ขุนแผนรุ่นแรกลพ.สมวัดโพธิ์ทอง อ่างทองพระพุทธนฤมิตรรัตนชนะมาร ลพ.ทองกลึง วัดเจดีย์หอย

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Karoonsur Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +216
    จองเหรียญที่๑ครับ
     
  2. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,359
    ค่าพลัง:
    +21,325


    พระดีที่ควรกราบไหว้รูปหนึ่งในเวลานี้คือ หลวงปู่เหลือง ฉนฺทาคโม หรือ พระราชปัญญาวิสารัท เจ้าอาวาสวัดกระดึงทอง ต.บ้านด่าน อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ เจ้าคณะจังหวัดบุรีรัมย์ (ธรรมยุต)....

    พระดีที่ควรกราบไหว้รูปหนึ่งในเวลานี้คือ หลวงปู่เหลือง ฉนฺทาคโม หรือ พระราชปัญญาวิสารัท เจ้าอาวาสวัดกระดึงทอง ต.บ้านด่าน อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ เจ้าคณะจังหวัดบุรีรัมย์ (ธรรมยุต) ซึ่งพุทธศาสนิกชนรู้จักกันในนาม หลวงปู่เหลือง วัดกระดึงทอง

    ท่านเป็นศิษย์อาวุโสรูปหนึ่งของ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดถ้ำขาม จ.สกลนคร และพระอริยเวที (เขียน ฐิตสีโล) วัดรังสีปาลิวัน จ.กาฬสินธุ์


    หลวงปู่เหลืองมีนามเดิมว่า เหลือง ทรงแก้ว ท่านเกิดในยามใกล้รุ่งของวันอังคารที่ 1 พ.ค. ปี พ.ศ. 2470 ที่บ้านนาตรัง หมู่ที่ 2 ต.เขวาสินรินทร์ อ.เมือง จ.สุรินทร์ เป็นบุตรคนที่ 6 ในครอบครัวของนายเที่ยง ทรงแก้ว และนางเบียน ทองเชิด

    หลังเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ขณะอายุได้ 15 ปี แล้วออกจาริกเดินตามหลังพระพี่ชายไปตอนอายุ 16 ปี หลังจากนั้นชีวิตของหลวงปู่เหลืองก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

    ด.ช.เหลือง ออกจากบ้านเดินตาม พระครูสมุห์ฉัตร ธมฺมปาโล และพระอาจารย์สมุห์เสร็จ ญาณวุฑโฒ 2 ภิกษุศิษย์หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “มือขวา” ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ไปใน พ.ศ. 2486 จากสุรินทร์ไปถึงนครราชสีมา ไปฉะเชิงเทรา ชลบุรี จันทบุรี ระยอง

    ด้วยอายุเพียงเท่านั้นแต่ท่านมีบุญได้พบครูบาอาจารย์แล้วหลายรูป อาทิ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล พระผู้สรุปอริยสัจ 4 จากการปฏิบัติไว้ชนิดคนสามัญขนานนามท่านว่า เจ้าแห่งจิต ท่านพ่อลี ธมฺมธโร แห่งวัดป่าคลองกุ้ง ฯลฯ รวมทั้งได้มอบกายถวายใจเป็นศิษย์ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร

    ท่านเล่าถึงวันคืนในอดีตครั้งไปกราบท่านพ่อลีที่วัดป่าคลองกุ้งว่า “ตอนนั้นวัดป่าคลองกุ้งยังเป็นป่าอยู่ ต้นไม้ใหญ่ๆ มีศาลทำบุญไม้หนึ่งหลังและกุฏิกรรมฐานเล็กๆ ตั้งอยู่ตามโคนต้นไม้ เงียบสงัด พระฉันแล้วก็เข้ากรรมฐานหมด ไม่เพ่นพ่านรุ่งเรืองเหมือนสมัยนี้ ไปพักอยู่กับท่าน 1 เดือน ...บอกกับท่านว่าจะขอธุดงค์ต่อไปทางบ่อไพลิน เข้าสู่แดนเขมร ท่านพ่อลีก็ห้าม ตอนนั้นปลายสงครามโลก เหตุการณ์ยังไม่ปกติ เกรงจะเป็นอันตราย แต่พระอาจารย์ฉัตรพี่ชายก็จะขอไปให้ได้ก็ต้องยอมผ่อนผันให้ไป ท่านพ่อลีเมตตาอาตมามากเพราะยังเป็นเด็ก กลัวจะลำบาก ท่านเลยบอกว่า จะให้คาถากันตัว สั่งให้ท่องไว้ตลอดเวลา ไม่ต้องกลัวเสือช้างอะไรทั้งสิ้น

    คาถาของท่านยังจำได้จนถึงบัดนี้ว่า นะบัง โมบัง พุทโธบังหน้า ธัมโมบังหลัง”

    สภาพบ้านเมืองในเวลานั้นช่างต่างจากเวลานี้นัก

    ท่านว่าใช้เวลาเดิน 3 คืนบุกป่าฝ่าดงจากจันทบุรีถึงทะลุถึงบ่อไพลิน ตามรายทางนั้น “เห็นพลอยเกลื่อนกลาด แต่ไม่ได้เก็บเพราะอาจารย์ฉัตรท่านว่า เรามาธุดงค์แสวงบุญไม่ได้มาหาเพชรพลอย”

    การธุดงค์จบลงด้วยการย้อนกลับมาที่วัดป่าศรัทธารวม จ.นครราชสีมา



    ณ พ.ศ.นั้น หลวงปู่ฝั้น อาจาโร กำลังเป็นสดมภ์หลักในการบุกเบิกขยายวงพระกรรมฐานโดยใช้ จ.นครราชสีมา เป็นฐาน โดยท่านเองรับเป็นเจ้าอาวาสวัดแห่งนี้อยู่ถึง 12 ปีคือ ตั้งแต่ พ.ศ. 2475-2487 ช่วงเวลานั้นวัดป่าศรัทธารวมซึ่งเป็นป่าช้าเก่าเป็นศูนย์รวมของพระกรรมฐานจำนวนมากไม่ว่า พระมหาปิ่น ปัญญาพโล หลวงปู่เทกส์ เทสรังสี หลวงปู่ภุมมี ฐิตธัมโม หลวงปู่หลุย จันทสาโร หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ ฯลฯ หลวงปู่เหลืองเข้าไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ฝั้น ขณะอายุ 17 ปี หรือราวช่วง พ.ศ. 2486-2487 โดยบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดสุทธจินดา จ.นครราชสีมา มีพระโพธิวงศาจารย์ (สังข์ทอง นาควโร) หรือเจ้าคุณโพธิฯ เป็นพระอุปัชฌาย์
    ลุถึง พ.ศ. 2490 จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ มีสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร) เป็นพระอุปัชฌาย์ ณ วัดป่าศรัทธารวมนั่นเอง

    “ไทยดำ” ผู้เคยเขียนประวัติหลวงปู่เหลืองลงในนิตยสารโลกทิพย์ ฉบับเดือน ธ.ค. 2530 เคยเรียนถามท่านว่า ระหว่างอยู่กับหลวงปู่ฝั้นนั้นหลวงปู่ฝั้นสอนอย่างไรบ้าง หลวงปู่เหลืองตอบทีเดียวเป็นความ 4 ประโยค แต่ครอบคลุมพระไตรปิฎกหมด 90 เล่ม ความนั้นมีว่า

    ท่านสอนง่ายๆ ว่า “ประสูติ หมายถึง ลมเข้า
    พระวินัย หมายถึง ลมออก
    ปรมัตถ์ หมายถึง ผู้รู้ลมเข้าลมออก
    เป็นอันจบพระไตรปิฎก นอกนั้นเป็นแต่กิ่งก้าน”

    การได้อยู่ที่ จ.นครราชสีมา ณ พ.ศ.นั้นเป็นโอกาสอันดีที่ทำให้ได้พบและศึกษากับพ่อแม่ครูอาจารย์จำนวนมาก ซึ่งท่านเหล่านั้นกระจายกันอยู่หลายแห่ง อาทิ วัดป่าสาลวัน วัดสุทธจินดา วัดสว่างอารมณ์ ฯลฯ แต่รูปที่อัธยาศัยต้องกันมากที่สุดและจะมีผลต่อชีวิตของท่านในกาลข้างหน้าคือ พระอริยเวที (เขียน ฐิตสีโล)

    เวลานั้น พระอริยเวที (เขียน ฐิตสีโล) รับภาระการบริหารคณะสงฆ์เป็นเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา ฝ่ายธรรมยุต ท่าน|ทุ่มเททั้งกำลังกาย กำลังสติปัญญาจนทำให้การของคณะสงฆ์เป็นปึกแผ่น แต่ยศถาบรรดาศักดิ์ใดๆ ก็เหนี่ยวรั้งท่านให้ห่างหายจากการปฏิบัติได้ไม่ กลับเตือนตนอยู่ตลอดเวลาว่า “การคลุกคลีกับหมู่คณะมากเกินไปทำให้เป็นผู้ประมาท...”

    เพราะตระหนักเช่นนั้นจึงมักจะปลีกตัวออกวิเวกเป็นครั้งคราวอยู่เสมอ ก่อนจะตัดสินใจทิ้งพัดยศออกปฏิบัติอย่างเดียวใน พ.ศ. 2498 นั้น ครั้งหนึ่งท่านชวนหลวงปู่เหลือง ซึ่งยังเป็นพระหนุ่มอยู่ในขณะนั้นออกไปปฏิบัติอยู่ในป่า จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของท่าน

    ท่านทั้งสองอยู่ด้วยกันสองคนหนึ่งพรรษา จากนั้นพระอริยเวที (เขียน ฐิตสีโล) ก็ต้องกลับมารรับภาระทางการคณะสงฆ์ต่อ ขณะที่หลวงปู่เหลืองได้พำนักและภาวนาอยู่ในสำนักสงฆ์กลางป่า อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ ต่อเนื่องไปอีกถึง 7 ปี ต่อมาป่าแห่งนั้นได้รับการพัฒนากลายเป็น วัดป่ารังสีปาลิวัน ซึ่งเป็นถิ่นพำนักของพระอริยเวที (เขียน ฐิตสีโล) จนท่านละสังขาร เมื่อ พ.ศ. 2543
    ตลอดเวลาที่อยู่นั้น พระอริยเวที (เขียน ฐิตสีโล) ก็จะแวะเวียนมาภาวนาอยู่ ณ สำนักสงฆ์แห่งนั้นและช่วยพัฒนาความเป็นอยู่ให้ชาวบ้านได้อาศัยแหล่งน้ำ ฯลฯ มาตลอด โดยมีหลวงปู่เหลืองเป็นผู้ช่วย แม้แต่เมื่อตัดสินใจออกจาริกอีกครั้งหลังอยู่ที่นั่นมาแล้ว 7 ปีก็เป็นการออกจาริกโดยมีพระอริยเวที (เขียน ฐิตสีโล) เป็นผู้นำ

    ท่านทั้งสองจาริกในถิ่นต่างๆ มีประสบการณ์ในภาวนาอันพิสดารหลายอย่างด้วยกัน โดยเฉพาะที่ถ้ำขันตี ซึ่งอยู่ในเทือกเขาภูพาน ท่านว่า การภาวนา ณ สถานที่แห่งนั้นทำให้มีความก้าวหน้าอย่างมาก ขณะเดียวกันท่านทั้งสองก็ผ่านเป็นผ่านตายมาพร้อมกันด้วย กล่าวคือ พระอริยเวที (เขียน ฐิตสีโล) เป็นไข้ป่าเกือบจะเสียชีวิต ก็ได้หลวงปู่เหลืองดูแล พอหลวงปู่เหลืองเองล้มเจ็บเพราะไข้ป่าก็ได้ “เจ้าคุณอาจารย์” เป็นคนรักษา

    ท่านกล่าวถึงความทุกข์ยากในเวลานั้นว่า

    “แต่ก่อนที่อาตมาจะเป็นไข้นั้น ท่านเจ้าคุณเป็นมาก่อน เมื่อสองอาทิตย์ก่อน เรียกว่าเป็นมากทีเดียว จนเพ้อ ยาก็ไม่มีรักษา ท่านมีสติสั่งว่า ถ้าท่านตายก็ให้เผาที่นี่ แล้วกวาดขี้เถ้าทิ้งลงเขาไป อย่าเอาไปลำบากเพราะไม่ใช่ตัวตนอะไรของเรา อีกอย่างหนึ่งแม้ท่านจะลาออกจากตำแหน่งแล้วแต่พัดยศอยู่ที่กุฏิ ยังไม่ได้ส่งคืน ขอให้จัดการเอาไปคืนด้วยซึ่งทำให้ประทับใจในตัวท่านมาก ท่านไม่เคยแสดงความพรั่นพรึงต่อการมรณะเลย เพราะรู้อยู่แล้วว่ามันต้องตาย...ถึงตาอาตมาบ้าง...ท่านเจ้าคุณก็ดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี เราฝากผีฝากไข้กันมาอย่างนี้”

    เพราะฝากผีฝากไข้ ผ่านเป็นผ่านตายร่วมกันมา จึงไม่แปลกที่ต่อมาเมื่อ พระอริยเวที (เขียน ฐิตสีโล) อาพาธ เนื่องจาก|เส้นเลือดฝอยในสมองแตกในปี 2527 ทำให้อวัยวะเบื้องขวาเป็นอัมพาต ใครนิมนต์ไปปฏิบัติอุปัฏฐากที่ไหนท่านก็ไม่ไป แต่เมื่อหลวงปู่เหลืองนิมนต์ ท่านรับ

    ทุกวันนี้หลวงปู่เหลือง รับภาระการบริหารคณะสงฆ์เป็นเจ้าเข้าคณะจังหวัดบุรีรัมย์ (ธรรมยุต) ภาระนี้เกิดมาต่อเนื่องตั้งแต่กึ่งศตวรรษก่อนโน้นเพราะปี พ.ศ. 2499 ท่านเป็นเป็นพระครูสมุห์ ฐานานุกรมของท่านเจ้าคุณพระอริยเวที พร้อมกับเจ้าอาวาสวัดรังสีปาลิวัน ปี

    พ.ศ. 2515 เป็นเจ้าอาวาสวัดกระดึงทอง และเป็นเจ้าคณะตำบล วัดแห่งนี้เดิมเป็นวัดที่พระอาจารย์สมุห์เสร็จ พี่ชายเป็นคนบุกเบิกสร้างไว้ เมื่อท่านออกวิเวกเสียชีวิตเพราะไข้ป่า พระสมุห์ฉัตร พี่ชายคนรองก็เป็นคนมาดูแลแทน
    ปี พ.ศ. 2519 ได้รับตราตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ และเป็นเจ้าคณะอำเภอเมือง พ.ศ. 2523 เป็นเจ้าคณะจังหวัดบุรีรัมย์ (ธรรมยุต)

    หลวงปู่เหลืองกล่าวว่า พระพุทธองค์มิได้สอนให้เชื่อพระองค์เพียงอย่างเดียว หากแต่ให้ชื่อว่า “จิต คือ พุทธะ” ถ้าเราดำเนินตามที่พระองค์ทรงสอน จิตของเราก็เป็นพุทธะอย่างพระพุทธองค์ได้ ถ้าจะให้ถึงซึ่งพุทธะก็เหมือนกับเอาแก่ของต้นไม้ใหญ่ ถ้าจะเอาแก่นต้องใช้ขวานถากเปลือก ถากกระพี้ออก จิตคนเรานั้นเป็นพุทธะอยู่แล้ว หากแต่เราปล่อยให้กิเลสตัณหาห่อหุ้มจนจิตไม่ประภัสสร

    “จิตประภัสสรก็หมายถึงจิตเดิม ซึ่งเปรียบเสมือนเพชร ลักษณะแวววาวสุกใสอยู่แล้วตามธรรมชาติ แต่ที่มันเศร้าหมองจนเรามองไม่เห็นความประภัสสรของมัน เพราะมีสิ่งอื่นมาห่อหุ้ม ทำให้รัศมีเปล่งออกมาไม่ได้ อย่างไฟฉายของเรา พอเปิดสวิตช์ขึ้น มันก็สว่างเป็นลำพุ่งออกไปพอปิดสวิตช์มันก็มืด ไม่เห็นดวงไฟ ทั้งที่ความจริงจิตมันประภัสสรอยู่แล้วแต่คนเราทุกวันนี้ ก็เอากิเลส ความโกรธ ความหลงที่เปรียบเหมือนดินทรายเขม่าไฟต่างๆ ไปห่อหุ้มปิดบังมันเสียเอง มันเลยมืดบอดอยู่อย่างนั้น...เราอยากจะเห็นตามพระองค์บ้างก็ต้องลงทุนลงแรงเอาสิ่งที่หุ้มห่อออก แล้วจึงจัดสีให้มันเปล่งแสงประภัสสรขึ้น เอาอะไรมาขัดสีล่ะ ก็เอาสมาธินั่นแหละมาขัดสี...”

    “สิ่งต่างๆ ในโลกนี้มันก็อยู่ที่จิตนี้เอง ความรู้สึกของเราอยู่ที่ไหน จิตใจก็อยู่ที่นั้น หลวงปู่มั่นท่านก็เคยพูดว่า อยู่ที่ใจของเจ้า โลกนี้ไม่มีใจก็ไม่มีความหมาย โลกกับธรรมมันอิงกันอยู่ ก็อยู่อย่างไม่ขัดโลกขัดธรรมเขา รูปนาม ถ้าแยกออกก็เป็นอภิธรรมทั้งหมด

    รูปกับนามเป็นจุดแรกของปัญหา เรื่องราวต่างๆ ที่เราไม่รู้ก็เพราะไม่ได้ค้นคว้ากำหนด ท่านว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นวัฏฏะ หมุนเวียนตั้งแต่จุดเล็กไปถึงจุดใหญ่ เหมือนกับความมืดกับความแจ้ง มันต้องอยู่ที่เดียวกัน แต่คนละช่วง มันเกิดพร้อมกันไม่ได้

    ความจริงรูปนามมันมีอยู่แล้ว ถ้าปลงความเชื่อว่า คำสอนต่างๆ ล้วนมีอยู่แล้ว ถ้าไม่มี ท่านก็ไม่มีอะไรจะพูด เมื่อไม่มีอะไรจะพูดมันก็หยุดเป็นวิมุตติไป ถ้าเอามาพูดถึงมันก็เป็นสมมติไป ธรรมะจริงๆ จะพูดหรือไม่พูดมันมีอยู่แล้ว...”

