรากินเนื้อมัน)กำลัง ถุย อะไรก็ไม่รู้ลงชามที่เรากำลังกินอยู่

    แล้วเวลาที่พี่เค้าสังก๊วยเตี๊ยวมากินก็โดน ถุย ใส่ในชามเหมือนกัน เค้าถามว่าทำอะไร แต่วิญญาณพวกนั้นก็ไม่ยอมตอบ และไปถุยใส่ที่อืนต่อ และเวลาที่เรากินเนื้ออะไรสักอย่างอยู่เจ้าของร่างก้จะมาคอยยืนดูเรากิน ร่างเค้าอยู่ค่ะ แล้วก็ถุยอะไรบางอย่างใส่ในชามด้วย

    กินเข้าไปมักจะเป็น(ในระยะยาว ในภายหน้า)

    เหตุนี้หลวงปู่ดู่ท่านก้เลย ให้เปิดโลก ให้สัตว์เหล่านั้นก่อนทานเนื้อเค้า เพื่อเค้าจะได้ไปดี(อุทิศบุญ ให้เค้าก่อน)

    แต่ว่าถ้าเกิดเราไม่ได้เปิดโลกแต่เราทานเนื้อเค้า ถือว่าเรามีกรรมกับเค้าไหมค่ะ


    ขออภัยค่ะ หากข้าพเจ้าเขียนโดยรู้เท่าไม่ถึงการ รู้ข้างๆคูๆๆ
     
  14. terryh

    terryh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    768
    ค่าพลัง:
    +1,280
    พระธรรมเทศนา ดร โลกนาถภิกขุ ว่าด้วยเรื่องการบริโภคเนื้อสัตว์

    <TABLE><TBODY><TR vAlign=top><TD>[​IMG]</TD><TD>ดร.โลกนาถภิกขุ พ.ศ. ๒๔๗๖
    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
    พุทธศาสนา-ศาสนาแห่งความเมตตา
     
  15. terryh

    terryh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    768
    ค่าพลัง:
    +1,280
    การรับประทานเนื้อสัตว์นั้น เสี่ยงภัยต่อโรคร้ายแรงหลายชนิด

    การรับประทานเนื้อสัตว์นั้น ทำให้มีความสงสัย แม้เราจะไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ว่าเนื้อนั้นไม่ได้ทำสำหรับเราโดยเฉพาะก็ดี แต่เราก็สงสัยอยู่เสมอ เนื้อสัตว์จะต้องทำเพื่อผู้บริโภคเสมอไป ฉะนั้น การรับประทานเนื้อสัตว์ก็เป็นการผิดศีล สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น ทรงสั่งสอนให้รับประทานผักโดยทางอ้อม ทำไมไม่สอนโดยตรงเล่า ก็เพราะว่าหลักทุกหลักต้องมีข้อยกเว้น สมเด็จพระศาสดาทรงเป็นบรมมหาปราชญ์แห่งปราชญ์ทั้งหลาย

    ทำไมจึงมีชีวิตอยู่ในความสงสัยตลอดไปเล่า? เป็นผู้เสพแต่ผักเสียเถิด แล้วความสงสัยก็จะหมดสิ้นไป จะได้อยู่ในทางที่ปราศจากภัย จะได้มีชีวิตอยู่โดยจิตใจบริสุทธิ์
    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น ต้องการให้เราปฏิบัติเมตตาและกรุณา ศีลข้อ ๑ นั้นชัดมาก มิได้หมายความแต่เฉพาะว่า เราจะต้องไปฆ่า หรือทำร้ายสัตว์มีชีวิต แต่หมายความด้วยว่า เราจะต้องไม่ทำให้มีการฆ่าหรือทำร้ายสัตว์มีชีวิตใดๆ ด้วย
    พระธรรมบทกล่าวไว้ว่า :-

    คนใดหรือสัตว์ใด จะเป็นใครก็ตามที
    แม้ตนโทษกรณ์มี ก็ย่อมหวาดขลาดต่อทัณฑ์
    เหตุว่าสัตว์ทั้งหลาย ย่อมกลัวตายทั่วหน้ากัน
    ลองเอาใจเรานั้น ใส่ใจเขาเข้าก็เห็น
    (เหตุนี้ขอทีเถิด! อย่าละเมิดซึ่งศีลเบญจ์)
    ผลาญสัตว์จึงควรเว้น หรืออย่าเข่นให้ฆ่ากัน

