พระเทวทัตบุคคลผู้ที่ควรได้รับการยกย่อง หรือตำหนิ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย เฮียปอ ตำมะลัง, 23 พฤษภาคม 2010.

  1. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,131
    พระเทวทัตบุคคลผู้ที่ควรได้รับการยกย่อง หรือตำหนิ

    [​IMG]

    <!-- Item introtext -->
    ที่เขียนบทความนี้ขึ้นมา เนื่องจากเคยได้ยินการพูดถึงพระเทวทัตในน้ำเสียงที่จะถูกว่ากล่าวมาโดยตลอด

    บางทีคนไม่ดีบางคนก็จะถูกเปรียบเทียบเหมือนดั่งพระเทวทัต

    <!-- Item fulltext -->ผู้เขียนจะรู้สึกว่าคนที่เอ่ยถึงพระเทวทัตลักษณะนั้นอาจจะก่อเวรกรรมขึ้นมาไม่รู้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

    แต่ถ้าจะเอ่ยถึงในลักษณะความเป็นจริง ยกตัวอย่างว่าพระเทวทัตทำอย่างนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ดี โดยไม่เอาความรู้สึกส่วนตัว ความไม่พอใจใส่เข้าไปขณะที่พูดถึง เพื่อที่จะยกตัวอย่างเป็นอุทาหรณ์แก่ผู้ฟัง ก็จะน่าเป็นการกระทำที่เหมาะสมกว่า

    ประวัติอย่างย่อของพระเทวทัต
    ในชาติก่อนที่จะเป็นพระเทวทัต ได้มีกล่าวถึงพระเทวทัตในชาดกต่างๆ ในลักษณะเป็นคู่เวรของพระโพธิสัตว์ ทั้งหมด ๗๘ ชาดก โดยที่ชาติแรกที่เป็นปฐมในการจองเวรนั่นคือ เสรีววาณิชชาดก ในชาติที่พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพ่อค้าวาณิช
    พระเทวทัตนั้น เป็นพระโอรสของพระเจ้าสุปปพุทธะแห่งโกลิยวงศ์ ในพระนครเทวทหะ กับพระนางอมิตา พระกนิษฐภคินี(น้องสาว) ของพระเจ้าสุทโธทนะ (พระพุทธบิดา) อีกทั้งพระเทวทัตยังเป็นพี่ชายของพระนางยโสธราพิมพา
    ได้ออกบวชเมื่อครั้งที่พระพุทธองค์เสด็จมาทรงโปรดพระประยูรญาติครั้งแรกที่กรุงกบิลพัสดุ์ เนื่องจากความโลภด้านลาภสักการะทำให้พระเทวทัตประพฤติตัวออกนอกลู่นอกทาง จนถึงขั้นลอบปลงพระชนม์พระพุทธองค์ ทำหมู่สงฆ์ให้แตกแยก เป็นเหตุให้พระเทวทัตโดนธรณีสูบในที่สุด ระหว่างที่โดนธรณีสูบลงไปนั้น ตั้งแต่ข้อเข่าจนถึงคาง พระเทวทัตได้ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธองค์ได้กล่าวสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้า และถวายตั้งแต่กระดูกคางที่เหลืออยู่เป็นพุทธบูชา(ด้วยถูกธรณีสูบตั้งแต่ข้อเท้ามาถึงคาง จึงใช้อวัยวะที่เหลืออยู่นี้ถวายเป็นพุทธบูชา) หลังจากนั้นก็โดนธรณีสูบจนหมดทั้งร่าง ลงไปสู่อเวจีมหานรก
    พระพุทธองค์ทรงทำนายให้พุทธบริษัทฟังว่า พระเทวทัตเมื่อเสวยทุกข์อยู่ในนรกอเวจี ๑ กัปแล้ว ภายหลังก็จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์และจะได้ตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า อัฏฐิสสระ ด้วยอำนาจผลบุญที่ถวายกระดูกตั้งแต่คางที่เหลืออยู่ในร่างกายนี้เป็นพุทธบูชา

