:::มหาสมัยสูตร เพื่อแผ่นดินร่มเย็น (เสียงหลวงปู่สิมสวด):::

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 8 กันยายน 2011.

  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    24,442
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,237
    ค่าพลัง:
    +70,761
    -------------------------------------------------------------------
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 มกราคม 2012
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    24,442
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,237
    ค่าพลัง:
    +70,761
    <EMBED height=510 type=application/x-shockwave-flash width=640 src=http://www.youtube.com/v/ahSRwbfb9iQ?version=3&hl=th_TH&rel=0&autoplay=1&loop=5 allowfullscreen="true" allowscriptaccess="always">

    --------------------------------------------------------------------
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    24,442
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,237
    ค่าพลัง:
    +70,761
    มหาสมัยสูตรปรากฎความในพระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกามหาวรรค ภายหลังการบรรลุอนุตราสัมมาสัมโพธิญาณของพระบรมศาสดา พระองค์ได้เสด็จจาริกไปในสถานที่ต่าง ๆ เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก และเมื่อทราบทราบว่าพระเจ้าสุทโธทนะพระพุทธบิดาประชวรหนัก จึงเสด็จกลับสู่กรุงกบิลพัสดุ์อีกครั้งเพื่อเยี่ยมอาการพระพุทธบิดา พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกเป็นจำนวนมาก ทรงถวายพยาบาลพระพุทธบิดาตามพุทธวิสัย และโปรดให้พระพุทธบิดาได้บรรลุพระอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาทั้งหลาย ในกาลต่อมาพระพุทธบิดาก็ปรินิพพานบนพระแท่นบรรทมภายใต้เศวตฉัตรนั้งเอง ภายหลังถวายพระเพลิงพระศพพระพุทธบิดา พระพุทธองค์ตรัสว่า "บุคคลใดมีจิตปรารถนาพระโพธิญาณ จงอุตสาหะภิบาลบำรุงบิดามารดา ประพฤติกุศลสุจริตธรรม จักสมปรารถนาทุกประการ"

    รุ่งขึ้นอีกวัน ขณะทีพระองค์ประทับอยู่ที่นิโครธาราม กรุงกบิลพันดุ์ เหล่าพระญาติข้างฝ่ายศากยะ และ โกลิยะที่ตั้งหลักแหล่งอยู่สองฝั่งแม่น้ำโรหิณีได้วิวาทกันเรื่องแย้งน้ำทำนา กษัตริย์ทั้งสองจึงยกกองทัพออกไปจะทำสงครามกัน เพราะไม่สามารถตกลงกันได้ พระพุทธองค์ทรงทราบเหตุการณ์นั้นด้วยพระญาณ ทรงถือบาตรและจีวรด้วยพระองค์เอง ไม่ทรงแจ้งให้ใคร ๆ ทราบ เสด็จพุทธดำเนินแต่เพียงพระองค์เดียว ไปประทับนั่งขัดบัลลังก์ระหว่างกองทัพกษัตริย์ทั้งสองนคร

    ครั้นกองทัพชาวเมืองกบิลพัสดุ์และชาวเมืองโกลิยะเห็นพระองค์นั้น ต่างก็คิดว่าพระศาสดาผู้เป็นพระญาติ ผู้ประเสริฐของพวกเราเสด็จมา จึงทิ้งอาวุธเขาไปเฝ้าพระพุทธองค์ทั้งที่พระองค์ทรงทราบสถานการณ์ขณะนั้นดีแต่ก็ตรัสถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น แล้วตรัสสอนว่า มหาบพิตร พวกพระองค์อาศัยน้ำที่มีค่าน้อยแล้วทำให้กษัตริย์ซึ่งหาค่ามิได้ให้ฉิบหายทำไมกัน

    ครั้นแล้ว พระพุทธองค์ได้ตรัส ผันทนชาดก ทุททุภายชาดก และลฏุกิกชาดก เพื่อระงับการวิวาทของพระญาติทั้งสองฝ่าย และตรัสรุกขธรรมชาดก และวัฏฏชาดก เพื่อให้เกิดความสามัคคีพร้อมเพรียงกันว่า "หมู่ญาติยิ่งมากยิ่งดี ต้นไม้ที่เกิดในป่าแม้จะโตเป็นเจ้าป่า ถ้าตั้งอยู่โดดเดี่ยวย่อมถูกแรงลมพัดโค่นลงได้ และว่านกทั้งหลายมีความสามัคคีพร้อมเพรียงกัน ย่อมพาตาข่ายไปได"้ และในที่สุดก็ตรัส อัตตทัณฑสูตร

    กษัตริย์เหล่านั้นได้สดับพระธรรมเทศนาแล้ว เกิดความสังเวชพากันทิ้งอาวุธกล่าวว่า หากพระบรมศาสดา ไม่เสด็จมา พวกเราก็จะฆ่าฟันซึ่งกันและกันเลือดไหลนองเป็นสายน้ำ ไม่มีโอกาสได้กลับบ้านเห็นหน้าลูกเมียญาติพี่น้อง กษัตริย์ทั้งสองพระนครจึงถวายพระราชกุมาร 500 องค์ คือ ฝ่ายละ 250 องค์ ให้บรรพชา อุปสมบทกับพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา

    อรรถกถามหาสมัยสูตร เล่าถึงเหตุการณ์ที่ภิกษุราชกุมารเหล่านั้นบรรลุธรรมไว้ว่า เมื่อพระพุทธองค์นำภิกษุราชกุมารเหล่านั้นมาสู่ป่ามหาวัน ประทับนั่งบนพุทธอาสน์ที่ภิกษูปูถวาย ในโอกาสทีสงัด ตรัสบอก กัมมัฏฐานแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นรับกัมมัฏฐานแล้ว ต่างแยกย้ายกันไปเจริญวิปัสสนาตามเงื้อมผา และโคนไม้ในโอกาสที่เงียบสงัด และก็ทยอยบรรลุพระอรหัตแล้ว ก็ลุกขึ้นจากที่นั่งเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า จนครบทั้ง 500 รูป

    อรรถถาได้อธิบายความคิดของพระที่ได้บรรลุพระอรหันต์ไว้ว่า พระผู้บรรลุพระอรหัตสิ้นกิเลสอาสวะทั้งหลายแล้ว ย่อมมีความคิดอยู่ 2 อย่างคือ

    1. มีความคิดว่า คนทุกคนตลอดจนเทวดาทั้งหลาย ก็สามารถที่จะบรรลุธรรมตามที่เราบรรลุได้เช่นเดียวกัน

    2. พระที่บรรลุธรรมไม่ประสงค์จะบอกคุณธรรมที่ตนได้บรรลุแก่ผู้อื่น เหมือนคนที่ฝังขุมทรัพย์ไว้ไม่ต้องการให้ใครรู้ที่ฝังขุมทรัพย์ของตน
    เมื่อเทวดาทั้งหลายทราบว่า พระบรมศาสดาประทับอยู่ที่ป่ามหาวันใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ พร้อมด้วยภิกษุ 500 รูป ล้วนเป็นพระอรหัตบวชจากราชตระกูล ต่างก็กล่าวว่า นี้เป็นสมัยแห่งการประชุมใหญ่ในป่ามหาวัน พวกเราจักไปชมความงดงามของพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวกผู้หมดจด ต่างก็แต่งคาถากล่าวสรรเสริญ พระพุทธเจ้าและเหล่าสาวก เทวดาที่มาประชุมกันใวนนั้นมีจำนวนมากมาย ภิกษุบางรูปก็เห็นเทวดาร้อยหนึ่ง บางรูปก็เห็นพันหนึ่ง บางรูปก็เห็นหมื่นหนึ่ง บางรูปก็เห็นแสนหนึ่ง บางรูปก็เห็นไม่มีที่สิ้นสุด แตกต่างกันไปตามกำลังญาณของแต่ละองค์

    ในยุคของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะมีการประชุมเทวดาจำนวนมากเช่นนี้ก็เพียงครั้งเดียว พระพุทธองค์ ได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า เทวดาในแสนจักรวาลมาประชุมกันเพื่อชมตถาคตและหมู่ภิกษุสงฆ์ เทวดาประมาณเท่านี้แหละได้เคยประชุมกันเพื่อชมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีตกาลแล้ว และพวกเทวดาประมาณเท่านั้นแหละจักประชุมกันเพื่อชมพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาล แล้วพระองค์ก็ทรงแนะนำเทวดาแต่ละจำพวกให้ภิกษุทั้งหลายฟังตามลำดับ ตั้งแต่กุมมเทวดาไปจนถึงพรหมโลก

    ขณะที่เทวดาจากหมื่นจักรวาลมาประชุมกันจนครบนั้น ท้องฟ้าโปร่งใส่ไม่มีเมฆหมอก ก็กลับเกิดเมฆฝนคำรณคำรามกึกก้องฟ้าแลบแปล๊บพราย พระพุทธองค์ทรงพิจารณาทราบว่า หมู่มารก็ได้มาด้วย จึงทรงแนะนำให้ภิกษุรู้จักพญามารเอาไว้

    พญามารกำลังสั่งบังคับเสนามารให้ผูกเหล่าเทวดาไว้ในอำนาจแห่งกามราคะ แต่พระพุทธองค์ทรงอธิษฐานไม่ให้เหล่าเทวดาเห็น พญามารไม่ได้ดั่งใจจึงทำให้เกิดฟ้าร้องกึกก้องกัมปนาทไปทั่ว

    โดยปกติในที่จะไม่มีการบรรลุมรรคผล พระพุทธองค์จะไม่ทรงห้ามมารแสดงสิ่งอันน่ากลัวของมาร แต่ในที่จะมีการบรรลุมรรคผล พระองค์จะทรงอธิษฐานไม่ให้ใครรู้เห็นสิ่งที่พญามารกำลังทำ เนื่องจากการประชุม ใหญ่ของเทวดาครั้งนั้น จะมีเทพบรรลุมรรคผลเป็นจำนวนมาก พระพุทธองค์จึงทรงอธิษฐานไม่ให้พวกเทวดา รับรู้สิ่งอันน่ากลัวของหมู่มารนั้น พญามารนั้นจึงกลับไปด้วยความเดือดดาลฯ



    <HR>



    สวดเมื่อไร ? สวดแล้วได้อะไร ?

    มหาสมัยสูตร เป็นสูตรว่าด้วยสมัยเป้นที่ประชุมใหญ่ของเหล่าเทพ ในยุคของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะมีการประชุมใหญ่ของเหล่าเทวดาทั้งหลายเช่นนี้เพียงครั้งเดียว เทวดาทั้งหลายจึงพากันคิดว่าพวกเราจะฟังพระสูตรนี้ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงมหาสมัยสูตรจบ เทวดาจำนวนหนึ่งแสนโกฎิได้บรรลุพระอรหันต

    พระสูตรนี้จึงเป็นที่รักที่ชอบใจของพวกเทวดา เทวดาทั้งหลายต่างก็คิดว่าพระสูตรของตน เมื่อสวดพระสูตรนี้จะทำให้เหล่เทวดาทั้งหลายประชุมกัน เมื่อเทวดาประชุมกันก็จะทำให้สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายถอยห่างออกไป เป็นการป้องกันสิ่งที่ไม่ดีไม่ให้เข้ามาใกล้ตัวเรานั้นเอง

    พระอรรถกถาจารย์จึงแนะนำว่า "มหาสมัยสูตรนี้ เป็นที่รักที่ชอบใจของเทวดา ในสถานที่ใหม่เอี่ยม เมื่อจะกล่าวมงคลกถา ควรสวดพระสูตรนี้" หมายความว่าในสถานที่สำคัญที่จะประกอบกิจใหม่ หรือในสถานใดที่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่ๆ เมื่อจะสวดมงคลกถาในสถานที่เช่นนี้ควรสวดมหาสมัยสูตรนี้

    เนื่องจากมหาสมัยสูตรเป็นสูตรใหญ่ จึงไม่นิยมใช้สวดในงานทำบุญทั่ว ๆ ไป แต่จะนิยมนำไปสวดเฉพาะในพิธีที่เกี่ยวข้องกับความอยู่เย็นเป็นสุขของทางบ้านเมืองเป็นหลัก

    นอกนั้นแล้ว การเจริญพระพุทธมนต์ยังเป็นรูปแบบของการเจริญสมาธิภาวนาอย่างหนึ่ง แต่แทนที่จะใช้วิธีนั่งบริกรรมให้จิตเกาะเกี่ยวอยู่กับคำใดคำหนึ่งหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว เพื่อเป็นสื่อให้เข้าถึงความสงบ ก็ใช้วิธีจิตเกาะเกี่ยวไปกับอักขระเป็นเกาะแสเช่นนี้ ไม่ปล่อยให้ความรัก โลภ โกรธ หลง กามราคะ อาฆาตพยาบาท ได้โอกาสแทรกเข้ามาครอบงำจิต ทำให้จิตมีความผ่องใส เป็นจิตมีพลังในการต้านทานกิเลสที่จะเข้ามามีอำนาจเหนือสติปัญญา จิตเช่นนี้เป็นจิตสงบ คือสงบจากกามราคะ อาฆาตพยาบาท หงุดหงิด ฟุ้งซ่าน รำคาณ เบื่อหน่าย จึงชื่อว่า "จิตเป็นสมาธิ"

    จากหนังสือ "มหาสมัยสูตร" บทสวดมนต์เพื่อความร่มเย็นแห่งแผ่นดิน และเพื่อสันติภาพโลก

    รวบรวมโดย พระมหาเหลา ประชาษฎร์

     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    24,442
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,237
    ค่าพลัง:
    +70,761
    [​IMG]



    เอวัมเม สุตัง. เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สักเกสุ วิหะระติ กะปิละวัตถุสมิง
    มะหาวะเน มะหะตา ภิกขุสังเฆนะ สัทธิง ปัญจะมะเตหิ ภิกขุสะเตหิ
    สัพเพเหวะ อะระหันเตหิ. ทะสะหิ จะ โลกะธาตูหิ เทวะตา เยภุยเยนะ
    สันนิปะติตา โหนติ ภะคะวันตัง ทัสสะนายะ ภิกขุสังฆัญจะ. อะถะโข
    จะตุนนัง สุทธาวาสะกายิกานัง เทวานัง เอตะทะโหสิ. อะยังโข ภะคะวา
    สักเกสุ วิหะระติ กะปิละวัตถุสมิง มะหาวะเน มะหะตา ภิกขุสังเฆนะ สัทธิง
    ปัญจะมัตเตหิ ภิกขุสะเตหิ สัพเพเหวะ อะระหันเตหิ ทะสะหิ จะ โลกะธาตูหิ
    เทวะตา เยภุยเยนะ สันนิปะติตา โหนติ ภะคะวันตัง ทัสสะนายะ ภิกขุสังฆัญจะ
    ยันนูนะ มะยัมปิ เยนะ ภะคะวา เตนุปะสังกะเมยยามะ อุปะสังกะมิตวา
    ภะคะวะโต สันติเก ปัจเจกะคาถา ภาเสยยามาติ.

    อะถะโข ตา เทวะตา เสยยะถาปิ นามะ พะละวา ปุริโส สัมมิญชิตัง วา
    พาหัง ปะสาเรยยะ ปาสาริตัง วา พาหัง สัมมิญเชยยะ เอวะเมวะ สุทธาวาเสสุ
    เทเวสุ อันตะระหิตา ภะคะวะโต ปุระโต ปาตุระหังสุ. อะถะโข ตา
    เทวะตา ภะคะวันตัง อะภิวาเทตวา เอกะมันตัง อัฏฐังสุ. เอกะมันตัง
    ฐิตา โข เอกา เทวะตา ภะคะวะโต สันติเก อิมัง คาถัง อะภาสิ

    มะหาสะมะโย ปะวะนัสมิง เทวะกายา สะมาคะตา อาคะตัมหะ อิมัง
    ธัมมะสะมะยัง ทักขิตาเยวะ อะปะราชิตะสังฆันติ. อะถะโข อะปะรา
    เทวะตา ภะคะวะโต สันติเก อิมัง คาถัง อะภาสิ. ตัตระ ภิกขะโว
    สะมาทะหังสุ จิตตัง อัตตะโน อุชุกะมะกังสุ สาระถีวะ เนตตานิ คะเหตวา
    อินทริยานิ รักขันติ ปัณฑิตาติ. อะถะโข อะปะรา เทวะตา ภะคะวะโต
    สันติเก อิมัง คาถัง อะภาสิ. เฉตวา ขีลัง เฉตวา ปะลีฆัง อินทะขีลัง
    โอหัจจะมะเนชา เต จะรันติ สุทธา วิมะลา จักขุมะตา สุทันตา สุสู นาคาติ
    อะถะโข อะปะรา เทวะตา ภะคะวะโต สันติเก อิมัง คาถัง อะภาสิ.

    เย เกจิ พุทธัง สะระณังคะตา เส นะ เต คะมิสสันติ อะปายะภูมิง ปะหายะ
    มานุสัง เทหัง เทวะกายัง ปะริปูเรสสันตีติ.