    คนใดหรือสัตว์ใด จะเป็นใครก็ตามที
    แม้ตนโทษกรณ์มี ก็ย่อมหวาดขลาดต่อทัณฑ์
    เหตุว่าสัตว์ทุกผู้ ย่อมต้องรู้รักชีวัน
    จงประพฤติแก่ท่านนั้น ดุจต้องการให้เราเป็น
    (เหตุนี้ขอทีเถิด! อย่าละเมิดซึ่งศีลเบญจ์)
    ผลาญสัตว์จึงควรเว้น หรืออย่าเข็นให้ฆ่ากัน
    แม้นใครจักทำลำเค็ญ ให้แก่สัตว์เป็น ผู้ต้องการสุขทุกคน
    เพื่อหวังบำเรอสกล ให้สุขแก่ตน ตัวเองจักต้องเวทนา
    ดับจิตไปแล้วเถิดหนา กรรมนั้นจักมา สนองให้ไม่พบสุขเอย
    การซื้อเนื้อสัตว์ในตลาดนั้นทำให้มีการฆ่าสัตว์ เพราะการจำหน่ายย่อมต้องให้พอเพียงแก่ความต้องการ ฉะนั้น การซื้อเนื้อในตลาดก็เป็นการผิดศีลข้อ ๑
    ดร.โสนิ เขียนไว้ว่า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • lokanat.jpeg
      lokanat.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      13.8 KB
      เปิดดู:
      111
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กันยายน 2008
  16. Baby_par

    Baby_par เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2007
    โพสต์:
    2,743
    ค่าพลัง:
    +3,265
    ผู้ที่ถวายเนื้อสัตว์แก่ภิกษุนั้น ได้บุญน้อย หรือไม่ได้เลย ฆราวาสผู้ถวายอาหารที่เป็นผักแก่พระภิกษุจะได้บุญมากมาย// หากแตว่า เทียบกับความเปนจริง พระแถวๆบ้านปลา ท่านแทบจะไม่ได้ฉันผักเลยค่ะ ส่วนมากจะเลือกฉันเนื้อ เคยตามแม่นมไปช่วยแยกอาหารที่วัดตอนวันสำคัญๆๆ โดยเฉพาะทางภาคเหนือ จะมีเนื้อเป็นส่วนมาก ถ้าเป้นผักก็จะเป็นแค่ผักกับแกล้มเท่านั้นเองค่ะ
     
  17. terryh

    terryh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    768
    ค่าพลัง:
    +1,280
    พระอริยะเจ้า ครูบาศรีวิชัย มังสะวิรัติ ที่เคร่งครัด

    โพธิสัตว์แห่งล้านนา ครูบาศรีวิชัย

    http://palungjit.org/showthread.php?t=115238


    ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทย

    [​IMG]

    ครูบาศรีวิชัย เป็นที่รู้จักกันทั่วไปโดยเฉพาะในเขตล้านนาว่าเป็น "ตนบุญ" หรือ "นักบุญ" อันมีความหมายเชิงยกย่องว่าเป็นนักบวชที่มีคุณสมบัติพิเศษ อาจพบว่ามีการเรียกอีกว่า ครูบาเจ้าศรีวิชัย พระครูบาศรีวิชัย ครูบาศีลธรรม หรือ ทุเจ้าสิริ (อ่าน"ตุ๊เจ้าสิลิ") แต่พบว่าท่านมักเรียกตนเองเป็น พระชัยยาภิกขุ หรือ พระศรีวิชัยชนะภิกขุ เดิมชื่อเฟือนหรืออินท์เฟือน บ้างก็ว่า อ้ายฟ้าร้องเนื่องจากในขณะที่ท่านถือกำเนิดนั้นปรากฏฝนฟ้าคะนองอย่างหนัก ส่วนอินท์เฟือนนั้น หมายถึง การเกิดกัมปนาทหวั่นไหวถึงสวรรค์หรือเมืองของพระอินทร์
    ท่านเกิดในปีขาล เดือน ๙ เหนือ(เดือน ๗ ของภาคกลาง) ขึ้น ๑๑ ค่ำ จ.ศ. ๑๒๔๐ เวลาพลบค่ำ ตรงกับวันอังคารที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๒๑ ที่หมู่บ้าน"บ้านปาง" ตำบลแม่ตืน อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ท่านเป็นบุตรของนายควาย นางอุสา มีพี่น้องทั้งหมด ๕ คน มีชื่อตามลำดับ คือ ๑. นายไหว ๒. นางอวน ๓. นายอินท์เฟือน(ครูบาศรีวิชัย) ๔. นางแว่น ๕. นายทา ( มีต่อ..)


