พระเยซู ไม่ได้ถูกตรึงไม้กางเขน ถูกตีความเอง-ไม่มีในวรรณกรรมโบราณ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย numnoina, 29 มิถุนายน 2010.

  1. numnoina

    numnoina Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +53
    <TABLE cellSpacing=3 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left width=105>[​IMG]


    </TD><TD vAlign=top align=left>วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เวลา 12:31:55 น. มติชนออนไลน์ <!--อ่านล่าสุด คน-->
    <CENTER>
    </CENTER>
    [FONT=ms sans-serif, Tahoma, DB ThaiTextFixed, Thonburi]ชี้พระเยซูไม่ได้ถูกตรึงไม้กางเขนประหาร ถูกตีความเอง-ไม่มีในวรรณกรรมโบราณ [/FONT]

    [FONT=ms sans-serif, Tahoma, DB ThaiTextFixed, Thonburi]<STYLE> P { margin: 0px; } </STYLE>สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 27 มิ.ย.ว่า นายกุนนาร์ ซามูเอลสัน นักวิชาการด้านเทววิทยา กล่าวว่า พระเยซูอาจไม่ได้ถูกตรึงด้วยไม้กางเขน เพราะจักรวรรดิโรมันไม่เคยทำในยุคก่อน การเข้าใจเช่นนี้มาจากการตีความพระคัมภีร์ไบเบิลที่ผิดพลาด ซึงมีการบันทึกไว้เพียงว่า พระเยซูด้วยนำตัวไปยังเนินเขา เพื่อรับการตรึงที่อาจหมายถึงการถูกมัดมือก็ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นการตอกตรึงด้วยไม้กางเขน [/FONT]

    [FONT=ms sans-serif, Tahoma, DB ThaiTextFixed, Thonburi]นายกุนนาร์กล่าวต่อไปว่า การบรรยายเรื่องการตรึงด้วยไม้กางเขตนั้นไม่มีอยู่ในวรรณกรรมโบราณ และไม่มีแหล่งข้อมูลใดที่สนับสนุนการมีเรื่องดังกล่าว แม้แต่วรรณกรรมโฮเมอร์ ซึ่งเป็นวรรณกรรมแรกหลังยุคพระเยซูสิ้นชีพ มีการพูดถึงการลงโทษด้วยการแขวนเหยื่อ แต่ไม่ได้พูดถึงไม้กางเขนหรือการถูกตรึงไม้กางเขนแต่อย่างใด นอกจากนี้ เนื้อหาเกี่ยวกับการประหารอย่างแท้จริงก็ไม่ได้บรรยายว่า คริสเตียนถูกประหารด้วยอุปกรณ์ประหารลักษณะใด และว่า หากเราได้ศึกษาเนื้อหาในพระคำสอนของไบเบิล ก็ไม่ได้มีการพูดการตอกตะปูบนไม้กางเขนด้วย นอกจากนี้วรรณกรรมก่อนยุคคริสเตียนหรือวรรณกรรมเกี่ยวกับพระคัมภีร์ ก็มีการพูดถึงการตอกตะปูบนไม้กางเขนน้อยมากอย่างน่าประหลาดใจ [/FONT]

    [FONT=ms sans-serif, Tahoma, DB ThaiTextFixed, Thonburi]นักเทววิทยารายนี้ชี้ว่า การแสดงทัศนะของเขาเสี่ยงที่จะท้าทายต่อความศรัทธาของชาวคริสเตียน ซึ่งเขาไม่มีเจตนาที่จะปฎิเสธหรือตั้งแง่สงสัยเนื้อหาในพระคัมภีร์ไบเบิล แต่ชาวคริสเตียนควรจะอ่านพระคัมภีร์ตรงๆ ตามตัวอักษร ไม่จำเป็นต้องเสริมแต่งหรือสร้างจินตนาการใด ๆ เพิ่มเข้าไป [/FONT]
    .............ประวัติศาสตร์ คือ....เรื่องเล่า..เหมือน..ข่าวลือ.............