    พระเทวทัตยังเป็นพระภิกษุรูปหนึ่งในพระพุทธศาสนา
    ถึงแม้พระเทวทัตจะประพฤติตัวเป็นศัตรูกับพระพุทธเจ้า แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ ก็คือ พระเทวทัต ก็ยังคงเป็นสาวกรูปหนึ่งของพระพุทธเจ้าที่ได้กล่าวคำบวชต่อหน้าของพระพุทธเจ้า อีกทั้งพระเทวทัตยังไม่ต้องอาบัติปาราชิก
    ดังนั้น สถานะความเป็นพระภิกษุยังคงมีอยู่ในพระเทวทัต และในตอนต้นที่พระเทวทัตออกบวชนั้น อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นการออกบวชด้วยศรัทธา มีความตั้งใจที่จะปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์ สามารถปฏิบัติธรรมจนได้ฌานมีฤทธิ์มาก

    พระเทวทัตเป็นผู้ทำให้เกิดประโยชน์มากมายต่อศาสนาพุทธ
    ในอีกสถานะหนึ่ง ท่านยังเป็นผู้มีพระคุณต่อชาวพุทธเรา เนื่องด้วยพระเทวทัตจึงทำให้ก่อประโยชน์มากมายดังนี้

    ๑. ระหว่างบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ ด้วยลักษณะการจองเวรของพระเทวทัต เมื่อพิจารณาแล้วก็เป็นเหมือนกับกับหินลับมีด ซึ่งช่วยให้พระโพธิสัตว์ สามารถบำเพ็ญบารมีได้อย่างอุกฤษฏ์ ตัวอย่างเช่น ในชาติที่เกิดเป็นชูชก ได้เข้ามาขอบุตรต่อพระเวสสันดรทำให้พระเวสสันดรได้กระทำสิ่งยากยิ่ง ๗ อย่างได้สำเร็จ แม้แต่แผ่นดินยังไหวเมื่อพระเวสสันดรผ่านการทดสอบ (อ้างอิง จากคัมภีร์ มิลินทปัญหา การตอบปัญหาเรื่องทานของพระเวสสันดร)

    ๒. ความประพฤติของพระเทวทัตต่างๆนั้น ไม่ได้ทำให้พระพุทธศาสนา และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องมัวหมองหรือเสื่อมลงไป ในทางตรงกันข้ามกลับทำให้ผู้คนรู้จักคุณของพระองค์ยิ่งใหญ่สว่างไสวมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ในเหตุการณ์ตอนช้างนาฬาคิรี จะเข้ามาทำร้ายพระพุทธองค์ พระเทวทัตเป็นต้นเหตุในการปล่อยช้างนาฬาคิรี มาทำร้ายพระพุทธเจ้า ท้ายที่สุดพระพุทธองค์ทรงแสดงพุทธานุภาพ แผ่พลังเมตตาไปสู่ช้าง ทำให้ช้างสงบลง ลดงวงและหูทั้งสองข้างไปหมอบอยู่แทบพระบาทของพระองค์ ประชาชนทั่วไปเห็นปาฏิหาริย์นี้ จึงได้ส่งเสียงปรบมืออื้ออึง โยนผ้าอาภรณ์ต่างๆไปคลุมตัวช้าง หลังจากนั้นก่อนที่ช้างนาฬาคิรีจะกลับยังโรงช้าง ช้างนาฬาคิรีได้เอางวงของตัวเอง ลูบที่ละอองธุลีพระบาทของพระพุทธองค์แล้วพ่นลงใส่ศีรษะตน จากนั้นค่อยกลับโรงช้างด้วยความสงบ เหตุการณ์ครั้นนั้นทำให้ผู้คนได้ประจักษ์ถึงคุณพระพุทธเจ้าได้ชัดยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นโอกาสให้พระอานนท์ได้แสดงถึงความกตัญญู ยอมสละชีวิต เอาตัวบังพระพุทธองค์เพื่อป้องกันช้างจะเข้ามาทำร้ายพระพุทธองค์ ต่อมาพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงชาดกที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องนี้อีก (จุลหังสชาดก มหาหังสชาดกและ กักกฏกชาดก)

