พี่น้องบวชพระพร้อมกัน : หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 10 ธันวาคม 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    152
    ค่าพลัง:
    +147,900
    <dd>ผู้ถาม – กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง คือว่าผมมีลูกชายฝาแฝดอยู่ ๒ คน ตั้งใจว่าจะบวชพร้อมกัน เป็นการประหยังเศรษฐกิจ แต่คนข้างบ้านมาติงว่าไม่เหมาะสม เพราะพี่น้องต้องบวชคนละคราว ลูกไม่มั่นใจแต่ต้องมาพึ่งหลวงพ่อว่า ถ้าจะบวชพร้อมกันทีเดียวจะได้หรือไม่คะ "

    หลวงพ่อ - ได้...ไม่ขัดข้องหรอก ไอ้คนที่เขาติงน่ะ เขาเป็นนายหน้าพระ นายหน้าอุปัชฌาย์ ใช่ ๆๆ ต้องเสียสตางค์ ๒ หนไงล่ะ"

    ผู้ถาม – ถ้าบวชทีเดียวก็เสียทีเดียว"

    หลวงพ่อ - เสียทีเดียว...ใช่! ก็เพิ่มเฉพาะผ้าไตร นอกนั้นก็จ่ายอย่างเดียวกัน"

    ผู้ถาม – งั้นก็บวชทีเดียวพร้อมกัน"

    หลวงพ่อ - ใช่ ๆ อานิสงส์ดี ลูกบวชพระพ่อแม่ได้คนละ ๓๐ กัป ๒ องค์ก็ ๖๐ กัป เป็นเทวดาหรือนางฟ้าหรือพรหมอยู่ขนาดนั้นนะ ถ้าตั้งใจเพื่อนิพพานมีหวังไปเลย"

    ผู้ถาม – ยังมีถามต่อครับ อีกข้อหนึ่งน่ะครับ สงสัยเรื่องพระคี่กับพระคู่ ว่าอันไหนจะถูกต้อง"

    หลวงพ่อ - เดี๋ยวก่อน ๆๆ พระขี้ไม่เอา...เหม็น!"

    ผู้ถาม – ไม่ใช่...คนละอย่างครับ หมายถึงอย่างนี้ครับหลวงพ่อ ห้อยพระคี่..."

    หลวงพ่อ - หมายความจำนวนคี่หรือคู่ใช่ไหม...เหมือนกัน"

    ผู้ถาม – หมายถึงอานิสงส์"

    หลวงพ่อ - อานิสงส์ก็ดี อานุภาพก็ดี เหมือนกัน ไม่แตกต่างกันนัก แต่ว่าถึงเวลาตายยังไงก็ตาย ความจริงฉันมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง จะฟังสักเรื่องไหม.. มีเสือกระบาอยู่คน เอ๊ย!ไม่ใช่..เสือลำบาก ลิ้นฉันไม่ดีลิ้นคนแก่ คือเรียกชื่อ เสืออ้วน สมัยโน้นสมัยเสือฝ้ายน่ะ ตอนเช้าขึ้นมาตำรวจไปล้อมแก แกก็คว้าปืนลูกซองมากระบอกนะเดินออกมา ตำรวจยิงตรงนะไม่ออกแน่ แล้วแกก็หลีก แกเดินเรื่อยมา ตำรวจก็ตามยิงเรื่อยไป แต่ตำรวจก็ไม่กล้าเข้าใกล้ ยิงตั้แต่เช้ายันเย็น ประมาณ ๕ โมงเย็น เดินตามเรื่อยไป แกยังไม่กินข้าวนี่แกก็หิว

    </dd><dd>ทีนี้เวลานั้นมันเป็นป่าแถวถั้วอยู่ เขาเรียกถั้วอยู่นะ มันก็บังกอไผ่บังดงไผ่ พอบังดงไผ่มา แกแวะเข้าบ้าน ๆ หนึ่งขอข้าวกิน เจ้าของเขาให้กิน เพราะว่าแกเป็นคนดี เขาเป็นเสือก็จริง ท้องที่เขาป้องกันได้ เขาคุ้มครองท้องที่นะ ขณะที่กินข้าวไม่ทันจะอิ่ม ปรากฏว่าตำรวจโผล่ตรงมุมไผ่พอดี แต่ไกลกันประมาณสักครึ่งกิโล แกก็เลยทิ้งจานข้าวออกทางนี้ ตำรวจเห็นก็วิ่งกวดไล่ยิงอีก ยิงไปยิงมา ปรากฏแกสะดุดคันนาล้ม ตำรวจตอนนั้นยิงตายพอดี พอตายแล้วยิงใหม่ไม่ออก แกถึงวาระไง ถ้าถึงคราวแล้วมันคุ้มไม่ได้ พระเองพระก็ตายเหมือนกัน"