    อะถะโข ภะคะวา ภิกขู อามันเตสิ เยภุยเยนะ ภิกขะเว ทะสะสุ โลกะธาตูสุเทวะตา
    สันนิปะติตา ตะถาคะตัง ทัสสะนายะ ภิกขุสังฆัญจะ เยปิ เต ภิกขะเวอะเหสุง
    อะตีตะมัทธานัง อะระหันโต สัมมาสัมพุทธา เตสัมปิ ภะคะวันตานังเอตะปะระมาเยวะ
    เทวะตา สันนิปะติตา อะเหสุง. เสยยะถาปิ มัยหัง เอตะระหิ เยปิ เต ภิกขะเว ภะวิสสันติ.

    อะนาคะตะมัทธานัง อะระหันโต สัมมาสัมพุทธา, เตสัมปิ ภะคะวันตานัง
    เอตะปะระมาเยวะ เทวะตา สันนิปะติตา ภะวิสสันติ. เสยยะถาปิ มัยหัง
    เอตะระหิ อาจิกขิสสามิ ภิกขะเว เทวะกายานัง นามานิ.

    กิตตะยิสสามิ ภิกขะเว เทวะกายานัง นามานิ เทสิสสามิ ภิกขะเว เทวะกายานัง นามานิ.
    ตัง สุณาถะ สาธุกัง มะนะสิกะโรถะ ภาสิสสามีติ. เอวัมภันเตติ โข เต ภิกขู ภะคะวะโต
    ปัจจัสโสสุง. ภะคะวา เอตะทะโวจะ.

    สิโลกะมะนุสกัสสามิ
    ยัตถะ ภุมมา ตะทัสสิตา เย สิตา คิริคัพภะรัง
    ปะหิตัตตา สะมาหิตา ปุถู สีหาวะ สัลลีนา
    โลมะหังหาภิสัมภิโน โอทาตะมะนะสา สุทธา
    วิปปะสันนะมะนาวิลา ภิยโย ปัญจะสะเต ญัตวา
    วะเน กาปิละวัตถะเว ตะโต อามันตะยิ สัตถา
    สาวะเก สาสะเน ระเต เทวะกายา อะภิกกันตา
    เต วิชานาถะ ภิกขะเว เต จะอาตัปปะมะกะรุง
    สัตวา พุทธัสสะ สาสะนัง เตสัมปาตุระหุ ญาณัง
    อะมะนุสสานะ ทัสสะนัง อัปเปเก สะตะมัททักขุง
    สะหัสสัง อะถะ สัตตะริง สะตัง เอเก สะหัสสานัง
    อะมะนุสสานะมัททะสุง อัปเปเกนันตะมัททักขุง
    ทิสา สัพพา ผุฏา อะหุง ตัญจะ สัพพัง อะภิญญายะ
    วะวักขิตวานะ จักขุมา ตะโต อามันตะยิ สัตถา
    สาวะเก สาสะเน ระเต เทวะกายา อะภิกกันตา
    เต วิชานาถะ ภิกขะโว เย โวหัง กิตตะยิสสามิ
    คิราหิ อะนุปุพพะโส
    สัตตะสะหัสสา วะยักขา
    ภุมมา กาปิละวัตถะวา อิทธิมันโต ชุติมันโต
    วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง
    ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง.
    ฉะสะหัสสา เหมะวะตา
    ยักขา นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต
    วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง
    ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง.
    สาตาคิรา ติสะหัสสา
    ยักขา นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต
    วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง
    ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง.
    อิจเจเต โสฬะสะสะหัสสา
    ยักขา นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต
    วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง
    ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง.
    เวสสามิตตา ปัญจะสะตา
    ยักขา นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต
    วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง
    ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง.

    กุมภิโร ราชะคะหิโก
    เวปุลลัสสะ นิเวสะนัง ภิยโย นัง สะตะสะหัสสัง
    ยักขานัง ปะยิรุปาสะติ กุมภิโร ราชะคะหิโก
    โสปาคะ สะมิติง วะนัง.
    ปุริมัณจะ ทิสัง ราชา
    ธะตะรัฏโฐ ปะสาสติ คันธัพพานัง อาธิปะติ
    มะหาราชา ยะสัสสิ โส ปุตตาปิ ตัสสะ พะหะโว
    อินทะนามา มะหัพพะลา อิทธิมันโต ชุติมันโต
    วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง
    ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง.

    ทักขิณัญจะ ทิสัง ราชา
    วิรุฬโห ตัปปะสาสะติ กุมภัณฑานัง อาธิปะติ
    มะหาราชา ยะสัสสิ โส ปุตตาปิ ตัสสะ พะหะโว
    อินทะนามา มะหัพพะลา อิทธิมันโต ชุติมันโต
    วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง
    ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง.

    ปัจฉิมัญจะ ทิสัง ราชา
    วิรูปักโข ปะสาสติ นาคานัง อาธิปะติ
    มะหาราชา ยะสัสสิ โส ปุตตาปิ ตัสสะ พะหะโว
    อินทะนามา มะหัพพะลา อิทธิมันโต ชุติมันโต
    วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง
    ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง.
    อุตตะรัญจะ ทิสัง ราชา
    กุเวโร ตัปปะสาสะติ ยักขานัง อาธิปะติ
    มะหาราชา ยะสัสสิ โส ปุตตาปิ ตัสสะ พะหะโว
    อินทะนามา มะหัพพะลา อิทธิมันโต ชุติมันโต
    วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง
    ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง.

    ปุริมะทิสัง ธะตะรัฏโฐ
    ทักขิเณนะ วิรุฬหะโก ปัจฉิเมนะ วิรูปักโข
    กุเวโร อุตตะรัง ทิสัง. จัตตาโร เต มะหาราชา
    สะมันตา จะตุโร ทิสา ทัททัลละมานา อัฏฐังสุ
    วะเน กาปิละวัตถะเว. เตสัง มายาวิโน ทาสา
    ยาคู วัญจะนิกา สะฐา มายา กุเฎณฑุ เวเฏณฑุ
    วิฏู จะ วิฏุโต สะหะ จันทะโน กามะเสฏโฐ จะ
    กินนุฆัณฑุ นิฆัณฑุ จะ ปะนาโท โอปะมัญโญ จะ
    เทวะสูโต จะ มาตะลิ จิตตะเสโน จะ คันธัพโฑ
    นะโฬราชา ชะโนสะโภ อาคู ปัญจะสิโข เจวะ
    ติมพะรู สุริยะวัจฉะสา เอเต จัญเญ จะ ราชาโน
    คันธัพพา สะหะ ราชุภิ โมทะมานา อะภิกกามุง
    ภิกขูนัง สะมิตัง วินัง.

    อะถาคู นาภะสา นาคา
    เวสาลา สะหะตัจฉะกา กัมพะลัสสะตะรา อาคู
    ปายาคา สะหะ ญาติภิ. ยามุนา ธะตะรัฏฐา จะ
    อาคู นาคา ยะสัสสิโน เอราวัณโณ มะหานาโค
    โสปาคะ สะมิติง วะนัง.

    เย นาคะราเช สะหะสา หะรันติ ทิพพา ทิชา ปักขิ วิสุทธะจักขู เวหายะสา เต
    วะนะมัชฌะปัตตา จิตรา สุปัณณา อิติ เตสะ นามัง อะภะยันตะทา
    นาคะราชานะมาสิ สุปัณณะโต เขมะมะกาสิ พุทโธ สัณหาหิ วาจาหิ
    อุปะวะหะยันตา นาคา สุปัณณา สะระณะมะกังสุ พุทธัง.

    ชิตา วะชิระหัตเถนะ
    สะมุททัง อะสุรา สิตา ภาตะโร วาสะวัสเสเต
    อิทธิมันโต ยะสัสสิโน กาละกัญชา มะหาภิสมา
    อะสุรา ทานะเวฆะสา เวปะจิตติ สุจิตติ จะ
    ปะหาราโท นะมุจี สะหะ สะตัญจะ พะลิปุตตานัง
    สัพเพ เวโรจะนามะกา สันนัยหิตวา พะลิง เสนัง
    ราหุภัททะมุปาคะมุง สะมะโยทานิ ภัททันเต
    ภิกขุนัง สะมิติง วินัง.

    อาโป จะ เทวา ปะฐะวี จะ เตโช วาโย ตะทาคะมุง
    วะรุณา วารุณา เทวา โสโม จะ ยะสะสา สะหะ
    เมตตากะรุณากายิกา อาคู เทวา ยะสัสสิโน ทะเสเต ทะสะธา กายา
    สัพเพ นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต
    วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง
    ภิกขูนัง สะมิติง วินัง.
    เวณฑู จะ เทวา สะหะลี จะ อะสะมา จะ ทุเว ยะมา จันทัสสูปะนิสา เทวา
    จันทะมาคู ปุรักขิตา สุริยัสสูปะนิสา เทวา
    สุริยะมาคู ปุรักขิตา นักขัตตานิ ปุรักขิตวา
    อาคู มันทะพะลาหะกา วะสูนัง วาสะโว เสฏโฐ
    สักโก ปาคะ ปุรินทะโท ทะเสเต ทะสะธา กายา
    สัพเพ นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต
    วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง
    ภิกขูนัง สะมิติง วินัง.

    อะถาคู สะหะภู เทวา ชะละมัคคิสิขาริวะ อะริฏฐะกา จะ โรชา จะ
    อุมมา ปุปผะนิภาสิโน วะรุณา สะหะธัมมา จะ
    อัจจุตา จะ อะเนชะกา สุเลยยะรุจิรา อาคู อาคู วาสะวะเนสิโน ทะเสเต
    ทะสะธา กายา สัพเพ นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต
    วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วินัง.

    สะมานา มะหาสะมานา
    มานุสา มานุสุตตะมา ขิฑฑาปะทูสิกา อาคู
    อาคู มะโนปะทูสิกา อะถาคู หะระโย เทวา
    เย จะ โลหิตะวาสิโน ปาระคา มะหาปาระคา
    อาคู เทวา ยะสัสสิโน ทะเสเต ทะสะธา กายา
    สัพเพ นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต
    วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง
    ภิกขูนัง สะมิติง วินัง.

    สุกกา กะรุมหา อะรุณา
    อาคู เวฆะนะสา สะหะ โอทาตะคัยหา ปาโมกขา
    อาคู เทวา วิจักขะณา สะทามัตตา หาระคะชา
    มิสสะกา จะ ยะสัสสิโน ถะนะยัง อาคา ปะชุนโน
    โย ทิสา อะภิวัสสะติ ทะเสเต ทะสะธา กายา
    สัพเพ นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต
    วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง
    ภิกขูนัง สะมิติง วินัง.

    เขมิยา ตุสิตา ยามา
    กัฏฐะกา จะ ยะสัสสิโน ลัมพิตะกา ลามะเสฏฐา
    โชติมานา จะ อาสะวา นิมมานะระติโน อาคู
    อะถาคู ปะระนิมมิตา ทะเสเต ทะสะธา กายา
    สัพเพ นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต
    วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง
    ภิกขูนัง สะมิติง วินัง.

    สัฏเฐเต เทวะนิกายา
    สัพเพ นานัตตะวัณณิโน นามันวะเยนะ อาคัญฉุง
    เย จัญเญ สะทิสา สะหะ ปะวุตถะชาติมักขีลัง
    โอฆะติณณะมะนาสะวัง ทักเข โมฆะตะรัง นาคัง
    จันทังวะ อะสิตาสิตัง สุพรัหมา ปะระมัตโต จะ
    ปุตตา อิทธิมะโต สะหะ สันนังกุมาโร ติสโส จะ
    โสปาคะ สะมิติง วะนัง.

    สะหัสสะพรัหมะโลกานัง
    มะหาพรัหมาภิติฏฐะติ อุปะปันโน ชุติมันโต
    ภิสมากาโย ยะสัสสิ โส. ทะเสตถะ อิสสะรา อาคู
    ปัจเจกะวะสะวัตติโน เตสัญจะ มัชธะโต อาคา
    หาริโต ปะริวาริโต. เต จะ สัพเพ อะภิกกันเต
    สินเท เทเว สะพรัหมะเก มาระเสนา อะภิกกามิ
    ปัสสะ กัณหัสสะ มันทิยัง เอถะ คัณหะถะ พันธะถะ
    ราเคนะ พันธมัตถุ โว สะมันตา ปะริวาเรถะ
    มา โว มุญจิตถะ โกจิ นัง. อิติ ตัตถะ มะหาเสโน
    กัณหะเสนัง อะเปสะยิ ปาณินา ตะละมาหัจจะ
    สะรัง กัตวานะ เภระวัง. ยะถา ปาวุสสะโก เมโฆ
    ถะนะยันโต สะวิชชุโก ตะทา โส ปัจจุมาวัตติ
    สังกุทโธ อะสะยังวะเส. ตัญจะ สัพพัง อะภิญญายะ
    วิวักขิตวานะ จักจุมา ตะโต อามันตะยิ สัตถา
    สาวะเก สาสะเน ระเต มาระเสนา อะภิกกันตา
    เต วิชานาถะ ภิกขะโว.

    เต จะ อาตัปปะมะกะรุง
    สุตวา พุทธัสสะ สาสะนัง วีตะราเคหิ ปักกามุง
    เนสัง โลมัมปิ อิญชะยุง. สัพเพ วิชิตะสังคามา
    ภะยาตีตา ยะสัสสิโน โมทันติ สะหะ ภูเตหิ
    สาวะกา เต ชะเนสุตาติ.<!-- google_ad_section_end -->
     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    24,442
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,237
    ค่าพลัง:
    +70,761
    <DL><DD>
    อรรถกถามหาสมัยสูตร
    </DD></DL><DL><DD>มหาสมัยสูตรขึ้นต้นว่า ข้าพเจ้า(พระอานนท์)ได้ฟังมาแล้ว อย่างนี้. </DD></DL><DL><DD>ต่อไปนี้เป็นการพรรณนาตามลำดับบทในมหาสมัยสูตรนั้น. บทว่า </DD></DL>ในแคว้นของพวกชาวสักกะ ความว่า ชนบทแม้แห่งเดียวเป็นที่อยู่แห่งพระราชกุมารที่ได้พระนามว่าสักกะเพราะอาศัยพระอุทานว่า ท่าน ! พวกเด็กช่างเก่งแท้ตามนัยแห่งการเกิดขึ้นที่กล่าวไว้ในอัมพัฏฐสูตร ก็เรียกว่า สักกะทั้งหลาย ในชนบทของพวกชาวสักกะนั้น. บทว่า ที่ป่าใหญ่ คือในป่าใหญ่ที่เกิดเองมิได้ปลูกไว้ ติดต่อเป็นอันเดียวกันกับหิมพานต์. บทว่า ล้วนแต่
    เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด คือผู้สำเร็จพระอรหัตในวันที่ตรัสพระสูตรนี้เอง.ต่อไปนี้เป็นลำดับถ้อยคำ