    ๓. ก่อให้เกิดการแสดงธรรม โดยที่บทบาทของพระเทวทัตต่างๆเป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมต่างๆ
    - พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปรารภพระเทวทัต ถึง ๑๔ พระสูตร
    - ชาดกที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปรารภพระเทวทัต ทั้งโดยตรงและโดยอ้อมจำนวน ๖๔ ชาดก

    ๔. ก่อให้เกิดการบัญญัติสิกขาบท
    ๕. เป็นสาเหตุให้บุคคลทั้งหลายเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ เช่น นายขมังธนู ๓๒ คน ที่ถูกส่งไปปลงพระชนม์พระพุทธองค์ภายหลังได้ฟังธรรมและบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันทั้งหมด

    พระเทวทัตเป็นพระญาติของเจ้าชายสิทธัตถะ
    อีกทั้งท่านยังเป็นพระญาติของเจ้าชายสิทธัตถะ นั่นคือ
    - พระมารดาของพระเทวทัต เป็นน้องสาวของ พระบิดาของเจ้าชายสิทธัตถะ
    - น้องสาวของพระเทวทัต เป็นมเหสีของเจ้าชายสิทธัตถะ
    - พระเทวทัต เป็นลุงของพระราหุล
    - พระเทวทัต เป็นเพื่อนเล่นกับศากยกุมารทั้งหลายที่ออกบวช โดยเคยเป็นเพื่อนเล่นกัน ตั้งแต่ยังเป็นพระกุมารพร้อมกับศากยกุมารอีก ๔ คือ ภัททิยกุมาร อนุรุทธกุมาร กิมพิลกุมาร และภคุกุมาร

    พระเทวทัตเป็นว่าที่พระปัจเจกพุทธเจ้าในอนาคต
    และที่สำคัญพระเทวทัตเป็นว่าที่พระปัจเจกพุทธเจ้าในอนาคต นั่นคือ ได้รับพุทธทำนายจากพระพุทธองค์ว่า พระเทวทัตเมื่อเสวยทุกข์อยู่ในนรกอเวจี ๑ กัปแล้ว ภายหลังจักได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์และจะได้ตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า อัฏฐิสสระ ด้วยอำนาจผลบุญที่ถวายกระดูกคางเป็นพุทธบูชา
    ผู้ใดที่เคยคิดกล่าววาจาว่ากล่าว หรือไม่พอใจเป็นอกุศลจิตต่อพระเทวทัต นั่นหมายความว่าได้กระทำการล่วงเกิน โดยสร้างวจีกรรม มโนกรรมต่อ
    - ผู้ที่ได้สำนึกผิดแล้ว สามารถดูได้จากเหตุการณ์ก่อนโดนธรณีสูบ พระเทวทัตนอนป่วยอยู่ ๙ เดือน ได้มีความสำนึกผิดเพราะไม่สามารถไปเองได้เนื่องจากป่วย จึงได้บอกศิษย์ให้พาไปเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อขอขมากรรม
    - พระภิกษุสาวกรูปหนึ่งของพระพุทธเจ้า
    - ผู้ที่ทำประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาอย่างมาก
    - ผู้ที่จะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในอนาคต

    แทนที่จะไม่พอใจท่าน ชาวพุทธทุกคนควรจะสำนึกบุญคุณของท่านมากกว่า จึงขอเชิญชวนทุกท่าน ระลึกถึงพระคุณของท่านในส่วนที่ได้ทำประโยชน์แก่พุทธศาสนา และให้ส่วนบุญส่วนกุศลแก่ท่านเพื่อที่ท่านจะได้บรรเทาจากความทรมาน เมื่อท่านได้มาเกิดในภพภูมิที่สามารถรับบุญกุศลได้ หรือไม่ก็อาจจะพ้นจากภพภูมินั้นได้เร็วขึ้นเมื่อได้รับบุญกุศล เพราะเมื่อท่านพ้นขึ้นมาแล้ว ท่านก็จะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสรรพสัตว์อย่างมาก ส่วนท่านใดที่เคยล่วงเกินท่านทั้งทางกาย วาจาหรือทางใจ ก็ขอตั้งจิตขอขมากรรมท่าน เพื่อไม่ให้เกิดเป็นโทษจากวิบากกรรมในการลบหลู่คุณท่านสืบไป


