พระขรรค์ท้าวเวสสุวรรณ รุ่นเจริญลาภปราบไพรี- มูลนิธิเทียนฟ้า 2497 - วัตถุมงคล หลวงปู่พิศดู-ครูบากฤษดา

สวัสดียามดึกครับป๋า

 

สวัสดียามสายครับป๋า

 

สวัสดีครับเสี่ยเฟริส์ท

 

Sitthiphon Chuen
26 สิงหาคม 2018


" ก็นอนก่ายเกก สวดมนต์(คาถาป้องกันภัย)อยู่ที่กุฏิ เฉยๆ "

***เหตุการณ์...ที่ทำให้คนรู้จัก...หลวงปู่พิศดู***

เมื่อปี พ.ศ.2542 ได้เกิดฝนตกหนัก บริเวณพื้นที่ กิ่งอ.เขาคิชฌกูฏ และ อ.ใกล้เคียง ติดต่อกันหลายวัน ทำให้ภูเขาที่มีลักษณะเป็นดินทรายปนหิน พังถล่มลงมา ทั้งท่อนไม้ ต้นไม้ หักโค่งลงมา อย่างถอนรากถอนโคน ก่อนที่จะเกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่นี้เพียง 7 วัน

หลวงปู่ ได้บอกเตือนชาวบ้าน ที่มาทำบุญที่วัด ถึงภัยธรรมชาติอันจะเกิดขึ้น อีกเพียงไม่กี่วัน แต่ไม่มีใครสนใจ กับคำเตือนเท่าที่ควร ท่านก็ได้แต่ปลงธรรมสังเวช แต่ท่านก็รับรอง สถานที่ๆปลอดภัยที่สุด ให้กับผู้ที่เชื่อท่านว่า

" ที่อื่น เราไม่รับรองนะ แต่ที่วัดเทพธารทอง ปลอดภัยแน่นอน "

พอผ่านไปได้ 7 วัน ได้เกิดฝนตกหนัก บริเวณพื้นที่ กิ่ง อ.เขาคิชฌกูฎ ทางฝั่งต้นน้ำสายหนึ่ง ก็เกิดพังถล่มลงมา ทำให้ท่อนไม้ ท่อนซุงจำนวนหลายร้อยหลายพันท่อน ไหลลงมาตามกระแสน้ำ อันเชี่ยวกราก อย่างบ้าคลั่ง ด้วยกำลังมหาศาล ยากที่สิ่งใดจะต้านทานได้

แต่ด้วยเดชะบุญ มหาบารมีธรรม ขององค์หลวงปู่พิศดู กระแสน้ำทะเลซุง ที่กำลังโหมลงมา ผ่านพื้นที่ของวัดนั้น ปรากฏว่าได้มีท่อนซุงขนาดใหญ่ ที่ไหลลงมาจากภูเขา ผ่านลำธารทองวัดเทพธารทอง กลับเรียงซ้อนกัน ตามแนวขอบเขตริมฝั่งคลองของวัด ทำให้กระแสน้ำที่ไหลมา ได้ปะทะกับท่อนซุงอย่างจัง ทำให้กระแสน้ำ ได้หักเหเปลี่ยนทิศทาง ไม่เข้ามาในวัด จึงเกิดเป็นคลองสายที่สองขึ้น ขนาบกับคลองเก่า ที่มีอยู่แต่เดิม

วัดเทพธารทอง จึงรอดพ้นจากภัย ด้วยปาฏิหาริย์ ทั้งๆที่มีกุฏิริมน้ำตั้งอยู่ ก็เป็นแนวขวางกระแสน้ำนั้นด้วย แต่กลับหาอันตรายได้ไม่ กระแสน้ำทะเลซุงนั้น ได้ไหลลงไปตามลำคลอง ไหลพัดถล่มทำให้สถานีตำรวจเก่า เกิดความเสียหาย ถนน และการคมนาคม ถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิง

ข่าวการรอดพ้น จากภัยธรรมชาติของ วัดเทพธารทอง ทำให้เป็นที่สนใจของผู้คน รวมทั้งสื่อวิทยุ หนังสือพิมพ์หลายฉบับ ต่างประโคมข่าวปาฏิหาริย์ ในครั้งนี้ ด้วยบารมีองค์หลวงปู่พิศดู วัดเทพธารทอง จึงทำให้เป็นที่รู้จักของบุคคลทั่วไป นับตั้งแต่บัดนั้น ได้เคยกราบเรียนถามองค์หลวงปู่ฯว่า เหตุการณ์ตอนนั้น องค์หลวงปู่ฯ ทำอย่างไร ท่านตอบว่า

" ก็นอนก่ายเกก สวดมนต์(คาถาป้องกันภัย)อยู่ที่กุฏิ เฉยๆ "

พ่อแม่ครูอาจารย์บางท่าน เมตตาเล่าให้ฟังว่า เหตุการณ์ครั้งนั้น หลวงปู่ฯท่านเข้าสมาบัติโดยฉัพพรรณ(ในอิริยาบท นอนก่ายเกก)ใช้กระแสจิต บังคับท่อนซุงขนาดใหญ่ ให้มาเรียงซ้อนกัน ตามแนวขอบเขตริมฝั่งคลองของวัด เป็นที่อัศจรรย์ นับเป็นความเชี่ยวชาญ ในการใช้อำนาจจิต ด้วยฤทธิ์อภิญญาขององค์หลวงปู่ฯ เป็นอย่างยิ่ง

***ขอขอบคุณ...ข้อมูลโดย...คุณสิรภพ สายพานิช***

 

สวัสดียามสายครับป๋า

 

สวัสดียามเที่ยงครับป๋า

 

หลวงปู่พิศดู ธมฺมจารี
27 กุมภาพันธ์ 2016


ขอเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับอภิญญาจิตขององค์หลวงปู่พิศดูอีกสักเรื่อง
เรื่องนี้ได้รับการบอกเล่าจากคุณลุงเสมียน ลูกศิษย์รุ่นเก่าของหลวงปู่ครับ สมัยที่คุณลุงเสมียนได้เข้ามาทำบุญกับหลวงปู่ คุณลุงก็ได้พบเจอกับปรสบการณ์เกี่ยวกับอภินิหาร อภิญญาจิตของหลวงปู่มากมาย อย่างเช่นเรื่องนี้..

#เสกใบไม้เป็นปลา..
คุณลุงเสมียนได้เล่าให้ฟังว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งราวปี 2540 เศษ สมัยที่ท่านยังจำพรรษาอยู่กุฏิหลังเก่า ได้มีคณะช่างก่อสร้าง เข้ามาก่อสร้างเสนาสนะภายในวัด โดยได้พักค้างคืนอยู่ที่วัดหลายวัน สมัยนั้นก็ยังไม่ค่อยมีคนมากราบหลวงปู่มากนัก พวกข้าวปลาอาหารก็อาศัยญาติโยมมาใส่บาตร หรือพระที่วัดบิณฑบาตรมาแบ่งถวายหลวงปู่ทุกวัน เมื่อหลวงปู่ฉันแล้วก็จะแบ่งเป็นทานให้กับพวกช่างเหล่านั้น ซึ่งกินกันพอบ้าง ไม่พอบ้าง ทางพวกช่างก็ต้องหุงหาข้าวปลาอาหารกินกันไปด้วย เป็นอย่างนี้ทุกวันหลวงปู่ท่านก็คงรู้สึกสงสาร เลยบอกกับหัวหน้าช่างว่า..
" ปลาในสระน้ำในวัด เราอนุญาตให้จับไปกินได้.."