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2010
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    การตรึงกางเขน (ภาษาอังกฤษ: Crucifixion) เป็นวิธีการประหารชีวิตซึ่งผู้ถูกสั่งให้ประหารจะถูกผูกหรือตอกตะปูบนไม้กางเขนและปล่อยทิ้งไว้ให้ตาย วิธีการประหารชีวิตแบบนี้เป็นวิธีที่ใช้ในสมัยจักรวรรดิโรมันและในประเทศเพื่อนบ้านในบริเวณเมดิเตอร์เรเนียน และวิธีที่คล้ายคลึงกันในจักรวรรดิเปอร์เชีย<SUP class=reference id=cite_ref-0>[1]</SUP> การประหารชีวิตโดยการตรึงกางเขนโดยจักรวรรดิโรมันมาจนถึงปี ค.ศ. 337,<SUP class=reference id=cite_ref-1>[2]</SUP> หลังจากที่คริสต์ศาสนาเป็นศาสนาที่ถูกต้องตามกฎหมายของจักรวรรดิโรมันเมื่อปี 313 โดยจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 1 แต่การใช้วิธีตรึงกางเขนก็ยังใช้กันอยู่บ้างในหลายที่ในสมัยใหม่
    “กางเขน” (Crucifix) ที่เป็นรูปสัญลักษณ์ของพระเยซูถูกตรึงบนกางเขนเป็นสัญลักษณืที่สำคัญของผู้นับถือศาสนาคริสต์ แต่ในนิกายโปรเตสแตนต์บางครั้งจะนิยมใช้กางเขนที่ไม่มีพระเยซูมากกว่า
    การตรึงกางเขน

    การตรึงกางเขนจะไม่ใช้ในการทำพิธีกรรมที่เป็นสัญลักษณ์ แต่จะใช้ในการทีทำให้ผู้ตายๆ อย่างทรมาน (ทำให้เกิดคำว่า “excruciating” หมายความว่า “out of crucifying” ซึ่งหมายถึงความเจ็บปวดที่ทารุณ), สยดสยอง (เพื่อทำให้คนขยาดจากการทำในสิ่งไม่ดี), และทำในที่สาธารณะ การตรึงกางเขนก็ต่างกันไปตามแต่ละสถานที่และยุคสมัย
    ภาษากรีกและละตินที่เกี่ยวกับการตรึงกางเขนก็มีหลายลักษณะตั้งแต่ ตรึงกับเสา, ตรึงกับต้นไม้, ตรึงกับไม้รูปต่างๆ<SUP class=reference id=cite_ref-2>[3]</SUP> ถ้าใช้ไม้ไขว้ผู้ที่ถูกตรึงก็จะถูกบังคับให้แบกไม้บนบ่า เดินไปยังสุถานที่ที่จะถูกตรึง ซึ่งอาจจะทำให้เนื้อบนไหล่ฉีก น้ำหนักของกางเขนก็จะหนักประมาณ 135 กิโลกรัม<SUP class=reference id=cite_ref-3>[4]</SUP> แทซิทัส (Tacitus) นักประวัติศาสตร์โรมันบันทึกไว้ว่า ที่โรมมีสถานที่สำหรับการตรึงกางเขนเป็นการเฉพาะ อยู่ที่นอกประตูเอสควิลิเน่ (Esquiline Gate)<SUP class=reference id=cite_ref-4>[5]</SUP> และมีบริเวณเฉพาะสำหรับการประหารชีวิตทาสโดยการตรึงกางเขน<SUP class=reference id=cite_ref-5>[6]</SUP> สันนิษฐานกันว่า ตรงที่ตรึงกางเขนจะมีเสาตรงปักไว้แล้วเป็นการถาวร และเมื่อมีผู้แบกไม้มา (หรืออาจจะตรึงแขนไว้กับไม้แล้วก็ได้) ก็ยกทั้งคนและไม้ขึ้นไปประกอบกับเสาตรงที่ปักถาวร
    บางครั้งผู้ที่ถูกประหารชีวิตก็อาจจะถูกผูกกับไม้ด้วยเชือกหลังจากที่ถูกตรึง ตามที่บันทึกโดยนักประวัติศาสตร์โจซีฟัส (Josephus) ซึ่งกล่าวถึงสมัยที่กรุงเยรูซาเลมถูกล้อมเมื่อ ค.ศ. 70 ถึงการตรึงกางเขนผู้ที่ถูกจับด้วยวิธีต่างๆ ของทหารโรมัน<SUP class=reference id=cite_ref-6>[7]</SUP>และใน จอห์น 20:25 วัตถุที่ใช้ในการตรึงกางเขนเช่น ตะปู เป็นสิ่งที่แสวงหากัน เพราะถือเป็นเครื่องลางช่วยป้องกันภัย<SUP class=reference id=cite_ref-7>[8]</SUP>
    <SUP></SUP>
    การตรึงกางเขน - วิกิพีเดีย
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    พระวรสาร หรือ พระวรสารกฏบัตร หรือ พระกิตติคุณ (อังกฤษ: Gospel หรือ Canonical gospels) เป็นหนังสือชุดแรกของ พระคริสตธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาใหม่ ในคริสต์ศาสนา
    คำว่า “gospel” มาจากภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า “ข่าวดี” (ในพระคริสตธรรมฉบับแปลภาษาไทยมักแปลว่า ข่าวประเสริฐ) มีนัยความหมายในคติของคริสต์ศาสนาถึง การประกาศข่าวว่า บัดนี้ พระเจ้าได้ทรงประทานพระบุตรคือพระเยซูสู่โลกแล้ว ตามคำพยากรณ์จากพันธสัญญาเดิม เพื่อประทานความรอดแก่มวลมนุษย์ ให้พ้นจากบาปและความทุกข์ และกลับเข้าสนิทกับพระเจ้าเช่นเดิม สู่แผ่นดินสวรรค์