    หนังสืออ้างอิง : วิทยานิพนธ์การศึกษาวิเคราะห์บทบาทของพระเทวทัตที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนา
    AN ANALYTICAL STUDY OF THE ROLES OF DEVADATTA BHIKKHU AS FOUND IN THE BUDDHIST TEXTS
    พระมหาไกรวรรณ ชินทตฺติโย (ปุณขันธ์)
    ISBN 974-364-118-1
    http://www.mcu.ac.th/thesis_file/254729.pdf

    พระเทวทัตบุคคลผู้ที่ควรได้รับการยกย่อง หรือตำหนิ


    .
     
  2. jiwcrop

    jiwcrop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +792
    ครับผมเห็นด้วยครับ ว่าไม่ควรที่จะยกพระเทวทัตมาด่ามาว่า

    ส่วนเรื่องในส่วนของเหตุการณ์ต่างๆ ของพระเทวทัตที่ผ่านมา ให้ถือว่าเป็นบทเรียน การกระทำอันใดที่ไม่ดี ก็ไม่ควรเอาอย่าง แต่ไม่ควรที่จะไปยก ท่านไปเปรียบเป็นคำด่า

    เพราะว่าท่านก็ได้สำนึกขอขมาลาโทษต่อพระพุทธเจ้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และท่านก็กำลังรับผลของกรรมที่ท่านได้กระทำแล้วเช่นกัน

    ***และที่สำคัญมาก ในอนาคตกาลท่านจะบรรลุเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ซึ่งเป็นเนื้อนาบุญอันประเ่สริฐ และคอยโปรดสัตว์ตามควรในช่วงที่ว่างเว้นจาก ศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ ***

    จะพูดโดยยกเรื่องที่ปรากฏในพระไตรปิฎกได้ครับ แต่ไม่ควรจะใช้เป็นคำด่า คำว่านะครับ
    จะเป็นบาปเป็นกรรมแต่ท่านเสียเปล่าๆ ครับ

    เจริญในธรรมนะครับ
     
  3. ศิษย์ธรรมเทพ

    ศิษย์ธรรมเทพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +786
    พระเทวทัต ถือว่าท่านเป็นตัวอย่างเป็นเครื่องเตือนสติ นั้นแลคืออานิสงค์ที่ท่านจะได้รับ การที่กล่าวถึงท่านในพุทธประวัติมิใช่เพื่อกล่าวโทษ แต่กล่าวเพื่อเป็นแบบอย่างท่านจะได้รับอานิสงค์ในสติของชนรุ่นหลัง
     
  4. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    พระเทวทัต เป็นผลสะท้อนให้มองเห็น พระเทวทัตในอดีตชาติ
    ที่ตนเคยเกิดเป็นพ่อค้า และ ได้ผูกใจเจ็บด้วยความแค้นในสมัยที่พุทธะองค์เกิดเป็นพ่อค้าเช่นกัน

    คือ เรื่องมีอยู่ว่า สมัยที่พระเทวทัตเกิดเป็นพ่อค้า และได้ไปตกลงจะชื้อสินค้า แต่เตรียมเงินไปไม่พอ จึงบอกให้คนขายรอก่อน ในขณะนั้นเอง พระโพธิสัตว์ได้มาต้องตาต้องใจในสินค้า
    อันเดียวกับพระเทวทัต จึงขอซื้อจากพ่อค้าในราคาที่ต่างพอใจ
    จึงตกลงขายให้พระโพธิสัตว์ไป ข้างฝ่ายพ่อค้าคนก่อน ก็รวบรวมเงินมาให้แต่ก็สายไปเสียแล้ว เจ้าของร้านบอกว่าได้ขายให้อีกคนไปแล้ว พ่อค้าคนแรกโกรธมาก และรีบออกตามไปติดๆจนทันได้พบ พระโพธิสัตว์

