ขุนแผนรุ่นแรกลพ.สมวัดโพธิ์ทอง อ่างทองพระพุทธนฤมิตรรัตนชนะมาร ลพ.ทองกลึง วัดเจดีย์หอย

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,359
    ค่าพลัง:
    +21,325


    เรื่อง....หลวงพ่อปราบผี
    เรื่ิองที่จะเล่าให้ท่านทั้งหลายได้ฟังนี้ เกิดขึ้นเมื่อปี ๒๕๓๖ ซึ่งในขณะนั้น อาตมาอายุ ๑๔ ปี ในปีนั้นมีพระจำพรรษา ๑๐ กว่ารูป สามเณรมี ๒ องค์ คืออาตมาและสามเณรหัส เดิมทีอาตมามีความศรัทธาหลวงพ่ออยู่แล้ว เพราะได้ยินได้ฟังเรื่องราวของท่านมาจากบิดา ของอาตมาเอง ซึ่งแกจะเล่าเรื่องของหลวงพ่อให้ฟังมาตั้งแต้ยังเด็ก คล้ายนิทานที่ผู้ใหญ่เล่าให้เด็กฟังก่อนนอน เรื่องที่แกเล่าให้ฟังนั้นส่วนมากเป็นเรื่องในสมัยที่แกบวชอยู่จำพรรษา กับหลวงพ่อที่วัดบัลลังก์ โดยแกเล่าให้ฟังถึงปฏิปทา และอิทธิปาฏิหารของหลวงพ่อให้ฟังอยู่เป็นประจำ แต่อาตมาไม่เคยเห็นกับตาเลยสักครั้ง จนได้มาบวชอยู่กับท่าน จึงได้เห็นปฏิปทาของท่าน ว่าเคร่งครัดในพระธรรมวินัย ตามที่โยมบิดาเล่าให้ฟังทุกประการ และในปีนั้นเอง อาตมาได้เห็นอิทธิฤทธิ์ ในพลังจิต และวิชาอาคมของท่านอย่างแท้จริง
    เรื่องมีอยู่ว่า ในสมัยนั้นจะมีญาติโยมเดินทางมาหาหลวงพ่อเป็นประจำ เรียกว่าไม่ขาดสาย เลยในแต่ละวัน ซึ่งหลวงพ่อท่านก็จะนั่งพับเพียบต้อนรับสาธุชนที่เดินทางมากราบนมัสการ อยู่ที่กุฏิหลังเก่า ซึ่งกุฏิหลังนี้ ท่านอยู่จำพรรษามาตั้งแต่ปี ๒๕๒๕ เป็นต้นมา
    การนั่งของท่านนั้นเป็นภาพที่คุ้นตากันดีในหมู่สานุศิษย์ ที่เดินทางไปกราบท่าน คือท่านนั่งพับเพียบตลอดทั้งวัน ไม่ขยับเลย ไม่ว่าใครจะไปจะมา ท่านก็นั่งอยู่อย่างนั้น แต่การต้อนรับญาติโยมนั้น โดยปกติก็ตั้งแต่เวลา ๐๖.๐๐ น. จนถึง ๑๑.๐๐ น.และช่วงเวลา ๑๓ .๐๐ น.จนถึง ๑๘.๐๐ น.เป็นประจำ ถ้าวันไหนมีญาติโยมมากันมาก ฉันเพลเสร็จท่านก็ออกมารับญาติโยมเลย บรรดาพระเณรที่เป็นอุปฐาก จะรู้หน้าที่ดี คือหลังจาก ๑๘.๐๐น.แล้ว ท่านจะสรงน้ำ พระเณรที่อุปฐากก็จะปิดประตูเหล็ก ที่ท่านนั่งรับแขกอยู่ จนกระทั่งวันหนึ่งในพรรษานั้น ก่อนที่ท่านจะเข้าสรงน้ำ ท่านได้สั่งอาตมาไว้ว่า วันนี้อย่างเพิ่งปิดประตู เดี๋ยวจะมีคนมาหา แล้วท่านก็เข้าห้องไป อาตมาจึงเข้าไปเตรียมน้ำสรง และบริขารถวาย น้ำที่สรงนั้นจะเป็นน้ำอุ่น ในขณะนั้นที่วัดไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น ต้องต้มน้ำใส่กา แล้วนำไปเทผสมน้ำเย็นให้ได้หนื่งถัง ส่วนผ้าบริขารของท่านที่ใช้ในการสรงน้ำก็มี สบง ๑ ผืน อังสะ ๑ ผืน ผ้าขนหนู ๓ ผืน คือ สำหรับเช็ดหน้าผืนหนึ่ง เช็ดตัวผืนหนึ่ง เช็ดเท้าผืนหนึ่ง การถวายน้ำสรงท่านนั้น พระเณรอุปฐากต้องทำด้วยความนอบน้อม คล่องแคล่ว และรวดเร็ว จึงจะถูกนิสัยกับองค์ท่าน
    . ดังนั้นพระเณรที่คอยอุปฐากหลวงพ่อจึงมีเพียงสองรูปเท่านั้น คือ พระอรุณ(พระใหญ่) และอาตมาซึ่งเป็นสามเณรอีกองค์หนึ่ง เท่านั้น ส่วนมากบรรดาพระเณรทั้งหลายไม่ค่อยเข้าไปอุปฐากองค์ท่าน เพราะถ้าเข้าไปสนิทกับองค์ท่านแล้ว เกรงว่าจะไม่ได้สึก ซึ่งองค์ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะปกติองค์ท่านก็นิ่งเฉยอยู่แล้ว หลังจากองค์ท่านสรงน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็พักอิริยาบท อยู่ในห้องโดยมีอาตมาเป็นผู้ถวายการนวด จนถึงทุ่มครึ่ง องค์ท่านก็ลุกขึ้นครองจีวร แล้วออกมานั่งที่รับแขกของท่าน .ซึ่งขณะนั้นอาตมาคิดว่าท่านหรือโยมคงนัดกันไว้ อาตมาก็นั่งอยู่แถวนั้นเผื่อองค์ท่านจะเรียกใช้ อีกอย่างเป็นเวลาวิกาล หากผู้ที่มาเป็นผู้หญิงทั้งหมดก็ไม่ต้องด้วยพระวินัย อาตมาจึงคอยสังเกตุการณ์อยู่แถวนั้น
    จนกระทั้งเวลาล่วงไปถึง ๒๐.๐๐ น.กว่าๆ ได้มีรถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้ามาในวัด ในขณะที่รถคันนั้นแล่นเข้ามา บรรดาสุนัขทั้งหลายก็พากันส่งเสียงเห่าหอนจนดังไปทั้งวัด รถคันนั้นแล่นมาจอดใต้ต้นพิกุล หน้าหอสวดมนต์ ครู่หนึ่งก็มีผู้ชาย ๕ คน ผู้หญิง ๒ คน ลงจากรถ แล้วช่วยกันฉุดกระชากลากจูงผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ลงจากกระบะรถ ซึ่งมีหลังคาอยู่ด้วย ผู้หญิงคนนั้นปากก็พูดว่า กูไม่ไป อย่ามายุ่งกับกู พูดอยู่อย่างนี้ บรรดาสุนัขเจ้ากรรมทั้งหลายก็ส่งเสียงหอนกันไม่เลิก จนอาตมาขนลุกไปทั้งตัว ต้องเข้าไปอยู่ใกล้ๆหลวงพ่อ จึงพอหายกลัวไปได้บ้าง ส่วนคนพวกนั้นกว่าจะขึ้นมาได้ ก็ต้องช่วยกันจับแขน จับขาผู้หญิงคนนั้นขึ้นมา พอมาถึงหลวงพ่อ ผู้หญิงคนนั่นก็ด่าหลวงพ่อเป็นการใหญ่ ซึ่งท่านก็เฉยไม่แสดงอาการอะไร จนผู้หญิงคนนั้นเลิกด่า ท่านจึงถามโยมที่มาว่า #มาแต่ไหนกันเล่า โยมตอบว่ามาจากหนองปลาไหลครับ ท่านก็ถามอีกว่า เป็นอะไรมาล่ะ โยมที่มาก็แย่งกันเล่าให้ท่านฟังว่า ไม่รู้มันเป็นอะไรหลวงพ่อ มันไปไร่กลับมาตอนค่ำ มันก็มีอาการแปลกๆ กลางวันมันเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ปิดประตูหน้าต่างหมด ข้าวปลาไม่กินเลย มันจะกินแต่ของสดๆคาวๆเท่านั้นแหละ พาไปหาหมอ หมอตรวจดูก็ไม่เป็นอะไร บางคนก็ว่าผีเข้า หมอผีที่เขาว่าเก่งๆก็ไปหามาทั่วก็ไม่หาย พระอะไรที่ว่าเก่งๆก็ตระเวนไปหามาหลายวัดแล้วหลวงพ่อ จนมีคนเขาบอกว่าให้พามาหาหลวงพ่อนี่แหละ จึงได้พากันมา กว่าจะมาถึงก็ต้องถามเขามาเรื่ิิอย นี่ก็เป็นมา ๗ วันแล้ว ถ้าหลวงพ่อรักษาไม่หาย ก็จะไม่รักษาแล้วล่ะ จะปล่อยให้มันตายไปนี่แหละ ไม่รู้ตะทำยังไงแล้วหลวงพ่อ
    . เมื่ิอถึงตอนนี้หลวงพ่อท่านได้ถามผู้หญิงที่ป่วยว่า เอ็งเป็นอะไร ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ตอบ ท่านจึงถามอีกว่า เอ็งชื่ออะไร ผู้หญิงคนนั้นตอบว่า บอกไม่ได้ ท่านก็ถามอีกว่า ใครใข้เอ็งมา ผู้หญิงคนนั้นก็ตอบว่า ยอกไม่ได้ โยมที่มาด้วยกันก็ช่วยถามอีกว่า มึงก็บอกท่านไปสิ ผู้หญิงคนนั่นก็ตอบว่าบอกไม่ได้ เขาไม่ให้บอก โยมก็ถามอีกว่าใครไม่ให้บอก เขาก็ตอบว่าบอกไม่ได้ เขาไม่ให้บอก ตอบอยู่อย่างนั้น หลวงพ่อจึงถามว่า เอ็งจะเอาอะไร รึจะกินอะไร ผู้หญิงคนนั่นตอบทันทีเลยว่า อยากจะกินใส้หมู ไส้ไก้ หลวงพ่อท่านก็ตอบไปว่า ที่วัดนี้ไม่มีให้หรอก ไส้หมู ไส้ไก่อะไรนั้นน่ะ มีแต่น้ำมนต์นี่แหละ เอาไปกินก่อน ว่าแล้วท่านก็ใช้แก้วตักน้ำมนต์ในบาตร ซึ่งอยู่ข้างๆท่านส่งให้ โยมที่เป็นผู้ชายค่อนข้างอายุมากหน่อยก็รับน้ำมนต์จากท่านไปให้หญิงคนนั้นกิน แต่หญิงคนนั้นไม่ยอมกินปัดป้องเป็นพัลวัน พอน้ำมนต์หก รดถูกตัว ก็กรีดร้องอย่างโหยหวล จนพระเณรที่อยู่ตามกุฏิแตกตื่นมาดูกันทั้งวัด เมื่อหญิงคนนั้นไม่ยอมกินน้ำมนต์ ท่านจึงเอาน้ำมนต์พรมให้ หญิงคนนั้นก็ร้องดิ้นไปดิ้นมาอยู่อย่างนั้น ปากก็ร้องว่าร้อนๆไม่หยุด จากนั้นหลวงพ่อท่านก็นั่งดูอยู่ครู่หนึ่ง ท่านจึงหยิบด้ายมงคลที่ีอยู่ข้างๆมาจับเป็นมงคลคล้ายสร้อย แล้วบริกรรมอยู่ครู่หนึ่ง ท่านก็บอกว่า เอ้าเอาไปสวมคอดูซิ โยมผู้ชายคนเดิมก็รับด้ายมงคลไป หญิงคนนั้นพอเห็นด้ายมงคลเข้าไปใกล้ตัวเท่านั้นแหละ รีบถอยหลังหนี โยมที่มาด้วยกันต้องช่วยกันจับไว้ แต่หญิงคนนั้นก็ดิ้นจนสุดฤทธิ์ พอได้จังหวะ โยมผู้ชายก็เอาด้ายมงคลใส่คอทันที พอด้ายมงคลใส่เข้าไปเพียงศรีษะเท่านั้น หญิงคนนั้นก็กรีดร้องอย่างสุดเสียง แล้วมีอาการประหนึ่งว่าโดนถีบอย่างแรงหงายท้องทันที พอดีกับโยมที่นั่งอยู่ข้างๆรับศรีษะเอาไว้ทัน หญิงคนนั้นก็แน่นิ่งไป ตลอดเวลาที่หญิงคนนั้นร้องอยู่ สนัขทั้งหลายก็หอนโหยหวลอยู่อย่างนั้น พอหญิงคนนั้นนิ่งไป บรรดาสุนัขก็หอนรับกันไปเป็นทอดๆ ตั้งแต่กุฏิหลวงพ่อจนถึงท้ายวัดเลยทีเดียว
    . เมื่ิอสงบลงแล้ว หญิงคนนั้นก็รู้สึกตัวแต่ก็งงไปหมด ถามว่าที่นี่ที่ไหน แล้วฉันเป็นอะไร พวกที่พามาก็อนะนำให้กราบหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านก็ถามว่า เป็นอย่างไรบ้าง
    เขาตอบว่า ไม่รู้สึกตัวเลยหลวงพ่อ จำได้ว่าไปจุดมันจนเย็นค่ำจึงกลับบ้าน พอเดินมาผ่านจอมปลวกใหญ่ข้างทางก็ไม่รู้ตัวอีกเลย จนถึงตอนนี้แหละ
    หลวงพ่อท่านจึงแนะนำว่าหากพวกเรารู้จักไหว้พระ สวดมนต์ ก็จะไม่มีภูติผี ปีศาจ อะไรมากล้ำกราย แล้วท่านก็พรมน้ำมนต์ให้ทุกคนที่มา แต่โยมเขาขอด้ายมงคลเอาไปใส่คอด้วย ท่านก็ทำให้ทุกคน แต่ละคนก็ขอนำไปเผื่อลูกหลานอีก .ซึ่งท่านก็ทำให้ตามประสงค์ จากนั้นพวกโยมก็พากันกราบลากลับ เมื่อโยมลงจากกุฏิหลวงพ่อแล้ว อาตมายังสงสัยอยู่จึงเข้าไปถาม โยมที่มาว่า โยมนัดหลวงพ่อไว้หรอ เขาตอบว่าเปล่า ไม่ได้นัด ตั้งใจอธิฐานมาตั้งแต่บ้านว่าจะมาขอให้เจอหลวงพ่อ แล้วก็มากันเลย แล้วโยมก็พากันขึ้นรถกลับไป และเวลากลับนี้ สุนัขก็ไม่ได้หอนรับเหมือนตอนที่มา ตอนนั้นอาตมาสงสัยว่าหลวงพ่อรู้ได้อย่างไร ว่าใครจะไปจะมา อีกอย่างในขณะปี ๒๕๓๖ นั้นที่วัดบัลลังก์ก็ยังไม่มีโทรศัพย์ใช้เลย เพิ่งจะมีโทรศัพย์ใช้ครั้งแรกเมื่อปลายปี ๒๕๓๗ แต่หลวงพ่อก็ไม่ได้ใช้ รองเจ้าอาวาสเป็นผู้ใช้อีกต่างหาก จากเรื่องนี้ จึงทำให้เห็นได้ว่า #หลวงพ่อท่านมีอภิญญาสมาบัติและญาณอันแก่กล้า สมกับเป็นพระผู้เป็นที่พึ่งของประชาชนโดยแท้
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    สมเด็จพิมพ์คะแนนหลวงพ่อพยุง ๖๐ ปี
    ให้บูชา 170 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
     
  2. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,359
    ค่าพลัง:
    +21,325