    พระวรสาร ประกอบด้วย หนังสือ 4 เล่ม ในพระคริสตธรรม ภาคพันธสัญญาใหม่ ที่มีเนื้อหาโดยตรงเกี่ยวกับ พระเยซู บรรยายถึง กำเนิด ประวัติ คำเทศนา การตรึงกางเขน และการคืนชีพ ทั้ง 4 เล่มถูกตั้งชื่อตาม ชื่อผู้ที่เชื่อกันว่าเป็นผู้เขียน โดยเขียนขึ้นเมื่อระหว่าง ค.ศ. 65 ถึง ค.ศ. 100 ได้แก่
    <TABLE><TBODY><TR><TD>หนังสือ</TD><TD>ผู้เขียน</TD></TR><TR><TD>* พระวรสารนักบุญมัทธิว</TD><TD>นักบุญมัทธิว ผู้ประกาศข่าวประเสริฐ</TD></TR><TR><TD>* พระวรสารนักบุญมาระโก</TD><TD>นักบุญมาระโก ผู้ประกาศข่าวประเสริฐ</TD></TR><TR><TD>* พระวรสารนักบุญลูกา</TD><TD>นักบุญลูกา ผู้ประกาศข่าวประเสริฐ</TD></TR><TR><TD>* พระวรสารนักบุญยอห์น<SUP class=reference id=cite_ref-Harris_0-0>[1]</SUP></TD><TD>นักบุญยอห์น ผู้ประกาศข่าวประเสริฐ</TD></TR></TBODY></TABLE>

    แม้ว่าเขียนขึ้นโดยต่างคนและต่างเวลากัน แต่เรื่องราวในแต่ละเล่มเป็นเรื่องเดียวกัน กล่าวคือ บันทึกเรื่องราวของพระเยซู และพระราชกิจของพระเยซู อย่างตรงกัน
    สามเล่มแรกเรียกว่า พระวรสารสหทรรศ เนื่องจากมีมุมมองในชีวิตของพระคริสต์ที่คล้ายกัน ขณะที่ พระวรสารนักบุญยอห์น มีแง่มุมทางศาสนศาสตร์และจิตวิญญาณที่ต่างออกไป

    พระวรสาร - วิกิพีเดีย
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ควรหาข้อมูลหลายๆด้าน ประกอบการพิจารณา
    อย่าเพิ่งด่วนสรุป จากข้อมูลด้านเดียว หรือความเห็นของคน เพียงคนเดียว
     
  5. metakunnung

    metakunnung Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +64
    เหมือนกับที่พระศาสดาทรงสอนเราว่า แม้เราตถาคตก็อย่าเชื่อเราเลย ในข้อสุดท้ายของหลักความเชื่อ การามสูตร ทั้ง ๆ ที่พระศาสดาของเราทรงสอนเรื่องที่จริงที่สุดแต่พระองค์ท่านยังไม่บอกให้เชื่อท่านเลย ให้ลองทำและดับเอง ดังนี้แล้วเรายังจะเชื่อใครได้อีกหรอครับ เราเองที่ต้องรู้เอง
     
  6. gun2555

    gun2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    701
    ค่าพลัง:
    +1,205
    เราไม่ได้นับถือคริส คิดผิดคิดใหม่ได้นะ แต่ละศาสนามีความเชื่อเป็นของตน ความเชื่อบางอย่างไม่อาจลบล้างได้

    แต่ทีเราไม่อยากเชื่อแต่มันเป็นจริง คือ ลูกที่ไม่เชื่อฟังพ่อแม่......................
     