    หลวงปู่เหลือง เป็นพระมหาเถระที่ควรแก่การอัญชลี ท่านเจริญรอยตามครูบาอาจารย์ของท่านคือ แน่วแน่กับการปฏิบัติภาวนาไม่เสื่อมคลาย อยู่อย่างสมถะ เรียบง่าย แทบไม่มีใครจำสมณะศักดิ์ของท่านได้เรียกกันแต่ว่า หลวงปู่เหลือง วัดกระดึงทอง ด้วยวัย 85 ปีเศษ ทุกวันนี้ท่านมีสุขภาพแข็งแรงดีพอสมควรและรับนิมนต์เข้ามาโปรดญาติโยมใน กทม.เป็นครั้งคราว

    สมเด็จปกโพธิ์พิมพ์ใหญ่ หลังยันต์นกยูงทอง
    ออกวัดทุ่งโพธิ์ จ.บุรีรัมย์ ปี2536 สร้างโบสถ์
    จัดสร้างโดยหลวงปู่เหลือง ฉันทาคโม วัดกระดึงทอง จ.บุรีรัมย์
    ถือเป็นพระผงยุคแรกๆของหลวงปู่เหลืองที่ท่านได้จัดสร้างไว้ ท่านอธิฐานจิตเดี่ยว
    โดยปัจจุบัน พระผงรุ่นนี้ค่อนข้างหายาก และน้อยคนที่จะรู้ว่าเป็นของหลวงปู่เหลือง เพราะในองค์พระไม่ได้ระบุไว้ หลายคนจึงมองข้ามไป โดยหลวงปู่เหลืองท่านเป็นพระกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น โดยท่านเป็นศิษย์ในองค์หลวงปู่ดุลย์ อตุโล วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จปรกโพธิ์ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

     
  3. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,359
    ค่าพลัง:
    +21,325


    หลวงพ่อแดง วัดอินทาราม พระผู้มีแต่ให้”
    หลวงพ่อแดง นันทิโย หรือพระครูพิศิษฎ์ ประชานาถ เกิดเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2493 ณ บ้านเลขที่ 35 หมู่ 6 ต.เหมืองใหม่ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม เป็นบุตรของนายย้ง นางฝอย สร้อยระย้า เรียนจบประถม 7 ก็ออกมาช่วยพ่อแม่ทำสวนมะพร้าว ส้มโอ และลิ้นจี่ ตระกูลของหลวงพ่อแดง จะยึดมั่นในหลักเศรษฐกิจพอเพียง ไม่เบียดเบียนใคร ปรากฏจากตระกูลธรรมดา บั้นปลายเป็นตระกูลที่มั่งคั่งด้วยหลักธรรม หิว จึงกิน อยาก อย่ากิน ยึดอุดมการณ์ ขยันรักษากัลยาณมิตรชีวิตสมถะตลอดมา
    เมื่อหลวงพ่อแดงอายุได้ 21 ปี ได้เข้ารับราชการทหารเรือ 2 ปี ปลดจากการเป็นทหารแล้ว ได้เข้าอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดอินทาราม พรรษาแรกสอบนักธรรมตรีได้พรรษาสองสอบนักธรรมโทได้ และพรรษาสามสอบได้นักธรรมเอก จากนั้นก็ออกธุดงค์ไปตามภูเขาลำเนาไพร ยืดป่าดงดิบ จังหวัดกาญจนบุรีเป็นที่ตั้ง หลวงพ่อแดงยึดการปฏิบัติจริง รู้จริง จึงจะสอน และการเข้าป่าเพื่อธุดงค์เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างสูง จิตได้รับการพัฒนา ธรรมะคือธรรมชาติ ที่ใดขาดธรรมะก็ขาดธรรมชาติจะวุ่นวาย
    หลวงพ่อแดงออกธุดงค์อยู่หลายปี จนหลวงพ่อลำไย วัดทุ่งลาดหญ้า เคยกล่าวว่า หลวงพ่อแดงออกธุดงค์จนตัวดำและกลับจากออกธุดงค์ได้ไม่นาน ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส วัดอินทาราม ในครั้งนั้น วัดอินทาราม มีแต่ปัญหาต่างๆ วัดก็ไม่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น กุฏิสงฆ์จะพังลงน้ำเพราะไม่มีเขื่อนกั้นกันตลิ่งพัง อุโบสถหลังเดิมก็ชำรุดเสียหาย ศาลาการเปรียญก็ทรุดโทรม จนไม่สามารถประกอบพิธีที่สำคัญต่างๆ ได้ เตาเผาศพ หรือเตาอบ ก็ยังไม่ได้มาตรฐาน หลวงพ่อแดงกับชาวบ้านได้ช่วยกันพัฒนา โดยใช้เวลาเกือบ 20 ปี จึงเป็นวัดที่ได้รับการพัฒนาให้เจริญจนถึงทุกวันนี้
    ทางด้านวิชาอาคม หลวงพ่อแดง ก็เป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร ในลุ่มน้ำแม่กลองในเวลานี้ เนื่องจากหลวงพ่อแดง ได้เรียนวิชาคาถาอาคม จากหลวงปู่หยอด วัดแก้วเจริญ พระเกจิอาจารย์ชื่อดังของลุ่มน้ำแม่กลอง เจ้าตำรับไหม 5 สี ที่ถักเป็นสร้อยห้อยคอและใส่ข้อมือ ที่นิยมกันอยู่ยุคหนึ่ง ก่อนที่องค์จาตุคามรามเทพ จะดัง จนเครื่องรางของขลัง อย่างอื่นถูกลืมหมด จนถึงปัจจุบัน พอหลวงปู่หยอดมรณภาพละสังขาร อาจารย์แดง กลายเป็นลูกศิษย์รุ่นสุดท้าย ได้วิชาดีๆ จากหลวงปู่หยอดไว้เยอะ
    หลวงพ่อแดงออกเครื่องราง ของขลัง พร้อมด้วยโครงการต่างๆ จนสามารถสร้างอุโบสถหินอ่อนราคากว่า 20 ล้านบาทได้ และทำการปิดทองฝังลูกนิมิตไปแล้ว เมื่อไม่นานมานี้เมื่อเสร็จภารกิจ จากการจัดงานปิดทองฝังลูกนิมิตของวัดอินทาราม แล้วหลวงพ่อแดง ก็อุทิศเวลาและปัจจัยให้กับ การสร้างวัดทุ่งเศรษฐี ซึ่งเป็นวัดร้างมากว่า 50 ปี โดยให้ หลวงพี่ทุย หรือ พระครูสังฆรักษ์ เจ้าอาวาสวัดทุ่งเศรษฐีในปัจจุบัน ซึ่งสมัยนั้นเป็นพระเลขาของหลวงพ่อแดง ไปเป็นเจ้าอาวาสดูแลและพัฒนาวัดทุ่งเศรษฐี ส่วนตัวหลวง
    พ่อแดง เป็นพี่เลี้ยงให้ จนปัจจุบันวัดทุ่งเศรษฐี เจริญรุ่งเรืองตามลำดับ
    หลวงพ่อแดงไม่ได้หยุด เพียงแค่นั้น เมื่อมีปัจจัยก็จัดตั้งศูนย์บำบัดและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด โดยมีส่วนราชการและเอกชน ให้การช่วยเหลือบ้าง ในเรื่องของงบประมาณ และสร้างห้องสมุดประชาชน ซึ่งตั้งใจไว้ว่า หากสร้างแล้วเสร็จจะทูลถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในขณะนี้ ให้ กศน. สมุทรสงคราม คอยดูแลและดำเนินการสร้างอยู่
    นอกจากนี้ หลวงพ่อแดงยังส่งเสริมให้ชาวบ้านจัดตลาดน้ำบริเวณหน้าวัด ชื่อตลาดน้ำเศรษฐกิจพอเพียงวัดอินทาราม พร้อมกันนี้ได้สร้างศาลากลางน้ำในบริเวณเดียวกัน เพื่อจัดเป็นเวทีแสดงลิเกกลางน้ำ ซึ่งเป็นศิลปะแลวัฒนธรรมดั่งเดิม ว่า เมื่อเกิดน้ำท่วม หรือหน้าน้ำเหนือบ่าท่วมเลือกสวนไร่นา ลิเกไม่มีที่เล่นจึงปลูกโรงกลางน้ำเล่นลิเก ชาวบ้านก็พายเรือหรือลอยคอมาดูกันจึงเรียกกันว่า ดูลิเกกลางน้ำ และในบริเวณเดียวกัน หลวงพ่อแดงยัง สร้างวังปลาหน้าวัด เพื่อให้สาธุชนคนใจบุญได้เลี้ยงปลาได้อีกด้วย
    และทุกปี ในช่วงเทศกาลลิ้นจี่ติดดอกออกผล หลวงพ่อแดง ยังจัดตลาดนัด ทั้งตลาดบก ตลาดน้ำ ให้เกษตรกรชาวสวน ซื้อขายลิ้นจี่และส้มโอ รวมทั้งผลไม้อื่นๆ เป็นการส่งเสริมเกษตรกรให้มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการขายตรง ไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง ซึ่งบางครั้ง ทางราชการก็ให้การสนับสนุน บางครั้งก็ทำทองไม่รู้ร้อนหรือธุระไม่ใช่
    ล่าสุดหลวงพ่อแดงได้รับบริจาคที่ดินจำนวน 10 ไร่ จากนางพิมพร สุขภูติ เศรษฐีนีเมืองแม่กลอง ซึ่งปัจจุบันล่วงลับไปแล้ว และที่ดินที่ได้รับบริจาคดังกล่าว เป็นพื้นที่ป่า



    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างส่งครับ

    พระสมเด็จกรุแตกวัดอินทารามหลวงพ่อแดงให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

     
  4. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,359
    ค่าพลัง:
    +21,325

    หลวงพ่อไวทย์ อินทวังโส "สมภาร 3 วัด
    หลวงพ่อไวทย์ อินทวังโส ท่านเป็น
    สหายกับ หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย, หลวง
    พ่อวาสน์ วัดบ้านแพน หลวงพ่อปี วัด
    กระโดงทอง และหลวงพ่อกุหลาบ วัด
    รางจระเข้หลวงพ่อไวทย์ ท่านเป็นพระที่ยิ้มแย้มตลอดเวลา ไม่เคยดู ไม่เคยด่าใจดี เป็นพระที่สมถะเป็นอย่างมาก ขนาดท่าน
    เป็นถึงเจ้าคณะจังหวัด แต่กูฏิของท่านก็
    ยังคงเป็นเพียงกุฏิเล็ก ๆ เล็กขนาดที่ว่า
    คนที่สูง ๆ ยืนนี่หัวชนเพดาน หลวงพ่อ
    ไวทย์ เป็นพระเกจิมากครู มากอาจาย์
    วิชาดูดวง วิชาผูกดวงชะตา เป็นหนึ่งใน
    วิชาที่ท่านชำนาญสมเด็จพระสังฆราชอยู่ วัดสระเกศ ฯลฯท่านได้ สอนวิชาเหล่านี้ให้กับ หลวงพ่อไวทย์
    นอกจากวัตถุมงคลของท่านแล้ว ของดี
    อีกอย่างก็คือ "ยาไวทย์ประสิทธิ์" แต่
    ชาวบ้านจะเรียกว่า "ยาลมหลวงพ่อไวท
    ย์"คล้ายยา วาสนาจินดามณี ของสาย
    วัดกลางบางแก้ว นครปฐม ยาไวทย์ประ
    สิทธิ์ จึงเปรียบเสมือนดั่ง ยาจินดามณี
    ฉบับจังหวัดอยุธยา (วัตถุมงคลเนื้อผง
    ของท่าน ก็มียานี้ผสมอยู่)ตำรายาจินดามณี ยาวาสนา น่าจะมาจากแหล่งวิชาเดียวกัน หลวงพ่อทองอยู่วัดท่าเสา กระทุ่มแบน สมุทรสาครเรียนวิชาจากพระอาจารย์ของท่าน ที่เป็นน้องชายหลวงปู้บุญ วัดกลางบางแก้ว เลยได้วิชายาวาสนาหลวงพ่อไวทย์ ท่านอยู่มาหลายวัด ท่านนอกจากเป็นพระเกจิ ก็ยังเป็นพระนัก
    พัฒนา ไปอยู่วัดไหนก็จะไปสร้างพระพุทธรูป ไปพัฒนาวัดนั้น จนเป็น
    ที่รักใคร่ของชาวบ้านแถบละแวกวัด
    นั้นๆ ที่ไปอยู่ อาทิ อยู่วัดสุธาโภชน์
    (เสนา) ก็ไปสร้างวัด สร้างโรงเรียน
    ครั้งหนึ่งก็ไปอยู่ วัดบางซ้ายใน สร้างวัด
    จนเจริญ ชาวบ้านในแถบนั้นรักและนับ
    ถือท่านมากสุดท้ายขั้นปลายของท่านก็ได้มาอยู่ วัดบรมวงศ์ (พระนครศรีอยุธยา ) ได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าคณะ จังหวัดอยุธยาแต่ท่านก็ยังใช้ชีวิตแบบธรรมดาๆ ไม่ถือตัว ใจดียิ้มแย้ม กับทุกคนครั้งหนึ่งเคยมีคนถาม หลวงพ่อไวยท์ ว่าพระหรือวัตถุมงคลใดดีทีสุด หลวงปู่ท่านนิ่ง แต่แม่ชีอุปฐาก(ใครทันกราบท่าน น่าจะรู้จักแม่ชี รูปนี้ดี) บอกว่า
    ให้หา เหรียญรุ่นแรกทีแตกๆ ไว้ เพราะ
    หลวงปู่ท่าน เสก แรงไปหน่อย โบสถ์ลั่น
    กล่องใส่แตก และเหรียญบางเหรียญ
    หลวงปู่ ท่านก็ยิ้มๆ แล้วพูดเชิงเย้าแหย่
    จริงไม่จริงไม่รู้ บอกว่า อืม เสกแรงไป
    หน่อย เป็นรุ่นแรก กลัวไม่ขลัง แล้วท่าน
    ก็ยิ้ม ๆ ตามประสาของท่าน (ใครไป
    กราบท่าน ไม่เคยมีใครเห็นท่านทำหน้า
    บึ้งใส่เลย ท่านจะยิ้ม ตลอดเวลา)
    เคยมีผู้ถาม หลวงพ่อไวทย์ว่า พระ
    อยุธยาสมัยก่อนใครเก่ง ท่านบอกเก่ง
    หลายองค์หลวงพ่อป่าน หลวงปู่กลั่น
    หลวงพ่อขัน ฯลฯ แต่ที่เรียนสมาธิ
    กรรมฐาน อยู่กับท่านนานสุด ก็หลวงพ่อ
    จง หลวงพ่อจง ท่านเสกตะกรุดเล็กๆ
    ลอยน้ำ วิ่งวนรอบขัน ท่านยังให้ไว้ดอก
    หนึ่งเลย หลวงปุไวทย์ท่านเหน็บตะกรุด
    หลวงพ่อจง ไว้จนมรณภาพ
    นตอนทหลวงพ่อ เวทย ปขอเรยนวิช
    จากหลวงพ่อจงท่านเคยถูก หลวงพ่อจง ตำหนิ ตอนไปขอเรียนวิชาจากท่าน ท่านว่าคุณอยู่กับพระทองคำมาตั้งนาน แต่ไม่ขอเรียนอะไรมาจากท่านเลย หลวงพ่อห่วง น่ะ!!!ท่านเป็นพระอรหันต์
    (หลวงพ่อห่วง วัดบางยี่โท เป็นศิษย์พี่
    ของหลวงพ่อจง เรียนวิชามาจากอาจาร
    ย์เดียวกัน คือ หลวงพ่อปั้น วัดพิกุลโส
    คันธ์ พระอภิญญาบารมี แห่งทุ่ง
    บางบาล สหายของหลวงพ่อสุน วัดบาง
    ปลาหมอ )วัตถุมงคลของท่านจึงมีการสร้างออกมหลายวัดู หลายรุ่น ท่านเป็นเกจิที่ดีทั้งนอก ดีทั้งใน เป็นพระหลักร้อย ราคาไม่แพง เป็นพระดี ที่ไม่ควรมองข้าม

    หลวงพ่อไวทย์ สายวิชาแห่งวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กทม.
    หลวงพ่อไวทย์ ท่านได้ไปศึกษาหาวิชาความรู้ในหลายๆด้าน ที่วัดสระเกศฯมาเป็นเวลานานพอสมควร และได้พบกับพระคณาจารย์ทั้งทางด้านปฏิบัติ ทางด้านปริยัติธรรมและทางด้านวิทยาคมหลายๆองค์ ดังนี้ ...
    สมเด็จพระสังฆราช(อยู่) พระอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อไวทย์ ได้ศึกษาวิชาต่างๆหลายด้าน เช่น ปริยัติธรรม,โหราศาสตร์ ฯ
    -พระครูสุวรรณบรรพตพิทักษ์ (หลวงพ่อทิม วัดสระเกศฯ) พระกรรมวาจาจารย์ของหลวงพ่อไวทย ์ได้ศึกษาทางปฏิบัติธรรม ปริยัติธรรม และพระพระเวทย์วิทยาคมต่างๆมากมาย
    พระสุธรรมธีรคุณ (หลวงพ่อวงศ์ วัดสระเกศฯ) พระอนุสาวนาจารย์ของหลวงพ่อไวทย์ ได้ศึกษาด้าน วิปัสนา ด้านวิชาเมตตามหานิยม ฯ
    หลวงพ่อเจิ่น วัดสระเกศฯ ได้ศึกษาทางปริยัติธรรม ธรรมปฏิบัติต่างๆ และพระเวทย์วิทยาคม ฯ
    หลวงพ่อเอียก วัดสระเกศ ได้ศึกษาทางปริยัติธรรม ธรรมปฏิบัติต่างๆ การทำน้ำมนต์ และพระเวทย์วิทยาคมด้านต่างๆ
    หลวงพ่อสุข วัดสระเกศฯ ได้ศึกษาพระเวทย์วิทยาคม วิชาแพทย์แผนโบราณ และหลวงพ่อสุขได้มอบตำรับตำราทุกอย่าง รวมทั้งมีดหมอและองค์พระฤาษีโกมารภัจจ์(บรมครูแห่งวิชาเวชศาสตร์แผนโบราณ)ให้กับหลวงพ่อไวทย์
    หลวงพ่อชื่น วัดสระเกศฯ ได้ศึกษาพระเวทย์วิทยาคม วิชาแพทย์แผนโบราณ และหลวงพ่อชื่นได้มอบตำรายาและกระดานภิเภกให้กับหลวงพ่อไวทย์
    หมอสละ โพธิเสถียร(ฆราวาส) บ้านอยู่ข้างวัดสระเกศฯ เรียนวิชาจับยามสามตา เป็นต้น
    หลวงปู่ไวทย์ อินฺทวํโส - โดยชมรมคนรักหลวงปู่ไวทย์
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จหลวงพ่อไววัดสุทธาโภชน์ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
     
  5. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,359
    ค่าพลัง:
    +21,325

    ประวัติหลวงพ่อคอน วัดชัยพฤกษมาลาและวัตถุมงคล กราบขอบพระคุณข้อมูลจากพระครูปืน วัดลาดชะโด
    ประวัติพระสุทธิธรรมาจราย์หรือ (หลวงพ่อคอน)วัดชัยพฤกษ์มาลา ชื่อ คอน นามสกุล ตีหิรัญเกิดวันสาขึ้น8ค่ำเตือน8ปีชวดตรงกับวันที่ 20 กรกฏาคม พุทธศักราช 2455 ที่ตำบลข้าวม่ อำนออุทัย จังหวัดพระนครศรือยุธยเป็นบุตห้ปี บิดาชื่อโค่น ตีหิรัญ โยมมารดาชื่อ
    แผ้ว ตีหิรัญ มีน้องชายและน้องสาวรวม 5 คน คือ นายกิ่ง นายก้อย นายชม นายชิต นางชื่น
    อุปสมบท เมื่อวันศุกร์ขึ้น5ค่ำเดือน5ปีวอกตรงกับวันที่28 มษายนพุทธศักราช 2476
    ณ.วัดสะแก ตำบลธนอำภออุทัยจังหวัดพระนคศรีอยุธยามีพระครูอุทัยวุฒิกร (รอด) วัตสะแกเป็นพระอุปัชฌาย์พระโบราณคณิสร(ใหญ่ สมัยดำรงสมณศักดิ์ที่พระอุทัยคณารักษ์ เป็นพระกร
    รมวาจารย์ พระครูสุนทรธรรมนิวัฐ วัดภาชี อดีตเจ้าคณะอำเกอภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    1.หลวงพ่อเป็นลูกศิษย์สายวัดสะแกโดยตรงเรียนวิชามาจากทั้งหลวงพ่อรอคอตีตเจ้าอาวาสวัดสะแกหลวงปู่ใหญ่หลวงปู่สีหลวงปู่คู่อาจรย์เฮงไพลวัลและก็เรียนสายวัดพระญาติกับหลวงพ่อเภาหลวงพ่ออั้นเรียนสายวัดประดู่ทรงธรรมกับหลวงพ่อม่วงเรียนวิชากับหลวงพ่อจง
    2สหรรมิกที่มีหลวงพ่อเป็นหลวงพ่อหยอดหลวงพ่ออุตตมะ และหลวงจรัญวัดอัมพวันมีความเคารพนับถือหลวงปู่คอนเป็นพิเศษจะมาหาหลวงปูทุกปีก่อนเข้าพรรษา
    3ลูกศิษย์หลวงปูมีเยอะแต่ที่เรียนวิชากับท่านมีพระราชสุรวาทีวัดมหาธาตุกับพระครูปืน วัดลาดชะโด
    4.หลวงปมรณภาพปี 2544