    <DL><DD>เล่ากันมาว่า ชาวศากยะและโกลิยะ ช่วยกันกั้นแม่น้ำชื่อโรหิณีในระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์และเมืองโกลิยะด้วยเขื่อนเดียวเท่านั้นแล้วหว่านกล้า. ต่อมาในต้นเดือนเจ็ด เมื่อกล้ากำลังเหี่ยว พวกคนงานของชาวเมืองทั้งสองก็ประชุมกัน. ในที่ประชุมนั้น พวกชาวเมืองโกลิยะพูดว่า น้ำนี้เมื่อถูกทั้งสองฝ่ายนำเอาไป (ใช้) พวกคุณก็จะไม่พอ พวกฉันก็จะไม่พอ แต่กล้าของพวกฉันจะสำเร็จด้วยน้ำ แต่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ขอให้พวกคุณจงให้น้ำแก่พวกฉันเถิดนะ ชาวเมืองกบิลพัสดุ์ก็พูดว่า เมื่อพวกคุณใส่ข้าวจนเต็มยุ้งแล้ว พวกฉันจะเอาทองแดงมณีเขียวและกหาปณะดำ มีมือถือกะบุงและไถ้เป็นต้น เดินไปใกล้ประตูบ้านของพวกคุณก็ไม่ได้ ถึงข้าวกล้าของพวกฉันก็จะสำเร็จด้วยน้ำครั้งเดียวเหมือนกัน ขอให้พวกท่านจงให้น้ำนี้แก่พวกฉันเถิดนะ พวกฉันให้ไม่ได้. ถึงพวกฉันก็ให้ไม่ได้. เมื่อทะเลาะกันลามปามอย่างนี้แล้ว คนหนึ่งก็ลุกไปตีคนหนึ่ง แม้คนนั้นก็ตีคนอื่น ต่างทุบตีกันและกันอย่างนี้แล้วก็ทะเลาะกันลามปามจนเกี่ยวโยงไปถึงชาติของพวกราชตระกูลด้วยประการฉะนี้. <DD>พวกคนงานฝ่ายโกลิยะ พูดว่า พวกแกจงพาเอาพวกชาวกบิลที่ร่วมสังวาสกับพี่น้องสาวของตนเหมือนกับพวกสุนัขและหมาจิ้งจอกเป็นต้นไป ต่อให้ ช้าง ม้า และโล่และอาวุธของพวกนั้นก็ทำอะไรพวกข้าไม่ได้. พวกคนงานฝ่ายศากยะก็พูดบ้างว่า พวกแกก็จงพาเอาเด็กขี้เรือน ซึ่งเป็นพวกอนาถาหาคติมิได้ อยู่ใต้ไม้กระเบาเหมือนพวกดิรัจฉานไปเดี๋ยวนี้ ต่อให้ช้างม้าและโล่และอาวุธของพวกนั้นก็ทำอะไรพวกข้าไม่ได้หรอก. ครั้นพวกเหล่านั้นกลับไปแล้วก็แจ้งแก่พวกอำมาตย์ที่เกี่ยวกับงานนั้น. พวกอำมาตย์ก็กราบทูลพวกราชตระกูลจากนั้นพวกเจ้าศากยะก็ว่า พวกเราจะแสดงความเข้มแข็งและกำลังของเหล่าผู้ร่วมสังวาสกับพี่สาวน้องสาวแล้วก็เตรียมยกทัพไป. ฝ่ายพวกเจ้าโกลิยะก็ว่าพวกเราจะแสดงความเข้มแข็งและกำลังของเหล่าผู้อยู่ใต้ต้นกระเบา แล้วก็เตรียมยกทัพไป. <DD>ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อเวลาใกล้รุ่งนั้นเอง เสด็จออกจากมหากรุณาสมาบัติ เมื่อทรงตรวจดูโลกได้ทรงเห็นพวกเหล่านี้ กำลังเตรียมยกทัพไปอย่างนี้ ครั้นทรงเห็นแล้วก็ทรงใคร่ครวญอยู่ว่า เมื่อเราไป การทะเลาะนี้จะสงบหรือไม่หนอ ได้ทรงทำการสันนิษฐานว่า เมื่อเราไปที่นั้นแล้วจะแสดงชาดกสามเรื่อง เพื่อระงับการทะเลาะกัน แต่นั้นการทะเลาะกันก็จะสงบ ต่อจากนั้น เพื่อประโยชน์การส่องถึงความพร้อมเพรียงกันเราจะแสดงอีกสองชาดกแล้วแสดงถึงเรื่อง อัตตทัณฑสูตร เมื่อชาวเมืองทั้งสองได้ฟังเทศน์แล้วจะให้เด็กฝ่ายละสองร้อยห้าสิบคน เราจะให้เด็กเหล่านั้นบวช ทีนั้น การประชุมใหญ่ก็จะมี เพราะเหตุนั้น ขณะที่พวกเหล่านั้นกำลังเตรียมยกทัพออกไป ไม่ทรงแจ้งใคร ๆ พระองค์เองนั่นแหละเสด็จถือบาตร จีวร ไปขัดบัลลังก์ประทับนั่งเปล่งพระรัศมีหกสีที่อากาศระหว่างกองทัพทั้งสอง. <DD>พอชาวเมืองกบิลพัสดุ์ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเข้าเท่านั้น ก็คิดว่า พระศาสดาพระญาติประเสริฐของพวกเราเสด็จมาแล้ว พระองค์ทรงเห็นความที่พวกเรากระทำการทะเลาะกันหรือหนอ แล้วคิดว่าเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาแล้ว พวกเราจะให้ศัสตราถึงสรีระผู้อื่นไม่ได้อย่างเด็ดขาด แล้วก็ทิ้งอาวุธนั่งไหว้พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว. แม้พวกชาวเมืองโกลิยะ ก็คิดเหมือนกันอย่างนั้นแหละ พากันทิ้งอาวุธนั่งไหว้พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว. ทั้งที่ทรงทราบอยู่เทียว พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสถามว่า มหาบพิตร ! พวกพระองค์เสด็จมาทำไม. <DD>พวกเหล่านั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! พวกข้าพระองค์เป็นผู้มาที่นี้ไม่ใช่เพื่อเล่นที่ท่าน้ำ ไม่ใช่เพื่อเล่นที่ภูเขา ไม่ใช่เพื่อเล่นแม่น้ำไม่ใช่เพื่อชมเขา แต่มารบกัน. <DD>มหาบพิตร ! เพราะอาศัยอะไร พระองค์จึงทะเลาะกัน. น้ำ พระพุทธเจ้าข้า. <DD>น้ำมีค่าเท่าไร มหาบพิตร <DD>มีค่าน้อยพระเจ้าข้า. <DD>ชื่อว่าแผ่นดิน มีค่าเท่าไร มหาบพิตร <DD>หาค่ามิได้พระเจ้าข้า. <DD>ชื่อว่าพวกกษัตริย์มีค่าเท่าไร มหาบพิตร <DD>ชื่อว่าพวกกษัตริย์หาค่ามิได้ พระเจ้าข้า.</DD></DL>พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า มหาบพิตร! พวกพระองค์อาศัยน้ำที่มีค่าน้อยแล้วมาทำให้พวกกษัตริย์ซึ่งหาค่ามิได้ ฉิบหาย เพื่ออะไร แล้วตรัสว่า ในการทะเลาะกัน ไม่มีความชื่นใจ มหาบพิตรทั้งหลาย ! ด้วยอำนาจการทะเลาะกันความเจ็บใจที่รุกขเทวดาคนหนึ่งผู้ทำเวรในที่ที่ไม่น่าเป็นไปได้แล้วผูกไว้กับหมีได้ติดตามไปตลอดกัปทั้งสิ้น แล้วตรัสชาดกเรื่องต้นสะคร้อ. ต่อจากนั้นตรัสอีกว่า มหาบพิตรทั้งหลาย ! ไม่พึงเป็นผู้แตกตื่น เพราะฝูงสัตว์สี่เท้าในป่าหิมพานต์ซึ่งกว้างทั้งสามพันโยชน์ แตกตื่นเพราะคำพูดของกระต่ายตัวหนึ่งได้แล่นไปจนถึงทะเลหลวง เพราะฉะนั้น ไม่พึงเป็นผู้แตกตื่น แล้วตรัสชาดกเรื่องแผ่นดินถล่ม ต่อจากนั้นตรัสว่า มหาบพิตรทั้งหลาย ! บางทีแม้แต่ผู้ที่อ่อนกำลังก็ยังเห็นช่องผิดของผู้มีกำลังมากได้ บางทีผู้มีกำลังมาก ก็เห็นช่องพิรุธของผู้อ่อนกำลังได้ จริงอย่างนั้น แม้แต่นางนกมูลไถ ก็ยังฆ่าช้างได้
    แล้วตรัสชาดกเรื่องนกมูลไถ. เมื่อตรัสชาดกทั้งสามเรื่องเพื่อระงับการทะเลาะกันอย่างนี้แล้ว เพื่อประโยชน์การส่องถึงความพร้อมเพรียงกัน จึงตรัสชาดก (อีก)สองเรื่อง.
    ตรัสอย่างไร ตรัสว่า มหาบพิตรทั้งหลาย ! ก็ใคร ๆ ไม่สามารถ
    เพื่อจะเห็นช่องผิดของพวกผู้พร้อมเพรียงกันได้ แล้วตรัสรุกขธัมมชาดก.
    จากนั้นตรัสว่า มหาบพิตรทั้งหลาย ใคร ๆ ไม่อาจเห็นช่องผิดของเหล่าผู้พร้อมเพรียงกันได้ แต่เมื่อพวกเขาได้ทำการวิวาทกันและกัน เมื่อนั้นลูกพรานก็ฆ่าพวกนั้นถือเอาไป ขึ้นชื่อว่าความชื่นใจ ย่อมไม่มีในการวิวาทกัน แล้วตรัสชาดกเรื่องนกคุ่ม ครั้นตรัสชาดกทั้ง ๕ เรื่อง เหล่านี้เสร็จแล้ว สุดท้ายตรัสเรื่อง
    อัตตทัณฑสูตร.