    มีเกร็ดประวัติศาสตร์ท้องถิ่นว่า เมื่อหลวงพ่อถิร ย้ายมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสและไม่เกิดปัญหาเช่นหลวงพ่อโต๊ะ เนื่องจากท่านเป็นที่รักศรัทธาเสื่อมใสของชุมเสือก๊กต่าง ๆ เช่น เสือฝ้าย เสือมเหศวร เสือใบ ที่มักมาหาเครื่องรางของขลังจากหลวงพ่อถิรเสมอตั้งแต่ครั้งอยู่ที่วัดสุวรรณภูมินั้นแล้ว เสือเหล่านี้ต่างพากันประกาศก้องว่า ใครหน้าไหนอย่าได้มารบกวนการสร้างพัฒนาวัดของหลวงพ่อถิร ให้เดือนเนื้อร้อนใจเป็นเด็ดขาด หาไม่เป็นได้เจอกัน…ฟังดูเสือเหล่านี้ก็มีคุณธรรม รักพระศาสนาดีทีเดียว และนั่นก็เป็นเหตุมีผู้กล่าวหาว่า หลวงพ่อถิรเลี้ยงเสือ เลี้ยงโจร ซึ่งท่านก็ตอบด้วยอารมณ์ขันว่า“ข้าไม่ได้เลี้ยงพวกมันหรอก มันเลี้ยงข้าตะหาก…”
    เมื่อเสือก๊กต่าง ๆ ลงให้หลวงพ่อถิร นับถือเป็นอาจารย์ ชื่อเสียงความขลังของท่านจึงเป็นที่รู้จักที่วไป กอปรกับท่านมีสีลาจารวัตรงดงาม เคร่งครัดในพระธรรมวินัย มีเมตตาจิตจึงเป็นพระเกจิอาจารย์ที่ได้รับนิมนต์ในงานพุทธาภิเษกสำคัญแทบทุกงานในประเทศมาตั้งแต่อายุพรรษาไม่มากนัก
    หลวงพ่อถิร
    ถามเอง ตอบเอง
    ในหนังสือประวัติวัดป่าเลไลยก์
    สร้างพระทำไมมากมาย ค่าใช้จ่ายสูง
    ท่านเขียนเองว่า"คนติดแต่ในรูปธรรม"
    (คือเห็นแต่การสร้าง แต่ไม่คิดถึงนามธรรม)
    หลวงพ่อถิร พูดถึง"นามธรรม"ของการสร้างพระว่า
    "การสร้างพระจะสร้างเท่าเมล็ดพรรณผักกาด
    จะใหญ่โตขนาดหน้าตักกว้างยี่สิบวา
    สร้างด้วยความบริสุทธิ์ใจ
    เป็นสิ่งที่มีคุณค่าอันประเสริฐยิ่ง
    แม้จิตใจที่เคยเร่าร้อนยังทำให้เยือกเย็นได้"
    คำที่ท่านกล่าวว่า
    "แม้จิตใจที่เคยเร่าร้อน ยังทำให้เยือกเย็นได้"
    แสดงถึงว่าการสร้างพระของท่านนั้นคือ
    การปฏิบัติธรรม ปฏิบัติวางจิตว่าง
    พลังจิตจึงบริสุทธิ์ วัตถุมงคลจึงศักดิ์สิทธิ์นักแล
    เนื้อหา..อ.ถนัด วิเคราะห์ตามหลวงพ่อท่านเขียนไว้
    ภาพ..ตัดมาจาก "อัน วัดป่าเลไลยก์"
    หลวงพ่ออ๊อดเกลาวิชาแมลงภู่อาคม
    พระครูสุนทรธรรมจารี หลวงพ่ออ๊อด วัดพระธาตุศาลาขาว ต.ศาลาขาว อ.เมืองสุพรรณ จ.สุพรรณบุรี
    หลวงพ่ออ๊อด ท่านเป็นพระที่มีวาจาอ่อนหวานละมุนละไม ยิ้มแย้มแจ่มใสและใจดี ท่านเป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันกับพระวิสุทธิสารเถร หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลยก์ และหลวงพ่อฑูรย์ วัดโพธิ์นิมิต
    พระครูสุนทรธรรมจารี มีนามเดิมว่า อ๊อด นามสกุล แซ่โค้ว เกิดเมื่อวันที่ ๒๒ เดือนกันยายน พ.ศ. ๒๔๔๑ โยมบิดาเป็นชาวจีนชื่อ ฮำ โยมมารดาชื่อ บุญรอด
    บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ ๑๖ ปี ณ.วัดสุวรรณภูมิ อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี โดยมีพระครูสัทธานุสารีวินยานุโยค เป็นพระอุปัชฌาย์
    อุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๖๐ ณ.พัทธสีมาวัดสุวรรณภูมิ โดยมีพระครูสัทธานุสารีวินยานุโยค เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านก็ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดสุวรรณภูมิ เพื่อปฏิบัติและรับใช้พระอุปัชฌาย์ และได้ศึกษาพระธรรมวินัย และสอบได้นักธรรมชั้นตรี
    ในเวลาต่อมาวัดพระธาตุศาลาขาว ได้ว่างเว้นเจ้าอาวาสลง ท่านขุนเศวต ศาลารักษ์ กำนันตำบลศาลาขาว ได้อาราธนาหลวงพ่ออ๊อดมาเป็นเจ้าอาวาสวัดพระธาตุศาลาขาว ในด้านชื่อเสียงหลวงพ่ออ๊อดนั้น ชาวบ้านวัดพระธาตุศาลาขาวโจษจันกันมากในเรื่องหลวงพ่ออ๊อดหนังเหนียว นักเลงบ้านจระเข้สามพันกลุ่มหนึ่งคุยกันว่า หลวงพ่ออ๊อดหนังเหนียวจริงหรือเปล่า จึงท้าพนันกัน แล้วไปลอบดักยิงหลวงพ่ออ๊อดในเวลากลางคืน คนดักยิงไปซุ่มอยู่ภายในบริเวณวัด แล้วสุนัขที่วัดเห็นเข้าจึงเห่าขึ้น หลวงพ่ออ๊อดซึ่งอยู่บนกุฏิได้ยินเสียงสุนัขเห่าผิดปกติจึงถือไฟฉายแล้วเดินลงมาดูข้างล่างแล้วฉายไฟไปในที่มืดเพื่อดูว่าสุนัขเห่าอะไร ปรากฏว่าคนดักยิงที่ซุ่มอยู่นั้น เมื่อเห็นหลวงพ่อถนัดตาแล้ว ได้ยกปืนขึ้นแล้วเหนี่ยวไกลั่นปืนยิงใส่หลวงพ่ออ๊อดทันที แต่ปรากฏว่ากระสุนด้าน มันยิงอีกเป็นครั้งที่สองก็ด้านอีก เมื่อเสียงสุนัขเห่าหนักขึ้น คนที่ดักยิงหลวงพ่ออ๊อดจึงต้องรีบหนีเพราะกลัวชาวบ้านจะมาพบ หลังจากนั้นนักเลงที่มาซุ่มดักยิงหลวงพ่ออ๊อด ก็ได้ไปเล่าให้พวกๆฟัง จนข่าวว่าหลวงพ่ออ๊อดหนังเหนียวนั้น ได้แพร่สะพัดรู้ถึงชาวบ้าน หลวงพ่ออ๊อดก็ได้แต่กล่าวถ่อมตนว่าอย่ามาทำอย่างนี้กับท่านเลย ท่านไม่ได้เป็นคนหนังเหนียวและอยู่ยงคงกระพันอะไรหรอก หากจะเหนียวหรืออยู่ยงคงกระพันก็เป็นที่ความดีที่ท่านทำได้คุ้มครองท่านเท่านั้นเอง
    เกลาวิชานารายณ์แปรงรูปกับหลวงพ่อถิร
    เหตุการณ์จากหน้ากุฏิหลวงพ่อถิรวัดป่าเลไลยก์
    จากคำบอกเล่าบางส่วนของหลานหลวงพ่ออ๊อด
    ได้เล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อถิรนี้ท่านเก่งมาก ทั้งในด้านวิปัสสนากรรมฐาน และในด้านวิชาอาคมท่านก็ได้เล่าเรียนสืบทอดจากครูบาอาจารย์ของท่านมามากมาย ท่านสำเร็จวิชาอาคมแก่กล้ามาแต่ยังหนุ่ม ดังจะเห็นได้ว่า สมัยที่ท่านย้ายมาเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าเลไลย์นั้น ท่านมีอายุ ๓๘ ปี เสือฝ้ายเสือใบก็ตามมาเยี่ยมเยือน ด้วยความเป็นศิษย์ของหลวงพ่อถิรมาตั้งแต่สมัยที่ท่านยังจำพรรษาอยู่ที่วัดสุวรรณภูมิแล้ว
    เมื่อทราบดังนี้ จึงทำให้รู้ได้ว่า หลวงพ่อถิรนั้นท่านแก่กล้าวิชาอาคมมาแต่ยังหนุ่มนั่นเอง
    ด้วยหลวงพ่ออ๊อดกับหลวงพ่อถิรนั้น ท่านเป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกัน จึงทำให้ท่านสนิทสนมกันดี ไปมาหาสู่กันบ่อย ในยุคที่ท่านทั้งสองได้มาเป็นเจ้าอาวสช่วงราวปี ๒๕๐๐ มีอยู่วันหนึ่งข้าพเจ้าได้ติดตามหลวงพ่ออ๊อดมาเยี่ยมหาหลวงพ่อถิรที่วัดป่าเลไลยก์ หลวงพ่ออ๊อดกับหลวงพ่อถิรท่านทั้งสองได้สนทนากันในเรื่องสารทุกข์สุกดิบต่างๆ ในระหว่างที่สนทนากันได้สักพักหนึ่งนั้น หลวงพ่ออ๊อดก็ได้ชวนหลวงพ่อถิรขัดเกลาวิชากัน หลวงพ่อถิรก็ว่าดี ท่านทั้งสองจึงได้เดินลงมาหน้ากุฏิ และพากันเดินไปยังต้นไม้ต้นหนึ่งข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าต้นอะไร ท่านทั้งสองต่างพนมมือว่าคาถาพลีใบไม้แล้วเด็ดใบไม้นั้นมากำแล้วว่าคาถากันต่ออีกสักครู่หนึ่ง พลันหลวงพ่อถิรก็แบมือออกในฝ่ามือของท่านก็มีแมลงภู่ตัวเขื่อง ที่เริ่มบินออกจากฝ่ามือของหลวงพ่อถิร บินวนอยู่ในบริเวณนั้น อีกไม่นานก็มีแมลงภู่อีกตัวที่บินออกมาจากฝ่ามือของหลวงพ่ออ๊อด ในขณะที่ท่านแบมือออกนั่นเอง หลวงพ่ออ๊อดชมหลวงพ่อถิรว่าวิชาท่านยังแน่นอนเหมือนเดิมแถมดีกว่าเก่าอีกด้วย หลวงพ่อถิรก็ว่าชมกันเกินไปแล้ว ท่านกับผมก็พอกันนี่ล่ะ
    ข้าพเจ้าจำได้ว่าแมลงภู่ที่หลวงพ่อถิรกับหลวงพ่ออ๊อดได้เสกไว้นั้นยังคงบินไปมาอยู่บริเวนนั้นไม่ได้ทำให้หายไปไหน จนหลวงพ่ออ๊อดลาหลวงพ่อถิรกลับวัดข้าพเจ้าก็ไม่เห็นว่าหลวงพ่อทั้งสองจะเสกให้หายไป ข้าพเจ้าจึงคิดว่าหลวงพ่อถิรกับหลวงพ่ออ๊อดคงจะมีเจตนาประสงค์จะให้เป็นเครื่องรางของดีทิ้งไว้ในวัด หากใครได้ซากแมลงภู่ภายในบริเวณวัดป่าเลไลยก์นี้ไปคงจะโชคดีไปอีกประการหนึ่ง ก็ด้วยความที่ว่าแมลงภู่ที่ตายลงเหล่านี้ เป็นแมลงภู่ลูกหลานของแมลงภู่ที่หลวงพ่อถิรกับหลวงพ่ออ๊อดได้ปลุกเสกเอาไว้แล้วนั่นเอง
    จาก : คำบอกเล่าของลูกหลานลูกศิษย์หลวงพ่ออ๊อด

    หากผิดพลาดประการใด ผมต้องขออภัยทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วย ผมไม่ได้มีเจตนาจะบิดเบือนประวัติและที่มาแต่อย่างใด ยังคงมีเจตนาเดิมคือการเผยแผ่บารมีของหลวงพ่อถิร ให้คงอยู่สืบต่อไป ขอบคุณครับ
    บทความ : ต. ตรา ราศีสิงห์ รวบรวมเรียบเรียง
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    หลวงพ่อถิรวัดป่าเลไลย์ 1 ในครูบาอาจารย์ที่ปลุกเสกเหรียญพิธีจตุรพิธพรชัยปี 2518 หนึ่งในเกจิอาจารย์ที่หลวงปู่ดู่ วัดสะแกแนะนำนายเรียนนุ่มดีให้สร้างเหรียญ
    เหรียญหลวงพ่อถิรวัดป่าเลไลย์ ๒ เหรียญเหรียญรุ่นนี้ในประวัติเป็นเหรียญที่หลวงพ่อทิมจะแจกในงานนมัสการหลวงพ่อโตวัดป่าเลไลย์
    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

     
  3. j999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    4,965
    ค่าพลัง:
    +5,380
    ขอปิดครับ
     
  4. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,359
    ค่าพลัง:
    +21,325