    การบรรพชา อุปสมบท

    ครูบาศรีวิชัย ได้เริ่มบรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ ๑๘ ปี ณ วัดบ้านปาง อำเภอลี้ ซึ่งเป็นอารามเล็กๆ ประจำหมู่บ้าน มี ครูบาขัติยะ วัดบ้านปาง เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๙ อายุครบ ๒๐ ปี ก็อุปสมบท มี พระครูสุมโณ วัดบ้านโฮ่งหลวง เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า สิริวิชโย
    ต่อมาได้เดินทางไปศึกษาวิปัสสนากัมมัฏฐานจาก ครูบาอุปละ วัดดอยแต อำเภอแม่ทา (ปัจจุบันอยู่ในตำบลเหมืองจี้ อำเภอเมืองลำพูน) ด้วยเหตุที่มีอุปนิสัยชอบสงบเสงี่ยม เจียมตัว พูดน้อย กินน้อย และรู้แนวทางปฏิบัติธรรมบ้างแล้ว จึงถือโอกาสขึ้นไปอยู่ปฏิบัติกัมมัฏฐานบนดอยทิศใต้ของหมู่บ้าน (ที่ท่านสร้างเป็นวัดบ้านปางเดี๋ยวนี้)
    เมื่อท่านได้วิเวกทางกาย จิตใจก็หยั่งรู้เข้าสู่สมาธิหยั่งลงสู่วิปัสสนาญาณ ท่านก็ยิ่งมีความพากเพียรในการปฏิบัติกัมมัฏฐานมากขึ้น เคร่งครัดในวินัย ไม่แตะต้องลาภสักการะปัจจัย ฉันอาหารมังสะวิรัติ ประชาชนจึงเกิดความเลื่อมใส ชื่อเสียงของท่านก็ยิ่งโด่งดัง ไกลออกไป ชาวบ้านหลั่งไหลเข้ามาเคารพบูชาท่านมากขึ้น ต่อมา ครูบาขัติยะย้ายไปจำพรรษาที่อื่น ท่านจึงรับตำแหน่งเจ้าอาวาส
    วัดบ้านปาง และบุกเบิกป่านั้นสร้างเป็นวัดขึ้น ไม่นานก็สร้างเสร็จมีงานฉลอง (ปอยหลวง) ถึง ๗ วัน ๗ คืน และได้ตั้งชื่อวัดใหม่แห่งนี้ว่า​
     