  7. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    แยกแยะเอาเองด้วยสติปัญญานะครับ
    มนุษย์มีความเชื่อมาตั้งแต่มนุษย์เริ่มมีการบันทึกไว้ (ยุคประวัติศาสตร์ ที่มีการจดบันทึก)
    มนุษย์ต้องต่อสู้กับธรรมชาติในหลายๆด้าน เพื่อความเอาตัวรอด
    มนุษย์มีความกลัว
    มนุษย์มีความเชื่อ
    มนุษย์มีสังคม เรียกว่าสัตว์สังคมที่ต้องอาศัยกันอยู่เป็นหมู่ ซึ่งมีจ่าฝูงเป็นผู้ปกป้องคุ้มกันภัย
    มนุษย์มีสถาบัน ซึ่งเป็นที่ยึดถือและเหนี่ยวรั้งกันและกันไว้ให้เป็นหมวดหมู่
    มนุษย์มีความขัดแย้ง ซึ่งเป็นธรรมดาของมนุษย์ที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันแต่ต้องพึ่งพาอาศัยกันและร่วมมือกันในที่สุด
     
  8. thontho

    thontho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    398
    ค่าพลัง:
    +612
    ใครที่มีเครดิต พูดแล้วน่าเชื่อมากที่สุดล่ะ
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คนที่พูดจากความจริงที่ปรากฏ ไม่ได้พูดจากความคิดและจินตนาการส่วนตัว
    น่าเชื่อที่สุด คนที่บันทึกความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นตามจริงที่เราเรียกว่า
    ประวัติศาสตร์แบบไม่มีอคติและบิดเบือน ก็น่าเชื่อถือได้
    เราก็ต้องใช้วิจารณญาณ ดูที่ไปที่มาของข้อมูล และคนที่บันทึกข้อมูลนั้นๆ
    ก็พอจะแยกแยะได้ว่าข้อมูลไหนเป็นขยะ ข้อมูลไหนเป็นของที่มีประโยชน์
    ที่เราเอาไปใช้ประโยชน์ได้ และถ้าไม่แน่ใจ ก็ดูแล้วรู้ไว้เป็นความรู้เฉยๆ
    ไม่ต้องไปเชื่อ หรือไม่เชื่อ ไม่ต้องไปเลือกข้าง วันหนึ่งข้างหน้าพอมีปัญญา
    เจริญขึ้นจนรู้ความจริง ก็จะเข้าใจเอง แล้วก็จะรู้เองว่า ข้อมูลไหนเท็จ
    ข้อมูลไหนเป็นความจริง

    ถ้าเข้าใจรู้จักรอเวลา ไม่ฟุ้งซ่านจนสติแตก ไปอยากรู้ ในสิ่งที่ไม่รู้
    ก็จะไม่เสียเวลาไปหลงกับเรื่องที่เราไม่รู้ความจริงอยู่นั้นเอง
    หรือไม่หลงวนเวียนอยู่ในความสงสัย ฟุ้งซ่าน ทางพุทธเราเรียกว่า ไม่ติดหลงอยู่ในนิวรณ์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มิถุนายน 2010
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สิ่งที่เราต้องการก็คือความจริงที่ไม่บิดเบือน
    การได้ข้อมูลจริง เราก็ไม่ต้องเลือกเชื่อหรือไม่เชื่อ
    เพราะมันคือความจริง เป็นสัจธรรมในตัวเอง
    ไม่ว่าเราจะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว
    อยู่ที่ตัวเราเอง จะก้าวข้ามความเชื่อและไม่เชื่อ
    มาดูมารู้ความจริง เหมือนที่ผู้รู้ความจริงทั้งหลายสั่งสอนไว้ได้หรือไม่
    ทางพุทธเรา ก็มีหลักกาลามสูตร คือไม่ให้เชื่อแบบงมงาย ให้รู้ตามความจริง
    ตามประสบการณ์ที่เป็นจริง ที่ทำได้จริงจนรู้จริง แล้วค่อยเชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง
    อะไรที่ยังไม่ได้รู้เองไม่ได้สัมผัสเอง ไม่ได้มีประสบการณ์เอง ก็อย่าเพิ่งเชื่อไปก่อน
    อย่างพุทธเราสอนให้รักษาศีล5 เพราะพระท่านว่าดี เราก็ว่าดีตาม แต่เราไม่เคยรักษาศีล5
    แต่เราเชื่อไปแล้วว่าศีล5ดี มันก็เป็นได้แค่ความเชื่อ ถ้าตัวเราเองยังไม่เคยรักษาศีล5ให้ได้
    เป็นผลจนเกิดเป็นผลดีที่เป็นรูปธรรมให้เรารู้เราก็ยังไม่รู้จริงๆอยู่ดีว่า ศีล5 มันดียังไง ก็รู้ได้
    แค่ฟังตามๆกันมาและเชื่อแบบงมงายไปแล้วแต่ไม่ได้คิดทำเพื่อการพิสูจน์สัจธรรมของ
    ศีล5 ว่า ศีล5มันให้ผลดีอย่างไร แต่ถ้าเป็นคนที่ศึกษามามากขึ้นจากผู้รู้จริง ก็จะรู้ได้ว่า
    การรักษาศีล5 ทำให้คนนั้นเป็นคนที่มีสติมากขึ้นกว่าเดิมเป็นรูปธรรม เมื่ออยากเป็นคนมี
    สติมากๆ ก็จะรักการเจริญศีล รักษาศีล ด้วยใจที่มีฉันทะ มีวิริยะ มีอุสาหะ มากกว่าการเชื่อ
    แบบงมงายว่าศีล5ดีและพาตนให้พ้นอบาย พ้นนรกแต่เพียงอย่างเดียว
    ความรู้ความเข้าใจที่เกิดจากการรู้เองทำเองเข้าใจเอง แล้วค่อยเชื่อ
    คือหลักการของ กาลามสูตรในแบบที่เราเข้าใจนะ