    ผู้ถาม – ถึงวาระเขาพอดี"

    หลวงพ่อ - จิตหวั่นไหว ความมั่นคงน้อยไป"

    ผู้ถาม – อย่างนี้ก็แสดงว่ากฎแห่งกรรม เมื่อถึงวาระแล้วก็ต้องตาย"

    หลวงพ่อ - กฎแห่งกรรมเมื่อถึงวาระแล้ว ใครก็ช่วยไม่ได้ อย่างที่พระพุทธเจ้าเคยบอก ที่ตถาคตเทศน์กายคตานุสสติกับอสุภกรรมฐาน พอเทศน์จบทำให้พระ ๖๐ องค์ฆ่าตัวตายใช่ไหม.. อย่างนี้น่ะท่านเกิดนิพพิทาญาณ นิพพิทาญาณตัวเบื่อหน่ายร่างกายสกปรก เลยเกลียดร่างกาย ตัดสินใจ ร่างกายไม่ดีอย่างนี้เราไม่ต้องการ ก็ฆ่าตัวตายแล้วก็ไปนิพพาน"

    ผู้ถาม – อ๋อ...พระฆ่าตัวตายไปนิพพานได้"

    หลวงพ่อ - ถ้าจิตใจแบบนั้นนะ ต้องเหมือนกันนะ ต้องเบื่อหน่ายจริง ๆ หลังจากนั้นเมื่อพระพุทธเจ้าเทศน์จบก็บอกว่า ต่อไปนี้ตถาคตไปอยู่ในถ้ำ ๑๕ วัน ห้ามคนอื่นเข้าพบ นอกจากพระที่ส่งอาหาร เมื่อครบ ๑๕ วัน แล้วท่านก็ออกมา ก็มีพระเล่าให้ฟัง พระ ๖๐ องค์ฆ่าตัวตาย ท่านก็เทศน์ใหม่ เทศน์อานาปานุสสติกรรมฐาน

    </dd><dd>แล้วต่อมามีพระเข้าไปถามว่า พระองค์ทราบหรือไม่ว่า ถ้าเทศน์เรื่องนี้พระ ๖๐ องค์จะตาย พระพุทธเจ้าบอกว่าทราบ พระเลยถามว่า ทราบแล้วทำไมจึงเทศน์พระเจ้าพุทธเจ้าข้า ท่านบอกตถาคตจะเทศน์หรือไม่เทศน์ เขาก็ต้องตาย เพราะกฎในการฆ่าเนื้อฆ่าสัตว์มาในกาลก่อน ในเมื่อเขาจะตาย ตถาคตแนะนำให้เขาไปนิพพานไม่ดีกว่าหรือ นี่พระพุทธเจ้าคุ้มไม่ไหวเมื่อถึงเวลานะ"

    ผู้ถาม – แต่ก็สงเคราะห์ให้ไปดี"

    หลวงพ่อ - ก็สูงเลยสบายมาก ดีกว่าอยู่"

    ผู้ถาม – เอ๊ะ! ก็น่าแปลกนะ ฆ่าตัวตายไปนิพพานได้"

    หลวงพ่อ - ท่านโคธิกะยังเชือดคอตายไปนิพพาน "ยกทรง" เมื่อชาติก่อนก็เชือดคอตายไปสวรรค์"

    ผู้ถาม – น่าจะนิพพานสักหน่อยนะ"

    หลวงพ่อ - นิพพานลงมามีเมียไม่ได้..." (หัวเราะ)

    ผู้ถาม – ผมน่ะกตัญญูกตเวที อย่างนี้แสดงว่าใครเบื่อหน่ายร่างกาย เชือดคอตายหรือจะมีอันต้องตายไป เข้านิพพานได้เลยนะ"