  18. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    ปัญหาการบริโภคเนื้อสัตว์ โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำผู้ถาม : " เรื่องการถวายอาหารพระนะครับหลวงพ่อ เวลาอุบาสิกานำอาหารไปถวายพระ แล้วก็เอาอาหารพวกเนื้อสัตว์ไปถวาย จะบาปไหมครับ...? "หลวงพ่อ : " ถามไม่ละเอียดนี่ อาตมาตอบไม่บาปเลยก็ได้ คือ เนื้อสัตว์ที่เขาฆ่าแล้วและไปซื้อมา เราไปบังคับให้เขาฆ่าเมื่อไรละ ใช่ไหม...? "ผู้ถาม : " ถ้าเราไม่กินเขาก็ไม่ฆ่า "หลวงพ่อ : " ถ้าเขาไม่ฆ่าเราก็ไม่ซื้อ เราไม่ซื้อเขาก็ฆ่า เราไม่ซื้อคนอื่นซื้อ เขาก็ฆ่า ถ้าเราสั่งให้เขาฆ่าซิ "วันนี้ไก่ ๓ ตัวนะ" "วันนี้ขอหมูให้ฉัน ๑ ขานะ" "พรุ่งนี้จะแต่งลูกสาว เอาวัว ๓ ตัว หมู๓ ตัวนะ" อย่างนี้บาป ตั้งแต่เริ่มสั่ง พระยายมบันทึกแล้ว บันทึกตั้งแต่สั่งแล้ว ถ้าตายไปก่อน รับวัวรับหมูนะ ลงเลย "ผู้ถาม : " ก็หมายความว่าบาปเฉพาะ คนสั่งฆ่า กับ คนฆ่า...! " หลวงพ่อ : " คนไหนฆ่าสัตว์คนนั้นก็บาป คนไหนสั่งคนนั้นก็บาป เราซื้อที่เขาฆ่ามาขาย กินเท่าไรเราก็ไม่บาป เพราะไม่เป็นบาปพระพุทธเจ้าจึงไม่ห้าม ที่ไม่ห้ามเพราะว่าเขาฆ่าเป็นปกติอยู่แล้ว คำว่า บาป นี้แปลว่า ชั่ว บุญ แปลว่า ดี ทำชั่วแปลว่าบาป ทำดีเรียกว่าบุญ ทีนี้ชีวิตเขามีอยู่เราไปฆ่าเขา ชีวิตของเรา เราก็ไม่ต้องการให้คนอื่นเขาฆ่า ถ้าเราไปฆ่าเขาเราก็เป็นคนชั่ว ฉะนั้นถ้าเขาไปฆ่ามาแล้ว เราไปซื้อกิน อันนี้ไม่ชั่วเพราะไม่ได้สั่งให้เขาฆ่า แต่ว่าถ้าเอาเนื้อมาแล้วบอก "เฮ้ย พรุ่งนี้เพิ่มหน่อยซีเว้ย" ทีนี้เอาแน่ ต้องว่ากันอย่างนี้นะ "ผู้ถาม : " มีคนเขาบอกว่า การฆ่าสัตว์ คนฆ่าไม่บาปเท่าไรแต่คนกินบาป และเขายังบอกอีกว่า ถ้าไม่กินแล้วใครจะฆ่า " หลวงพ่อ : " คิดเอาเองมากกว่า คนกินเขาไม่ได้สั่งให้ฆ่า นี่เขาฆ่าขาย ถ้ามีขายเขาก็ซื้อกิน จะไปโทษคนกินเขาไม่ได้หรอก ถ้าคนกินสั่งให้เขาฆ่าอันนี้จึงบาป ไม่งั้นพระพุทธเจ้าคงจะห้ามพระฉันเนึ้อสัตว์ นี่เขาว่ากันเอาเอง ไม่ถูกหลักเกณฑ์อะไรหรอก พระพุทธเจ้าตรัสว่า "เจตนาหัง ภิกขเว กัมมัง วทามิ""ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราถือเจตนาเป็นตัวกรรม"เจตนา แปลว่า ตั้งใจ ถ้าตั้งใจคิดจะฆ่าแล้วลงมือฆ่าอันนี้บาปแน่ "ผู้ถาม : " ถ้ารับประทาน อาหารมังสวิรัติ จะตัดกิเลสได้ หรือเปล่าคะ...? " หลวงพ่อ : " ถ้าตัดได้จริง พระพุทธเจ้าคงยอมตามที่พระเทวทัตขอพรแล้ว ฉันลองมา ๓ ปี เมื่อบวชใหม่ ๆ ฉันไม่กินเนื้อสัตว์ด้วย แล้วฉันหนเดียวด้วย และฉันไม่บอกชาวบ้านด้วย ถ้าบอก ชาวบ้านก็ต้องทำอาหารลำบาก ก็ไปบิณฑบาตธรรมดา แต่เนื้อสัตว์เราไม่กิน บางวันไม่มีอะไรมาให้เลย ก็กินเกลือกับหัวหอมกินผักเป็นอาหาร ลองมา ๓ ปี ไม่เห็นกิเลสมันลดเลย แต่ว่าถ้าไม่กินได้นี่ดีนะ ฉันสรรเสริญ ถ้าเป็นฆราวาสนะ เพราะว่าจะได้ไม่กังวลเรื่องเนื้อสัตว์ จิตของเราก็ตัดบาปไปจุดหนึ่ง ใช่ไหม ...