มือกระบี่ที่ทิ้งกระบี่

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย satan, 5 พฤศจิกายน 2006.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    มือกระบี่ที่ทิ้งกระบี่
    ข้าพเจ้าสังเกตเห็นเรื่องที่คล้องจองกันอย่างหนึ่งของบรรดาสุดยอดมือกระบี่หลายท่านที่จารึกโดยปรมาจารย์ กิมย้ง และ โกวเล้ง คือ สุดยอดมือกระบี่ที่บรรลุแล้วจริงๆ จะละทิ้งกระบี่
    -ของ โกวเล้ง
    - ซาเสี่ยวเอี้ย เจี่ยเอียวฮง
    - ไซมึ้งชวยเสาะ
    -ของ กิมย้ง
    - กระบี้ไร้พ่าย ตีกโกวคิ้วป่าย
    กรณีของซาเสี่ยวเอี้ยนั้นท่านละทิ้งกระบี่ในการพบกับเต็งพ้ง โดยเปลี่ยนมาใช้เพียงแค่ดรรชนีในแนวทางของกระบี่ เนื่องจากคำสาบานที่ให้กับตัวเองในการที่ท่านชนะแต่พ่ายแพ้ให้กับท่ากระบี่ที่ 15 ของอี้จับซา กระบี่ที่ 15 ของอี้จับซาทิ้งรอยแผลในใจของ ซาเสี่ยวเอี้ย ไว้หลายสิบปี จนกระทั่งได้วิถีดาบโค้งของเต็งพ้งมาคลี่คลาย การทิ้งกระบี่ของท่านจึงดูเหมือนว่ายังไม่ได้เกิดจากความบรรลุถึงขั้นไร้กระบี่จึงทิ้งกระบี่ แต่หลังจากพบกับเต็งพ้ง ซาเสี่ยวเอี้ยจึงบรรลุถึงขั้นไร้กระบี่ที่แท้จริง
    ไซมึ้งชวยเสาะ การทิ้งกระบี่ของไซมึ้งชวยเสาะในการบรรยายของโกวเล้งนั้นไม่แน่นอน เราจะเห็นไซมึ้งชวยเสาะ บรรลุถึงขั้นไร้กระบี่ในตอนบ่อนพนันเบ็ดเงิน แต่หลังจากนั้นในกระบี่พิโรธไซมึ้งชวยเสาะกลับมาถือกระบี่อีก แต่ผู้รู้หลายท่านกล่าวว่า กระบี่พิโรธนั้นไม่ได้ประพันธ์ โดย โกวเล้ง จึงควรจะนับถึงเพียงแค่ ตอนบ่อนพนันเบ็ดเงินเพียงเท่านั้น การไร้กระบี่ของ ไซมึ้งชวยเสาะ นั้นหากการบรรลุของซาเสี่ยวเอี้ยคือการนั่งสำนึกวิปัสสนาแล้ว การบรรลุของไซมึ้งชวยเสาะคือการบำเพ็ญทุกขกริยา เคี่ยวกรำตัวเอง เพื่อให้บรรลุ
    ต๊กโกวคิ้วป่าย ผู้ไม่เคยพ่ายแพ้ ไม่เคยปรากฏตัวจริงจังในเรื่องไหน มีเพียงแค่ร่องรอยของท่านใน กระบี่เย้ยยุทธจักร และ มังกรหยกในภาคของเอี้ยก้วย แต่เพียงเท่านั้นก็เพียงพอให้ผู้คนจารึกชื่อของ สุดยอดมือกระบี่ไร้พ่ายท่านนี้ ผู้บรรลุถึงขั้นไร้กระบี่ที่แท้จริง การบรรลุขั้นไร้กระบี่ (หรือโดยสัญญลักษณ์คือกระบี่ไม้) ของท่านนั้นเป็นขั้นตอนที่น่าสนใจยิ่ง ในกระบี่เย้ยยุทธจักรนั้นเราได้เห็นแนวทางของกระบี่ของท่าน ในมังกรหยกนั้นเราได้เห็นถึงวิญญาณของกระบี่ของท่าน จากกระบี่คม ไปสู่กระบี่หนักไร้คม ไปสู่กระบี่ไม้ธรรมดาสามัญ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งการบรรลุ ในแนวทางที่ค่อยเป็นไปอย่างมีขั้นตอน ดังเช่นการผลิบานของ ดอกไม้ ไปเป็นกิ่งไม้ และ สุดท้ายคือผลไม้ ในที่สุด (คำวิจารณ์นี้จะเป็นไปในแนวทางเดียวกับกระบี่ที่ 15 ของอี้จับซา ซึ่งเป็นอีกด้านของกระบี่ )
    บทวิจารณ์นี้จะไม่สมบูรณ์หากไม่กล่าวถึงด้านมืดของกระบี่ การบรรลุถึงขั้นไร้กระบี่คือการที่เจ้าของกระบี่สามารถใช้กระบี่หรือแนวทางกระบี่ได้โดยไม่โดนแนวทางกระบี่ควบคุม แต่เมื่อมีด้านสว่างก็ย่อมมีด้านมืด กระบี่ที่ 15 ของอี้จับซาเป็นตัวอย่างด้านเลวร้ายที่สุดของแนวทางกระบี่ ผู้ใช้นั้นไม่ได้มีความต้องการที่ฆ่า แต่เมื่อกระบี่นี้ออกมา แม้แต่ผู้ใช้ก็ไม่สามารถควบคุมมันได้ เป็นภาวะที่อันตรายที่สุดของผู้ฝึกกระบี่ คือกระบี่ควบคุมคน ไม่มีคนมีแต่กระบี่ แม้แต่จะยั้งมือก็ยังไม่มีปัญญากระทำ แม้ไม่ต้องการใช้แต่กระบี่นี้ก็พร้อมจะออกมาเอง ภาวะกระบี่ของอี้จับซานั้นจะเห็นได้ว่า ภายใน 14 กระบี่นั้นอี้จับซายังเป็นนายของกระบี่ เมื่อกระบี่ที่ 14 จบลง อี้จับซากลับพบว่ากระบี่ที่ 15 นั้นปรากฏตัวออกมาเองโดยแม้แต่เขานั้นก็ไม่สามารถควบคุมได้ เพราะชีวิตจิตวิญญาณของกระบี่ที่ 15 นั้นได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณของ อี้จับซา ซึ่ง การจะหยุดกระบี่ที่ 15 นี้มีหนทางเดียวคือการทำลายตัวเอง
    เปรียบเหมือนกับอำนาจหากท่านมีอำนาจมากมายแต่หากท่านไม่สามารถควบคุมได้ สักวันท่านอาจจะพบตัวเองกำลังใช้กระบี่ที่ 15 ของอี้จับซา
     
  2. weirchai

    weirchai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    381
    ค่าพลัง:
    +1,411
    สุดยอดกระบี่คือไร้กระบี่ มือกระบี่ไม่ว่าจะกระบี่ไม้ธรรมดาก็น่ากัวได้เสมอ แต่มือกระบี่ที่แท้จริง คือไร้กระบี่ สงสัยผมจะบ้าหนังจีนแหะ วิชาหมื่นกระบี่ ฝึกนี่ดีกว่า ฝ่ามือเมทา เริ่มมั่วแหละเรา
     
  3. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ผมว่าไซมึ้งชวยเสาะเก่งกว่าพระเอกอย่างเล็กเซียวหงห์อีกนะครับ เฮียเล็กเป็นนักสืบ เฮียไซเป็นเพื่อนนักสืบแต่บทดันเด่นกว่าพระเอกแฮะ เรื่องทั้งเรื่องไซมึ้งชวยเสาะจัดการผู้อยู่คนเดียว
     
  4. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    คุณชาชอบดูหนังจีนด้วยเหรอครับ...ผมก็ชอบดูครับ...คุณชาแสดงความคิดเห็นได้ถูกต้องครับ...ขออนุดมทนากับคุณชาด้วยคนครับ แล้วในบรรดาเทะกระบี่ทั้งหมดคุณชาชอบใครครับ ผมมีตัวเลือมาให้ ผมชอบเฮียไซครับ อิอิอิ ส่วนด้านความเฟอเฟคแล้วผมชอบเทพอาถรรพ์ครับ เด๊ยวร้ายเด๋ยวดี แต่หมอนี่เป็นอัจฉริยะผู้ป่วยใจ แต่ตอนสุดท้ายก็เป้นคนดีเหมือนเดิม เพราะตอนสุดท้ายหมอนี่ก็เฟอเฟคที่สุดแล้วคือตัดกิเลสทั้งมวลได้ สติปัญญาและวรยุทธก็ล้ำเลิศ แต่ที่แพ้ดคว่จงและแน้อย เพราะทั้งสองมันเป็นพระเอก คนเขียนก้ต้องให้พระเอกชนะสิครับ
    ---------------------
    จอมกระบี่มือหนึ่งแห่งยุทธภพและจอมมารที่ฝึกวิชาล้ำเลิศในยุทธภพ
    จอมกระบี่มือหนึ่งแห่งยุทธภพ
    พูดถึงปรัชญาแห่งจอมยุทธ์แล้ว ผมคงต้องนึกถึงจอมกระบี่อันดับหนึ่งในแผ่นดินไซมึ้งชวยเซาะ อาฮุย เอี๊ยบโกวเชี๊ยะ
    จอมดาบมิยาโมโต้ มูซาชิ ดาบสวรรค์ซ่งเสวีย ปาฟงหันและมีดบินกรีดฟ้าลี้คิมฮวง และเก้ากระบี่เดียวดายเล่งฮู้ชง ต่างคนต่างก็มีวิถีกระบี่ของตนอยู่
    ไซมึ้งชวยเซาะ ฉายา กระบี่เดียวหยาดโลหิต ระดับฝีมือไม่ต้องพูดถึง เมื่อกระบี่ออกจากฝักต้องมีคนตาย วิถีกระบี่ของไซมึ้งชวยเซาะ คือจิตใจที่บริสุทธิ์แลคุณธรรม ดังนั้นวิถีกระบี่ของไซมึ้งชวยเซาะจึงเที่ยงตรง ซึ่งต่างกับ เจ้านครเมฆขาวผู้สูงส่งและงามสง่า เอี๊ยบโกวเชี๊ยะ กระบี่รวดเร็วดุจพายุ ยิ่งท่ากระบี่ที่ร่ายรำออกมาราวกับเทพ แต่ทำไมถึงพลาดท่าให้กับ ไซมึ้งชวยเซาะได้ นั่นก็เพราะเอี๊ยบโกวเชี๊ยะ แม้ว่าฝีมือจะสูงส่งไร้เทียมทาน แต่ในใจไม่เที่ยงตรงวิถีกระบี่จึงไม่เที่ยงตรงและในใจมีความกังวลจากการล้มล้างราชบัลลังก์อยู่ ซึ่งต่างจากไซมึ้งชวยเซาะตรงที่ ไซมึ้งชวยเซาะมีจิตที่สงบนิ่งวิถีกระบี่จึงเปล่งอานุภาพได้ร้ายแรงกว่าเอี๊ยบโกวเชี๊ยะ
    จอมดาบมิยาโมโต้ มูซาชิ นักดาบแห่งแดนอาทิตย์อุทัยผู้ที่ไร้เทียมทาน คู่ปรับของ ซาซากิ โคจิโร่ มิยาโมโต้นั้นในวัยหนุ่มเที่ยวท้าประลองไปทั่ว แต่ในใจยังไม่สงบรุ่มร้อนดั่งไฟ เมื่อมาถึงวัดแห่งหนึ่งจึงได้ศึกษาพระธรรม ณ ห้องแสงธรรม เป็นเวลาสามปี หลังจากนั้น จึงออกสู่ยุทธภพอีกครั้ง ในขณะที่ ซาซากิ โคจิโร่ นักดาบเจ้าของเพลงดาบ นางแอ่นเหิร ที่ไร้เทียมทาน ก็ได้มาขอท้าประลองกันบนเกาะ ทว่าโคจิโร่ เป็นคนใจร้อนวู่วาม มิยาโมโต้จึงนัดประลองตอนเช้า ด้วยความดีใจ โคจิโร่ก็รีบมารอแต่เช้ามืด แต่จนแล้วจนรอดมิยาโมโต้ยังมาไมถึง ก็เกิดความร้อนใจอยากประลอง ทางด้านฝ่าย มิยาโมโต้นั้น ให้คนพายเรืออย่างช้าๆและตัวเองก็ใช้มีดเล็กๆเหลาไม้พายเพื่อทำเป็นดาบไปประลองกับ โคจิโร่ เมื่อมิยาโมโต้มาถึง โคจิโร่ก็ไม่มีสมาธิเสียแล้วจึงรีบท้าประลองด้วยความใจร้อน จึงถูกดาบไม้ของมิยาโมโต้ปลิดชีพ ด้วยประการฉะนี้
    ดาบสวรรค์ซ่งเสวีย ปาฟงหัน สองจอมดาบแห่งมังกรคู่ ทั้งสองมีมรรคาแห่งดาบที่เรียกว่า เคล็ดได้ดาบแล้วลืมดาบ เมื่อฝึกเริ่มแรกก็หมกมุ่นอยู่กับกระบี่อย่างเดียวโดยไม่สนใจอย่างอื่น เมื่อฝึกสำเร็จแล้วจึงลืมท่าของเพลงกระบี่ที่ฝึกมานั้นจนหมดสิ้น กลายเป็นไร้กระบวนท่าเอาชนะกระบวนท่าได้ ทั้งคู่ต่างก็บรรลุถึงมรรคาแห่งกระบี่บรรลุถึงความไม่มีตัวตนและความเป็นสุญตา
    อาฮุย จากเรื่องลี้คิมฮวง เด็กหนุ่มแต่งกายโทรมๆ พกสิ่งที่ตัวเขาเองเรียกว่ากระบี่ แต่คนที่เห้นกลับหัวเราะเยาะในความเป็นกระบี่ของอาฮุย เนื่องด้วยมันเป็นเพียงแค่เหล็กที่ไม่มีคม ใช้ไม้แค่สองอันประกบกันเป็นด้ามกระบี่ แต่ทว่าเมื่ออาฮุยชักกระบี่ออกมานั้นรวดเร็วดุจพายุ ใครที่หัวเราะเยาะอาฮุยถึงกับหัวเราะไม่ออกเมื่อเห็นเพลงกระบี่ของอาฮุย สำหรับอาฮุยนั้นไม่รู้แม้กระทั่งเพลงกระบี่และไม่เคยสนใจฝึกท่ากระบี่ใดๆทั้งสิ้น อาฮุยสนใจเพียงแค่ว่า ทำยังไงถึงจะใช้กระบี่เสียบคู่ต่อสู้ได้ก็เท่านั้น แต่ถึงจะมีกระบี่ที่รวดเร็วสักปานใด เมื่อเจอลิ้มเซียนยี้เข้า อาฮุยก็เจอวิชานารีพิฆาต
    ลี้คิมฮวงหรือเสียวลี้ปวยตอ มีดบินไม่พลาดเป้า จอมยุทธ์ที่ขี้เมาและร่างกายอ่อนแอที่สุดในบรรดาพระเอกหนังจีนทั้งหลาย แต่อานุภาพของมีดบินนั้นกลับไม่พลาดเป้า แม้จะมีฝีมือเป็นอันดับ 3 ของยุทธภพ เพราะมีคนเก่งกว่าลี้คิมฮวง แต่วิถีมีดบินของลี้น้อยกลับเที่ยงตรง รวดเร็ว เร็วจนไม่มีใครสามารถมองเห็นได้ มีดบินของลี้คิมฮวงไม่มีกระบวนท่า มีแต่ความเทียงตรงและคุณธรรมความดีงามในจิตใจก็เท่านั้น แต่ใครจะไปรู้ว่า มีดบินของลี้คิมฮวงมีทั้งหมด 13 เล่ม แต่คนมักจะเห็นแแค่ 12 เล่ม นั่นก็เพราะว่า เล่มที่ 13 คือคุณธรรมและความดีงามนั่นเอง
    เพลงกระบี่เก้าเดียวดาย ของเล่งฮู้ชงนั้นไร้กระบวนท่าถึงขนาดที่ว่าพลิกเพลงจนไม่สามารถพลิกเพลงได้อีกต่อไป ต่างจากเพลงกระบี่ปราบมารและคัมภีร์ทานตะวันที่รวดเร็วเหนือขีดจำกัดของความเร็ว ถึงขนาดที่ว่าผู้ฝึกคัมภีร์ทานตะวันอย่างตงฟางฟุป้ายและกระบี่ปราบมารอย่างงักปุกคุ้ง ฉายากระบี่วิญญูชน สามารถใช้เข็มแทนกระบี่ได้ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าใครก็ตามที่จะฝึกคัมภีร์ทานตะวันและกระบี่ปราบมารสำเร็จ ล้วนต้องตอนตัวเองเสียก่อนจึงจะบรรลุถึงขั้นสุดยอดของกระบี่ได้ แต่สุดท้ายท้ายที่สุดก้ต้องพ่ายแพ้ให้กับวิถีกระบี่ของเห้ากระบี่เดียวดายในที่สุด นั่นก็เพราะในใจของเล่งฮู้ชงไม่มีกระบวนท่าของกระบี่อยู่นั่นเอง
    จอมมารที่ฝึกวิชาล้ำเลิศในยุทธภพ
    งักปุกคุ้งเจ้าสำนักหัวซาน ฉายากระบี่วิญญูชน ผู้เป็นอาจารย์ของเล่งฮู้ชง เป็นคนเจ้าเล่ห์ที่สุดในบรรดาจอมมารทั้งหลาย เพื่อคัมภีร์กระบี่ปราบมารแล้ว ถึงกับฆ่าลูกศิษย์และใส่ร้ายลูกศิษย์ตัวเอง ยอมตอนตัวเองละทิ่งลูกเมีย ราวกับว่านี่คือวิถีแห่งการเมือง เพื่อบรรลุเป้าหมายแล้วไม่เลือกวิธีการใดๆ ต่างจาก เยิ่นอั่วฮั้งจอมมารเฒ่าที่อำมหิตที่สุดในยุทธภพที่รู้ว่าถ้าฝึกวิชาจากคัมภีร์ทานตะวันแล้วไม่เป็นผลดีกับตัวเป็นแน่แท้จึงยกคัมภีร์ทานตะวันให้ตงฟางฟุป้ายไปฝึก ตัวเองจึงฝึกวิชามหาเวทย์ดูดดาวเพื่อดูพลังคนอื่นแทน ซึ่งเป็นวิชาที่โหดเหี้ยมและร้ายกาจที่สุดอีกด้วย แต่เมื่อดูพลังคนอื่นมาแล้วมักจะเป็นโทษกับตัวเอง แต่ในที่สุดจอมมารเฒ่าก็แก้ไขมหาเวทย์ดูดดาวเสียใหม่โดยที่ไม่เป็นอันตรายกับตัวเอง และกลายเป็นวิชาอันน่าสพรึงกลัวที่เรียกว่า วิชามารโลหิตนั่นเอง แต่ด้วยความเก่งกาจของตัวเอง ใช้พลังทำลายถ้ำเพื่อให้คนอื่นตาย แต่ตัวเองดันหนีไม่ทันเสียงเอง ส่วนเทพอาถรพ์จอมมารที่เป็นอัจฉริยะ ได้รับการปลูกฝังมาว่าเมื่อเป็นอัจฉริยะแล้ว น่าจะได้เป็นฮ่องเต้ได้ดีกว่าคนอื่น เพราะเทพอาถรรพ์เก่งที่สุดในเรื่องนี้ทั้งยังเป็นอัจฉริยะอีกด้วย ในความเป็นจอมมารนั้นก็แตกต่างจากคนอื่น จอมมารคนอื่นเป็นเพราะจิตใจเป็นมาร แต่เทพอาถรรพ์เป็นมารเพราะเป็นอัจฉริยะที่มองเห็นธาตุแท้ที่อยู่ในใจมนุษย์ จึงรู้ว่ามนุษย์บางคนไม่มีความดีงามอยู่เลย จึงเป็นโอกาสดีของเทพอาถรรพ์ในการที่จะครอบครองบัลลังก์มังกร แต่น่าเสียดายว่า ถูกมังกรคู่โคว่จงและฉีจื่อหลิงใช้แผนเครือข่ายทำลายแผนการณ์ล้มราชบัลลังก์ได้สำเร็จ
    เรื่องราวของจอมมารทั้งสามนั้น แท้ที่จริงแล้วก็คือ เรื่องราวของนักการเมืองที่ต้องการอำนาจและความยิ่งใหญ่นั่นเอง ความยิ่งใหญ่ที่ใช้วิธีการทุกอย่างเท่าที่จะทำได้และการวางแผนการอย่างแยบยลเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวจนไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าจะมาไม้ไหนกันแน่ นักการเมืองบางคนก็ใช้วิธีการดูดหรือแย่งชิงเอาส.สจากพรรคอื่นมาเป็นของตัวเอง เป็นเพราะว่าตังเองมีอำนาจเหนือกว่าฝ่ายตรงข้ามอยู่แล้วแต่ยังใช้อำนาจที่เหนือกว่านั้นแย่งชิงคนของฝ่ายตรงข้ามมาอีก เพื่อรวมเป็นพรรคใหญ่ แต่สุดท้ายเมื่อมีหลายพรรคหลายพวกก็ย่อมจะไม่สามารถปกครองได้อย่างมั่นคง ดังนั้นจึงจำเป้นต้องเป็นเผด็จการไปโดยปริยายเพื่อการครองประเทศตลอดกาลและความเป็นหนึ่งเดียว ส่วนนักการเมืองบางคนนั้นรู้ว่าตัวเองมีความสามารถเหนือคนอื่นไม่มีใครในปฐพีนี้สู้ได้ สามารถอ่านเกมการเมืองออกทุกเกม วางหมากไม่เคยพลาด ดีดลูกคิดรางแก้วก่อนเสมอเพื่องานที่สำเร็จ แต่เสียดายที่ใช้ความสามารถไปในทางที่ผิดและแม้ว่าจะฉลาดเพียงใดก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับผู้ที่มีเครือข่ายครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศอยู่ดี แต่ท้ายที่สุด ทุกคนก็แพ้นโยบายการบริหารประเทศโดยใช้คุณธรรมอย่าง หลี่ซื่อหมิ่นหรือถังไท่จงอ่องเต้อยู่ดี แล้วตอนนี้หลี่ซื่อหมิ่นยังไม่มีกำลังพลมากพอจึงยังไม่สามารถต่อการกับ งักปุกคุ้ง เยิ่นอั่วฮั้ง และเทพอาถรรพ์ ได้
    บทความของ พ่อมดโลจิ
    www.gmcities.com rukava.s@chaiyo.com
     