    <DL><DD>พระราชาทั้งหลายทรงเลื่อมใส ตรัสว่า หากพระศาสดาจักมิได้เสด็จมา พวกเราก็จะฆ่ากันเองด้วยมือของตนแล้วทำให้แม่น้ำเลือดไหลไป พวกเราจะไม่พึงเห็นลูกและพี่น้องของเราที่ประตูเรือน พวกเราจะไม่ได้มีแม้แต่ผู้สื่อสารโต้ตอบกัน พวกเราได้ชีวิตเพราะอาศัยพระศาสดา ก็ถ้าพระศาสดาจะทรงครองเรือน ราชสมบัติในทวีปใหญ่สี่อันมีทวีป น้อย สองพันเป็นบริวารก็คงจะได้อยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระองค์ ก็ลูก ๆ ของพวกเราตั้งพันกว่าคน ก็จะได้มี และแต่นั้นพระองค์ก็จะมีกษัตริย์เป็นบริวารท่องเที่ยวไป แต่พระองค์มาทรงละสมบัตินั้นแล้วทรงออกไปบรรลุพระสัมโพธิญาณแล้ว ถึงบัดนี้ก็ขอให้จงทรงมีกษัตริย์เป็นบริวารเที่ยวไปนั่นเทียว. <DD>กษัตริย์ชาวสองพระนครก็ได้ถวายพระกุมารฝ่ายละสองร้อยห้าสิบองค์. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้พระกุมารเหล่านั้นทรงผนวชแล้ว ก็เสด็จไปป่าใหญ่ เพราะความที่ท่านเหล่านั้นเคารพอย่างหนัก ความไม่ยินดีจึงได้เกิดแก่พวกท่านผู้ซึ่งมิได้บวชตามความพอใจของตน. แม้พวกภรรยาเก่าของท่านเหล่านั้นก็พูดคำเป็นต้นว่า ขอให้พระลูกเจ้าทั้งหลายจงสึกเถิด การครองเรือนจะทรงอยู่ไม่ได้ แล้วก็ส่งข่าวไป. พวกท่านก็ยิ่งกระสันหนักขึ้นอีก. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงใคร่ครวญอยู่ก็ทรงทราบความไม่ยินดีของพวกท่านเหล่านั้นทรงคิดว่า พวกภิกษุเหล่านี้อยู่ร่วมกันกับพระพุทธเจ้าเช่นเรา ยังกระสัน ถ้าไฉนเราจะกล่าวยกย่องสระดุเหว่าแก่พวกเธอแล้วก็ทรงพาไปที่นั้น ทรงคิดว่า เราจะบรรเทาความไม่ยินดี จึงทรงกล่าวคุณของสระดุเหว่า. พวกภิกษุได้เป็นผู้อยากเห็นสระนั้นแล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอเป็นผู้อยากจะเห็นสระดุเหว่าหรือ. พวกภิกษุกราบทูลว่า อย่างนั้นพระเจ้าข้า. ถ้าอย่างนั้น มา พวกเราไปกัน. <DD>ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! พวกข้าพระองค์จะไปสู่ที่สำหรับไปของพวกท่านผู้มีฤทธิ์ได้อย่างไร. <DD>พวกเธอเป็นผู้อยากไปสระนั้น เราจะพาไปด้วยอานุภาพของเราเอง. <DD>ดีแล้ว พระพุทธเจ้าข้า. <DD>ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงพาภิกษุ ๕๐๐ รูปเหาะไปในอากาศลงที่ใกล้สระดุเหว่า และตรัสกะภิกษุเหล่านั้นว่า <DD>ภิกษุทั้งหลาย ! ที่สระดุเหว่านี้ ใครไม่รู้จักชื่อพวกปลา ก็จงถามเรา. <DD>ท่านเหล่านั้นทูลถามแล้ว.พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสบอกสิ่งที่ภิกษุถามแล้วถามอีก. และไม่ใช่แต่ชื่อพวกปลาเท่านั้น ยังให้ถามถึงชื่อของต้นไม้ทั้งหลายในราวป่านั้นด้วย ของสัตว์สองเท้าสี่เท้าและนกในเชิงเขาด้วย แล้วก็ทรงบอก. <DD>ครั้งนั้น พญานกดุเหว่าจับที่ท่อนไม้ซึ่งนกสองตัวใช้ปากกัดคาบไว้มีพวกนกล้อมหน้าหลังทั้งสองข้างกำลังมา. เมื่อภิกษุได้เห็นนกนั้น ก็ทูลถามว่า <DD>พระเจ้าข้า ! นั่นคงจะเป็นพญานกของนกเหล่านี้ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเข้าใจว่า พวกเหล่านั่น คงจะเป็นบริวารของพญานกนั่น. <DD>ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนั้นเป็นอย่างนั้น แม้นี้ก็เป็นวงศ์ของเรา เป็นประเพณีของเรา. <DD>พระเจ้าข้า ! พวกข้าพระองค์จะดูนกเหล่านี้สักประเดี๋ยวก่อน และก็พวกข้าพระองค์อยากจะฟังข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า แม้นี้ก็เป็นวงศ์ของเรา เป็นประเพณีของเรา. <DD>อยากฟังหรือ ภิกษุทั้งหลาย. <DD>อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า. <DD>พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น จงฟัง แล้วก็ตรัสชาดกเรื่องนกดุเหว่า ประดับด้วยคาถาสามร้อย ทรงบรรเทาความไม่ยินดีแล้ว เมื่อจบเทศน์แม้ภิกษุเหล่านั้น ก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลทุกรูป และแม้แต่ฤทธิ์ของท่านเหล่านั้น ก็มาพร้อมกับมรรคนั่นเอง. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงคิดว่า สำหรับภิกษุเหล่านี้เพียงเท่านี้ก่อนเถิดแล้วก็ทรงเหาะไปในอากาศเสด็จไปสู่ป่าใหญ่นั่นแล. แม้ภิกษุเหล่านั้นเวลาไปไปด้วยอำนาจของพระทศพล แต่ เวลามาแวดล้อมพระผู้มีพระภาคเจ้าลงในป่าใหญ่ด้วยอำนาจของตนเอง. <DD>พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับบนที่นั่งที่ปูไว้แล้วตรัสเรียกภิกษุเหล่านั้น แล้วตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย จงมานั่งลง เราจะบอกกัมมัฏฐานเพื่อให้พวกเธอละกิเลสที่ต้องละด้วยสามมรรคเบื้องบน แล้วก็ทรงบอกกัมมัฏฐานให้. <DD>พวกภิกษุพากันคิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่าพวกเราไม่มีความยินดีจึงทรงพาไปสระดุเหว่าทรงบรรเทาความไม่ยินดี บัดนี้ ได้ทรงประทานกัมมัฏฐานสำหรับมรรคทั้งสามในที่นี้แก่พวกเราซึ่งบรรลุโสดาปัตติผลในที่นั้นแล้ว ก็แลพวกเราไม่ควรให้เสียเวลาด้วยคิดว่า พวกเราเป็นพระโสดาบันแล้ว พวกเราควรเป็นอุดมบุรุษ ท่านเหล่านั้นจึงไหว้พระบาทของพระทศพลแล้วลุกขึ้นสลัดที่นั่งแยกกันไปนั่งที่เงื้อมและโคนไม้. <DD>พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระดำริว่า ภิกษุเหล่านี้ แม้โดยปกติก็ไม่ทิ้งการงาน และก็สำหรับ ภิกษุที่ได้อุบายจะไม่มีเหตุแห่งการเหน็ดเหนื่อย และเมื่อไปตั้งวิปัสสนาแล้วบรรลุอรหัต ก็จะพากันมาสู่สำนักเรา ด้วยคิดว่า พวกเราจะกราบทูลคุณวิเศษที่แต่ละคนได้เฉพาะแล้ว เมื่อพวกเธอเหล่านั่นมาแล้วพวกเทวดาในหมื่นจักรวาลก็จะประชุมกันในจักรวาลหนึ่ง การประชุมใหญ่ก็จะมี เราควรนั่งในโอกาสที่สงัด. <DD>ลำดับนั้นก็รับสั่งให้ปูพุทธอาสน์ในโอกาสที่สงัดแล้วประทับนั่งลง. <DD>พระเถระที่ไปรับกัมมัฏฐานก่อนเขาหมด สำเร็จพระอรหัตพร้อมทั้งปฏิสัมภิทาทั้งหลายแล้ว. <DD>ต่อไปก็อีกรูป ถัดไปก็อีกรูป ดังนี้ก็เป็นอันว่าภิกษุทั้ง๕๐๐ รูป เบิกบานเหมือนปทุมที่บานในสระปทุมฉะนั้น. ภิกษุที่สำเร็จพระอรหัตก่อนเขาหมด คิดว่า เราจะกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงคลายบัลลังก์สลัดที่นั่งลุกขึ้นบ่ายหน้าไปหาพระทศพล. <DD>อีกรูปหนึ่งก็อย่างนั้น อีกรูปหนึ่งก็อย่างนั้น ดังนี้ก็เป็นอันว่าภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูป ทะยอยกันมาเหมือนเข้าสู่โรงอาหารฉะนั้น. <DD>ผู้ที่มาก่อนเขาหมด ไหว้และปูที่นั่งแล้วนั่งในที่ควรส่วนหนึ่งเป็นผู้อยากจะกราบทูลถึงคุณพิเศษที่ได้โดยเฉพาะ คิดว่า ใครอื่นมีหรือไม่มีหนอ กลับไปมองดูทางมาได้เห็นแม้อีกรูปหนึ่ง ได้เห็นแม้อีกรูปหนึ่ง. <DD>ด้วยประการฉะนี้ เป็นอันว่า ท่านทั้งหมดแม้นั้นก็มานั่งในที่ควรส่วนหนึ่งแล้วก็ต่างคิดว่า รูปนี้กำลังละอายจึงไม่บอกแก่รูปนี้ รูปนี้ก็กำลังละอายจึงไม่บอกแก่รูปนี้ ได้ยินว่า สำหรับพวกผู้สิ้นอาสวะแล้วย่อมมีอาการสองอย่างคือ <DD>๑. เกิดความคิดว่า ชาวโลกพร้อมกับเทวดาจะพึงรู้แจ้งแทงตลอดคุณวิเศษที่เราได้เฉพาะแล้ว พลันทีเดียว <DD>๒. ไม่ประสงค์จะบอกคุณที่คนได้แล้วแก่ผู้อื่น เหมือนคนที่ได้ขุมทรัพย์ฉะนั้น. <DD>ก็เมื่อสักว่าวงของพระอริยเจ้านั้นหยั่งลงแล้ว พระจันทร์เต็มวงศ์ ซึ่งหลุดพ้นจากตัวการที่ทำให้เศร้าหมองคือ หมอก น้ำค้าง ควัน ฝุ่น ราหู จากขอบเขตรอบเขายุคนธรทางทิศตะวันออก ประกอบด้วยสิริแห่งล้อเงิน ซึ่งกำลังจับขอบกงหมุนไป คล้ายกับวงแว่นส่องแผ่นใหญ่ที่สำเร็จด้วยเงินที่ยกขึ้นในด้านทิศตะวันออก เพื่อทัศนะอันเป็นที่น่ารื่นรมย์ของโลกที่ประดับด้วยพุทธุปบาทลอยเด่นดำเนินไปสู่ทางลม. <DD>พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ป่าใหญ่ใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ในแคว้นแห่งพวกชาวสักกะกับหมู่ภิกษุจำนวนมาก คือ ภิกษุมีจำนวน๕๐๐ รูป ทุกรูปล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ในขณะ คือในลยะ ได้แก่ในครู่หนึ่งเห็นปานนี้ด้วยประการฉะนี้. <DD>ในที่ประชุมนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงเกิดในวงศ์พระเจ้ามหาสมมต เหล่าภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปนั้นเล่า ก็เกิดในตระกูลพระเจ้ามหาสมมต พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเกิดในพระครรภ์กษัตริย์ ท่านเหล่านั้นเล่าก็เกิดในครรภ์กษัตริย์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นนักบวชชั้นเจ้า ท่านเหล่านั้นเล่าก็เป็นนักบวชชั้นเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงละเศวตฉัตร ทรงสละราชสมบัติจักรพรรดิที่อยู่ในกำพระหัตถ์ ทรงผนวช ท่านเหล่านั้น เล่าก็สละเศวตฉัตร ทิ้งราชสมบัติที่อยู่ในกำมือบวช. <DD>ดังว่ามานี้จึงเป็นอันว่า องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าเองทรงหมดจด ทรงมีบริวารที่หมดจด ในโอกาสที่หมดจด ในส่วนราตรีที่หมดจด ทรงปราศจากราคะ ทรงมีบริวารที่ปราศจากราคะ ทรงปราศจากโทสะ ทรงมีบริวารที่ปราศจากโทสะ ทรงปราศจากโมหะ ทรงมีบริวารที่ปราศจากโมหะ ทรงไม่มีตัณหา ทรงมีบริวารที่ไม่มีตัณหา ทรงไม่มีกิเลส ทรงมีบริวารที่ไม่มีกิเลส ทรงสงบ ทรงมีบริวารที่สงบ ทรงฝึกแล้ว ทรงมีบริวารที่ฝึกแล้วทรงพ้นแล้ว ทรงมีบริวารที่พ้นแล้ว ทรงรุ่งเรืองเกินเปรียบด้วยประการฉะนี้. <DD>นี่ชื่อว่าเป็นชั้นวรรณะสามารถพูดได้เท่าใด ก็พึงพูดเท่านั้น. <DD><DD>ดังที่ว่ามานี้ ท่านพระอานนท์ หมายเอาภิกษุเหล่านี้จึงกล่าวว่า คือภิกษุมีจำนวน ๕๐๐ รูป ทุกรูปล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ทั้งนั้น. <DD>บทว่า โดยมาก คือ มากกว่า ประชุมกันแล้ว ที่น้อยยกเว้นเทพไม่มีสัญญา เทพชั้นอรูปาวจร และเทพที่เข้าสมาบัติ ไม่ได้เข้าประชุม. <DD><DD>ต่อไปนี้ เป็นลำดับการเข้าประชุมในมหาสมัยสูตรนั้น. <DD>เล่ากันมาว่า เหล่าเทวดาโดยรอบป่าใหญ่เคลื่อนไหวแล้ว ทำเสียงดังว่า มาเถิดผู้เจริญทั้งหลาย ชื่อว่าการเห็นพระพุทธเจ้ามีอุปการะมาก การฟังพระธรรมมีอุปการะมาก การเห็นหมู่ภิกษุมีอุปการะมาก มา มาเถิด พวกเรา แล้วก็พากันมานมัสการพระผู้มีพระภาคเจ้า และเหล่าพระขีณาสพผู้บรรลุพระอรหัต เมื่อครู่นั้น แล้วยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. <DD>โดยอุบายนี้นั่นแหละพึงทราบว่า ทวยเทพทั้งหลายในแสนจักรวาลมาประชุมกัน เพราะฟังเสียงเทวดาเหล่านั้น ๆ โดยลำดับ คือ เทวดาผู้อยู่ในจักรวาลทั้งสิ้น ซึ่งอยู่ในสกลชมพูทวีป ปุพพวิเทหทวีป อมรโคยานทวีป อุตตรกุรุทวีป ในทวีปน้อยสองพันทวีป คือ พวกเทวดาที่อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ ซึ่งกว้างประมาณสามพันโยชน์โดยฟังเสียงเทวดาผู้อาศัยอยู่ในที่กึ่งคาวุต หนึ่งคาวุต กึ่งโยชน์ หนึ่งโยชน์โดยลำดับต่อกันไป เทวดาในนคร ๑๘๙,๐๐๐ นคร เทวดาอยู่ที่โทณมุข ๙,๙๐๐,๐๐๐ แห่ง เทวดาอยู่ที่ปฏนะ ๙๖ แสนโกฏิ และอาศัยอยู่ที่ทะเล ๕๖ แห่ง มาประชุมกันแล้ว แต่นั้นก็เทวดาในจักรวาลที่สองที่สามเป็นต้น มาประชุมกันด้วยประการฉะนี้. <DD>ก็หมื่นจักรวาลท่านหมายเอาว่า ๑๐ โลกธาตุในที่นี้. <DD>เหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า เทวดาจาก ๑๐ โลกธาตุโดยมากเป็นผู้เข้าประชุมแล้ว. <DD>ห้องจักรวาลทั้งสิ้น จนถึงพรหมโลกเต็มแน่นไปด้วยพวกเทวดาที่เข้าประชุมอย่างนั้น เหมือนกล่องเข็มที่เต็มแน่นไปด้วยเข็มที่ใส่ไปจนหาที่ว่างไม่ได้. ในห้องจักรวาลทั้งสิ้นนั้นพึงทราบว่า ที่สูงกว่าเขาได้แก่ห้องจักรวาลของพรหมโลก. <DD>เล่ากันมาว่า ผู้ยืนในพรหมโลกเอาก้อนหินเท่าเรือนยอดเจ็ดชั้นในโลหปราสาท โยนลงล่างสี่เดือนจึงถึงแผ่นดิน. ในโอกาสใหญ่ขนาดนั้นได้มีเทวดาจนหาที่ว่างไม่ได้. เหมือนดอกไม้ที่คนยืนข้างล่างโยนไป หรือเหมือนควันไม่ได้ช่องเพื่อขึ้นไปเบื้องบน หรือเหมือนเมล็ดผักกาดที่คนยืนข้างบนโรยไปไม่ได้ช่องเพื่อลงล่างฉะนั้น. <DD>ก็ที่ประทับนั่งของพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่คับแคบ พวกเทวดาและพวกพรหมที่มีศักดิ์ใหญ่ซึ่งมาแล้ว ๆ ย่อมได้ช่องทุกองค์เหมือนที่ประทับนั่งของพระเจ้าจักรพรรดิย่อมเป็นที่ไม่คับแคบ พวกกษัตริย์ชั้นผู้ใหญ่ที่เสด็จมาแล้ว ๆ ก็ยังทรงได้ช่องว่างอยู่นั่นเองฉะนั้น. <DD>เออก็ยังเล่ากันมาว่า ประเทศขนาดเท่ากับปลายขนทราย ตามนัยที่กล่าวไว้ในมหาปรินิพพานสูตร ในที่ใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้านั่นเอง ก็ยังมีเทวดา ๑๐ องค์บ้าง ๒๐ องค์บ้าง เนรมิตร่างละเอียดยืนอยู่. <DD>ข้างหน้าทั้งหมดมีเทวดา ๖๐ ๆองค์ยืนอยู่. <DD>บทว่า พวกชั้นสุทธาวาส คือชาวสุทธาวาส. <DD>พรหมโลก ๕ ชั้น อันเป็นที่อยู่ของพระอนาคามีและพระขีณาสพผู้หมดจดชื่อว่าสุทธาวาส. <DD>คำว่าได้มีคำดำริอย่างนี้ คือ ทำไมจึงได้มี. <DD>ได้ยินว่า ในครั้งนั้น พวกพรหมเหล่านั้นเข้าสมาบัติแล้วออกตามกำหนด เมื่อมองดูที่อยู่ของพรหมก็ได้เห็นว่าง เหมือนโรงอาหารในเวลาหลังอาหาร แต่นั้นเมื่อใคร่ครวญดูว่า พวกพรหมไปไหนก็ทราบว่าไปที่ประชุมใหญ่ คิดว่า สมาคมนี้ใหญ่ ฝ่ายพวกเรามามัวชักช้าก็สำหรับพวกผู้ชักช้าจะหาโอกาสได้ยาก เพราะฉะนั้น เมื่อจะไปพวกเราอย่ามีมือเปล่า แต่งคาถาองค์ละบทแล้วค่อยไปพวกเราจะให้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่าตนมาในสมาคมเหมือนกันด้วยคาถานั้น และจะกล่าวพระเกียรติคุณของพระทศพลด้วย. <DD>ความดำริอย่างนี้จึงได้มีเพราะความที่พรหมเหล่านั้นออกจากสมาบัติแล้วใคร่ครวญด้วยประการฉะนี้. <DD>บทว่า ปรากฏข้างหน้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ความว่า ท่านทำพรหมเล่านั้นให้เหมือนหยั่งลงในที่เฉพาะพระพักตร์ใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้านั่นเองกล่าวไว้แล้ว. <DD>ในบาลีแต่ในที่นี้ไม่พึงเข้าใจความอย่างนี้เลย. <DD>ก็พรหมเหล่านั้น แต่งคาถาแต่ยังอยู่ในพรหมโลกเสร็จแล้วองค์หนึ่งลงที่ขอบปากจักรวาลด้านตะวันออก องค์หนึ่งลงที่ขอบปากจักรวาลด้านใต้องค์หนึ่งลงที่ขอบปากจักรวาลด้านตะวันตก องค์หนึ่งลงที่ขอบปากจักรวาลด้านเหนือ. <DD>ต่อจากนั้นพรหมที่ลงที่ขอบปากจักรวาลด้านตะวันออก ก็เข้ากสิณเขียวแล้วปล่อยรัศมีเขียว เหมือนกำลังสวมหนังแก้วมณีให้เทวดาในหมื่นจักรวาลทราบว่าตนมาแล้ว ธรรมดาวิถีของพระพุทธเจ้าไม่มีใครสามารถจะผ่านไปได้เพราะฉะนั้น จึงมาด้วยวิถีของพระพุทธเจ้าที่กระทบแล้วไหว้พระผู้มีพระภาคเจ้ายืนในที่ควรส่วนหนึ่งแล้วก็ได้กล่าวคาถาที่ตนได้แต่งไว้. <DD>พรหมที่ลงที่ขอบปากจักรวาลด้านใต้ ก็เข้ากสิณเหลืองปล่อยรัศมีแสงทองเหมือนกำลังห่มผ้าทองประกาศให้เทวดาในหมื่นจักรวาลทราบว่าตนมาแล้วได้ยืนอยู่ในนั้นนั่นเอง. <DD>พรหมที่ลงทางขอบปากจักรวาลด้านตะวันตก เข้ากสิณแดง เปล่งรัศมีแดงเหมือนห่มผ้าขนสัตว์ชั้นดีสีแดง ประกาศให้ทรงทราบว่าตนมาแล้ว แก่เทวดาในหมื่นจักรวาลแล้วได้ยืนอย่างนั้นเหมือนกัน. <DD>พรหมที่ลงทางขอบปากจักรวาลด้านเหนือ เข้ากสิณขาว เปล่งรัศมีขาวเหมือนนุ่งผ้าดอกมะลิ ประกาศให้ทราบว่าตนมาแล้ว แก่เทวดาในหมื่นจักรวาลได้ยืนอย่างนั้นเหมือนกัน. <DD>แต่ในบาลีท่านกล่าวว่า พรหมทั้งหลายเหล่านั้น ปรากฏข้างหน้าพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ครั้งนั้นเทวดาเหล่านั้น อภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วได้ยืนในที่ควรส่วนหนึ่ง ดังนี้ แล้วได้กล่าวความปรากฏข้างหน้า และการอภิวาทแล้วยืนในที่ควรส่วนหนึ่ง เหมือนกับในขณะเดียวกันอย่างนั้น. <DD>การปรากฏและการยืนได้มีตามลำดับนี้ แต่ท่านกระทำเป็นพร้อมกันแสดงไว้แล้ว. <DD>ส่วนการกล่าวคาถาในบาลีท่านแยกกล่าวไว้เป็นแผนก ๆ ทีเดียว. <DD>ในบทเหล่านั้น บทว่า มหาสมัย แปลว่า การประชุมใหญ่ ป่าชัฏ เรียกว่าป่าใหญ่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า การประชุมใหญ่ คือการเข้าประชุมพร้อมกันครั้งใหญ่มีในวันนี้ที่ชัฏป่านี้ แม้ด้วยบททั้งสอง. <DD>แต่นั้น เพื่อแสดงพวกที่เข้าประชุมนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า หมู่เทพมาประชุมกันแล้ว. <DD>ในบทว่า หมู่เทพนั้น คือพวกเทวดา บทว่า พวกเราเป็นผู้มาสู่การประชุมธรรมนี้ คือ เมื่อได้เห็นหมู่เทพมาประชุมกันอย่างนี้ แม้พวกเราก็มาสู่การประชุมธรรมนี้. <DD>เพราะเหตุไร เพราะเหตุ เพื่อเห็นหมู่ที่ไม่มีใครปราบได้นั่นเอง อธิบายว่า พวกเราได้เป็นผู้มาเพื่อชมหมู่ที่ไม่มีใครปราบได้นี้ผู้ชื่อว่าพิชิตสงความ เพราะเป็นผู้ที่ไม่มีใครทำให้พ่ายแพ้ได้แล้วย่ำยีมารทั้งสามชนิดได้ในวันนี้นั่นเอง. <DD>ก็พรหมนั้น ครั้นกล่าวคาถานี้แล้วก็อภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วได้ยืนทางขอบปากจักรวาลด้านตะวันออก. ถัดมาองค์ที่สองก็มากล่าวตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแหละ. <DD>ในบทว่า ภิกษุทั้งหลายใน...นั้น นั้นได้แก่ พวกภิกษุในที่ประชุมนั้น. <DD>บทว่า ตั้งมั่นแล้ว คือประกอบด้วยสมาธิ. <DD>บาทคาถาว่า ได้ทำจิตของตนให้ตรงแล้ว ได้แก่ ได้นำความคดโกง และความโค้งออกจนหมดแล้วทำจิตของตนให้ตรง. <DD>บาทคาถาว่า เหมือนสารถีถือเชือก ความว่าเมื่อพวกม้าสินธพ ไปอย่างเรียบร้อย สารถีวางปฏักลงแล้วคอยจับเชือกทั้งหมดไว้ไม่เตือนไม่รั้งตั้งอยู่ฉันใด ภิกษุหมดทั้งห้าร้อยนี้ถึงพร้อมด้วยความวางเฉยมีองค์หก คุ้มทวารได้แล้วบัณฑิตรักษาอินทรีย์ทั้งหลายไว้ฉันนั้น พรหมกล่าวว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พวกข้าพระพุทธเจ้าเป็นผู้มาที่นี้เพื่อชมภิกษุเหล่านี้. <DD>แล้วพรหมแม้นั้นก็ไปยืนตามตำแหน่งทีเดียว. <DD>ถัดมาองค์ที่สามก็มากล่าวตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแหละ. <DD>ในบทเหล่านั้น บทว่า ตัดตาปูได้แล้ว คือ ตัดตาปูอัน ได้แก่ ราคะโทสะและโมหะ. <DD>บทว่า ลิ่มสลัก ก็ได้แก่ลิ่มสลักคือราคะโทสะและโมหะนั่นเอง. <DD>บทว่า เสาเขื่อน ก็ได้แก่เสาเขื่อนคือราคะโทสะและโมหะนั่นเอง.</DD></DL>บทว่า ถอนแล้วไม่มี เอชา คือ ภิกษุเหล่าชื่อว่าไม่มีความหวั่นไหว เพราะไม่มีความหวั่นไหวคือตัณหา ถอนแล้วคือกระชากเสาเขื่อนจนหลุดแล้ว .
    บทว่า ท่านเหล่านั้นเที่ยวไป คือเที่ยวจาริกไปชนิดที่ไม่กระทบกระทั่งใครในสี่ทิศ.
    บทว่า หมดจด คือไม่มีตัวการที่เข้ามาทำให้จิตใจเศร้าหมอง.
    บทว่า ปราศจากมลทิน คือไม่มีมลทิน.
    คำว่า ปราศจากมลทินนี้ ก็เป็นคำสำหรับใช้แทนคำว่า หมดจด นั่นเอง.
    บทว่า มีตา คือมีดวงตาด้วยดวงตา ๕ชนิด.
    บทว่า ฝึกแล้วเป็นอย่างดี คือ ทางตาก็ฝึกแล้ว ทางหู
    ทางจมูก ทางลิ้นทางกาย ทางใจ ก็ฝึกแล้ว.
    บทว่า นาคหนุ่ม คือนาครุ่น ๆ.
    พรหม
    อธิบายว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์เป็นผู้มาแล้วเพื่อชมนาครุ่นที่ฝึกแล้วด้วยความเพียรเป็นเครื่องประกอบอัน ยอดเยี่ยมเห็นปานนี้เหล่านี้.
    แม้พรหมองค์นั้นก็ได้ไปยืนตามตำแหน่งนั่นแล.
    ถัดมาองค์ที่สี่ ก็ได้มากล่าวตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นเอง.