    ปล. เมื่อเราไม่เลือกข้าง ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เราก็ไม่หลงไปปรามาสสิ่งที่เราไปกระทบ หรือไปรู้
    มันก็ลดกรรมที่ไม่พึงประสงค์ไปได้โดยปริยาย เพราะสิ่งที่เราไปกระทบมันอาจเป็นอจินไตย
    เป็นใบไม้นอกกำมือที่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเราก็ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอยู่
    เพียงแต่มันอาจจะไม่มีประโยชน์ตรงที่ไม่ได้ช่วยให้เราหลุดพ้นจากวัฏฏสงสาร และการพ้นทุกข์
    พระพุทธเจ้าจึงสอนพวกเราเฉพาะใบไม้ในกำมือที่ช่วยให้เราพ้นทุกข์ได้ ก็เพียงพอสำหรับพวกเราแล้ว
    อยู่ที่ว่าเราเข้าใจใบไม้ในกำมือที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ได้หรือยัง ถ้ายังเราก็ยังหลงทางไปเรื่อยๆ
    ถึงแม้ได้รู้จักในคำสอนของพระพุทธองค์ ก็ไม่ได้ช่วยให้เราดีเด่นกว่าคนอื่นๆ เพราะเรายังทำตาม
    คำสอนที่ถูกต้องตรงทางไม่ได้ มีชีวิตที่เต็มไปด้วยความไม่รู้ ความเชื่อแบบงมงาย และอุดมไปด้วย
    นิวรณ์ที่เป็นเครื่องขวางกั้นความเจริญ ไม่เคยเห็นความจริงในใจตนเอง ไม่เคยเห็นสัจจธรรมในใจตน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มิถุนายน 2010
  11. vergo shaka

    vergo shaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +835
    *0*........... ต้องเทียบกับ ภาษาดั้งเดิม ว่ามีบันทึกหรือเปล่า แต่ยังไง ก็ตาม คุณธรรมในจิต ของ
    พระองค์ก็สุดยอดเสมอ สำหรับเรา ในไบเบิลก็เขียนไว้นะ บางบท บอกตรึง บางบทบอกแขวน
    ไว้บนต้นไม้...หรือกางเขน ก็ยังตีความหมายไม่ออก ???
     
  12. damilk

    damilk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2010
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +129
    ค้นพบ หนังสืออินตก-เทพทำนาย โดยย่อ


    [​IMG]

    หนังสือใบลานสี ได้ถูกตกมาในวัดแห่งหนึ่งในจังหวัด อัตตะบือ ( ประเทศลาว ) ข้าพเจ้าได้รับรู้จากพระอาจารย์ผู้ทรงศีลองค์หนึ่งเผยแผ่ให้เลยเถิดความศรัทธาเสียสละทรัพย์พิมพ์แจกจ่ายมายังพี่น้องชาวพุทธทั้งหลาย เพื่อเป็นกุศล และเพื่อพิจารณาณด้วยตนเองถึงเหตุการณ์มหันตภัยของโลกยุคโลกาภิวัฒน์ ซึ่งจะบังเกิดขึ้นตามพุทธทำนายไว้ดังนี้<O:p<O:p


    โลชังชม โทโพโส อินโตกรุณา<O:p

    พระอินทร์ พรหม ยมราช ได้สั่งไว้ว่า ถ้าบุคคลใดได้รู้แล้วจงรีบบอกให้คนอื่นฟังหรือพิมพ์แจกตามกำลังศรัทธา จะเกิดมหากุศลช่วยให้ท่านได้หลุดพ้นจากมหันตภัยพิบัติทั้งปวง ถ้าบุคคลจะลงมาเกิดพร้อมหนังสือใบลานฉบับนี้ ถ้าใครไม่มีไว้ในบ้านเรือนจะมีภูตผีปีศาจเข้ามาทำลายย่างแน่แท้