    ประวัติ หลวงพ่อเบี่ยง วัดทุ่งเสมอ
    วัดทุ่งสมอ อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี เป็นวัดโบราณแห่งหนึ่ง สร้างโดยชาวบ้านกลุ่มหนึ่งซึ่งมีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนาที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่ ณ บริเวณบ้านทุ่งสมอในปัจจุบัน ซึ่งได้ปรากฏความเจริญรุ่งเรืองอย่างมากในสมัยของ พระครูวิบูลธรรมประภาส (หลวงพ่อเบี่ยง อุทโย) อดีตเจ้าอาวาสองค์ที่ 7 พระเกจิอาจารย์เรืองนามของอ.พนมทวน
    หลวงพ่อเบี่ยง เกิดในสกุล “ดอกนาค” เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 พ.ย. 2459 ณ บ้านเลขที่ 2 บ้านห้วยสะพาน ต.หนองโรง อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี เป็นบุตรของนายเก๋ นางบาง มีพี่น้องรวม 6 คน ได้รับการศึกษาในโรงเรียนวัดห้วยสะพาน จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เมื่อปีพ.ศ.พ.ศ.2473
    พออายุครบบวชได้อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดห้วยสะพาน เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2479 โดยมีพระปลัดหรุง วัดทุ่งสมอ เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ฉายาทางธรรมว่า “อุทโย” ได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยจนสอบได้นักธรรมเอกในสำนักเรียนวัดห้วยสะพาน เมื่อปีพ.ศ.2486
    ด้านวิชาไสยเวทพุทธาคม ได้รับการถ่ายทอดจากพระปลัดหรุง อดีตเจ้าอาวาส และตำราต่างๆ ทั้งยังเคยเดินทางไปขอร่ำเรียนวิชาเพิ่มเติมจากพระเกจิอาจารย์ชื่อดังของเมืองกาญจน์ในอดีตหลายองค์ อาทิ หลวงพ่อเปลี่ยน วัดใต้ หลวงพ่อดี วัดเหนือ หลวงพ่อเที่ยง วัดม่วงชุม ฯลฯ ที่สำคัญ ได้เดินทางไปศึกษาแนววิชาธรรมกายกับหลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ จนมีความเชี่ยวชาญ
    หลวงพ่อเบี่ยงท่านยังเป็นพระผู้มากไปด้วยเมตตาธรรม คอยช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากเสมอ ทำให้บรรดาชาวบ้านตลอดจนพระเณรในวัดเคารพศรัทธาท่านเป็นอย่างมาก พระในวัดทุกรูปท่านจะอบรมให้อยู่ในระเบียบอันสมควรแก่สมณเพศ ส่วนชาวบ้านที่มาทำบุญท่านก็จะคอยอบรมให้ละซึ่งกิเลสและความชั่ว หันมาประพฤติปฏิบัติธรรมสร้างความดีเสมอมา
    สำหรับสหธรรมิกที่สนิทสนมคุ้นเคยกันมากคือ หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม ถึงขนาดเรียกท่านว่า “ไอ้มอญ” ในสมัยก่อนงานปลุกเสกแถบเมืองกาญจน์หรือใกล้เคียง ท่านทั้งสองมักจะได้รับนิมนต์ไปในพิธีคู่กันเสมอ จนเป็นที่รู้กันว่า ถ้าจะเอาดีทางคงกระพันต้องหลวงพ่ออุตตมะ แต่ถ้าจะเอาทางเมตตา ต้องไปหาหลวงพ่อเบี่ยง
    ในด้านวัตถุมงคลที่ท่านสร้างไว้สมัยยังมีชีวิตอยู่นั้น มีด้วยกันมากมายหลายแบบ ที่นิยมมากได้แก่ เหรียญปั๊มรูปเหมือนหลวงพ่อในโบสถ์ (หลวงพ่อเทพมงคล) ซึ่งเป็นพระประธานในโบสถ์วัดทุ่งสมอศักดิ์สิทธิ์ จัดสร้างเป็นรูปสามเหลี่ยมหูในตัว เล่ากันว่า ผู้นำไปสักการะบูชาแล้วเกิดประสบการณ์อภินิหารทางด้านแคล้วคลาด เช่น อุบัติเหตุรถคว่ำไม่เป็นอะไร
    เคยมีผู้นำไปให้ลูกหลานห้อยคอบูชา แล้วอธิษฐานขอให้รอดจากการถูกเกณฑ์ทหาร ซึ่งส่วนใหญ่มักจะบนท่านด้วย “ภาพยนตร์” หรือเรียกง่ายว่า “บนหนัง” แล้วจับได้ใบดำกันแทบทั้งนั้น อีกอย่างหนึ่งซึ่งสร้างชื่อเสียงให้ท่านมาก ก็คือ“สีผึ้ง” มีพุทธคุณเยี่ยมทางเมตตามหานิยม และเจรจาค้าขาย
    พระครูวิบูลย์ธรรมประภาส พระเถระรัตตันญู
    อดีตเจ้าคณะอำเภอพนมทวน สหธรรมมิกของหลวงพ่ออุตตมะ ท่านมีศีลาจารวัตรงดงามในสมณเพศ อุปสมบทในสำนักวัดทุ่งสมอ ในสมัยพระปลัดหรุง เป็นเจ้าอาวาส และได้ศึกษาสิกขาบท และอักษรสมัย ตลอดถึงกรรมฐานอันมีอารมณ์ต่างจนชำนาญ เป็นที่พึางของชาวบ้านได้
    ประมาณปี2505 มีฆาราวาสขมังเวทไปข้อบวชที่วัดท่าน และต่อมาได้ช่วยท่านสร้างวัตถุมงคลต่างๆ มีอานุภาพทางด้านเมตตาและอำนวยพร
    มีพระท่ากระดาน รูปหล่อลอยองค์อิเกสาโร
    เหรียญประประธานอุดกริ่งทองแดง และเครื่องรางต่างๆ ท่านได้แจกจายให้ผู้ที่ศรัทธานำไปบูชา ต่างมีประสพการณ์ และอภินิหาริย์เป็นที่ปรากฏ จนถึงปัจจุบัน
    นอกจากนี้ ยังมีรูปหล่อโบราณ รูปเหมือนปั๊ม พระปิดตาเนื้อผงขาวผสมผงอิทธิเจที่ท่านลบเอง เยี่ยมทางด้านเมตตา พระผง รูปเหมือนจันทร์ลอย ผ้ายันต์มหามงคล เหรียญหลวงปู่อิเกโร ด้านหลังรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จำพวกเครื่องรางที่ได้รับความนิยมได้แก่ ตะกรุดโทนมี 2 รุ่น คือแบบคาดเอว ยาวประมาณ 5 นิ้ว และแบบห้อยคอ ยาวประมาณ 3 นิ้ว
    บั้นปลายชีวิต เนื่องจากท่านได้สร้างคุณประโยชน์ให้แก่สังคมและพระพุทธศาสนามายาวนาน ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อน สุขภาพร่างกายจึงไม่แข็งแรง อีกทั้งมีอายุมากก็ยังตรากตรำงานด้วยความเหน็ดเหนื่อย แต่ท่านก็ไม่ย่อท้อ ยิ่งทำให้สังขารร่วงโรย กระนั้นก็ยังคงปฏิบัติศาสนกิจอย่างเคร่งครัดจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิต และมรณภาพลงด้วยอาการสงบ เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2543 รวมสิริอายุได้ 84 ปี 5 เดือน พรรษาที่ 64 ได้รับพระราชทานเพลิงศพในวันที่ 3 มี.ค. 2544 ณ เมรุวัดทุ่งสมอ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระร่วงหลวงพ่อเบี่ยงวัดทุ่งสมอ ให้บูชา 270 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

     
  5. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,359
    ค่าพลัง:
    +21,325
    วันนี้ จัดส่ง

    ขอบคุณครับ
     
  6. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,359
    ค่าพลัง:
    +21,325


    สมเด็จปรกโพธิ์ผงมหาอำนาจอธิษฐาน 23 พรรษาหลวงปู่บุญตาวัดคลองเกตุหลวงปู่เรืองเขาสามยอดเมตตาอธิษฐานจิต
    ให้บูชา 320 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

     
  7. ktv เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    1,131
    ค่าพลัง:
    +1,139
    โอนแล้วครับ 24/05/67 จำนวน 330 บ. เวลา 11.19 น.จัดส่งที่เดิมครับ
     
  8. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,359
    ค่าพลัง:
    +21,325

    ประวัติ ท่านเจ้าคุณพระมงคลวิจิตร ( พร้า อตฺตสนฺโต ) เจ้าอาวาสวัดโคกดอกไม้ อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท
    อัตโนประวัติ มีนามเดิมว่า พร้า ยอดดำเนิน เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๕ เมษายน ๒๔๖๖ ตรงกับเดือน ๕ ปีกุน เป็นชาวชัยนาทโดยกำเนิด ประกอบอาชีพเกษตรกรรม
    ชีวิตในเยาว์วัยของท่านผิดแผกไปจากเด็กในวัยเดียวกัน เพราะกำพร้าโยมบิดาตั้งแต่ท่านอยู่ในครรภ์ของมารดาได้เพียง ๓ เดือน เมื่อพ้นจากครรภ์มารดา เครือญาติจึงพร้อมใจกันตั้งชื่อให้ท่านว่า กำพร้า หากแต่การแจ้งชื่อที่ปรากฏในทะเบียนราษฎร์ ตกคำว่า กำ คงเหลือเพียงคำว่า พร้า เพียงอย่างเดียว
    จึงไปตรงกับคำที่หมายถึง ของมีคม ซึ่งเกิดจากเหล็กกล้ามีดพร้า นั่นเอง
    ในวัยเด็ก แม้จะขาดบิดาผู้เป็นเสาหลักของครอบครัว แต่มารดาของท่านได้อุ้มชูเลี้ยงดูบุตรธิดาด้วยความอุตสาหะ และท่านยังได้รับความเอื้ออาทรจากบรรดาเครือญาติ เนื่องจากมีอุปนิสัยเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย มีใจโอบอ้อมอารี ท่านมักจะติดตามผู้ใหญ่เข้าวัดทำบุญอยู่เสมอๆ
    หลังจากได้ศึกษาเล่าเรียนจบชั้นประถมปีที่ ๔ มิได้มีโอกาสเรียนต่อ เพราะฐานะทางบ้านยากจน ทั้งๆ ที่ใจของท่านอยากจะร่ำเรียนต่อ จึงเป็นเหตุให้ท่านได้ตั้งจิตอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ว่า
    " หากมีโอกาสได้บวช จะขอบวชให้เสากุฎีคอดหรือเสากุฎีขาด และหากมีโอกาสได้เป็นสมภารเจ้าวัด จะอุปถัมภ์การศึกษาแก่เด็กๆ ที่พ่อแม่มีฐานะยากจน จะทำ จะช่วยให้เต็มความสามารถ "
    ครั้นอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดโคกดอกไม้ ต.ดงคอน อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท โดยมีพระครูปัตย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระสมุห์เขียว เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์โห้ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    ได้รับฉายา อตฺตสนฺโต หมายถึง ผู้มีตนอันสงบแล้ว
    ภายหลังจากที่ได้อุปสมบทแล้ว ท่านมีจิตมุ่งมั่นและเพลิดเพลินต่อรสพระธรรม หมั่นเพียรในการศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี-โท รวมทั้งช่วยเหลือการพัฒนาวัด และญาติโยมที่มีความทุกข์-เดือดร้อน จนเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวบ้านดงคอน
    ต่อมา ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดโคกดอกไม้ ได้ยึดหลัก พูดจริง ทำจริง ยึดความถูกต้องเป็นเกณฑ์
    ลำดับงานปกครองคณะสงฆ์ - สมณศักดิ์
    พ.ศ.๒๔๙๑ ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดโคกดอกไม้ และได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลดงคอน
    พ.ศ.๒๕๑๓ ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์
    ปัจจุบัน ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะตำบลดงคอน
    พ.ศ.๒๕๑๓ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี ในราชทินนามที่ พระครูวิจิตรชยานุรักษ์
    พ.ศ.๒๕๑๙ ได้รับพะราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท ในราชทินนามเดิม
    พ.ศ.๒๕๓๐ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระครูสัญญาบัตรชั้นเอก ในราชทินนามเดิม
    พ.ศ.๒๕๖๒ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ๖๗ พรรษา พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ (ชนิดสามัญยก) ในราชทินนามที่ พระมงคลวิจิตร
    ด้านการพัฒนาและสาธารณะ
    หลวงพ่อพร้าได้ตั้งใจพัฒนาวัดที่อยู่ในสภาพทรุดโทรมจนรุ่งเรือง ท่านได้สร้างศาลาการเปรียญหลังใหม่ บูรณะเจดีย์ สร้างซุ้มประตู ถนนภายในวัด สร้างสนามเด็กเล่น ศาลาประชาคมและบูรณะวัดที่มีฐานะด้อยกว่า อีกทั้งยังพัฒนารับอุปถัมถ์ในการสร้างโรงพยาบาลและพัฒนาชุมชนให้มีความเจริญ
    ด้านการศึกษา
    ด้วยปณิธานของหลวงพ่อพร้าที่ตั้งใจเอาไว้แต่ต้นว่า เมื่อได้บวชและได้เป็นเจ้าอาวาสจะสนับสนุนการศึกษาเด็กนักเรียนที่มีฐานะยากจน ซึ่งท่านได้จัดตั้งกองทุนเอาไว้ส่งเสริมให้เด็กนักเรียนได้มีโอกาสได้รับการศึกษา รวมทั้งพระภิกษุสามเณร ที่ขาดแคลน ท่านได้ส่งพระภิกษุสามเณรที่สนใจใฝ่การศึกษาเหล่านั้น ไปรับการศึกษาในกรุงเทพมหานคร บางรายประสบความสำเร็จทางด้านการศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรมมากมาย โดยอาศัยปัจจัยจากกองทุนการศึกษาที่ท่านจัดตั้งขึ้น
    ด้านสาธารณสุข
    แต่เดิมชาวบ้านดงคอน ขาดแคลนแพทย์และสถานพยาบาลที่ทันสมัย ท่านได้ให้การสงเคราะห์ด้วยการนำเอาวิชาแพทย์แผนโบราณบำบัดโรคภัยไข้เจ็บให้กับญาติโยม ในระยะต่อมา ได้เป็นแกนนำในการก่อสร้างสถานีอนามัยขึ้นที่วัดโคกดอกไม้ เป็นสถานที่บริการทางการแพทย์แผนปัจจุบัน
    นอกจากนี้ หลวงพ่อพร้า ได้ให้ความสนใจศึกษาด้านวิทยาคม ค้นคว้าด้านปฏิบัติจิตภาวนา เพื่อให้จิตบังเกิดสมาธิและได้กราบฝากตัวเป็นศิษย์ต่อหลวงพ่อโต วัดวิหารทอง ซึ่งเป็นหลวงลุงของท่าน และได้รับความเมตตาถ่ายทอดวิชาให้จนหมดสิ้น หลวงพ่อโตยังให้ความเมตตาอุปถัมภ์ในการบูรณะวัดโคกดอกไม้ เป็นการช่วยเหลือพระหลานชายของท่านอีกทางหนึ่งด้วย
    และอีกท่านหนึ่ง ที่ได้ชื่อว่าเป็นพระอาจารย์ที่ได้มอบสรรพวิชา ให้กับหลวงพ่อพร้ามากมายหลายด้าน คือ หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท
    พุทธาคมอันเข้มขลังที่หลวงพ่อพร้าได้รับถ่ายทอดจาก ๒ พระอาจารย์ ภายหลังได้นำมาสงเคราะห์ให้กับญาติโยมที่ประสบความเดือดร้อน โดยเฉพาะตำรับน้ำมนต์อันเข้มขลัง ซึ่งท่านมิได้เรียกร้องอะไร เพียงแต่ขอค่าบูชาครูเพียงบาทเดียว จนได้รับการยกย่องและเรียกขานนามของท่านว่า หลวงพ่อพร้า เจ้าตำรับน้ำมนต์บาทเดียว
    สำหรับวัตถุมงคลของท่านที่มีประสบการณ์และกล่าวขานกันถึงพุทธคุณ ได้แก่ พระสมเด็จมหาลาภ รุ่นแรกปี ๒๕๑๒ และปี ๒๕๑๔ พระสมเด็จ ด้านหลังฝังข้าวสารดำ ๙ เม็ด รุ่นแรกปี ๒๕๑๔ รุ่น ๒ ปี ๒๕๓๐ ฝังข้าวสารดำ ๖ เม็ด และตะกรุดโทน
    อีกทั้งยังได้จัดสร้างวัตถุมงคลเป็นรุ่นที่ ๓ มีตะกรุดโทน เหรียญบาตรน้ำมนต์ เพื่อมอบให้กับเจ้าภาพกองผ้าป่า กองละ ๑,๒๕๐ บาท เป็นกองทุนในการก่อสร้างอาคารเรียน โรงเรียนชุมชนวัดโคกดอกไม้และยังจัดสร้างพระสมเด็จปรกโพธิ์ (โพธิ์แก้ว) หลังยันต์ตำรับหลวงพ่อกวย, พระสมเด็จหลังรูปเหมือน มีดหมอและจตุคามรามเทพ
    หลวงพ่อพร้า ได้ถึงแก่มรณภาพด้วยโรคชรา ที่กุฏิวัดโคกดอกไม้ เมื่อเวลา ๑๗.๐๔ น. ของวันอาทิตย์ที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๒ สิริอายุ ๙๖ ปี พรรษา ๗๖
    ขอขอบเจ้าของบทความ ขออนุญาตนำประวัติของหลวงพ่อพร้า นำมาเผยแผ่บารมร ขอคุณเจ้าของบทความจากอินเตอร์และ google
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวงพ่อพร้าวัดโคกดอกไม้ปี 61 สร้างอาคารโรงเรียนอนุบาลวัดกำแพง

    ให้บูชา ๒ องค์
    220 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

     
  9. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,359
    ค่าพลัง:
    +21,325
    วัตถุมงคลชุดนี้ได้จัดสร้างเพื่อเป็นที่ระลึกในการสร้างพระประธานของวัดวังกระโจม ซึ่งก็คือ "พระพุทธมงคลนายก" ซึ่งเป็นพระพุทธรูปศิลปะสุโขทัย ขนาดหน้าตักกว้าง ๒.๙ ม. สูงราว ๆ ๓ ม. โดยในการปั้นหุ่นพระประธาน ท่านเจ้าคุณอุดมฯ ได้นิมนต์ท่านเจ้าคุณนรฯ มาประกอบพิธีด้วยตนเองเนื่องจากท่านเจ้าคุณอุดม เป็นคนนครนายกโดยกำเนิด โดยมีพลเอก ประภาส จารุเสถียร (ยศในขณะนั้น) ได้ขอพระราชทานอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินประกอบพิธีเททองพระพุทธรูป ณ ประรำพิธีมณฑล วัดเทพศิรินทราวาส เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๐๘ พร้อมทั้งทรงเจิมพระสุหร่าย เบิกพระเนตร และพระราชทานนามว่า "พระพุทธมงคลนายก" และได้อัญเชิญมาประดิษฐาน ณ พระอุโบสถ วัดวังกระโจม เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๐๘ ทางวัดจึงได้จัดสร้างพระพุทธรูปบูชา แบบเชียงแสน ขนาด ๙ นิ้ว และ ๕ นิ้ว พร้อมทั้งพระเครื่องต่างๆ ดังนี้
    ๑. พระกริ่งใหญ่ เมืองงาย
    ๒. พระกริ่งใหญ่ วังกระโจม ปางประทานพร หลังเลข ๙
    ๓. พระกริ่งกลาง วังกระโจม หลังเลข ๙
    ๔. พระกริ่งกลาง วังกระโจม บัวรอบ
    ๕. พระกริ่งเล็ก วังกระโจม ตอกเลข ๙
    ๖. พระกริ่งมงคลนายก ปางมารวิชัย แบบพระประธานในอุโบสถ
    ๗. พระกริ่งใหญ่พิเศษ
    ๘. แหวนพระเจ้าห้าพระองค์
    ๙. พระพิมพ์ทุ่งเศรษฐี พิมพ์ใหญ่
    ๑๐. พระพิมพ์ทุ่งเศรษฐี พิมพ์เล็ก
    ๑๑. พระสมเด็จ วัดวังกระโจมพิมพ์ใหญ่พิเศษ พิมพ์กรรมการ
    และในงานยกช่อฟ้าพระอุโบสถ เมื่อปี ๒๕๑๒ ได้จัดสร้าง เหรียญเข็มกลัด เหรียญที่ระลึก ตลอดจนแหนบเหน็บเน็คไท อีกด้วย
    พระพุทธมงคลนายก หลัง ภปร. วัดวังกระโจม พ.ศ. 2512 เจ้าคุณนรฯปลุกเสก น่าเก็บ น่าบูชาอย่างยิ่ง เป็นเหรียญที่หายากแล้ว เนื่องจากเป็นเหรียญที่เจ้าคุณนรฯ ปลุกเสกเอง ประกอบกับประสบการณ์ดี จึงถูกคนเช่าหาไปเก็บ ท่านที่ศรัทธาเจ้าคุณนรฯ
    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระพุทธมงคลนายก หลัง ภปร. วัดวังกระโจม พ.ศ. 2512 เจ้าคุณนรฯปลุกเสก
    เสก ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