    หลวงปู่คอนท่านเป็นคนอยุธยา ใกล้วัดสะแก ท่านบวชเมื่อ ปี 2476 หลังหลวงปู่ดู่ 8 ปี (หลวงปู่ดู่บวชปี 2468) หลวงพ่อท่านเป็นลูกบุญของหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ จึงได้รับตำหรับตำราการสร้างเหรียญมาจากหลวงพ่อกลั่นโดยตรง และท่านยังได้ศึกษาวิชาสายวัดพระญาติมาจากพระอาจารย์เภา วัดพระญาติอีกด้วย จึงถือว่าท่านเป็นศิษย์ร่วมสำนักมากับหลวงปู่ดูวัดสะแก

    ขอแนะนำเหรียญพัดยศ...
    รุ่นนี้มีบันทึกของวัดชัดเจน จำนวนการสร้าง พิธีใหญ่มากๆ รูปแบบสวยงาม ได้หลวงปู่โต๊ะมาร่วมเสกด้วย
    (ขอบคุณข้อมูลและรูปจากน้อง natayot hompool มากๆครับ)



    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญพัดยศหลวงปู่คอนปี 2520
    ให้บูชา
    200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

     
  6. shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    7,987
    ค่าพลัง:
    +6,529
    ขอจองครับ
     
  7. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,359
    ค่าพลัง:
    +21,325


    หลวงพ่อหมอ สุดยอดพระเกจิ เพื่อนรักของหลวงพ่อคูณ พระเกจิองค์เดียวที่หลวงพ่อคูณ มวนและจุดยาสูบให้
    พระสงฆ์ที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำยกย่องว่าเป็น
    “…เจ้าของธนาคาร…”
    ขออนุญาตยกบทความของคุณพยุงศักดิ์ เศรษฐมาตย์
    ที่ได้รวบรวมเรื่องราวของท่านไว้
    มาเผยแพร่บารมีองค์หลวงพ่อนะครับ
    : #เจ้าของธนาคาร :
    ครั้งหนึ่ง ราวปี พ.ศ 2532
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
    มาร่วมงานเททองหล่อพระที่วัด
    แห่งหนึ่งใน อ.ท่าเรืองานนั้น
    หลวงพ่อหมอ ก็ไปร่วมงานด้วย
    ผู้คนที่มาในงานต่างมาห้อมล้อม
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    กันมากมายเพื่อกราบขอเมตตา
    ขอบารมีจากท่าน
    ระหว่างที่ผู้คนห้อมล้อมท่านอยู่นั้น
    หลวงพ่อฤษีลิงดำ ก็ได้ชี้ไปที่
    หลวงพ่อหมอที่นั่งอยู่คนละฝั่งกัน
    กับท่านแล้วพูดว่า
    " ผู้ใดมีบารมี ผู้ใดจะโชคดีโน้น...
    ไปขอหลวงพ่อหมอโน้น นี้แหล่ะ
    เจ้าของธนาคารตัวจริง
    ไปกราบขอท่านไป "
    เป็นคำกล่าวของครูบาอาจารย์ผู้รู้ซึ้ง ซึ่งภูมิธรรมของกันและกัน
    " ปราชญ์ย่อมรู้ในปราชญ์ ".
    หลวงพ่อประเสริฐ(หมอ) โอภาโส
    วัดโคกกระต่ายทอง ท่าเรือ อยุธยา
    พระเกจิอาจารย์ผู้ทรงฤทธิ์อภิญญา
    วาจาสิทธิ์หูทิพย์ ตาทิพย์
    วัตรปฏิบัติแปลกๆ ทำตัวแปลกๆ
    จนชาวบ้านหาว่าท่านเป็น " พระบ้า "
    คน อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร นับถือท่านมาก
    เรื่องโชคลาภนั้นเป็นเลิศนัก
    ผู้สร้างตำนานโรงทานอันลือลั่น
    ฝ่ามือมหาลาภ วัตถุมงคลท่านศักดิ์สิทธิ์นัก
    เรื่องหวยเรื่องเบอร์นั้นท่านโดงดังมาก
    แนวทางปฏิบัติ กิน เดิน นั่ง นอน ท่านจะภาวนาตลอดเวลา กิจสำคัญของท่านที่ขาดไม่ได้เลยคือการ ออกบิณฑบาต
    โปรดญาติโยม เรื่องราวพิสดาร
    ปาฏิหาริย์ ความศักดิ์สิทธิ์
    อัศจรรย์พันลึก วัตรปฏิบัติแปลกๆ
    จนชาวบ้านเรียก " พระบ้า "
    ปริศนาธรรมคำคมหลวงพ่อหมอ
    * ศรัทธาตัวเดียว
    ผู้ปฏิบัติต้องมีศรัทธาอย่างแรงกล้า
    ถึงจะได้พบธรรมะเบื่องสูง ที่ไม่มีตัวตน *
    * ธรรมะต้องเกิดในดวงจิต
    ดวงใจถึงจะเป็นของจริง *
    * สมาธิเปรียบเหมือนต้นไม้ ศีลเหมือนพื้นดินสมาธิอาศัยศีล เหมือนต้นไม้อาศัยดิน *
    * เรากางร่มก่อน ร่มถึงจะมากางเรา
    ถ้าเรามีศีลมีธรรมแล้ว ศีลธรรมก็มารักษาเราเป็นเรื่อง ปัจจัตตัง อัตตะโน นาโถ
    (ทำเอง รู้เอง เห็นเอง) *
    เรื่องราวทั้งหลายทั้งปวง ที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้คือเรื่องราวพิสดาร ปาฏิหาริย์ ประสบการณ์ต่างๆ คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง
    จากบันทึกของศิษย์และคำบอกเล่าจาก ลพ.ทอง เจ้าอาวาสวัดโคกกระต่ายทอง รูปปัจจุบัน
    เรื่องราวปาฏหาริย์ พิสดารลึกลับ
    ของหลวงพ่อหมอ ยังมีอีกมากเล่ากันเจ็ดวันเจ็ดคือก็ไม่หมด เอาพอหอมปากหอมคอ
    ให้รู้ว่า พระดีๆ เก่งๆ ที่ทรงฤทธิ์อภิญญา แบบนี้ยังมีให้เราได้ค้นหากันอยู่
    " โยมไม่ทันท่าน แต่ได้พระท่านไปบูชา ก็เหมือนได้แก้ววิเศษของท่านแล้ว "
    ( หลวงพ่อทอง เจ้าอาวาสวัดโคกกระต่ายทอง เจ้าอาวาสรูปปัจจุบันได้กล่าวไว้ )
    ชาติภูมิ
    หลวงพ่อหมอ โอภาโส
    ถือกำเนิดในสกุล จันทรส ณ บ้านบักเขียบ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ
    เกิดเดือน ๑๒ ปีมะโรง พ.ศ.๒๔๕๘
    เดิมท่านชื่อว่า เพชร แล้วเปลี่ยนมาเป็น ประเสริฐส่วนชื่อ หมอ นั้นชาวบ้านพร้อมใจกันตั้งให้ท่านเพราะกิตติศักดิ์ของท่านนั้นเอง
    หลวงพ่อหมอ ท่านเป็นพระอริยะสงฆ์อีกรูปหนึ่งผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัตชอบ ท่านใช้ชีวิตในสมณเพศอย่างเป็นประโยชน์ยิ่ง ไม่เคยสะสมเงินทองมาเป็นของส่วนตัวมีเท่าไหร่ท่านนำไป บริจาก สร้าง แจก เพื่อก่อประโยชน์ต่อบวรพุทธศาสนา เลี้ยงเด็กกำพร้าและเด็กยากจนที่อยู่ในความอุปการะคุณของท่านทั้งหมด
    สงเคราะห์ญาติโยมผู้ตกทุกข์ได้ยาก
    จากวัตรปฎิบัติแบบแปลกๆ ของท่าน เเม้ยางคนที่ไม่เข้าใจ มองท่านอย่างผิวเผินว่าท่าน ออกจะแปลกๆ พิกลไม่เหมือนพระสงฆ์ทั่วไป
    การออกธุดงค์ของทาานก็แปลก ไม่เคยมีกลดหรือมุ้งติดตัวเลย จะมีเพียงแค่จีวรห่มกาย และบาตรใบเดียวเท่านั้น
    แต่เมื่อได้สัมผัสได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับ
    วัตรปฏิบัติ อุบายธรรม หลักคำสอนต่างๆ ของท่านแล้ว ความสงสัยในตัวท่านนั้น ก็จะคลายสิ้น.
    ______________________________
    : #นวโกวาทเป็นครู :
    หลวงพ่อหมอ ท่านว่าท่านเอาตำราเป็นครู
    เอานวโกวาทเป็นครู ภูมิธรรมที่เกิดขึ้นนั้นได้จากตำรา
    หลวงพ่อหมอ เคยปรึกษาหารือสนทนาธรรมกันกับ หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง ถึงนวโกวาท
    ซึ่งในนวโกวาทนี้เขาบอกไว้ทุกเรื่อง ทุกเหลี่ยมทุกมุม
    แต่ไม่ปฏิบัติกัน
    ท่านว่าคนที่จะบรรลุธรรมะ คือ ศรัทธาตัวเดียว ไม่ได้เรียนมามากท่านเอ่ยตามพระวินัยสนใจให้มากรักษาตามนวโกวาทให้ดีๆ
    ศรัทธาตัวเดียว ผู้ปฏิบัติต้องมีศรัทธาอย่างแรงกล้า ถึงจะได้พบธรรมะเบื่องสูง ที่ไม่มีตัวตน.
    ___________________________
    : #หมอ :
    ที่มาของคำว่า หมอ
    ที่ อ.ตะพานหินคือมีญาติโยมผู้หญิงที่ตั้งท้องมากราบ หลวงพ่อหมอ แล้วถามว่าเด็กในท้องเป็นยังไง ปรากฏว่าหลวงพ่อหมอ ท่านบอกเพศ วัน เดือน ปี ที่เด็กจะเกิดไว้ ชึ่งพอถึงเวลาก็คลอดตามที่หลวงพ่อพูดตรงทั้งหมด ทำให้เป็นเรื่องที่แปลกมาก คนท้องในสมัยนั้นแห่กันมาถามหลวงพ่อจนวุ่นวาย
    เท่านั้นยังไม่พอบางคนมาขอให้ท่านแผ่บารมีรักษาอาการเจ็บป่วยให้หาย ท่านก็รักษาตามนิมิตของท่านบางท่าน หลวงพ่อหมอ ให้ไปกินก๋วยเตี๋ยวสามชามก็หาย
    บางคนโดนท่านถีบ ท่านพลักก็หายหรือบางท่านโดนตบก็มีส่วนใหญ่ ญาติโยมไปหาหลวงพ่อแล้วท่านทำให้หายหมด คนตะพานหินจึงเรียกท่าน หลวงพ่อหมอ ตั้งแต่นั้นมา
    สมัยที่หลวงพ่อหมอ ท่านออกธุดงค์ ปฏิบัติตัวแปลกๆ เป็นคนสติไม่ดี ดำเนินจิตตามนิมิตรบอก
    การธุดงค์หลวงพ่อหมอ มีอัฏฐบริขารติดตัวเพียงจีวรห่มกาย และบาตรเท่านั้น กลดมุ้งไม่เคยมีแต่แปลกผิวหลวงพ่อหมอ ไม่มีรอยยุงกัดเลย.
    ______________________________
    : #พระบ้า :
    ลูกศิษย์ท่านหนึ่งชาวตะพานหิน เล่าว่ามีชาวบ้านแถวบ้านตนเอง ไปดูหลวงพ่อหมอ อยากรู้ว่าพระบ้าเป็นอย่างไร ก็ได้พบหลวงพ่อหมอ เมื่อได้สัมผัสหลวงพ่อหมอ อย่างจริงจังแล้วขนลุกรู้สึกได้ทันทีว่า
    พระองค์นี้ไม่เพียงมิใช่พระบ้า แต่เป็นพระที่ไม่ธรรมดาและเป็นพระที่เก่งมากๆ เสียด้วย นึกคิดอะไรในใจท่านรู้หมด ก่อนหวยออกไม่กี่นาที
    หลวงพ่อหมอ ท่านได้เขียนเลขเล่นๆ ไว้ 6 ตัว พอหวยออกมา รางวัลที่ 1 ออกตรงแป๊ะไม่มีคลาดเคลื่อนเลยทั้ง 6 ตัว
    แบบนี้จะเป็นพระบ้าได้อย่างไร.
    ______________________________
    : #ยาสีฟันรักษาโรคประหลาด :
    คนนครสวรรค์ผู้หนึ่ง ได้ดูถูกปรามาสว่า
    หลวงพ่อหมอ เป็นพระผีบ้า
    จู่ๆได้เกิดเป็นโรคประหลาด เป็นก้อนเนื้อขึ้นตามผิวหนังของแขนทั้งสองข้าง ไปหาหมอรักษาโรงบาลไหนก็ไม่หาย รู้สึกปวดทรมานมาก
    ก็เลยนึกได้ว่าก่อนเป็นนั้น ตนเองนั้นได้ดูถูกปรามาสหลวงพ่อหมอ ว่าเป็นพระผีบ้า
    ก็เลยจะมาขมาหลวงพ่อหมอ
    เมื่อเจอหน้ากัน ยังไม่ทันได้พูดอะไร
    หลวงพ่อหมอ ถามขึ้นก่อนโดยทันทีว่า
    " เป็นบ้ามั๊ย โยมคนนี้จึงตอบท่านไปว่า ไม่บ้าครับ หลวงพ่อหมอ ก็พูดขึ้นว่า เอ้อ..แก่ก็ยอมรับแล้วว่า ข้าไม่บ้า แล้วหลวงพ่อหมอ ก็บอกให้ไปซื้อยาสีฟันจากร้านที่ท่านบอก ให้เอามาทาแล้วจะหายภายใน 7 วัน "
    เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งที่ยาสีฟันที่หลวงพ่อหมอ
    บอก ให้ไปซื้อมาทา สามารถรักษาอาการทุกข์ทรมานจากโรคประหลาดที่เป็นอยู่นั้น หายอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งที่ไปรักษาจากโรงพยาบาลมาหลายแห่งแล้วไม่หาย.
    _____________________________
    : #จากตะพานหินสู่วัดโคกกระต่ายทอง :
    หลังจากที่หลวงพ่อหมอได้อยู่สร้างความเจริญทางวัตถุที่วัดพฤษะวันโชติการาม
    ควบคู่กับปลูกฝังรากแห่งความศรัทธาต่อบวรพุทธศาสนาให้เกิดขึ้นและฝังลึกในจิตใจชาวตะพานหินและละแวกใกล้เคียงเป็นเวลาหลายปี
    ร้านค้าชาวจีนหรือเหล่าศิษย์ในอ.ตะพานหิน
    จะมีรูปท่านบนหิ้งพระทุกร้าน
    พระอาจารย์ทองอยู่ แห่งวัดสุทัศน์ กรุงเทพฯ
    ได้ยินกิตติศัพท์ชื่อเสียงความศักดิ์สิทธิ์ของท่านได้ไปพบท่าน
    จึงขอให้ท่านนำกฐินมาทอดที่
    วัดบัวงาม ต.จำปา อ.ท่าเรือ จ.อยุธยา เมื่อท่านนำกฐินมาทอดแล้ว
    ชาวบ้านท่าเรือเลื่อมใสศรัทธาท่านมากต่างปรึกษากันว่าจะหาวัดให้ท่านมาอยู่ จึงนิมนต์ให้ท่านมาอยู่ที่ วัดโคกกระต่ายทอง ซึ่งวัดนี้เป็นวัดโบราณเก่าแก่มาก เป็นวัดร้างมานานแล้ว อยู่ที่ ต.จำปา อ.ท่าเรือ จ.อยุธยา.
    ______________________________
    : #เดินข้ามแม่น้ำป่าสัก :
    ครั้งหลวงพ่อหมอ มาอยู่ วัดโคกกระต่ายทอง ท่านได้นั่งรถไฟมาลงที่ท่าเรือ แล้วเดินเท้ามายังวัดชุมแสง เพื่อที่จะข้ามท่าเรือ มายังวัดโคกกระต่ายทอง
    ซึ่งอยู่ตรงข้ามคนละฝั่งแม่น้ำกัน
    ขณะที่หลวงพ่อหมอ มาถึงท่าวัดชุมแสงนั้น เป็นเวลาค่ำแล้วจึงไม่มีเรือข้ามฝากไปยังท่าวัดโคกกระต่ายทอง
    ทันใดนั้นหลวงพ่อหมอ ได้เดินลงเหยียบบนผิวน้ำอัศจรรย์ยิ่งตัวท่านยืนอยู่เหนือผิวน้ำแล้วเดินข้ามแม่น้ำไปยังท่าวัดโคกกระต่ายทอง
    โดยที่มีชาวบ้านเห็นเหตุการณ์ว่าเห็นพระเดินข้ามแม่น้ำ บ้างก็ว่าท่านเหยียบยืนบนฝาบาตรลอยข้ามแม่น้ำในครั้งนั้น
    จนเป็นที่กล่าวขานล่ำลือไปทั่วในเขต อ.ท่าเรือ ในสมัยนั้น
    (เรื่องราวจาก ลพ.ทอง เจ้าอาวาสวัดโคกกระต่ายทอง รูปปัจจุบัน).
    ______________________________
    : #สหมิกธรรม :
    หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่
    ให้ความเคารพนับถือ ยอมรับในคุณธรรมของ
    หลวงพ่อหมอ เป็นพระองค์เดียวที่หลวงพ่อคูณ มวนและจุดยาให้สูบ เรียกว่าท่านเป็นเพื่อนชี้กันเลยทีเดียว ท่านทั้งสองต่างรู้ภูมิกัน
    อันที่จริงหลวงพ่อคูณ ท่านเคารพนับถือในองค์หลวงพ่อหมอ มาก หลวงพ่อหมอ ท่านจะอายุมากกว่า หลวงพ่อคูณ 8 ปี
    หลวงพ่อคูณ ท่านกล่าวว่า
    " หลวงพ่อหมอ เก่งกว่ากูเยอะ ".
    ____________________________
    : #เขาดีกว่ากูอีก :
    หลวงพ่อพรหม ถาวโร วัดช่องแค นครสวรรค์
    บอกแก่ชาวบ้านช่องแค
    สมัยที่หลวงพ่อหมอ ท่านออกธุดงค์ ปฏิบัติตัวแปลกๆ ทำตัวเป็นคนสติไม่ดี ดำเนินจิตตามนิมิตรบอก
    ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อหมอ ได้ธุดงค์ผ่านไปแถวช่องแค อ.ตาคลี ชาวบ้านที่พบเห็นต่างโจษขานกัน กับความแปลกประหลาดในวัตรปฏิบัติแปลกๆของท่านที่ไม่เหมือนพระทั่วไป จนชาวบ้านบางส่วนมองท่านว่าเป็นพระบ้า
    ด้วยความสงสัยจึงนำเรื่องราวไปถาม
    หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค ว่ามีพระสติไม่ดีนุ่งจีวรเก่าๆ มาธุดงค์ปักกรด แถวช่องแค ชาวบ้านเอาภัตตาหารไปถวายบางวันไม่ฉันนั่งนิ่งทั้งวัน บางทีชาวบ้านมาพบเจอฉันภัตตาหารกลางคืน
    บางวันมีญาติโยมที่ศรัทธา มานั่งห้อมล้อมเยอะเพราะไปถามอะไรท่าน ในเรื่องที่ตนเองทุกร้อนใจ ท่านรู้ตอบถูกหมด รู้ทุกอย่างที่ชาวบ้านถาม บ้างก็มาให้ท่านทำน้ำมนต์ ให้ดูดวง บ้างก็มารักษาให้ท่านพ่นเป่า บ้างก็มาขอหวย มีทั้งคนที่นับถือ มีทั้งคนที่มาก่อกวนท่าน เพราะหาว่าท่านเป็นพระบ้า
    ชาวบ้านจึงนำเรื่องนี้ไปถามหลวงพ่อพรหม
    ว่าเป็นพระบ้า หรือ อย่างไรกันแน่
    หลวงพ่อพรหม นั่งนิ่งสักพักแล้วท่านบอกกับโยม
    ที่สงสัยในตัวหลวงพ่อหมอว่า
    " เขาดีกว่ากูอีก "
    จึงไม่มีใครกล้าไปตอแยก่อกวนหลวงพ่อหมออีกเลย.
    ______________________________
    : #ฝ่ามือมหาลาภ :
    เรื่องมหาลาภ ของหลวงพ่อหมอนั้นว่ากันว่าขลังเป็นยิ่งนัก
    ฝ่ามือมหาลาภของท่าน นับว่าเป็นของวิเศษนัก
    หลวงพ่อหมอ ท่านจะเน้นไปทางด้าน
    โชคลาภ โภคทรัพย์ เงินไม่ขาดมือ
    ในวัตถุมงคลของท่านมักจะมีรูปฝ่ามือมหาลาภของท่าน วางประทับอยู่ด้านหลังวัตถุมงคลนั้นๆ
    ไม่ว่าจะเป็นเหรียญ หรือพระสมเด็จ
    จะมีรูปฝ่ามือมหาลาภ ของท่านประทับอยู่ข้างหลังขององค์พระเกือบทุกรุ่น
    ฝ่ามือมหาลาภที่ประทับไว้ด้านหลังวัตถุมงคลของท่านนั้นยังแฝงไว้ด้วยซึ่งปริศนาธรรรม
    ว่าฝ่ามือของท่านนั้นค่อย ช่วยเหลือ ผลักดัน
    ส่งเสริม อุปถัมภ์ค้ำชู มิให้ตกต่ำ
    วัตถุมงคลของท่านนั้นจะดีไปในทาง
    โชคลาภ โภคทรัพย์ เมตตา ค้าขาย เจริญก้าวหน้า ทำมาหากินคล่องตัว ทั้งยังคุ้มครองป้องกัน
    นักเสียงโชคและคนค้าขาย ควรหามาบูชายิ่งนัก
    วัตถุมงคลของท่านนั้นราคาไม่แพง เพราะคนไม่ค่อยรู้จักท่าน
    แต่ที่น่าแปลกคือหาไม่ค่อยได้ไม่ค่อยพบเจอ.
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญหลวงพ่อหมอหลังฝ่ามือมหาลาภ
    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
     