  5. จอกแหน

    จอกแหน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    272
    ค่าพลัง:
    +873
    ไหนเลยจะเทียบกับเทพกระบี่ได้หละท่านจอมยุทย์
     
  6. tottam

    tottam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +108
    วิเคราะห็ เอี้ยก้วย กับนักพรตเตียแห่งบู้ตึ้ง ให้ทีสิครับ
    ทั้ง 2 เป็นฮีโร่ของผมเลยน่ะครับ
    ขอบคุณครับ
     
  7. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ดีใจจังเลยครับ มีคอหนังจีนแนวปรัชญาแห่งการฝึกจิตแบบเดียวกับเราด้วย นักกระบี่สุดยอดคือคนที่มีคุณธรรมครับ ควารมเที่ยงตรงของกระบี่คือคุณธรรม การบรรลุถึงจุดสุดยอดคือ การบรรลุธรรมด้วยครับ อย่างดาวสวรรค์ซ่งเสวีย บรรลุถึงมรรคาแห่งดาบแล้ว แต่ปาฟงหันละแล้วทุกอย่าง แต่ในชีวิตจริงต้อง นักดาบอย่าง มิยาโมโต้ มุซาชิ ครับ แล้วจะมาโพสเรื่องมุซาซิ
     
  8. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    ขอแจมด้วยคน เปิดประเด็นให้คิด ผลงานของโกวเล้งที่ถือกันว่าเยี่ยมยอดที่สุดคือ ฤทธิ์มีดสั้น ซึ่งโกวเล้งได้พัฒนาวิธีคิดไปอีกขั้นหนึ่ง
    สุดยอดฝีมืออันดับหนึ่งในฤทธิ์มีดสั้น ได้บรรลุถึงขั้นใจไม่มีกระบวนท่า ซึ่งเหนือกว่าชั้นกว่าลี้กิมฮวงและประมุขพรรคเหรียญทองที่ฝึกถึงขั้นมือไม่มีกระบวนท่า กระบวนท่าอยู่ในใจ แต่เมื่อประลองกันจริง ใจไร้ทุกสิ่งของยอดฝีมือสูงสุดกลับพ่ายแพ้ต่อห่วงไร้น้ำใจของเซี่ยงกัวกิมฮ้ง เป็นเพราะสิ่งใด ลองคิดกันดูเล่นๆ ว่าเข้าใจถึงปรัชญาขั้นสูงสุดของโกวเล้งหรือไม่
     
  9. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    1. ตึกซิงหยุนอันเลื่องชื่อในยุทธภพมิใช่เพราะเป็นบ้านของ 7 บัณฑิต 3 ท้ำฮวย หรือเป็นบ้านของ ลี้คิมฮวง แต่เป็นเพราะว่าเมื่อ 3 ปีก่อนได้เกิดเหตุการณ์สะท้านยุทธภพ นั่นคือ ลี้คิมฮวง ได้ลงมือสังหาร โจรดอกเหมย ผู้น่าครั่นคร้าม

    ณ ตึกซิงหยุน อันแสนสวยงามแห่งนี้เหตุร้ายผ่านพ้นไป ความสงบร่มเย็นเข้ามาแทนที่ ลี้คิมฮวง และ อาฮุย ได้เร้นกายหายไปไร้ร่องรอย คงเหลือไว้แต่เพียงแสงเทียนเดียวดายยามค่ำคืนที่หอน้อยท้ายสวน ลิ้มซีอิม ,เจ้าบ้านหญิง กับ หยาดน้ำตา

    เวลาเดียวกันที่ร้านเหล้าไม่ไกลจากหมู่ตึกซิงหยุนเท่าใดนัก มีชายผู้หนึ่งใช้มีดสั้นถากท่อนไม้ แกะสลักรูปสตรีนางหนึ่งพลางดื่มเหล้าไปด้วยอย่างแช่มช้า เขาทำเช่นนี้มาครึ่งค่อนปีแล้ว ..

    " เชิญครับ เชิญครับ .. " ซุนเทาะจื้อ ,ชายชราหลังค่อมเจ้าของโรงเตี๊ยมกล่าวทักทายลูกค้าที่วันนี้มาอุดหนุนคึกคักเป็นพิเศษ
    " เสี่ยวเอ้อ จัดโต๊ะ " ชาวยุทธภพ หรือ คนจรจัดก็มิอาจทราบได้ ย่างกรายมา 4 -5 คน ส่วนชายชุดเขียวแบกทวนมาเดี่ยวๆ
    " เอ๊ะ ท่านปู่ โต๊ะนี้ว่างค่ะ " โก้วเนี้ยถักเปียจูงชายชรา
    " ว่างก็นั่ง " ซุนแป๊ะฮวก ,ชายชราผมขาวมากับ ซุนเซี่ยวอั้ง ,หลานสาว
    " เชิญเลยครับ เชิญนั่ง " เสี่ยวเอ้อรีบปัดกวาดโต๊ะเก้าอี้
    " ท่านปู่เมื่อกี้ท่านรับปากว่าพอถึงโรงเตี๊ยมจะเล่านิทานให้ฟังไงล่ะ "
    " นิทานจะสนุกอะไร สู้ฟังเรื่องจริงที่สะท้านยุทธภพดีกว่า "
    " เอ้อ ดีค่ะ รีบเล่าสิคะ "
    " ข้าได้ยินว่าคืนวันพรุ่งนี้ ซิงหยุนจวง จะเปิดกรุสมบัติ เหล่าชาวยุทธจึงมุ่งหน้าไปที่นั่นภายในวันสองวัน "
    " ซิงหยุนจวงเป็นบ้านจอมยุทธผู้โด่งดัง ลี้คิมฮวง นี่นา "
    " ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว "
    " จริงสิ นอกจาก ลี้คิมฮวง แล้วยังมี อาฮุย ,ยอดฝีมือระบือนาม "
    " น่าเสียดายที่เค้าก็เหมือน ลี้คิมฮวง ต่างสูญหายไป ฟังว่า อาฮุย กับ ลิ้มเซียนยี้ หลบหนีไปด้วยกัน "
    " เฮ้ยตาแก่ในยุทธภพมีแต่ ลี้คิมฮวง กับ อาฮุย รึไง พูดเรื่องอื่นได้มั้ย " ชายชุดเขียวตวาดลั่น
    " ก็ข้ารู้แค่นี้นี่ ถึงเล่าไปก็ไม่มีคนฟัง แขกคนอื่น(วานรขนขาว เจ้าทรงพลัง ทมิฬทวนเหล็ก งูน้ำโอ้วมี้ และ สองพยัคฆ์ภูเขาน่ำซัว)เขาจ่ายเงิน หนีไปหมดแล้ว "

    ชายฉกรรจ์ชุดเหลือง 5 - 6 คนโผล่มาไม่พูดพร่ำทำเพลง ใช้อาวุธเขี่ยชามอาหารเก่าบนโต๊ะทิ้ง
    " มีใครยังไม่ได้ไสหัวไปอีก " เซียงกัวปวย ,บุรุษชุดเหลืองขลิบทองยืนกร่าง
    นอกจากตาแก่กับหลานสาวแล้วก็มีบุรุษผู้หนึ่งนั่งหันหลังเอาแต่ร่ำสุรา อีกคนถือทวนทองชุดเขียวมีใบหน้าเย็นชา
    " ฮะ ฮะ ฮ่า โลกมักจะประหลาดเช่นนี้ ไม้เท้าเหล็ก อันดับ 9 เผอิญมาพบกับ ทวนทองหน้าตาย อันดับ 8 "
    " เด็กมันยังรู้ว่า 8 ย่อมเหนือกว่า 9 "
    จูกัวะกัง ,ชายขาพิการไม่อาจทนฟังคำเย้ยหยัน กวาดไม้เท้าเข้าใส่หมายพิฆาตศัตรู เซียงกัวปวยเห็นลูกสมุนตกเป็นรองจึงรีบห้าม
    " หยุด ! จูกัวะกัง คืนนี้เราต้องรีบเดินทาง สี่เหมินโหยว อย่าได้ลำพองใจ อีกไม่นานเกินรอเราได้พบกันแน่ "
    กลุ่มชายชุดเหลืองถอนกำลัง บุรุษชุดเขียวขว้างเงินอัดฝาโรงเตี๊ยมชำระค่าสุราอาหารแล้วเหาะไป ..
    " สมกับเป็นยอดฝีมืออันดับ 8 ฝีมือไม่เลว " ซุนแป๊ะฮวก
    " ชายที่ใส่ชุดเหลืองนั่นเป็นใครกันคะ " หลานสาวซักถาม
    " เขาคือประมุขน้อย เซียงกัวปวย "
    " พวกเค้ามาทำไม "
    " หากปู่ทายไม่ผิดล่ะก็พวกมันคงจะไป ซิงหยุนจวง (หันมาทางบุรุษลึกลับ) ถึงเหล้าที่นี่จะรสชาติดีแต่คนเราเกิดมาไม่อาจใช้เหล้าผ่านพ้นวัน เมามายไร้สติ ถึงเวลาสมควรไป ยังคงต้องไป น้องชายข้าไปล่ะ ให้ข้าจ่ายเงินให้มั้ย "
    " ขอบคุณ ไม่ต้องหรอก ผู้ใดเป็นคนติดค้างผู้นั้นย่อมชำระ ไม่อาจบิดพริ้ว ไม่อาจหลบหนี " ไอโขลกๆจนตัวงอ
    " วิเศษ ในที่สุดก็สร่างเมา เอ้าเราไปกันได้แล้ว "
    ปีศาจสุรา คลี่แผ่นกระดาษที่เหล่าจอมยุทธทิ้งไว้ ลายมือนั้นสวยงามราวอิสตรี " .. ค่ำคืนที่ 15 เดือน 9 หมู่ตึกเมฆเรืองโรจน์ของวิเศษจะปรากฎ ยังหวังท่านอย่าได้พลาดโอกาสเหมาะ .. "