     
  10. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,359
    ค่าพลัง:
    +21,325


    ประวัติหลวงพ่อมุม วัดนาสัก จังหวัดชุมพร
    หลวงพ่อมุมมีนามเดิมว่า มุม จันทร์ประสูติ เกิดเมื่อ วันจันทร์ เดือน ๑๑ ปี จอ พ.ศ. ๒๔๔๑ ที่ตำบลปากมะยิง ใกล้กับวัดปากกิ้ว จ.นครศรีธรรมราช บิดาชื่อ นายเฟื่อง มารดาชื่อนางใหม่ ท่านเป็นลูกโทน ฐานะทางบ้านนับว่าเป็นผู้มีอันจะกินเพราะมีที่นาเป็นร้อยไร่ พอท่านมีอายุได้ ๑๑ ปี บิดาก็ถึงแก่กรรม ทำให้ท่านเกิดความสลดใจและเศร้าใจเป็นอย่างมาก ท่านอยู่กับมารดาจนมีอายุได้ ๑๘ ปี คืนหนึ่งท่านฝันเห็นบิดา ท่านก็มาคิดว่าท่านไม่เคยทดแทนบุญคุณบิดาเลย จึงคิดบวชทดแทนบุญคุณซึ่งมารดาก็ให้การสนับสนุน
    ท่านจึงบวชเณรที่วัดท่าโพธิ์ จ. นครศรีธรรมราช โดยมี พระรัตนธัชมุนี ศรีธรรมราช (ม่วง) หรือเจ้าคุณวัดท่าโพธิ์ เป็นอุปัชฌาย์ เมื่อบวชเณรแล้วท่านได้ไปจำพรรษาที่วัดปากกิ้ว
    หลังจากบวชเณรได้ ๑ ปี มารดาของท่านก็เสียชีวิตไปอีก ทำให้ท่านเล็งเห็นว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ การบวชทำให้ท่านมีความสุขยิ่งกว่าทางโลกและเป็นการทดแทนบุญคุณบิดา-มารดา ด้วยท่านจึงตัดสินใจบวชไม่สึก ส่วนทรัพย์สมบัติที่ดินท่านก็ไม่ไยดี เป็นของนอกกาย ให้ญาติๆแบ่งกันไปหมด
    พอท่านมีอายุครบ ๒๐ ปี ท่านก็ออกบวชเป็นพระภิกษุโดยมีอุปัชฌาย์รูปเดิมเป็นผู้บวชให้รับนามฉายา ว่าโฆสโก ซึ่งแปลว่า “ผู้มีเสียงก้อง” หมายถึงมีธรรมอันกว้างใหญ่ไพศาลถ้วนทั่วนั่นเอง ท่านจำพรรษาอยู่จนถึง พ.ศ. ๒๔๗๘
    *** ท่านได้ออกไปศึกษาหาความรู้ทางปริยัติธรรมเพิ่มเติมที่วัดบวรนิเวศวิหารโดยมาเรือมากับพระภิกษุอีกสองรูปคือ***
    1 หลวงพ่อโอภาสี
    2 พระอาจารย์วิจิตรกรณีย์ (หลวงปู่ยิ่ง) ท่านเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อมุม รูปหนึ่งด้วย
    พ.ศ. ๒๔๗๘ เมื่อศึกษาจบในลำดับหนึ่ง ท่านได้ธุดงค์มากับหลวงปู่ยิ่ง และจำพรรษาที่วัดโพธิ์เกษตร อ.สวี จ.ชุมพร ส่วนหลวงพ่อโอภาสี ท่านได้แยกไปจำพรรษาที่อาศรมบางมด ธนบุรี
    พ.ศ. ๒๔๘๑ ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านนา อ.เมือง จ.ชุมพร และเป็นเจ้าอาวาสจนถึง พ.ศ. ๒๔๙๐
    พ.ศ. ๒๔๙๐ ท่านออกธุดงค์จำพรรษาอยู่ที่วัดกาญจนาราม อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี และธุดงค์ต่อไปถึงนครศรีธรรมราช แล้วย้อนกลับมาชุมพร
    พ.ศ. ๒๔๙๓ จำพรรษาที่วัดนาสัก ขณะนั้นเป็นวัดนาสักเป็นวัดร้างไม่มีพระสงฆ์ หลวงพ่อเลื่อน วัดสามแก้วได้ให้นายภู่ เกตุสถิตย์ กรรมการวัดนิมนต์หลวงพ่อมุม มาเป็นเจ้าอาวาสแทนหลวงพ่อสอนที่มรณภาพ อยู่ที่วัดนาสัก อ.สวี จ.ชุมพร จนกระทั้งมรณภาพ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๒
    ก่อนที่ท่านจะมรณภาพช่วงระยะเวลาหนึ่ง ได้มีการสร้างรูปเหมือนบูชาขนาดองค์จริงของหลวงพ่อมุมที่สำนักสงฆ์คนฑี ตั้งอยู่หมู่ 3 ต.บ้านนา อ.เมือง ชุมพร โดยมี พระอาจารย์ธรรม เป็นผู้จัดสร้างได้นิมนต์หลวงพ่อมุม ไปเจิมองค์รูปเหมือน หลวงพ่อมุมท่านได้กล่าวว่า ทำรูปเราไม่ได้ขอเราเลย อีกไม่นานหรอกเราก็คงต้องไป และท่านได้แจ้งให้พระลูกศิษย์คือหลวงพ่อบุญรอด ภาวโร วัดแก้วประชาราม (ทุ่งรี) ต.ท่าช้าง อ.เมือง จ.จันทบุรี ให้ทราบว่าท่านจะกลับแล้ว หลวงพ่อบุญรอด จึงได้สั่งหล่อรูปเหมือนขนาดองค์จริงมาไว้ที่วัดนาสัก เป็นองค์ประดิษฐานอยู่ที่วัดจนถึงปัจจุบันให้กับหลวงพ่อมุม
    ขณะที่หลวงพ่อมุมอยู่โรงพยาบาลชุมพร โยมผู้อุปถากท่านคือตาอิง (กรรมการวัด) ท่านได้บอกให้ตาอิง เอาน้ำมารดตัวท่าน (ท่านกำลังสละทิ้งธาตุ) ท่านบอกตาอิงว่าจะไปแล้ว เวลาที่ไปคือเวลาที่หยุด ต่อมาไม่นานท่านก็ละสังขาร ตาอิงจึงดูที่นาฬิกาเห็นว่า มันหยุดเดิน จึงถามแพทย์ว่าไม่ได้ตั้งเวลาหรือ แพทย์ให้พยาบาลไปดูเวลาในห้องแพทย์ นาฬิกาที่มีอยู่ทุกเรือนก็หยุดหมด แม้แต่เมื่อนำร่างหลวงพ่อมุมมาถึงที่วัด นาฬิกาของวัดนาสักก็หยุดและรวมถึงเมื่อตาอิงแจ้งข่าวให้ทางวัดโพธิเกษตรทราบข่าวการมรณภาพของหลวงพ่อมุมนาฬิกาของวัดก็หยุดด้วยเช่นกัน
    หลวงพ่อมุม มรณภาพ เมื่อวันอังคารที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๒ เวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น.
    นับพรรษาได้ ๗๑ พรรษา สิริอายุ ๙๑ พรรษา ปัจจุบันทางวัดได้เก็บร่างของท่านไว้ในโลงแก้ว เพื่อให้ผู้ที่ศิษยานุศิษย์ได้มากราบไหว้ ซึ่งได้กำหนดให้ทุกวันที่ ๑๕ เมษายน ของทุกปีเป็นวันทำบุญอุทิศให้หลวงพ่อมุม
    คาถาอาราธนาวัตถุมงคลของหลวงพ่อมุม โฆสโก
    อิติปิโส ภควา พุทธัง ธรรมมัง สังฆัง อาราธนานัง อธิฐามิ
    หลวงพ่อไม่ได้พูดสอนอะไรมากหรอก แค่ทำให้เราดู เป็นอยู่อย่างสมณะผู้เรียบง่าย ไม่ยึดถือยศศักดิ์ใดๆ รู้จักทดแทนคุณบิดามารดา มีน้อยใช่น้อย มีมากแบ่งปัน เสียสละรู้จักการให้ จากไปทิ้งธรรมสังขาร ให้ลูกหลานได้สังวร
    #ฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ


    เล่าพ่อหลวงมุม ท่านเสกเหล็กขูดมะพร้าวชนกัน มีน้าคนหนึ่งมาหาพ่อหลวงคุยกับพ่อหลวงพักนึง ก้อเดินไปเข้าห้องน้ำ ระหว่างเดินไปห้องน้ำ ไปเห็นเหล็กขูดพร้าวชนกันที่โรงครัวของวัด
    เล่าพ่อหลวงมุม ท่านแสดงฤทธิ์ มีคณะทหารจากระนองมาทำตะกรุดกับพ่อหลวง หลายนาย ซึ่งทหารพกระเบิดมือมาด้วย พ่อหลวงบอกไหนเอามาดูสิระเบิด พี่นุ้ยศิษย์พ่อหลวงพูดอย่าเล่นเดียวตายกันหมด พ่อหลวงพูดว่าระเบิดสวยดีนะ พร้อมกับดึงสลักแล้วโยนลงตรงหน้า ทหารกระโดนหมอบกัน ส่วนพี่นุ้ยเยี่ยวรดกางเกง พ่อหลวงหัวเราะแล้วพูดว่ากูทำไห้ดู

    เล่าพ่อหลวงมุม ท่านเสกเหล็กขูดมะพร้าวชนกัน มีน้าคนหนึ่งมาหาพ่อหลวงคุยกับพ่อหลวงพักนึง ก้อเดินไปเข้าห้องน้ำ ระหว่างเดินไปห้องน้ำ ไปเห็นเหล็กขูดพร้าวชนกันที่โรงครัวของวัด
    เล่าพ่อหลวงมุม ท่านแสดงฤทธิ์ มีคณะทหารจากระนองมาทำตะกรุดกับพ่อหลวง หลายนาย ซึ่งทหารพกระเบิดมือมาด้วย พ่อหลวงบอกไหนเอามาดูสิระเบิด พี่นุ้ยศิษย์พ่อหลวงพูดอย่าเล่นเดียวตายกันหมด พ่อหลวงพูดว่าระเบิดสวยดีนะ พร้อมกับดึงสลักแล้วโยนลงตรงหน้า ทหารกระโดนหมอบกัน ส่วนพี่นุ้ยเยี่ยวรดกางเกง พ่อหลวงหัวเราะแล้วพูดว่ากูทำไห้ดู

    เล่าถึงพลังจิตพ่อหลวงมุม วัดนาสักมีคลองหลังวัดช่วงหน้าฝน พี่นุ้ยแกเล่นปลาไม้ ปลาไม้เป็นของเล้นชนิดนึงผมก้อเคยเล่น พ่อทำไห้ เอาแผ่นไม้ตัดคล้ายรูปปลาแล้วตอกตะปูที่ด้านหัวปลา ถึงก้อเอาโยนลงคลองดึงชักขึ้นสู้น้ำเชี่ยวสนุกครับ ถ้าเปรียบเหมือนเด็กแล้นว่าวตามทุ้งนา แต่ปลาไม้นี้เล่นตามคลอง วันหนึ้งพีนุ้ยกำลังเล่นปลาไม้อย่างหนุก พ่อหลวงว่าปลาไม้มึงสู้ของกูไม่ได้หรอก พ่อหลวงหยิบพดพร้าวมาชิ้นนึงเสกแล้วโยนลงคลอง ด้วยความที่น้ำเชี่ยวทำไห้พดพร้าวโดนน้ำพัด0เลย พีนุ้ยว่าพ่อหลวงไหนของเติ้นละที่ว่าแน่เห็นน้ำพัด0แล้ว พ่อหลวงเลยเอารูปท่านชนิดกระดาษมา3รูปเสกพักนึงเสร็จโยนลงคลอง กระแสน้ำที่เชี่ยวไม่สามารถพัดพารูปพ่อหลวงได้ รูปท่านลอยนิ่งอยู่กับที่บนผิวน้ำ

    ครั้งหนึ่งเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว
    ได้มีโอกาสไป #วัดแก้วพิทักษ์เจริญธรรม เขตประเวศกรุงเทพมหานคร เมื่อไปถึงก็หาเจ้าอาวาส ได้พบหลวงตารูปหนึ่งซึ่งกำลังกวาดลานวัดอยู่
    ผมจึงเข้าไปสอบถามและแจ้งว่าจะมาหาท่านเจ้าคุณครับ ท่านบอกว่าให้เข้าไปรอในกุฏิ รอสักพัก หลวงตาที่กวาดบ้านก็เดินออกมาจากห้อง ผมเลยก้มกราบท่านเลยพูดว่า #เจ้าคุณก็หลวงตากวาดลานวัดนี่แหละ ท่านเกิด 13 ธ.ค. (วันเดียวกับผู้เขียน) เป็นชาวเขาปีบ จังหวัดชุมพร
    และได้สอบถามข้อมูลการสร้างเหรียญหลวงพ่อมุม ของวัดแก้วพิทักษ์เจริญธรรม ท่านเป็น ขอหลวงพ่อมุมสร้าง แกะพิมพ์ที่ กรุงเทพ และนำเหรียญไปให้หลวงพ่อมุม ปลุกเสกเอง
    ท่านได้เล่าถึงเหตุการณ์ในสมัยนั้นให้ฟังว่าได้เดินทางไปกับกระบะรถซูบารุเมื่อไปถึง วัดนาสัก ได้นำพระเครื่องจำนวนประมาณห้าพันเหรียญให้หลวงพ่อมุม และจะรอรับกลับในวันนั้นเลย
    หลวงพ่อมุมได้แจ้งว่าท่านกลับไปก่อน #เสกวันเสาร์ก็เสร็จวันอังคาร #เสกวันอังคารก็เสร็จวันเสาร์" และการเสกแต่ละครั้งต้อง #เสกจนหมดเสียงนกเสียงกา
    เมื่อถึงวันนัด ท่านเจ้าคุณ มารับเหรียญ ท่านก็แบ่งเหรียญไว้จำนวนหนึ่งเพื่อให้หลวงพ่อมุมแจกญาติโยม หลวงพ่อมุม บอกว่าคุณนำไปให้ผู้ที่มาทำบุญสร้างอุโบสถเถิด ส่วนใหญ่เหรียญวัดแก้วพิทักษ์เจริญธรรมจะกระจายที่กรุงเทพฯ และเขตปริมณฑลส่วนที่พบเห็นในพื้นที่ค่อนข้างน้อยมาก และท่านเจ้าคุณก็ยังบอกว่า ยังมีคนมาหาเหรียญหลวงพ่อมุม ที่วัดฉันอยู่เลย ปัจจุบันหมดไปตั้งนานแล้ว
    และท่านก็มอบพระพิมพ์ถ้ำเสือเนื้อดินเผาให้ผมกับเพื่อน คนละองค์ครับ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาทุกๆท่านอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวงพ่อมุมวัดนาสักออกวัดแก้วพิทักษ์ธรรม ให้บูชา 800 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