    <DL><DD>บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ถึงแล้ว คือถึงแล้วด้วยการถึงสรณะที่ไม่มีความสงสัย. แม้พรหมองค์นั้นก็ได้ไปยืนตามตำแหน่งนั่นแล. <DD>ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อได้ทรงสำรวจดูตั้งแต่พื้นแผ่นดินจนจรดกำหนดขอบปากจักรวาล จากกำหนดขอบปากจักรวาลจนจรดพรหมโลกทอดพระเนตรเห็นการประชุมของเทวดาแล้วจึงทรงพระดำริว่า สมาคมเทวดานี้ใหญ่. <DD>ฝ่ายพวกภิกษุไม่ทราบว่า สมาคมเทวดานี้ใหญ่อย่างนี้ เอาเถิด เราจะบอกพวกเธอ เมื่อทรงพระดำริอย่างนั้นเสร็จแล้ว ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสเรียกภิกษุ ด้วยประการฉะนี้. <DD>พึงขยายให้กว้างทั้งหมด. <DD>บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า มีเท่านี้เป็นอย่างยิ่ง คือ ชื่อว่ามีเท่านี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะเท่านี้เป็นประมาณอย่างยิ่งของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น. <DD>แต่เพราะบัดนี้ ไม่มีพระพุทธเจ้าทั้งหลาย จึงไม่ตรัสครั้งที่สามว่า ภิกษุทั้งหลาย ! แม้พระพุทธเจ้าเหล่านั้นใดในบัดนี้. </DD></DL>บทว่า ภิกษุทั้งหลาย เราจะบอก ความว่า ถามว่า ทำไมจึงตรัส ตอบว่า เพื่อให้ทราบพรั่งพร้อมแห่งจิตของทวยเทพ
    ได้ยินว่า พวกเทวดาพากันคิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงกล่าวชื่อและโคตรแต่ของทวยเทพชั้นผู้ใหญ่เท่านั้น ของพวกชั้นผู้น้อยจะทรงบอกไปทำไมในสมาคมใหญ่นี้.
    ทีนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพิจารณาว่า เทพเหล่านั้นคิด
    อย่างไร ทรงทราบวาระจิตนั้นของเทวดาเหล่านั้น เหมือนสอดมือเข้าปากแล้วคลำดวงใจ และเหมือนจับโจรได้ทั้งของกลางจึงทรงดำริว่า เราจะกล่าวถึงชื่อและโคตรของเหล่าเทพแม้ทั้งหมดทั้งชั้นผู้น้อยและชั้นผู้ใหญ่ซึ่งต่างมาจากหมื่นจักรวาล.


    <DL><DD>ธรรมดาว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงเป็นผู้ใหญ่ พระพุทธเจ้าเหล่านั้นทรงเป็นสัตว์พิเศษ ทรงทราบสิ่งที่ชาวโลกรวมทั้งเทวดาได้เห็น ได้ยิน ได้ทราบ ได้รู้แจ้ง ได้ถึง ได้แสวงหา ได้ใช้ใจท่องเที่ยวไปตาม ไม่ว่าสิ่งไร ๆ ในที่ใด ๆ จะเป็นรูปารมณ์ในรูปารมณ์ที่จำแนกด้วยสามารถรูปมีรูปสีเขียวเป็นต้น หรืออารมณ์มีเสียงเป็นต้น ที่แยกไว้เป็นแผนก ๆ ในสัททารมณ์ เป็นต้น ที่จำแนกด้วยสามารถเสียงกลองเป็นต้น มีอยู่ซึ่งมาสู่คลองที่หน้าพระญาณของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น. <DD>สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่ชาวโลกรวมทั้งเทวดา ฯลฯ รวมทั้งเทวดาและมนุษย์ ได้เห็น ได้ยิน ได้ทราบ ได้รู้แจ้ง ได้ถึง ได้แสวงหา ได้ใช้ใจท่องเที่ยวไปตาม เรารู้สิ่งนั้น เราเห็นสิ่งนั้น เราเข้าใจสิ่งนั้นอย่างแจ่มแจ้ง. <DD>๑ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระญาณไม่มีอะไรมาขัดขวางได้ในทุกหนทุกแห่งอย่างนี้ ทรงได้ทำพวกเทวดาแม้ทั้งหมดนั้นเป็นสองพวกด้วยอำนาจภัพและอภัพ คือ พวกที่เป็นอภัพสัตว์ที่กล่าวโดยนัยเป็นต้นว่า หรือสัตว์เหล่าใด ถึงพร้อมด้วยทำนบคือกรรม สัตว์พวกนั้นถึงจะอยู่ร่วมวิหารกัน พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ไม่ทรงมอง และพวกภัพสัตว์ที่ตรงกันข้ามกับพวกอภัพสัตว์นั้น พวกนั้นต่อให้อยู่ไกลก็เสด็จไปทรงสงเคราะห์. <DD>เพราะฉะนั้น แม้ในการประชุมของเทพนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงละพวกที่อภัพ (ไม่เหมาะไม่สมควรโชคร้าย) แล้วรวบรวมเอาแต่พวกภัพสัตว์ เมื่อรวบรวมเอาเสร็จแล้วก็มาทรงจัดเป็น ๖ พวก ตามอำนาจจริตนั่นเองว่า พวกราคจริตเท่านี้ พวกโทสจริตเป็นต้นเท่านี้. <DD>ต่อมาก็ทรงใคร่ครวญธรรมเทศนาอันเป็นที่สบายแก่พวกจริตเหล่านั้น ทรงกำหนดเทศนาว่า <DD>พวกเทวดาราคจริต เราจักแสดงสัมมาปริพพาชนียสูตร(สูตรว่าด้วยเรื่องที่พึงเว้นโดยชอบ) <DD>จักแสดงกลหวิวาทสูตร (สูตรเกี่ยวกับเรื่องทะเลาะวิวาท) แก่พวกโทสจริต <DD>จักแสดงมหาพยูหสูตร (สูตรว่าด้วยพวกใหญ่) แก่พวกโมหจริต <DD>จักแสดงจูฬพยูหสูตร (สูตรว่าด้วยพวกน้อย)แก่พวกวิตกจริต <DD>จักแสดงตุวัฏฏกปฏิปทา (ข้อปฏิบัติของนกคุ่ม)แก่พวกสัทธาจริต <DD>จักแสดง ปุราเภทสูตร ( สูตรว่าด้วยเรื่องแตกในอนาคต) แก่พวกพุทธิจริต แล้วก็ทรงใส่พระทัยถึงบริษัทนั้นอีกว่า บริษัทพึงรู้ด้วยอัธยาศัยของตน ด้วยอัธยาศัยของคนอื่น ด้วยการเกิดเรื่องขึ้น หรือ ด้วยอำนาจการถามหนอแล แต่นั้นก็ทรงทราบว่า บริษัทพึงรู้ด้วยอำนาจการถามแล้วทรงพระดำริว่าจะมีใครหรือไม่หนอที่เป็นผู้ถือเอาอัธยาศัยของทวยเทพแล้ว สามารถถามปัญหาด้วยอำนาจจริตได้ ได้ทรงเห็นว่า ในพวกภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปนั้น แม้รูปเดียวก็จะไม่สามารถ. <DD>จากนั้นทรงรวมเอาพระสาวกผู้ใหญ่ ๘๐ รูป และพระสาวกชั้นเลิศ ๒ รูป ก็ทรงเห็นว่า ถึงท่านเหล่านั้นก็จะไม่อาจ <DD>แล้วทรงพระรำพึงว่า ถ้าพึงมีพระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าจะสามารถหรือไม่หนอ ทรงทราบว่า ถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็จะไม่สามารถทรงรวมว่า ในบรรดาท้าวสักกะและท้าวสุยามะเป็นต้น ใคร ๆ จะพึงอาจ แม้ถ้าในท่านแม้เหล่านั้น ผู้ไร ๆ จะพึงอาจจะให้ถามพระองค์แล้วจะพึงตอบเสียเอง. <DD>แต่แม้ในท่านเหล่านั้น ใคร ๆ ก็ไม่อาจ. <DD>ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ได้ทรงมีพระดำริอย่างนี้ว่า พระพุทธเจ้าอย่างเราเท่านั้นจึงจะพึงอาจ และก็มีพระพุทธเจ้าองค์อื่นในที่ใดบ้างไหม แล้วก็ทรงแผ่พระญาณอันไม่มีที่สิ้นสุดไปในโลกธาตุอันไม่มีที่สิ้นสุดทรงตรวจดูก็ไม่ได้ทรงเห็นพระพุทธเจ้าองค์อื่น. <DD>ข้อที่ไม่ทรงเห็นผู้ใดเสมอพระองค์ในบัดนี้นั้นไม่น่าอัศจรรย์เลย แม้ในวันประสูติ เมื่อไม่ทรงเห็นใครเสมอพระองค์ตามนัยที่กล่าวไว้ในอรรถกถาพรหมชาลสูตร พระองค์ก็ได้เปล่งสีหนาทที่ไม่มีใครจะพึงปฏิวัติได้ว่า เราเป็นยอดของโลก ดังนี้. <DD>เมื่อไม่ทรงเห็นคนอื่นเท่าพระองค์อย่างนี้แล้ว ก็ทรงคิดว่า ถ้าเราพึงถามแล้วตอบเองเสียเลย แม้เมื่อเป็นอย่างนี้ เทวดาเหล่านี้ ก็จะไม่อาจแทงตลอดได้ <DD>แต่เมื่อพระพุทธเจ้าองค์อื่นนั่นแล ทรงถามและเราตอบจึงจะเป็นสิ่งน่าอัศจรรย์และพวกเทวดาก็จะสามารถแทงตลอดได้ด้วยฉะนั้น เราจะสร้างพระพุทธนิรมิต. <DD>แล้วทรงเข้าฌานที่มีอภิญญาเป็นบาท ครั้นทรงออกแล้วก็ทรงบริกรรมด้วยกามาวจรจิตทั้งหลายว่า ขอให้การถือบาตรและจีวร การเหลียวหน้าและเหลียวหลัง และการคู้เข้าและเหยียดออกจงเหมือนเราทีเดียว แล้วก็ทรงอธิษฐานด้วยรูปาวจรจิต เหมือนทำลายดวงจันทร์ที่กำลังลอยเด่นจากวงในโดยรอบเขายุคนธรทางทิศตะวันออก ให้ออกไปอยู่ฉะนั้น. <DD>ครั้นหมู่เทพได้เห็นพุทธนิรมิตนั้น ก็พูดว่า ท่าน พระจันทร์ดวงอื่นขึ้นไปแล้วหรือหนอแล. <DD>เมื่อพระพุทธที่ทรงนิรมิตละดวงจันทร์แล้วเข้ามาใกล้. <DD>ก็พูดว่า ไม่ใช่พระจันทร์ แต่เป็นพระอาทิตย์ขึ้นต่างหาก เมื่อยิ่งใกล้เข้ามาอีก ก็พูดว่า ไม่ใช่พระอาทิตย์ แต่นั่นเป็นวิมานเทวดา. <DD>เมื่อยิ่งใกล้เข้ามาอีกก็พูดว่า ไม่ใช่วิมานเทวดา แต่นั่นเป็นเทพบุตร. <DD>เมื่อยิ่งใกล้เข้ามาอีก ก็พูดว่า ไม่ใช่เทพบุตร แต่นั่นเป็นมหาพรหม เมื่อยิ่งใกล้เข้ามาอีก ก็พูดว่าไม่ใช่เป็นมหาพรหม แต่เป็นพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งเสด็จมา ดังนี้. <DD>ในที่นั้นพวกเทวดาปุถุชน ก็พากันคิดว่า พระพุทธเจ้าองค์เดียว ที่ประชุมเทวดาก็ใหญ่ขนาดนี้แล้ว สองพระองค์จะใหญ่ขนาดไหน (ส่วน) เทวดาอริยะก็พากันคิดว่า ในโลกธาตุเดียว ไม่มีพระพุทธเจ้าสองพระองค์ พระผู้มีพระเจ้าทรงเนรมิตพระพุทธเจ้าองค์อี่นขึ้นมาอีกพระองค์หนึ่งที่เหมือนกับพระองค์เป็นแน่. <DD>ขณะที่หมู่เทพกำลังเห็นพระพุทธนิรมิตนั่นเอง พระพุทธนิรมิตก็เสด็จ มาถึงไม่ทรงไหว้พระทศพลเลย ทำให้เท่า ๆ กันในที่เฉพาะพระพักตร์แล้วก็ประทับนั่งบนพระที่นั่งที่เนรมิตไว้. <DD>มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ แม้ของพระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ของพระพุทธนิรมิต ก็มี ๓๒ ประการเหมือนกัน. พระรัศมี ๖ สี ออกไปจากพระสรีระแม้ของพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ของพระพุทธนิรมิตก็เหมือนกัน. พระรัศมีจากพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้ากระทบพระกายของพระพุทธนิรมิต พระรัศมีจากพระสรีระของพระพุทธเนรมิตก็กระทบพระกายพระผู้มีพระภาคเจ้า. รัศมีเหล่านั้นพุ่งจากพระสรีระของพระพุทธเจ้าทั้งสองพระองค์ไปจรดชั้นนอกนิฏฐพรหม กลับจากนั้นก็ลงในที่สุดของทุกเศียรของเหล่าเทพ แล้วตั้งอยู่ที่ขอบปากจักรวาล. <DD>ห้องจักรวาลทั้งสิ้นรุ่งเรืองดังเรือนพระเจดีย์ที่มีไม้จันทันโค้งที่แล้วไปด้วยเงินรึงรัดไว้แล้วฉะนั้น. <DD>เทวดาในหมื่นจักรวาล รวมเป็นกลุ่มในจักรวาลเดียวเข้าไปตั้งอยู่ในระหว่างห้องรัศมี</DD></DL>ของพระพุทธเจ้าทั้งสองพระองค์.
    เมื่อพระพุทธเนรมิตกำลังประทับนั่งอยู่นั่นแล ชมเชยการละกิเลสที่โพธิบัลลังก์ของพระทศพล จึงตรัสคาถาว่าเราขอถามท่านมุนี ผู้มีปัญญามาก ผู้ข้ามแล้ว ถึงฝั่งแล้ว เย็นสนิท มีพระองค์ตั้งมั่น ออกจากเรือนแล้วบรรเทากามทั้งหลาย ภิกษุนั้นพึงท่องเที่ยวไปในโลกโดยชอบอย่างไร.


    <DL><DD>พระศาสดา ครั้นทรงคิดว่า เราจะกล่าวถึงชื่อและโคตรของผู้ที่มาแล้ว ๆ เพื่อให้พวกเทวดาเกิดความเป็นผู้มีจิตพร้อม ก่อนจึงตรัสคำเป็นต้นว่า ภิกษุทั้งหลาย เราจะบอก ดังนี้ <DD>บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เราจะทำโศลก คือถ้อยคำที่ประพันธ์เป็นฉันท์ คือ จะให้หมู่คำที่นิยมแล้วด้วยบทอักษรเป็นไป. <DD>บทว่า ภุมมเทวดาในที่ใดก็อาศัยที่นั้น ความว่า พวกเทวาที่อยู่ตามพื้นดินในที่ใด ๆอาศัยที่นั้น ๆ แล้ว. <DD>พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสบอกชั้นวรรณะแก่ภิกษุเหล่านั้นด้วยบทเป็นต้นว่า พวกที่อาศัยซอกเขา. <DD>อธิบายว่า ภิกษุเหล่าใดอาศัยท้องภูเขา. <DD>บทว่า ส่งตนไปแล้ว คือมีตนที่ส่งไปแล้ว. <DD>บทว่า ตั้งมั่น คือ ไม่ฟุ้งซ่าน. <DD>บทว่า มาก คือ ชนมาก. <DD>บทว่า เหมือน สีหะ ซ่อนเร้น คือเข้าถึงความเป็นผู้มีจิตเป็นหนึ่ง เหมือนสีหะ หลบซ่อน. <DD>บทว่า ครอบงำความพองขน คือ ครอบงำขนพอง แล้วตั้งอยู่. มีคำอธิบายว่า ไม่มีความกลัว. <DD>บทว่า มีใจผุดผ่อง หมดจด คือเป็นผู้มีจิตขาวผ่อง หมดจด. <DD>บทว่า ผ่องใส ไม่ขุ่น คือ ผ่องแผ้ว ไม่ขุ่นมัว. บทว่า ทรงทราบภิกษุเกิน ๕๐๐ รูป คือทรงรู้จักภิกษุเกิน ๕๐๐ รูป รวมทั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย.</DD></DL>บทว่า ที่ป่าใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ คือที่ชัฏป่าซึ่งเกิดใกล้กรุงกบิลพัสดุ์.
    บทว่าแต่นั้นพระศาสดาจึงตรัสเรียก คือ ตรัส เรียกในครั้งนั้น. บทว่า หมู่สาวกผู้ยินดีในศาสนา คือ ชื่อว่าสาวกเพราะเกิดในที่สุดการฟังพระธรรม
    เทศนาของพระองค์ ชื่อว่า ผู้ยินดีในศาสนาเพราะยินดีในศาสนาคือสิกขาสาม.
    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำคำทั้งหมดนี้ให้เหมือนคนอื่นกล่าว ตรัสด้วยพระดำรัสว่า เราจะทำโศลก.
    บทว่า หมู่เทพมุ่งหน้ามากันแล้ว ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงรู้จักหมู่เทพเหล่า นั้นไว้ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
    เพี่อประโยชน์ แก่อภินิหารแห่งทิพยจักษุญาณของภิกษุเหล่านั้น ว่า พวกเธอจงรู้จักพวกเทพเหล่านั้นด้วยทิพยจักษุ ดังนี้ .