ซึ่งพวกช่างก็รู้สึกแปลกใจมากว่าทำไมหลวงปู่จึงให้จับปลาในวัดกิน แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก ดีเสียอีกจะได้มีกับข้าวอร่อยๆกิน ว่าแล้วก็พากันทำเบ็ดตกปลาในสระน้ำในวัดขึ้นมาทำอาหารกินกันทุกวัน อย่างเอร็ดอร่อย ช่างยังมาเล่าให้ท่านฟังด้วย ว่าปลาที่วัดนี้ทำไมเนื้อถึงอร่อยมาก อร่อยกว่าปลาที่อื่นเสียอีก.. แต่หลวงปู่ท่านก็ไม่ได้ตำหนิอะไร..
แต่ปรากฏว่ามีเรื่องแปลกเกิดขึ้นก็ตอนที่ช่างเหล่านั้นขับถ่ายออกมา อุจจาระที่ออกมาทุกวันๆนั้นกลายเป็นสีเขียวหมดทุกคน พวกช่างก็แปลกใจมาเล่าให้หลวงปู่และลุงเสมียนฟัง หลวงปู่ท่านก็ได้แต่หัวเราะ หึหึ.. แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร จนช่างคณะนั้นกลับไป.. ลุงเสมียนทราบดังนั้นก็พอจะรู้ทัน เพราะเคยฟังเรื่องราวของครูบาอาจารย์แนวนี้มาบ้าง และตัวแกเองก็เคยเจอเรื่องราวอภินิหารของหลวงปู่พิศดูพระผู้ทรงอภิญญาจิตระดับสูงมามากพอสมควร แล้วก็เชื่อว่า #หลวงปู่ท่านต้องเสกใบไม้เป็นปลาให้พวกช่างกินกันอย่างแน่นอน เพราะตามปกติแล้วหลวงปู่ท่านจะมีความเมตตาต่อสัตว์มาก แม้แต่ยุง หรือมดสักตัวท่านยังไม่เคยตบ ขนาดมดที่ขึ้นมากินข้าวในสำรับท่านก็ยังไม่เคยปัดออก ท่านกลับปล่อยให้พวกมันกินกันให้อิ่ม แถมบอกว่า..

" แบ่งๆกันกิน เราหิวเป็น เขาก็หิวเป็น.."

เพราะฉะนั้นเรื่องที่ให้จับปลาเป็นๆมากิน โดยที่ท่านไม่ได้ทำอะไรนั้นเป็นไปไม่ได้เลย เพราะจะเป็นเรื่องผิดพระวินัยของพระได้..
ข้อมูลคุณsira pop

 

หลวงปู่พิศดู ธมฺมจารี

#ที่แรงอยู่ยาก
หลวงปู่เคยเล่าให้ฟังว่า ตอนที่มาอยู่วัดเทพธารทองใหม่ๆนั้น ความเป็นอยู่ลำบากมาก ถ้าเป็นคนอื่นจะอยู่ที่นี่ยาก เนื่องจากยังไม่ค่อยมีชาวบ้านมาอาศัย อาหารบริโภคก็หายาก สมัยก่อนนั้น (พ.ศ.2520) ยังมีสภาพเป็นป่าชัฏ

" ภพภูมิที่วัดนี่ก็แรง คนไม่ดีอยู่ไม่ได้ เจ้าอาวาสองค์ก่อนๆนี้ไม่ตายก็สึกไปหมด.."

เรื่องอาหาร ถึงแม้จะหายาก ตัองเดินบิณฑบาตรไกลหลายกิโล หรือบางครั้งก็อาจไม่มีเลย แต่หลวงปู่ก็สามารถอยู่ได้สบาย ไม่ใช่ปัญหาของพระธุดงค์อย่างท่าน (ท่านสามารถงดอาหารได้ติดต่อกันหลายวันโดยใช้ธรรมปีติหล่อเลี้ยง บางครั้งก็อาศัยบิณฑบาตรกับต้นไม้) เรื่องภพภูมิที่ว่าแรงสำหรับท่านก็เอาอยู่ เพราะสามารถคุยกันได้รู้เรื่อง แต่ว่าท่านยังต้องผจญกับความไม่สงบหลายอย่าง ทั้งเรื่องคนท้องถิ่นที่มีอาชีพเป็นพรานป่าที่ทำตัวมีอิทธิพลมาข่มขู่ โจรผู้ร้ายก็มี และภัยจากคุณไสยดำที่มีผู้ส่งมาลองกับท่านก็ยังมีอยู่เสมอ ฯลฯ แต่ว่าเวรกรรมก็มีจริง..

