พระอาจารย์หนู วัดโพธิ์ ท่าเตียน

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย fan9, 9 สิงหาคม 2008.

  1. fan9

    fan9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    207
    ค่าพลัง:
    +246
    ไม่ทราบว่าเคยมีใครเล่าไปแล้วหรือยัง ถ้าซ้ำก็ขออภัยด้วย

    "พระผงกระดูกผี" เป็นพระเครื่องที่สร้างมาจากมวลสารวัสดุที่ไม่เหมือนพระเครื่องอื่นๆ พระเครื่องชนิดนี้ใช้ผงและเถ้ากระดูกผีของคนที่ตายไปแล้วมาสร้าง ฉะนั้นพระผงกระดูกผีย่อมมีอิทธิฤทธิ์ที่แตกต่างไปจากพระเครื่องทั่วไป ..
    แม้จะมีผู้สร้างไม่มากนัก แต่ก็มีบ้างบางสำนักแต่สำนักที่คนรู้จักกันมากไม่มีที่ไหนดังเกินพระผงกระดูกผี"วัดโพธิ์ ท่าเตียน กทม" ผู้สร้างคือพระอาจารย์หนู พื้นเพเป็นชาวสุรินทร์ เชื้อสายส่วย มีความเชี่ยวชาญทางไสยศาสตร์เขมรมาก ปกติทุกวันพระอาจารย์หนูมักเก็บตัวเงียบตามลำพังไม่ค่อยพูดคุยกับพระรูปอื่นๆ เพื่อทบทวนวิชาและปฎิบัติพิธีกรรมทางไสยศาตร์ ภายในกุฎิเต็มไปด้วยโต๊ะบูชา เครื่องเซ่นต่างๆตามพิธีกรรมเขมร บรรยากาศในกุฎิเงียบ วังเวงและดูน่ากลัว หากไม่มีความจำเป็นจะไม่มีใครอยากเข้าไปในกุฎิท่านยิ่งตอนกลางคืนยิ่งไม่มีใครอยากเข้าไปแม้แต่จะเดินผ่าน เพราะลือกันว่าท่านเลี้ยงผีไว้