ในปฐมบัญญัติของสิกขาบท สังฆาทิเสส ข้อที่ ๑๐ มีเรื่องเล่าว่า พระเทวทัตเข้าไปหาพระโกกาลิกะ โอ้โฮ ... นี่อยู่อเวจีทั้งคู่ ใครไปอเวจี ไปมอง ๆ ดูนะ พระเทวทัตยีนกางแขนกางขา โกกาลิกะนั่งชันเข่า หอกเสียบสบาย ๆ แล้วก็พระกฏโมรกติสสกสะ พระที่เป็นบุตรของนางขัณฑเทวี และ พระสมุทททัต ชักชวนให้พระสงฆ์แตกกัน ใครบ้างล่ะ ... พระเทวทัต เป็นหัวหน้าโจก โกกาลิกะ รองประธาน พระกฏโมรกติสสกสะ และ พระสมุทททัตชักชวนให้สงฆ์แตกกัน พร้อมทั้งบอกแผนการที่จะเสนอแผนการให้เคร่งครัดยิ่งข ึ้น มี ๕ ข้อ ซึ่งเข้าใจว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงไม่อนุญาต และตนจะนำข้อเสนอขึ้นประกาศแก่มหาชนข้อเสนอ ๕ ข้อนั้น คือ อันนี้ฟังให้ดีนะ ข้อนี้ดีมาก เวลานี้คนที่ปฎิบัติผิดมีเยอะ ไปหลงผิดว่าไอ้ที่เราทำนี่ดีนี่หว่า ข้อเสนอของพระเทวทัต ๕ ข้อ เวลานี้พระสาวกของพระเทวทัตก็มีเยอะเหมือนกัน ถือว่า ๕ ข้อ ที่พระเทวทัตขออนุญาตนี้ นึกว่าเป็นของดีกันนัก สงสารชาวบ้าน ข้อเสนอของเทวทัต ๕ ข้อ คือ๑. ภิกษุพึงอยู่ป่าตลอดชีวิต เข้าละแวกบ้าน ต้องมีโทษ หมายความว่า พระทุกองค์ที่บวชแล้ว ห้ามเข้าหมู่บ้านโดยเด็ดขาด ต้องอยู่เฉพาะในป่า ห้ามโผล่หน้าเข้ามาในบ้าน๒. ภิกษุถือบิณฑบาตเป็นวัตรตลอดชีวิต เป็นวัตร หมายถึง ปฎิบัติ ต้องบิณฑบาตตลอดชีวิต ผู้ใดรับนิมนต์ไปฉันตามบ้านต้องมีโทษ นี้เป็นความต้องการของพระเทวทัต รู้แล้วว่าทำไม่ได้ แต่แกล้งขอ๓. ภิกษุพึงใช้ผ้าบังสุกุล หมายความว่าผ้าเปื้อนฝุ่น ผ้าเศษผ้าที่เขาทิ้งตามกองขยะบ้าง ตามที่ต่าง ๆ บ้าง ตามที่เขาพันผีไว้บ้าง นำมาซัก นำมาย้อม มาปะติดปะต่อเป็นจีวรจนตลอดชีวิต ผู้ใดรับจีวรที่ชาวบ้านถวายต้องมีโทษ๔. ภิกษุพึงอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต ผู้ใดเข้าที่มุงที่บังที่มีหลังคาต้องมีโทษ๕. ภิกษุไม่พึงฉันเนึ้อสัตว์ ผู้ใดฉันต้องมีโทษเห็นไหม ... การขอนี่เขาขอเพื่อเป็นการลบล้างไม่ใช่ทำได้ ภิกษุเหล่านั้นเห็นมีทางชนะร่วมด้วยว่า พระพุทธเจ้าแพ้แหง ๆ พระเทวทัตต้องชนะการเสนอญัตติแบบนี้ พระเทวทัตจึงได้เข้าไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลข้อเสนอ ๕ ประการนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "ดูก่อน เทวทัต ผู้ใดปรารถนาจะอยู่ป่า ก็จงอยู่ป่าผู้ใดปรารถนาจะอยู่ในละแวกบ้าน ก็จงอยู่ในละแวกบ้านผู้ใดปรารถนาจะเที่ยวบิณฑบาต ก็จงเที่ยวบิณฑบาตผู้ใดปรารถนาจะใช้ผ้าบังสุกุล ก็จงใช้ผ้าบังสุกุลผู้ใดปรารถนาจะใช้ผ้าไตวจีวรจากฆราวาสถวาย ก็จงรับได้เราอนุญูาตที่นอนที่นั่ง ณ โคนไม้ตลอด ๘ เดือน หมายความว่าที่ไม่ใช่ฤดูฝน เป็นฤดูหนาว หรือฤดูแล้ง ถ้าจะไปยังงั้นก็ได้เราอนุญาตเนื้อสัตว์ที่บริสุทธิ์โดย ๓ ส่วน คือ๑. ไม่ได้เห็นเขาฆ่า๒. ไม่ได้ยินเขาฆ่าเพื่อถวายพระ๓. ไม่ได้รังเกียจคิดว่า เนื้อสัตว์นึ้น่ากลัวเขาฆ่าเพื่อเรา เช่น เขาฆ่าเจาะจงเพื่อจะให้ภิกษุบริโภคพระเทวทัตดีใจที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ยอมรับสมเจตนา จึงได้เที่ยวประกาศให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าไม่ยอมอนุญาตข้อเสนอที่ดีของตน ทำให้คนที่มีปัญญาทราม คนไร้ปัญญูาบางคนเห็นว่า พระสมณโคดมเป็นผู้มักมากโอ้โฮ ... ดีจริง ๆ นะ พระผู้มีพระภาคเจ้ามักมากแล้วใครจะมักน้อยอีก แต่คนที่เข้าใจเรื่องดี กลับติเตียนพระเทวทัตเอาแล้วซิ ... นี่พระไม่ดีทำให้ชาวบ้านแตกกัน ความทราบถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้เรียกประชุมสงฆ์ ไต่สวนพระเทวทัตเป็นสัตย์แล้ว จึงได้ทรงติเตียนและทรงบัญญัติสิกขาบทว่า
     