    ลี้คิมฮวงเดินตัดผ่านทางปูหินสีขาว,ลอดประตูรูปวงเดือน ยืนทอดอาลัยกับอดีตอันเคยรุ่งโรจน์ของหมู่ตึกที่พำนัก เขาก้มเอวลงส่งเสียงไอเบาๆ
    " ท่านพี่ " หญิงวัยกลางคนแง้มประตูบนหอน้อย
    " ซีอิม สบายดีเหรอ "
    " สบาย ก็ดี จากกัน 3 ปี ณ สวนแห่งเดิม เมฆซ่าน บุปผาร่วงหล่น ท่านล่ะ? "
    " เฝ้าฝันไว้จะหวนไปคืนสู่บ้าน สามปีผ่านช่างเดียวดายอย่างเหลือแสน สร่างเมาเหล้าราดขาดแคลน แต่มิแบนตัดสวาทขาดจากใจ " ใบหน้าเขาซีดขาวกว่าเดิม ส่งเสียงไอไม่หยุดยั้ง
    " รูขาดบนเสื้อผ้าสามารถปะเย็บ แต่รอยแผลในหัวใจไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถเย็บสมานได้ ข้าอยู่ลำพังจนชินแล้ว ไยท่านจึงกลับมาทำให้ใจข้าร้าวรานอีกครั้งนึง "
    " หิมะโปรยปรายแม้จะสวยงามน่าชื่นชมนัก แต่ที่สำคัญคือยามสามคืนนี้จะเกิดเรื่องขึ้นที่ซิงหยุนจวง "
    " เรื่องอะไร? "
    " ถึงเวลาเจ้าก็รู้เอง (สุนัขเห่าระงมเมื่อได้กลิ่นพวกคนแปลกหน้า) รีบดับเทียน ปิดประตู ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าออกมา "

    ชาวยุทธกเฬวรากกรูกันเข้ามาในบ้านเมื่อถึงเวลานัดหมาย ต่างผงะเมื่อเห็นชายชุดดำยืนรออยู่
    " เจ้าเป็นใคร "
    " ไม่น่าถาม ข้ามาที่นี่ไม่ใช่เพื่อต่อสู้ช่วงชิงเหมือนพวกเจ้า ข้ามารอคน .. อีกอย่างนึงคนที่เจ้าต้องการก็อยู่ข้างหลังแล้ว "
    " ชนชั้นต่ำเช่นพวกเจ้าก็บังอาจมาสุมหัวอยู่นี่เหรอ ลุย ! " เซียงกัวปวยสั่งลูกพรรคราวีคนจรจัดฝีมือต่ำขั้น ออกแรงไม่กี่กระบวนท่าพวกนั้นก็ม้วยมรณา
    " ท่านประมุขน้อย คนที่นี่ถูกฆ่าตายหมดแล้ว " จูกัวะกัง
    " ใครบอกล่ะ ข้างในยังมีอีกคนนึง "
    ทวนทองหน้าตายพลันปรากฎตัว " ไม่ใช่หนึ่ง แต่เป็นสอง เฮ่อ "
    " สี่เหมินโหยว เวลาของชีวิตเจ้าหมดแล้ว นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะรนมาหาที่ตายอีก ฆ่ามัน " เซียงกัวปวยโกรธกริ้ว
    " มิน่าล่ะ ทวนทอง ถึงได้จัดอยู่อันดับที่ 8 " ชายชุดดำดูแคลนฝีมือ
    " ดูท่าทางเห็นทีข้าจะต้องลงมือเองแล้ว " จูกัวะกังแทรกตัวใช้ไม้เท้าเข้าต่อกรเพลงทวนคู่อริแทนลูกสมุน
    " ถือโอกาสนี้พวกเจ้ารีบเข้าไปค้นข้างใน " เซียงกัวปวยบัญชา
    " คร๊าบบบ .. "
    สมุนสองคนพุ่งหลาวพังผนังห้องตึกน้อยหอมเย็น ร่างมิทันแตะพื้นก็โดนมีดสั้นปักคอหอยตายกลางอากาศ
    " ลี้คิมฮวง มาแล้ว " ชายชุดดำเปรย

    " เรียนทุกท่าน ซิงหยุนจวง ไม่มีสมบัติซุกซ่อน หิมะหยุดตกแล้วพวกท่านกลับไปเถอะ " ลี้คิมฮวงเหาะลงมายืนบนกิ่งดอกเหมย
    " เฮอะ ขืนเชื่อก็โง่สิ ลี้คิมฮวงข้าอยากสู้กับเจ้ามานานแล้ว คนอื่นล้วนเกรงกลัวเจ้าแต่ข้าไม่กลัว ! "
    จูกัวะกังกระโดดขึ้นไปยืนปักหลักสู้ลิ้มคิมฮวงบ้าง ไม้เท้าเหล็กกวดซ้ายทีขวาที ลิ้คิมฮวงหลบหลีกรำพัดปกป้อง ด้วยความเจนจัดในชัยภูมิจึงหลอกจูกัวะกังตามเข้าไปในตึก ศัตรูมิอาจขยับกายได้คล่องในที่คับแคบ ถูกมีดบินซัดเสียบคอหอยสิ้นชีพทันใด
    " บุก ! " เซียงกัวปวยคั่งแค้น
    ชายชุดดำรี่เข้าไปขวาง,จัดการลูกพรรคเหรียญทอง จากนั้นค่อยลงมือกับประมุขน้อย
    " สหายท่านนี้คือ .. "
    " ก๊วยซงเอี๊ยง ได้พบพี่ลี้ครั้งแรกถือว่านี่คือของขวัญ " มันกวาดสายตาดูผลงาน แต่ละศพถูกคมมีดฉวัดเฉวียนกรีดทั่วร่าง
    " ยอดฝีมืออันดับ 4 กระบี่เหล็กซงเอี๊ยง ยอดเยี่ยมสมคำร่ำลือจริงๆ "

    " หากว่าข้าเดาไม่ผิด เจ้าน่าจะเป็นลูกชายของยอดฝีมืออันดับ 2 เซียงกัวกิมฮ้ง ประมุขน้อยแห่ง พรรคเหรียญทอง " ใช้หางตาดูปลายดาบสะกิดลูกกระเดือกคุณชายอ่อนหัด
    " แล้วเจ้าจะทำไม "
    เก็บกระบี่เข้าฝัก " รบกวนเจ้ากลับไปบอก พ่อ ว่าข้าจะไปหาเค้าเร็ววัน "
    " ฮ่า วันนี้แม้เจ้าไม่ฆ่าข้า จงฟังไว้ซักวันนึงข้าต้องฆ่าเจ้าแน่ "
    " สมกับเป็นลูกชายเซียงกัวกิมฮ้ง โหดเหี้ยม อำมหิต ไปเถอะ .. "

    " ท่านคือ .. " ลี้คิมฮวงหันมาประจันหน้าชายชุดเขียว
    " ทวนทองหน้าตาย สี่เหมินโหยว "
    " ยอดฝีมืออันดับ 8 ของแผ่นดิน เจ้าก็ถูกผู้คนหลอกมาหาสมบัติที่นี่เหมือนกันเหรอ "
    " หุบปาก ! " สี่เหมินโหยวโถมพลัง,ร่ายเพลงทวนหมายโค่นจอมยุทธมือวางอันดับสูงกว่า
    " เดี๋ยว ที่ข้าพูดเป็นความจริง ทำไมไม่เชื่อกันบ้าง "
    " ยุทธภพนี้ไม่มีอะไรที่เชื่อได้นอกจาก คนตาย สมบัติ และ ชื่อเสียง "
    ก๊วยซงเอี๊ยง ไม่อยากให้ ลี้คิมฮวง ต่อสู้ยืดเยื้อ " สี่เหมินโหยว ถ้าหากข้าชิงทวนเจ้าได้ภายใน 10 เพลง เจ้าจะยอมรับปากข้าเรื่องนึงมั้ย "
    " เรื่องอะไร "
    " ถอนตัวจากยุทธภพ เลิกรังควานพวกเรา "
    " โอหังสิ้นดี "
    " 1,2,3 .. 10 "
    " หา? ทวนไม่อยู่กับมือ "
    " รับไป " โยนทวนคืนให้เจ้าของ
    " ยุทธภพนี้กว้างใหญ่แต่กลับไม่มีที่ให้ข้ายืน " สี่เหมินโหยวเหาะข้ามกำแพงมิสู้ตากหน้ารับความอับอาย

    " พี่ก๊วย ข้าต้องขอบคุณท่านเป็นอย่างมาก "
    " อย่าเพิ่ง ท่านควรถามข้าก่อนว่ามาทำไม "
    " หรือว่าข้าเคยล่วงเกินท่านเอาไว้อย่างงั้นเหรอ? "
    " ไม่มี เพียงแต่ข้าตามหาท่านมา 3 ปีแล้ว ข้าอยากรู้ว่า กระบี่เหล็กซงเอี๊ยง ของข้ากับ มีดบินลี้น้อย ของท่านใครจะเหนือกว่าใคร เนื่องจากเพราะว่าท่านอยู่อันดับ 3 ข้าอยู่อันดับ 4 ข้าว่าสวนแห่งนี้สวยงามเกินไป ข้ามิอยากจะทำลาย ดังนั้นข้าจะรอท่านข้างนอก "

    " ท่านไปเถอะ คนเราพบกันก็เพื่อที่จะจากกัน ข้าว่าสุรามิอาจจะดับทุกข์ได้ วันหน้าท่านจงดื่มให้น้อยลง " ลิ้มซีอิม
    " ถนอมตัวด้วย " ลี้คิมฮวง

    ก๊วงซงเอี๊ยงเดินนำหน้าคู่ปรับมาสุดปลายเส้นทาง เป็นปลายทางแห่งชีวิตของผู้ใดมิอาจคาดได้ ท้องทุ่งโล่งกว้างมีป่าปังอยู่แถบหนึ่ง
    " ที่นี่เป็นริมน้ำอีกทั้งยังอยู่สุดถนนด้วย "
    " พี่ก๊วยข้าถอนตัวจากยุทธภพลืมเลือนทุกสิ่ง ไฉนท่านต้องการพิสูจน์ฝีมือกับคนนอกวงการเช่นข้า "
    " พี่ลี้แม้ท่านถอนตัวจากยุทธภพแต่ชื่อของท่านยังคงอยู่ ข้ามาวันนี้เพื่อมีชื่อเสียง สหายน่ะหาง่ายแต่คู่ต่อสู้อย่าง ลี้คิมฮวง หายาก ข้าเกิดมาเป็นชาวยุทธมิเคยนำพาซึ่งความตาย ศึกในคืนนี้ถือเป็นความสุขครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของข้า เชิญ "
    " ข้าหวังนักว่าคืนนี้ ข้าจะมิใช่ข้า เชิญ "
    ลมกระโชกผ่านใบปังแดงม้วนคละคลุ้งเต็มท้องฟ้า พลังกระบี่คุกคามคน กลิ่นอายฆ่าฟันสะท้านทุกอณู ดาบเหล็กดำชักออกจากฝัก พัดคลี่เผยมีดสั้นสะท้อนเงาวาววับ บังเิกิดเสียงหวีดหวิวเกรี้ยวกราดเมื่อยอดฝีมือประลองกำลัง กอหญ้าแพรกสะบั้น กิ่งสนฟุ้งกระจาย แพไม้ไผ่ถูกตัดขาดกลางลำ ลี้คิมฮวงซัดมีดสั้นนำทางชุดแรกเฉียดเป้าหวุดหวิด มันโยนพัดหลบคมดาบดำอำมหิตแล้วจิ้มปลายแหลมอาวุธในมือจ่อคอหอยก๊วยซงเอี๊ยง
    " ทำไมถึงไม่ฆ่าข้า "
    " ตั้งแต่ต้นระหว่างเราไม่ได้เอ่ยว่าใครจะฆ่าใคร "
    " แป๊ะเฮี่ยวเซ็ง กล่าวเอาไว้ไม่ผิดจริงๆ ท่านมิเพียงเก่งกว่าข้า ยังดีกว่าอีกด้วย " ก๊วยซงเอี๊ยงก้มหน้าเดินจากไปแทบหมดอาลัยตายอยาก

    " ยอดเยี่ยมๆ การประลองเมื่อครู่ช่างน่าดูชมนัก " โกวเนี้ยน้อยปรบมือแปะๆ
    " แม่นางนี่เจ้ามาอยู่นี่ได้ยังไง "
    " ท่านถามใคร? ข้าไม่ได้ชื่อ แม่ ไม่ได้แซ่ นาง ซักกะหน่อย "
    " งั้นข้าขอทราบนามอันสูงส่งของท่านได้มั้ย "
    " ค่อยน่าฟังขึ้น ข้าแซ่ ซุน ชื่อ เซี่ยวอั้ง "
    " อ้อ จริงสิ ท่านยังมีท่านปู่อีกคนนี่นา "
    " ถูกต้อง ท่านปู่ส่งข้ามานี่เพื่อเชิญท่านไปพบ "

    ลี้คิมฮวงและซุนเซี่ยวอั้งซุ่มในเงาดงไม้จ้องมองไปยังเก๋งยาว(ศาลาริมทาง) บัดนี้มีชายชุดเหลืองทองชูโคมไฟล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน แสงสะท้อนมลังเมลืองดูลี้ลับ น่ากลัว พักหนึ่งผู้อาวุโสและหนุ่มฉกรรจ์ก้าวออกมา มันชะงัก สอดส่ายสายตามาทางป่าทึบแว่บเดียวก่อนเรียกพลพรรคยาตราจากไป
    " คนที่นั่งอยู่กับท่านปู่คือ ประมุขพรรคเหรียญทองกับคนสนิท คนสวมชุดเหลืองคือ เซียงกัวกิมฮ้ง ,ห่วงหงส์มังกรจัดว่าเป็นอันดับ 2 ของยุทธภพ ส่วนนั่นคือ เก็งบ้อเมี่ย ,เทพดาบซ้าย "
    " พวกเค้ามาทำอะไรกัน? "
    " ชู่วว์ .. มานี่ ท่านอยากรู้ใช่มั้ยว่าพวกนั้นมาทำไม ลองถามท่านปู่ข้าดูซี่ "

    " ท่านลุง "
    " นี่คือแผนการร้ายครั้งสำคัญของยุทธภพเรา นับแต่ท่านกับอาฮุยถอนตัวจากยุทธภพ พรรคเหรียญทองได้รวบรวมยอดฝีมือ 17 อันดับหวังครองแผ่นดิน ท่านลี้ความอยู่รอดของพวกเราอยู่ในมือท่านกับอาฮุย 2 คน "
    " ไยกล่าวเช่นนั้น "
    " เพราะห่วงหงส์มังกรของเซียงกัวกิมฮ้งจัดอยู่อันดับ 2 บวกกับยอดฝีมือรุ่นใหม่อย่าง เก็งบ้อเมี่ย ,เทพดาบซ้ายผู้ไร้เทียมทาน มันฆ่ายอดฝีมือมา 380 คนแล้ว ทางเดียวในตอนนี้คือตามหา อาฮุย ให้เจอ จงร่วมมือกันจึงขจัดภัยร้ายครั้งนี้ได้ "
    " แต่หลายปีมานี้ข้าไม่เคยได้ข่าวอาฮุยเลย "
    " เขากับ ลิ้มเซียนยี้ อยู่กันที่ป่าเหมยหิมะ "
    " ท่านลุง ท่านเป็นใครกันแน่จึงรู้เรื่องราวของยุทธภพดีนัก ยุทธภพนี้มีลับลมคมในเยอะ หรือว่าท่านคือ .. "
    " ฮ่า ฮ่า ปราดเปรื่องสมกับเป็น ลี้คิมฮวง ไม่ว่าข้าจะเป็นใครวันหน้าท่านต้องได้รู้แน่ ที่ท่านต้องทำตอนนี้คือไปตามหา อาฮุย ! "
    --------------------------------------
    2. บ้านไม้หลังหนึ่งตั้งอยู่ในส่วนลึกของดงเหมย,ริมธารน้ำแร่ ไหลลงมาจากกลางภูเขา ประตูบ้านปิดอยู่ ลี้คิมฮวง เคาะ 2 -3 ที เงียบคล้ายไม่มีใครอยู่จึงถือวิสาสะเดินเข้าไป เห็น อาฮุย บรรจงจัดแจกันดอกไม้
    " เซียวลี้ " บุรุษหนุ่มค่อยๆเหลียวหน้ามาทักทายอาคันตุกะ
    " อ้อ ที่แท้เป็นบัณฑิตลี้นี่เอง มาตั้งแต่เมื่อไหร่ " ลิ้มเซียนยี้เผยโฉม
    " แม่นางลิ้ม "
    " เซียนยี้ ข้าช่วยนะ "
    " ไม่ต้อง งานบ้านเป็นของผู้หญิง ข้าทำเองได้ " ลิ้มเซียนยี้พับเสื้อผ้าที่เก็บจากราวแล้วเช็ดโต๊ะต่อ
    " เซียนยี้ให้ข้าช่วยเจ้าเถิด "
    " ไม่ต้อง ท่านไปต้อนรับบัณฑิตลี้เถอะ "
    " อ้อ จริงด้วย เซี่ยวลี้ เข้ามาสิ .. ข้าจะไปรินน้ำชาให้นะ "
    " ไม่ต้อง ข้ารินให้เอง บัณฑิตลี้เชิญนั่งก่อนค่ะ "
    " เชิญนั่ง เออจริงสิท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่ "
    " มีคนผู้นึงบอกข้า นับแต่เจ้าไปจาก ซิงหยุนจวง ก็อยู่นี่มาตลอดเหรอ "
    " ข้าอยู่ที่นี่ก็วาดภาพ ปลูกดอกเหมย เอ๊ะ เจ้าชอบ ดอกเหมย มากไม่ใช่เหรอ ออกมาดูนี่สิเมื่อวานดอกเหมยบาน 2,076 ช่อ วันนี้ร่วงไป 8 ช่อ บานใหม่ 24 ช่อ รวมเป็น 2,092 ช่อ "
    " เจ้านับดอกเหมยทุกวันเหรอ? " หัวใจลี้คิมฮวงตกวูบ รู้สึกอ้างว้างแทนสหาย
    " ที่นี่น่ะเงียบมาก ไม่มีอะไรทำ ปีนี้ดอกเหมยบานเร็ว ดอกไม้ยิ่งบานเร็วก็ยิ่งร่วงโรยเร็ว "
    " แล้วกระบี่เจ้า? "
    " ข้าไม่ได้แตะต้องกระบี่มาตั้งนานแล้ว "
    " เพราะอะไร? "
    " เซียนยี้บอกว่ากระบี่น่ะเป็นศัสตราวุธอันดุร้าย ไปหยิบแตะมันจะทำให้ข้าคิดถึงยุทธภพเปล่าๆ "