    หลวงพ่อ - ใช่...แต่เขานึกไว้ทุกวันนะ นึกไว้ทุกวันว่า ถ้าเราตายเมื่อไหร่ ขอไปนิพพานเมื่อนั้น ให้จิตมันชิน เขาเรียกเป็นฌานในอุปสมานุสสติกรรมฐาน มีนิพพานเป็นอารมณ์"

    ผู้ถาม – แหม...ลงทุนนิดเดียวนะ"

    หลวงพ่อ - นั่นเขาไม่ลงทุนมาก นิพพานนิดเดียว ไอ้ที่เรียนเรียนกันมาก เพราะอะไรรู้ไหม.. ครูไม่รู้เรื่อง"

    ผู้ถาม – ล่อจิตตั้ง ๑๒๗ ดวง ๘๒ ดวง"

    หลวงพ่อ - ใช่...ฉันก็เคยเล่นมาก่อนเหมือนกัน"

    ผู้ถาม – หลวงพ่อนะหรือครับ "

    หลวงพ่อ - อ้าว...ถ้าไม่โง่เสียก่อนจะรู้เรื่องได้ยังไง"

    ผู้ถาม – นึกว่าแจ่มแจ๋ว...ตั้งแต่เล็กจนโต"

    หลวงพ่อ - แจ๋วมาก!ตอนนั้นแจ๋วมากจำได้ทุกดวง... (หัวเราะ) แต่ว่าพอไปเทศน์เข้าจริง ๆ เหลือดวงเดียว"

    ผู้ถาม – ตอนนี้พระที่เทศน์ด้วยกัน ไม่ค้านหูดับตับไหม้เลยหรือครับ "

    หลวงพ่อ - ใครจะค้านใคร เขาก็ค้านแค่ ๓ ธรรมาสน์นี่น่ะ ทีแรก ๒ องค์ก็ล่อจิตกี่ดวง ตอบ ๘๐ ดวงบ้าง ๑๒๐ ดวงบ้างน่ะ ล่อกันอีรุงตุงนัง ฉันก็ล่อกินหมาก บุหรี่ไม่สูบเป่ายานัตถุ์บ้าง อะไรใช่ไหม.. นั่งหลับตาเสียบ้าง เดี๋ยวเขาหันมาว่าไงธรรมาสน์โน้น ถามอะไร แกเทศน์อะไรกันนี่ ถามทำไม บอกข้ากินหมากบ้างเป่ายานัตถุ์บ้าง...เพลินไป

    </dd><dd>เขาถามว่าจิตมีกี่ดวง บอกเอ๊ะ! ของข้ามันมีดวงเดียวนี่นะ พ่อให้มาดวงเดียว เขาบอกผิดตำรา ถามตำราของแกมีกี่ดวง เขาบอกอย่างย่อมัน ๘๐ อย่างพิสดารมี ๑๒๐ กว่าใช่ไหม.. ถาม มันติดตรงไหนบ้างล่ะ ติดตั้งแต่ฝ่าส้นตีนขึ้นไปถึงหัวแกใช่ไหม ยังไม่หมดเลย...(หัวเราะ) พระพุทธเจ้าตรัสว่า เอกะจะรัง จิตตัง...จิตดวงเดียวเที่ยวไป" ไอ้ที่บอกเป็นหลายดวง คืออารมณ์เข้ามาสิงจิตอยู่ใช่ไหม.. อย่างจิตมีความโกรธ จิตมีความโลภ จิตมีความหลง ใช่ไหม.. จิตมีความรัก อารมณ์ของจิตก็ต่างกันไป นั่นมันเป็นอารมณ์ไม่ใช่ดวงจิตดวงจิตจริงมันดวงเดียว"

    ผู้ถาม – ไอ้ที่มาเกิดก็มาดวงเดียว ตายแล้วก็ไปดวงเดียว"