  8. shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    7,987
    ค่าพลัง:
    +6,529
    ขอจองครับ
     
  9. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,359
    ค่าพลัง:
    +21,325
    วันนี้ จัดส่ง

    ขอบคุณครับ
     
  10. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,359
    ค่าพลัง:
    +21,325
    เหรียญพระพุทธสิหิงค์หลังภปร.พิธีมหาพุทธาภิเษกท้องสนามหลวง วิสาขบูชา ๒๕๔๙
    ให้บูชา 120 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

     
  11. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,359
    ค่าพลัง:
    +21,325
    ตุ้งติ้งพระแก้วมรกต ๑๐ พ.ค.๑๘
    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

     
  12. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,359
    ค่าพลัง:
    +21,325
    เหรียญมหาสมบัติหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ กรุงเทพ ฯ

    หลวงพ่อพระราชพรหม(วีระ)ท่านอธิษฐานจิต

    "เหรียญมหาสมบัติ"
    พระมงคลเทพมุนี หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
    พระเจ้าจักรพรรดิเป็นผู้ครอบครองแก้ว 7 ประการ อันได้แก่
    จักรแก้ว (จกฺกรตฺตนํ)
    เมื่อผู้ที่จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ พระองค์ทรงรักษาศีลอุโบสถ ชำระจิตให้สะอาดแล้วทรงทำสมาธิ จักรแก้วก็บังเกิดขึ้น ทำจากโลหะมีค่า ส่องแสงสว่างไสว แล้วพาพระเจ้าจักรพรรดิพร้อมเหล่าเสนาบดีลอยไปยังประเทศต่างๆ ในทวีปทั้ง 4 ประเทศต่างๆ ก็ยอมสวามิภักดิ์ ไม่มีการสู้รบกัน เมื่อจะถวายเครื่องบรรณาการพระเจ้าจักรพรรดิก็ทรงไม่รับแต่พระราชทานโอวาทศีล 5 ให้
    ช้างแก้ว (หตฺถีรตฺตนํ)
    ช้างแก้วของพระเจ้าจักรพรรดิ เป็นพญาช้าง มีชื่อว่า อุโบสถ สีขาวเผือก สง่างาม มีฤทธิ์เดชสามารถเหาะได้ คล่องแคล่วว่องไว ฝึกหัดได้เอง สามารถพาพระเจ้าจักรพรรดิไปรอบชมพูทวีป จรดขอบมหาสมุทร ได้ตั้งแต่เช้ารุ่ง และกลับมาทันเวลาเสวยพระกระยาหารเช้า
    ม้าแก้ว (อสฺสรตฺตนํ)
    ม้าแก้วของพระเจ้าจักรพรรดิ เป็นพญาม้า มีชื่อว่า วลาหกะ เป็นอัศวราชผู้สง่างาม ขนงาม มีหางเป็นพวง ตรงปลายคล้ายดอกบัวตูม มีฤทธิ์เดชเหาะเหินเดินบนอากาศได้ คล่องแคล่วว่องไว ฝึกหัดได้เอง สามารถพาพระเจ้าจักรพรรดิไปรอบชมพูทวีป จรดขอบมหาสมุทร ได้ตั้งแต่เช้ารุ่ง และกลับมาทันเวลาเสวยพระกระยาหารเช้า
    มณีแก้ว (มณิรตฺตนํ)
    มณีแก้วของพระเจ้าจักรพรรดิ เป็นแก้วมณีเปล่งแสงสุกสกาว ใสแวววาวยิ่งกว่าเพชร เปล่งรังสีแสงสว่างไสวโดยรอบถึง 1 โยชน์ คอยบันดาลความอุดมสมบูรณ์ทุกอย่างให้เกิดขึ้น ดึงดูดสมบัติทั้งหลายมาให้ สามารถเลี้ยงคนได้ทั้งชมพูทวีปโดยไม่ต้องทำมาหากิน เมื่อพระมหาจักรพรรดิทรงทดลองแก้วมณีกับกองทัพ โดยติดแก้วมณีไว้บนยอดธงนำทัพ แก้วมณีก็เปล่งแสงสว่างไสว ทำให้กองทัพเดินทางได้สะดวกสบาย เหมือนเดินทัพในเวลากลางวัน
    นางแก้ว (อิตถรตฺตนํ)
    นางแก้วของพระเจ้าจักรพรรดิ เป็นหญิงที่มีบุญญาธิการ รูปร่างน่าดูชม ผิวพรรณเปล่งปลั่งผ่องใส สวยงามกว่ามนุษย์ทั่วไป พูดจาสุภาพ ไม่โกหก มีกลิ่นดอกบัวหอมฟุ้งออกจากปาก มีกลิ่นจันทน์หอมฟุ้งรอบกาย นางแก้วเป็นผู้คอยปรนนิบัติพระเจ้าจักรพรรดิอย่างไม่ขาดสาย ตื่นก่อนนอนทีหลังพระเจ้าจักรพรรดิ คอยรับฟังคำสั่งของพระเจ้าจักรพรรดิ ประพฤติชอบต่อพระเจ้าจักรพรรดิเสมอ
    ขุนคลังแก้ว (คหปติรตฺตนํ)
    คฤหบดีแก้ว หรือขุนคลังแก้ว สามารถนำทรัพย์สินมาให้แด่พระเจ้าจักรพรรดิได้ ขุมทรัพย์อยู่ที่ไหนก็เห็นไปหมด
    ขุนพลแก้ว (ปริณายกรตฺตนํ)
    ปริณายกแก้ว หรือขุนพลแก้ว คือพระราชโอรสองค์โตของพระเจ้าจักรพรรดิ เป็นขุนศึกคู่ใจ เป็นบัณฑิตนักปราชญ์ มีความฉลาดเฉลียว รู้สิ่งใดควรไม่ควร คอยให้คำแนะนำปรึกษาแด่พระเจ้าจักรพรรดิอยู่เสมอ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญมหาสมบัติหลวงพ่อสดสภาพสวยเดิมในกล่องให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ รุ่นนิยม อีกรุ่นครับ

     
  13. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,359
    ค่าพลัง:
    +21,325
    เหรียญหล่อ พระแก้วมรกต หลัง ภปร. ปี 2525 มูลนิธินวมราชานุสรณ์ จัดสร้าง
    ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

     
  14. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,359
    ค่าพลัง:
    +21,325

    ประวัติ หลวงพ่อฉาบ วัดคลองจันทร์ (ชัยนาท)
    "พระครูเกษมชัยคุณ" (หลวงพ่อฉาบ เขมจิตโต) ท่านถือกำเนิดเมื่อ วันอังคาร ที่๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๔๗ ณ.ตำบลจำลอง อำเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง ท่านมีนามเดิมว่า "นายฉาบ เกรงขาม" โยมบิดาท่านชื่อ นายชม โยมมารดาท่านชื่อ นางแผ้ว "เกรงขาม" ครอบครัวท่านมีอาชีพทำนา ตอนเด็กๆบิดามารดาได้นำไปฝากเรียนหนังสือที่วัดใกล้บ้านจนสามารถอ่านออกเขียนได้ พออายุได้ ๑๘ ปี ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารสังกัดทหารช่าง ที่บางซื่อ จนกระทั่งอายุได้ ๒๒ ปี จึงปลดประจำการกลับมาอยู่บ้านช่วยบิดามารดาทำนา
    หลวงพ่อฉาบ ท่านไดัเข้ารับการอุปสมบท ณ พัธสีมา "วัดบ้านพราน" อ.แสวงหา จ.อ่างทอง โดยมี (พระครูสุภาวินิต) เป็นพระอุปัชฌาย์ (พระอธิการบาง) วัดบ้านพราน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ (พระอาจารย์หล่ำ) วัดบ้านพราน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "เขมจิตโต" หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านเป็นภิกษุที่ชอบค้นคว้าทดลองในด้านวิชาอาคมต่างๆ ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ด้วยท่านมีนิสัยพูดจริงทำจริง ไม่กลัวใคร และได้ปรนนิบัติรับใช้ครูบาอาจารย์ ฝึกฝนการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนมีความรู้ความชำนาญจึงได้กราบลาอาจารย์ไปศึกษาวิชาเพิ่มเติมกับพระคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงในหลายๆที่ในขณะนั้น เช่น
    ๑. หลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา
    ๒. หลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์
    ๓. หลวงพ่ออินทร์ วัดเกาะหงษ์เรียนวิชาฝังเข็มทอง
    ๔. หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพเรียนวิชาการทำมีดหมอและการทำผ้ายันต์พญาฉัตทันต์
    ๕. หลวงพ่อแจ่ม วัดวังแดงเหนือเรียนวิชาการทำมีดปากกา
    ๖. หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก
    หลังจากบวชใหม่ๆท่านก็ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของ (หลวงพ่อเเจ่ม วัดวังแดงเหนือ) อ.ท่าเรือ จ.อยุธยา ท่านปรนนิบัติรับใช้ หลวงพ่อเเจ่ม อยู่หลายปี ได้รับการถ่ายถอดวิชามีดพระขรรค์และผ้ายันต์นางกวักเมตตาค้าขายมาโดยตรง ซึ่งวิชามีดพระขรรค์นี้เรียนได้ยากลำบากมาก หลวงพ่อเเจ่มท่านก็คนจริง เมื่อเวลาเสกมีดต้องเสกให้ปลอกมีดกับด้ามมีดวิ่งเข้าหากันให้ได้ ถ้าดัง "แกร็ก" ถือว่าใช้ได้
    หลวงพ่อฉาบ ท่านได้เพียรพยายามจนสำเร็จ หลวงพ่อแจ่มจึงแนะนำให้ไปเรียนทางเมตตาลงนะหน้าทองกับ (หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก) ซึ่งหลวงพ่อฉาบ เองท่านก็เรียนจากหลวงพ่อจงมาเพียงอย่างเดียว จากนั้นท่านก็ศึกษาหาความรู้มาเรื่อยๆ มาพบกับครูบาอาจารย์รูปต่างๆ
    (หลวงปู่ศรี วัดพระปรางค์) จ.สิงห์บุรี ก็ได้ศึกษาทำแหวนแขน, แหวนนิ้ว, และน้ำมนต์ ,(หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ) ได้ศึกษาเรื่องการทำมีดหมอ พระปิดตา ผ้ายันต์ช้าง และเคล็ดการใช้ธาตุทั้ง ๔ ซึ่งวิชาเรื่องธาตุ๔ นี้ ภายหลัง (หลวงพ่อจ้อย วัดศรีอุทุมพร) นครสวรรค์ ยังมาขอศึกษาโดยตรงกับ หลวงพ่อฉาบ (ในประวัติหลวงพ่อจ้อยได้ลงไว้) จากเกจิหลายรูปที่กล่าวมาแล้ว หลวงปู่ฉาบยังมีอาจารย์องค์สำคัญอีกรูปคือ (หลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา) อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ซึ่งเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาตะกรุดมหาอุด, คงกระพัน ให้กับหลวงปู่ฉาบ จนเป็นที่มาในตำนาน "ตะกรุดเสาอากาศ"
    ตะกรุดเสาอากาศเป็นตำหรับวิชา จาก (หลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา) ที่หลวงปู่ฉาบ ได้ไปร่ำเรียนมาด้วยความยากลำบาก เพราะ อ.เดิมบาง เมืองสุพรรณในสมัยนั้นมีแต่ป่า มีสัตว์ร้ายชุกชุม วัดหลวงพ่ออิ่มก็ไม่ได้สะดวกสบายอะไร ต้องอยู่รับใช้หลวงพ่ออิ่ม จนได้วิชาทำตะกรุดมา ท่านมั่นใจในวิชานี้มาก ทดลองทำจนเชื่อมั่นว่าดีจริง ซึ่งประสบการณ์มีให้เห็นอยู่มากมาย
    ตะกรุดเสาอากาศท่านมีประสบการณ์มากตั้งแต่ครั้งสงครามเวียดนาม เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๐ เป็นต้นมา ท่านลงเองเสกเอง ตอนแรกเข้าใจว่าลงเป็นตะกั่วยังไม่ได้หุ้ม แต่เมื่อนำมาใช้กันแล้วตะกั่วนั้นชำรุดง่าย จึงได้ตัดเสาอากาศทีวีสมัยนั้นนำมาหุ้มด้านนอกอีกที เสมือนสวมหลอดป้องกันตะกรุดด้านใน สิ่งนี้เองก็กลายเป็นเอกลักษณ์ของท่านไป
    ตะกรุดเสาอากาศ ลงอาคมแบบเด็ดขาดนิยมกันมานาน สร้างช่วงสงครามเวียดนามครั้งเดียว และมีให้เห็นอยู่แบบเดียว ที่มีกันอยู่ทุกวันนี้ท่านได้ลงไว้ตั้งแต่ครั้งสงคราม ทำไว้จำนวนมาก และได้เก็บไว้เรื่อยมา ให้บูชาบ้าง แจกบ้าง จนท่านมรณภาพ
    ตะกรุดเสาอากาศเป็นของดีจนอาจกลายเป็นตำนานไป เนื่องจากคนรุ่นใหม่ไม่รู้กัน หันไปเช่าตะกรุดตามศูนย์พระใหม่หมด เพราะมีการโฆษณาบอกสรรพคุณดี ของใหม่เดี๋ยวนี้แพงโดยไม่มีเหตุผล บ้างก็ยิ่งสร้างน้อยยิ่งแพง ตะกรุดเสาอากาศหลวงพ่อฉาบ รอดตายมามากแล้ว ปัจจุบันยังพอหาชมได้
    นอกจากนี้ท่านยังได้เรียนวิชาการสักยันต์ต่างๆด้วย และท่านยังได้เรียนวิชาเกี่ยวกับธาตุทั้งสี่จนมีความชำนาญอย่างดียิ่ง ส่วนผ้ายันต์พญาฉัตทันต์ ซึ่งท่านเรียนมาจากหลวงพ่อเดิมนั้นดีทางค้าขายทางเมตตาและด้านการงานให้มีความประสบผลสำเร็จในสิ่งที่ต้องการเป็นเอกอุทางด้านเสริมบารมี เรียกว่าครอบจักรวาล บูชาไว้ในบ้านคุ้มครองบ้าน ไว้ในร้านค้าก็รุ่งเรือง พกติดตัวไว้ป้องกันตัวและเสริมบารมี
    มีหนึ่งเรื่อง คือเรื่องผ้ายันต์คุ้มบ้านมีคนบูชาผ้ายันต์ของหลวงพ่อฉาบไว้ในบ้านแล้วทิ้งบ้านไปหลายวันเพื่อเดินทางไปต่างจังหวัดแต่เพื่อนบ้านใกล้เคียงเห็นเปิดหน้าต่างไว้จึงคิดว่ามีคนอยู่ไม่ได้สนใจว่าหน้าต่างบ้านเปิดไว้เพราะถูกคนร้ายงัดบานหน้าต่างเปิดไว้จนเจ้าของบ้านกลับมาจึงทราบว่ามีขโมยเข้ามาในบ้าน แต่เป็นที่น่าอัศจรรย์ไม่มีทรัพย์สินเสียหายหรือถูกขโมยไปแม้แต่ชิ้นเดียวนอกจากรอยเท้าคนร้ายย่ำวนไปมาและรอยถูกงัด ภายในบ้านมีเพียงรูปยันต์บูชาติดผนังไว้ข้างหิ้งพระผืนเดียวเท่านั้นแถมชาวบ้านเองยังบอกว่านึกว่ามีคนอยู่ในบ้านทุกวันไม่รู้ว่าเจ้าของไม่อยู่เชื่อว่าเป็นผ้ายันต์ผืนนี้ที่แสดงปาฎิหารย์ให้คนร้ายไม่เจออะไรจนหนีไป เพราะผ้ายันต์หลวงพ่อฉาบไม่ได้ใช้ผ้าธรรมดา แต่เป็นผ้าที่ใช้คลุมศพ มาสกรีนยันต์พญาฉัตทันต์
    หลวงพ่อฉาบ เมื่อท่านได้ศึกษาวิชากับพระอาจารย์จนเชี่ยวชาญแล้ว ท่านได้มาจำพรรษา ณ วัดคลองจันทน์ ต.ห้วยงู อ.หันคา จ.ชัยนาท ซึ่งขณะนั้นมี (หลวงพ่อโป๋) เป็นเจ้าอาวาส ภายหลังหลวงพ่อโป๋มรณภาพลงชาวบ้านจึงพร้อมใจกันอาราธนานิมนต์ หลวงพ่อฉาบ เป็นเจ้าอาวาสสืบต่อมา
    อีกหนึ่งวิชาของ หลวงพ่อฉาบ คือสักกระหม่อมเป็นตัวอัง ฝังเข็มทอง ต้นตำหรับ (หลวงพ่ออินทร์) และเครื่องรางที่สุดยอด คือมีดหมอลงยันต์นูน ผ้ายันต์พระยาฉัตทันต์ ตะกรุดเสาอากาศ ปลัดขิกตะกั่ว พระเครื่องที่สุดยอดคือเหรียญรุ่นแรก
    หลวงพ่อฉาบ ท่านเป็นพระที่เก่งจริง ครั้งหนึ่งท่านนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์แล้วเกิดอุบัติเหตุขาหักท่านไม่ยอมไปหาหมอ เมื่อกลับมาถึงวัดท่านก็เป่าคาถาเองจนหายเป็นปกติ ผ้ายันต์ช้างของท่านมีคนบูชาแล้ววันดีคืนดีมีเสียงร้องให้ได้ยินด้วยอภินิหารของท่านมีให้เล่ามากมาย พระคณาจารย์หลายองค์ในยุคนั้นให้ความเคารพท่านมาก โดยเฉพาะ (ครูบาสร้อย วัดมงคลคีรีเขต) ถึงขนาดให้ท่านเอานำมนตร์พรมศรีษะให้