    <O:pในปีจอถึงปีกุน เมื่อเดือนหงายจะมีงูพิษอยู่บนศีรษะฉกกัดให้ถึงตาย และผู้คนทั้งหลายจะเกิดความเดือดร้อนหลายประการ
    <O:p
    ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนศึกสงครามบ่แล้ว<O:p
    ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนน้ำและไฟ<O:p
    ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนอึดข้าวปลาอาหาร<O:p
    ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนผัว-บ่เห็นหน้ากัน<O:p
    ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนมีคนตายตามทุ่งนา<O:p
    ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนบ่มีผู้เฒ่า<O:p
    ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนไปต่างประเทศบ่สะดวก<O:p
    ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนนอนบ่หลับ

    <O:p
    ในปีจอนี้ ในเมืองจันทร์จะมีฤาษีองค์ทองคำสิกขาลาเพศออกมาเป็นพ่อค้าในปีจอขึ้น 8 ค่ำ ห้ามบ่ให้ตักน้ำอาบ น้ำกิน ตามห้วยหนองคลองบึงหลังพระอาทิตย์ตกดิน (ก่อนค่ำ) พระยายมราชจะนำเอายาพิษพ่นใส่โลกมนุษย์

    <O:p
    ในปีจอ เมืองกรุงเทพ จะแตกพังทลายตอนเวลาไก่ขัน พระแก้วมรกต หัวเชียงเมี้ยงข้าวเม็ดใหญ่จะกลับสู่เวียงจันทร์ นี่คือ พระคาถาขององค์อินทร์ พรหม ยมราช ได้เขียนไว้ในใบลาน จงเก็บรักษาไว้ให้ดีเพื่อช่วยหลุดพ้นจากภัยพิบัติได้ในยามเกิดเหตุการณ์มหันตภัย พระคาถาเขียนไว้ว่า

    ปะโต เมตัง ประระชีมัง สุคะโต จุติ จิตตะ เมตตะ นินะมัง สุคะโต จุติ
    <O:p
    พระคาถาบทนี้เขียนลงใบลาน แผ่นทอง หรือ แผ่นผ้าก็ดี ติดไว้ที่ประตูบ้านหรือในรถหรือโพกศีรษะ ยามเกิดเหตุการณ์จะช่วยให้หลุดพ้นจากภัยอันตราย<O:p></O:p>

    <O:p
    ในกาลละเวลานี้ เทพเจ้าเหล่าเทวดาผู้รักษาคุ้มครองโลกได้กราบทูลต่อพระอินทร์ว่ามนุษย์โลกทำบุญเพียง 3 ส่วน และทำบาปกรรมถึง 7ส่วน เมื่อเป็นเช่นนี้องค์อินทร์จะสั่งลงโทษมนุษย์ผู้ใจบาป ถึง 9 ข้อ นับตั้งแต่ปีจอถึงปีกุน ดังนี้<O:p
    <O:p
    1. จะให้เกิดพายุลมแรง แผ่นดินไหว
    <O:p2. จะให้เกิดอัคคีภัย<O:p
    3. จะให้เกิดอุทกภัย<O:p
    4. จะเกิดฟ้าผ่า<O:p
    5. จะเกิดร้อนเกินไป หนาวเกินไป<O:p
    6. จะเกิดสารพิษต่างๆ<O:p
    7. จะเกิดกาฬโรคต่างๆ<O:p
    8. จะเกิดข้าวยากหมากแพง<O:p</O:p
    9. จะเกิดฆาตพยาบาทเบียดเบียนกันเอง<O:p

    <O:p
    มหันตภัย 9 อย่างนี้ จะหลุดพ้นได้โดยเฉพาะผู้มีบุญ คนที่ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น รู้แล้วจงบอกต่อกันไปให้รับทำความดีมากๆ ถ้าเลยปีจอ ปีกุน ไปแล้ว ทุกคนพร้อมทั้งลูกหลาน จะได้รับความสุขกายสบายใจทุกคน ให้ทุกคนเคร่งครัดในศีล 5<O:p></O:p>