  19. terryh

    terryh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    768
    ค่าพลัง:
    +1,280
    ต่อหน้าที่ 3

    ต่อหน้าที่ 3

    ในวันหนึ่งๆ เรากินสัตว์ที่ถูกฆาตกรรมดูก็เล็กน้อย แต่เมื่อรวมเข้าซิ! จะเป็นเรื่องสำคัญนัก
     
  20. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    http://www.larnbuddhism.com/webboard/showthread.php?t=1417...........................สมัยพุทธกาล พระเทวทัตเคยเสนอพระพุทธเจ้าให้พระสงฆ์งดบริโภคเนื้อสัตว์ ที่สุดแล้วพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาติพระเทวัตท่านได้หาเรื่องว่าพระพุทธเจ้ามักมาก ที่สุดคนที่หาเรื่องลงไปอยู่อวเจีมหานรก........................เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ วอนท่านผู้มีปัญญาอย่าหลงผิดเช่นเดียวกับกรณีที่ผมยกมาเลย................................ทุกวันนี้เรากินซากสัตว์กัน มันไม่บาป ไม่ใช่เราไม่ทานแล้วจะไม่มีคนฆ่าสัตว์ เราทานเพราะมันมีขายในตลาด ถ้าวันนึงมันไม่มีขายในตลาดเราก็ไม่ขอเป็นคนไปสั่งฆ่า เพราะติดว่าต้องกินเนื้อ ถึงวันนั้นก็กินอย่างอื่นไป ก็แค่นั้นเอง........ทำไปทำมาถ้าถือกันหนักๆเข้า มานะจะกินใจ คือไมใช่เมตตาอยาก save ชีวิตสัตว์ซะแล้ว แต่จะกลายเป็นถือตัวถือตนว่าคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ย่อมดีกว่าคนกินเนื้อสัตว์ Ego บานอีก....................................................การปฏิบัติธรรมเค้าเน้นฝึกกันที่จิต อย่าไปหยุมหยิมกับเรื่องการกินอยู่ให้มันมากนัก เอาเวลาไปฝึกจิตดีกว่าครับ ไม่งั้นวัวควายเค้ากินหญ้าก็คงบรรลุธรรมกันได้หมดแล้วนะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...