    หลวงพ่อ - ใช่...ไอ้พวกนั้นมันหลายดวง มันต้องเกิดหลายอย่าง เกิดเป็นคนบ้าง เกิดเป็นหมาบ้าง เกิดเป็นนกบ้าง อะไรบ้าง ความจริงพระฎีกาจารย์น่ะ ท่านอธิบายไว้เพื่อความเข้าใจง่าย ทีนี้ไอ้คนเบื้องหลังไม่เข้าใจตามท่าน ความจริงจิตน่ะมันดวงเดียว เหมือนน้ำใส ๆ ใส่แก้วใช่ไหม.. ถ้าสีแดงใส่เข้าไป ไอ้น้ำนั่นน่ะออกเป็นสีแดง ถ้าสีเขียวใส่ไปน้ำก็เป็นสีเขียว ไอ้นั่นน้ำเปลี่ยนสีไปเพราะใส่สีเข้าไป จริง ๆ แล้วน้ำมันใสแก้วมันใส และที่เราทำเวลานี้ เราทำเพื่อให้จิตใสตามเดิม ถ้าจิตใสตามเดิมก็ไปนิพพานได้ เมื่อก่อนนี้มันใสเหมือนกัน แต่มันใสไม่มีประกายพรึก จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดใช่ไหม.. กระทั่งใสด้วยเป็นประกายพรึกด้วย อย่างดวงจิตคนนี่นะ อะไร...เจโตปริยญาณ ญาณตัวนี้ดูง่าย คนกี่พันคนก็ตามดูแป๊บเดียวจะรู้ทันที"

    ผู้ถาม – แค่เห็นแป๊บเดียวหรือครับ "

    หลวงพ่อ - เป็นหมื่นนะ นึกอยากจะรู้ รู้ใครจิตสีอะไร จิตจริง ๆ เขานับเป็น ๖ สี แต่ย่อแล้วเป็น ๓ สี สีแดงเข้มหรือสีแดงอ่อน ได้ทั้งสองใช่ไหม.. สีดำ ดำปี๋หรือดำอ่อน ๆ มัว ๆ สีขาวจัด หรือขาวมัว ๆ มันไม่เหมือนกัน เอาแค่นี้แค่ ๓ สีพอ ถ้าสีแดงเป็นจิตที่มีอารมณ์แจ่มใส ดีใจเพราะได้ของที่ชอบใจน่ะ ถ้าจิตสีดำมีทุกข์ จิตสีขาวจิตสบายถ้าจิตสีใสเป็นจิตของฌาน ๔ ถ้าจิตเป็นประกายพรึกเป็นจิตของพระอรหันต์"

    ผู้ถาม – ทีนี้เลยถามต่อไปเลยว่า ถ้าเป็นพระโสดาบันอทิสสมานกายแต่งตัวยังไง โสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ แตกต่างกันไหมครับ "

    หลวงพ่อ - แตกต่างกัน...ไม่ต้องพระโสดาหรอก แค่คนที่จะตายเป็นเทวดานี่ ข้างในมันเป็นเทวดาก่อน ไม่ต้องดูเฉพาะจิตนะ ดูเฉพาะตัวข้างในนี่ เรียก "อทิสสมานกาย" นะ มันจะบอกเลย รูปร่างลักษณะเป็นอย่างนั้น อย่างจะเป็นสัตว์นรก ก็เห็นเลยเป็นสัตว์นรก มีสภาพอะไรบ้างรู้ เลย...เรื่องเล็ก ๆ"

    ผู้ถาม – อ๋อ...นี่ไม่ใช่ใหญ่เลยหรือครับนี่ "

    หลวงพ่อ - เล็ก...มันเล็กมากหยิบไม่ค่อยถูก หยิบไม่ติดมือ..." (หัวเราะ)

    ผู้ถาม – อย่างนี้ถ้าหากว่าได้เจโตปริยญาณนี่ มองคนปุ๊บ! จะรู้ทันทีเลยหรือครับ "

    หลวงพ่อ - คือว่าความจริงไม่ต้องมองคนหรอก แค่รู้ชื่อต้องการจะรู้เท่านั้นใช้ไสด้"

    ผู้ถาม – ไม่เคยเห็นหน้าเลยหรือครับ "

    หลวงพ่อ - ไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้จักกัน ไม่จำเป็น!"

    ผู้ถาม – แล้วมีอีกอย่างหนึ่งครับ เกี่ยวกับการสอนเรื่องนรกสวรรค์นี่..."