    พ่อค้าที่ผูกใจเจ็บได้กำทรายไว้ในกำมือ และ กำลังจะกำทรายอีกข้าง ข้างฝ่ายพ่อค้าที่เป็นพระโพธิสัตว์ ได้ขอไว้ว่าเอาแค่ทรายในกำมือข้างเดียวก็พอ พ่อค้าข้างที่เสียผลประโยชน์

    ก็ได้อธิษฐาน จะขอจองกรรมจองเวรกันไป จนกว่าจะชดได้หมดเท่ากับจำนวนเม็ดทรายในกำมือ


    จึงถือว่าโพธิสัตว์ภูมิเป็นเหตุ พุทธภูมิเป็นผล
     
  5. ขุนแผนน้อยน่ารัก

    ขุนแผนน้อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +772
    เห็นด้วยครับ อนุโมทนาสาธุครับ

    เพราะมีดำจึงเห็นขาว

    เพราะมีต่ำจึงเห็นสูง
     
  6. chura

    chura เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    688
    ค่าพลัง:
    +1,971
    ผมไม่ขอยกย่องพระเทวทัตถึงแม้นท่านจะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในอนาคตกาล.
    แต่เราควรนำกรณีนี้มาเป็นอุทาหรณ์สังวรณ์ระวัง ไม่ทำกรรมอันผูกใจเจ็บแบบพระเทวทัต
    เพราะความแค้นกระทั่งผูกกรรมเวร ตามจองเวรกันข้ามภพข้ามชาติจนในที่สุดต้องลงไปใช้
    กรรมในนรกอเวจี....นี่เป็นตัวอย่างของคนที่อาฆาตพยาบาทผู้อื่น ที่เราสาธุชนไม่ควรเอา
    เยี่ยงอย่างครับ....ไม่งั้นพลาดพลั้งไปก่อเวรกับพระพุทธเจ้า อันเป็นกรรมหนักแสนสาหัส
    ต้องไปใช้กรรมในนรกขุมที่ลึกๆ และต้องใช้เวลาอีกนานแสนนานกว่ากรรมนั้นจะหมด
    ผมว่าเป็นอะไรที่น่ากลัว และไม่น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างครับ...เราควรจะอโหสิกรรมให้กันและ
    กันไม่ผูกใจเจ็บก่อเวรซึ่งกันและกัน อันนี้แหละเอามาเป็นอุทาหรณ์สอนคนได้ดีครับ...
     
  7. rehacked

    rehacked เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,191
    ค่าพลัง:
    +8,013
    คิดแปลก ไม่ขอออกความเห็นละกัน คนอ่านเยอะมีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
     
  8. chakapong

    chakapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    497
    ค่าพลัง:
    +1,305
    มารไม่มี บารมีไม่เกิด
     
  9. pump - อภิเตโช

    pump - อภิเตโช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,202
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,803
    อนุโมทนา สาธุ ดีมากเลยครับ กระทู้นี้ ทำให้รู้ว่า เมื่อวางสิ่งที่ปิดตาเราไว้ได้เมื่อใด
    ก็จะเห็นสิ่งดีงามที่ถูกซ่อนไว้เมื่อนั้น
     
  10. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    ความจริงก็คือเทวทัตถูกพระพุทธองค์สั่งให้สงฆ์ลงปกาสนียกรรมถือว่าไม่เกี่ยวข้องกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อีกต่อไป จึงถือว่าเทวทัตไม่ได้เป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาแล้ว ดังหลักฐานต่อไปนี้

    ------------------------------------------------------
    [๓๖๒] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล สงฆ์จงลงปกาสนียกรรมในกรุงราชคฤห์แก่เทวทัตว่าปกติของพระเทวทัตก่อนเป็นอย่างหนึ่ง เดี๋ยวนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง พระเทวทัตทำอย่างใด ด้วยกาย วาจา ไม่พึงเห็นว่าพระพุทธ พระธรรม หรือพระสงฆ์ เป็นอย่างนั้น พึงเห็นเฉพาะตัวพระเทวทัตเอง ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล สงฆ์พึงทำอย่างนี้ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรม
    วาจา

    (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๗ - พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๗)
    -------------------------------------------------------
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤษภาคม 2010
  11. Phra Atipan

    Phra Atipan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +1,301
    [​IMG] [​IMG] สาธุ ครับ
     