    บทว่า ก็ภิกษุเหล่านั้น ฟังพระพุทธศาสน์แล้วได้กระทำความ
    เพียร ความว่าก็แลภิกษุเหล่านั้นฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นแล้ว ทันใดนั้นเองก็ได้กระทำความเพียรเพื่อประโยชน์แก่ทิพยจักษุนั้น.
    ญาณก็ได้ปรากฏแก่ท่านเหล่านั้นผู้พอได้ลงมือกระทำความเพียรนั่นเองอย่างนั้น.
    เป็นอย่างไร


    <DL><DD>คือทิพยจักษุญาณอันเป็นเครื่องเห็นพวกอมนุษย์เกิดขึ้นแล้ว. ทิพยจักษุญาณนั้น </DD></DL>มิใช่ว่าพวกท่านเหล่านั้นกระทำบริกรรม แล้วให้เกิดขึ้นในขณะนั้น แต่ทิพยจักษุญาณนั้นสำเร็จด้วยมรรคทีเดียว.
    ก็แลเหตุเพียงอภินิหาร แห่งทิพยจักษุญาณเพื่อเห็นอมนุษย์นั้นเท่านั้น ได้กระทำแล้ว.
    ถึงพระศาสดาก็ทรงหมายเอาข้อนี้เองว่า พวกเธอมีญาณ ถ้าเช่นนั้นพวกเธอจงน้อมญาณไปรู้ แล้วจึง ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงรู้จักหมู่เทพเหล่านั้น.
    บทว่า เหล่าภิกษุ
    บางพวกได้เห็น ๑๐๐ ความว่า ในภิกษุเหล่านั้น ภิกษุบางพวกได้เห็นพวก
    อมนุษย์หนึ่งร้อย. บทว่า หนึ่งพัน และ เจ็ด ความว่า บางพวกเห็น
    อมนุษย์หนึ่งพัน บางพวกเห็นอมนุษย์เจ็ดหมื่น. บทว่า บางพวกหนึ่งร้อย
    พัน คือบางพวกเห็นอมนุษย์หนึ่งแสน.
    บทว่า บางพวกได้เห็น
    ที่สุด ความว่าได้เห็นอย่างใหญ่.
    อธิบายว่า ได้เห็นอมนุษย์แม้จะกำหนด
    ด้วยสามารถร้อยและด้วยสามารถพันก็ไม่ได้ เพราะเหตุไร เพราะอมนุษย์
    ได้แผ่ไปทั่วทิศ คือได้เต็มที่ทีเดียว.


    <DL><DD>บทว่า และรู้ยิ่งสิ่งทั้งหมดนั้น คือ ในภิกษุเหล่านั้น สิ่งใดที่แต่ กก</DD></DL>ละรูปได้เห็น ก็รู้สิ่งทั้งหมดนั้นด้วย. บทว่า ผู้ทรงมีจักษุทรงใคร่ครวญ
    แล้ว คือ พระศาสดาผู้ทรงมีจักษุด้วยจักษุทั้ง ๕ อย่าง ทรงใคร่ครวญโดย
    ประจักษ์ เหมือนผู้ใคร่ครวญดูลายมือฉะนั้น จึงตรัสพระคาถาที่กล่าวมาเมื่อ
    ก่อนว่า แต่นั้นจึงตรัส เรียก เพื่อทรงต้องการระบุถึงชื่อและโคตร. ในบทนี้มี
    ความเกี่ยวข้องอย่างนี้ว่า พวกเธอจงรู้จัก คือจงดู ได้แก่ จงมองดูพวกอมนุษย์
    ที่เราจะระบุแก่พวกเธอ. บทว่า ด้วยถ้อยคำทั้งหลาย คือด้วยคำพูดทั้งหลาย.
    บทว่า โดยลำดับ คือ ตามลำดับ.


    <DL><DD>บทว่า ยักษ์ทั้งหลายเจ็ดพันเป็นพวกเทพอยู่ตามแผ่นดิน </DD></DL>อาศัยกรุงกบิลพัสดุ์ คือ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า หมู่ยักษ์ คือพวก
    เทพอยู่ตามแผ่นดินอาศัยกรุงกบิลพัสดุ์เกิดในกรุงกบิลพัสดุ์นั้นก่อน. บทว่า มี
    ฤทธิ์ คือประกอบด้วยฤทธิ์ทิพย์. บทว่า มีความรุ่งเรือง คือถึงพร้อมด้วย
    อานุภาพ. บทว่า มีวรรณะ คือสมบูรณ์ด้วยผิวพรรณของร่างกาย. บทว่า
    มียศ คือสมบูรณ์ด้วยบริวาร. บทว่า ยินดีมุ่งหน้ามา คือ มีจิตยินดีมา.
    บทว่า สู่ป่าเป็นที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย คือมาเพื่อต้องการดูป่าใหญ่
    นี้ คือสำนักของพวกภิกษุนี้ ได้แก่เพื่อต้องการดูภิกษุทั้งหลาย. อีกอย่างหนึ่ง
    พวก เรียกว่า ประชุม. อธิบายว่า มาเพื่อชมพวกภิกษุดังนี้ก็ได้. บทว่า พวก
    ยักษ์ชาวเขาเหมวัตหกพัน มีผิวพรรณต่าง ๆ กัน คือพวกยักษ์ที่เกิดที่
    ภูเขาเหมวัตหกพัน พวกยักษ์แม้ทั้งหมดนั้น มีสีต่าง ๆ กัน ด้วยอำนาจสีเขียว
    เป็นต้น. บทว่า พวกยักษ์ชาวเขาสาตาคิรีสามพัน คือ พวกยักษ์ที่เกิดที่
    ภูเขาสาคาคิรี ๓,๐๐๐. บทว่า ยักษ์เหล่านี้หมื่นหกพันด้วยประการฉะนี้
    คือยักษ์แม้ทั้งหมดนี้ รวมกันเป็นหมื่นหกพัน. บทว่า ชาวเขาวิศวามิตร
    ห้าร้อย คือ พวกยักษ์ที่เกิดที่ภูเขาวิศวามิตร ๕๐๐ บทว่า กุมภีร์ชาวเมือง
    ราชคฤห์ คือยักษ์ชี่อกุมภีร์เกิดในกรุงราชคฤห์. บทว่า เขาไพบูลย์เป็นที่
    อยู่ของยักษ์นั้น อธิบายว่าภูเขาไพบูลย์ (เวปุลละ) เป็นนิเวศน์ คือที่อยู่ของ
    ยักษ์นั้น. บทว่า ยักษ์มากกว่าแสนเข้าเฝ้ายักษ์ชื่อกุมภีร์นั้น คือ ยักษ์เกิน
    แสนเข้าเฝ้ายักษ์ชื่อกุมุภีร์นั้น. บทว่า ยักษ์ชื่อกุมภีร์ชาวเมืองราชคฤห์แม้
    นั้น ก็มาสู่ป่าเป็นที่ประชุมภิกษุทั้งหลาย คือ แม้ยักษ์ชื่อกุมภีร์นั้นพร้อม
    กับบริวารก็มาสู่ป่านี้ เพื่อชมการประชุมของภิกษุทั้งหลาย. บทว่า ก็ท้าว
    ธตรัฏฐ์ ทรงปกครองทิศตะวันออก คือ ทรงปกครองทางทิศปราจีน. บท
    ว่า ทรงเป็นอธิบดีของพวกคนธรรพ์ คือทรงเป็นหัวหน้าของพวกคนธรรพ์
    (คนธรรพ์ -นักดนตรี) คนธรรพ์ทั้งหมดนั้น เป็นไปในอำนาจของท้าวธตรัฏฐ์
    นั้น . บทว่า ท้าวเธอทรงเป็นมหาราช ทรงมียศ คือ มหาราชพระองค์
    นั้น ทรงมีบริวารมาก. บทว่า แม้พวกบุตรของท้าวเธอก็มาก มีนามว่า
    อินทร์มีกำลังมาก คือ พวกลูก ๆ ของท้าวธตรัฏฐ์นั้น มีมาก มีกำลังมาก.
    เธอทั้งหลายทรงชื่อของท้าวสักกะ ผู้เป็นราชาของเทวดา. บทว่า ท้าววิรุฬห์
    ทรงปกครองทิศนั้น คือทิศนั้น ท้าววิรุฬหก ทรงอนุศาสน์. บทว่า แม้
    พวกลูก ๆ ของท้าวเธอ คือ ลูก ๆ แม้ของท้าวเธอก็เช่นนั้นเหมือนกัน . ก็
    ในบาลีท่านเขียนว่า มหพฺพลา - มีกำลังมาก. ในวาระทั้งหมดในอรรถกถา
    ปาฐะเป็น มหาพฺพลา - มีกำลังมาก. ส่วนคาถาพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสด้วย
    อำนาจรวมเอาหมดอย่างนี้ว่า


    <DL><DD>ท้าวธตรัฏฐ์ทรงปกครองทิศตะวันออก </DD></DL><DL><DD>ทางทิศใต้ท้าววิรุฬหก ทางทิศตะวันตก </DD></DL><DL><DD>ท้าววิรูปักษ์ ท้าวกุเวรทรงปกครองทิศ </DD></DL><DL><DD>เหนือ มหาราชทั้ง ๔ พระองค์นั้น ทรง </DD></DL><DL><DD>ยังทิศทั้ง ๔ โดยรอบให้รุ่งเรืองประทับอยู่ </DD></DL><DL><DD>ที่ป่าใกล้กรุงกบิลพัสดุ์. </DD></DL><DL><DD>ในคาถานั้น มีใจความดังต่อไปนี้ ในหมื่นจักรวาลต่างมีพวกมหา- </DD></DL>ราช ทรงพระนามว่า ธตรัฏฐ์. แม้ทั้งหมดนั้นต่างก็ทรงมีคนธรรพ์แสนโกฏิ
    แสนโกฏิเป็นบริวาร ยืนเต็มห้องจักรวาลตั้งแต่ป่าใหญ่ใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ทาง
    ทิศตะวันออก. ท้าววิรุฬหกเป็นต้นในทิศใต้เป็นต้น ก็อย่างนี้. เพราะเหตุนั้น
    แล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ทรงยังทิศทั้ง ๔ โดยรอบให้รุ่งเรืองประทับ
    อยู่. ก็คำอธิบายมีอย่างนี้ว่า มาจากจักรวาลโดยรอบ ยังทิศทั้ง ๔ ให้รุ่งเรือง
    อย่างดีประทับอยู่เหมือนกองไฟบนยอดเขา. ก็ท่านเหล่านั้นทรงหมายเอาป่าใกล้
    กรุงกบิลพัสดุ์เท่านั้นแล้วจึงมาเพราะเหตุใด เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
    จึงตรัสถึงพวกท่านว่า เป็นผู้ยังจักรวาลให้เต็มเท่า ๆ กัน ด้วยจักรวาล แล้วประทับ
    ที่ป่าใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ ดังนี้.


    <DL><DD>บทว่า พวกบ่าวของมหาราชทั้ง ๔ พระองค์นั้น มีมารยา ล่อ- </DD></DL>ลวง โอ้อวดก็มา ความว่า มหาราชเหล่านั้น ทรงมีทาสที่ประพฤติคดโกง
    ประกอบด้วยเจ้าเล่ห์ ซึ่งมีการปกปิดความชั่วที่กระทำไว้เป็นลักษณะ เป็นพวก
    ที่เรียกว่าผู้ล่อลวง. เพราะหลอกลวงโลกด้วยการหลอกลวงทั้งต่อหน้าและลับ
    หลัง และพวกที่เรียกว่าผู้โอ้อวด เพราะประกอบด้วยความฉ้อฉลและโอ้อวด
    แม้พวกเหล่านั้นก็มา. บทว่า เป็นเจ้าเล่ห์ คือ กุเฏณฑุ เวเฏณฑุ วิฏุ วิฏุกะ
    คือ บ่าวแม้ทั้งหมดนั้น ล้วนแต่เป็นผู้กระทำมารยาทั้งนั้น ก็ในพวกทำ
    มารยานี้โดยชื่อ ก็มี กุเฏณฑุ ๑ วิเฏณฑุ ๑. ส่วนในบาลีท่านเขียนว่า
    เวเฏณฺฑุ (ต่อไปก็เป็น) วิฏุ ๑ วิฏุฏะ ๑. บทว่า กับ คือ แม้วิฏุฏะนั้น
    ก็มากับพวกเหล่านั้นเหมือนกัน. (ถัดไปก็มี) จันทน์ ๑ กามเศรษฐ์ ๑ กินนุ-
    ฆัณฑุ ๑ นิฆัณฑุ ๑ กินนุฆัณฑะอีกผู้หนึ่ง ๑. แต่ในบาลีเขียนเป็น
    กินฺนุฆณฺทุ. ชื่อนิฆัณฑุอื่น ก็ชื่อนิฆัณฺฑุด้วย. ( = นิฆัณฑุมีสองตน) พวก
    บ่าวมี ( ๑๐ ตน) เท่านี้. ส่วนพวกอื่นจากนี้ก็ได้แก่เทวราชเหล่านี้ คือ :-


    <DL><DD>ปนาทะ ๑ โอปมัญญะ ๑ เทวสูตะ ๑ </DD></DL><DL><DD>มาตลี ๑ จิตตเสนะ ๑ คนธรรพ์ ๑ นโฬ- </DD></DL><DL><DD>ราชะ ๑ ชโนสภะ ๑ ปัญจสิขะ ๑ ติมพรู ๑ </DD></DL><DL><DD>สุริยวัจฉสา ๑ ก็มาแล้ว. </DD></DL><DL><DD>บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เทวสูตะ คือ เทวสารถี. บทว่า จิตตเสนะ </DD></DL>คือ แยกออกเป็นเทวราชได้ ๓ องค์ จิตตะ ๑ เสนะ ๑ จิตตเสนะ ๑.
    บทว่า คนธรรพ์ ก็ได้แก่ จิตตเสนะ อันเป็นพวกคนธรรพ์นี้ . ไม่ใช่แต่
    จิตตเสนะนี้เท่านั้น ถึงปนาทะเป็นต้นทั้งหมดนี้ ก็เป็นคนธรรพ์ทั้งนั้น. บทว่า
    นโฬราชะ ได้แก่เทพองค์หนึ่งชื่อนฬการเทวบุตร. บทว่า ชโนสภะ คือ
    เทวบุตรชื่อชนวสภะ. บทว่า และปัญจสิขะ ก็มาเหมือนกัน คือ ปัญจสิขะ
    เทวบุตรนั่นเทียวก็มา. บทว่า ติมพรู คือ คนธรรพเทวราช. บทว่า สุริย-
    วัจฉสา ได้แก่ลูกสาวของท้าวติมพรูนั่นเอง. บทว่า เทพเหล่านี้ และคน-
    ธรรพ์ผู้เป็นราชาเหล่า อื่นพร้อมกับเหล่าราชา คือเทพเหล่านี้ เหล่า
    พญาคนธรรพ์ที่กล่าวด้วยอำนาจพระนาม และคนธรรพ์จำนวนมากเหล่าอื่น
    พร้อมกับพระราชาเหล่านั้น. บทว่า ยินดีมุ่งหน้ามาสู่ป่าอันเป็นที่ประชุม
    ของภิกษุทั้งหลาย มีความว่า มีจิตร่าเริงยินดี มาแล้วสู่ป่านี้อันเป็นที่
    ประชุมของภิกษุทั้งหลาย.