    มูลเหตุการเกิดพระผงกระดูกผีวัดโพธิ์ ก็เนื่องจากเมื่อปี2484เริ่มเกิดสงครามโลกครั้งที่2ซึ่งเริ่มรุกราวเข้าไทยและประกอยด้วยสงครามอินโดจีน โดยที่ไทยต้องเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่2โดยอยู่ฝ่ายอักษะ ณี่ปุ่นเข้าตั้งฐานทัพในไทยหลายแห่ง ฝ่ายพันมิตรจึงได้ส่งเครื่องบินเข้าทิ้งระเบิดตามจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญต่างๆในประเทศไทยเพื่อตัดกำลังฝ่ายอักษะ ยิ่งกรุงเทพฯโดนแทบไม่ต้องทำอะไรกัน ผู้คนทิ้งบ้านเรือนร้านค้าออกไปอยู่ตามหัวเมืองบ้านนอกจนสงครามสงบจึงกลับมา สมัยนนั้นกรุงเทพฯไม่ผิดกับแดนมิคสัญญี สภาพทั่วไปเต็มไปด้วยซากปรกหักพังและมีแต่ความเงียบเหงา
    เมื่อประเทศไทยและประชาชนตกในสภาพเช่นนี้ บรรดาพระเกจิอาจารย์ต่างๆที่เชี่ยวชาญด้านอาคมและไสยเวทย์ จึงต่างพากันสร้างวัตถุมงคลออกแจกเพื่อปลอบขวัญและเป็นกำลังใจแก่ทหารและประชาชนกันมาก ยิ่งพระอาจารย์หนูด้วยแล้วจากที่ท่านชอบเก็บตัวเงียบปฎิบ้ติพิธีกรรมทางไสยศาสตร์เพียงรูปเดียวในกุฎิไม่ค่อยยุ่งสุงสิงกับใคร แต่เมื่อเกิดภาวะสงครามขึ้นท่านจึงได้คิดสร้างวัตถุมงคลขึ้นเพื่อแจกทหารและประชาชนเพื่อนำไปบูชาคุ้มครองอันตราย นี่คือสาเหตุการเกิด "พระผงกระดูกผีวัดโพธิ์"ที่ขึ้นชื่อด้านอิทธิ์ฤทธิ์และปาฎิหารย์มากมาย แม้สงครามโลกจะจบลงแต่เรื่องเล่าขานในอิทธิฤทธิ์ของพระผงกระดูกผีของท่านยังคงเล่าขานกันอยู่เสมอ
    ***
    จากที่ท่านมีเชื้อสายส่วย วิชาอาคมของท่านก็เป็นไสยศาสตร์ของเขมร ซึ่งพิธีกรรมจึงหนักไปในทางลัทธิศาสนาพราหมณ์และขอมโบราณ ท่านจึงสร้างพระเครื่องที่ยึดเอาคติพิธีกรรมมาจากสายนี้ พระเครื่องของท่านสร้างจากวัสดุอาถรรพ์จำพวกผงกระดูกผี ผู้ที่มีชิวิตทันท่านเล่าว่า "ท่านเอาผงและขี้เถ้ากีะดูกผีมาเก็บรวบรวมได้7ป่าช้า ซึ่งสมัยนั้นการฌาปนกิจศพไม่เหมือนปัจจุบัน ผงเถ้ากระดูกผีจากศพคนตายจึงหาได้ง่าย"
    นอกจากผงกระดูกผี7ป่าช้าแล้ว ท่านยังใสมวลสารที่ทำให้พระเครื่องของท่านเกิดอิทธิฤทธิ์มากมายนั่นคือ"ว่านโพง"
    "ว่านโพง" เรียกอีกอย่างว่า"ว่านกระสือ" เชื่อกันว่ามีวิญญาณร้ายสิงอยู่ในว่านนี้ ชอบกินเลือดสดๆและเนื้อสัตว์ป่าเป็นอาหาร อาจารย์ฆราวาทเขมรที่เก่งไสยศาสตร์ชอบเลี้ยงว่านชนิดนี้ไว้เพื่อใช้ทำงานต่างๆ โดยมากใช้ทำร้ายฝ่ายตรงข้าม ผู้ที่จะเลี้ยงว่านชนิดนี้ได้จะต้องมีวิชาอาคมที่กล้าแข็งอย่างมากเพราะมิฉนั้นวิญญาณร้ายของว่านนี้จะเข้าทำร้ายผู้เลี้ยงเองได้
    ก่อนที่อาจารย์หนูท่านจะนำมวลสารเหล่านี้มาสร้างเป็นพระเครื่องท่านได้สะกดวิญญาณอาถรรพ์ต่างๆเสียก่อน จากนั้นนำมาตำ บดและผสมเข้าด้วยกัน ตลอดจนการกดพิมพ์ท่านก็ทำเองโดยลำพังเงียบๆ เมื่อกดพิมพ์เสร็จก็นำออกไปตากแดดผึ่งลมเสร็จแล้วก็นำเข้าไปปลุกเสกดัวยตัวเองเงียบๆภายในกุฎิท่าน
    พระเครื่องเนื้อกระดูกผีนี้พระอาจารย์หนุท่านนำออกแจกจ่ายให้กับชาวบ้านทั่วไป เพื่อนำไปบูชาคุ้มครองจากอันตราย เมื่อแรกที่ท่านนำออกแจกจ่ายนั้นมีแต่คนหวาดกลัวไม่ค่อยกล้ารับกัน จะมีผู้ไปขอจากท่านก็แต่ลูกศิษย์เด็กวัดและชาวบ้านในระแวกวัดเท่านั้นเพราะเห็นว่าแจกกันฟรีๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานพระผงกระดูกผีของท่านก่อปฎิหารย์มากมายด้านการคุ้มครองอันตรายจากการถูกทิ้งระเบิด ทำให้ผู้คนที่ทราบข่าวต่างแห่กันมาที่วัดเพื่อขอรับพระผงกระดูกผีชุดนี้จากท่านโดยไม่หวาดกลัวเหมือนครั้งแรกที่ท่านแจก
    ผู้ที่ได้รับไปต่างมีประสพการณ์และอภินิหารแปลกประหลาดมากมายเป็นที่เล่าขานกันมาตลอด บางเรื่องก็ออกแนวสยองขวัญ จากคำบอกเล่าของผู้บูชาพระผงกระดูกผีของท่านส่วนมากมีประสพการณ์ด้านคุ้มครองดีมากจริงๆ เดินทางไปไหนถ้าเอาพระกระดูกผีติดตัวไปด้วยจะแคล้วคลาดจากอันตรายต่างๆ ยิ่งเดินทางคนเดียวไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืนก็มักไม่ค่อยถูกปองร้ายหรือจี้ปล้น บางครั้งทำให้เห็นเป็นคนอื่นหรือศัตรูเกิดการจังงังไม่สามารถเข้าทำร้ายได้ บางคนถูกจ่อยิงในระยะประชิด ลูกปืนก็อ้อมไปเสียหมดไม่โดนร่างกาย
    จากประสพการณ์ของผู้บูชาน่าจะพอสรุปได้ว่าพระผงกระดูกผีวัดโพธิ์น่าจะเหมาะกับผู้ที่ต้องเสี่ยงภัยหรือชอบผจญภัยมากกว่าผู้ที่ปรพกอบอาชีพค้าขาย เพราะสร้างขึ้นในช่วงสงคราม ผู้สร้างจึงเน้นไปในทางคุ้มครองอันตราย จึงไม่ปรากฎผลในทางเมตตามหานิยมหรือโชคลาภเท่าไหร่ ....
    สำหรับผู้ที่ขวัญอ่อนก็ไม่แนะนำให้พกพาพระผงกระดูกผีวัดโพธิ์เพราะเสี่ยงไม่น้อย ถ้าใครบูชาติดตัวอยู่ก็อย่าลืมทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เจ้าของกระดูกด้วยครับ ..... จบ