     
  11. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,359
    ค่าพลัง:
    +21,325
    วันนี้ จัดส่ง



    ขอบคุณครับ
     
  12. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,359
    ค่าพลัง:
    +21,325

    ประวัติพอเป็นสังเขปหลวงพ่อทองใบ วัดอบทม ท่านเป็นคนทางจังหวัดราชบุรี ไม่ใช่คนอ่างทองโดยกำเนิดเดิมท่านบวชอยู่วัดมหาธาตุที่ กทม (บางเขน)ชักชวนโดยมหาเสริฐ สมประสงค์(ซึ่งอยู่ที่ต้นทองทางเรือ)และพระ ผจญ(สร้อย) อ่วมกลัด แต่ท่านมาอยู่ที่วัดนี้ตั้งแต่ท่านเป็นมหามาแล้ว ชักชวนกันมาอยู่ที่วัดอบทม มาอยู่วัดใหม่ๆก็ไม่ค่อยเป็นที่นับถือของชาวบ้านบางคนสักเท่ารัยเนื่องจากเป็นพระอายุน้อยและใหม่แต่ด้วยความดีและเก่งมากและความเมตตาของท่านจึงทำให้ท่านเป็นที่เลื่อมใสของชาวอบทมเรื่อยมาจนกระทั่งละสังขารปัจจุบันสรีระสังขารยังอยู่ที่วัดอบทมไม่เน่าเปื่อยแถมยังมีเล็บงอกและเกศางอกประจำจนเป็นข่าวดังทั้งทีวีและหนังสือพิมพ์ตลอดที่ผ่านมา
    ส่วนเรื่องอิทธิฤทธิ์อภินิหารมีกันตลอดแม้กระทั้งหลวงพ่อคูณวัดบ้านไร่ยังเอ่ยปากพูด ไม่ว่าจะเป็นย่นระยะทาง ถอดจิต วาจาสิทธิ์ เลี่ยงผี เพราะหลวงพ่อเป็นพระที่ชอบศึกษาตลอดเวลา ปลุกเสกของเององค์เดียวได้รับนิมนต์ไปปลุกเสกทั่วจังหวัดและต่างจังหวัด
    ส่วนในทางธรรมหลวงพ่อเป็นพระที่เคร่งแต่ไม่ถือตัวหลวงพ่อนั้นไม่เคยปฎิเสษในการรับนิมนต์ใครไม่ว่าจะยากดีมีจน จะมารับหรือถ้าไม่มารับท่านก็จ้างวินมอเตอร์ไซค์ไปแม้กระทั้งเดินท่านก็ไม่เคยไม่ไปงานใครท่านเป็นพระที่เรียบง่ายติดดินไม่ถือตัว เรื่องที่โด่งดังคือบิณฑบาตรสองเวลาเช้ากับบ่ายเพื่อเอาไปให้แมวหมาหมูนกไก่แม้กระท่ั่งวัวที่ท่านเมตตาเลี่ยงไว้ที่วัด ท่านรักสัตว์มาก อีกเรื่องท่านเป็นพระที่ชอบเขียนอักขระยันต์มากเจิมรถท่านเจิมทั้งคันจนกระทั้งยางรถยังเจิม อีกเรื่องท่านจะแทนตัวเองว่า กู ตลอดไม่ว่าจะพูดกับใคร แม้กระทั่งรองเท้าท่านยังใช้มีดแกะตัว กไก่ ไว้ที่รองเท้าแตะเลยครับ นี่เป็นเพียงประวัติคร่าวๆที่กระผมได้เรียบเรียงไว้นานอยู่พอสมควร ไว้โอกาสหน้าจะนำ อภินิหารมาเล่าให้ฟังนะครับ ท่านใดมีเรื่องเล่าและประวัติอื่นๆมาช่วยเล่าเพิ่มเติมได้นะครับ
    ใคร ท่านใดมีเรื่องเล่าและประวัติอื่นๆมาช่วยเล่าเพิ่มเติมได้นะครับผม
    ท่านเจิมรถทีนึงเป็นครึ่งๆวันครับเจิมแบบทั้งคัน เจิมแม้กระทั่งน็อตและล้อกระจกมองข้างเรียกได้ว่าเจิมขาวพรึ๊บทั้งคันครับ และต้องชนสิ่งของอะไรก็ได้ต่อหน้าท่านก่อนเป็นเคล็ดถึงออกไปได้บางคนไม่ยอมชนเป็นเคล็ดพอออกไปหน้าวัดเจอชนแบบหน้าบู้ ทุกรายอันนี้เขาเล่ากันมากครับ และท่านยังแสดงแนวฤทธิ์ได้หลายอย่างให้ลูกศิษย์ไกล้ชิดท่านชม เช่นย่นระยะทาง ถอดจิต น้ำมนต์แก้ได้ทุกโรค เสกจิ้งจกออกจากมือท่านได้ เสกไฟให้ลุกท่วมมือท่าน และอีกนานับประการครับ และหลังจากท่านมรณะภาพร่างกายท่านก็ไม่เน่าเปื่อย ยังคงอยู่ให้ลุกศิษย์ได้กราบไหว้จนปัจจุบัน ท่านเป็นพระที่พระคณาจารย์หลายท่านในสมัยนั้นให้ความนับถือมากครับ หลวงพ่อทรง หลวงพ่อเกษมวัดม่วง ท่านก็เคารพหลวงพ่อทองใบมากครับ สมัยที่ท่านมีสังขารอยู่ ทั้งนักการเมืองทหาร ตำรวจ ล้วนแต่ประสบการณ์และติดอันดับต้นๆ



    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระผงรูปเหมือนรุ่น ๑ หลวงพ่อทองใบวัดอบทม
    ให้บูชา (ปิดรายการ) บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
     
  13. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,359
    ค่าพลัง:
    +21,325


    ถ้าใครที่ได้เคยไปกราปหลวงปู่สนธิ์ บอกได้เลยว่าจะเกิดความศรัทธาตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเจอและจะรักในตัวของท่าน

    หลวงปู่สนธิ์เป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อยู่อย่างเรียบง่ายสมถะ เมตตาลูกศิษย์ทุกคน ไม่โอ้อวดในวิชาอาคม ชอบสอนให้ปล่อยวางอย่าไปยึดติดอะไรมากมาย เพราะท่านเป็นแบบนี้จึงมีลูกศิษย์เลื่อมใสศรัทธาท่านทั่วประเทศ...
    ใครที่เคยไปกราปท่านจะรู้ดีว่าท่านเก่งมากแค่ไหน และทุกวันนี้ท่านก็ยังคงคุ้มครองปกปักรักษาลูกศิษย์อยู่เสมอ
    ศรัทธาอยู่ในหัวใจ

    ประวัติพระครูประภัสร์วุฒิคุณ หลวงปู่สนธิ์ ประภัสร์สะโร
    พระครูประภัสร์วุฒิคุณ ฉายา ประภัสสะโร สังกัด วัดทุ่งพระ ต.ท่าเกษม อ.เมือง จ.สระแก้ว
    ชื่อเดิมนายคำสนธิ์ ภูมิชิน เกิดวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ.2471 สถานที่เกิด บ้านเนินบก ต.นนทรีย์ อ.กบินทร์บุรี
    จ.ปราจีนบุรี เป็นบุตรของ คุณพ่อยัง คุณแม่แสน ภูมิชิน มีพี่น้องทั้งหมด 7 คน มีรายนามดังนี้
    1.หลวงปู่สนธิ์ ประภัสร์สะโร เป็นบุตรคนแรก ,2.นายส่าน ภูมิชิน ,3.นางสำราญ ภูมิชิน ,4.นางอาน อ่อนประดา
    5.นายเสน่ห์ ภูมิชิน ,6.นายไฉน ภูมิชิน ,7.นายถนอม ภูมิชิน
    อุปสมบทเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ.2491 ณ วัดนูประสาทวราวาส(หนองป่าตอง) ต.นนทรีย์ อ.กบินทร์บุรี
    จ.ปราจีนบุรี โดยมีท่านเจ้าคุณพระธรรมสันทัศกาจารย์ อดีตเจ้าคณะจังหวัดปราจีนบุรี เป็นพระอุปัชฌาย์
    พระปลัดโสภา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระเจ้าอธิการสุรินทร์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    วิทยฐานะทางการศึกษา
    - วุฒิสามัญ ชั้น ป.4
    - วุฒินักธรรม นธ.เอก
    ตำแหน่งการปกครอง
    - พ.ศ.2495 เป็นเจ้าอาวาสวัดหนองป่าตอง
    - พ.ศ.2511 เป็นเจ้าอาวาสวัดทุ่งพระ
    - พ.ศ.2526 เป็นรองเจ้าคณะตำบลท่าเกษม
    - พ.ศ.2528 เป็นพระอุปัชฌาย์
    - พ.ศ.2539 เป็นเจ้าคณะตำบลท่าเกษม
    - พ.ศ.2551 เป็นเจ้าคณะตำบลกิตติมศักดิ์ตำบลท่าเกษม ตลอดมา
    สมณะศักดิ์
    - พ.ศ.2518 เป็นเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ชั้นตรี
    - พ.ศ.2524 เป็นเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ชั้นโท
    - พ.ศ.2534 เป็นเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ชั้นเอก

    เมื่อครั้งวันแรกหลวงปู่สนธิ์ว่าจะบวชแค่ 3 วัน แต่แล้วครั้งนั้นมีหลวงพ่อจาดวัดบางกระเบาท่านได้ทำนายเอาไว้ว่า หลวงปู่สนธิ์ จะครองสมณะคาจีวรจนถึงวาระสุดท้ายของฃีวิต สมัยเมื่อครั้งยังเป็นพระหนุ่มๆช่วงนั้นท่านได้ทำการออกธุดงตามแถบชายแดนแถบป่าใหญ่ของประเทศเพื่อนบ้านซึ่งสมัยนั้นถ้าไม่เก่งจริงคงไม่มีใครกล้าเข้าป่าแน่นอนเพราะอันตรายทั้งเรื่องใข้ป่า เรื่องสัตว์ดุร้ายและเรื่องสู้รบของเพื่อนบ้านมีเสียงปืนเสียงระเบิดดังสนั่นไม่เว้นแต่ละวัน ท่านได้ธุดงเป็นเวลานานหลายปีจนแก่กล้าวิชาอาคม ถ้าใครที่เคยไปกราปหลวงปู่สนธิ์และให้ท่านจารหัวหรือจารวัตถุมงคลท่านมักจะบอกหลังจารเสร็จว่า ต่อให้ระเบิด ปืนกน เอ็มสิบหกก็มาเลยไม่มีทางทำอะไรได้ หลวงปู่สนธิ์ท่านมีความเมตตาสูงไม่ยึดติด ใครไปหาท่านก็เมตตาช่วยทุกคนแม้กระทั่งเด็กเล็กยันถึงคนแก่เฒ่า ท่านไม่เคยเรียกร้องเงินแม้แต่สตางค์เดียว สมัยก่อนจะมีคนไปให้ท่านช่วยรักษาโรคภัยใข้เจ็บอยู่บ่อยๆและมีคนบอกว่าท่านเป็นหมอเทวดาท่านเก่งเรื่องรักษาการต่อกระดูก ต่อชะตา เมตตามหานิยม การค้าขายและยังเก่งในเรื่องวิชาอาคมสายเหนียว มหาอุต ท่านได้ทำการเขียนตารายันต์ต่างๆขึ้นมาด้วยมือท่านเองรวมเล่มครบทุกสายก็ว่าได้ หลวงปู่สนธิ์ท่านยังได้ร่ำเรียนวิชาจากหลวงพ่อทองวัดสระแก้วจนสำเร็จแก่กล้าวิชา เมื่อครั้นมีคนไปกราปไหว้หลวงพ่อทอง หลวงพ่อทองท่านจะพูดว่าถ้าท่านไม่อยู่ก็ให้ไปหาหลวงปู่สนธิ์ เพราะหลวงปู่สนธิ์มีดีครบทุกอย่างแล้ว หลวงปู่สนธิ์ท่านเป็นพระที่ไม่อยากออกสื่อไม่ชอบวุ่นวายไม่อยากดัง ไม่ค่อยให้ใครถ่ายรูป และไม่ค่อยให้ใครมาถูกเนื้อต้องตัวท่าน เราเลยไม่ค่อยจะได้เห็นรูปภาพท่านสมัยหนุ่มๆจนถึงสมัยอายุช่วง 84 ปี จึงไม่ค่อยมีใครรู้จักท่านนอกจากคนพื้นที่เท่านั้นที่รู้ว่าท่านเก่ง และหลังจากอายุปี 84 เป็นต้นมาท่านจึงเริ่มค่อยแผร่บารมีท่านยอมให้ถ่ายรูปยอมออกรับกิจนิมนต์พุทธาภิเษก และยอมให้จัดสร้างวัตถุมงคลเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของศิษยานุศิษย์ วัตถุมงคลของท่านได้เกิดประสบการณ์ขึ้นหลายอย่างช่วยผ่อนหนักเป็นเบาช่วยให้แคล้วคลาดปลอดภัย คนที่มีไว้ใช้แล้วเกิดประสบการณ์กับตัวเองจึงบอกปากต่อปากทำให้คนอยากได้คุ้มครองตัวเองจึงมีการเก็บสะสมในวงกว้างขึ้น หลังจากนั้นบารมีท่านก็แผร่กระจายอย่างรวดเร็วมีลูกศิษย์เพิ่มมากขึ้นและท่านก็มีชื่อเสียงดังไกลทั่วประเทศ นับได้ว่าท่านเป็นสุดยอดเกจิของเมืองไทยอีกรูป ลูกศฺษย์มักจะพูดว่าท่านคือ “เพชรน้ำเอกแห่งทิศบูรพา” หลวงปู่สนธิ์ท่านได้สร้างความดีเอาไว้เยอะมากมาย เมตตาแก่ลูกศิษย์ทุกคน จึงทำให้ลูกศิษย์ศรัทธาเลื่อมใสตลอดมาและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และท่านก็มาถึงวาระสุดท้าย หลวงปู่สนธิ์ ท่านได้ละสังขารลงอย่างสงบได้วัยชรา ท่านมรณะภาพเช้าวันที่ 12 พค.2560 ด้วยท่านั่งโน้มตัวไปด้านหน้าโดยมีกระโถนรองรับตรงหน้าอกศรีษะเกือบจรดพื้น ท่านมรณะภาพด้วยวัย 89 ปี 69 พรรษา ซึ่งเป็นไปตามคำทำนายของหลวงพ่อจาดทุกประการ.....หลวงปู่สนธิ์ท่านได้ทิ้งคุณงามความดีไว้ให้ศิษยานุศิษย์จดจำตลอดไป
    “เพชรน้ำเอกแห่งทิศบูรพา”
    หลวงปู่สนธิ์ ประภัสร์สะโร

    ประวัติ คำว่า ค่ายนรก ในสมัยที่หลวงพ่อมาอยู่วัดทุ่งพระ ราวๆปี พ.ศ. 2500 ในตอนนั้นวัดทุ่งพระยังเป็นที่พักสงฆ์ และยังเป็นป่า เป็นดง ที่สำคัญบ้านทุ่งพระและวัดจะเป็นแหล่งชุมนุมของบรรดา เสือ ปล้น ฆ่า ทั้งหลาย เมื่อก่อคดีแล้วก็จะหลบมาอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน และวัด เพื่อหลบเจ้าหน้าที่บ้านเมือง เวลาวัดจัดงาน ก็จะมีการยิงกันตาย ฆ่ากันตายเป็นประจำ หลวงพ่อท่านพูดกับตัวเองว่า เรามาอยู่นี่ มันวัด หรือ นรก กันแน่ จะว่าเป็นวัดก็มีแต่โจรมาชุมนุมกัน ท่านต้องต่อสู้กับบรรดาคนเหล่านี้ อยู่หลายปี กว่าจะเป็นวัดโดยสมบูรณ์ นับแต่นั้นมา ท่านเลยให้ฉายาวัดของท่าน ว่า ค่ายนรก สาธุ #เครดิต พระอธิการวัชรินทร์ กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดทุ่งพระ