    หลวงพ่อ - ความจริงในพระไตรปิฎกท่านก็ยืนยัน เรื่องนรกสวรรค์นี่มีจริง เรื่องนรกยืนยันตั้งแต่เล่ม ๑"

    ผู้ถาม – ที่เป็นมหาเปรียญได้ ก็ต้องผ่านแปลมาก่อน ก็ต้อง..."

    หลวงพ่อ - ไอ้นั่นแปลผ่านมาแล้วทั้งนั้น กลับมาเป็นมิจฉาทิฏฐิร้ายกาจมาก ก็เป็นเรื่องแปลกเรียนผ่านแล้ว แล้วเวลาไปเทศน์โปรดเขาแต่ว่าตัวเองไม่ทำ ไอ้นั่นยังดีกว่าไปคัดค้านพระไตรปิฎก นี่หนักมาก"

    ผู้ถาม – และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่บอกว่า ไม่ดีแล้วยังสอนคนไม่ให้เชื่อ ทำลายล้างพระพุทธศาสนา"

    หลวงพ่อ - ไอ้ที่พูดแบบนั้นเห็นแก่แบ็งค์อย่างเดียว เห็นแค่ค่าจ้าง"

    ผู้ถาม – ต้องมีอะไรอยู่นะครับ"

    หลวงพ่อ - ใช่ ๆๆ"

    ผู้ถาม – ผมนึกว่าพวกมิจฉาทิฏฐินี่ ท่านปู่พระยายมน่าจะส่งลูกน้อง เอากระบอกเล็ก ๆ มาอบรมสั่งสอนสัก...โป๊ก ๆๆ จะได้รู้เสียที"

    หลวงพ่อ - ไม่เป็นไรหรอก ท่านมีเตาอุ่นให้แล้ว ไปอยู่นาน ๆ"

    ผู้ถาม – ผมมานึกถึง เอ๊ะ! ทำไมเด็ก ๕-๙ ขวบไปกันคล่อง เที่ยวสนุกสนานเพลิดเพลิน ที่วัดอะไรที่ฝั่งธนบุรีเป็นมหา...ประโยคนี่ ไม่เชื่อและก็ปฏิเสธ พอสุดท้ายก็เจอเด็กดีวัดท่าซุง ลูกศษย์วัดท่าซุง อายุประมาณ ๙ ขวบเด็กได้มโนมยิทธิ ก็มีข้อแม้กันนะครับ ถ้าเด็กตอบได้ตอบถูกต้องตามความเป็นจริง พระตั้งแต่นี้เป็นต้นไปต้องเจริญกรรมฐานทุกวัน เขาต่อรองกันยังงั้นเลยนะครับ

    พระก็ถามว่า ไอ้หนู! ไอ้ที่ว่านรก สวรรค์ พระหม มีจริงไหม มีจริงมีอะไรเป็นข้อพิสูจน์ "

    เด็กก็บอกว่า เอายังงี้ซิครับ หลวงอาดื่มน้ำร้อนไม่ต้องเป่า ซดโป้งไปมันร้อนหรือเย็น

    มหานั่นบอก ก็ร้อนซิ

    เด็กก็บอกว่า นรกนั่นมันร้อนกว่านั่นหลายแสนเท่า ไม่เชื่อหลวงอาไปเปิดพระไตรปิฎก

    </dd><dd>ก็ไปเลยเปิด เออ...จริงว่ะ! เอ็งพูดถูกว่ะ เอาได้ข้อละ พอถามสวรรค์ แหม...พอพูดสวรรค์ เด็กปื้ดเลย...พูดคล่อง ทีนี้มหาทำท่าจะกราบเด็ก เด็กก็บอกว่า มหากราบพระพุทธรูปแทนก็แล้วกัน เดี๋ยวนี้มันกลับตาลปัตรกันแล้ว ก็ยังโชคดีสำนึกได้แล้วก็กลับตัวใหม่"

    หลวงพ่อ - ความจริงก็ต้องว่าเลวมาก เรียนตั้ง ๗ ประโยค แต่เสือกคัดค้านพระไตรปิฎก"</dd>



    ที่มา : หลวงพ่อตอบปัญหา ออนไลน์ ตอน 4

     
  2. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    จิตมีดวงเดียว ไม่เกิดไม่ดับ ที่เกิดดับคืออารมณ์ของจิต

    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...