    หลวงพ่อฉาบ ท่านถึงแก่มรณะภาพเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ปี พ.ศ.๒๕๔๒ สิริอายุรวม ๙๕ ปี ๗๒ พรรษา
    เรียบเรียง : พระเกจิ แดนสยาม
    https://www.facebook.com/prakejidansiam/
    ที่มา : คณะศิษย์หลวงพ่อฉาบ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จหลวงปู่ฉาบวัดคลองจันทร์
    พิมพ์๙ชั้น ให้บูชา
    150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)


    พระสมเด็จรุ่นฉาบรวยให้บูชาคู่กัน 2 องค์
    220 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)



     
  15. ktv เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    1,131
    ค่าพลัง:
    +1,139
    โอนแล้วครับ 21/03/67 จำนวน 280 บ.เวลา 20.25 น.จัดส่งที่เดิมครับ
     
  16. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,359
    ค่าพลัง:
    +21,325
    พิธีพุทธาภิเษกครั้งยิ่งใหญ่ของวัดไชโย ในงานสมโภช ๑๙๐ปีแห่งชาตะของสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี) วันที่ ๒๔-๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๑ ตรงกับวันแรม ๑๐-๑๑ ค่ำเดือน๑๒โดยมีสมเด็จพระอริยวงศาคตาญาณ สมเด็จพระสังฆราช(วาสนมหาเถระ) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพฯ ทรงเป็นองค์ประธานจุดเทียนชัย และมีสมเด็จพระพุฒาจารย์(เสงี่ยม) วัดสุทัศน์เทพวราราม กรุงเทพฯ เป็นองค์ดับเทียนชัย
    รายนามพระคณาจารย์ เจริญพระพุทธมนต์ บริกรรมภาวนาและสวดพุทธาภิเษก ดังนี้
    ๑.หลวงปู่คำแสน วัดป่าดอนมูล เชียงใหม่
    ๒.หลวงปู่สุด วัดกาหลง สมุทรสงคราม
    ๓.หลวงปู่เปรื่อง วัดสุวรรณภูมิ สุพรรณบุรี
    ๔.พระราชมงคลมุนี วัดชัยมงคล อ่างทอง
    ๕.พระมหาพุทธพิมพาภิบาล วัดไชโย อ่างทอง
    ๖.หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี กทม.
    ๗.หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม กาญจนบุรี
    ๘.หลวงพ่อน้อย วัดหนองโพธิ์ นครสวรรค์
    ๙.พระครูประสานนวกิจ วัดพระนอนจักร์สีห์ สิงห์บุรี
    ๑๐.หลวงพ่อเชื้อ วัดใหม่บำเพ็ญบุญ ชัยนาท
    ๑๑.หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลย์ สุพรรณบุรี
    ๑๒.หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม นครปฐม
    ๑๓.ครูบาพรหมจักร วัดพระพุทธบาทตากผ้า ลำพูน
    ๑๔.พระครูศรีรัตนาภิวัฒน์ วัดวิเศษชัยชาญ อ่างทอง
    ๑๕.พระครูอดุลสุดกิจ วัดโคกพุทธา อ่างทอง
    ๑๖.พระครูใบฎีกาเจริญ วัดอ่างทองวรวิหาร อ่างทอง
    ๑๗.หลวงพ่อสำเนียง วัดเวฬุวนาราม นครปฐม
    ๑๘.หลวงพ่อยงยุทธ วัดเขาไม้แดง ชลบุรี
    ๑๙.หลวงพ่อสด วัดหางน้ำสาคร ชัยนาท
    ๒๐.หลวงพ่อคูณ วัดสระแก้ว นครราชสีมา
    ๒๑.พระอธิการสน วัดไทร อ่างทอง
    ๒๒.หลวงพ่อทอง วัดก้อนแก้ว ฉะเชิงเทรา
    ๒๓.หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส จันทบุรี
    ๒๔.พระอาจารย์จำเนียร วัดละมุด อ่างทอง
    ๒๕.หลวงปู่วัน อุตตโม วัดถ้ำอภัยดำรงค์ธรรม สกลนคร
    ๒๖.หลวงปู่สิม พุทธจาโร วัดสันติสังฆารามพรรณานิคม สกลนคร
    ๒๗.หลวงปู่คำแหง จนฺทสาโร วัดป่าสุวรรณนิเทศทรงธรรม ร้อยเอ็ด
    ๒๘.หลวงปู่คำมี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ ลพบุรี
    ๒๙.พระราชสุวรรณโมลี วัดต้นสน อ่างทอง
    ๓๐.พระราชสังวรญาณ(เจ้าคุณสนิท) วัดศีลขันธาราม อ่างทอง
    ๓๑.พระวิเศษชัยสิทธิ์ วัดอ่างทองวรวิหาร อ่างทอง
    ๓๒.หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง สิงห์บุรี
    ๓๓.หลวงปู่เส่ง วัดกัลยาณมิตร กทม.
    ๓๔.หลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม สิงห์บุรี
    ๓๕.หลวงพ่อจรัล วัดอัมพวัน สิงห์บุรี
    ๓๖.พระครูสิริปัญญาธร วัดตูม อยุธยา
    ๓๗.หลวงพ่อทองอยู่ วัดใหม่หนองพะอง สมุทรสาคร
    ๓๘.พระครูวิบูลคุณาวัตร วัดน้อย อ่างทอง
    ๓๙.พระครูวิรัตนธรรมวัตร วัดรางฉนวน อ่างทอง
    ๔๐. พระอาจารย์ผ่อง จินดา วัดจักรวรรดิ์ราชาวาส กทม.
    ๔๑.พระอาจารย์บัว วัดแสวงหา อ่างทอง
    ๔๒.หลวงพ่อชม วัดอินทราราม ชัยนาท
    ๔๓.หลวงพ่อบาง วัดหนองพลับ สระบุรี
    ๔๔.หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ นครปฐม
    ๔๕.หลวงปู่พล วัดหนองคณฑี สระบุรี
    ๔๖.หลวงพ่อพุทธิ วัดวงศ์พาสน์ อ่างทอง
    ๔๗.หลวงพ่อสวน วัดบางกระดาน ตราด
    ๔๙.พระอาจารย์สมภพ วัดสาลีโข นนทบุรี
    ๕๐.หลวงปู่แว่น วัดป่าสุทธาวาส สกลนคร
    ๕๑.หลวงปู่ธูป วัดสุนทรธรรมทาน กทม.
    มวลสารเนื้อกระเบื้องโบสถ์อายุนับร้อยปี โบสถ์เก่าตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ .. ได้รับพลังพุทธมนต์นับครั้งไม่ถ้วน รวมพิธีใหญ่ๆอย่างสร้างเขื่อน ปี๒๔๙๕ พิธีทุกวันพระที่ลงปาฏิโมกข์ สวดมนต์ทำวัตร แค่นี้พุทธคุณก็สะสมอยู่ในตัวมวลสารแล้วครับ รวมทั้งพุทธคุณจากพระเกจิระดับประเทศในยุคนั้นหลายสิบท่าน...พระดีมีประวัติ เก่าแก่เกือบห้าสิบปี
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จวัดเกศไชโยเนื้อกระเบื้องพิมพ์๗ชั้นหลังคาโบสถ์ให้บูชา
    170 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

     
  17. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,359
    ค่าพลัง:
    +21,325

    ในอดีตวัดบางนามี ชื่อเสียงมาก มีคนไปทำบุญที่วัดมากที่สุดเนื่องจากเป็นวัดเก่าแก่ มีพระไปบวชศึกษาเล่าเรียนมาก พระที่วัดต่างก็ถือปฏิบัติกิจของสงฆ์อย่างเคร่งครัด ชาวบ้านจึงศรัทธาเลื่อมใสเข้าไปทำบุญกันมาก โดยเฉพาะในยุคของ หลวงปู่เส็ง จันทฺรังสี หรือพระครูธรรมสุนทร ซึ่งถือว่าเป็นพระสงฆ์ที่ได้รับสมณศักดิ์รูปแรกของวัดบางนาจากทางคณะสงฆ์ อีกทั้งเป็นผู้ริเริ่มทำพระเครื่องวัตถุมงคลของวัดบางนาจนมีผู้รู้จักนิยมไปทั่ว ซึ่งก่อนหน้าหลวงปู่เส็งไม่มีสมภารองค์ใดทำพระเครื่องมาก่อนเลย พื้นเพของหลวงปู่เส็งเป็นคนละแวกวัดบางนา บ้านท่านอยู่ทางใต้วัดติดคลองบางนา โยมพ่อชื่อ “จู“ เป็นชาวจีนล่องเรือสำเภาจากเมืองจีนมาอยู่ที่สามโคกใช้สกุล “แซ่บุญเซ็ง” โยมแม่ชื่อ “เข็ม” เป็นชาวรามัญ สมัยก่อนชาวบ้านย่านนั้นยึดอาชีพทำนาเป็นส่วนใหญ่ จนได้รับขนานนามหมู่บ้านว่า “บางนา” อาชีพรองลงมาก็คือการทำอิฐ ทำตาล และค้าขาย ซึ่งทางบ้านของหลวงปู่เส็งทำการค้าขายของชำเล็กๆ น้อยๆ ในหมู่บ้านและส่วนหนึ่งก็ทำนา สำหรับประวัติส่วนตัวของหลวงปู่เส็งท่านไม่เคยเล่าให้ใครฟัง ทราบแต่เพียงว่าท่านเกิดเมื่อ ปี พ.ศ. 2444 มีพี่น้องทั้งหมด 7 คน พี่น้องของท่านเสียชีวิตด้วยโรคฝีดาษ เหลือเพียงท่านเท่านั้น ครั้นเมื่ออายุครบบวชได้เข้าอุปสมบทที่วัดบางนา เมื่อปี พ.ศ.2465 โดยมีท่านเจ้าคุณรามัญมุนี หรือพระนันทมุนี วัดบางหลวง เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูบวรธรรมกิจ (หลวงปู่เทียน) วัดโบสถ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และหลวงปู่ทัด เจ้าอาวาสวัดบางนา ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้าชายของท่าน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “จันทรังสี” ภายหลังที่เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์แล้วได้ศึกษาเล่าเรียนอักขระเลขยันต์จากพระอาจารย์ต่างๆ และเรียนภาษาขอมและภาษารามัญจนแตกฉาน นอกจากนี้ ได้ไปศึกษาวิชาอาคมต่างๆ จากหลวงปู่เทียน เกจิอาจารย์ดังในยุคนั้นอีกด้วย หลวงปู่เส็งมีปฏิปทาในการใฝ่หาวิชาความรู้มาก ใครแนะนำสั่งสอนท่านก็จดจำไว้เป็นอย่างดี ท่านเชี่ยวชาญด้านภาษาขอมเป็นพิเศษ เรื่องอักขระเลขยันต์ต่างๆ ท่านเก่งมาก จนกระทั่งปี พ.ศ.2486 หลวงปู่ทัด เจ้าอาวาสวัดบางนามรณภาพลง ท่านจึงได้รับแต่งตั้งให้รักษาการเจ้าอาวาส ต่อมาในปี พ.ศ.2487 สอบนักธรรมชั้นเอกได้ และปี พ.ศ.2489 ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดบางนา อย่างเป็นทางการ ท่าน ให้การศึกษาแก่พระภิกษุสามเณรเป็นอย่างดี ขณะเดียวกันท่านก็บูรณะปฏิสังขรณ์วัดจนรุ่งเรือง โดยสานต่อการสร้างโบสถ์ที่หลวงปู่ทัดดำเนินการไว้จนสำเร็จลุล่วงลงด้วยดี โดยทุกปีท่านจะออกธุดงค์ไปปริวาสกรรมมิได้ขาด ท่านเป็นคนพูดน้อย และ ไม่ค่อยพูดว่ากล่าวผู้ใด เล่ากันว่าเวลาว่างจากงานที่ต้องกระทำ ท่านจะนั่งนับลูกประคำที่คล้องคออยู่ บริกรรมพระคาถาตลอดเวลา ท่านปกครองวัดเรื่อยมาจนกระทั่งอายุ 65 ปี จึงเริ่มสร้างวัตถุมงคลคือพระผงสมเด็จ 3 ชั้น รุ่นแรกของวัดบางนา ในปี พ.ศ.2510 ตามด้วยเหรียญรูปอาร์ม หรือใบเสมาคว่ำ รุ่นแรก และนับแต่ปี พ.ศ.2510 เป็นต้นมา ท่านก็สร้างวัตถุมงคลในรูปแบบต่างๆ ออกมามากมาย โดยทุกปีจะสร้างออกมา 2-3 แบบ จนกระทั่งท่านมรณภาพในปี พ.ศ.2530 รวมระยะเวลาการสร้างวัตถุมงคลถึง 20 ปี วัตถุมงคลของหลวงปู่เส็งทุกรุ่นทุกแบบ มีผู้เลื่อมใสหามาพกติดตัว และบูชากันมากมาย ซึ่งกล่าวขานกันว่ามีพุทธคุณเด่นในทางแคล้วคลาด เมตตามหานิยม และการค้าขายดีเยี่ยม โดยรุ่นนิยมเท่าที่พอลำดับความได้คือ พระผงสมเด็จ 3 ชั้น รุ่นแรกปี 2510 ด้านหน้า เป็นรูปพระพุทธรูปพระประธานนั่งสมาธิ มีซุ้มครอบแก้ว ด้านหลังเป็นลายมือเขียนว่า “พระครูเส็ง” บางองค์เขียนว่า “เส็ง” และบางองค์ ก็เขียนว่า “พระครูเส็ง จันทฺรังสี” แล้วแต่ว่าหลวงปู่จะเขียนอะไรคำไหน แต่ส่วนใหญ่จะทำเป็นแบบพิมพ์เป็นบล็อก ใช้กดลงไปบนหลังพระเวลากดพิมพ์ เนื้อพระมีทั้งเนื้อน้ำมัน ลักษณะพระจะออกแกร่งมัน กับสูตรผสมเนื้อกล้วยพิมพ์ออกมามีทั้งหมด 5 สี คือ สีดำ เหลือง เขียว แดง และ ขาว ท่านปลุกเสกเดี่ยวแล้วออกแจกจ่ายแก่ญาติโยมที่ไปหาท่าน บ เหรียญรูปเหมือนรุ่นแรก เนื้อกะไหล่ทอง เงินและทองแดง ด้านหน้าเหรียญเป็นรูปหลวงปู่ครึ่งองค์ มีอักษรเขียนว่า “อาจารย์เส็ง” ด้านหลังเป็นยันต์ ใต้ยันต์มีอักษรระบุชื่อวัดบางนา พ.ศ.2510 ปี ที่จัดสร้าง และพระผงที่ทำออกมานั้นส่วนใหญ่จะบรรจุตะกรุดสาริกาดอกเล็กๆ ไว้ที่ฐานด้วย เพื่อเสริมพุทธคุณ ส่วนพระผงรุ่นที่โด่งดังมากก็คือ รุ่นขี่หมู ซึ่งลูกศิษย์จัดสร้างแล้วมานำไปให้ท่านปลุกเสก และมอบให้ท่านไว้จำนวนหนึ่ง บรรดานักเล่น พระนิยมกันมาก ส่วนวัตถุมงคลแนวเครื่องรางของขลังยอดนิยมก็คือ หมูทองแดง สร้างปีพ.ศ.2521 สาเหตุ การทำหมูทองแดงนั้นสืบเนื่องมาจากในตำนานกล่าวกันว่า หมูทองแดงตามป่าเขาที่เป็นหมูเขี้ยวตันนั้น ปืนยิงไม่เข้า ท่านก็เลยคิดทำวัตถุมงคลเป็นหมูทองแดงเขี้ยวตันขึ้นมา เล่ากันว่าระหว่างที่ท่านปลุกเสกหมูทองแดงร่วมกับพระสงฆ์ที่นิมนต์มาเจริญ พุทธมนต์อยู่ในโบสถ์นั้น มีชาวบ้านเห็นหมูวิ่งเข้าไปในโบสถ์ทั้งๆ ที่รอบโบสถ์ด้านนอกปิดกั้นอย่างดีไม่ให้ใครเข้าไปรบกวนพระสงฆ์ที่เจริญพระ พุทธมนต์และบริกรรมปลุกเสกวัตถุมงคล หลังเสร็จพิธีคนที่พบเห็นเข้าไปบอก ท่านก็เฉยๆแถมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ไม่ได้พูดอะไรแต่รับฟังเอาไว้ ครั้น เมื่อทำหมูทองแดงออกมาแจกกันเป็นที่ฮือฮาพอสมควร หมูทองแดงที่สร้างนั้นเป็นเนื้อทองแดงผสมโลหะ มีหมูทองแดงตัวใหญ่และเล็ก ข้างลำตัวซ้ายมีอักษรเขียนว่า “วัดบางนา ปทุมธานี 2521” ข้างลำตัวด้านขวาเป็นอักขระขอมมียันต์ที่โคนขาทั้ง 4 ลักษณะเป็นหมูป่าเขี้ยวตัน ต่อมาในปี 2524 ท่านได้จัดสร้างหมู 7 หัวขึ้นมา เป็นลักษณะหมูป่าเขี้ยวตัน คู้ขาหมอบ ที่เรียกว่า 7หัวนั้นหมายถึงหัวของปลัดขิกที่ทำไว้ตามลำตัวมี 7 แห่ง คือที่หัว หาง ที่เพศ และที่ปลายเท้าทั้งสี่ข้าง เป็นเนื้อทองแดงผสมโลหะ ข้างลำตัวด้านซ้ายระบุปี พ.ศ.ที่จัดสร้างคือปี 2524 นอกจากนี้ยังทำหมูจัมโบ้ ขนาดใหญ่ออกมาอีก 1 รุ่น หมูทองแดงรุ่นแรกทำออกมาแค่ 2,500 ตัวเท่านั้น พุทธคุณไปในทางแคล้วคลาดและค้าขาย หลังจากนั้นท่านได้ทำครุฑทองแดง ซึ่งครุฑเป็นสัตว์ที่มีอำนาจจัดทำพิธีพุทธาภิเษกในโบสถ์มีพระอาจารย์มาร่วมบริกรรมพุทธคุณอีก 10 รูป ครุฑทองแดงด้านหลังเขียนว่า “หลวงปู่เส็ง วัดบางนา ปทุมธานี 2522” สลับ กับอักขระขอม ประสบการณ์มีผู้นำติดตัวไปแคล้วคลาดจากอุบัติเหตุทางรถและทางเรือ อีกทั้งยังป้องกันภัยจากงูเงี้ยวเขี้ยวขอดีนัก ต่อมาหลวงปู่จัดสร้างรูปเหมือนหนุมาน เหตุผลที่จัดทำนั้นท่านถือว่าหนุมานเป็นลิงประจำปีวอกและด้วยหนุมานเองก็ เป็นศิษย์ของพระนารายณ์ มีอานุภาพฤทธิ์เดชมากมาย ที่จัดทำไว้มีเนื้อกะไหล่เงินและทองแดง ไม่ระบุปีจัดสร้าง จาก หมู ครุฑ หนุมาน ต่อมาท่านก็สร้าง “พญาเต่าเรือน” เนื้อทองแดงผสมโลหะ และหงส์ทอง หงส์เงิน อีก 1 ชุด เนื้อกะไหล่ทองและกะไหล่เงิน เพื่อเป็นที่ระลึกว่าวัดบางนานั้นเป็นวัดที่ชาวรามัญสร้างขึ้นมา นอกจากวัตถุมงคลรูปแปลกๆแล้วยังสร้างพระกริ่งรูปเหมือน มี ทั้งแบบหลังตรงและหลังค่อม เนื้อทองแดงผสม ,พระปิดตาเนื้อทองเหลืองผสม,เหรียญรูปไข่ รุ่นขี่วัวเนื้อทองแดงผสม,เหรียญจอบเล็กและจอบใหญ่,เหรียญหยดน้ำเนื้อทองแดง ผสม,รูปหล่อเนื้อผงปิดทอง ส่วน รุ่นใหม่ๆก็มีหลายชนิดทั้งนางกวัก พระผงพิมพ์สมเด็จ พระผงปิดตา เรียกว่าการสร้างวัตถุมงคลของท่านนั้นมากมายจริงๆ ถ้าหากวัตถุ มงคลใดไม่ระบุ พ.ศ. เอาไว้ แทบจะไม่ทราบกันเลยว่าหลวงปู่จัดสร้างปีพ.ศ.ไหน เพราะไม่มีการบันทึกเอาไว้และก็ทำออกมามากแบบ สำหรับเงินรายได้ที่มีผู้นำมาบริจาค หรือบูชาวัตถุมงคล ท่านนำไปสร้างวัดวังหิน อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี และทำนุบำรุงหมู่กุฏิเสนาสนะวัดบางนาที่ชำรุดทรุดโทรม สาเหตุ ที่ท่านไปสร้างวัดวังหินอีกแห่งหนึ่งนั้น เนื่องจากสมัยนั้นชาวบ้านยากจนมาก ถิ่นที่อยู่ก็ทุรกันดารเป็นแหล่งหลบซ่อนของเหล่าเสือปล้น ท่าน เกรงว่าชาวบ้านและลูกหลานจะมีนิสัยดุร้ายไปหมด จึงไปสร้างวัดให้เพื่อบรรเทาจิตใจให้ร่มเย็นลง เพื่อให้ธรรมะได้เข้าถึงจิตใจลูกหลานและผู้ที่คิดกลับตัว กลับใจหันมาบวชเรียนทำให้ผู้คนมีศีลธรรมขึ้น พอท่านสร้างวัดวังหินเสร็จ วันที่ 21 ม.ค. 2531 ท่านก็มรณภาพลงที่โรงพยาบาลคุ้มเกล้า ตึกคุ้มเกล้า สิริอายุ 87 ปี ปัจจุบันสังขารที่ไม่เน่าเปื่อยของหลวงปู่เส็ง ยังคงประดิษฐานอยู่ในโลงแก้ว เพื่อให้คนที่ผ่านไปมาได้กราบไหว้ ขอพร รวมทั้งขอโชคลาภ ซึ่งคนสามโคกต่างเชื่อว่าบารมีของท่านยังคงช่วยปกป้องคุ้มครองผู้เคารพศรัทธาและศิษยานุศิษย์อยู่เสมอ