    ขอบคุณท่านเจ้าของหมดความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    รูปหล่อร หลวงปู่สนธิ์วัดทุ่งพระสร้าง 3000 องค์
    ให้บูชา
    350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

     
  14. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,359
    ค่าพลัง:
    +21,325
    วันนี้จัดส่ง



    ขอบคุณครับ
     
  15. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,359
    ค่าพลัง:
    +21,325

    ประวัติหลวงปู่สม สุชีโว
    ชื่อ พระครูโสภณสิริธรรม ฉายา สุชีโว วัด โพธิ์ทอง เลขที่ 46 หมู่ที่ 9 ตำบล / แขวง คำหยาด อำเภอ/เขต โพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง
    ชื่อเดิม บุญสม นามสกุล พรหมทอง วัน/เดือน/ปี เกิด 10เมษายน2473
    สัญชาติ ไทย เชื้อชาติ ไทย
    สถานที่บ้านเกิด หัวหาด ตำบล บางหลาง อำเภอ สรรพยา จังหวัด ชัยนาท
    นามบิดา นายหวล นามสกุล พรหมทอง
    นามมารดา นางละมาย นามสกุล พรหมทอง
    อุปสมบทเมื่อ 18กรกฎาคม2497ที่วัด สวนลำใย ได้รับฉายาว่า สุชีโว
    ตั้งอยู่ที่ เลขที่ 57 หมู่ที่ ถนน ตำบล บางหลวง อำเภอ สรรพยา จังหวัด ชัยนาท
    นามพระอุปัชฌาย์ พระครูธรรมวิทยโสภณ (หลวงพ่อชม วัดตลุก)
    สังกัดวัด อินทราราม ตำบล ตลุก อำเภอ สรรพยา จังหวัด ชัยนาท
    มรณภาพ 10 มิถุนายน 2557 สิริรวมอายุ 85 ปี พรรษา 61 ปี
    หลวงพ่อสม หรือ พระครูโสภณสิริธรรม สุชีโว วัดโพธิ์ทอง ต.คำหยาด อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง เป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ทอง เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง อีกทั้งยังเป็นพระแพทย์แผนโบราณ เป็นพระนักการศึกษา พระนักปกครอง และพระนักพัฒนาพร้อมกันไป ชื่อเสียงของหลวงพ่อสม จึงได้ขจรขจายไปทั้งเมืองอ่างทอง เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวบ้านโดยทั่วไป
    พระครูโสภณสิริธรรม สุชีโว มีนามเดิมว่า สม พรหมทอง เกิดเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2473 บิดา-มารดา ชื่อนายหวล และนางละมาย พรหมทอง เกิดที่บ้านบางลำพู ข้างวัดสังเวชวิศยาราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ ท่านเป็นบุตรชายคนโต ต่อมา ได้อพยพครอบครัวไปตั้งรกรากอยู่ที่ อ.สรรพยา จ.ชัยนาท
    ด้วยความที่บิดามีความสนิทสนมกับสมภารวัดที่อยู่ใกล้กับบ้าน คือ หลวงพ่อทรัพย์ เจ้าอาวาสวัดอินทาราม (วัดตลุก) จึงได้นำบุตรชายไปฝากให้เป็นลูกศิษย์คอยปรนนิบัติรับใช้ในกิจการต่างๆ รวมทั้งอบรมสั่งสอนเล่าเรียนวิชาการต่างๆ จากหลวงพ่อทรัพย์ และโรงเรียนประชาบาลที่อยู่ภายในวัดอินทาราม จนจบการศึกษาอันเป็นชั้นสูงสุดของโรงเรียน
    นอกจากวิชาสามัญในโรงเรียนแล้ว หลวงพ่อทรัพย์ ยังได้อบรมสั่งสอนวิชาแพทย์แผนโบราณ ทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติให้ เนื่องจากหลวงพ่อทรัพย์ เป็นหมอยาไทยที่มีชื่อเสียง จะมีผู้คนมาให้ท่านรักษากันมาก จึงมีหน้าที่ปรุงยาไทยให้หลวงพ่อทรัพย์ ตามใบกำกับยาที่ท่านสั่งให้ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้หลวงพ่อสม ได้สั่งสมความรู้ทางแพทย์แผนโบราณอย่างดี
    จนอายุ 17 ปี ด.ช.สม พรหมทอง ได้บรรพชาเป็นสามเณรอยู่ที่วัดอินทาราม (วัดตลุก) ตั้งอยู่หมู่ที่ 2 ตำบลตลุก อำเภอสรรพยา และเรียนพระปริยัติธรรมอยู่ที่สำนักเรียนวัดอินทาราม พ.ศ.2490 สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี พ.ศ.2491 สอบได้นักธรรมชั้นโท
    นอกจากนี้ ยังได้เรียนวิทยาคมจากพระเกจิอาจารย์ชื่อดังที่เดินทางมาอยู่ปริวาสที่วัดอินทาราม เช่น หลวงพ่อรุ่ง และหลวงพ่อเดิม พระเกจิชื่อดังแห่งวัดหนองโพ จ.นครสวรรค์ จนอายุ 19 ปี ได้ลาสึกออกมาด้วยเหตุที่โยมบิดา-มารดามีอายุชราภาพมากขึ้น จำต้องออกมาช่วยงานหาเลี้ยงครอบครัว คือ การควบคุมเรือบรรทุกสินค้าล่องมาค้าขายที่กรุงเทพฯ
    จนเมื่ออายุ 24 ปี ได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดอินทาราม มีพระครูธรรมวิริยโสภณ (ทรัพย์) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระสมุห์สนิท เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์เส็ง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “สุชีโว” มีความหมายว่า “ผู้มีชีวิตอันงาม”
    หลังอุปสมบทจึงหมั่นศึกษาต่อจากที่ได้เล่าเรียนเมื่อครั้งเป็นสามเณร จนสามารถสอบได้นักธรรมชั้นเอก ครั้นหมดภาระทางการศึกษาพระปริยัติธรรม จึงหันไปศึกษาตำราแพทย์แผนโบราณต่อจากที่เคยได้ศึกษาไว้เมื่อครั้งเป็นสามเณร จากหลวงพ่อทรัพย์ เจ้าอาวาสวัดอินทาราม (วัดตลุก) ท่านได้ศึกษาอย่างจริงจัง เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง ด้วยความ มุ่งมั่นเกี่ยวกับการรักษาโรคด้วยยาสมุนไพร ทำให้หลวงพ่อสม ได้รับนิมนต์ให้ไปบรรยายวิชาแพทย์แผนโบราณแก่หน่วยงานของทางราชการ และหน่วยงานเอกชน
    ยามว่างงานด้านการรักษาโรค ก็ศึกษาข้อกัมมัฏฐาน และหมั่นเพียรปฏิบัติสมาธิกัมมัฏฐานอย่างเอาจริงเอาจัง นอกจากนี้ หลวงพ่อทรัพย์ ได้ฝึกอบรมหลวงพ่อสม ด้วยการให้ท่านเขียนลบเลขยันต์ต่างๆ ในแผ่นกระดานชนวนอยู่อย่างนั้นนับแรมปี ด้วยสิ่งใดก็ตามเมื่อทำอย่างซ้ำๆ จะเป็นผลดีในการฝึกจิตแบบอดทนนอกจากนี้
    หลวงพ่อสม ได้ไปศึกษาวิทยาคมเพิ่มเติมกับน้าแท้ๆ ของท่าน คือ หลวงน้าเก็บ หรือหลวงพ่อเก็บ แห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท กล่าวได้ว่า หลวงพ่อเก็บ เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ศุข แห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า พระเกจิชื่อดัง
    ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อสม ได้มาอยู่กับหลวงน้าของท่านที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า ได้ตั้งใจศึกษาวิทยาคมสายหลวงปู่ศุขอย่างจริงจัง จนมีความสำเร็จ และมีประสบการณ์ให้ได้เห็นกันในปัจจุบัน ส่งผลให้วัตถุมงคลที่ท่านได้ร่วมนั่งปรกอธิษฐานจิตมีความเข้มขลัง ได้รับการยอมรับจากบรรดานักสะสมนิยมพระเครื่องเป็นอย่างยิ่ง
    หลวงพ่อสม ได้ฝึกจิตด้วยความเพียร โดยเห็นว่า “จิตเป็นที่ตั้งแห่งความดีและความชั่ว ความดีและความชั่วนั้นต่างมีพลังงานในตัวของมันเอง และพลังงานของทั้ง 2 ฝ่ายเป็นปฏิปักษ์กันโดยธรรมชาติ มีการต่อสู้กันอยู่เนืองนิตย์ จิตใจเป็นสนามต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย”
    “ผลแห่งการต่อสู้นั้นด้วย คือ พลอยเป็นสุขเมื่อความดีชนะ พลอยเป็นทุกข์เดือดร้อนเมื่อความชั่วชนะ จิตใจย่อมมีอิสรเสรีที่จะเข้ากับฝ่ายใดก็ได้ เมื่อพิจารณาด้วยปัญญาแล้วเห็นควรเข้ากับฝ่ายใด และมีทางเอาตัวรอดจากอำนาจทั้ง 2 ฝ่ายนั้นด้วย”
    พ.ศ.2525 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ทอง อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง ต่อมา ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท ในราชทินนามพระครูโสภณสิริธรรม
    พ.ศ.2549 เป็นเจ้าคณะอำเภอโพธิ์ทอง ในปีเดียวกัน หลวงพ่อสมได้เข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาในมหาวิทยาลัยสงฆ์ ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตวัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี จนจบหลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิต
    หลวงพ่อสม มีชื่อเสียงเกียรติคุณในด้านการจัดสร้างพระผง ได้มีการนำมวลสารผงอิทธิเจ ผงปถมัง ผงมหาราช ผงตรีนิสิงเห ที่ได้ผ่านการเขียนสูตร เรียกสูตร ลบสูตรทุกขั้นตอนตามแบบโบราณหลวงพ่อสม ได้บอกเล่าถึงกระบวนการทำผงมวลสารวัตถุมงคลว่า “ต้องหาที่มุมสงบเพื่อให้จิตนิ่งเป็นสมาธิแล้วเขียนสูตรพร้อมเรียกสูตรไปที ลบตัวอักขระ จนครบทุกตัวอักขระเลขยันต์บนกระดานชนวน 1 ครั้ง หรือ 1 รอบ ต้องใช้เวลาเขียนสูตร เรียกสูตร ลบสูตรเป็นเวลาถึง 3 ชั่วโมงครึ่ง รวมทั้งการหาฤกษ์เขียนสูตรผง จะต้องเป็นฤกษ์ที่สมบูรณ์ที่สุด เพื่อให้ผงนั้นมีพุทธคุณเข้มขลังมากที่สุด”
    ขอบคุณเพจ [https://mgronline.com/local/detail/...mIPjhpluCfU2Wm-ma4YH6Wifb5m66xX-pnUnVJyD8m7g)
    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ขุนแผนรุ่นแรกหลวงปู่สมวัดโพธิ์ทอง ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

     
  16. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,359
    ค่าพลัง:
    +21,325


    พระอาจารย์ไท ฐานุตฺตโม
    พระอาจารย์ไทผู้หยั่งรู้กรรมเก่า
    July 26, 2017 Ampol Jane
    ได้ยินว่า..
    จรรยาบรรณโหรนั้น – ห้ามพยากรณ์ใครว่าจะถึงคราวตาย
    แต่พระอาจารย์ไทพยากรณ์ได้อย่างแม่นยำ
    ราวๆปี ๒๕๓๐ ผม,บวร และ เฮียบัติ นัดกันไปทำธุระที่เชียงใหม่ โดยมี >เฮียบิ< ล่วงหน้าไปคอยอยู่ที่นั่นแล้ว
    ขณะนั้นกำลังคิดจะลงทุนทำอะไรสักอย่าง ก็มีผู้แนะนำให้ไปหาพระอาจารย์รูปหนึ่ง(จำชื่อไม่ได้)พำนักอยู่วัดเล็กๆหลังดอยสุเทพ
    ร่ำลือว่าใครจะทำธุระกิจอะไร,จะซื้อที่ดินที่ไหน ชอบไปปรึกษาหารือกับท่านทั้งนั้น..
    เขาบอกอีกว่าให้ซื้อลิโพวิตันดีไปถวาย ..ท่านชอบฉันลิโพฯ

    เมื่อไปถึง-พบว่ามีพระภิกษุ ๒ รูป นั่งอยู่ด้วยกันในศาลา
    ภิกษุรูปหนึ่งยังหนุ่ม อีกรูปหนึ่งสูงวัยกว่า
    ผู้นำทางกระซิบเบาๆ ชี้เป้าไปที่องค์ซึ่งยังหนุ่มๆ
    ผมก็คลานเข้าไปหาองค์นั้น.. จะเอาลิโพฯไปถวาย .. ท่านก็โบกมือห้ามไว้ ..โบ้ยไปที่พระภิกษุสูงวัย ..บอกผมว่าให้เอาลิโพฯไปถวายองค์นั้น
    ท่านคงเห็นผมชะงัก และมีอาการลังเลสับสน ท่านจึงเอ็ดเบาๆว่า “..นั่นน่ะอาจารย์ฉัน..ท่านมาเยี่ยมพอดี ..มีอะไร สงสัยอะไร อยากรู้อะไร ให้ถามท่าน ”
    ได้ยินเท่านั้นก็ถึงกับลิงโลดอยู่ในใจว่าวาสนาอะไรจะดีขนาดนี้
    รีบคลานเข้าไป ยกถุงลิโพฯขึ้นจบหัวถวาย, ท่านรับเอาไว้,.. โดยที่ไม่ทันได้เอ่ยปากถามอะไรเลย ท่านก็มีบัญชาด้วยเสียงดังฟังชัดว่า
    ” เอากระดาษปากกาขึ้นมาจด ! ”
    บวรรีบควักกระดาษปากกาที่เผอิญพกมาด้วย..เตรียมจด
    “..นางน้อย,นางหงส์,นางจันทร์ และตระกูลหงส์บุญทั้งหมด คือเจ้ากรรมนายเวร… วิธีแก้ ข้าวต้มเครื่อง ๑ หม้อ ,ขนมจีน ๗ ถ้วย, ไม้กวาด ๑ ด้าม เอาไปถวายพระ อุทิศให้คนทั้งหมดที่กล่าวนามมานี้ ”
    ” ผมไปทำอะไรให้พวกเขาหรือครับ..”
    “..อย่าถาม มันลึกมาก ..เชื่อก็ทำ ไม่เชื่อก็ไม่ต้องทำ ..จะไปทำที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาทำกับฉัน”
    ท่านพูดจาสั้นๆห้วนๆ..ไม่ยืดยาดร่ำไร
    เมื่อผมถอยออกมา บวรก็คลานเข้าไป ท่านมองหน้าบวรฯโดยที่ไม่ได้ถามอะไรเช่นกัน..แล้วก็เอ่ยปากว่า
    ” ทำบุญทุกวันเกิดติดต่อกัน ๓ ปี อุทิศให้ยายหอม”
    ครั้นบวรคลานออกมา ..เฮียบิก็รีบคลานเข้าไปมั่ง
    ท่านชี้ใส่เฮียบิ
    “พญามารหูกะตายะตา เจ้ากรรมนายเวร.. วิธีแก้..ใส่บาตรด้วยส้มเขียวหวาน ๑๕ ลูก ติดต่อกัน ๓ วัน อุทิศให้พญามาร”
    “อาจารย์ครับถ้าผมใส่บาตรวันเว้นวันได้ไหมครับ บางวันตื่นสาย..”
    “ไม่ได้..ถ้าไม่มั่นว่าจะทำต่อเนื่องได้ทั้ง ๓ วัน ก็อย่าเพิ่งทำ”
    “ถ้าผมจะใส่ส้มไม่ครบ ๑๕ ลูก หรือว่าผมจะใส่เกิน ๑๕ ลูกจะเป็นไรไหมครับ”
    “ไม่ได้.. ขาดก็ไม่ได้ เกินก็ไม่ได้”
    “เมียผมตื่นเช้าทุกวัน..ถ้าผมจะให้เมียผมใส่บาตรแทนล่ะครับ”
    ” ไม่ได้.. ไม่เชื่อก็อย่าทำ..” ท่านเอ็ดตะโรเสียงดังลั่น, ชี้นิ้วใส่ท้ายทอยของท่านเอง “..เราน่ะ กำลังจะเป็นมะเร็งตรงนี้..จะตายในไม่เกิน ๓ เดือน ..ยังไม่รู้ตัวอีกรึ ? ”