" คนที่คิดทำร้ายเรา สุดท้ายก็ฉิบหาย แพ้ภัยตัวเองไปหมด บางรายถึงกับม่อง(ตาย) ไปก็มี เราไม่ได้ทำอะไรเขา แต่เขาแพ้ภัยตัวเอง ส่วนเราก็วาง(เฉย) ใจเราสบาย.."

วันนี้จะเล่าเรื่องนักเลงไสยศาสตร์มาทำคุณไสยใส่หลวงปู่..
พวกที่มาลองของกับองค์หลวงปู่นี้ท่านว่ามีเยอะ มีอยู่หลายพวก บางพวกทำคนเดียวไม่สำเร็จก็ร่วมมือกันทำก็มี.. พวกนี้เขาไม่ค่อยนับถือพระ แต่อาจจะนับถือผีสางเทวดา ครูอาจารย์ของเขา ยิ่งถ้าเขารู้ว่าที่ไหนมีผู้เรืองวิชาเก่งๆโดยเฉพาะพระกัมมัฏฐาน พวกนี้จะชอบลองเป็นพิเศษ และถ้าลองไปแล้วไม่สำเร็จ ไม่สามารถทำอันตรายแก่ท่านได้ พวกนี้ก็จะพยายามทำให้บ่อยขึ้น เพื่อหาช่องว่างในการทำร้ายฝ่ายตรงข้าม ยิ่งถ้าฝ่ายนักเลงไสยเวทย์เหล่านั้นเขาหมายตัวใครไว้แล้ว หากไม่มีการโต้ตอบกลับมาก็จะยิ่งได้ใจ คิดว่าคงเกรงกลัว หรือไม่มีความสามารถส่งกลับ จึงย่ามใจ ยิ่งส่งไปทำร้ายมากขึ้น และแรงขึ้นโดยละดับ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะพระกัมมัฏฐานท่านมีจิตเมตตา และทรงอุเบกขารมณ์ จึงไม่อยากก่อเวรภัยใดๆแม้ผู้นั้นจะมุ่งหวังเพื่อประทุษร้ายก็ตาม..

#หมอเสน่ห์บุกลองของถึงวัด..
หลวงปู่ ท่านบอกเสมอว่า..
" แถบนี้นักไสยศาสตร์เก่งๆมีหลายคน พวกนี้มันส่ง(คุณไสย)มาหาเราเรื่อย..."

แต่ส่วนใหญ่หลวงปู่มักจะไม่สนองกลับไป เพราะด้วยความเมตตาสงสาร(กลัวเขาถึงแก่ชีวิต) พวกนั้นก็เลยได้ใจมีแต่ส่งมากระทำท่านอยู่ฝ่ายเดียว แต่ก็ทำอะไรท่านไม่ได้

หลายคนอาจสงสัยว่าหลวงปู่กับนักไสยศาสตร์เหล่านั้นมีความแค้นอันใดกัน ถึงต้องมาทำร้ายกันแบบนี้
คำตอบคือ.. ก็คงไม่มี และแท้จริงแล้วพวกเขาก็คงไม่ได้เจ็บแค้นอะไรท่านหรอก แต่การกระทำของพวกเขานั้น คงด้วยเหตุที่ร้อนวิชา หรือถูกวิชามืดเข้าครอบงำจิตแล้ว ในเมื่อเรียนแล้วก็ต้องปล่อยออก ไม่อย่างนั้นอาจจะอกแตกตาย(รุ่มร้อน) และเป็นการทดลองวิชาที่ได้เรียนมาว่าจะมีผลเพียงใด และถ้าเขาทำสำเร็จ ก็อาจเป็นบทพิสูจน์ว่า เขาได้เก่งขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว หรืออีกนัยหนึ่งก็คงจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันมาตั้งแต่อดีตก็เป็นได้.. จึงเป็นเรื่องปกติที่ครูบาอาจารย์ผู้ทรงคุณ หากเข้ามาอยู่ในแดนเถื่อนมักจะถูกลองดี ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง..