    ++ทั้งหมดนี้คัดลอกมาจากหนังสือครับ++
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2008
  2. nuttapont

    nuttapont Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,043
    ค่าพลัง:
    +87
    มีตัวอย่างไหมครับ อยากเห็นจัง ยังไงขอบคุณมากๆครับสำหรับความรู้ดีๆแบบนี้
    อนุโมทนาบุญครับ
     
  3. มันตรัย

    มันตรัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    8,346
    ค่าพลัง:
    +8,190
    ผมมีเหรียญรุ่นแรกของท่านด้วย ใช้มาจนสึก เลยครับ
     
  4. เพิ่มทรัพย์

    เพิ่มทรัพย์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    268
    ค่าพลัง:
    +37
    พี่มันตรัย ...รบกวนโพสต์รูปให้ดูได้หรือเปล่า...
     
  5. fan9

    fan9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    207
    ค่าพลัง:
    +246
    เท่าที่เคยผ่านหูผ่านตาตามแหล่งความรู้ต่างนะครับ ส่วนใหญ่จะพบเป็นพระพิมพ์สมเด็จกับพระปิดตา แบบอื่นก็มีครับแต่จำไม่ได้จริงๆ

    ทุกพิมพ์รายละเอียดจะไม่ค่อยชัดเจนและเรียบร้อยเท่าไหร่นัก ส่วนมากจะเป็นลักษณะพิมพ์ตื้นๆ การแกะพิมพ์เน้นแค่ให้เห็นรูปร่างเป็นพระเครื่องเท่านั้นครับไม่เน้นความสวยงามแต่เน้นพุทธคุณเป็นหลัก
    ถ้าใครมีอยู่และยังบูชาติดตัวนอกจากจะทำบุญให้เขาแล้ว ว่างๆก็ตั้งเครื่องเซ่นให้เจ้าของกระดูกเขาด้วยนะครับ เพราะผู้รู้ที่ผมเคยสอบถามท่านมา ท่านบอกว่าใครบูชาพระรุ่นนี้ห้ามลืมเรื่องทำบุญและตั้งเครื่องเซ่นให้เขาด้วย ถ้าทำตามนี้แล้วอิทธิฤทธิ์คุ้มครองแน่นอน วันดีคืนดีไม่เราก็คนอื่นได้ประจักษ์แก่สายตาในอิทธิฤทธิ์พระรุ่นนี้แน่นอนครับ *******
    ส่วนตัวผมขอบายกับพระรุ่นนี้ครับ ยอมรับจริงๆว่ากลัวแล้วก็ไม่อยากเห็นอิทธิฤทธิ์ที่ชวนขนหัวลุกครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2008

แชร์หน้านี้

Loading...