พ.ต.อ.จิตรจรูญ ศรีวนิชย์ ศรัทธาห้อย"หลวงพ่อเงิน"

พ.ต.อ.จิตรจรูญ ศรีวนิชย์ ศรัทธาห้อย"หลวงพ่อเงิน"

คอลัมน์ พระเครื่องคนดัง

เชิด ขันตี ณ พล



"การที่แขวนพระเครื่องเพราะมีความเลื่อมใสศรัทธา และเป็นการช่วยเตือนสติตนเองให้ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท พุทธศาสนาสอนให้เป็นคนดี มีเมตตา ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว ผมเชื่อว่าหากทำดีแล้วพุทธคุณย่อมคุ้มครองแม้ช่วงเข้าตาจนก็ยังแคล้วคลาดปลอดภัย"

นี่เป็นความเชื่อส่วนตัวของ พ.ต.อ.จิตรจรูญ ศรีวนิชย์ ผกก.สภ.อ.เมืองมหาสารคาม

ประวัติโดยย่อของผู้กำกับหนุ่มใหญ่อนาคตไกลปัจจุบันอายุเพิ่งจะย่าง 46 ปีเท่านั้น เกิด พ.ศ.2503 เป็นคนจังหวัดพิจิตร หรือเมืองชาละวันโดยกำเนิด จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนวัดเบญจมบพิตร กรุงเทพฯ จบโรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม รุ่นที่ 36 จบการศึกษาปริญญาโท ศศม.มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ด้านการฝึกอบรม พ.ศ.2534 หลักสูตร สวส.รุ่น 7 พ.ศ.2543 หลักสูตร ผกก.รุ่น 36

เส้นทางชีวิตการรับราชการเริ่มต้นบรรจุเป็นนายร้อยตำรวจตำแหน่งรอง สวส. สภ.อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ในปี 2526 งานราชการในหน้าที่มีความก้าวหน้าตามลำดับและโยกย้ายไปหลายจังหวัดตามวิถีชีวิตข้าราชการอาทิเป็น รอง สวป.ดอนเมือง สวส.สภ.อ.เมืองขอนแก่น มาขึ้นตำแหน่งรอง ผกก.หน.สภ.อ.บรบือ จังหวัดมหาสารคาม รอง ผกก.หน.สภ.อ. นาดูน จังหวัดมหาสารคาม ในปี พ.ศ.2545 ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผกก. สภ.อ.นาเชือก จังหวัดมหาสารคาม ปีพ.ศ. 2548 ย้ายมาดำรงตำแหน่ง ผกก.สภ.อ.เมืองมหาสารคาม ดำรงตำแหน่งอยู่จนถึงปัจจุบัน โดยมีอุดมคติประจำตัวคือ

"เป็นตำรวจต้องมีคุณธรรม"

ในฐานะที่เป็นผู้บริหารสูงสุดของสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองมหาสารคาม ซึ่งมีผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่กว่าสองร้อยคนการบริหารงานบุคคลไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะอาชีพตำรวจมีความพิเศษกว่าอาชีพอื่นๆ เนื่องจากตำรวจมีทั้งปืนและกฏหมายอยู่ในมือ การบังคับบัญชาจะต้องปลูกฝังลูกน้องให้อยู่ในกรอบยึดเอาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นหลัก การบริหารงานบุคคลจึงต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ อีกทั้งผู้บังคับบัญชาจะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีมีคุณธรรมจึงจะทำให้งานขององค์กรขับเคลื่อนไปตามแผนที่วางไว้ได้

ถึงแม้จะเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่เป็นถึงผู้กำกับการมีความรู้ระดับปริญญาโท แต่ก็เป็นคนที่มีใจโน้มเอียงเข้าหาพระธรรม ชมชอบการไปทำบุญไหว้พระตามวัดต่างๆ หากมีเวลาว่างจากงานประจำ พ.ต.อ.จิตรจรูญ เล่าว่า การได้ทำบุญทำทานแล้วรู้สึกสบายใจดีและเป็นวิธีการผ่อนคลายภาระจากงานประจำอย่างหนึ่ง นอกจากนั้นพระธรรมคำสอนของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถนำหลักธรรมมาใช้เป็นหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิตได้ พุทธศาสนิกชนจึงควรนำแก่นพระธรรมคำสอนมาใช้ในชีวิตประจำวันให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคมส่วนรวม <TABLE style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px dotted; BORDER-TOP: #ffffff 1px dotted; BORDER-LEFT: #ffffff 1px dotted; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px dotted" cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=2><TBODY><TR bgColor=#ffffe8><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>

"คำสอนของพุทธองค์ไม่เคยล้าสมัย ตนใช้หลักแบบพุทธเข้ามาบริหารงานโดยใช้หลักพรมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ถือเป็นหัวใจของผู้บริหาร ธรรมนี้ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัยเมื่อผู้บริหารเป็นคนมีเมตตาธรรมต่อผู้ใต้บังคับบัญชาๆ ก็ให้ความรักเคารพให้ความร่วมมือการปฏิบัติงาน ส่งผลดีต่องานในหน้าที่สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี"

สำหรับวัตถุมงคลพระเครื่องที่แขวนคออยู่ประจำคือรูปหล่อหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน รุ่นปี 2515 ห้อยคอมาตั้งแต่สมัยเป็นหนุ่มน้อยนุ่งขาสั้นโดยบิดามอบให้เนื่องเพราะต้องห่างบ้านเกิดเดินทางเข้ามาเรียนหนังสือระดับชั้นมัธยมที่กรุงเทพ จึงเป็นพระเครื่ององค์เดียวที่นำติดตัวตลอดเวลา ภายหลังจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ บรรจุเข้ารับราชการพระเครื่ององค์นี้ก็ยังคงห้อยคออยู่จนถึงปัจจุบัน

"ผมมีความศรัทธาในหลวงพ่อเงินมากเพราะจากการศึกษาอัตโนประวัติของหลวงพ่อแล้วยิ่งทำให้เกิดความเลื่อมใสในปฏิปทานของท่านมากถึงท่านจะละสังขารไปนานแล้วแต่บารมีของหลวงพ่อยังอยู่ในศรัทธาของชาวจังหวัดพิจิตรและพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศวัตถุมงคลอีก 2 ชิ้นที่ใช้แขวนคอในบางโอกาสคือ สมเด็จพระไพรรีพินาศ โดยได้รับการประทานจากสมเด็จพระสังฆราช เมื่อกว่าสิบปีที่ผ่านมา และพระกริ่งหลวงพ่อโสธร 80 ปีกรมตำรวจเนื้อทองคำ ทุกครั้งที่นิมนต์พระเครื่องขึ้นคอจะเกิดความรู้สึกมั่นใจในการทำงานมาก"

เชื่อว่าด้วยกรรมดีที่ตนทำไม่เคยเบียดเบียนใคร และด้วยพุทธคุณของหลวงพ่อเงินได้ช่วยปกป้องคุ้มครองให้ตนเองแคล้วคลาดปลอดภัยมาโดยตลอดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันไม่เคยมีสิ่งเลวร้ายใดๆ กล้ำกลายเข้ามาในชีวิตของตนและครอบครัวเลย งานราชการในหน้าที่ก็เจริญรุ่งเรืองมาตามลำดับ

ref.http://www.matichon.co.th/khaosod/khaosod_detail.php?s_tag=03bud07210150&day=2007/01/21