แต่จะว่าไป ก็ไม่ใช่ว่าหลวงปู่ท่านจะไม่เคยส่งกลับเลยก็หาไม่ บางครั้งท่านก็ต้องมีแก้ลำกลับคืนเพื่อดัดนิสัยเขาบ้างเหมือนกัน
มีอยู่รายหนึ่ง ในหลายๆราย ได้มาทำคุณไสยกันแบบซึ่งๆหน้าในวัด เพราะคงจะสงสัยว่าหลวงปู่ท่านมีอะไรดี ทำไมจึงส่งคุณไสยไม่สำเร็จ..

รายนี้เป็น หมอเสน่ห์ ได้เข้ามาในวัดทำทีว่ามาทำบุญถวายภัตตาหาร เขาจะพาผู้หญิงมาด้วย 2 คน พอขึ้นมาบนกุฏิ #หลวงปู่เห็นหน้าท่านก็ทราบด้วยญาณทันทีว่าพวกนี้จะมาลองของท่าน แต่ท่านก็ทำเฉยๆ เพราะอยากดูว่าเขาจะทำอย่างไร(ท่านนึกสนุก) โดยหมอคนนั้นเขาให้ผู้หญิง 2 คนนั้นมาชวนหลวงปู่ท่านคุย เพื่อให้ท่านเสียสมาธิ ในเมื่อเขามาชวนคุย หลวงปู่ท่านก็คุยด้วยตามปกติ ส่วนหมอไสยศาสตร์คนนั้น ก็แอบไปนั่งบริกรรมคาถาอยู่ในที่ลับตาเพื่อจะทำมนต์เสน่ห์เล่ห์กลใส่หลวงปู่ หวังจะให้ท่านล่วงอาบัติ โดยที่ไม่ให้ท่านตั้งตัว ผ่านไปสักครู่หนึ่ง เหมือนกับว่า มนต์เสน่ห์ที่พ่อหมอได้ส่งมานั้น นอกจากจะทำอะไรหลวงปู่ไม่ได้แล้ว หนำซ้ำยังย้อนกลับไปหาพวกเขาทั้ง 3 คนเสียอีกด้วย จนพ่อหมอและแม่สาวนกต่ออีก 2 คนขาดสติทนอยู่ไม่ได้ต้องรีบพากันลงไปสมสู่กันเองที่ใต้ถุนกุฏิหลังเก่า สมัยก่อนนั้นยังเป็นใต้ถุนยกสูง ยังไม่ได้กั้นเป็นห้องเหมือนสมัยปัจจุบันนี้..
ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าหลวงปู่ท่านสนองกลับวิชาไปอย่างไร เหตุใดที่วิชาที่ปล่อยมานั้นถึงย้อนกลับไปหาเจ้าของได้ ตรงนี้หลวงปู่ท่านไม่ได้บอกไว้
มาลองวิเคราะห์กันดูถึง ตัวพ่อหมอเองนั้นอาคมก็ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน ถึงกับมาลองกันถึงถิ่นนี่ก็ต้องพอตัวเชียวแหละ และวิชาที่ทำนั้นก็ต้องรุนแรงมากเสียด้วย เพราะว่า พอโดนสนองกลับไปเท่านั้น ถึงกับขาดสติกันทั้ง 3 คน จนต้องไปสมสู่กันเองที่ใต้ถุนวัด และหลวงปู่ได้บอกว่า สุดท้ายต่อมาทั้ง 3 คนก็ได้รับผลอันเกิดจากการกระทำกรรมอันชั่วช้าของตนในที่สุด..