    <DL><DD>บทว่าอนึ่งพวกนาคชาวสระนาภสะ และพวกนาคชาวไพศาลี </DD></DL>ก็มาพร้อมกับตัจฉกะ คือ พวกนาคชาวสระนภสะ และพวกนาคชาวเมือง
    ไพศาลี ก็มาพร้อมกับบริษัทของตัจฉกนาคราช. บทว่า กัมพลและอัสดร
    คือ กัมพล ๑ อัสดร ๑. เล่ากันมาว่า นาคเหล่านี้ อยู่ที่เชิงเขาสิเนรุ เป็นนาค
    ชั้นผู้ใหญ่ที่แม้พวกสุบรรณ (ครุฑ) ก็พึงฉุดไป (= นำไป จับไป) ไม่ได้.
    บทว่า และพวกนาคชาวประยาคะ พร้อมกับหมู่ญาติ คือ และพวกนาค
    ที่อยู่ท่าประยาคะ ก็มากับหมู่ญาติ. บทว่า และพวกชาวยมุนาและพวก
    ธตรัฏฐ์ คือ พวกนาคที่อยู่ในแม่น้ำยมุนา และพวกนาคที่เกิดในตระกูลธตรัฏฐ์.
    บทว่า ช้างใหญ่ชื่อเอราวัณ คือ และเอราวัณเป็นเทวบุตร ไม่ใช่เป็นช้าง
    โดยกำเนิด แต่เทวบุตรนั้นถูกเรียกว่าช้าง. บทว่า แม้เขาก็มา คือ แม้
    เอราวัณเทวบุตรนั้นก็มา. บทว่า พวกใดนำนาคราชไปได้รวดเร็ว คือ
    พวกครุฑเหล่าใด มีความโลภครอบงำแล้วนำ คือจับเอาพวกนาคมีประการที่
    กล่าวแล้วนี้ไปได้อย่างรวดเร็ว. บทว่า เป็นทิพย์ เกิดสองครั้ง มีปีก มีตา
    หมดจด คือ ชื่อว่าเป็นทิพย์ เพราะมีอานุภาพทิพย์ ชื่อว่าเกิดสองครั้ง
    เพราะเกิดแล้วสองครั้งคือจากท้องแม่และจากกะเปาะไข่ ชื่อว่ามีปีก เพราะ
    ประกอบด้วยปีก ชื่อว่ามีตาหมดจด เพราะประกอบด้วยตาที่สามารถเห็นหมู่
    นาคในระหว่างร้อยโยชน์บ้าง พันโยชน์บ้าง. บทว่า พวกเหล่านั้น ไปถึง
    กลางป่าทางเวหา คือ พวกครุฑเหล่านั้น ถึงป่าใหญ่นี้โดยทางอากาศนั่น
    เอง. บทว่า ชื่อของพวกเหล่านั้นว่าจิตระและสุบรรณ คือ ครุฑเหล่า
    นั้นชื่อจิตระ และสุบรรณ. บทว่า ในครั้งนั้นได้มีการอภัยแก่พวกนาค
    ราช พระพุทธเจ้าทรงทำความปลอดภัยจากสุบรรณ คือ (เพราะเหตุใด)
    เพราะเหตุนั้น พวกนาคและครุฑทั้งหมดนั้น ทักกันด้วยวาจาที่สุภาพคุยกัน
    เพลิดเพลินเหมือนเพื่อนและเหมือนญาติ สวมกอดกันจับมือกันวางมือบนจงอย
    บ่า มีจิตร่าเริงยินดี. บทว่า พวกนาค พวกสุบรรณ ทำพระพุทธเจ้าให้
    เป็นสรณะ คือ พวกเขาเหล่านั้น ถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึก.


    <DL><DD>พวกที่อยู่ในทะเลหลวงคือพวกอสูร ผู้อาศัยทะเล ซึ่งถูกพระอินทร์ผู้เป็น </DD></DL>ราชาแห่งเทพ ซึ่งมีพระนามว่าท้าววชิรหัตถ์ (มีวชิราวุธในพระหัตถ์) ปราบ
    เมื่อคราวก่อน เพราะเหตุนางสุชาดาลูกสาวของอสูร แม้เหล่าใด แม้เหล่า
    นั้นทั้งหมด เป็นพี่น้องของท้าววาสวะ. (พระอินทร์) พวกเหล่านั้นมีฤทธิ์ มียศ-
    บทว่า พวกกาลกัญชามีกายใหญ่พิลึก คือ และพวกอสูรกาลกัญชานิรมิต
    ร่างใหญ่ น่าสะพึงกลัวแล้วก็มา. บทว่า พวกอสูรตระกูลทานเวฆัส ได้แก่
    พวกอสูรถือธนู เหล่าอื่นชื่อทานเวฆัส. บทว่า เวปจิตติ สุจิตติ และ
    ปหาราทะกับนมุจี ได้แก่ และพวกอสูรเหล่านี้ คือ อสูรชื่อเวปจิตติ ๑ อสูร
    ชื่อสุจิตติ ๑.๑ บทว่า กับนมุจี ได้แก่ และมาร ชื่อนมุจิ ผู้เป็นเทวบุตร ก็มา
    พร้อมกับอสูรเหล่านั้นนั่นแล. อสูรเหล่านี้อยู่ในทะเล แต่นมุจีนี้อยู่ในเทวโลก
    ชั้นปรนิมมิต เหตุไรจึงมาพร้อมกับอสูรเหล่านั้น ? เพราะเป็นพวกไม่ถูกใจ
    เป็นพวกอภัพ. ส่วนนมุจีนี้ก็เช่นกันนั่นแหละ ธาตุถูกกัน เพราะฉะนั้นจึงมา.
    บทว่า และพวกลูกของพลิผู้อสูรหนึ่งร้อย คือ ลูกร้อยหนึ่งของพลีผู้อสูร
    ใหญ่ บทว่า ทุกตนชื่อไพโรจน์ คือทรงชื่อราหูผู้เป็นลุงของตนนั่นเอง.
    บทว่า ผูกสอดเครื่องเสนาอันมีกำลัง คือ ผูกสอดเครื่องเสนาอันมีกำลัง
    ของตนทุกตนกลายเป็นผู้จัดเครื่องสนามเสร็จแล้ว. บทว่า เข้าใกล้ราหุภัทร
    แล้ว คือ เข้าหาจอมอสูรชื่อราหู. บทว่า ท่านผู้เจริญ บัดนี้ เป็นสมัย
    ของท่าน คือ ความเจริญจงมีแก่ท่าน บัดนี้เป็นเวลาประชุม. อธิบายว่า
    ท่านจงเข้าไปสู่ป่าเป็นที่ประชุมแห่งภิกษุทั้งหลาย เพื่อดูหมู่ภิกษุ.


    <DL><DD>บทว่า เหล่าอาโปเทพ เหล่าปฐวีเทพ เหล่าเตโชเทพ และ </DD></DL>เหล่าวาโยเทพ ก็มาในครั้งนั้น คือ เหล่าเทพที่มีชื่อขึ้นต้นว่า น้ำ เพราะ
    ทำบริกรรมในกสิณน้ำเป็นต้นจึงเกิดขึ้นมา ก็มาในครั้งนั้น. บทว่า เหล่า
    วรุณเทพ เหล่าวารุณเทพ และโสมเทพ กับยศเทพ ความว่า พวกเทพ
    ที่มีชื่ออย่างนี้ คือ วรุณเทพ วารุณเทพ โสมเทพ ก็มาด้วยกัน กับยศเทพ.
    ๑. ปหาราทะ หายไป.
    บทว่า พวกเมตตากรุณา คือพวกเทพผู้ทำบริกรรมในฌานที่ประกอบด้วย
    ความรัก และในฌานที่ประกอบด้วยความเอ็นดูแล้วจึงเกิดขึ้น. บทว่า เหล่า
    เทพผู้มียศมาแล้ว คือ แม้พวกเทพเหล่านั้น เป็นผู้มียศใหญ่ ได้มาแล้ว.
    บทว่า หมู่เทพสิบหมู่เหล่านี้ ตั้งอยู่โดยส่วนสิบ ทั้งหมดมีผิวพรรณ
    ต่าง ๆ กัน ความว่า พวกเทพสิบหมู่เหล่านั้นตั้งอยู่โดยส่วนสิบ ทั้งหมดมี
    ผิวพรรณต่าง ๆ กัน ด้วยสามารถแห่งสีเขียวเป็นต้น ก็มาแล้ว.


    <DL><DD>บทว่า และเทพชื่อเวณฑู คือ เวณฑุเทพ ๑. บทว่า สหลีด้วย </DD></DL>คือ เทพชื่อสหลี ๑. บทว่า เทพชื่ออสมา และยมะทั้งสอง คือ อสมเทพ
    และยมกเทพอีก ๒. บทว่า พวกเทพที่อาศัยพระจันทร์ เอาพระจันทร์
    ไว้ข้างหน้าแล้วก็มา คือ พวกเทพที่อาศัยพระจันทร์ ทำพระจันทร์ไว้ข้าง
    หน้าแล้วก็มา ถึงพวกเทพที่อาศัยพระอาทิตย์ ก็ทำพระอาทิตย์ไว้ข้างหน้าแล้ว
    ก็มาเหมือนกัน . บทว่า ทำนักษัตรไว้ข้างหน้า คือ เทวดาทั้งหลายที่อาศัย
    นักษัตร (ดาวเคราะห์) ทำหมู่นักษัตรไว้ข้างหน้าแล้วก็มา. บทว่า มันทวลา
    หกทั้งหลายก็มา ความว่า เหล่าวาตวลาหก เหล่าอัพภวลาหก เหล่าอุณห-
    วลาหก พวกวลาหกเทพแม้ทั้งหมดนี้ เรียกชื่อว่ามันทวลาหก แม้เหล่ามันท
    วลาหกนั้นก็มา. บทว่า ถึงแม้ท้าวสักกะ วาสวะปุรินททะ ผู้ประเสริฐ
    กว่าพวกวสุ ก็มา คือ วาสวะ คือ พระองค์ใดที่เรียกว่า สักกะและ
    ปุรินททะ ผู้ประเสริฐกว่าวสุเทพทั้งหลาย แม้ท้าววาสวะนั้น ก็เสด็จมา.
    บทว่า พวกเทพ ๑๐ เหล่านี้ คือพวกเทพ ๑๐ เหล่านี้ มาแล้วโดยส่วน ๑๐.
    บทว่า ล้วนแต่มีผิวพรรณแตกต่างกัน คือ มีผิวพรรณต่าง ๆ กันด้วย
    สามารถสีเขียวเป็นต้น.


    <DL><DD>บทว่า ต่อมา พวกสหภูเทพก็มา คือ ลำดับต่อมา พวกเทวดา </DD></DL>ชื่อสหภูก็มา. บทว่า ชลมคฺคิสิขาริว คือ รุ่งเรืองอยู่ดุจเปลวไฟ. ท่าน
    กล่าวว่า บทว่า รุ่งเรืองดุจเปลวเพลิงนี้ เป็นชื่อของเทพเหล่านั้น ดังนี้ก็มี.
    บทว่า พวกอริฏฐกะ และพวกโรชะ คือ พวกอริฏฐกเทพ และพวก
    โรชเทพ. บทว่า มีรัศมีเหมือนดอกผักตบ คือพวกเทวดาเหล่านั้น ชื่อว่า
    พวกเทพดอกผักตบ. เพราะว่า แสงตัวเทวดาเหล่านั้นเหมือนกับดอกผักตบ
    ฉะนั้น จึงเรียกว่า อุมฺมาปุปฺผนิภาสิ-มีรัศมีเหมือนดอกผักตบ. คำว่า วรุณ
    และสหธรรม คือ เทพทั้งสององค์เหล่านี้ด้วย. คำว่า อัจจุตะและอเนชกะ
    คือ เหล่าอัจจุตเทพและเหล่าอเนชกเทพ. คำว่า สุไลยและรุจิระก็มา คือ
    พวกเทวดาชื่อสุไลย และพวกเทวดาชื่อรุจิระก็มา. คำว่า วาสวเนสีก็มา คือ
    พวกเทวดาวาสวเนสี ก็มา. คำว่า หมู่เทพทั้ง ๑๐ เหล่านี้ คือ หมู่เทพ
    ทั้ง ๑๐ แม้เหล่านี้มาแล้วโดยส่วนสิบทีเดียว.


    <DL><DD>คำว่า สมานะ มหาสมานะ คือ พวกเทพชื่อสมานะและพวกเทพชื่อ </DD></DL>มหาสมานะ. คำว่า มานุสะ มานุสุตตมะ คือ พวกเทพชื่อมานุสะและพวก
    เทพชื่อมานุสุตตมะ. คำว่า พวกขิฑฑาปทูสิกะก็มา พวกมโนปทูสิกะ
    ก็มา คือ พวกเทพที่มีการเล่น ประทุษร้าย และพวกเทพที่มีใจประทุษร้าย
    ก็มา. คำว่า ถัดไปพวกหริเทพก็มา คือ พวกที่ชื่อหริเทพก็มา. คำว่า
    และพวกใด ชื่อโลหิตวาสี คือ และเทพพวกโลหิตวาสีก็มา. และเทพ
    สองพวกเหล่านี้คือ พวกที่ชื่อ ปารคะ และพวกที่ชื่อมหาปารคะ ก็มา. คำว่า
    หมู่เทพทั้งสิบเหล่านี้ คือ หมู่เทพทั้งสิบแม้เหล่านี้ มาแล้วโดยส่วนสิบ
    เทียว.


    <DL><DD>คำว่า พวกเทพชื่อสุกกะ ชื่อกรุมหะ ชื่ออรุณะ ชื่อเวฆนัส </DD></DL>ก็มาด้วยกัน คือ พวกเทพทั้งสามมีพวกสุกกะเป็นต้น และเทพพวกเวฆนัส
    ก็มาพร้อมกับเทพเหล่านั้น. คำว่า พวกเทพผู้หัวหน้าชื่อโอทาตคัยหะ คือ
    พวกเทพผู้เป็นหัวหน้าชื่อ โอทาตคัยหะ ก็มา. คำว่า พวกวิจักขณเทพก็มา
    คือ พวกเทพชื่อวิจักขณะ ก็มา. คำว่า พวกสทามัตตะ พวกหารคชะ คือ
    พวกเทพชื่อสทามัตตะและพวกเทพชื่อหารคชะ คำว่า และพวกมิสลกะผู้มี
    ยศ คือ พวกชื่อมิสสกเทพถึงพร้อมด้วยยศ. คำว่า ปัชชุนคำรามอยู่ก็มา
    คือ. และเทวราชชื่อปัชชุน คำรามอยู่ก็มา. คำว่า ผู้ให้ฝนตกทั่วทิศ คือ
    ผู้ที่ไปทิศใดๆฝนตกในทิศนั้น ๆ. คำว่า หมู่เทพทั้งสิบเหล่านี้ คือ หมู่เทพ
    ทั้งสิบแม้เหล่านี้ มาแล้วโดยส่วนสิบเทียว.


    <DL><DD>คำว่า พวกเทพชั้นดุสิตผู้มีความเกษมและพวกชั้นยามา ได้แก่ </DD></DL>พวกเทพผู้มีความเกษมอยู่ดุสิตบุรี และพวกเทพที่อยู่ในยามาเทวโลก คำว่า
    และพวกกถกา ผู้มียศ ได้แก่ พวกเทพชื่อกถกะ ผู้สมบูรณ์ด้วยยศด้วย
    ส่วนในบาลีเขียนว่า กัฏฐกะ. คำว่า ลัมพิตกะ (และ) ลามเสฏฐะ ได้แก่
    พวกเทพชื่อลัมพิตกะ และพวกเทพชื่อลามเสฏฐะ. คำว่า โชตนามและอาสวะ
    ความว่า มีพวกเทวดาชื่อโชติเทพ โชติช่วงเหมือนกองไฟอ้อที่ก่อบนยอดภูเขา
    และพวกอาสาเทพก็มา. แต่ในบาลีเขียน โชตินาม ท่านเรียกอาสาเทพว่า
    อาสวะ ด้วยอำนาจฉันท์. เทวดาชั้นนิมมานรดีก็มา ถัดมาเทวดาชั้นปรนิมมิตา
    ก็มา. คำว่า หมู่เทพทั้งสิบเหล่านี้ ได้แก่ หมู่เทพทั้งสิบแม้เหล่านี้มาแล้ว
    โดยส่วนสิบทีเดียว.


    <DL><DD>คำว่า หมู่เทพ ๖๐ เหล่านี้ ได้แก่ เทพ ๑๐ หมู่ ๖ ครั้ง เริ่มแต่ </DD></DL>อาโปเป็นต้นไป ก็เป็นหมู่เทพ ๖๐ หมู่. เทพทั้งหมดมีผิวพรรณแตกต่างกัน
    ด้วยอำนาจสีเขียวเป็นต้น. คำว่า มาแล้วโดยกำเนิดชื่อ ได้แก่ มาแล้วโดย
    ภาคแห่งชื่อ คือ โดยส่วนแห่งชื่อนั่นเทียว. คำว่า และเทพเหล่าอื่นใดที่
    เช่นกันกับ ได้แก่ และแม้เทพในจักรวาลที่เหลือเหล่าอื่นใดที่เช่นกันกับเทพ
    เหล่านี้ คือ เป็นเช่นนั้นเหมือนกันทั้งโดยผิวพรรณ ทั้งโดยชื่อ เทพเหล่านั้น
    มาแล้วเทียว ดังนี้ เป็นอันว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเทวดาทั้งหมด
    เหมือนรวบยอดมัดเป็นกลุ่ม ๆ ด้วยบทเดียวเท่านั้น. ครั้นทรงแสดงหมู่เทวดา
    ในหมื่นโลกธาตุอย่างนี้เสร็จแล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงความต้องการที่เทวดา
    เหล่านั้นมาจึงตรัสคาถาเป็นต้นว่า มีชาติ (ความเกิด) ที่อยู่แล้ว ดังนี้.