    หมูทองแดงของหลวงปู่ในครั้งนี้นั้นท่านจอธิษฐานจิตให้เป็นไปในทางเมตตามหานิยม ในทางค้าขายและในทางโชคลาภ เพราะฉนั้นจึงดีเด่นในทางค้าขายซื้อง่ายขายคล่องทำอะไรก็จะดีเป็นของหมูๆฉนั้นทุกครั้งที่จะใช่ในการเดินทางหรือนำติดตัวไปค้าขายหรือตั้งบูชาไว้ที่บ้านจะต้องอาราธนานึกถึงบารมีของหลวงปู่เส็ง และกล่าวคำอาราธนาคาถา "หัวใจหมู" เพื่อปลุกให้หมูออกฤทธิ์และอำนาจตามที่คนศรัทรานำไปใช้คาถาหัวใจหมู. นะโมฯ ๓ จบอิ สะ วา สุ สุ สะ วา อิ นะมะพะทะจะ ภะ กะ สะ นะโมพุทธายะ นะชาลีติจันทะรังสี เอ สะ มะ สุ อิทธิฤทธิ ภะวันตุเม
    ใช้ไปในทางติดต่อเจรจา ค้าขาย เป็นโชคลาภ และในขณะที่ท่านนำหมติดตัวไปด้วยก่อนออกจากบ้านหรือเดินทาง จะต้องอาราธนาว่าคาถาหัวใจหมูก่อน เมื่อนำติดตัวไปด้วยนั้นหากจะกินข้าวหรือน้ำหรือสิ่งใด ให้เรียกหรืออธิษฐานในใจว่า "พระยาหมูทองแดง กินข้าวกินน้ำด้วยกันนะ" หมูก็จะได้กินไปกับผู้ใช้ด้วย และถ้าตั้งบูชาที่บ้านก็ให้ตั้งต่ำกว่าพระพุทธมีข้าวแดงผสมใส่ในถ้วยและน้ำ เรียกให้กินด้วยการสวดหัวใจหมู

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จรุ่นทูลเกล้าหลังหมูทองแดงหลวงปู่เส็งวัดบางนา ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

     
  18. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,359
    ค่าพลัง:
    +21,325


    ชีวประวัติ
    ของ พระครูสุวรรณพัฒนกิจ
    (หลวงพ่อขุนทอง สจุจวโร (โหมดตาด))
    ประวัติหลวงพ่อขุนทอง สจุจวโร
    ชีวประวัติ หลวงพ่อขุนทอง สจุจวโร
    หลวงพ่อขุนทอง สจุจวโร เกิดวันศุกร์ที่ ๓ ๑ ตุลาคม ๒๔๗๓ ตรงกลับขึ้น ๑๐ ค่ำ
    เดือน ๑๒ ปีมะ เมีย แม่ชื่อชม (แย้มยิ้ม) พ่อชื่อยัง โหมดตาด เกิดที่คลองสี่บ้านตาปลื้ม ยายสุข
    แย้มยิ้ม ตำบลสามวาตะ วันออก อำเภอมีน บุรี จังห วัดพระนคร มีพี่น้อง ๘ คน หลวงพ่อขุนทองสจุจวโร เป็นบุตรคนที่ ๔ ในจำนวน ๘ คน(ชาย4 หญิง 4)ชีวิตปฐมวัย และชีวิตในวัยหนุ่มหลวงพ่อขุนทอง สจุจวโร เกิดในครอบครัวชาวนาที่อบอุ่นเมื่ิท่านอายุยังเยาว์ได้รับความดูแลเอาใจใส่ จาก โยมพ่อ และ โยมแม่ เป็นอย่างดี และเป็นที่รักเอ็นดูของตาปลื้ม แย้มยิ้ม (ตาปลื้มท่านเป็น หมอ โบร าณ มีวิชาอาคมทาง ไสยศาสตร์ และโห ราศาสตร์ รักษาด้วยวิชาอาคมในการเสกเป่าด้วยเวชมนต์ และมีฐานเป็นตาด้วย (พ่อของโยมแม่) เมื่ออายุตั้งแต่ ๕ ถึง ๑๓ ปีหลวงพ่อจึงถูกฝึกให้เล่าเรียน วิชาอาคมตั้งแต่ยังเล็กๆ และติดสอยห้อยตามตาปลื้มไปรักษาคน ไข้ ที่
    ถูกของทางไสขศาสตร์หรือผีเข้า เพราะ ว่าช่วงนั้นมีคนที่มีวิชาอาคมทางไสยศาสตร์มาก ใช้ในทางที่ถูกที่ดีก็ดี ใช้ในทางผิดก็มี(ลองของ ) หลวงพ่อมีความสน ใจจึงได้เล่าเรียนวิชาจึงได้รับการ
    ถ่ายทอดประสิทธิ์ ประสาทวิชาการต่างๆ ประกอบด้วย คาถาอาคมทางไสยศาสตร์
    โหราศาสตร์และยาสมุนไพรแผนโบราณ จากตาปลื้ม เมื่ออายุคบเกณฑ์ต้องเข้าเรียนหนังสือโยมพ่อก็พามาฝากเข้าเรียน หนังสือที่โรงเรียนวัดสำกระดานโดยโรงเรียนสมัยนั้นไม่มีห้องเรียนเหมือน สมัขนี้ ต้องเรียน หนังสือบนศาลาวัด รวมกัน ปแ ถึง ป๔ ต้องนั่งกลับพื้นกระดานบนศาลาโดยใช้กระดาน ชน วน เป็น แผ่นเขียนเรียนแทน สมุด โดยมีครูโกมลคงกะ พัน ธ์ (ครูแกะ) เป็นครูสอน จนจบประ ถม ๔ (ป.๔ ) จากโรงเรียนวัดลำกะดาน แล้วมาฝืกและร่ำเรียน วิชาอาคมจากตาปลื้มต่อเวลาไปรักษาคน ไ ข้ ท่าน ได้ติดตามไปรักษาคน ไ ข้ด้วย เมื่อตาปลื้มทำพิธีไหว้ครู ก็ได้รับหลวงพ่อเข้าพิธีครอบครูด้วย เท่ากลับว่าหลวงพ่อได้เป็นลูกศิษย์ตาปลื้ม เมื่อตาปลื้มไปรักษาคนไข้ ก็จะเห็นเด็กไว้ผมจุกเปีย นั่งพายหัวเรือ ตาปลื้มนั่งกลางสำเรือ ส่วนหลวงพ่อนั่งพายท้ายเรือเป็นที่เห็นกันประจำชีวิตเข้าสู่ร่มกาสาวพัตรหลวงพ่อขุนทอง สจุจวโร เมื่ออายุ ๑๔ ปี ท่านได้ไปบวชเป็นสามเณร ที่วัดสุทธิสะอาดได้ศึกษาเล่าเรียน วิชาคาถาอาคมไสยศาสตร์ จากพระภิกบุเงิน (น้องโยมแม่) เป็นหมอทางไสยศาสตร์ รักษาด้วยอาคมเสกเป้ามนต์ และสมุนไพร ต่อมามีโรคระ บาทหลวงพ่อได้ติดโรคที่ระบาทป่วยหนักตอนนั้นยังบชเป็นสามเณร โยมพ่อได้รับกลับมารักษาที่บ้าน โดยไปรับหมอเสริม จากคลองแปดวา มาฉีดยารั กษาจนห าย ละหมอเสริมท่าน ได้พูดทำน ายว่าถ้าหลวงพ่อบวชพระแล้วจะ ไม่สึก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙ ได้สึกจากสามเณร กลับมาช่วยทำนาอยู่ กับป้านาคแสงทองแจ่ม (แย้มยิ้ม อยู่ ๒ ปี เมื่อ พ.ศ. ๒ ๔5 ๔ อายุ ๒0 ปีคบเกณฑ์ทหาร ได้ไปเกณฑ์ทหารกับโยมชุ่ม แย้มยิ้ม รุ่นเดียวกันโดยเแจวเรือไปที่ว่าการอำเภอมีนบุรี จังหวัดพระนคร โดยโยมชุ่มจับได้ใบแดงถูกทห าร แต่หลวงพ่อท่าน จับได้ใบดำจึงไม่ถูกทห าร ขากลับจากเกณฑ์ทหารยังได้
    แวะซื้อข้าวโพดคั่วมาฝากน้องๆ ในปีนั้น(พ.ศ. ๒๕๘๔)ท่านได้บวชเป็นพระภิกษุเมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๔๔๔ เวลา ๗.๑๕ น.ที่วัดลำกะดาน ตำบลสามวาตะวันออก อำเภอมีนบุรี จังหวัดพระนคร โดยมีพระครูอุคมนีริยคุณ(หลวงพ่อกล่ำ อุกกโม) วัดพระยาสุเรนทร์ เป็นอุปัชฌายะ พระอธิการบุญมี(ธมมิกข) วัดสุทธิ
    สะอาด เป็นกรรมวาจาจารย์ พระอธิการสั้น ปสนโน (พระครูประสาธนัสุกิจ) วัดตู้บอนเป็นอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "สจุจวโร"การจำพรรษาพรรษาแรก พ.ศ. ๒ ๔๕๔ ท่านแล้วได้ดูแลเก็บกวาด และดูแลข้าวของวัดลำกะดานในปีนั้นมีพ ระบวชจำพรรษาอยู่มากประมาณ ๒๕ รูปแต่ไม่มีเจ้าอาวาส มีกุฏิอยู่ ๒ - ๓ หลัง กุฏิหลังแรกเป็น กุฏิไม้ หลังคามุงจาก (ได้บูรณะเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘ คือกุฏิ หลวงตานัด หรือกุฏิโต๊ะน้ำชาใน ปัจจุบัน) ได้สร้างกุฎที่ ๒ ใต้ถุน กุฏิ ท่านได้ทำเป็นที่เก็บเรือบด เรือเข็มทอง (เก็บไว้ใช้ตอนหน้าน้ำ) และมีศาลาไม้หลังใหญ่ สองชั้นอยู่ด้านหน้าติดกับลำคลองลำกะดาน (สมัยก่อนวัดสภาพเหมือนเกาะกันดานห น้าน้ำ น้ำจะล้อมลอบวัด จะ มาวัด หน้าน้ำต้องมาทางเรือ หน้าแร้งต้องเดินมาด้านหน้าวัดจะมี สะ พานไม้ข้ามมาวัด) พ ระที่บวชแล้วไม่มีกุฏิอยู่ต้อง ไปพักอยู่ที่ศาลาโคยศาลาหลังนี้ ใช้เป็นศาลาทำบุญ และทำพิธีกรรมต่างๆตามเทศการ และที่สำคัญด้านนอกใช้เป็นที่เรียนหนังสือด้วย ปัจจุบันนี้ตาลาหนังนั้นได้ชำรุดถูกเรื้อถอนไปแล้ว ได้มีการสร้างขึ้นมาแทนใหม่ สองชั้น ที่ใช้เป็นศาลาทำบุญ ทำพิธีกรรมต่างๆตามเทศการ และเป็นหอฉันท์(ศาลา สัจจวโร)ทุกวันนี้ต่อม าปี ๒๕ ๐๒ ได้สร้างศาลาห อฉัน หอสวดมนต์ต่อรวมกุฏิที่ ๒ ร วมกัน ด้านใต้ถุน
    กุฏิ ท่านได้ทำเป็นที่เก็บเรือบดเรือเข็มทอง (เก็บไว้ใช้ตอนหน้าน้ำ) ด้านใด้ถุนหอฉัน หอสวดมนต์ ท่านได้เป็นที่เก็บเก็บข้าวของใช้(ถ้วย ชาม ของใช้ต่างๆ)ท่าน ได้ศึกษาวิชาคาถาอาคมทางไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ และตำรายาสมุนไพรแผน
    โบราณที่ได้ร่ำเรียน มาสมัยเป็นเด็กจากตาปลื้ม และ หมอเงิน มีความชำนาญ และศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นท่าน ได้เริ่มรักษาคน ไ ข้ วิธีการรักษาของท่านด้วยการร่ายมนตร์คาถาแล้วเป่าอาคมทางไสยศาสตร์
    รักษาด้วยเสกดิน ดูดถ อน รั กยาด้วยยาสมุน ไพรแผน โบราณ ท่าน ได้ศึกษาทางโหราศาสตร์ ดูฤกษ์ยามต่างๆ เพิ่มเติม จากตำรา และ ศึกษาการคำนวณดูฤกษ์ยามจากปฏิทิน ข้างขึ้นข้างแรม มา
    ผนวกกับการรักษาคนไ ข้ ทำให้มีผู้คนเริ่มรู้จักมากขึ้น เพ ราะผู้คนที่มารักษาจากท่าน ท่าน จะดูวันเวลาที่มารักษา ถ้ำาวันดีเวลาดีฤกษ์ดี ท่านก็จะ รักษาและรั กษาหายทุกร าย ถ้วันเวลาไม่ดี ท่านจะ
    ไม่รักษา หรือท่านจะบอกวิธีให้ไปทำ หรือแนะนำเอาสิ่งของนั้นออกไป คนที่ถูกของ ผีเข้า เป็นอัมพฤตอัมพาต มารักษาห ายแทบทุกราย เหมือนกับมีญาณมองเห็นหรือหยั่งรู้ล่วงหน้า ทำให้มีผู้คนเลื่อมใสศรัทธ ามากขึ้น หลวงพ่อท่านเป็นพระสงฆ์ที่มีเมตตาต่อผู้คนทุกชนชั้นเสมอกัน
    โดยเฉพ าะ ผู้ที่มี ความทุกข์ร้อนเข้าม าขอพึ่ง จะ ได้รับความเมตตาอนุเคราะ ห์อย่างเต็มที่ หลวงพ่อท่านเป็นพระที่พูดน้อยไม่ยึดติดกับความสบาย ถือสมถะดูแลพัฒนาวัด มีอยู่ครั้งหนึ่งโยมได้รับคำ
    บอกเล่าจากเพื่อนว่าหลวงพ่อเป็นพระที่หน้าเลื่อมใส ตั้งใจจะมาทำบุญกับห ลวงพ่อ เมื่อมาถึงก็เห็น พระกำลัง ขนดิน อยู่ก็ถามห าอาจารย์ทอง อยู่ไหนครับท่าน หลวงพ่อท่าน ก็ยิ้ม แล้วท่านก็ถาม
    และสนทนาได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส
    จนเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ ท่าน ได้รับการแต่งตั้งจากพระครูมีนธรรมภาณ (ฉุย) ให้ดำรง
    ตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดลำกะคาน (พระ อธิการขุนทอง สจุจวโร) เป็นเจ้าอาวาสองค์แรกของวัดลำกะดาน เมื่อได้รับแต่งตั้งเป็น เจ้าอาวาสแล้ว ท่านเริ่มพัฒนาปฏิสังขรณ์ดูแลวัดสร้างกุเพิ่มขึ้นมีพระมากแต่มีกุฏิน้อย เพาระช่วงนั้น วัดกันคานมาก ไปมาลำบาก หน้าน้ำต้องใช้เรือใน
    การเดินทาง หน้าแล้งต้องเดินเท้าเท่านั้น หลวงพ่อก็ยังรักษาผู้คนที่เจ็บป่วย หรือมีทุกข์ร้อน ที่มาให้ท่านรักษา เมื่อรักษาห ายก็เกิดศรั ทธา มาสร้างกุฏิ สร้างศาลาท่าน้ำถวาย ท่านได้ศึกษาจากตำราในคัมภีร์ใน พระไตรปีฎก ได้ศึกษาร่ำเรียนฝึกฝนวิชา ที่ได้มาจาก(ตาปลื้ม และหมอเงินซึ่งเป็นตา และ น้า ) วันดีเวลาดีฤกษ์ดี ท่านได้ใช้แท่งดินสอพองเขียนอักขระมนต์ลงบนแผ่นกระดานชน วนแล้วลบเป็นผงองครักษ์ เมื่อเข้าพรรษา วันไหนฤกษ์ดีก็จะเขียนอักขระมนต์ด้วยแป้งดินสีพองทำเป็นผงองครักษ์เก็บไว้ใน หนึ่งพรรษา(สามเดือน )จึงได้ผงองครักษ์ มาสร้างพระสมเด็จนั่งบัวพิมพ์เล็กได้ประมาณ -ร องค์เท่านั้น จึงได้มีพระผงสมเด็จนั่งบัวพิมพ์เล็ก ออกมาแจกตั้งแต่นั้นมาในแต่ละปี ก็จะมีพระผงสมเด็จนั่งบัวพิมพ์เล็กออกมาแจกทุกปี จึงไม่มีรุ่นต่อมาได้สร้างพระผงสมเด็จนั่งบัวพิมพ์ใหญ่เมื่อ พ.ศ. ๒๕ ๑๓, หลวงปู่เมฆ มาอุปสมบท(บวช)เมื่ออายุ ๖๒ ปี ที่วัดนังคัลจันตรี(วัดกลอง ๗) ตำบลลำลูกกา อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี โดยมี พระครูพิทักษ์ ธัญสาร (หลวงพ่อตุ๊ย ) วัดนังคัลจันตรี (วัดคลอง ๗) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการชิด วัดแจ้งลำหิน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ (คู่สวด) และพระอธิการขุนทอง สจุจวโร (หลวงพ่อทอง สัจจวโร ตอนนั้น) วัดสำ
    กะดาน เป็น พระอนุสาวนาจารย์ (คู่สวด) ได้ฉายา "สัจจาสโภ" แล้วขอมาจำพรรษาที่วัดลำกะดาน หลวงพ่อทอง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ (เป็นคู่สวดผู้บวชให้) หลวงปู่เมฆ ถือว่าเป็นอาจารย์หลวงปู่เมฆเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๔ หลวงพ่อท่านได้เริ่มก่อสร้างโบสถ์หลังใหม่ขึ้นเนื่องจากหลังเก่าคับแคบเล็กและเก่า จึงได้โถมที่ด้านทิศเหนือ ขึ้งที่ตรงนั้นเป็นสระน้ำและติดกับโกคังเก็บศพจึงได้เริ่มสร้างโบสถ์หลังใหม่ขึ้น และได้มีเหรียญรุ่นแรกขึ้น (เหรียญ สจุจวโร)โดยมี โยมฮก และเฮียหลิ่ม คลอง๗ ลำลูกกาเป็นผู้สร้างมีเหรียญทองแดงสร้างขึ้นจำนวนเท่าพ.ศ. คือ ๒๕๑๔
    เหรียญ. (มีปั้มเกินเผื่อเสียประมาณ ๕0
    เหรียญ) และมีเหรียญเนื้อเงินสร้างประมาณ 10. เหรียญเศษ สร้างเพื่อเป็นทีระลึกผู้ที่มีจิตศรัทธาในการสร้างพระอุโบสถ จึงได้มีเหรียญรุ่นแรกคือ เหรียญ สจุจวโร (๒๕๑๔) (ข้อมูลการสร้าง ผู้เขียน
    ไม่ทราบจำนวนที่แท้จริงครับ)ในปี ๒๕๒๖ ลุงพิน มาปั๊มเสริมถวายหลวงพ่อ ปี ๒๕๒๖
    ประมาณ ๒0000 เหรีขญ หลังจากนั้นอาจารย์ไวพจนั เอาแม่พิมพ์มาปั๊มทองคำ ๖๓ เหรียญในปี๒๕๔๘ และ สก. วิรัช ได้นำแม่พิมพ์เคิมมาปั๊มทองคำ ๒ เหรียญ และเนื้อเงินอีกกี่เหรียญไม่ทราบ
    จำนวน แต่สังเกตุได้เป็นเหรียญหูตัน ไม่ได้เจาะห่วง ในปี ๒๕๕- และสารวัตรโย ยืมมาปั๊มทองคำในปี ๕๒ หรือ๕๓ ไม่แน่ใจ อีก 6 เหรียญ แต่ 6 เหรียญหลังนี้มีตอกโค๊ตแค่นี้แหละเท่าที่ผู้เขียนรู้มา