มาดูทางด้านหลวงปู่กันบ้าง ท่านบอกว่า แค่ท่านเห็นหน้าก็รู้ได้ทันทีว่า พวกนี้มาลองของแน่ แถมเขายังมาชวนท่านคุยเพื่อให้ท่านเผลอ แต่ว่าสติพระอริยะ ระดับหลวงปู่เป็นมหาสติแล้วท่านจึงไม่มีโอกาสเผลอ
และท่านก็ไม่ต้องไปนั่งขัดสมาธิบริกรรมหลับตาต่อสู้กัน เหมือนคนอื่นๆแต่อย่างใด ท่านก็นั่งคุยด้วยตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่น..แสดงว่าอำนาจแห่งญาณ และอำนาจจิตของหลวงปู่นั้นต้องคล่องถึงขีดสุด และสั่งการได้ไวมากๆ และพร้อมรบเสมอ (ท่านแยกจิตได้) เป็นความมหัศจรรย์ของจิตผู้บรรลุธรรมขั้นสูง..
‎Sira Pop‎

 

น้องเค้าเอามาฝาก

 

สวัสดียามสายครับป๋า

 

เปิดพระปัจเจกพุทธเจ้าด้านหลังปั๊มยันต์พุทธเจ้าชนะมาร สภาพหน้าตากดติดคมชัดสวยสมบูรณ์ ครูบากฤษดา-หลวงปู่พิศดู อธิษฐานจิต -เหรียญขวัญถุงตอก2โค็ด หลวงปู่พิศดู








พระปัจเจกพุทธเจ้า เนื้อผง รุ่น "สมปรารถนา" ชุดนี้ สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2552 โดยคณะศิษย์ผู้สร้างถวายได้จําลองพุทธลักษณะองค์พระปัจเจกมาจากรูปหล่อพระปัจเจกพุทธเจ้าที่เป็นสมบัติของวัด ซึ่งมีอายุกว่าหลายร้อยปีถึงพันปี รูปแบบพิมพ์ทรงสี่เหลี่ยม ประทับนั่งอยู่ในซุ้มประตู บนซุ้มประตูเขียนคําว่า "สติ" อักขระด้านล่างสุดบริเวณฐาน อ่านว่า พระปัจเจกโพธิ ส่วนด้านหลังองค์พระ ออกแบบเป็นรูปบาตรภายในมีดอกบัว และล้อมด้วยคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นภาษาล้านนา พระปัจเจกพุทธเจ้ารุ่นนี้ ครูบากฤษดาท่านเมตตาตั้งชื่อรุ่นว่า "สมปรารถนา" ท่านว่ารุ่นนี้ศักสิทธิ์ตั้งแต่ปั๊มแล้ว เพราะเจตนาดี พระชุดนี้สร้างไว้ทั้งหมด 5 สี มีรายละเอียดจำนวนจัดสร้าง ดังนี้
1. สีว่านอมขาว สร้าง 5,000 องค์
2. สีช็อคโกแล็ต สร้าง 5,000 องค์
3. สีแดง สร้าง 5,000 องค์
4. สีเหลือง สร้าง 5,000 องค์
5. สีเขียว สร้าง 3000 องค์
ซึ่งสีเขียวนี้ ได้นําถวายบูชาธรรมแด่หลวงปู่พิศดูทั้งหมด และมีสีเหลืองบางส่วนประมาณ 1,000 องค์ หลังจากครูบากฤษดาท่านได้ปลุกเสกแล้ว ได้ถูกนําไปให้หลวงปู่พิศดูท่านปลุกเสกอีกครั้งพร้อมพระปัจเจกสีเขียว ซึ่งจะปั๊มตรายันต์พระพุทธเจ้าชนะมารไว้ ( บางส่วนได้แจกไปโดยไม่ปั๊มก็มีแต่น้อยมาก ) พระบางส่วนได้นําไปถวายวัดอื่นเพื่อทําประโยชน์ผ่านท่านครูบากฤษดา และอีกบางส่วนฝังไว้ที่เสาวิหาร วัดสันพระเจ้าแดง