    " ข้ามาแล้วค่ะ กลางป่ากลางเขาไร้สุราได้โปรดดื่ม น้ำชา แทน "
    " ตอนนี้ข้าก็เลิกดื่มเหล้าแล้วนะ "
    " ก็ดี (ไอแค็กๆ) ดื่มเหล้ามากๆระวังจะเป็นเหมือนข้า "
    " ข้าให้เค้าเลิกเอง เค้าน่ารักมากเลย ทุกวันตื่นแต่เช้ามืด กลางคืนกินข้าวเสร็จก็เข้านอน "

    ลี้คิมฮวงนอนไม่หลับ,บังเกิดความเคลือบแคลงสงสัย ไฟห้องนอนเจ้าบ้านหญิงดับพรึ่บแต่นางกรีดกรายลงมาชั้นล่าง
    " ลิ้มเซียนยี้ หายไปไหนนี่ " ลี้คิมฮวงเดินขึ้นมาเห็นอาฮุยหลับเป็นตาย มันจึงสะกดรอยตาม ลิ้มเซียนยี้ ไป

    หอน้อยนอกเมืองประดับโคมไฟแดงระเรื่อราวซ่องนางโลม ลี้คิมฮวงถึงกับผงะเมื่อเห็น นักท่องราตรี และ กระหรี่ ซึ่งกำลังออดอ้อนแขกเป็นใคร
    " ลิ้มเซียนยี้ เลิกตอแยข้าซะทีเถอะ ข้าจะไปแล้ว "
    " ไม่ ข้าไม่ให้ท่านไปนะ เอา ต่อเถอะน่า "
    " ข้าไม่มีอารมณ์ ! "
    " ซงเอี๊ยง ท่านจะมาอีกเมื่อไหร่ "
    " ข้าอยากมาเมื่อไหร่ข้าก็มาเอง "
    ก๊วยซงเอี๊ยง ถูกโค่นฝีมือจึงเกิดความกลัดกลุ้มเลยมาระบายอารมณ์ พอปลดปล่อยความอัดอั้นเสร็จก็ไม่แยแสหล่อน ระหว่างทางเดินเปลี่ยวมืด มันชะงักเท้า หันขวับชักดาบต่อสู้กับคนประสงค์ร้าย
    " เป็นท่านเองเหรอนี่ "
    " ใช่ เป็นข้าเอง "
    " ทำไมจึงมา แอบดู เรื่องส่วนตัวของข้า "
    " ข้ามิได้มีเจตนามาแอบดูท่าน ข้าตาม ลิ้มเซียนยี้ มาจากบ้าน อาฮุย จนมาถึงที่นี่ "
    " อะไรนะ? ลิ้มเซียนยี้อยู่กับอาฮุยเหรอ นี่แปลว่าทุกอย่างที่นางทำ อาฮุย ไม่รู้เลยเชียวหรือ "
    " ข้าเชื่อว่าเค้าไม่รู้ เพราะหลายปีมานี้ อาฮุย นอนแต่หัวค่ำ บางทียามค่ำคืนนางจะรอให้อาฮุยหลับเสียก่อนจึงจะออกมา นางคงมาหาท่านเสมอ "
    " ใครบอก ผู้หญิงอย่างนางเที่ยวยั่วยวนผู้ชายไปทั่ว เวลาที่ข้ารู้สึกหงุดหงิดที่สุดจึงมาระบายกับนาง "
    " ข้ามีเรื่องนึงอยากให้ท่านช่วย "
    " .. ไปหาอาฮุย บอกความจริงกับเค้า "

    ทั้งคู่มาบ้านอาฮุยแต่ไม่เจอใคร
    " ดูนี่สิ " ก๊วยซงเอี๊ยงเห็นผ้าห่มยุบยวบกลางเตียง
    ลี้คิมฮวงดึงผ้าออกก็เจอทางลับเป็นอุโมงค์ลอดใต้ผิวภูเขาถึงกลางทางมีแยกไปซ้ายกับขวา
    " แท้ที่จริงที่นี่มี ทางลับ มิน่าล่ะข้าจึงไม่พบ ลิ้มเซียนยี้ "
    พวกเขาโผล่ขึ้นมาห้องนอนในหอน้อยจริงๆแต่ ลิ้มเซียนยี้ ย่อมไม่คอยท่า มีเพียงดรุณีน้อยชุดแดง " พวกท่าน? "
    " ลิ้มเซียนยี้ กับ อาฮุย อยู่ไหน "
    " ไปแล้ว "
    " ไปที่ไหน "
    " บ่าวไพร่เช่นข้าไหนเลยจะรู้ได้ ก่อนนางจากไปได้ฝากจดหมายให้ท่าน "
    .. ลี้คิมฮวง ถ้าหากท่านอยากเจอพวกเราก็เชิญรอไปเหอะ ..

    ณ โรงเตี๊ยมสุดหรูแห่งหนึ่ง ห้องหับนั้นกว้างขวางยิ่ง ผ้าปูที่นอน,พื้นพรม ป้านน้ำชา,ถ้วยชา ล้วนสะอาดสะอ้าน ลิ้มเซียนยี้ นั่งอยู่ที่หัวเตียง,เย็บกระดุมเสื้อ อาฮุย ยืนอยู่ริมหน้าต่างทอดสายตาทะลวงความมืดมิด
    " ข้ารู้ว่าท่านกับเค้าเป็นเพื่อนกัน แต่เมื่อเราถอนตัวจากยุทธภพแล้วก็ควรที่จะหลบหน้าเค้า จริงมั้ย .. เอ๋ อิ่มแล้วเหรอ "
    " ข้าอิ่มแล้ว "
    " ข้ารินน้ำชาให้นะ " แอบใส่ยานอนหลับ
    " ขอบใจมาก "
    " ลมแรงจัง ท่านเป็นอะไรไปน่ะ " เห็นอาฮุยป้องปากหาว
    " ข้าคงสบายเกินไป อิ่มปุ๊บก็ง่วงปั๊บ "
    " งั้นจงนอนก่อนเถิด "

    วิกาลคล้อยดึก ลมโชยพัดต้นง่อท้งพริ้วเบา ห้องแถวด้านทิศใต้มีหน้าต่างบานหนึ่งเปิดออกพอเห็นแสงโคมสีเรื่อเหลือง
    " ท่านคือ เก็งบ้อเมี่ย เหรอ? ข้าได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานแล้ว "
    บุรุษผู้นั้นยืนกอดอก ดูคล้ายรูปปั้นศิลา ดวงตาสีเทาหม่น กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา " อย่าเข้ามานะ คิดจะคุยกับข้าเจ้าต้องจำเอาไว้อย่างนึง ข้าเป็นคนถามแต่ไม่ตอบ "
    " ได้ "
    " เจ้าคือ ลิ้มเซียนยี้ คนที่นัดข้ามาคือเจ้า "
    " ถูกต้อง "
    " ผู้ที่สามารถบอกว่านัด ลี้คิมฮวง มาให้ข้าฆ่าเค้าได้คือเจ้า "
    " ถูกต้อง "
    " เจ้ามีเจตนาอะไร "
    " เพราะข้ารู้ว่าพรรคเหรียญทองคิดครองยุทธภพ เจ้าต้องฆ่าลี้คิมฮวง "
    " แล้วเจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าจะยอมช่วยเจ้า " เก็งบ้อเมี่ยเดินไปข้างโต๊ะ หันหลังทำทีไม่สนใจนาง รินน้ำชาถ้วยหนึ่งกรอกปากตามยาปลุกเซ็กซ์
    " ท่านลองหันกลับมาดูก็จะรู้ว่าเพราะอะไร " ลิ้มเซียนยี้กลอกตาหวานเยิ้ม ปลดเสื้อออกโชว์เนินนมเต่งตึง,ขาวสล้าง
    " มิน่าคนเค้าถึงพูดกันว่าลิ้มเซียนยี้ชอบยั่วยวนผู้ชาย " ตบหน้านางฉาดใหญ่
    " ท่าน ! "
    " แล้วเจ้าก็ทำสำเร็จด้วย " ผลักลิ้มเซียนยี้ลงไปนอนแผ่หลาอ้าซ่า
    " อุ๊ยต๊าย ซาดิสม์ ก็ไม่บอก ข้านึกว่าท่านไม่ชอบผู้หญิงซะอีก "
    แสงเทียนในห้องดับสนิทแต่ไฟราคะบุรุษและสตรีคุโชนร้อนแรงยิ่ง ความเงี่ยนไม่เคยปราณีใคร

    บ้านเหมยหิมะ
    " เจ้ามาหาใคร " ก๊วยซงเอี๊ยง
    " ลี้คิมฮวง อยู่รึไม่ " พลนำสาร
    " ไม่อยู่ มีอะไร "
    " รองประมุขรอพบอยู่ศาลาจิ้งจอกบิน " ยื่นเทียบเชิญ
    .. ศาลาจิ้งจอกบิน เก็งบ้อเมี่ย .. ข้าไปก่อน ก๊วยซงเอี๊ยง .. ลี้คิมฮวงกลับมาเห็นกระดาษวางบนโต๊ะ

    " เจ้ามาทำไม ข้านัดลี้คิมฮวงนี่ " เก็งบ้อเมี่ย ฉุน
    " ลี้คิมฮวงอยู่อันดับ 3 ข้าอยู่อันดับ 4 แป๊ะเฮี่ยวเซ็ง ไม่จัดให้เจ้าติดอันดับใด ไฉนเจ้าจะคู่ควรมาท้าสู้กับเค้า "
    " วอนตายซะแล้ว ! "

    ในป่าปังปรากฏรอยคมมีดกรีดผ่านโคน ต้นแล้วต้นเล่า สายลมม้วนพัดใบไม้แดงกระเซ็นด้วยพิรุณโลหิตร่วงเกลื่อนพสุธา ตีวงปลิดปลิวเป็นระลอก บริเวณนั้นเงียบสงัดชั่วครู่ การต่อสู้สิ้นสุดลง เสียงน้ำรินหลั่งสั่งลาสะอื้นไห้ไว้อาลัยต่อผู้แพ้พ่าย
    " พี่ก๊วย พี่ก๊วย .. " ลี้คิมฮวงลากศพก๊วงซงเอี๊ยงขึ้นมาจากหนองน้ำ ผิวกายมันซีดเทา เสื้อผ้าบนร่างถูกคมกระบี่กรีดขาดหลายแห่ง ปากแผลแบะอ้าไม่เห็นคราบโลหิตเกาะติดแล้ว

    " ฟังว่าเจ้าฆ่าคนเพื่อผู้หญิงคนนึง " เซียงกัวกิมฮ้ง
    " ใช่ " เก็งบ้อเมี่ย
    " เพลงกระบี่ก๊วยซงเอี๊ยง อันดับ 4 เป็นเช่นไร "
    " ดีมาก เหนือกว่า 7 เจ้าสำนักกระบี่แห่งยุค เสียดายเค้าเปิดจุดอ่อนถึง 3 ครั้ง "
    " เจ้าควรรู้จุดอ่อนเหล่านั้นมันจงใจเปิดเผย "
    " เพราะอะไร "
    " มันรู้ว่าตัวเองสู้เจ้าไม่ได้จึงทำเช่นนั้น เมื่อลี้คิมฮวงเห็นบาดแผลแล้วจะได้รู้ ท่าไม้ตาย ของเจ้า .. จะไปไหน "
    " ถ้าไปฆ่าลี้คิมฮวงตอนนี้ก็ยังทัน "
    " ข้ารู้เจ้าอยากจะพิสูจน์ฝีมือกับลี้คิมฮวง แต่ว่าตอนนี้เจ้าไปไม่ได้ "
    " เพราะอะไร "
    " เจ้าไปตอนนี้ต้องแพ้แน่ "
    " ใครบอก? "
    " ข้าบอกไงล่ะ เจ้าฆ่าก๊วยซงเอี๊ยงจนสิ้นโหด ส่วนลี้คิมฮวงสุมด้วยเพลิงแค้น จิตสังหารมันเหนือกว่าเจ้า 3 ส่วน บวกกับวันนี้เจ้าไม่เหมือนเมื่อวาน "
    " ข้ายังเป็นข้า ! "
    " เมื่อวานเจ้าชนะเพราะ ไร้ น้ำใจ วันนี้เจ้ายอมทำงานให้ผู้หญิงคนนึงนั่นคือ มี น้ำใจ ทั้งตนและกระบี่ย่อมด้อยกว่าวันวาน เก็งบ้อเมี่ยหากเจ้าอยากฆ่าคนก็จงไปฆ่าผู้หญิงที่ทำให้เจ้าหวั่นไหว "

    " มาครบทุกคนแล้วใช่มั้ย " ลิ้มเซียนยี้เรียกบรรดาผัวน้อยระดมพล พวกมันต่างเขินอายไม่กล้ามองหน้ากันเอง
    " คร๊าบบบบ "
    " นี่คือเงินค่าสินค้าที่แม่นางลิ้มขายที่หอนางโลม และ ฝิ่น ทั้งหมด 1 ล้านตำลึง " พ่อบ้านเอ่ย
    " จริงสิแม่นางลิ้ม ท่านเรียกพวกเราพี่น้องมานี่มีอะไรให้รับใช้เหรอ "
    " ลี้คิมฮวงมาหาอาฮุย ข้าให้เก็งบ้อเมี่ยไปฆ่ามัน แต่เค้าฆ่าผิดคน ดังนั้นจึงนัดพวกท่านไปฆ่า ลี้คิมฮวง ซะ "
    " ไม่จำเป็น เพราะ คนตาย ฆ่า คนเป็น ไม่ได้ " เก็งบ้อเมี่ยโผล่พรวด
    " เก็งบ้อเมี่ย ท่านมาที่นี่ทำไม "
    " ข้ามาฆ่าคน "
    " งั้นก็แปลว่ามาฆ่า เรา น่ะสิ ! " พูดไม่จบคำก็ชะตาขาดตายหมู่เรียบ

    " ใครให้ท่านมาฆ่าข้า " ลิ้มเซียนยี้ข้องใจเก็งบ้อเมี่ย
    " ข้าเอง " เซียงกัวกิมฮ้งปรากฎกาย
    " ทำไมท่านจึงให้เค้ามาฆ่าข้าด้วย "
    " เพราะมือสังหารของพรรคเหรียญทองไม่อาจมี รัก ได้ "
    " อ๋อ ที่แท้ท่านคือ ประมุข เซียงกัวกิมฮ้ง ของพรรคเหรียญทอง ท่านรู้มั้ยข้าฆ่าคนเก่งกว่า เก็งบ้อเมี่ย มากนัก "
    " เพราะ "
    " เก็งบ้อเมี่ยฆ่าคนโดยใช้มีดแต่ข้าไม่ ข้ามีอะไรหลายอย่างที่ เก็งบ้อเมี่ย ไม่มีด้วยล่ะ " ลิ้มเซียนยี้มามุกเดิม,แก้ผ้าอล่างฉ่าง
    เซียงกัวกิมฮ้งหน้ามืดตัณหากลับ วัวแก่กระสันเสียวอยากกินหญ้าอ่อน,เล็มขนอุยตรงหว่างขา " มาซี่ มามะ ฮ่า ฮ่า"

    โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งตั้งอยู่ริมถนน บรรยากาศครึกครื้นยิ่ง ทั้งการค้าการละเล่นนานัปการ สารพัดวิธีเรียกแขกสองข้างทาง
    " เชิญครับ เชิญนั่ง ทานอะไรดีครับ " เถ้าแก่กลีกุจอ
    " อะไรก็ได้ ไม่ทราบว่าพักนี้เจ้าสังเกตเห็นผู้หญิงชุดเขียวมากับผู้ชายสวมชุดสีฟ้าหรือไม่ " ลี้คิมฮวง
    " ข้าไม่เคยสังเกต "
    " ขอบใจนะ "
    " ไม่เป็นไร "
    " เสี่ยวเอ้อ ๆ " คนจรจัดเนื้อตัวมอมแมม,เสื้อผ้าที่สวมใส่ขาดวิ่นมีรอยปะชุนหลากสี แลดูคล้ายสมาชิกพรรคกระยาจก
    " คร๊าบ มาแล้ว โคตรเหม็นเลยว่ะ อ้า รับอะไรดีครับ "
    " เนื้อ 1 จาน เหล้า 2 ชั่ง " มันใช้ผ้าเช็ดซอกนิ้วเท้าที่วางพาดโต๊ะ
    " เช็ดบิล กินต่อไม่ไหวโว้ย ! ไม่เคยอาบน้ำมั่งรึไง " ลูกค้าโต๊ะข้างๆเผ่นหนีหมด
    สักพักมีแขกทะยอยเข้ามาใหม่ หมอดูตาบอด สตรีตาเดียว ชายฉกรรจ์เสื้อฟ้า คนหาบเร่ขายเต้าหู้ " .. เหล้ามาแล้วจ้า เหล้าเลิศรสเชิญซดให้แซ่บ .. น้ำตาลปั้น อยากขายจ้า .. หมอดูแม่นๆ .. "
    " เฮ้ย ลุกขึ้นซิ " พ่อค้าเร่,หัวโจกเกรี้ยวกราด
    " เรียกข้าเหรอ " คนจรจัดงง
    " ใครจะไปเรียกเจ้าไอ้เหม็น คนเสื้อฟ้าโน่น "
    " ข้ารู้ว่าเจ้ายอมตายเพื่อเงิน เอาไป " คนเสื้อฟ้าที่นั่นหันหลังร่วมโต๊ะลุกขึ้น,โยนเงินให้
    " รู้ได้ไงว่าข้ายอมตายเพื่อเงินน่ะ " คนจรจัดรับไว้ หันมาฟาดไม้เท้าใส่พวกอันธพาล

    " อาฮุย " ลี้คิมฮวงวิ่งตามอาฮุยออกไปนอกร้าน
    " ฮะ ฮะ ฮ่า เงินข้า(ลี้คิมฮวงเห็นชายเสื้อสีฟ้าข้างกองฟางจึงตามประกบติด แต่กลายเป็นคนจรจัดอยู่ที่นั่น) เฮ้ย เงินข้านะ คนอะไรอยู่ดีๆก็มาแย่งเงินชาวบ้านเค้า "
    " สหาย ข้าไม่คิดแย่งเงินเจ้าหรอกนะ มีเรื่องอยากถามเจ้า เพียงตอบข้าเรื่องนึงแล้วจะคืนเงินให้ทันที "
    " เรื่องเดียวนะ ด๊าย "
    " สหายของเจ้าที่ใส่ชุดสีฟ้าเค้าอยู่ที่ไหน "
    " สหาย อ้ะ เค้าไม่ใช่สหายข้า ขอทานอย่างข้ามีสหายที่ไหนเล่า "
    " งั้นเมื่อกี้ทำไมเจ้าถึงช่วยเค้า "
    " เอ ไหนบอกว่าถามแค่เรื่องเดียวไง เดี๋ยวจิ้มเลย " มันใช้พลังดัชนีอรหันต์จู่โจมแต่ลี้คิมฮวงไหวทัน
    " ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่ขอทานธรรมดาๆแน่ เพราะหากเจ้าเป็นขอทานธรรมดาทำไมเมื่อกี้ข้าตามเจ้าแทบไม่ทัน (พวกหมาหมู่ที่แสร้งต่อสู้กับคนจรจัดโผล่จากที่กำบัง) นี่ต่างหากเพื่อนเจ้า "
    " ถูกต้อง ความจริงพวกเรารับจ้างคนผู้หนึ่งมาจับเจ้า พวกเรารู้ว่าเจ้ากำลังตามหา อาฮุย อยู่ก็เลย .. " คนเสื้อฟ้าที่ปลอมตัวเป็นอาฮุยก้าวออกมา
    " ตีบทแตกกันเหลือเกินนะ "
    " เอ้า ไม่งั้น ลี้คิมฮวง จะหลงกลเรอะ " คนจรจัด
    " ช่าย ๆ อย่ากระนั้นเลย สามัคคีบาทา ลุย ! " ลูกสมุนขานรับ
    " ฮั่นแน่ โซเซแล้ว เป็นไงรู้สึกมึนงงสินะ "
    " นี่มันเรื่องอะไรกัน " ลี้คิมฮวงสบัดหน้า
    " เจ้าถือเงินของข้าเอาไว้ในมือไม่ใช่เหรอ มันฉาบยาพิษ หมื่นภูเขาพับผ้าห้าร้อยลูก เจ้าจับถูกมันทั้งร่างกายจะไร้กำลัง โยนทิ้งตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว ข้ารู้ว่ามีดบินเจ้าร้ายกาจแค่ไหน ดังนั้นจึงจ้องทำเช่นนี้ "
    " เจ้าทำอย่างนี้เพื่ออะไรกัน แกเป็นใครกันแน่ "
    " อ๋อ อยากรู้รึ ชาวบ้านเรียกข้าว่า เจ้าบ้าโอ้วผู้งมงายเงินตรา โอ้วปุกกุย รับจ้างหลอกลวงต้มตุ๋นคน ผู้ว่าจ้างข้าก็คือเค้า .. "
    " เซียงกัวปวย "
    " เงินอยู่นั่น " เซียงกัวปวยกวักมือเรียกสมุนหาบหีบสมบัติมากองต่อหน้าแก๊ง 18 มงกุฏ
    " ลี้คิมฮวง เรื่องระหว่างเรายุติเท่านี้ หลังจากนั้นข้าไม่เกี่ยว เรื่องเสียวข้าไม่ชอบ จะฆ่าเค้าก็เร็วหน่อยก่อนยาสลบจะหมดฤทธิ์ เราเตือนท่านแล้วนะ เด็กๆไปได้ "

    " เก็งบ้อเมี่ยบอก พ่อ ว่าจะฆ่าเจ้า นึกไม่ถึงข้าจะเร็วกว่ามัน ในที่สุดข้าจะได้อวดผลงานต่อหน้าท่านพ่อแล้ว " เซียงกัวปวยลำพองใจ
    " ไม่ คนที่จะฆ่าลี้คิมฮวงได้ก็คือข้า เก็งบ้อเมี่ย " เก็งบ้อเมี่ยแซงคิว
    " เก็งบ้อเมี่ย นี่เจ้า "
    " หากว่าเจ้ากล้าแตะลี้คิมฮวงข้าจะฆ่าเจ้า เซียงกัวปวย ข้าได้ประกาศต่อหน้า พ่อ ของเจ้าว่าข้าจะสังหารลี้คิมฮวงเอง "
    " ไม่ เจ้าก็ฆ่าเค้าไม่ได้ " บุรุษเสื้อฟ้าตัวจริงโผล่
    " อาฮุย "
    " ข้ามาตามหาลิ้มเซียนยี้บังเอิญผ่านมาทางนี้ "
    " เจ้าคืออาฮุยผู้โด่งดังงั้นเหรอ " น้ำเสียงเก็งบ้อเมี่ยฟังดูเย้ยหยันอยู่ในที
    " ข้านี่แหละ "
    " ท่าทางเจ้าเหมือนพวกนักศึกษามากกว่า " มันเหยียดตามอง
    " ในมือนักศึกษาคนนี้ก็มี กระบี่ ด้วย "
    " อาฮุยอย่าลงมือนะ เค้าคือเทพดาบซ้าย เก็งบ้อเมี่ย ผู้เลื่องลือ "
    " ต่อให้เก่งกาจแค่ไหนก็ไม่อาจฆ่าลี้คิมฮวงต่อหน้าข้าได้ "

    ระหว่างทั้งคู่งัดเพลงดาบโรมรันประชิดตัว เซียงกัวปวยซัดลูกดอกหมายสังหารลี้คิมฮวงทีเผลอก่อนเผ่นหนีพร้อมสมุน อาฮุยใช้สันดาบกันไว้ทัน,ปลายมีดจ่อคอคู่อริ ในทางกลับกันกระบี่ของเก็งบ้อเมี่ยจิ้มถึงลูกกระเดือกอาฮุยแล้ว
    " เจ้าคงไม่ได้สู้กับใครมานาน เมื่อเจอคู่ปรับเช่นข้าไหนเลยจะแบ่งสมาธิไปช่วยใครได้อีก " เก็งบ้อเมี่ยสำทับ
    " ทำไมไม่ฆ่าข้า " อาฮุยรับสภาพ
    " เพราะวันตายของเจ้าไม่ใช่วันนี้หรอก เจ้าไม่คู่ควรต่อสู้กับข้า "
    " ฟังว่าหลายปีมานี้คนที่เก็งบ้อเมี่ยคิดฆ่าไม่เคยรอดมือไปได้ " ลี้คิมฮวงขยับตัว
    " ใช่ เพราะหากพวกมันอยากมีชีวิตรอดต้องฆ่าข้าก่อน แต่ในเมื่อข้ายังไม่ตายดังนั้นพวกมันจึงไม่รอด "
    " เจ้าบอกจะฆ่าข้าลี้คิมฮวง "
    " เพราะข้าเกลียดคำว่า มีดบินลี้น้อย ไม่เคยพลาดเป้า 8 คำนี้ "
    คลี่พัดดูตัวอักษรหน้าหลังเช่นว่า " ยุทธภพก็เช่นนี้ ข้าน่ะเสียใจยิ่งนักว่าข้าทำไมถึงมีชื่อเสียง ฮะ ฮะ ฮ่า "
    ลี้คิมฮวงจับทางเพลงกระบี่เก็งบ้อเมี่ยได้แทบทุกกระบวน สันพัดเหล็กปะทะคมมีดเกิดสะเก็ดไฟกระเซ็น ทั้งคู่หกคะเมนตีลังกาด้วยท่วงท่าพิศดาร พลันจอมยุทธบัณฑิตใช้วิชาตัวเบาท่าเหยี่ยวถลาลมซัดมีดสั้นใส่ลูกกำพร้า
    " มีดบินลี้น้อยไม่เคยพลาดเป้าจริงๆ " มือซ้ายเก็งบ้อเมี่ยถูกมีดปักคา
    " แต่เจ้าก็กันมันได้ "
    " นั่นเพราะเจ้าใช้แรงเพียง 3 ส่วน ไม่งั้นมีดนี้คงทะลุฝ่ามือทิ่มเข้าคอไปแล้ว ทำไมไม่ฆ่าข้าซะ "
    " ข้อแรก อาจเพราะข้าถูกวางยาสลบเรี่ยวแรงยังไม่ฟื้นคืน ข้อสอง ข้าชดใช้ที่เจ้าไม่ฆ่าอาฮุย "
    " เจ้าจงฟังข้าให้ดี ข้า เก็งบ้อเมี่ย ไม่ขอรับบุญคุณใคร เพราะข้าไม่ต้องการติดค้างใคร " ตบสันมีดทะลุมือ
    " ฝ่ามือเมื่อครู่นี้เท่ากับตัดเอ็นข้อมือตัวเอง " อาฮุย
    " เทพดาบซ้าย ชาตินี้คงไม่อาจใช้มือซ้ายได้อีกแล้ว " ลี้คิมฮวงสลดใจ
    -------------------------------------------
    3. โรงเตี๊ยมยู่ฮุ้น(เมฆเทียมฟ้า)เป็นโรงเตี๊ยมใหญ่ที่สุด แพงที่สุดในเมือง ขึ้นชื่อว่าเป็นโรงเตี๊ยมละลายทรัพย์ แขกพักอาศัยหากมีเงินทองเหลือเฟือไม่จำเป็นต้องก้าวออกจากประตูก็จะเสพรับความสุขสันต์หรรษา อาหารเลิศรส นักร้องดัง นางคณิกาบริการถึงเตียง เสียงชนแก้วสลับเสียงหัวร่อเจื้อยแจ้วมิเคยหลับไหล
    " เราสองคนไม่ได้ดื่มเหล้าด้วยกันมานาน จริงสิแล้วจู่ๆทำไมเจ้าไปที่นั่นได้ " ลี้คิมฮวง
    " หลังจากที่ข้ากับ เซียนยี้ ออกจากบ้านดอกเหมยก็พักอยู่ที่โรงเตี๊ยม แต่นึกไม่ถึงเลยวันนึงข้าตื่นขึ้นมา เซียนยี้ ก็หายไป ข้าเที่ยวตามหานางจนมาเจอเจ้า เจ้าไปที่นั่นได้อย่างไร " อาฮุย
    " ประการแรกข้าไปตามหาเจ้า อีกประการนึงข้ารู้ว่าพรรคเหรียญทองอยู่ที่นั่น ข้าอยากจะเจอ เซียงกัวกิมฮ้ง นึกไม่ถึงจะเจอ โอ้วปุกกุย แทน "
    " นายท่าน .. " เสี่ยวเอ้อยกสำรับกับแกล้มมาบริการ
    " เราไม่ได้สั่งอาหารนี่นา มาได้ไง? "
    " คุณชายสวมชุดขาวผู้นั้นเลี้ยงเอง ข้าเก็บตังค์เค้ามาแล้วรีบกินเหอะ เดี๋ยวเค้าเอาคืน "
    " พี่ชายท่านนี้ชื่อแซ่ใด เคยรู้จักข้ามาก่อนหรือไม่? "
    " ข้าไม่ใช่พี่ของใคร ในยุทธภพหลายคนจำเป็นต้องรู้จักยอดฝีมือ ลี้คิมฮวง เป็นหนึ่งในนั้น "
    " นามอันสูงส่งของท่านคือ "
    " ลื่อหงโซย "
    " จ้าวทวนเงิน " อาฮุยคราง
    " ที่แท้ก็คือจอมยุทธลื่อนี่เอง มาดื่มกับเราเถอะ "
    " ไม่ ขอบคุณ ผู้ที่คู่ควรดื่มสุรากับข้ามีไม่กี่คนหรอก ทั้งร้านนี้มี ลี้คิมฮวง แต่เพียงผู้เดียว เดิมทีก็มีคนนึงแต่เสียดายเค้า ตาย ซะแล้ว (มอง อาฮุย ด้วยหางตา) ยิ่งกว่านั้นเค้าไม่ได้ตายด้วย กระบี่ แต่เค้าตายอยู่บนเตียงผู้หญิง "
    " เดี๋ยวอาฮุย ลื่อหงโซย เป็นยอดฝีมืออันดับ 5 อย่าต่อสู้กับเค้าเลย " ลี้คิมฮวงปราม
    " หากถูกตราหน้าว่าตายทั้งเป็นมิสู้ตายจริงซะดีกว่า อีกอย่างนึง ข้าอยากจะรู้ว่า กระบี่ ของข้า ช้า เพียงใด "

    อาฮุยตวัดกระบี่ฟาดฟันอย่างบ้าเลือด ลื่อหงโซย ได้แต่ปัดป้อง เพลงทวนมันเหนี่ยวรั้งให้ช้ากว่าอาฮุยหนึ่งจังหวะ และก็ได้ผล ทวนคู่ชีพถูกกระบี่งัดไปอยู่ในมือฝ่ายตรงข้าม
    " ไม่นึกเลยว่าคนตายแล้วแต่เพลงกระบี่ยังมีชีวิตชีวา "
    " ต่อไปเจ้าดื่มเหล้ากับใครอย่าลืมทดสอบเพลงกระบี่ก่อนนะ " อาฮุยสบัดทวนคืน
    " เถ้าแก่ค่าเหล้าของสหายผู้นี้ลงบัญชีข้าเอาไว้ "
    " ครับท่าน "
    ความอัปยศอดสูมลายไป ความเชื่อมั่นหยิ่งผยองเข้ามาแทนที่ ขอเพียงแต่ ชัยชนะ มิได้มุ่งหวังเด็ดชีพผู้ใด