    ขอขอบคุณเพื่อนเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระผงรูปเหมือนหลวงพ่อทองหลังพระเจ้าห้าพระองค์ด้านหลังหนุมานให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ


     
  19. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,359
    ค่าพลัง:
    +21,325
    วันนี้ จัดส่ง



    ขอบคุณครับ
     
  20. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,359
    ค่าพลัง:
    +21,325


    หลวงปู่ลี ตาณํกโร
    เจ้าอาวาสวัดหัวตลุกวนาราม (วัดป่าหัวตลุก) ตำบลสระแก้ว อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์
    ประวัติ
    หลวงปู่ลี ตาณํกโร
    เจ้าอาวาสวัดหัวตลุกวนาราม (วัดป่าหัวตลุก)
    ตำบลสระแก้ว อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์
    ปฐมวัย
    หลวงปู่ลี ตาณํกโร มีนามเดิมว่า ลี นามสกุล ถุวัตถี เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2479 ตรงกับวันขึ้น 5 ค่ำ เดือน 2 ปีฉลู ณ บ้านเลขที่ 24 หมู่ที่2 บ้านนาฝายเหนือ ตำบลบัวเงิน อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น โยมบิดาชื่อ นายเคน ถุวัตถี โยมมารดาชื่อ นางอ่อนจันทร์ ถุวัตถี มีพี่น้องร่วมบิดามารดาทั้งหมด 8 คน เป็นชาย 5 คน และหญิง 3 คน ดังนี้
    1. นางอบมา บูรพันธ์ (ถุวัตถี) ถึงแก่กรรม
    2. นายบุญตา ถุวัตถี ถึงแก่กรรม
    3. นางคำภา ม่องคำหมื่น(ถุวัตถี) ถึงแก่กรรม
    4. นายบุญเส็ง ถุวัตถี ถึงแก่กรรม
    5. นายอังคาร ถุวัตถี (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อ-สกุลเป็น นายวิธาน สุชีวคุปต์และเป็นข้าราชการบำนาญมหาวิทยาลัยรามคำแหง)
    6. หลวงปู่พุฒ ฐานิสฺสโร มรณภาพ
    7. หลวงปู่ลี ตาณํกโร สำนักสงฆ์ป่าหัวตลุก
    8. นางบุญนาง ทองสงคราม อาชีพทำนา ปัจจุบันอาศัยที่บ้านนาฝายเหนือ

    เด็กชายลีต้องกำพร้าบิดาในขณะที่อายุได้เพียง 3 ขวบ ซึ่งยังเล็กมาก จึงต้องอยู่ภายใต้การดูแลของโยมมารดาและพี่ๆ ซึ่งท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้ทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลครอบครัว และอบรมสั่งสอนเด็กชายลีมาโดยตลอด จนเมื่ออายุครบเกณฑ์ที่จะต้องเข้าโรงเรียน
    เด็กชายลีเริ่มต้นเรียนหนังสือที่โรงเรียนประชาบาล 19 วัดบ้านนาฝายเหนือ หมู่ที่ 2 ตำบลบัวเงิน อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ซึ่งมีนายสมาน พินิจมนตรีเป็นครูใหญ่ในขณะนั้น จนเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จึงได้ออกจากโรงเรียนแล้วมาช่วยครอบครัวทำนา
    เด็กชายลีเป็นเด็กที่ชอบเล่นสนุก ชอบพูดจาหยอกเย้าเพื่อนฝูง แต่ไม่เคยรังแกเพื่อนหรือทำร้ายใคร แต่กลับเป็นเด็กที่ไม่ชอบพูดจาโอ้อวด ไม่ชอบมีเรื่องชกต่อยและเป็นเด็กที่รู้จักกลัวในบาปบุญคุณโทษ โดยเฉพาะเรื่องการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ที่ได้รับอิทธิพลมาจากการฟังนิทานสอดแทรกคำสอนจากหลวงปู่จันดี ซึ่งเป็นตาของเด็กชายลี ทำให้เด็กชายลีซึมซับธรรมะมาโดยไม่รู้ตัว หล่อหลอมให้เด็กชายลีมีจิตใจที่ใฝ่ในทางธรรมและยังได้คอยชี้แนะเพื่อนๆไม่ให้ทำบาปอีกด้วย
    เหมือนโชคชะตากำหนดให้เด็กชายลีต้องมีชีวิตต่อไปเพื่อสืบสานพระพุทธศาสนา ทำให้แคล้วคลาดจากเหตุการณ์ที่เกือบคร่าชีวิตไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเด็กที่อยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็น
    วันหยุดเรียนวันหนึ่ง เพื่อนๆได้ชักชวนเด็กชายลีไปยังทุ่งนาเพื่อเที่ยวเล่นตามประสาเด็ก และอาจจะได้กบหรือเขียดไปประกอบอาหารเป็นของแถม ขณะที่กำลังเดินอยู่บนคันนานั้น สายตาของเด็กชายลีก็เหลือบไปเห็นรูบนพื้นดิน ด้วยความสงสัยว่าจะมีกบหรือเขียดอยู่ในรู จึงเอามือขวาล้วงเข้าไป แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดคิด เมื่อสัตว์ที่อยู่ในรูนั้นไม่ใช่กบหรือเขียด หากเป็นงูเห่าที่ฉกกัดนิ้วกลางของเด็กชายลีทันที
    ในสมัยนั้นยังไม่มีโรงพยาบาล ครอบครัวจึงต้องให้หมอยาพื้นบ้านมาทำการรักษา แต่พิษงูเห่าแผ่ซ่านทำให้เด็กชายลีเจ็บปวดจนทนแทบไม่ไหว แต่เหมือนปาฏิหาริย์ เด็กชายลีมีอาการทุเลาดีขึ้นและหายเป็นปกติในที่สุด เหลือเพียงนิ้วกลางที่หงิกงอไม่สามารถเหยียดตรงได้เหมือนนิ้วอื่นเป็นร่องรอยมาจนถึงปัจจุบันนี้เท่านั้น การรอดชีวิตดังกล่าวจึงเหมือนเป็นการสะสมบารมีธรรมมาเพื่อบวชเรียนในพระพุทธศาสนา ดังคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ตรัสไว้ว่า “สัตว์ผู้มีภพในที่สุด จะไม่เป็นอันตรายใดๆทั้งสิ้น ถ้ายังไม่บรรลุมรรคผลนิพพานเสียก่อน”เข้าสู่ร่มกาสวพัสตร์
    ออกจากบ้านมุ่งหน้ามาสู่วัด
    เพราะวัดดัดอารมณ์ที่งมโง่
    ยอมเป็นวัวเขาหลุดดุจคนโซ
    หมดพยศ หมดโก้ หมดเกียรติงาม
    ออกจากบ้านเข้าป่าสงบเงียบ
    เพื่อฝึกจิตให้เรียบดังมุ่งหมาย
    ออกจากบ้านไปหาที่ไม่มีตาย
    จิตกับกายก็ต้องพรากจากกันเอย

    เมื่อเติบใหญ่และเจริญวัยจนอายุสมควร เด็กชายลีจึงได้ตัดสินใจบรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุประมาณ 19 ปีเพื่อศึกษาธรรมะและพระปริยัติธรรม ที่วัดโพธิ์ชัย บ้านนาฝายเหนือ ซึ่งเป็นวัดประจำหมู่บ้าน โดยมีพระอาจารย์บุญมา กลฺลญาโณ น.ธ.เอก เป็นเจ้าอาวาสและเป็นครูผู้สอนพระปริยัติธรรม
    สามเณรลีได้ศึกษาหลักสูตรนักธรรมตรี ต่อเนื่องถึงนักธรรมโทแต่ตัดสินใจไม่ศึกษาต่อในชั้นนักธรรมเอก เนื่องจากต้องการที่จะศึกษาวิปัสสนากรรมฐานมากกว่าการเรียนปริยัติธรรมและภาษาบาลีที่กำลังตื่นตัวกันมากในสำนักเรียนวัดโพธิ์ชัย ดังนั้นในปี พ.ศ. 2502 สามเณรลีในขณะนั้นจึงได้ออกเดินทางจากวัดโพธิ์ชัยไปอยู่ที่ป่าช้าบ้านหนองโนเพื่อศึกษาและปฏิบัติธรรมตามแนวทางของตัวเอง

    การปฏิบัติธรรม
    พระราชาในกลดน้อย
    กลดหนึ่งคันนี้หรือคือปรางค์มาศ
    แม้เสื่อขาดเปรียบที่นอนอันอ่อนนุ่ม
    มีมุ้งห้อยย้อยยานต่างม่านคลุม
    มีบาตรอุ้มเปรียบเช่นเป็นโรงครัว