 

สวัสดียามสายครับป๋า

 

ล็อกเก็ต"รุ่นปาฏิหาริย์ 2" หลวงปู่พิศดู เสกนาน2ปีเต็มๆครับ



ล็อกเก็ตรุ่น 6 หลวงปู่พิศดู
- ล็อกเก็ตรุ่นนี้สร้างปี พ.ศ.2550 โดยคณะศิษย์โรงพยาบาลจุฬาฯ สร้างถวายเพื่อให้หลวงปู่แจกเป็นทานบารมี ให้กับสานุศิษย์ที่มากราบเยี่ยม หลวงปู่ท่านตั้งชื่อรุ่นนี้ว่า "รุ่นปาฏิหาริย์ 2" ลักษณะล็อกเก็ตรุ่นนี้เป็นล็อกเก็ตฉากสีเขียว มีชื่อหลวงปู่เขียนว่า ธมฺมจารี สุขํเสติ พระทุกองค์เลี่ยมด้วยกรอบทองไมครอน จำนวนสร้างทั้งหมด 300 องค์เช่นกันกับ รุ่น5 แต่ล็อกเก็ตรุ่น6 นี้หลวงปู่อธิษฐานจิตนานถึง 2 ปีเต็ม ถึงค่อยแจกให้กับผู้ที่สมควรต่อไป นับได้ว่าเป็นล็อกเก็ตรุ่นที่หลวงปู่อธิษฐานจิตเอาไว้ยาวนานที่สุด ท่านบอกว่า "เก็บเอาไว้นานๆ เอาไว้รักษาตัว.."

 

ปิดล็อกเก็ต+เหรียญอุปคุตจิ๋ว เนื้อตะกั่วลองพิมพ์ครับ


เหรียญพระมหาอุปคุตจิ๋ว เนื้อตะกั่วลองพิมพ์ไม่ตัดปีก 1ใน59องค์

พระรุ่นนี้นอกจากหลวงปู่พิศดูจะอธิษฐานจิตแล้ว ยังได้มีผู้อาสานำเข้าขอความเมตตาจากครูบาอาจารย์ต่างๆ ช่วยอธิษฐานจิต(มนต์)เพิ่มให้ด้วย เท่าที่ทราบก็มี
1. หลวงปู่พิศดู(เข้าพิธีพร้อมรูปหล่อพระธรรมธาตุนานหลายเดือน ตราบเข้าสู่นิพพาน) ,
2. ครูบากฤษดา วัดสันพระเจ้าแดง ,
3. หลวงปู่ปลอด วัดโพธิ์นิมิตร ,
4. หลวงปู่เปรี่ยม วัดโพธิ์เรียง ,
5. หลวงปู่ดี วัดสุทธาราม ,
6. หลวงปู่สนั่น วัดธารเกษม ,
7. หลวงปู่พระธรรมวงศ์มุนี วัดไผ่ล้อม(พระอารามหลวง) ,
8. หลวงปู่อ่อง สำนักเขาวงกต ,
9. หลวงพ่อพจน์ วัดห้วงพัฒนา ,
10. หลวงปู่บัว วัดศรีบูรพาราม ,
.... ฯลฯ
ตามปกติแล้ววัตถุมงคลที่ผ่านๆมาของทางวัด องค์หลวงปู่ท่านจะอธิษฐานจิตเดี่ยวด้วยองค์ท่านเอง แต่วัตถุมงคลของหลวงปู่ที่มีครูบาอาจารย์ท่านอื่นร่วมอธิษฐานจิตให้หลายๆองค์ก็เห็นจะมีเพียง พระกริ่ง-พระชัยวัฒน์ธัมมะจารี และเหรียญพระมหาอุปคุตจิ๋วรุ่นสุดท้ายนี้เท่านั้น
ซึ่งในระหว่างที่นำพระไปเสก ก็มีครูบาอาจารย์บางท่านที่ได้ทักขึ้นว่า
"พระชุดนี้จริงๆดีอยู่แล้ว.." แต่ท่านก็ยังอธิษฐานสรรเสริญคุณ สมโภชน์ให้อีก
บางท่านระหว่างที่เสกอยู่ก็ลืมตามาถามว่า "ของในนี้คืออะไร เป็นของใคร นี่ของดีนะเนี่ย.."
และครูบาอาจารย์บางท่านก็บอกว่า "ถ้าเสร็จแล้วจะขอแบ่งเอาไว้บ้าง.." ก็มี ในระหว่างที่นำไปเข้าพิธี จึงต้องมีการแบ่งถวายให้กับครูบาอาจารย์เหล่านั้นเอาไว้แจกด้วย.. เพื่อบูชาพระคุณท่านเหล่านั้น
ซึ่งถ้านับจำนวนพระที่นำไปฝังไว้ด้านหลังล็อกเก็ตโสฬสญาณมงคลปู่หลาน และล็อกเก็ตพระอุปคุตมหาลาภ พระอุปคุตจิ๋วเนื้อทองแดง ทองเหลืองก็เหลือจำนวนน้อยอยู่แล้ว ยิ่งนำถวายให้ครูบาอาจารย์ และทางวัดเขาน้ำซับ และวัดเทพธารทอง พระก็เหลืออยู่จำนวนไม่มากจริงๆ เพราะฉะนั้นพระชุดนี้จึงไม่ค่อยมีหมุนเวียนเลยในปัจจุบันครับ..