  12. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,131
    [​IMG]

    ขาดจากการเป็นสงฆ์แล้วจริงหรือ ???
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 พฤษภาคม 2010
  13. lagunaram

    lagunaram เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    368
    ค่าพลัง:
    +697
    เราก็ไม่เห็นด้วยค่ะที่จะมายกย่องพระเทวทัต เพราะเค้าเป็นตัวอย่างของความอาฆาตจองเวน เราก็รู้นะว่าเค้าจะเป็นพระปัญเจกในอนาคต แต่ตอนนี้เค้ายังไม่ได้เป็น เรื่องของอนาคตยังอีกยาวไกล แล้วยิ่งช่วงนี้มีการบูชาชูชกกันด้วย เรากลัวว่าคนจะเข้าใจผิดหันไปบูชาชูชกกันใหญ่ในเรื่องโชคลาภแทนที่จะบูชา พระสีวลีหรือ พระอุปคุต จำได้ว่าท่าน
    ว.วิชเมธีเคยพูดเรื่องนี้ไว้แล้วนะคะท่าก็ไม่สนับสนุนคนให้ยกย่องเทวทัตนะ
     
  14. sirawasa

    sirawasa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2010
    โพสต์:
    337
    ค่าพลัง:
    +1,192
    กรณีพระเทวทัต ในความคิดของดิฉัน ถ้าจะตำหนิ น่าจะตำหนิลงไปที่บาปแต่ละครั้งในแต่ละชาติที่กระทำต่อพระโพธิสัตว์และพระพุทธเจ้ามากกว่า ("บาป" ที่ใครทำก็ผิดเหมือนกัน) ตำหนิที่การกระทำแต่ไม่ควรมุ่งลงไปที่ตัวบุคคล ไม่ว่าในทางลบหรือบวก เพราะพระเทวทัตก็คือชาติๆ หนึ่งของคนๆ หนึ่งที่ได้เกิดขึ้นในยุคๆ หนึ่ง มีบริบททางสถานการณ์และความคิดในแต่ละช่วงเวลาแตกต่างกัน

    ที่ไม่ควรตำหนิลงตัวบุคคล (เชิงลบ) เพราะ ๑) การลงโทษท่าน ได้เกิดขึ้นผ่านไปแล้ว โดยพระพุทธเจ้าได้ทรงให้สงฆ์ลงประกาสนียกรรม อีกทั้งการที่ท่านต้องไปทุกข์ทรมานในอเวจีก็เป็นการลงโทษด้วยกฎแห่งกรรม แล้วเราเป็นใครจะมาลงโทษซ้ำ เป็นเจ้าทุกข์หรือก็ไม่ใช่ ผู้พิพากษาหรือก็ไม่ใช่อีก ๒) ในบริบทของกรรม โดยเฉพาะอกุศลกรรม ทำให้คนเรา (ทุกคนแหละ) หลงผิดกันได้ และ ๓) ด้วยพระเมตตาคุณอันประมาณไม่ได้ของพระพุทธเจ้า ดิฉันมั่นใจว่าองค์พระศาสดาท่านให้อภัยพระเทวทัตนะคะ การที่พระเทวทัตลงอเวจีไม่ได้เกิดจากความโกรธของพระพุทธเจ้า แต่เพราะกรรมของพระเทวทัตเองในช่วงที่หลงผิด เมื่อพระพุทธเจ้าทรงอภัย เราก็น่าจะอภัย อย่างน้อย ท่านก็ได้สติ กลับใจได้ในบั้นปลาย

    ในขณะเดียวกัน ที่ไม่ควรยกย่อง (เชิงบวก) ก็เพราะการรับรู้ของเราชาวพุทธเกี่ยวกับพระเทวทัต มาพร้อมๆ กับการรับรู้พฤติกรรมอันเป็นบาปของท่านเป็นหลัก จนบางครั้งเราก็แยกคนกับการกระทำไม่ออก นึกถึงพระเทวทัตก็นึกถึงสิ่งที่ท่านทำร้ายพระพุทธเจ้าไปด้วย ดังนั้น ถ้าคิดแยกเป็นเรื่องๆ ไม่ได้ แล้วใช้การมองไปที่ผลบั้นปลายว่าบาปเหล่านั้นเป็นปัจจัยให้เกิดสิกขาบทต่างๆ ขึ้นมา จากนั้นสรุปเลยว่าเป็นประโยชน์กับพุทธศาสนา อาจจะกลายเป็นอนุโมทนาในทางอ้อมต่อบาปที่พระเทวทัตกระทำ