    <DL><DD>พึงทราบใจความของคาถานั้น พระอริยสงฆ์ชื่อว่า มีชาติที่อยู่แล้ว </DD></DL>เพราะชาติของท่าน ท่านอยู่แล้วปราศไปแล้ว. ท่านผู้มีชาติที่อยู่แล้วนั้น. พวก
    เราจะดู คือจะเห็นพระอริยสงฆ์ที่ชื่อว่าไม่มีตาปู เพราะตาปูคือ ราคะ โทสะ
    และโมหะ ไม่มี ชื่อว่า ข้ามโอฆะ (ห้วงน้ำ) แล้ว เพราะข้ามโอฆะทั้งสี่ได้แล้ว
    ตั้งอยู่ ชื่อว่า หาอาสวะมิได้ เพราะไม่มีอาสวะทั้ง ๔ ชื่อว่าผู้ข้ามโอฆะ เพราะ
    ข้ามโอฆะเหล่านั้นนั่นเองได้แล้ว ชื่อว่านาคะ เพราะไม่ทำความชั่ว. คำว่า
    ผู้ล่วงกรรมดำ คือ และพวกเราจะดู คือจะเห็นพระทศพลที่ทรงรุ่งเรืองอยู่ด้วย
    พระสิริเหมือนพระจันทร์ที่ล่วงความดำ (คือ เมฆเวลาหก) ฉะนั้น . เทพเหล่านั้น
    และเทพเหล่าอื่นใดที่เช่นเดียวกันกับเทพเหล่านั้น แม้ทั้งหมดมาแล้วด้วยการ
    ระบุชื่อเพื่อประโยชน์นั้น ด้วยประการฉะนี้. บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงถึงพวก
    พรหม จึงตรัสคำเป็นต้นว่า สุพรหมและปรมัตต (ปรมาตมัน ) พรหม ดังนี้.


    <DL><DD>บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุพรหม ได้แก่พรหมประเสริฐองค์หนึ่ง </DD></DL>และพรหมชื่อ ปรมัตตะ. บทว่า เป็นบุตรของท่านผู้มีฤทธิ์กับ ได้แก่
    อริยพรหมเหล่านี้ เป็นบุตรของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าผู้มีฤทธิ์มาด้วยกัน
    ทีเดียว. บทว่า สนังกุมารและติสสะ ได้แก่ สนังกุมารองค์หนึ่ง ๑ ติสส-
    มหาพรหมองค์ ๑. บทว่า แม้เขาก็มา ได้แก่ แม้ติสสมหาพรหมนั้นก็มา.
    มีพระดำรัสในเรื่องพรหมนี้ว่า


    <DL><DD>มหาพรหมเข้าถึงพรหมโลกมีความรุ่งเรือง </DD></DL><DL><DD>มีร่างใหญ่โต มียศ ปกครองพรหมโลกพันหนึ่ง. </DD></DL><DL><DD>บทว่า พรหมโลกพันหนึ่ง ได้แก่ พรหมชั้นผู้ใหญ่พันองค์มาแล้ว </DD></DL>สามารถทำแสงสว่างในพันจักรวาลด้วยนิ้วพระหัตถ์นิ้วเดียว ในหมื่นจักรวาล
    ด้วยนิ้วพระหัตถ์สิบนิ้ว. บทว่า มหาพรหมปกครอง ได้แก่พรหมชั้นผู้ ใหญ่
    แต่ละองค์ครอบงำพรหมเหล่าอื่นแล้วตั้งอยู่ในที่ใด. บทว่า เข้าถึง ได้แก่
    เกิดในพรหมโลก. บทว่า มีความรุ่งเรือง ได้แก่ สมบูรณ์ด้วยอานุภาพ.
    บทว่า มีร่างใหญ่โต ได้แก่ มีร่างกายใหญ่มีขนาดร่างกายเท่ากับสองสามเขต
    หมู่บ้านชาวมคธ. บทว่า มียศ ได้แก่ ประกอบพร้อมด้วยยศกล่าวคือ สิริแห่ง
    อัตภาพ. บทว่า พรหมสิบองค์เป็นอิสระในพรหมพันหนึ่งนั้น มีอำนาจ
    เป็นไปเฉพาะก็มา ได้แก่ มหาพรหมเป็นอิสระสิบองค์เห็นปานนั้น ยัง
    อำนาจให้เป็นไปโดยเฉพาะๆ ก็มา. บทว่า และพรหมชื่อหาริตะ อันบริวาร
    แวดล้อมแล้วก็มาในท่ามกลางพรหมเหล่านั้น ความว่า ก็มหาพรหม
    ชื่อหาริตะ มีพรหมแสนองค์เป็นบริวาร ก็มาในท่ามกลางพรหมเหล่านั้น.
    บทว่า และเห็นพวกเทวดาที่มานั้นหมด ทั้งพระอินทร์พร้อมทั้ง
    พระพรหม ความว่า พวกเทวดา แม้ทั้งหมดนั้นทำท้าวสักกเทวราช
    ให้เป็นหัวหน้าแล้วมา และพวกพรหมก็ทำหาริตมหาพรหมให้เป็นหัวหน้าแล้ว
    มา. บทว่า กองทัพมารก็มา ความว่า กองทัพมาร ก็เข้ามา. บทว่า พวก
    ท่านจงดูความเขลาของกฤษณะ (มารผู้ดำ) ความว่า พวกท่านจงดูความ
    โง่ของมารผู้ดำ พญามารสั่งบริษัทของตนอย่างนี้ว่า พวกท่านจงมาจับผูกไว้.
    บทว่า การผูกด้วยราคะ จงมีแก่พวกท่าน ความว่า เทวมณฑลของท่าน
    ทั้งหมดนี้ จงเป็นอันผูกไว้แล้วด้วยราคะ. บทว่า พวกท่านจงแวดล้อมไว้
    โดยรอบ บรรดาพวกท่านใคร ๆ อย่าปล่อยเขาไป ความว่า บรรดา
    พวกท่าน แม้ผู้หนึ่งอย่าปล่อย ไปแม้แต่ผู้เดียวในพวกนี้ ปาฐะว่า มา โว มุญฺ-
    จิตฺถ พวกท่านอย่าปล่อยไป ใจความก็อย่างนี้เหมือนกัน. บทว่า แม่ทัพ
    ใหญ่ บังคับกองทัพกฤษณะในที่ประชุมนั้นดังนี้ ความว่า มารผู้เป็น
    แม่ทัพใหญ่บังคับกองทัพมารในที่ประชุมนั้นอย่างนี้ . บทว่า เอามือตบพื้น
    ความว่า ตบพื้นแผ่นดินด้วยมือ. บทว่า ทำเสียงน่ากลัว ความว่า และทำ
    เสียงที่น่ากลัว เพื่อแสดงเสียงที่น่ากลัวของมาร. บทว่า เหมือนเมฆที่หลั่ง
    ฝน คำรามอยู่เป็นไปกับด้วยฟ้าแลบ ความว่า เหมือนเมฆหลั่งน้ำฝนเป็นไปกับด้วย ฟ้าแลบขู่คำรามอย่างใหญ่. บทว่า ครั้งนั้นมารนั้นกลับไปแล้ว ความว่า สมัยนั้น ครั้นแสดงสิ่งที่น่ากลัวนั้น เสร็จแล้ว มารนั้นก็กลับไป.
    บทว่า เดือดดาลกับผู้ที่ไม่เป็นไปในอำนาจตน ความว่า เมื่อไม่อาจเพื่อจะให้ใคร ๆ เป็นไปในอำนาจของตนได้ ก็แสนเดือดดาลพลุ่งพล่านเอากับผู้ที่ไม่อยู่ในอำนาจตัว หมดอยากด้วยอำนาจของตนแล้วก็กลับไป.


    <DL><DD>เล่ากันมาว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทราบว่า มารนี้เห็นสมาคมนี้ใหญ่ คิดว่า จะทำอันตรายแก่การ บรรลุมรรคผลประชุมที่สำคัญ จึงส่งกองทัพมารไปแสดงสิ่งอันน่ากลัวเป็นพัก ๆ ก็แล ปกติของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็คือ ในที่ใดจะไม่มีการบรรลุมรรคผล ในที่นั้น พระองค์จะไม่ทรงห้ามมารที่แสดงสิ่งอันน่ากลัวของมาร แต่ในที่ใดจะมีการบรรลุมรรคผล ในที่นั้น พระองค์จะทรงอธิษฐานไม่ให้บริษัทเห็นรูป ไม่ให้ยินเสียงมาร ก็เพราะในสมัยนี้ จะมีการตรัสรู้มรรคผลใหญ่ ฉะนั้น จึงทรงอธิษฐานโดยประการที่พวกเทวดาจะไม่เห็น จะไม่ยินเสียงของมารนั้น. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ครั้งนั้นมารนั้น แสนเดือดดาลกับ ผู้ที่ไม่เป็นไปในอำนาจตน ได้กลับไปแล้ว. <DD>บทว่า พระศาสดาผู้มีดวงตา ทรงพิจารณาและทรงทราบ เหตุนั้นทั้งหมดแล้ว ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบและทรงพิจารณาเหตุนั้นทั้งหมดแล้ว. บทว่า กองทัพมารเข้ามาแล้ว ภิกษุทั้งหลายพวกเธอจงรู้จักพวกเขา ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุทั้งหลายกองทัพมารเข้ามาแล้ว พวกเธอจงรู้จักพวกเขาตามสมควรแก่ตน พวกเธอจงเข้าผลสมาบัติ. บทว่า ได้กระทำความเพียรแล้ว ความว่า ภิกษุเหล่านั้นปรารภความเพียรเพื่อประโยชน์เข้าผลสมาบัติ. บทว่า หลีกไปจากท่านปราศจากราคะแล้ว ความว่า มารและผู้เที่ยวไปตามมาร ได้หลีกไปอย่างไกลจากเหล่าพระอริยะผู้ปราศจากราคะแล้วเทียว. บทว่า แม้แต่ขนของพวกท่านก็ไม่ไหว ความว่า แม้แต่ขนของท่านผู้ปราศจากราคะเหล่านั้นก็ไม่หวั่นไหว. ครั้งนั้นมารปรารภหมู่ภิกษุแล้วได้กล่าวคาถานี้ว่า <DD>เหล่าสาวกของพระองค์ทั้งหมด พิชิตสง- <DD>ครามได้แล้ว ล่วงความกลัวเสียได้แล้ว มียศ <DD>ปรากฏในประชุมชน บันเทิงอยู่กับหมู่พระอริยะ <DD>ผู้เกิดแล้ว. <DD>บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า บันเทิงอยู่กับภูตทั้งหลาย ความว่าบันเทิงคือ บันเทิงทั่วกับหมู่พระอริยะอันเกิดแล้ว (ภูต) คือ เกิดพร้อมแล้วในศาสนาของพระทศพล. บทว่า ปรากฏในประชุมชน ความว่า ปรากฏโดยวิเศษ คือ แจ่มแจ้ง ได้แก่ อันเขารู้จักเป็นอย่างยิ่ง. ก็เพราะมหาสมัยสูตรนี้เป็นที่รักที่ชอบใจของพวกเทวดา ฉะนั้น ในสถานที่ใหม่เอี่ยม เมื่อจะกล่าวมงคล ก็พึงกล่าวแต่พระสูตรนี้นั่นเทียว. <DD>ได้ยินว่า พวกเทวดาพากันคิดว่า พวกเราจะฟังพระสูตรนี้แล้ว ก็เงี่ยหูลงฟัง. ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงจบ เทวดาจำนวนหนึ่งแสนโกฏิได้บรรลุพระอรหัตแล้ว ผู้ที่เป็นพระโสดาบันเป็นต้น ไม่มีการนับ. และเรื่องนี้ พึงมีเพราะความที่เป็นที่รักที่ชอบใจของพวกเทวดา. <DD>มีเรื่องเล่าว่า ที่วัดโกฏิบรรพต มีเทพธิดาองค์หนึ่งอยู่ที่ต้นกากทิง ใกล้ประตูถ้ำกากทิง. ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งท่องพระสูตรนี้ภายในถ้ำ. เทพธิดาได้ฟังในเวลาจบพระสูตร ก็ได้ให้สาธุการด้วยเสียงอันดัง. <DD>นั่นใคร ? ๆ ภิกษุหนุ่มถาม. <DD>ดิฉันเป็นเทพธิดาเจ้าค่ะ เทพธิดาตอบ. <DD>ทำไมจึงได้ให้สาธุการ ภิกษุหนุ่มถามอีก. <DD>ท่านเจ้าค่ะ ดิฉันได้ฟังพระสูตรนี้ในวันที่พระทศพลประทับนั่งแสดงที่ป่าใหญ่ วันนี้ได้ฟัง (อีก) ธรรมบทนี้ท่านถือเอาดีแล้ว เพราะไม่ทำให้อักษรแม้ตัวเดียวจากคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงไว้เสียไป เทพธิดาชี้แจง. <DD>เมื่อพระทศพลกำลังแสดงอยู่ คุณได้ฟังหรือ ? ภิกษุถามอีก. <DD>อย่างนั้น เจ้าค่ะ นางรับรอง. <DD>เขาว่าเทวดาเข้าประชุมกันมาก แล้วคุณยืนฟังที่ไหน ? <DD>ท่านเจ้าค่ะ ดิฉันเป็นเทวดาชาวป่า ก็เมื่อพวกเทวดาชั้นผู้ใหญ่กำลังพากันมา ไม่ได้ที่ว่างในชมพูทวีปเลยมาสู่ตามพปัณณิทวีปนี้ ยืนริมฝั่งที่ท่าชัมพูโกล ถึงที่ท่านั้นก็ตาม เมื่อพวกเทวดาชั้นผู้ใหญ่กำลังพากันมา ก็ถอยร่นมาโดยลำดับ แช่น้ำทะเลลึกแค่คอทางส่วนหลังหมู่บ้านใหญ่ในจังหวัดโรหณะแล้วก็ยืนฟังในที่นั้น นางบรรยายรายละเอียด. <DD>จากที่ซึ่งคุณยืนมันไกลแล้ว คุณจะเห็นพระศาสดาหรือ เทวดา <DD>ท่าน ! พูดอะไร ดิฉันเข้าใจว่า พระศาสดาทรงแสดงธรรมอยู่ที่ป่าใหญ่ ทรงแลดูดิฉัน เสมอ ๆ รู้สึกกลัว รู้สึกละอาย. <DD>เขาเล่ามาว่า วันนั้นมีเทวดาแสนโกฏิสำเร็จพระอรหัต แล้วคุณล่ะ <DD>ตอนนั้นสำเร็จพระอรหัตหรือ</DD></DL>ไม่หรอกค่ะ ท่านผู้เจริญ

    สำเร็จอนาคามีผล กระมัง ?
    ไม่หรอกค่ะ ท่านผู้เจริญ


    <DL><DD>เห็นจะสำเร็จสกิทาคามิผล กระมัง <DD>ไม่หรอกค่ะ ท่านผู้เจริญ <DD><DD>เขาว่า พวกเทวดาที่สำเร็จมรรคสามนับไม่ได้ แล้วคุณล่ะ เห็นจะเป็นพระโสดาบันกระมัง ? <DD>ในวันนั้น เทพธิดาสำเร็จโสดาปัตติผล รู้สึกอาย จึงพูดว่า พระคุณเจ้าถามสิ่งไม่น่าถาม (ถามซอกถามแซก) ลำดับนั้น ภิกษุนั้น จึงกล่าวกะนางว่า เทวดา ! คุณจะแสดงกายให้อาตมาเห็นได้ไหม ? <DD>จะแสดงหมดทั้งตัวไม่ได้หรอกค่ะ ท่านผู้เจริญ ! ดิฉันจะแสดงแก่พระคุณเจ้าแค่ข้อนิ้วมือ. <DD>ว่าแล้วก็เอานิ้วมือสอดหันหน้าเข้าภายในถ้ำตามรูกุญแจ. นิ้วมือก็เป็นเหมือนเวลาพระจันทร์พระอาทิตย์ขึ้นเป็นพัน ๆ ดวง เทพธิดากล่าวว่า จงอย่าประมาทนะ ท่านเจ้าค่ะ ! แล้วไหว้ภิกษุหนุ่มกลับไป. <DD><DD>สูตรนี้ เป็นที่รักที่ชอบใจของเทวดาทั้งหลายอย่างนี้ เทวดาทั้งหลายย่อมถือว่า พระสูตรนั้นเป็นของเราด้วยประการฉะนี้. <DD><DD>จบ อรรถกถามหาสมัยสูตรที่ ๗ </DD></DL>
     
  6. Rouxii

    Rouxii สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2011
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +0
    ขอบคุณมากๆคะ ที่นำสิ่งดีๆมาฝากกัน
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    24,442
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,237
    ค่าพลัง:
    +70,761
    .......................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 ตุลาคม 2012
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    24,442
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,237
    ค่าพลัง:
    +70,761
    [​IMG]
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    24,442
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,237
    ค่าพลัง:
    +70,761
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 ตุลาคม 2012
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    24,442
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,237
    ค่าพลัง:
    +70,761
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • keng2.jpg
      keng2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      79.8 KB
      เปิดดู:
      377
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    24,442
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,237
    ค่าพลัง:
    +70,761
    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...