พระอุปคุตจิ๋วชุดที่ถวายครูบากฤษดา ที่ด้านหลังไม่มีชื่อวัด ไม่ได้เดินสายเข้าพิธีครับ
พระอุปคุตของวัดสันพระเจ้าแดง ตามข้อมูล เข้าพิธีดังนี้ครับ..
วาระที่ 1 หลวงปู่พิศดูอธิษฐานจิต
วาระที่ 2 ครูบากฤษดาอธิษฐานจิต
วาระที่ 3 หลวงปู่พิศดูอธิษฐานจิต
วาระที่ 4 ครูบากฤษดาอธิษฐานจิต
ข้อมูลคุณสิรภพ

อานิสงส์การบูชาพระอุปคุต
1. จะเป็นสิริมงคลชุ่มเย็นตลอด
2. ป้องกันภัยพิบัติและแคล้วคลาดจากอันตรายต่างๆและอุบัติเหตุทั้งหลาย
3. เป็นผู้ชนะมารและศัตรูที่จะมาปองร้ายเราทั้ง 10 ทิศ
4. เป็นผู้มีอำนาจวาสนาดี ไม่มีใครข่มเหงรังแก
5. เป็นที่เคารพนับถือและเกรงกลัวของคนทั้งหลาย
6. เป็นผู้กินไม่หมด มีโชคลาภอยู่ตลอดเหมือนพระอุปคุตล้วงบาตร

 

สวัสดียามค่ำครับป๋า

 

หลวงปู่ท่านมักบอกกับผู้ที่มากราบท่าน ซึ่งบางครั้งญาติ..หรือเพื่อนของคนที่มากราบนั้นอยากจะมา แต่มาด้วยไม่ได้ หลวงปู่ท่านก็จะบอกว่า " กราบเรากราบที่ไหนก็ได้.. แค่คิดถึงก็พอ เรารู้ " เป็นอมตวาจา ที่ท่านให้ไว้กับลูกศิษย์ของท่านครับ และอีกคำหนึ่งท่านก็มักจะบอกเสมอว่า " ศิษย์เรา เราคุ้มได้หมดทุกคน ผ่านมา(นับถือท่าน)แล้วมักจะไม่พลาด "
(ข้อมูลคุณทุเรียนทอด)