    <O:p
    นอกจากหนังสืออินตก ที่ได้กล่าวมาแล้วยังมีพระผู้ทรงศีลอีกองค์หนึ่ง ได้พบเห็นคำสอนที่จารึกไว้ในแผ่นศิลาที่พึ่งพบในภูเขาแห่งหนึ่งที่พระพุทธเจ้าได้เดินธุดงค์วิปัสสนากรรมฐานผ่านไป พระผู้ทรงศีลกล่าวว่าพี่น้องทั้งหลายถ้าไม่เชื่อก็สุดแล้วแต่ดวงจิต เพราะถึงเวลาแล้วที่สวรรค์จะไม่มีความลับ ถ้าท่านเชื่อก็เป็นกุศลรู้เพียงเท่านี้ข้าพเจ้าจึงขอบอกเล่าสู่ท่านฟังตามคำกล่าวของพระผู้ทรงศีลรูปนี้ว่า ในแผ่นศิลาได้เขียนไว้โดยพระมหากัสสะปะว่า ในปีระกา ปีจอ ปีกุล เดือน 7-8 จะเกิดเหตุการณ์ร้ายตามถนนหนทาง ในเดือน 9-10 คนใจบาปจะถูกล้างผลาญให้หมดไป มีบ้านแต่ไม่มีคนอยู่มีข้าวแต่ไม่มีคนกิน มีทางแต่ไม่มีคนเดิน
    <O:p
    <O:p
    สุดท้าย พระผู้ทรงศีลได้กล่างย้ำถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหนังสือินทร์ตกเพิ่มเติมว่า ถ้าท่านผู้เคารพบูชาหรือบนว่าจะบอกแก่ผู้อื่นหรือพิมพ์แจกจ่ายให้สาธุชนทั้งหลายได้รับรู้แล้วท่านปรารถนาสิ่งใดจะได้สมใจนึก จะปราศจากภัยพิบัติทั้งปวงตลอดไป ไม่เชื่ออย่าลบหลู่<O:p
    <O:p






    พระพุทธทำนาย<O:p



    [​IMG]<O:p

    ออกจากศิลาจารึกในมหาวิหานชรเจตมหาเชตะวัน ณ สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย โดยคณะทูตไทยที่ไปอันเชิญพระบรมสารีริกธาตุ เมื่อปี พ.ศ.2485 ตามคำแปลเป็นภาษาไทย ว่าดังนี้<O:p

    <O:p
    สาธุ อะระหังตา สัมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระเมตตากรุณาสรรพสัตว์ทั่วโลก ที่เกิดมาแล้วแต่ลำบากทั่วหน้า ทุกชาติ ทุกศาสนาตามธรรมชาติ เมื่ออาตมาเข้านิพพานไปแล้วครบบห้าพันปีเป็นที่สุด โลกจะหมุนไปใกล้จะถึงจำนวนที่ตถาคตทำนายไว้สองพันห้าร้อยปี มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติเสียครั้งหนึ่งในระยะเวลา 30 ปี สิ่งที่สาธุชนไม่เคยเจอะจะได้เห็น ไม่เคยพบจะได้พบ ยักษ์หินที่ถูกสาปให้หลับกลับตื่นขึ้นมาอาละวาดยิ่งนัก ใกล้กับ พ.ศ. 2550 ยิ่งทวีกันใหญ่ขึ้นทุกทิว่าราตรี มนุษย์นอกพระศาสนาจะรบราฆ่าฟันกันจนถึงเลือดนองเต็มพื้นดิน พื้นน้ำ จะลุกลามเผามนุษย์ไม่ขาดระยะ ต่างฝ่ายต่าทำลายเหมือนยักษ์กระหายเลือด แผ่นดินจะเป็นเปลวไฟจะตายไปอย่างละครึ่งหนึ่งจึงจะเลิกล้ม ต่างฝ่ายต่างหมดกำลังด้วยกันตามวิสัยยักษ์ร้ายนอกศาสนาซึ่งถือกำเนิดจากป่าอำมหิต ส่วนพุทธศาสนิกชนผู้ทำแต่บุญเดินตามทางตถาคตสามารถระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านใดได้บูชาพระโพธิสัตว์ผ้ากาสาวพัตร์ ก็จะรับภัยพิบัติเบาบางแต่หนีภัยธรรมชาติไม่พ้น ไฟจะลุกลามมาทางทิศตะวันออก ไหว้วัดวาอารามสมณะชีพราหมณ์ จะอดอยากยากเข็น ลูกไฟจะตกจากฟ้า เหล็กกล้าจะผุดจากน้ำ สงครามจะเกิดทั่วทิศ พระยานาคจะพ่นพิษเป็นเพลิง ทหารจะเป็นเจ้า ข้าวสารจะขาดแคลน ทุกแคว้นจะอดอยาก พลูหมากจะหมดเปลือง สีเหลืองจะชนะ พระยังอยู่คู่เมืองอีกต่อไป สีขาวจะแพ้ภัยในที่สุด ครุฑจะบินกลับฐาน คนจะกลับบำรุงพระพุทธเจ้าว่าดังนี้ ชา ตะ มะ สะ ละ วา พรุพุทธชินลิตนี้ท่านให้เขียนใส่กระดาษ หรือผ้าขาวติดไว้หน้าบ้าน หรือหัวนอน ดังนี้จะมีอายุยืนยาว จะทันผู้มีบุญชื่อ พระยาธรรมิกราชา เมื่อแรกสถิตอยู่เขตอยุธยา บัดนี้ท่านเสด็จอยู่ลานช้าง ( ภาคอีสานในปัจจุบัน ) พระยาธรรมิกราชา เข้ามาปีกุน เดือน 11 เป็นเที่ยงแท้หนักหนาท่านเสด็จมาในปีระกา แรม 5 ค่ำ มหากษัตริย์มาทางทิศตะวันตก สมณะชีพราหมณ์ตามมาพอประมาณได้ 76,400 รูป ทั่วอาณาจักรสมเด็จพระบรมนักปราชญ์ได้ประกาศคาถาว่า ดังนี้ นะสัจจัง ทะ คะยังมะสำคำปัง คอยดูในปีมะโรง คนจะเดินโก่งโค คลาน ผู้ใดอยากพบผู้มีบุญชื่อพระยาธรรมิกราชให้ภาวนา ให้หมั่นรักษาศีล สดับรับฟังพระธรรมเทศนา คอยดูปีมะเส็งตลิ่งจะพัง มหาสมุทรจะชอกช้ำ อย่าเที่ยวไปกลางแจ้ง ท่านเข้ามาปีกุน เดือน 8 เป็นเที่ยงแท้ ผู้ใดไม่เชื่อจะรับอันตราย คอยดูในปีจอ คนจะพ้น ภัย สะโรนะกา โททายะโม พุทธะตะยะ ภาวนาทุกเช้าค่ำ ผู้นั้นจะมีอายุยืนนานจะได้เห็นพระธรรมมิกราช (พระโพธิสัตว์ศรีอริยเมตไนย) ในปีกุน ท่านจะเข้ามาอีก ถ้าไม่เห็นหนังสือบ้านใดผู้นั้นจะได้รับอันตรายรู้แล้วให้บอกต่อกันด้วย<O:p