    เรื่องนี้ น่าจะให้เป็นการศึกษาในลักษณะของกรรมและผลของกรรมมากกว่า กรรมเลวที่เป็นบาปอันทำให้ท่านต้องรับกรรมในอเวจี เราก็อย่าไปทำตาม ส่วนการที่ท่านชดใช้ในอเวจีจบแล้วจะได้ตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็หมายความว่าท่านก็ต้องมีกรรมดีอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เท่าที่เคยอ่านมาในวันที่ท่านกลับใจได้จะไปขอขมาพระพุทธเจ้านั้น ท่านเหาะไป แสดงว่าท่านก็ต้องเจริญสติและบำเพ็ญบารมีมาได้ในระดับสูงทีเดียวแหละ (อย่าลืมว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ต้องบำเพ็ญบารมีมาใกล้เคียงกับพระพุทธเจ้านะ และก็ตรัสรู้เหมือนกัน เพียงแต่จะไม่สอน) ก็เลือกโมทนาเฉพาะในส่วนที่ดีนี้

    ต้องถามตัวเองด้วยว่า เรามั่นใจแล้วหรือว่าได้บำเพ็ญบารมีมาสูงพอที่จะฟันธงบุญ-บาปของผู้ที่มีบารมีระดับที่จะตรัสรู้ได้อย่างเช่นพระเทวทัต
     
  15. บุตรพระแม่อนุตตรธรรม

    บุตรพระแม่อนุตตรธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2008
    โพสต์:
    548
    ค่าพลัง:
    +428
  16. pump - อภิเตโช

    pump - อภิเตโช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,202
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,803
    ขอเขียนไว้เพื่อประดับความคิดเห็นของท่านทั้งหลายดังนี้ว่า

    ทุกท่านก็เคยทำบาปมา มิใช่หรือ - เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เคยทำเลยแม้แต่น้อย

    เมื่อ ทำผิด-ทำบาป ก็ถูกตำหนิ

    เมื่อ ทำดี-ทำบุญ ก็ถูกสรรเสริญ

    นี่เป็นธรรมดาของโลก ทุกท่านก็ต้องมีทั้ง บุญและบาปติดตามตัวมา ทั้งที่ทำมาก่อนหน้านี้ และ ที่ทำใหม่ ฉะนั้น จงอย่ามองดูด้านเดียว เหมือนเหรียญ ย่อมต้องมีสองด้านฉันนั้น ถ้าเรามองดูแต่ด้านเดียว เราก็จะรู้แค่ครึ่งๆกลาง

    สมมุติว่า เหรียญสตางค์ มีรูปร่างและขนาดเดียวกันหมด ถ้าเรามองดูแต่ด้านที่มีรูปพระเจ้าอยู่หัวอย่างเดียว เราก็จะไม่รู้ค่าของเหรียญนั้นว่ามีมูลค่ากี่บาท เมื่อเราไม่รู้เราก็นำไปใช้ผิด ของ ราคา 5 บาท ก็ใช้เหรียญ 10 จ่าย เราก็ขาดทุน ไป 5 บาท เหมือนในกรณีพระเทวทัตนี้เอง

    พระพุทธเจ้าท่านจะไม่ทราบเลยหรือ ว่าพระเทวทัตจะก่อปัญหามากมายแก่พระพุทธศาสนา

    แน่แท้ที่เดียวว่า พระพุทธองค์ทรงทราบแน่ชัด แต่ทำไมพระองค์ยังคงอนุญาติให้พระ
    เทวทัตบวช โดยเอหิภิกขุอุปสัมปทา คือบวชให้โดยพระองค์เอง ก็เพราะทรงมีพระเนตรเห็นผลในอนาคต