    คงต้องบอกว่า บุคคลิกของ -เฮียบิ- โดยเฉพาะวิธีพูดและการทำอะไรๆยียวนกวนประสาทแบบหน้าตายไร้ความรู้สึกนั้น สามารถทำให้ใครก็ตามที่คุยด้วย หลั่งน้ำกรดออกมากัดท้องไส้ตน จนเป็นโรคกระเพาะเอาง่ายๆ

    ตกลงก็ไม่ได้ถามและไม่ได้รับคำตอบเรื่องธุระกิจที่กำลังจะลงทุน
    กลับได้เรื่องได้ราวเจ้ากรรมนายเวร หรือ“กรรมเก่า“ของใครของมันมาแทน

    ภายหลังจึงทราบว่าพระภิกษสูงวัยรูปนั้นคือพระอาจารย์ไท ฐานุตฺตโม วัดเขาพุนก อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี ซึ่งเป็นทั้งศิษย์และเป็นทั้งหลานแท้ๆของหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโมอีกด้วย
    พระอาจารย์ไท ฐานุตฺตโม วัดเขาพุนก อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี
    พระอาจารย์ไท ฐานุตฺตโม
    หลังจากกลับออกมาจากวัด ก็แวะเข้าไปเที่ยวสวนสัตว์เชียงใหม่
    เรื่องแปลกประหลาดก็เกิดแบบไม่คาด
    เสือดำในกรงกว้างที่กำลังนอนเงียบอยู่นั้น พอเห็นเฮียบิปุ๊บ ก็ลุกขึ้นปั๊บ ปรี่เข้ามาประชิดลูกกรง แยกเขี้ยวคำราม จ้องเฮียบิตาเป็นมัน
    เฮียบิเดินไปไหนก็เดินตามเหมือนอยากจะกินเฮียบิเต็มแก่
    เฮียบิแกล้งเดินกลับไปกลับมา
    เสือดำก็เดินตามกลับไปกลับมาเหมือนกัน
    แปลกที่เสือมันไม่สนใจคนอื่นเลย
    จ้องจะเล่นงานเฮียบิคนเดียว
    วันรุ่งขึ้นเฮียบิออกไปใส่บาตรที่หน้าวัดพระสิงห์ฯซึ่งอยู่ใกล้กับโรงแรมที่พัก
    พอเฮียบิกลับเข้ามา ผมก็นึกสังหรณ์ใจ ถามไปว่า
    “เฮียบิ..ใส่ส้มเขียวหวานไปกี่ลูก”
    ” ๓๐ลูก..”
    “อ้าว..หลวงพ่อท่านสั่งให้ใส่ ๑๕ ลูก อย่าขาดอย่าเกินไม่ใช่เรอะ”
    “ผมว่า..ผมใส่ส้มไป ๓๐ ลูก น่าจะดีกว่า.. แต่ถ้าพญามารฯไม่โอเค.ผมก็ไม่สน..”

    หลังจากนั้นราวๆเดือนกว่าๆ เฮียบัติโทรฯมาบอกผมว่า
    “ไอ้บิแย่แล้ว..”
    “แย่ยังไง”
    “จู่ๆมันปวดหัว ไปหาหมอ ตรวจเจอมะเร็งอยู่กลางกระบาลเลย”
    “แย่จริงๆ”
    ” มันคงปลงตก..วันๆไม่ทำอะไร ..ชอบจะไปนั่งเงียบๆคนเดียวอยู่ริมคลองหลอด ”

    อีกเดือนกว่า เฮียบิก็เสียชีวิต ตรงตามที่พระอาจารย์ไทพยากรณ์ไว้ทุกประการ

    ในส่วนของผมกับบวรก็คงคล้ายๆกัน คือไม่ถึงกับจะเชื่อที่พระอาจารย์ไทบอกทั้งหมด แต่พอเฮียบิป่วยเสียชีวิตไปจริง ก็บอกกันว่าต้องทำ
    ผมรีบทำก่อนที่วัดป่าแสนสำราญ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี .. แต่บวรฯต้องรอวันเกิดอีกหลายเดือน

    ๖-๗ ปีต่อมา .. ได้เล่าเรื่องนี้ให้อ.อนันต์ สวัสดิสวนีย์ กับอ.เบิ้ม สุวัฒน์ พบร่มเย็น ฟัง
    ทั้ง ๒ ท่านสนใจอยากไปกราบพระอาจารย์ไทหรือจะอยากไปสังเกตุการณ์ก็ไม่ทราบ
    ระหว่างเดินทาง ผมก็บอกอาจารย์ทั้งสองว่า ผมจะลองถามท่านเรื่องกรรมเก่าของผม ถ้าท่านยังมีกรรมเก่าให้ผมอีกสักกรรม ผมก็จะว่าท่านอาจารย์ไทเป็นของเก๊
    เมื่อไปถึงวัดเขาพุนก พระอาจารย์ไทกำลังรับแขกคนหนึ่งอยู่ เราก็รอจนแขกท่านนั้นกราบลากลับ จึงคลานเข้าไปหา
    ท่านจำผมไม่ได้หรอกครับ
    เพราะเคยเจอกันครั้งเดียวที่เชียงใหม่
    ผมเองก็ยังจำหน้าท่านไม่ได้เลย
    “มีธุระอะไร?”
    “อยากให้หลวงพ่อดูกรรมเก่าของผม”
    ท่านก็เอาปากกามาเขียนใส่กระดาษ เขียนวนไปวนมา ขยึกขยัก ผมก็แอบชะโงกดูว่าท่านเขียนอะไร
    ไส้เดือนกิ้งกือครับ
    ท่านขีดเขียนไปไม่มีสาระอะไรเลย เป็นเส้นเป็นสายแบบเด็กๆที่ยังเขียนหนังสือไม่เป็น ..เขียนสุ่มสี่สุ่มห้าเรื่อยเปื่อย
    สักพักท่านก็หยุดเขียน ..เงยหน้าขึ้นมองผม แล้วบอกว่า
    ” ไม่มี… แต่ให้ระวังกรรมใหม่ที่จะเกิดจากปลายปากกา ”
    ไม่อยากจะเชื่อเลย..
    รู้อีกด้วยว่าผมคนหากินอยู่กับการเขียนหนังสือ
    นี่เรียกว่าเป็นบุญวาสนา ..ได้พบเจอพระอาจารย์ของจริง,เก่งจริงอีกรูปหนึ่งเข้าให้แล้ว
    แต่น่าเสียดายและเสียใจอย่างยิ่ง..ยังไม่ทันจะได้สานต่ออะไรๆจริงๆจังๆเลย
    เพียงเดือนเศษๆหลังจากนั้นก็ได้ข่าวว่า.. พระอาจารย์ไทมรณภาพแล้ว
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับเว็บ Ampoljane.com


    ในคืนวันหนึ่งหลังจากที่ท่านปฏิบัติกัมมัฏฐานแล้วลูกศิษย์ท่านหนึ่งได้กราบเรียนถามถึงการปฏิบัติธรรมของท่านท่านได้เมตตาเล่าให้ฟังว่าขณะที่ท่านปฏิบัติธรรมอยู่ถ้ำผาไทจังหวัดลำปาง จิตได้ความสงบจนได้เกิดนิมิตมีดังระเบิดขึ้นสนั่นเมื่อเสียงนั้นเงียบลงแล้วท่านก็ได้ยินเสียงพูดขึ้ชัดเจนว่า"ครูบา...ขณะนี้จิตท่านได้ถึงความสงบแล้วขอให้ท่านรักษาจิตของท่านให้มีความสงบอย่างนี้ตลอดไปจะมีผู้คนเคารพสักการะและมาพึ่งปาระมีท่านเป็นอันมาก
    ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป"
    แล้วเสียงพูดนั้นก็เงียบไป
    ครั้นท่านได้กำหนดจิตต่อเนื่องไปอีกก็บังเกิดแสงสว่างกระจ่างนวลสดใสสามารถจะมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้แจ่มชัดต่อจากนั้นมาก็มีท่านครูฤาษีมาบอกคาถาและตัวยาต่างๆเพื่อให้ท่านได้โปรดญาติโยมที่เจ็บไข้ได้ป่วยและประสบเคราะห์กรรมทุกข์ภัยที่พากันมาขอเมตตาปาระมีจากท่านมากมายในทุกแห่งที่ท่านพำนักอยู่
    ขอบคุณเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ล็อกเก็ตพระอาจารย์ไท หายากไม่ค่อยเจอครับ ให้บูชา 470 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

     
  17. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,359
    ค่าพลัง:
    +21,325

    ศึกษาพุทธาคม เมื่ออุปสมบทแล้ว ได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดเขาปฐวี เพราะมีความเสื่อมใสศรัทธาหลวงปู่ธูปเป็นอย่างยิ่ง หลวงพ่อโฉมสนใจในเรื่องไสยเวทย์มาตั้งแต่อายุ 10 กว่าปี เมื่อทราบว่าหลวงปู่ธูปมีความเชี่ยวชาญในด้านไสยเวทย์มาก มีความตั้งใจจะอยู่ใกล้ชิด ต้องการศึกษาวิชาจากหลวงปู่ธูป ได้มาจำพรรษาอยู่วัดเขาปฐวี ได้ใกล้ชิดรับใช้หลวงปู่ธูป หลวงพ่อโฉม ได้เรียนนักธรรมพร้อมศึกษาวิชาวิปัสสนากรรมฐาน สมถกรรมฐานและไสยเวทย์ คาถาอาคมต่าง ๆ
    วิชาการหนุนธาตุทั้ง 4 วิชาบรรจุพลังเวทย์มนต์ให้คงอยู่ในวัตถุธาตุ ทำตะกรุดโทน ตะกรุดมหาลูด ทำผงเมตตา วิชาอยู่ยงคงกระพัน มหาอุต การขับคูณไสย ทำน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ จากหลวงปู่ธูป เจ้าอาวาสวัดเขาปฐวีองค์ก่อน หลวงปู่ธูป ท่านเป็นชาวอำเภอพรหมบุรี จ.สิงห์บุรี เป็นพระลูกมูล ชอบออกธุดงค์เป็นประจำ เคยเดินธุดงค์มาวัดเขาปฐวีถึง 3 ครั้ง ในครั้งหลังสุดประมาณปี พ.ศ.2485 ได้มาจำพรรษาอยู่วัดเขาปฐวี ได้นำเอาตำรับตำราไสยเวทย์ต่าง ๆ มาไว้ที่วัดเขาปฐวีมากมาย ท่านมาอยู่วัดเขาปฐวีจนได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส ส่วนตำราที่นำมาอยู่วัดเขาปฐวี มีของหลวงพ่อมา วัดปกมะพร้าวสูง ของหลวงพ่อเภา วัดถ้ำตะโก ของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงปู่ธูป กล่าวบอกหลวงพ่อโฉมว่า ท่านได้ศึกษาวิชาคาถาต่าง ๆ จากหลวงพ่อเภา วัดถ้ำตะโก อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี อยู่ไม่ไกลบ้านเกิดของท่าน และได้ธุดงค์ไป จ.นครสวรรค์ ไปเรียนวิชากับหลวงพ่อแก วัดส้มเสี้ยว ต่อจากวัดส้มเสี้ยว ก็ธุดงค์ต่อไป อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร ได้ไปวัดคฤหบดีสงฆ์ พบกับท่านพระครูวิบูลย์วชิรธรรม (หลวงพ่อสว่าง อุตตโร) เข้าปรึกษาขอเรียนวิชาไสยเวทย์ คาถาอาคม พิธีการบวงสรวง ปลุกเสกบรรจุพุทธคุณเข้มขลังด้านคงกระพันชาตรี และแคล้วคลาด จากนั้นก็เดินทางกลับผ่านมายัง อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท มีโยมชาวบ้านเป็นหมอไสยศาสตร์ ได้ถวายตำราอาคมต่าง ๆ ของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่าให้มา 1 เล่ม และได้ตกทอดมาอยู่วัดเขาปฐวี หลวงปู่ธูป อยู่ในวัย 70 กว่าปี ได้สอนวิชาคาถาอาคม ไสยเวทย์ต่าง ๆ ให้หลวงพ่อโฉม ตลอดมาจนถึงปีพ.ศ.2507 หลวงปู่ธูป ฉนฺทธมโม ก็ได้ละสังขารมรณภาพลงรวมสิริอายุได้ 82 ปี หลวงพ่อโฉม ถึงแม้ว่าจะเล่าเรียนวิชาไสยเวทย์ก็หาละทิ้งเรียนธรรมไม่ ท่านสอบได้นักธรรมเอกในปีพ.ศ.2504 เป็นเจ้าอาวาสวัดเขาปฐวี ต่อมาถึงปัจจุบันและต่อมาในปีพ.ศ.2534 ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ ในเรื่องเรียนวิชาไสยเวทย์ในพรรษาที่ 9 ได้ไปขอเรียนวิชาสายหลวงพ่อเดิมกับพระครูอุเทศวรรณสารณ (หลวงพ่อปุย กตปุณโญ) วัดหนองสระ วิชาเสกมีดหมอ คาถาคงกระพัน คาถานางกวัก เสกเคี้ยวงา นอกจากนั้นอดีตเจ้าอาวาสยุคต้น ๆ ของวัดเขาปฐวียังมีหลวงพ่ออยู่ ได้เขียนตำราไสยเวทย์ทิ้งไว้ หลวงพ่อโฉมได้นำมาศึกษา มีวิชาขับคูณไสยทำตะกรุดคลอดลูก ตะกรุดป้องการผีป่า วิชานั่งทางในดูฤกษ์ยามอุบากอง เวลาปลูกบ้าน ออกรถ วางศิลาฤกษ์ การเดินทาง ลาสิกขา พระอาจารย์ของหลวงพ่ออีกองค์หนึ่งคือ หลวงพ่อพลอย วัดทุ่งโพธิ์ ท่านเป็นสายไหนไม่ทราบ แต่ว่าท่านเก่งเรื่องคงกระพันชาตรีและมหาอุต ด้านวาจาศักดิ์สิทธิ์มาก อยู่อำเภอหนองฉาง จังหวัดอุทัยธานี พูดถึงหลวงพ่อพลอย วัดทุ่งโพธิ์ ดังจากอุทัยเข้ามาถึงกรุงเทพฯ ว่าปากพระร่วง คงเป็นเพราะหลวงพ่อโฉมได้วิชาดีมากจากท่าน ทำให้หลวงพ่อโฉม ก็วาจาศักดิ์สิทธิ์ ส่วนวิชาหุงน้ำมันมนต์ รักษากระดูกแตก กระดูกหัก กระดูกร้าว ไปเรียนมาจาก พ.อ. ชม สุคันธ์รักษ์ และได้เรียนวิชาเสกปลักขิกกระโดดได้จากครูถึง อยู่จังหวัดสุพรรณบุรี ทำให้ปลัดมีชื่อเสียงโด่งดัง หลวงพ่อโฉมได้เรียนวิชากับพระเกจิอาจารย์สายเขาอ้อ จังหวัดพัทลุง ชื่อพระอาจารย์ขาว ท่านจำไม่ได้ว่าอยู่วัดอะไร พระอาจารย์ขาวบอกว่าวิชาที่สอนให้เป็นวิชาของสำนักเขาอ้อ เมื่อประมาณปีพ.ศ.2515 มีผู้ใหญ่บานได้ไปนิมนต์พระอาจารย์ขาว มาจากพัทลุงหลายครั้ง ได้นิมนต์ท่านมาพักที่วัดเขาปฐวีหลายครั้ง มีครั้งหนึ่งท่านมาจำพรรษาอยู่ที่วัดเขาปฐวี 1 พรรษา และได้มาถ่ายทอดวิชาไล่ผีขับวิญญาณให้หลวงพ่อโฉม วิชาที่หลวงพ่อใช้เกี่ยวกับเรื่องไล่ผี ขับวิญญาณที่ใช้รักษาอยู่ทุกวันนี้ เป็นวิชาสายเขาอ้อของพระอาจารย์ขาวนั่นเอง รักษาได้ผลหายเกือบทุกรายไป ที่กล่าวเรื่องราวประวัติด้านศึกษาไสยเวทย์ของหลวงพ่อโฉม แสดงให้เห็นว่าท่านสนใจมุมานะ และมีวิชาไสยเวทย์เข้มขลังจริงเชื่อถือได้ 100%
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระสมเด็จรุ่นแรกหลวงพ่อโฉมวัดเขาปฐวี