    <O:p
    คำเตือน โลกมนุษย์กำลังจะเข้าสู่กาลียุค จะทำให้เกิดภับธรรมชาติจาก ดิน น้ำ ไฟ ลม จะเกิดมหาสงครามโลกครั้งที่ 3 ตามมา มนุษย์จะตายไปกว่าครึ่ง<O:p

    <O:p
    สำหรับประเทศไทย จะเริ่มเกิดตั้งแต่ปี 2550 คาดว่าจะได้รับภัยทางน้ำแล้วไฟโดยเฉพาะจังหวัดที่ติดชายทะเลและกรุงเทพฯ แผ่นดินจะยุบตัว คลื่นน้ำจะพัดเข้าถล่มความสูง 200 เมตร มนุษย์จะล้มตายมากกว่าครึ่ง น้ำจะเข้าช่องแคบสระบุรี และด้านตอนล่างของโคราชบางส่วน ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆสุดท้ายประเทศไทยจะเหลือประชากร


    ส่วนประเทศอื่นทั่วโลกจะเหลือดเพียงสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น บุคคลที่รอดชีวิตส่วนมากก็สูญเสียสติสัมปชัญญะไม่ปลอดภัยเหมือนเมืองที่นับถือพระพุทธศาสนาเพราะไม่เข้าใจบำเพ็ญฌานภาวนา ฉะนั้นอย่าหลงใหลในทรัพย์สินของตนเองให้มากนักเพราะเมื่อเข้ายุดศิวิไล เงิน ทอง จะไม่มีค่าเลยเพราะมนุษย์ยุคนั้นวัดกันที่ความดี ศีลธรรมบุญกุศลเท่านั้น
     
  13. tumsokpho

    tumsokpho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2010
    โพสต์:
    348
    ค่าพลัง:
    +469
    ไม่มีใครรู้ความจริงทั้งหมดหรอกครับ
    เพราะไม่มีใครเกิดทันในยุคนั้น
    อีกหน่อยก็มีทฤษฎีใหม่มาหักล้างทฤษฎีเก่าครับ
     
  14. rnuir

    rnuir เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +218
    รู้แล้วได้อะไร
     
  15. numnoina

    numnoina Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +53
    อวิชชา คือ ความไม่รู้ รู้ไม่จริง
    เพราะ อวิชชา จึงเกิด ภพชาติ
    ปฏิจจสมุปปบาท อิทัปปจยตา
     
  16. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    ใช่พระเยซุไม่เคยถูกตรึงกางเขน ตัวท่านเองนั้นแหละที่ถูกตรึงกางเขนกัน
     
  17. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ตรงประเด็น ชัดเจน ใช่...ตัวเราเองนั้นแหละที่ถูกตรึงกางเขนกัน
     
  18. แสงอุ่น

    แสงอุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    612
    ค่าพลัง:
    +1,036
    ใส่ใจสาระ ที่ควร ใยมองที่การตรึง มองที่การเสียสระชีวิต น่าจะตรงกว่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...