    เป็นครั้งแรกในชีวิตที่อาฮุยหลับสนิท พักผ่อนด้วยความสบายใจจริงๆ ลี้คิมฮวงค่อยย่องออกจากห้องไปยังลานกว้างหลังโรงเตี๊ยมอีกแห่งหนึ่ง
    " ท่านมาแล้วเหรอ " ลื่อหงโซยยืนปักหลักรออยู่
    " น้ำใจของท่านไม่ขอบคุณได้เช่นไร "
    " ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอกนี่เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนกัน ท่านให้ข้าแกล้งแพ้อาฮุยเพื่อสร้างความมั่นใจแต่ท่านก็ต้องทำงานให้ข้าอย่างนึง "
    " ถูกต้อง "
    " ข้ายังไม่ได้บอกเลยว่าจะให้ท่านทำอะไร? "
    " ดังนั้นท่านจึงสามารถใช้ข้าได้ทุกเรื่อง "
    " หากข้าให้ท่าน ฆ่า ข้าล่ะ .. หึ เสียดาย เสียดายที่จ้าวทวนเงินได้ตายไป 10 ปีแล้ว "
    " แต่ว่าท่าน .. "
    " หึ ข้าบอกว่าจ้าวทวนเงินตาย แต่ข้า ลื่อหงโซย ยังอยู่ ทั้งนี้เพราะ แป๊ะเฮี่ยวเซ็ง จัดทวนเงินของข้าอยู่อันดับ 5 ถือว่าเป็นการดูหมิ่นข้า ดังนั้น 10 ปีมานี้ข้าจึงซุ่มฝึกใช้อาวุธอื่น ข้าอยากรู้ว่า กระบี่ ใน ทวน เล่มนี้จัดอยู่ในอันดับใด "
    " ท่านฝึกมา 10 ปีรอข้าอยู่ที่นี่ แกล้งแพ้ให้อาฮุยเพียงต้องการทำแค่นี้เองอย่างงั้นเหรอ "
    " ถูกต้อง นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการให้ท่านทำ เชิญ "
    " เฮอะ ยุทธภพนี้ช่างแปลกยิ่งนัก ล้างแค้นก็สู้ แทนคุณก็ต้องสู้ "
    " รับมือ "
    ยามนี้เพลงกระบี่ลื่อหงโซยรวดเร็วกว่าร่ายรำทวนยิ่งนัก ลี้คิมฮวงตั้งรับรอจังหวะอยู่นานจนคู่ปรับชะล่าใจ หารู้ไม่ว่ามีดสั้นบินแหวกอากาศออกมาจากร่องพัดสู่เป้าหมายภายในพริบตาเดียว
    " พัดกระดาษไม้ของลี้คิมฮวงร้ายกาจนัก "
    " ลี้คิมฮวงล่วงเกินแล้ว "
    " มีดบินของลี้น้อยไม่พลาดเป้าจริงๆ " ดึงมีดสั้นจากหลังมือข้างที่ใช้ป้องลำคอแล้วหักกระบี่ตนเองทิ้งไปไม่ไยดี " จากนี้ไปท่านจงบอกกับทุกคนว่า ลื่อหงโซย ได้ตายไปแล้วจริงๆ "
    " เดี๋ยว อีก 10 ปีท่านจะมาอีกมั้ย "
    " ชั่วชีวิตคนเราหาได้มี 10 ปีใช้ได้หลายครั้ง 10 ปีที่ ใช้ได้ ของข้า ข้าได้ใช้หมดแล้ว " ลื่อหงโซยคอตกเดินจากไปคล้ายคนไร้วิญญาณ

    " ข้าตามหาเจ้าแทบแย่ เจ้าไปไหนมา " ลิ้มเซียนยี้โผล่มาถึงห้องในโรงเตี๊ยมราวล่องหน
    " เอ๊ะ เจ้ารู้ได้ไงว่าข้าอยู่นี่ " อาฮุยตะลึง
    " ข้ารู้ว่าเมื่อวานท่านประมือกับ ลื่อหงโซย จึงตามมาถูก "
    " ลิ้มเซียนยี้นี่เจ้าจะพาเค้าไปอีกเหรอ " ลี้คิมฮวงปราม
    " ลี้คิมฮวงเค้าไปกับข้าหรือจะไปกับท่านน่ะ "
    " อาฮุยครั้งนี้ข้าเที่ยวตามหาเจ้าไปทั่วนะ ยุทธภพมีงานนึงรอเราไปจัดการ "
    " เรื่องอะไรเหรอ "
    " ตอนนี้พรรคเหรียญทองเรืองอำนาจสร้างความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า เซียงกัวกิมฮ้งคิดยึดครองยุทธภพ เรื่องนี้ .. "
    " เอ๊ะ ข้าพูดถูกใช่มั้ยที่เค้าตามหาท่านก็เพื่อหลอกใช้ "
    " ลิ้มเซียนยี้พอทีเหอะ เจ้าปล่อยอาฮุยไปได้มั้ยหรือว่าเจ้าต้องทำลายเค้าให้ย่อยยับเสียก่อนจึงยอมปล่อย หรือจะให้ข้าบอก ความจริง ให้เค้ารู้เสียก่อน ! "
    " นี่ " ลิ้มเซียนยี้เงื้อฝ่ามือจะตบหน้าลี้คิมฮวงแต่เขายึดมือทัน
    " หยุดนะ ! ถึงตอนนี้เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ หากว่าเจ้าทำร้ายเซียนยี้เราจะไม่เป็นเพื่อนกันอีกต่อไป .. " อาฮุยยื่นคำขาด
    " อาฮุยหลายปีมานี้เจ้าไม่รู้หรือว่าโดนนางหลอก นางคือคนที่ ลื่อหงโซย ประณามว่าไม่คู่ควรรักใคร "
    " หุบปาก เพราะคำพูดนี้เจ้าไม่เห็นหรือไงว่า ลื่อหงโซย เจออะไรบ้าง มาวันนี้ข้าไม่อยากให้ประโยคนี้ทำให้ข้าต่อสู้กับเจ้า "
    " ข้ารู้แต่แรกแล้วว่านางจะเป็นผู้นำความทุกข์มาสู่เจ้า "
    " เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้ากำลัง สุข หรือว่า ทุกข์ จะว่าไปเจ้าเคยทำให้ใครมีความสุขบ้าง อย่าลืมสิที่สวนหลังบ้านของเจ้ายังมีผู้หนึ่งที่ทุกข์ระทมเดียวดายกว่าเจ้า " อาฮุยต่อว่าเช่นนี้ทำให้ลี้คิมฮวงถึงขั้นกระอักเลือด
    " ลี้คิมฮวง ข้าพา อาฮุย ไปได้ใช่มั้ย "
    " พวกเราจะไปไหนกัน "
    " ข้าจะพาท่านไปพบคนผู้นึง "

    ณ พรรคเหรียญทอง มีห้องโถงกว้างใหญ่ราวท้องพระโรง
    " เค้าคือ อาฮุย เหรอ " เซียงกัวกิมฮ้งนั่งบัลลังก์วางมาดปานฮ่องเต้
    " ถูกต้อง เค้าคือ อาฮุย ผู้ถูกกล่าวขานคู่กับ ลี้คิมฮวง " ลิ้มเซียนยี้หน้าบาน
    " ไหนเจ้าบอกว่าจะถอนตัวจากยุทธภพไงล่ะ " อาฮุยตัดพ้อคนรัก
    " เอ๋ เราอยู่ที่พรรคเหรียญทองปลอดภัยกว่าที่อื่นนะ ก่อนนี้เราอยู่ที่ใด ลี้คิมฮวง ก็หาเจอ "
    " แต่นี่ ลี้คิมฮวงบอกว่า .. "
    " เฮ่ย ท่านยังเชื่อเค้าอีกเหรอ "
    " อาฮุย พรรคเหรียญทองข้าใหญ่สุดในยุทธภพ เจ้าได้มาอยู่ด้วยยังคิดอะไรอีกเหรอ "
    " ท่านวางใจเถอะข้าไปไหนเค้าก็ไปที่นั่น อย่าว่าแต่เค้ามาที่นี่เพื่อเป็น รองประมุข พรรคเหรียญทองเลย "
    คำว่า รองประมุข สะกิดใจดำเซียงกัวกิมฮ้ง มันเดินออกมานอกห้องโถง ชายตามอง เก็งบ้อเมี่ย ซึ่งยืนนิ่งราวองครักษ์เฝ้าประตู " ข้าไม่อาจให้คนจับดาบไม่ได้มายืนอยู่ข้างกายข้า พรรคเหรียญทองมิอาจให้ คนพิการ ดูแลได้ "
    กลับเข้ามาโอ๋บริวารใหม่ " อาฮุยในเมื่อเจ้าเป็นคนของพรรคเราแล้วจากนี้เราก็เป็นคนกันเอง "

    " ยังไม่ทันสว่างหรือนี่ เซียนยี้ ๆ ๆ " อาฮุยเผลอตื่นขึ้นกลางดึก เดินงัวเงียจากเรือนพักรับรอง ตามเสียงหัวร่อต่อกระซิกสลับเสียงครางกระเส่าแว่วมา แสงไฟสลัวตัดเงาขย่มกันวูบวาบ ณ ที่รโหฐาน มันมองผ่านผนังกระดาษเห็นภาพบาดตาจึงเตะประตูเปิดโครม
    " นี่เจ้าเข้าห้องคนอื่นไม่เคย เคาะ ประตูเลยหรือไง " เซียงกัวกิมฮ้งรีบใส่ชุดคลุมขณะลิ้มเซียนยี้ฉวยผ้าห่มทาบทับร่างเปลือยเปล่า
    " คืนเซียนยี้ให้ข้านะ " อาฮุยบันดาลโทสะ เหวี่ยงหมัดซ้ายขวาใส่เฒ่าบ้าตัณหาแต่จั่วลม ครั้นดึงกระบี่ไล่แทงกลับหลุดไปอยู่ในมือปรปักษ์
    " คนเค้าพูดกันว่า อาฮุย เป็นจอมยุทธผู้ยิ่งใหญ่ แท้ที่จริงก็เป็นพวก สวะ ที่เห็น ผู้หญิง มีค่ากว่าชีวิต (ตบสั่งสอนอาฮุยล้มกลิ้ง กระชากคอเสื้อดึงร่างขึ้นมา) เจ้าอยากได้ผู้หญิงเหรอ ได้ ตามข้ามา เข้าไปนี่คือ ฮาเร็ม ,แหล่งมอมเมาผู้คนในพรรคเรา เจ้าอยากได้ผู้หญิงใช่มั้ย ที่นี่มีเพียบ คนนี้น่ารักมั้ย นี่ก็สาวซิงๆ ไม่ชอบเหรอ คนนี้อายุมากหน่อยแต่ลีลาสุดยอดนา "
    " ไม่นะ ไม่ ไสหัวออกไป "
    " ยังมีอีกนะ ไม่กล้าเหรอ กินเหล้าย้อมใจ เอา เอ้า กิน เมามายแล้วค่อยกล้าตีหม้อ ดื่มเข้าไป "
    " เซียนยี้ ๆ ๆ "

    " เจ้านัดข้าออกมาทำไม " เก็งบ้อเมี่ย
    " เพราะเจ้าเคยนัดข้าพิสูจน์ความเป็น-ตายที่นี่ " เซียงกัวปวย
    " ดังนั้นเจ้าจึงนัดข้ามาสู้กันอีกครั้งนึงงั้นเหรอ "
    " ถูกต้อง เจ้าไม่เพียงแย่ง พ่อ ข้าไป ซ้ำยังแย่งชิง ตำแหน่ง ในพรรค นับตั้งแต่เจ้ามาทุกอย่างที่เคยเป็นของข้าก็กลายเป็นของเจ้า "
    " ตอนนั้นทำไมไม่ฆ่าข้า "
    " มือซ้ายเจ้ายังไม่พิการ มันยังมีประโยชน์ให้ใช้ ตอนนั้นเจ้าเป็นเหมือนดาบของพ่อข้า แต่ตอนนี้เจ้าไม่ต่างอะไรกับเศษเหล็กแล้ว เจ้าจะเป็นหรือตายไม่มีความหมายต่อพ่อข้าอีก "
    " ถูกต้อง บัดนี้ชีวิตข้าไม่มีความหมายต่อพวกเจ้าพ่อลูก "
    " ดังนั้น ณ เวลานี้ข้าจึง ฆ่า เจ้าได้ไง "
    " เสียดายมีอยู่เรื่องนึงที่เจ้าไม่รู้ "
    " เรื่องอะไรวะ? "
    " เรื่องที่คนมีชีวิตไม่อาจรู้ได้ "
    " เฮอะ ๆ ตอนนี้ข้าก็ยังไม่ตายนี่ เจ้าจะบอกข้าหาหอกทำไม? "
    " แต่อีกไม่นานเจ้าก็จะตาย "
    " ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าจะบ้าเหรอ ก๊าก จะใช้อะไรฆ่าข้าล่ะ เอาหัวชนกันรึไง รึว่าใช้ปากกัด? "
    " ไม่ ใช้ มือขวา ของข้า (สบัดเสื้อคลุมออก) นี่คือ ชื่อ เหยื่อที่ตายไป 137 คน สิบปีมานี้ข้าไม่เคยใช้มือขวา รังสีฆ่าฟันมันแรงเกินไป จนไม่มีที่จะเขียนชื่อใครเพิ่มได้อีก (แกะสายรัดข้อมือ - ริสต์แบนด์ ออก) แต่ข้าพบว่ายังมีที่ว่างอยู่อีกแห่งนึงตรงนี้ สามารถเขียนชื่อเจ้าลงไปได้ไง ฮึ่ย "
    " มะ มือขวาเจ้า "
    " มือขวาข้าคือสภาวะที่ คนเป็น ไม่อาจรู้ได้ "

    " ผิดหวังมากกว่าสมหวัง ใช้สราดับทุกข์อีกครา เฮ่อๆ อา ลี้คิมฮวง ๆ ชั่วชีวิตนี้เจ้าได้ทำอะไรบ้าง เฮอะๆ " ลี้คิมฮวงกลายเป็นปีศาจสราอีกครั้ง
    " ดูเหมือนคืนนี้เจ้าจะดื่มมากเกินไปแล้ว เสียดายแม้เมามายก็ไม่อาจจะลืมทุกข์ได้ "
    " เก็งบ้อเมี่ย เจ้าได้กลิ่นหอมของสุราจึงมาช่วยดื่ม? " ลี้คิมฮวงทักทายคู่ปรับเก่า
    " เปล่า ข้าจะมาบอกเจ้าว่า มีคนดื่มหนักกว่าเจ้า น่าสงสารกว่าเจ้าอยู่อีกคน "
    " ใคร? "
    " อาฮุย "