    ข้อคิด :
    -จงศึกษากรณีของพระเทวทัต และ อย่าทำผิด หลงผิดตามที่ท่านเคยได้ทำมา
    - การดูหมิ่น ปรามาสผู้อื่น แม้ท่านเหล่านั้นจะทำผิดจริงก็ตาม จะเป็นการบั่นทอน มรรค ผลของเรา ให้ช้าลง เป็นการสร้างบาปโดยไม่รู้ตัว ขอให้ระวัง รักษาความคิด กาย วาจา ให้มีเมตตาไว้ดีที่สุด
    - ในอนาคต พระเทวทัต ท่านจะบรรลุพระปัจเจกโพธิญาน ผู้เป็นรองเพียงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น จงนึกถึงท่านแบบนี้เถิด

    อนุโมทนา
     
  17. เมทิกา

    เมทิกา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    952
    ค่าพลัง:
    +2,393
    คนทุกคนเป็นครูเป็นบทเรียนให้กับเราได้เสมอ แม้แต่พระเทวทัตเอง...

    บทเรียนที่ได้คือ เมื่อมีการผูกเวร ย่อมติดตามมาเป็นคู่เวรกันเกือบทุกภพทุกชาติ..แบบนี้ดีไหม?

    ยิ่งผู้ที่ไปผูกเวรนั้นกลายเป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีเป็นพระพุืทธเจ้า...ล่วงมาแบบนี้...มันจะดีไหม??

    ดังนั้น อย่าได้ไปผูกเวรผูกใจเจ็บไว้กับใคร เคยโกรธเกลียดเคียดแค้นใครก็อโหสิกรรมให้กันไป

    เราไม่อาจรู้ได้หรอกว่าผู้ที่เราไปผูกใจเจ็บด้วยนั้น...เขาบำเพ็ญบารมีมามากน้อยระดับไหน ของแบบนี้มองด้วยตาเนื้อมองไม่ออกหรอก...

    ดับเวรด้วยการอโหสิกรรมให้แก่กันและกัน...ดีที่สุด




     
  18. watchayun

    watchayun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2010
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +54
    ตัวอย่างที่ดี น่ายกย่อง ทำไมโดนธรณี สูบครับ
     
  19. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,290
    แหมเห็นด้วยอย่างยิ่ง คุณได้พิจารณามาดีแล้วจริงๆ
     
  20. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,290
    การที่เราเห็นคนอื่นทำในสิ่งที่เราไม่เห็นด้วย สิ่งที่เราไม่ทำ เห็นว่าไม่เป็นธรรม แล้วเกิดความรู้สึกว่าไม่ชอบสิ่งที่เขาทำก็ดีแล้ว เป็นการบอกกับตัวเราว่า เราเป็นใคร เราอยากทำอะไร ในภูมิมนุษย์นี้เราทำได้ทุกอย่าง เป็นได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ดีแสนดีเกินเทวดา หรือชั่วกว่ามหาโจรก็ได้ ไม่เหมือนภูมิอื่น เช่นสัตว์มันเป็นได้แค่สัตว์ รู้จักกิน นอน กลัวตาย สืบพันธ์ ดังนั้นในภูมิมนุษย์เราจะพบคนได้ทุกประเภท ดีชั่ว แตกต่างกันไป เพราะกรรมจำแนกสัตว์ ให้ดีเลว ประณีตต่างกัน ทีนี้ถ้าไม่มีความแตกต่างเราจะไม่รู้เลยว่าเราเป็นใคร เราอยากทำอะไร ถ้าทุกคนสูงเท่ากันหมดจะไม่มีคนสูง ไม่มีคนเตี้ย ถ้าทุกคนดีเท่ากันหมดจะไม่มีคนดี ไม่มีคนเลว การที่เราเห็นเขาว่าทำในสิ่งที่เราไม่ชอบและจะไม่ทำก็ดีแล้ว เราจะได้รู้ว่าเราเป็นใครและอยากทำอะไร แต่จะไปเกลียดเขาเพื่ออะไร เขาแค่แสดงให้เราเห็นว่าเราเป็นใครแค่นั้นเอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...