    ให้บูชา 220 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

     
  18. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,359
    ค่าพลัง:
    +21,325
    เหรียญพระเจ้าตากสินวัดเขาปฐวี จ.อุทัยธานี ปี2516 มี 3 แบบ
    แบบแรกด้านหนึ่งเป็นรูปพระเจ้าตากทรงม้า อีกด้านเป็นรูปพระประธาน สร้างจำนวน 2516 เแบบที่สองด้านหนึ่งเป็นรูปพระเจ้าตากทรงม้า อีกด้านเป็นรูปพระแก้วมรกต สร้างจำนวน 2516 เหรียญหรียญ
    แบบที่สามด้านหนึ่งเป็นรูปพระแก้วมรกต อีกด้านเป็นรูปรูปพระประธาน สร้างจำนวน 1250 เหรียญ
    พระคณาจารย์นั่งปรก 9 รูป พุทธาภิเษก ณ วัดชนะสงคราม
    1.พระรักขิตวันมุนี(หลวงพ่อถีร) วัดป่าเลไลยก์
    2. พระครูภาวนาวิสุทธิ์ วัดพรหมเทวาวาส
    3. พระครูนนท์นวกิจวิมล(หลวงพ่อชื่น) วัดตำหนักเหนือ
    4. พระวิมลกิจจารักษ์ วัดชนะสงคราม
    5. พระครูวิริยะกิตติ (หลวงปู่โต๊ะ) วัดประดู่ฉิมพลี
    6. พระครูศรีพรหมโสภิต(หลวงพ่อแพ) วัดพิกุลทอง
    7. พระครูสมุห์ลอย วัดชนะสงคราม
    8. พระครูโสภนกัลยาณวัตร(หลวงพ่อเส่ง) วัดกัลยาณมิตร
    9. พระครูญาณวิจักขณ์(พระอาจารย์ผ่อง) วัดจักรวรรดิ์ราชาวาส
    พุทธคุณหายห่วง อีกหนึ่งเหรียญสวย ปีลึกที่น่าสะสมครับ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่หมายส่งครับ

    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

     
  19. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,359
    ค่าพลัง:
    +21,325


    หลวงพ่อฉ่ำ ฐานุตฺตโม ท่านถือกำเนิดเมื่อ ปีระกา พ.ศ.๒๔๕๑ เป็นชาวจังหวัด มหาสารคาม เดิมท่านชื่อ ฉ่ำ โคนันทะ เมื่อท่านอายุได้ ๑๓ ปี โยมบิดาได้นำท่านไปฝาก พระอธิการท่านหนึ่งที่นับถือกัน ให้บวชเณรให้ เพื่อให้หลวงพ่อได้เล่าเรียน จนอ่านออกเขียนได้ จวบจนถึงปี พ.ศ.๒๔๗๑ เมื่อท่านอายุครบบวชท่านก็ได้ อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อบวชแล้วท่านก็ได้ศึกษาร่ำเรียนวิชาความรู้ มากพอสมควร ครั้นเมื่อท่านบวชได้ ๓ พรรษา ท่านก็ได้สึกออกมา เพื่อตามหาบิดาของท่าน พ.ศ.๒๕๑๕-๒๕๑๖ ที่มาหางานทำจนมามีครอบครัวใหม่ ที่บ้านห้วยบง จังหวัดสระบุรี และท่านได้ช่วยบิดาของท่าน ยึดอาชีพทำนาอยู่หลายปี เมื่อหมดฤดูฝนจากหน้าทำนา ท่านก็มักเสาะแสวงหา หลวงพ่อเก่งๆเพื่อไปร่ำเรียนวิชาจากพระอาจารย์ใกล้ๆบ้านทุกปีเป็นประจำ จนเมื่อท่านได้ภรรยา ชื่อนาง บุ ท่านก็ได้ตกลงมีครอบครัว อยู่กินด้วยกัน ที่บ้านเขาดินเหนือ มีบุตรด้วยกัน ๕ คน (๑.) อาจารย์น้อย มรณะ ปี พ.ศ.๒๕๔๘ (๒). ผู้ใหญ่มา เสียชีวิตแล้ว ปีพ.ศ.๒๕๖๑ (๓.) ลุงเหลียว ยังมีชีวิต (๔.) ลุง กล่ำ เสียชีวิตแล้ว (๕.) อาจารย์จร้ำ มรณะปี พ.ศ.๒๕๔๗ ตอนที่ท่านมีครอบครัวท่านก็ยังเสาะหาร่ำเรียนวิชาอยู่อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าหลวงพ่อที่ใดเก่งๆ ท่านก็ไปร่ำเรียนหมด เมื่อท่านเรียนมากจนเกินไป ก็เอาวิชาไม่อยู่ บ้างก็บอกว่าธาตุไฟแตก บ้างก็บอกว่าบ้าวิชา จนบุตรของท่านจับขังไว้ด้วยโซ่ ๘ หุน ท่านบอกว่าท่านร้อน อยู่ไม่ได้ แล้วท่านก็สะเดาะโซ่ และกลอน ประตูออก หลังจากนั้นท่านได้เดินทางไปหาอาจารย์เก่าของท่าน ที่ชราภาพแล้ว ท่านได้จำศิลอยู่ ๑ปี และเวลานี้เองอาจารย์ของท่านได้ถ่ายทอดวิชาของท่านเองจนหมด อาจารย์ท่านบอกว่า ถ้าเป็นฆารวาสจะเอาวิชาไม่อยู่ ท่านจึงแนะนำให้หลวงพ่อมาบวช ตั้งจิตสมาธิแล้วให้รีบปล่อยของออกไป เพราะตอนท่านเรียนวิชา ท่านไม่ได้ออกของ ไม่ได้ไหว้ครู ..เมื่อท่านบวชอีกครั้ง ท่านก็ได้ฉายาว่า ฐานุตฺตโม ภายหลังจากที่ท่านบวชแล้วหลายพรรษาท่านก็ได้มาจำพรรษาอยู่ที่ (วัดทองพุ่มพวง) เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๓ จนเมื่อถึงราวๆปี พ.ศ.๒๕๑๕ ท่านก็ได้ทำตะกรุดออกมาให้ลูกศิษย์และชาวบ้าน บางคนที่ไม่เข้าใจ ก็หาว่าท่าน อวดอุตริ เลยเอาตะกรุดของท่านไปลองยิง แต่กับยิงไม่ออกเลย ..ช่วงราวปี พ.ศ.๒๕๑๗ ท่านได้มาจำพรรษาที่วัดหนองหว้า ท่านก็ได้ทำตะกรุด ออกเป็นเอกลักษ์ของวัดหนองหว้า ถัดมาอีกสองปีท่านจึงได้ออกเหรียญรุ่นแรก เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๙ เป็นเหรียญทองแดงผิวไฟ จำนวน ๑๐๐กว่าเหรียญ เคยมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งและพวกอีกสองสามคน เอาเหรียญท่าน ไปลองที่บ่อดินลูกรัง แต่กับยิงไม่ออก เหรียญของท่านจึงหมดจากวัดไปรวดเร็ว ..ทาง นายเบียบ ในขณะนั้นได้ถูกรางวัลล็อตเตอร์รี่พอดิบพอดี จึงมีทุนพร้อมผู้ใหญ่ที่เอาของท่านไปลอง ได้จัดสร้างเพิ่มจำนวน ๑,๐๐๐ กว่าเหรียญ เป็นเนื้อทองแดงรมดำ หลังจากสร้างเสร็จได้ไม่นาน หลวงพ่อท่านก็ได้เก็บบรรจุกรุไว้จำนวนหนึ่ง ..จวบจนถึงปี พ.ศ.๒๕๒๓ พระอาจารย์จร้ำ บุตรของท่าน ได้มาขอให้ท่านหาเงินนำไปบูรณะ (วัดบ่อโศรก) ท่านจึงทำ สมเด็จหลังยันต์เก้านวะคุณ ด้านล่างใต้ยันต์ จะเขียนว่า (วัดบ่อโครก) ท่านปลุกเสกที่หน้าวิหารวัดหนองหว้า (หลังเก่า) และส่วนมากได้นำมาให้บูชาและแจกจ่ายที่ วัดหนองหว้า แต่รายได้จากการให้บูชา นำไปให้ วัดบ่อโศรก แต่ก็จำหน่ายได้ไม่เยอะ จนถึงปลายปี พ.ศ.๒๕๒๔ หลวงพ่อก็ได้นำพระชุดนี้ มาอยู่ที่วัดบ่อโศรก ปี พ.ศ.๒๕๒๕ ก็ปล่อยให้บูชา ก็เลยเป็น สมเด็จปี๒๕๒๕ จำนวนจัดสร้างประมาณ ๒,๐๐๐องค์ ท่านถึงแก่มรณภาพลงเมื่อ ปี พ.ศ.๒๕๓๔ สิริอายุรวม ๘๔ ปี ๕๔ พรรษา

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    วัตถุมงคลของท่านมีประสบการณ์สูงไม่ด้านมหาอุดคงกระพัน เป็นพระท้องถิ่นที่มีราคาสูงไม่มีชื่อรู้จักทั่วไปแต่ในพื้นที่วัตถุมงคลของท่านมีราคาสูงมากพระสมเด็จรุ่นแรกก่อนช่วงโควิดราคาพันถึงพันห้า
    พระสมเด็จรุ่นแรกหลวงพ่อฉ่ำวัดหนองหว้าออกวัดบ่อโศกให้บูชา 500 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

     
  20. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,359
    ค่าพลัง:
    +21,325


    พระสมเด็จเนื้อผงหลวงพ่อพระเสริมสร้างโดยมูลนิธิศาลาพระราชศรัทธา-มูลนิธิถาวรจิตตถาวโร-วงศ์มาลัย โดยพระอาจารย์มหาถาวรหรือพระเทพวิมลญาณ (พระตาถาวร จิตฺตถาวโร) วัดปทุมวนาราม กรุงเทพฯ เป็นผู้จัดสร้าง พิธีใหญ่ศักดิ์สิทธิ์ เนื้อหามวลสารศักดิ์สิทธิ์จํานวนมาก**อีกหนึ่งพระดีพิธียิ่งใหญ่ เจตนาการจัดสร้างโปร่งใส เพื่อนํารายได้ไปสมทบทุนการก่อสร้างศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนาราม ซึ่งพระเครื่องรุ่นนี้แกะพิมพ์โดย นายช่างเกษม มงคลเจริญ
    เนื้อหามวลสารต่างๆ ที่นํามาจัดสร้างพระผงรุ่นนี้ มีดังนี้ พระผงธูปวัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดบวรนิเวศวิหาร วัดปทุมวนาราม วัดโสธรวนาราม วัดไร่ขิง วัดบ้านแหลม วัดป่าบ้านตาด วัดหินหมากเป้ง วัดหลวงพ่อโต(บางพลี) ศาลพระกาฬลพบุรี แผ่นอิฐประตูเมืองกบิลพัสด์ ด้านตะวันออก อันเป็นด้านที่เจ้าชายสิทธัตถะ เสด็จทรงผนวช ดินจากสถานพุทธประสูติลุมพินี ประเทศเนปาล ผงพระของขวัญหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ผงวัดระฆัง ผงปิโยมหาราช ผงตรีนิสิงเห และผงจากพระคณาจารย์สายพระกรรมฐานภาคอีสาน และภาคต่างๆ อีกมากมาย ฯลฯ จัดพิธีมหาพุทธาภิเษก เมื่อวันที่ 5 พ.ค พ.ศ.2535 โดยมีสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงเป็นประธานจุดเทียนชัย และอธิษฐานจิต พระธรรมไตรโลกาจารย์(หลวงปู่รักษ์ เรวโต) วัดศรีเมือง จ.หนองคาย***ศิษย์เอกรุ่นใหญ่หลวงปู่มั่น*** เป็นประธานดับเทียนชัย พร้อมพระคณาจารย์ทั้งสายธรรมยุตและสายมหานิกายถึง 142 รูป ซึ่งเป็นพิธีใหญ่พิธีหนึ่งที่ไม่ธรรมดา
    ท่านเจ้าพระคุณพระอาจารย์ถาวร (พระอาจารย์มหาถาวร จิตฺตถาวโร) วัดปทุมวนารามฯ กรุงเทพฯ ท่านถือเป็นกําลังหลักในสายธรรมยุติ และเป็นศิษย์องค์สําคัญในสายพระอาจารย์มั่นได้รับการอบรมกรรมฐานจากครูบาอาจารย์พระกรรมฐานหลายรูป อาทิ เช่น หลวงปู่ขาว อนาลโย , หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี , พระราชมุนี (โฮม โสภโณ) , หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เป็นต้น ท่านทั้งเป็นพระนักปฏิบัติและพระนักพัฒนาที่น่าเคารพกราบไหว้มาก
    หลวงพ่อพระเสริมวัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร พระพุทธรูปเก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง ที่เกี่ยวพันกับองค์หลวงพ่อ พระใส ซึ่งเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองชาวหนองคายมาช้านาน ตามประวัติได้กล่าวไว้ว่า จัดสร้างขึ้นพร้อม กันกับหลวงพ่อพระเสริม และหลวงพ่อพระสุก ซึ่งได้อัญเชิญมาจากนครเวียงจันทร์ โดยลำเลียงมาทางลำน้ำโขง แต่ในระหว่างที่ล่องมา องค์พระสุกได้จมน้ำหายไปจึงเหลือพระเพียงสององค์ เท่านั้น องค์พระเสริมนั้นประดิษฐานอยู่ ณ วัดปทุมวนาราม กทม. ส่วนองค์พระใสนั้น ประดิษฐานอยู่ ณ วัดโพธิ์ชัย เป็นมิ่งขวัญปกป้องคุ้มครองพี่น้องชาวอีสานให้มีความสุขสงบ เรื่องความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เลื่องลือมาช้านาน
    พิธีมหาพุทธาภิเษกท่านเจ้าพระคุณ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเบิกพระเนตรพระพุทธปฏิมา และพิธีชัยมังคลาภิเษกในวันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ณ มณฑลพิธีศาลาพระราชศรัทธาวัดปทุมวนาราม โดยอาราธนาพระเกจิอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณทั่วประเทศ 142 รูป มาร่วมพิธีมหาพุทธาภิเษก อาทิเช่น
    1. หลวงปู่วิริยังค์ วัดธรรมมงคล
    2. หลวงปู่หลอด วัดสิริกมลาวาศ
    3. พระอาจารย์มหาถาวร วัดปทุมวนาราม กรุงเทพฯ
    4. หลวงปู่บุดดา วัดกลางชูศรีเจริญสุข สิงห์บุรี
    5. หลวงปู่ดี วัดพระรูป สุพรรณบุรี
    6. หลวงปู่ม่น วัดเนินตามาก ชลบุรี
    7. หลวงพ่อจำเนียร วัดดอนไร่ สุพรรณบุรี
    8. หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ นครปฐม
    9. หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม นครปฐม
    10. หลวงพ่อหยอด วัดแก้วเจริญ สมุทรสงคราม
    11. หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการม กาญจนบุรี
    12. หลวงพ่อเกตุ วัดเกาะหลัก ประจวบคีรีขันธ์
    13. หลวงปู่เหรียญ วัดอรัญบรรพต หนองคาย
    14. หลวงปู่ศรีจันทร์ วัดเลยหลง เลย
    15. หลวงปู่คำพอง วัดพัฒนาราม อุดรธานี
    16. หลวงปู่ท่อน วัดถ้ำอภัยคีรีวัน อุดรธานี
    17. หลวงปู่หลวง วัดป่าสำราญนิวาส ลำปาง
    18. หลวงพ่อวิชัย วัดถ้ำผาจม เชียงราย
    19. หลวงปู่คร่ำ วัดวังหว้า ระยอง
    20. หลวงพ่อเริ่ม วัดจุกกระเชอ ชลบุรี
    21. หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ ระยอง เป็นต้น
    ที่มา : หนังสือมหามงคลแห่งแผ่นดิน โดย คุณอลุย์นันท์ทัต กิจไชยพร และ หนังสือ สระปทุมฯ ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ให้บูชาพระสมเด็จหลวงพ่อพระเสริมปี 2535 ๒ องค์ด้านหลัง มีคาบกาวหนึ่งองค์ อีกองค์บิ่นด้านบน
    ให้บูชา 2 องค์ผู้ 420 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

     

แชร์หน้านี้