    เซียงกัวกิมฮ้งเปิดที่ทำการพรรค จัดงานเลี้ยงโต๊ะระดมเงินจากนายทุน,คหบดี
    " ใต้เท้าทั้งสอง เชิญ " ประมุขพรรคเหรียญทองยกจอกสุราคารวะ
    " ท่านประมุข เชิญ " เหล่าสมาชิกกิตติมศักดิ์แซ่ซ้อง
    " เหล้า เหล้าอยู่ไหน อา .. " อาฮุยคลานลงจากเตียง " เอาเหล้าไปไหน? "
    " เหล้าน่ะเหรอ เจ้าอยากกินเหล้าใช่มั้ย เอาไป " แม่เล้าแย่งไหเหล้าจากพื้นยกขึ้นแล้วฟาดแตกโพละ กระหรี่ใหญ่น้อยหัวเราะชอบใจ
    อาฮุยโซซัดโซเซเข้ามาในห้องโถง " เหล้า เหล้า .. "
    เซียงกัวกิมฮ้งดึงจอกสุราออกจากปากอาฮุย " เหล้านี้สำหรับ คน ดื่ม ไม่ใช่เจ้า อยากกินเหล้าก็ไปซื้อข้างนอก (โยนเงินลงพื้นห่างๆ) ไปซี่ ! "
    อาฮุยถูกเหวี่ยงร่าง,คลานตามพื้นมือไม้สั่นขณะจะเก็บเงิน อาคันตุกะไม่ได้รับเชิญเหยียบแขนเขาไว้
    " ลี้คิมฮวง " เซียงกัวกิมฮ้งเบิ่งตา
    " เหล้าที่นี่รสดีกว่าข้างนอก ถ้าเจ้าอยากกินข้าจะไปรินให้ " ลี้คิมฮวงเดินไปฉวยจอกสุราบนโต๊ะมาอย่างไม่สะทกสะท้าน " เจ้าเริ่มดื่มเหล้าตั้งแต่เมื่อไหร่กันนี่ "
    " ใช่ว่าข้าอยากดื่ม ข้าไม่อาจไม่ดื่ม ดื่มแล้วไม่อาจไม่เมา "
    " คนเราบางครั้งไม่อาจไม่เมามาย แต่พอสร่างเมาแล้วทรมานกว่าขณะเมามากนัก เจ้าอยากดื่มก็ดื่มเถอะ "
    อาฮุยปัดจอกสุรากระเซ็น วิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงด้วยความคลุ้มคลั่ง
    " ลี้คิมฮวงหากคิดจะไปก็ไม่ควรมา เมื่อมาแล้วไยจึงจะไปอีก " เซียงกัวกิมฮ้งรู้สึกเสียหน้า
    " ใช่ เมื่อมาแล้วไยจึงต้องไปอีกเพราะถึงอย่างไรเจ้าต้องไปเสาะหาข้าอยู่ดี "
    " อืมม์ มีดเจ้าล่ะ? "
    ลี้คิมฮวงคีบมีดสั้นเงาวับออกมา " ห่วงของท่านล่ะ? "
    " ฮ่า ฮ่า ฮ่า 10 ปีมาแล้วที่ข้าเลิกใช้ห่วง "
    " นับถือ นับถือ ยอดเยี่ยมมากไร้ห่วงไร้ร่าง ไร้ร่องรอยให้ตามหา มิน่า ห่วงหงส์มังกร จึงอยู่อันดับ 2 "
    " มิกล้ารับ ลี้คิมฮวง จอมยุทธอันดับ 3 เจ้าเกิดในตระกูลบัณฑิตอันสูงส่งเหตุไฉนจึงลดตัวมาเกลือกกลั้วในยุทธภพ "
    " ข้าไปจากยุทธภพ แต่ยุทธภพไม่ยอมไปจากข้า " กระแอมไอเบาๆ
    " ช่างกล่าวได้กินใจยิ่ง ฮะ ฮะ ฮ่า มาข้าขอดื่มให้ท่านจอกนึง "
    " ขอบคุณ "
    " เชิญ เอ๋ " เซียงกัวกิมฮ้งลีลาเยอะจัด แทนที่จะให้ ลี้คิมฮวง ดื่มเหล้าในจอกตามธรรมเนียมกลับคิดทดสอบฝีมือ " ลี้คิมฮวงในจอกไม่มีเหล้า อยากดื่มก็ขึ้นมาเอา "
    ทั้งคู่โจมตีด้วยพลังฝ่ามือ ขณะเดียวกันก็พยายามแย่งจอกไม่ให้เหล้าหก ลี้คิมฮวง ฉวยจอกได้แต่เซียงกัวกิมฮ้งรินเหล้าคืนกลับกาแล้ว " อึ้ม เหล้าชั้นเลิศ ลี้คิมฮวง จอกเหล้าอยู่นี่ เชิญ "
    " ได้เลย " ลี้คิมฮวงตีลังกาขึ้นไปบนโต๊ะ
    " อยู่นี่ เดี๋ยวใจเย็น "
    ในที่สุด ลี้คิมฮวง กางพัดรับ กาเหล้า เหาะไปยืนบนบัลลังก์รินน้ำเมาลง จอก ดื่มสบายอารมณ์ " ขอบคุณที่ออมมือให้ ข้าอยากลองลิ้มรสเหล้านี้มานานแล้ว "
    " เจ้า..! " เซียงกัวกิมฮ้งเดือดดาล

    " มีของมาส่ง ๆ " คนจรจัดเดินนำลูกหาบ
    " เจ้าเป็นใคร " เซียงกัวกิมฮ้งเขม่น
    " ข้าคือ โอ้วปุกกุย อาชีพค้าขายคน ลี้คิมฮวงรู้จักข้าดี วันนี้ข้ามีของชิ้นนึงมาขายให้ท่าน "
    " ของอะไร? "
    " ข้าเป็นพ่อค้าคนก็ต้องเป็นคน แต่เป็น คนตาย เหอๆ "
    " ว่าไงนะ "
    สมุนพรรคเหรียญทองกรูกันเข้ามาต่อสู้กับคนจรจัดได้ไม่กี่เพลง เซียงกัวกิมฮ้ง รีบห้ามทัพ " หยุด..! เอาเงินพันตำลึงมา "
    " ครับท่าน "
    " ต้อง 2 พัน " โอ้วปุกกุยเล่นแง่
    " อ้าว เพราะอะไร "
    " ท่านต้องอยากรู้ชื่อ ฆาตกร ว่าเป็นไผ "
    " ได้ 2 พัน " เซียงกัวกิมฮ้งชู 2 นิ้ว "
    " ใจปล้ำดี " โอ้วปุกกุยดึงเสื่อคลุมศพออก เซียงกัวกิมฮ้งเห็นใบหน้า,ร่างที่ไร้วิญญาณนั้นจะๆถึงกับตกตะลึง
    เช่นเดียวกับลี้คิมฮวง " เซียงกัวปวย "
    " ใครฆ่าเค้า ใครฆ่าลูกข้า รีบบอกมานะใครฆ่าลูกกู ! "
    โอ้วปุกกุยรีบขนหีบใส่เงิน พอถูกกระชากคอก็ชะงัก,หันหน้าไปยังแขกไม่ได้รับเชิญ " เค้าไง "
    " เก็งบ้อเมี่ย เหรอ "
    " ถูกต้องแล้ว ข้าเป็นคนฆ่า เซียงกัวปวย "
    " เอ็งไปฆ่ามัน ข้าให้หมื่นตำลึง ข้าให้หมื่นตำลึง !! " รั้งแขนโอ้วปุกกุย,มือชี้หน้าเก็งบ้อเมี่ย
    " ช้าก่อน ข้าโอ้วปุกกุยยังมีอายุยืนเพราะข้ารู้ว่า เงินก้อนไหนควรรับ เงินก้อนไหนไม่ควรรับ บางครั้งถึงจะกองพะเนินอยู่ตรงหน้าก็ไม่ควรรับ เพราะคนตายแล้วใช้เงินบ่ได้ ลาก่อน .. ข้าเห็นว่าท่านใจถึง ข้าเลยแถม ข่าว ให้เปล่าๆเรื่องนึง เค้าใช้มือขวาฆ่าลูกชายท่าน นี่ไงล่ะ (กระชากผ้าคลุมแขนขวาเก็งบ้อเมี่ยออก) เฉลยแล้วข้าไปล่ะ ..! "
    " เจ้ามีแขนขวา " เซียงกัวกิมฮ้งจ้องอวัยวะนั้นราวกับไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต " เจ้ามีปัญญาฆ่าคนได้เหรอ "
    " ใช่ ซ้ำร้ายกาจกว่ามือซ้ายอีก แต่หากท่านจะล้างแค้นให้ลูกชายจะมือข้างไหนข้าก็ไม่ใช้ " เก็งบ้อเมี่ยยืนนิ่งสนิท
    " ข้าเลี้ยงดูเจ้าแต่เล็ก ให้เจ้าฝึกวิชา เมื่อใดที่ข้าไม่เคยเห็นเจ้าเป็นลูกชายข้าบ้าง หา "
    " ท่านไม่ได้ยินรึไง ข้าบอกว่าข้าฆ่าเซียงกัวปวย ลูกชาย ท่าน "
    " เจ้าว่าไอ้ที่นอนตายอยู่บนพื้นคือลูกชายข้าเหรอ มิใช่ มันเป็นแค่ ศพ ไม่อาจช่วยข้ายึดครองยุทธภพ ไม่อาจจับกระบี่ ข้าจะเอาไว้ทำไม ในตัวมันมีเลือดข้าแต่ตอนนี้เลือดในตัวมันแห้งเหือด ข้ากับมันไม่ได้เกี่ยวข้องกันอีก เก็งบ้อเมี่ยตอนนี้เจ้าคือลูกชายข้า ต่อไปพรรคเหรียญทองเป็นของเราพ่อลูก "
    " เก็งบ้อเมี่ย เจ้าเชื่อเค้าเถอะ ยุทธภพก็เป็นเช่นนี้ ใครใช้ได้ก็เป็นลูกชายตัวเอง ข้าพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมนอกเมือง กำหนดเวลาสถานที่ได้เมื่อไหร่ก็ค่อยไปบอกให้ข้ารู้ก็แล้วกัน " ลี้คิมฮวงรีบอำลาเพราะสะอิดสะเอียนเต็มที
    ---------------------------
    4. " อ๊ะ ท่านปู่ดูโน่น " ซุนเซี่ยวอั้งเห็นบุรุษผู้หนึ่งนอนฟุบข้างกองหิมะ
    " ใครน่ะ หา อาฮุย " พอ ซุนแป๊ะฮวก พลิกร่างดูก็จำได้ว่าไม่ใช่ใครอื่น
    .. ยามเช้า ยอดเขาหยุนชาน เซียงกัวกิมฮ้ง .. ลี้คิมฮวงอ่านเทียบเชิญ
    " ลี้คิมฮวง อาฮุยเมาตั้งแต่เมื่อวานตอนนี้ยังไม่สร่าง " ซุนเซี่ยวอังกล่าว
    " คนดื่มเหล้านี่ก็แปลกนะ เมื่อไหร่ที่ควรสร่างเค้าก็จะสร่าง เมื่อไหร่ที่เค้าควรเมาไม่อาจไม่เมา " ลี้คิมฮวง
    " แต่ฝ่ายนั้นมีทั้ง เซียงกัวกิมฮ้ง และ เก็งบ้อเมี่ย 2 คน ท่านกลับไปคนเดียว "
    " พวกเค้านัดข้าคนเดียวอยู่แล้ว "
    " อาฮุยนะ อาฮุย ไยไม่ยอมสร่างเมาซะทีล่ะ "
    " จวนได้เวลาแล้วข้าไปล่ะ "
    " ลี้คิมฮวง ลี้คิมฮวง "
    " เซี่ยวอั้ง .. " ซุนแป๊ะฮวกปราม

    " ท่านจะออกไปพบเซียงกัวกิมฮ้งเหรอ " ลิ้มซีอิม รี่มาถึงโรงเตี๊ยม ระยะหลังนี้นางไม่เคยออกจากบ้าน
    " เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่นี่ " ลี้คิมฮวงชะงักเท้า
    " เซียงกัวกิมฮ้งส่งคนไปบอกข้า " สีหน้าไม่อาจซ่อนความตื่นตระหนก
    " ช่างมีน้ำใจนะ .. ประหลาดจริงทำไมทุกครั้งที่เราเจอกัน หิมะ ต้องตกโปรยปราย "
    " อาจเป็นเพราะ ฟ้า รู้ว่าท่านจะไปจึงให้ หิมะ มาส่ง "
    " ขอบใจเจ้ายิ่งนัก สายมากแล้วข้าต้องรีบไป หวังว่าเจอกันคราวหน้าจะไม่ใช่การร่ำลากันอีก รักษาตัวด้วย "
    " ท่านพี่เราจะได้เจอกันอีกมั้ย "
    " ข้าก็ไม่รู้ " ลี้คิมฮวงเดินจากไปทั้งที่ใจอาวรณ์

    " อำมหิต เซียงกัวกิมฮ้ง ช่างอำมหิตนัก ยอดฝีมือสู้กันไม่ควรมีเรื่องกังวลใจ แม่นางลิ้มท่านไม่ควรมาตอนนี้เลย " ซุนแป๊ะฮวก
    " ข้ามาหาคนผู้นึง " ลิ้มซีอิม
    " เหล้า เหล้า แม่นางลิ้มเจ้ามาถึงนี่ได้อย่างไร " อาฮุยรีบประคองตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง
    " เซียวลี้ออกไปสู้กับเซียงกัวกิมฮ้งและเก็งบ้อเมี่ย ข้ามาเพื่อส่งข่าว " ลิ้มซีอิม
    " ว่าไงนะ " อาฮุยเซถลาล้มลงกับพื้น
    " นานมาแล้วเซียวลี้บอกข้าว่าคนจะเมาไม่อาจไม่เมา เมื่อถึงเวลาสร่างก็ต้องสร่าง นี่คือเสื้อที่เจ้าทิ้งไว้ที่ซิงหยุนจวง ข้ายังจำได้เจ้าสวมชุดนี้บุกซิงหยุนจวงช่วยเซียวลี้ต่อสู้กับโจรดอกเหมยกลางหิมะ ข้านำมันมาให้ท่านแล้ว ข้าหวังว่าท่านยังจะใส่ได้ " ลิ้มซีอิม
    " จอมยุทธอาฮุย กระบี่ท่าน " ซุนเซียวอั้งยื่นกระบี่ให้
    " ข้า มือข้าสั่น " อาฮุยปริวิตก
    " เมาเหล้าไม่ใช่เมา มีสติจึงฟื้น " ลิ้มซีอิมย้ำ

    " อาฮุยอย่าไปนะ ! " ลิ้มเซียนยี้โผล่พรวด
    " เจ้ามาทำไม "
    " ข้ามาเพื่อนำท่านไปจากที่นี่ ก่อนหน้านี้ข้าทำผิดต่อท่าน จากนี้ข้าจะทำดีชดเชย ข้า รัก ท่าน อย่าไปตายกับลี้คิมฮวงนะ "
    " อาฮุย ชะตายุทธภพอยู่ในมือท่าน ท่านไม่ไปไม่ได้ " ซุนแป๊ะฮวก
    " จอมยุทธอาฮุยอย่าเชื่อนางนะ " ซุนเซี่ยวอั้ง
    " อาฮุย คนเราไม่อาจเมาชั่วชีวิต " ลิ้มซีอิม
    " อาฮุย ท่านอย่าฟังพวกนาง " ลิ้มเซียนยี้อ้อน
    " ฮึ่ย ข้าแปลกใจนักที่ผ่านมาข้ารักเจ้าได้ยังไง " ผลักลิ้มเซียนยี้กระเด็น
    " อาฮุย ๆ ๆ " ลิ้มเซียนยี้รั้งไม่อยู่

    " ยอดเขาหยุนชานยามเช้า ลี้คิมฮวง ช่างรักษาคำพูดแล้วอาฮุยล่ะ " เซียงกัวกิมฮ้งทักทาย
    " คนที่ท่านนัดคือข้า ที่ต้องการพบคือข้า เกี่ยวอะไรกับอาฮุยด้วย " ลี้คิมฮวง
    " นี่คือกระบี่ของ ก๊วยซงเอี๊ยง อาวุธท่าน 2 อย่างกับอาวุธเรา 2 อย่างเช่นนี้จึงยุติธรรม " เก็งบ้อเมี่ย
    " ยุติธรรม เฮอะ เจ้าช่างไร้เดียงสาสิ้นดี ยุทธภพมีแต่ชื่อเสียง ไม่มีคำว่ายุติธรรม วันนี้ข้ามีบุญตาได้เห็น ห่วงหงส์มังกร อันลือชื่อแล้ว " ลี้คิมฮวงเย้ย
    " น่าเสียดายที่เจ้าเห็นได้เพียงครู่เดียว " เซียงกัวกิมฮ้ง