    การเบนเข็มชีวิตในร่มกาสวพัสตร์สู่พระนักปฏิบัติไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล สืบเนื่องจากวันหนึ่งหลังจากที่เสร็จสิ้นจากการเรียนการสอบนักธรรม สามเณรลีได้กลับไปเยี่ยมครอบครัว และได้รับรู้ข่าวร้ายที่สะเทือนจิตใจเป็นอย่างมาก นั่นคือ พี่สาวได้เสียชีวิตจากการคลอดลูก
    ความสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักโดยมิได้คาดฝัน ทำให้สามเณรลีคิดถึงสัจธรรมของชีวิตข้อหนึ่งว่า “สิ่งใดมีเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมต้องดับไปเป็นธรรมดา” หลังจากนั้นสามเณรลีได้เดินทางด้วยเท้าเปล่ากลับวัดโพธิ์ชัยด้วยระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร เป็นการเริ่มต้นสละภาระของชีวิต และได้ออกเดินทางสู่ป่าช้าบ้านหนองโนในปี พ.ศ. 2502
    ก่อนที่จะออกเดินทางนั้น สามเณรลีได้พูดกับโยมมารดาและญาติพี่น้องอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “เบิ่งดูหน้าข้อยให้คักๆเด้อ ครั้นข้อยบ่ได้เห็นธรรม สิบ่มาให้พวกเจ้าเห็นหน้าอีก” คำพูดนี้เป็นเหมือนการให้สัจจะปฏิญาณเพื่อที่จะเริ่มต้นศึกษาและปฏิธรรมอย่างจริงจังของหลวงปู่ลี
    หลวงปู่ลีได้เดินทางมาอยู่ที่ป่าช้าบ้านหนองโน ห่างจากบ้านนาฝายเหนือประมาณ 3 กิโลเมตรและได้ถวายตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อทองสุข สิริจนฺโท วัดป่าบ้านหนองโน อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น
    หลวงพ่อทองสุขเป็นพระปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอยู่ป่าช้าฉันเอกามื้อเดียว นั่งสมาธิ เดินจงกรมภาวนาเป็นหลัก เป็นที่รู้จักและเคารพนับถือของชาวบ้านโดยทั่วไป เพราะท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่คำดี ปภาโส วัดถ้ำผาปู่ อำเภอเมือง จังหวัดเลย ซึ่งเป็นศิษย์สายบูรพาจารย์ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
    ภายหลังหลวงปู่ลีได้ขาดการติดต่อกับญาติพี่น้อง และไม่มีใครทราบว่าท่านได้บวชเป็นพระภิกษุตั้งแต่เมื่อใด แต่ญาติพี่น้องก็มิได้เป็นห่วงเนื่องจากเห็นว่าท่านได้เดินบนเส้นทางที่ถูกต้องและงดงามดีแล้ว รับรู้แต่เพียงว่าหลวงปู่ลีได้เดินธุดงค์ไปจำพรรษาตามสถานที่ต่างๆ เช่น วัดป่าบ้านไร่ย็อก อำเภอศรีธาตุ จังหวัดอุดรธานี และอีกหลายแห่งในจังหวัดนครพนม ท่านเป็นพระนักปฏิบัติที่ออกเดินทางจาริกแสวงบุญไปเรื่อยๆ ไม่อยู่อาศัยประจำที่ อันแสดงถึงความไม่ยึดติด ดังที่ท่านได้เคยเล่าให้บรรดาศิษยานุศิษย์ฟังดังนี้
    ปีพ.ศ. 2503 หลวงปู่ลีซึ่งมีอายุได้ 21 ปีได้ออกเดินธุดงค์ไปเรื่อยๆ จนได้มีโอกาสกราบศึกษาธรรมะจากหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ที่อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ซึ่งมีอายุประมาณ 59 ปีในขณะนั้น
    ปี พ.ศ. 2504 เมื่อหลวงปู่ลีเดินธุดงค์จนถึงอำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ มีโยมถวายปัจจัย แต่หลวงปู่ลีไม่รับ เนื่องด้วยหลวงปู่มีปฏิปทาไม่จับเงินทอง โยมจึงถวายเป็นตั๋วรถไฟ หลวงปู่ลีจึงขึ้นรถไฟเดินทางไปถึงเพียงจังหวัดอุตรดิตถ์เท่านั้น หลังจากนั้นก็เดินธุดงค์ต่อไปจนถึงจังหวัดเชียงใหม่ และจำพรรษาที่ถ้ำปากเปียง ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับถ้ำผาปล่อง ในอำเภอเชียงดาว โดยในหนังสือบูรพาจารย์ได้บันทึกถึงความสำคัญของถ้ำปากเปียงเอาไว้ว่า
    “เมื่อท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้พักบำเพ็ญธรรมที่ถ้ำเชียงดาวพอควรแล้ว ท่านได้จาริกผ่านมาบริเวณวัดถ้ำปากเปียง ต่อมาท่านได้ปรารภกับหลวงปู่แหวนว่า ถ้ำปากเปียงเป็นถ้ำที่เป็นมงคล มีพระอรหันต์มาดับขันธ์ที่นี้”
    หลวงปู่ลีได้จำพรรษาอยู่ที่ถ้ำปากเปียงอยู่แต่เพียงรูปเดียว ท่ามกลางสภาพที่เป็นป่าเขา เงียบสงัดและเหมาะสมแก่การภาวนายิ่งนัก และท่านได้ถวายตัวเป็นศิษย์หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง ซึ่งเป็นพระป่ากรรมฐานสายบูรพาจารย์ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และหลวงปู่แว่น ธนปาโล (วัดถ้ำพระสบาย อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง) ขณะที่หลวงปู่ลีมีอายุได้ 24 ปี หลวงปู่สิมมีอายุได้ประมาณ 59 ปี และหลวงปู่แว่นมีอายุได้ประมาณ 50 ปีเศษ
    หลวงปู่ลีมีโอกาสได้ศึกษาพระธรรมและรับใช้หลวงปู่สิมอย่างอดทน ไม่เห็นแก่ความยากลำบากของการเดินทางสู่ถ้ำผาปล่องที่ต้องปีนป่ายเชิงเขา เมื่อฝนตกทำให้พื้นลื่น ก็ทำให้ไถลลงมา สองข้างทางก็เป็นป่าเขารกชัฏ ไม่ได้มีไฟฟ้าส่องสว่างหรือเป็นทางคอนกรีตสะดวกสบายอย่างเช่นทุกวันนี้
    หลวงปู่ลีจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำปากเปียงและศึกษาพระธรรมจากหลวงปู่สิมและหลวงปู่แว่นได้ 1 ปี โดยหลวงปู่สิมได้กล่าวแก่หลวงปู่ลีอันมีนัยยะเป็นปริศนาธรรมเอาไว้ในคราวที่หลวงปู่ลีสรงน้ำถวายหลวงปู่สิมว่า “คุณลี ภาวนาดีๆ ปฏิบัติตัวให้เหมือนพระพุทธรูป”
    ปี พ.ศ. 2505 ปฏิบัติธรรมที่อำเภอหนองบัวโคก จังหวัดชัยภูมิ
    ปี พ.ศ. 2506 ปฏิบัติธรรมที่อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี
    ปี พ.ศ. 2507 ปฏิบัติธรรมที่เขาช่องลม จังหวัดลพบุรี
    ระยะเวลาหลังจากนี้ไม่มีใครทราบว่าหลวงปู่ลีได้ออกเดินธุดงค์ไปยังสถานที่ใดบ้าง เนื่องจากปกติแล้วหลวงปู่ลีไม่ค่อยได้อธิบายประวัติส่วนตัวมากนัก ด้วยอุปนิสัยที่ไม่ชอบพูดจาโอ้อวดนั่นเอง
    ปี พ.ศ. 2511-2512 หลวงปู่ลีได้เดินทางไปหาพระพี่ชาย (พ่อใหญ่วิธาน) ซึ่งได้บวชเป็นพระสงฆ์อยู่ในขณะนั้นที่วัดโพธิสมภรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องขอญัตติเป็นธรรมยุติกนิกาย ซึ่งพระพี่ชายได้แนะนำไปว่าให้ไปญัตติเป็นธรรมยุติกนิกายที่วัดสุรพิมพาราม ตำบลตูมใต้ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี เนื่องจากมีญาติผู้ใหญ่ฝ่ายโยมแม่ซึ่งได้แก่คุณน้าอาจารย์โฮม เป็นผู้อุปถัมภ์วัดอยู่ รวมทั้งมีพระอุปัชฌาอาจารย์ที่เคร่งครัด เคารพพระธรรมวินัย ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ ดังนั้นในวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2512 เมื่อหลวงปู่ลีมีอายุได้ 32 ปีเศษ จึงได้ขอญัตติจตุตถกรรมใหม่เป็นพระสงฆ์ในธรรมยุตินิกายที่วัดสุรพิมพาราม โดยมีพระครูสารเมธากร (ลูกศิษย์ท่านเจ้าคุณประสาทสารคุณ วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสมุห์ชนเป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระครูคุณสารวิจิตรเป็นพระอนุสาวนาจารย์ โดยได้รับฉายาว่า “ตาณํกโร” ซึ่งมีความหมายว่า ผู้ต่อสู้เอาชนะซึ่งกิเลส นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พ่อใหญ่วิธานได้ให้ข้อมูลอีกว่า ภายหลังจากที่ท่านได้ลาสิกขามาใช้ชีวิตเป็นฆราวาสในทางโลก มีครอบครัว ประกอบอาชีพเป็นอาจารย์สอนนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงแล้ว ได้มีโอกาสไปกราบหลวงปู่ลี แล้วก็ได้รับคำตักเตือนให้สติจากหลวงปู่ลีว่า “พี่กำลังหลงระเริงไปตามวิถีโลก” คำเตือนนี้พ่อใหญ่วิธานได้จดจำไม่รู้ลืมมาจนถึงทุกวันนี้
    ปี พ.ศ. 2516 ปฏิบัติธรรมที่จังหวัดอุดรธานี และจังหวัดหนองคาย ซึ่งในขณะนั้นถือเป็นพื้นที่สีแดง ในช่วงเวลาที่รัฐบาลกำลังปราบปรามผู้นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์
    ปี พ.ศ. 2520- พ.ศ. 2524 ปฏิบัติธรรมถวายตัวเป็นศิษย์ของหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย และได้ปฏิบัติธรรมตามสถานที่ต่างๆในละแวกใกล้เคียงวัดหินหมากเป้ง เช่น ถ้ำฮ้าน ถ้ำพระบท วัดลุมพินี เป็นต้น โดยเมื่อถึงวันลงอุโบสถ ท่านก็จะมาลงอุโบสถที่วัดหินหมากเป้ง โดยมีเพียงแคร่ไม้ กระท่อมพอกันแดด กันฝน ไม่มีไฟฟ้าให้แสงสว่าง ใช้น้ำฝน หากอยู่ในป่าช้าก็ใช้น้ำที่ขังตามหลุมบ่อในป่าช้านั้นเอง แตกต่างจากกุฏิที่พักอาศัยในทุกวันนี้ที่เหมือนพระเศรษฐี ดังที่หลวงปู่ลีมักกล่าวแล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเสมอ
    ปี พ.ศ. 2523 ปฏิบัติธรรมพักอาศัยที่ป่าช้าแห่งหนึ่ง ได้ฝันไปว่ามีไฟไหม้พระพุทธรูป เมื่อรุ่งเช้าญาติโยมที่มาทำบุญได้นำหนังสือพิมพ์มาถวาย จึงได้ทราบข่าวเรื่องพระสงฆ์สุปฏิปันโนสายบูรพาจารย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้แก่หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ หลวงปู่วัน อุตฺตโม หลวงปู่สิงห์ทอง ธมฺมวโร พระเถระและพระนวกะรวม 7 รูป ประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตกมรณภาพทั้งหมด ที่ตำบลคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ซึ่งหลวงปู่ลีเคยได้มีโอกาสกราบหลวงปู่จวนมาแล้ว
    บางครั้งในระหว่างการธุดงค์จากภาคเหนือสู่ภาคอีสานนั้น หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไกล จนค่ำมืดแล้วไม่พบหมู่บ้าน ท่านจึงปักกลดพักแรมข้างทางซึ่งเป็นป่าทึบ พอรุ่งเช้าได้ยินเสียงไก่ขันจึงรู้ว่ามีหมู่บ้านอยู่ใกล้ๆ จึงได้ออกบิณฑบาต และถามถึงสถานที่แห่งนั้น จึงได้รู้ว่าท่านได้ปักกลดที่สี่แยกหนองบัวโคก อำเภอจตุรัส จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งต่อมาโยมก็ได้นิมนต์ให้หลวงปู่ลีจำพรรษาอยู่ที่นี่ด้วยความศรัทธา และหลวงปู่ก็รับนิมนต์ อันแสดงถึงคุณลักษณะของการเดินธุดงค์ที่ไม่ยึดติดในสถานที่ใดๆของหลวงปู่ลีนั่นเอง
    ปี พ.ศ. 2524 ร.ต.อ. กัมปนาท ทองคำพันธ์ สภ.อ.ลานสัก จังหวัดอุทัยธานี (ยศและตำแหน่งในขณะนั้น) ได้จัดซื้อที่ดินมา 1 แปลงเพื่อจัดสร้างวัด โดยได้ปรึกษากับพระเถระผู้ใหญ่เกี่ยวกับการที่จะกราบนิมนต์พระสงฆ์ที่มีวัตรปฏิบัติดีงามมาจำพรรษา ในที่สุดก็ได้รับคำแนะนำให้นิมนต์หลวงปู่ลี ตาณํกโร และหลวงปู่ถวิล สุจิณฺโณ(วัดป่าศรีอุดมรัตนาราม ตำบลทมนางาม อำเภอโนนสะอาด จังหวัดอุดรธานี) มาจำพรรษา โดย ร.ต.อ. กัมปนาท ทองคำพันธ์ได้เดินทางไปนิมนต์ด้วยตนเอง แต่หลวงปู่ทั้งสองรับนิมนต์มาจำพรรษาได้ไม่นานนัก ก็แยกย้ายกันเดินธุดงค์ต่อไป โดยหลวงปู่ลีได้เดินธุดงค์มาปักกลดพักอาศัยที่ป่าหัวตลุก อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ ในช่วงเวลาก่อนเข้าพรรษา 16 วัน
    สภาพป่าหัวตลุกในขณะนั้นเป็นพื้นที่แน่นขนัดไปด้วยป่ามะพร้าว แต่หลวงปู่ลีก็ตั้งจิตมั่นที่จะปักกลดปฏิบัติเจริญวิปัสสนากรรมฐานที่นี่ ณ บริเวณต้นมะม่วงใหญ่ (ซึ่งยังคงปรากฏอยู่ในปัจจุบันในบริเวณด้านหลังกุฏิของหลวงปู่ลี) ซึ่งป็นที่ดินในกรรมสิทธิ์ของนายเล็ก ชื่นสุขุม ต่อมาเมื่อญาติโยมชาวบ้านทราบข่าวว่ามีพระธุดงค์มาปักกลด จึงได้ร่วมกันปลูกสร้างกระท่อมมุงหลังคาแฝกให้หลวงปู่ลี
    ในช่วงแรกที่หลวงปู่ลีมาปักกลดที่ป่าหัวตลุก ได้มีพระผู้ปกครองเขตตำบลลาดยาว เดินทางมาตรวจสอบโดยสอบถามชาวบ้านว่าหลวงปู่ลีได้เรี่ยไรเงินทองจากชาวบ้านหรือไม่ มีการกระทำผิดกฏของสงฆ์ประการใดบ้างหรือไม่ เพราะในขณะนั้นสภาพสังคมเต็มไปด้วยผู้ไม่ประสงค์ดีต่อประเทศชาติแอบแฝงมาในรูปแบบต่างๆ เป็นความจำเป็นที่พระผู้ปกครองจะต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวด แต่คำตอบที่ได้รับจากชาวบ้านคือ หลวงปู่ลีดำรงตนเป็นพระสงฆ์ที่มีวัตรงดงามและน่าศรัทธา โดยหลวงปู่ลีได้เคยจดบันทึกถึงเหตุการณ์ในขณะนั้นเอาไว้ว่า
    “การมาสร้างวัดครั้งแรกก็มีปัญหามากมาย บางคนเขาก็ว่าอาตมาเป็นคอมมิวนิสต์ก็มี พวกญาติโยมเขาก็พูดไปตามกิเลสของเขานั้นเอง ญาติโยมเขาเห็นเราเป็นของแปลก เป็นคนแปลก เขาว่าพระอะไรไปอยู่ป่า พระต้องอยู่วัด ตอนแรกๆสถานที่อาตมาอยู่นี้เป็นป่า ญาติโยมปลูกกระท่อมให้อยู่ พอหลายปีไปญาติโยมเขาก็ค่อยรู้ไปเอง ครั้งแรกญาติโยมเขายังไม่รู้ ถ้าเขารู้เขาก็มีความภูมิใจที่เขาได้อุปัฏฐากเรา เขาว่าหลวงพ่อมาอยู่ทางนี้เป็นโชคดีของผม เป็นโชคดีของฉัน คนเราจะรู้ว่าคนร้ายคนดี ต้องอยู่ไปนานๆจึงรู้ ครั้งแรกก็ย่อมไม่รู้ คนเห็นกันครั้งแรกจะว่าดีเลยใช้ไม่ได้”
    ต่อมาหลวงปู่ลีได้ตั้งสำนักสงฆ์ป่าหัวตลุกขึ้นบนเนื้อที่เพียงประมาณ 2 ไร่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงปัจจุบัน ญาติโยม ศิษยานุศิษย์ได้ร่วมกันทำบุญจัดซื้อที่ดินเพิ่มเติมจนมีเนื้อที่รวมทั้งสิ้น 38 ไร่ 1 งาน 44 ตารางวา และอยู่ในระหว่างขั้นตอนขอจัดตั้งเป็นวัดจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
    ตอกย้ำความเป็นพระนักปฏิบัติที่มากด้วยบารมีและมุ่งมั่นเพื่อความหลุดพ้นจากวัฏสงสาร
    พระอาจารย์อุทัย ฌานุตฺตโม (พระอาจารย์ติ๊ก) วัดป่าบ้านห้วยลาด อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย ได้เมตตาเล่าประวัติการปฏิบัติธรรมร่วมกับหลวงปู่ลี ตาณํกโร เมื่อครั้งเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่โดยผ่านจังหวัดนครสวรรค์ ให้กับคณะศิษย์ได้ฟังเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ณ ภัตตาคารเล่งหงส์ว่า
    ประมาณปีพ.ศ.2520 หลวงปู่ลีได้ปฏิบัติธรรมถวายตัวเป็นศิษย์ของหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชีงใหม่ จังหวัดหนองคาย โดยได้ศึกษาปฏิบัติก่อนหน้าพระอาจารย์อุทัย ในช่วงที่อยู่ในวัดหินหมากเป้งนั้น มีหลายครั้งที่หลวงปู่ลีออกเดินจาริกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ เช่น วัดลุมพินี วังน้ำมอก วัดป่าราชนิโรธเทสรังสี ถ้ำฮ้าน ถ้ำพระบท ฯลฯ จนเมื่อหลวงปู่เทสก์จะรื้อศาลาไม้เพื่อก่อสร้างเป็นศาลาคอนกรีต หลวงปู่ลีก็ได้ไปกราบลาขออนุญาตหลวงปู่เทสก์ออกธุดงค์ไปยังป่าเขาต่างๆ หลวงปู่เทสก์ก็ได้อนุญาต ตั้งแต่นั้นมาพระอาจารย์อุทัยก็ไม่ได้เจอกับหลวงปู่ลีอีกเลย รู้แต่เพียงว่าหลวงปู่ลีเคยปฏิบัติธรรมถวายตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพลอำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ วัดเจติยาคีรีวิหาร อำเภอศรีวิไล จังหวัดหนองคาย เป็นต้น
    พระอาจารย์อุทัยยังได้เล่าอีกว่า ปกติหลวงปู่ลีเป็นพระสงฆ์ที่พูดน้อย ไม่ค่อยชอบเล่าเรื่องอะไร เยือกเย็น ไม่ชอบมีปากเสียงกับใคร ไปเร็ว มาเร็ว ไม่ยึดติด ชอบวิเวก มุ่งมั่นปฏิบัติละกิเลส ไม่สะสม มุ่งเน้นการพิจารณากายและจิต เพื่อความหลุดพ้นจากวัฏสงสาร เมื่อครั้งที่ร่วมปฏิบัติธรมกับหลวงปู่ลี เคยฉันข้าวลิงด้วยกัน กล่าวคือมีข้าวนิดเดียวเท่านั้น แล้วต้องนำน้ำเปล่าเทลงไปให้ผสมกับข้าวในบาตรให้ข้าวพองจะได้มีปริมาณมากขึ้น จะได้อิ่มท้องไม่เกิดทุกขเวทนาขณะปฏิบัติธรรม จากที่เคยอยู่ร่วมกันก็ต่างคนต่างอยู่ กุฏิใครกุฏิมัน ไม่มีการพูดคุยสุงสิงนินทาใคร ต่างมุ่งปฏิบัติรีบเร่งความเพียรแต่เพียงอย่างเดียว จากกันไปนานเกือบ 30 ปี มาพบกับหลวงปู่ลีอีกครั้งเมื่อคราวก่อนสร้างศาลาใหญ่ วัดป่าบ้านห้วยลาด อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย เมื่อปีพ.ศ 2549 นี้เอง
    หลวงปู่เถื่อน กนฺตสีโล วัดพระธาตุหินเทิน อำเภอแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ได้เมตตาให้สัมภาษณ์แก่นายประทิน พรมชาติ เจ้าของอู่ศุภชัยรุ่งเรืองการช่าง อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ และนายวิสุทธิ สินเพ็ง รองปลัดเทศบาลนครสวรรค์ เมื่อวันที่ 9 เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2551 เวลา 10.00 น. ณ วัดพระธาตุหินเทิน ซึ่งได้เรียบเรียงจากการถอดเทปคำสัมภาษณ์ได้ดังนี้ว่า ท่านเคยนิมิตเห็นหลวงปู่ลีขณะกำลังปฏิบัติธรรม
    “ในปี พ.ศ. 2545 ซึ่งเป็นปีแรกที่อาตมามาอยู่ที่นี่ ก็ไม่ได้เจอท่านหรอก เพราะตัวเองประสบการณ์ก็ยังมีน้อยก็เลยมาปฏิบัติ ก็เกิดอัศจรรย์ขึ้นในเวลาประมาณ 3 ทุ่ม ตอนอาตมาเดินจงกรม (ณ ป่าที่วัดพระธาตุหินเทิน) เห็นเป็นลำแสงพุ่งขึ้นมาจากในป่า มองเห็นด้วยตาเปล่า อาตมาก็ว่าเอ๊ะ! มีอะไรมาทำให้เกิดขึ้นนะ
    ปี พ.ศ. 2547 ก็เลยมานิมิตขึ้นมาอีกว่าไปเจอพระรูปร่างสูงขาว เห็นท่านเดินจงกรมอยู่รอบเขา อาตมาก็ไม่ได้ใส่ใจ ท่านก็เดินไปเดินมา พอเห็นเป็นพระท่านก็หายตัวไปในก้อนหินที่ในป่า ในนิมิตนะ คืออาตมาก็ไม่ได้พูดอะไร เหมือนหลวงปู่ลีท่านแสดงอยู่ หรือมาสอนอะไรก็ไม่รู้นะ ท่านก็เดินไปเดินมาแล้วหายเข้าไปนั่งสมาธิในก้อนหิน ท่านก็ไม่พูดอะไร ท่านก็นั่งดู เราก็ดูท่าน ท่านก็เลยนอน ในนิมิตท่านเป็นอัมพาตนะ ท่านเป็นอัมพาตนี้ท่านก็ดูสดใสดี อาตมาก็คิดว่าท่านเป็นอัมพาตยังไงเดินจงกรม หายไปหายมาได้ อาตมาก็เลยเกิดศรัทธาก็เลยเข้าไปกราบแล้วนมัสการพูดคุยกับท่าน
    หลวงปู่เถื่อน “หลวงพ่อเป็นอีหยัง”
    หลวงปู่ลี “ผมพิการ เป็นมานานแล้ว”
    หลวงปู่เถื่อน “หลวงพ่อไม่มีคนดูแลแล้วหลวงพ่ออยู่ยังไง”
    หลวงปู่ลี “ผมก็อยู่ยังงี้ของผมก็อยู่อย่างสบายๆผมไม่ได้ยึดมั่นในสังขารผมก็ สบายดี”
    หลวงปู่เถื่อน “เวลากินอาหาร ฉันอาหารล่ะ ใครเอามาให้”
    หลวงปู่ลี “ก็ฉันเท่าที่มี บางทีก็ไม่ฉัน ผมก็อยู่อย่างงี้ของผม” (แล้วท่านก็พูดในเรื่อง ธรรมะว่าสังขารร่างกายเป็นอย่างนั้นอย่างนี้)
    หลวงปู่เถื่อน “หลวงพ่อปฏิบัติธรรมไปถึงไหนแล้วล่ะ”
    หลวงปู่ลี “ผมสามารถรู้นะ”
    หลวงปู่เถื่อน “รู้อะไรล่ะหลวงพ่อ”
    หลวงปู่ลี “รู้ว่าคนจะไปสวรรค์น่ะ”
    หลวงปู่เถื่อน “อ้าว รู้ได้อย่างไร”
    หลวงปู่ลี “คนที่จะไปสวรรค์น่ะต้องผ่านผม”
    หลวงปู่เถื่อน “งั้นผมจะรู้ได้ไงว่าที่ไปสวรรค์ต้องมาผ่านหลวงพ่อ”
    หลวงปู่ลี “มีอยู่ 2 คนในหมู่บ้านที่ท่านไปอยู่ในจังหวัดเพชรบูรณ์ จะได้ไปสวรรค์” (แล้วท่านก็ได้บอกชื่อคนที่จะได้ไปสวรรค์)
    หลวงปู่เถื่อน “หลวงพ่อรู้ได้ยังไง”
    หลวงปู่ลี “เขามาหาผม”
    ..........................................................................
    อาตมาได้ถามในนิมิตต่อว่าหลวงพ่ออยู่ที่ไหน ท่านบอกว่าเป็นคนขอนแก่น ท่านมีรูปร่างสูงขาว เห็นท่านก็ยังไม่รู้หรอกว่าเป็นหลวงพ่อลี ก็เกิดนิมิตอันนี้แหละ ว่าเอ้อ! นิมิตเราต้องมีพระมาหาเรา ไม่รู้ว่าเป็นดวงจิตหลวงพ่อมาหาอาตมาบ่อยมาก มาครั้งแรกบอกว่ามาเที่ยวดูเห็นเธอ อาตมาก็ถามว่าหลวงพ่ออยู่วัดไหน ท่านก็ตอบว่าวัดหัวตลุกนั่นแหละ หลวงพ่อมาดูเธอนั้นแหละ มาดูวัดทุ่งหินเทิน....
    หลวงพ่อลีมาให้ธรรมะ เมื่ออาตมาได้เห็นท่านองค์จริงๆก็เห็นว่าร่างที่เห็นกับในนิมิตเหมือนกันกับท่าน จึงถามท่านว่าหลวงพ่ออยู่ขอนแก่นหรือ ท่านก็บอกว่าหลวงพ่ออยู่ขอนแก่น ได้เห็นมหัศจรรย์ก็เห็นหลวงพ่อลีนี่แหละมาปรากฏให้เห็นในนิมิตก่อน
    อาตมาได้มีโอกาสไปกราบหลวงพ่อลีเมื่อปี พ.ศ.2547 ตอนนั้นยังอยู่กุฏิเก่า โดยโยมพาไป ไปเจอท่านท่านก็ไม่ค่อยพูด ไปนั่งรออยู่ 1-2 ชั่วโมงกว่าท่านจะออกมาจากกุฏิ อาตมาก็กราบท่าน ก็เป็นองค์เดียวกับในนิมิตเลย แล้วก็บอกว่าจะมาปฏิบัติธรรมะกับหลวงพ่อ และเล่านิมิตให้หลวงพ่อฟังอย่างที่เล่ามานี่แหละ ถ้าอาตมาไม่นิมิตก็ไม่รู้ ตั้งแต่มาก็ไม่ได้นิมิตถึงใครเลย ได้กราบหลวงพ่อลีคนเดียวนี่แหละ หลวงพ่อก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ บอกว่าไม่มีใครมาพูดอย่างอาตมา แล้วบอกว่าอาตมาพูดถูกแล้ว ไม่ได้สอนอะไรมาก


    อาตมาได้นิมิตถึงหลวงพ่อลีก็ป็นสิ่งดี เพราะอาตมาก็ห่างจากครูบาอาจารย์มานาน สิ่งที่เห็นในนิมิตทำให้เห็นถึงสัจธรรม หลวงพ่อลีได้แสดงให้เห็นว่าเดินจงกรม นั่งสมาธิ เห็นตอนแรกก็ไม่ศรัทธา เพราะคิดว่าเป็นพระธรรมดา พอท่านแสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติก็รู้สึกศรัทธาท่าน เชื่อมั่นว่าพระองค์นี้ต้องมีอะไรดีแน่ๆ จึงเข้าไปกราบแล้วถามท่านถึงร่างกายว่าเป็นอะไร ท่านตอบว่ามันเป็นสภาพของสังขาร เราไม่มีอำนาจเหนือมัน ท่านพูดในนิมิตอย่างนี้”

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จอุดกริ่งหลวงปู่ลี ปี๒๕๔๔ และ พระสมเด็จหลังลป.ลี ๒องค์ วัตถุมงคลยุคต้นของหลวงปู่ให้บูชา๒องค์ 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ



     

แชร์หน้านี้