    " เจ้ารับมือเราได้หลายสิบเพลงไฉน แป๊ะเฮี่ยวเซ็ง จัดเจ้าอยู่อันดับ 3 " เซียงกัวกิมฮ้ง
    " แพ้ ชนะ ไม่ได้อยู่ที่เพลงยุทธแต่อยู่ที่ มโนธรรม มากกว่า " ลี้คิมฮวง
    " ลี้คิมฮวง เจ้า ณ เวลานี้ไม่อาจชนะเราสองคน ข้าขอเตือนให้เจ้ารีบหนีไปเปลี่ยนชื่อแซ่ใหม่ ถอนตัวไปซะ ! " เก็งบ้อเมี่ยข่ม
    " หึ ๆ ทำได้เหรอ? หลังจากข้ามีชื่อเสียงคิดถอนตัวตลอด น่าเสียดายแม้ถอนตัวได้แต่สมญานามยังคงอยู่ สุดท้ายผู้คนในยุทธภพยังคงตามราวี
    เจ้าเก็งบ้อเมี่ยอายุยังน้อยไม่รู้หรอกว่า คนมีชื่อเสียงก็เหมือนเรือลำนึงต้องลอยไปตามกระแสน้ำตลอดไป เจ้าอยากไปบูรพาแต่มันพาเจ้าไปทักษิณ เจ้าอยากไปปัจฉิมมันกลับพาเจ้าไปหรดี ไม่อาจควบคุมได้
    ดูข้าสิ นอกจากคำว่ามีดบินลี้น้อยที่นำมาแต่ปัญหาแล้ว สิ่งที่ข้าหลงเหลือก็มีเพียงเหล้ากานึงกับเสียงไอสะท้อนทรวงอก มิตรสหาย คนรัก ล้วนสูญสิ้น " ลี้คิมฮวงรำพัน
    " เฮ่อ นั่นต้องโทษที่เจ้าไม่มีความฝันอันยิ่งใหญ่เช่นข้า ไม่คิดครอบครองยุทธภพ ไม่คิดเป็นเจ้าปฐพี ไม่งั้นเจ้าก็เหมือนข้า มีเรื่องมากมายให้ทำ มีคนมากมายให้ฆ่า..! เก็งบ้อเมี่ย นี่คือการชี้ชะตา พรรค เรา เจ้ายืนเฉยอยู่ทำไม " เซียงกัวกิมฮ้งตวาด
    ลี้คิมฮวงถูกเซียงกัวกิมฮ้งและเก็งบ้อเมี่ยรุกไล่จึงสู้พลางถอยพลางเกือบตกหน้าผา ดีที่มือข้างหนึ่งจับยึดกิ่งไม้ไว้ทัน
    " ฮ่า ฮ่า ลี้คิมฮวง ไม่นึกเลยว่าหน้าผาแห่งนี้จะเป็นหลุมฝังศพของเจ้า ฟัน ! " เซียงกัวกิมฮ้งสั่งเก็งบ้อเมี่ย
    อาฮุยมาถึงทันเวลารับมือคู่ปรับเก่า ลี้คิมฮวงตีลังกากลับขึ้นมา " อาฮุย เจ้า .. "
    " ท่านเคยพูดเอาไว้ไม่ใช่เหรอ คนเราเมื่อถึงเวลาก็ต้องสร่างเมา .. เก็งบ้อเมี่ยเจ้าเคยพูดใช่มั้ยว่าข้าสามารถสู้กับเจ้าได้ทุกเมื่อ "
    " ถูกต้อง "
    " วันนี้ ที่นี่ เป็นไง "
    " วิเศษมาก "
    ยอดฝีมือประกบคู่สู้กันสมน้ำสมเนื้อ เซียงกัวกิมฮ้ง กับ ลี้คิมฮวง, เก็งบ้อเมี่ย กับ อาฮุย
    " ชาวยุทธลือว่าเจ้าน่ะร้ายกาจเค้าไม่ได้โกหกเลย " เก็งบ้อเมี่ยถูกกระบี่อาฮุยฟันเฉียดผ้าคลุมแขนปลิว จึงตวัดดาบเอาคืน,ฟันเลาะเสื้อขนจิ้งจอกอาฮุยหลุดหาย
    " ชาวยุทธลือว่าเจ้าใช้แต่มือซ้ายน่ะโกหกทั้งเพ ! "

    ยิ่งทอดเวลาห้ำหั่นเพลงยุทธเนิ่นนานออกไปเพียงใด ประมุขพรรคเหรียญทองยิ่งออกอาการเหนื่อยล้าแพ้สังขาร
    " ลี้คิมฮวงเรามา ฮั้ว กันดีมั้ย เจ้าฆ่า เก็งบ้อเมี่ย ทิ้งซะ ข้ายกตำแหน่งมันให้กับเจ้า พร้อม หุ้น ของ พรรคเหรียญทอง ครึ่งนึงว่ายังไง "
    " ข้อ 1. ข้าไม่ชอบเป็น ลูกบุญธรรม ของใคร ข้อ 2.คำพูดนี้ท่านควรพูดก่อนขึ้นเขามาต่อหน้าเก็งบ้อเมี่ย ข้อ 3.ชั่วชีวิตข้าไม่เคยพบคนต่ำช้าเช่นท่านมาก่อน "
    ลี้คิมฮวง ลอยตัวด้วยท่านางแอ่นเหิรลมหลบห่วงหงส์มังกรคู่เหวี่ยงสะเปะสะปะ ซัดมีดบินเล่มหนึ่งปักต้นสนห่างเป้าหลายช่วงตัว เซียงกัวกิมฮ้งชะล่าใจหมายเผด็จศึก แต่มีดบินอีกเล่มซัดย้อนรอยเดิมสปริงจากสันเหล็กพุ่งตัดขั้วหัวใจมันด่าวดิ้น
    " ท่านประมุข .. " เก็งบ้อเมี่ยตะลึงงัน วูบเดียวกับที่ถูกอาฮุยฟันกระบี่กระเด็นหลุดมือ
    " กระบี่นี้ข้าคืนให้ที่เจ้ายั้งมือครั้งนั้น หยิบกระบี่ของเจ้าแล้วลุกขึ้นมา โอ๊ะ ! " อาฮุยถูกลิ้มเซียนยี้ลอบกัดซัดดาบทะลุแผ่นหลัง
    " เฮอะ ๆ ๆ เก็งบ้อเมี่ย ฆ่าพวกมันให้ข้า ๆ แล้วข้าจะติดตามรับใช้เจ้าชั่วชีวิต ทำให้เจ้ามีความสุข "
    " ลิ้มเซียนยี้ เจ้าเป็น คน หรือ เดรัจฉาน กันแน่ ! " ลี้คิมฮวง
    " ฮึ ข้าจะเป็นอะไรก็ช่างวันนี้พวกเจ้าต้องตาย (หยิบกระบี่ยัดใส่มือ) เก็งบ้อเมี่ย ฆ่าพวกมันให้ข้า ข้าจะรักเจ้าคนเดียว ฆ่าพวกมันให้ข้า ๆ "
    แรกทีเดียว เก็งบ้อเมี่ย นั่งเซ็งชีวิตเมื่อเห็นประมุขผู้ยิ่งใหญ่ตายน่าอนาถ มันกำดาบในมือแน่น ลุกขึ้นอย่างเยือกเย็น พลันตวัดคมมีดฟันลิ้มเซียนยี้
    " โอ๊ย !!! เพราะอะไรเจ้าถึงฆ่าข้าได้ลงคอ ทั่วแผ่นดินไม่มี ผู้ชาย หน้าไหนกล้าทำแต่ไฉนเจ้า .. "
    " เพราะในมือพวกเค้ามีกระบี่มากน้ำใจแต่กระบี่ในมือข้า ไร้ น้ำใจ " เก็งบ้อเมี่ยฟันซ้ำอีกครั้ง เรือนร่างสะโอดสะองของลิ้มเซียนยี้ค่อยๆทรุดลงจมกองเลือด " ทุกอย่างสงบแล้วเหมือนกับทุกเรื่องในโลกนี้ซึ่งยุติลง เหตุการณ์ผ่านพ้นไม่กลับคืนมา "
    " ทำไมเจ้าไม่ฆ่าพวกเราล้างแค้นให้เซียงกัวกิมฮ้ง " ลี้คิมฮวง
    " ฆ่าพวกเจ้า? หากคิดเช่นนั้นเท่ากับส่งเสริมให้เค้าครอบครองยุทธภพดังฝัน ข้าอยากตอบแทนบุญคุณที่เค้าเลี้ยงมา แต่ตอนนี้เค้าตายแล้ว ข้าไม่มีเหตุผลที่ต้องฆ่าฟันพวกเจ้าอีก "
    " เก็งบ้อเมี่ยแล้วเจ้าจะไปไหน? "
    " เมื่อกี้เจ้าเพิ่งบอกว่าผู้คนในยุทธภพเหมือนอยู่บนเรือ ข้าเพียงล่องลอยไปตามน้ำ จะมุ่งหน้าไปแห่งใดข้าก็ไม่รู้ .. "
    .. หิมะอันหนาวเย็นใครบ้างที่ทนทานได้ เกียรติยศ ชื่อเสียงใครบ้างไม่ต้องการ ทำเนียบผู้กล้า แป๊ะเฮี่ยวเซ็ง เรียบเรียงใหม่ มีดบินลี้น้อย เป็นอันดับ 1. เก็งบ้อเมี่ย และ อาฮุย ร่วมกันครองอันดับ 2 ..
    ----------------------------
    โอ้วปุกกุย พร้อมสมุน อาทิ หมอดูตาบอด,สตรีตาเดียว,ชายฉกรรจ์เสื้อเขียว,คนหาบเร่ .. ร่วมกันสร้างเรื่องเกี่ยวกับ ทิท้วงกะ (บ่าวรับใช้)หลอกล่อ ลี้คิมฮวง มาติดกับ โดยผู้วางแผนคือ เล้งเซ่าฮุ้น ,สหายผู้มีบุญคุณแต่เปี่ยมจิตริษยา
    " เมื่อคนผู้หนึ่งทราบว่า ภรรยาของมันเป็นผู้อื่นยกให้แก่มัน มิหนำซ้ำภรรยาของมันยังรักคนผู้นั้นไม่คลาย นั่นจึงเป็นความปวดร้าวอย่างที่สุด " เล้งเซ่าฮุ้นเผยถึงความอัปยศอดสู

    เล้งเซี่ยวฮุ้น บัดนี้กลายสภาพคล้ายทารกพิการ เพียงเพราะคิดลอบกัด ลี้คิมฮวง จึงถูกจอมยุทธอาวุโสสลายพลัง,เอ็นแขนขาง่อยเปลี้ย มันบากหน้ามาหา เซียงกัวกิมฮ้ง เพื่อเสนอข้อตกลงบางประการ โดยให้ เซียงกัวกิมฮ้ง สาบานเป็นพี่น้องกับ เล้งเซ่าฮุ้น (บิดา)แลกเปลี่ยนกับชีวิต ลี้คิมฮวง ,ตัวประกัน เก็งบ้อเมี่ย ตามทารกวิปริตไปถึงโรงเตี๊ยมยู่อัน สองพ่อลูกพามันเดินวกวนไปยังที่ซ่อนตัวปีศาจสุรา สถานที่ครึกครื้นที่สุดยิ่งตบตาผู้คนง่ายดายที่สุด

    อาฮุย มีสัญชาตญาณสะกดรอยเก่งปานสุนัขป่า กว่าเหล่าทุรชนจะรู้ตัวก็มาถึงปลายทาง เก็งบ้อเมี่ย ดวลกระบี่กับ อาฮุย ,ฝ่ายหลังพ่ายแพ้แต่มันกลับไว้ชีวิตเพราะฝีมือ อาฮุย ตกต่ำไม่คู่ควร ลี้คิมฮวง ถูกมัดตัวในกระสอบ เก็งบ้อเมี่ยให้เล้งเซ่าฮุ้นตบคลายจุด อาฮุยเข้าไปขวางมิให้เก็งบ้อเมี่ยสังหารสหายรัก เทพดาบซ้ายจ้วงปลายกระบี่เกือบถึงคอหอยอาฮุยพลันหยุดกึก มีดบินเล่มหนึ่งปักหัวไหล่หากแม้นคิดจะปลิดชีวิตมันย่อมง่ายดายยิ่ง เก็งบ้อเมี่ยตบสันมีดตัดเอ็นแขนตนเอง,ไม่อยากเป็นหนี้ชีวิตลี้คิมฮวงแล้วจากไป เช่นเดียวกับสองพ่อลูกตระกูลเล้ง

    เซียงกัวกิมฮ้ง คิดล้มพิธีสาบานเป็นพี่น้องกับ เล้งเซ่าฮุ้น ต่อหน้าชาวยุทธ มันยืมมือ อาฮุย ซึ่งถูกลิ้มเซียนยี้หลอกมาสวามิภักดิ์ไปฆ่าแทน แต่อาฮุยหัวใจสลายเมื่อพบภาพบาดตา ลิ้มเซียนยี้ ,คนรักเสพเมถุนกับจอมยุทธเฒ่า อาฮุยเมาหยำเปแม้ดาบในมือก็ยกไม่ขึ้นไหนเลยจะสังหารเล้งเซ่าฮุ้นได้ เซียงกัวกิมฮ้งทุเรศนัยน์ตาโยนเศษเงินให้แล้วไล่อาฮุยไปหาเหล้ากินที่อื่น ลี้คิมฮวง ย่างกรายเข้ามาในปะรำ ถือวิสาสะหยิบกาเหล้าแขกกิตติมศักดิ์รินใส่จอกให้อาฮุย อาฮุยไม่อาจทนเห็นตนเองไร้ศักดิ์ศรีต่อหน้าสหายจึงวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิง

    ลิ้มซีอิม คิดช่วย ลี้คิมฮวง ก่อนประลองยุทธกับ เซียงกัวกิมฮ้ง โดยนำ คัมภีร์ถนอมบุปผา ไปมอบให้ แต่บันทึกลับห่อกระดาษน้ำมันตกอยู่ในมือ เล้งเซี่ยวฮุ้น ,ผู้บุตร มันลักลอบฝึกฝนจวนบรรลุผล บังเกิดร้อนวิชาต่อกรกับ ลี้คิมฮวง จึงแพ้พ่าย เพื่อเห็นแก่พระคุณมารดา เล้งเซี่ยวฮุ้นจำใจส่งคืน พลัน เล้งเซ่าฮุ้น ปรากฏกาย ณ ซิงหยุนจวงอีกครั้ง มันจี้จุดคนรัก,อาษาจะจัดการเรื่องนี้เป็นการไถ่บาป พร้อมสั่งเสียบุตรชายให้ดูแลมารดาแทน เมื่อเล้งเซ่าฮุ้นเดินทางไปถึงสำนักงานใหญ่พรรคเหรียญทองขอพบ ประมุข กลับถูก 18 ยอดฝีมือเสื้อทองรุมสังหารโหด เป็นบัญชาของเซียงกัวกิมฮ้งตั้งแต่แรก

    ชั่วชีวิตของลิ้มเซียนยี้ไม่อาจพบ รักแท้ นางเพิ่งสำนึกตัวเมื่อถูก อาฮุย สลัดรักไร้เยื่อไยจึงประชดผู้คนโดยยึดอาชีพโสเภณี ณ ซ่องคณิกาสุดหรูของนครเชี่ยงอัน นางมิใช่ต้องการเงินทอง ขอเพียงกลืนกินพลังวังชาและวิญญาณบุรุษมากหน้าหลายตา กระทั่งพวกมันทรุดโทรมลงเช่นเดียวกับนาง ครั้นชราภาพนางยังมีสติฟั่นเฟือนเข้าใจว่าตนงามเลิศในแผ่นดิน ..

    --------------------------------------
     
  10. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ตอบคำถามครับ
    ขอแจมด้วยคน เปิดประเด็นให้คิด ผลงานของโกวเล้งที่ถือกันว่าเยี่ยมยอดที่สุดคือ ฤทธิ์มีดสั้น ซึ่งโกวเล้งได้พัฒนาวิธีคิดไปอีกขั้นหนึ่ง
    สุดยอดฝีมืออันดับหนึ่งในฤทธิ์มีดสั้น ได้บรรลุถึงขั้นใจไม่มีกระบวนท่า ซึ่งเหนือกว่าชั้นกว่าลี้กิมฮวงและประมุขพรรคเหรียญทองที่ฝึกถึงขั้นมือไม่มีกระบวนท่า กระบวนท่าอยู่ในใจ แต่เมื่อประลองกันจริง ใจไร้ทุกสิ่งของยอดฝีมือสูงสุดกลับพ่ายแพ้ต่อห่วงไร้น้ำใจของเซี่ยงกัวกิมฮ้ง เป็นเพราะสิ่งใด ลองคิดกันดูเล่นๆ ว่าเข้าใจถึงปรัชญาขั้นสูงสุดของโกวเล้งหรือไม่
    ---------------
    ท่านผู้เฒ่ามิดั้ยแพ้และมิดั้ยตายจริงๆ ที่ตายคือตายจากยุทธภพคือยอมละทิ้งชื่อเสียงลาภยศครับ เพราะท่านละแล้วทุกอย่าง ท่านคือคนตายที่มีชีวิตครับ ตายจากความปาบและความชั่วช้าแห่งความเป็นมนุษย์ เพราะท่านบรรลุธรรมขั้นสูงกว่าทั้งสองคนครับ จึงไม่มีรังสีแห่งการฆ่าฟันหรือรังสีอำมหิตเหลืออยู่ เซี่ยงกั่ว..นั้นมีรังสีอำมหิต แต่ต้องแพ้คุณะรรมของลี้น้อย..แต่ทั้งสองยังมิอาจบรรลุดั้ยอย่างทั่นผู้เฒ่าครับ
     
  11. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    มังกรหยก” ตอน จอมยุทธ์จ้าวอินทรีย์
    จากบทประพันธ์อมตะของ “กิมย้ง”

    นี่คือช่วงเวลา 16 ปี ที่เอี้ยก้วยต้องเฝ้าคอยการกลับมาของภรรยา “เซียวเหล่งนึ่ง” และเป็น 16 ปีที่เขาโลดแล่นในยุทธจักรพร้อมอินทรียักษ์คู่ใจ จนได้รับฉายา “จอมยุทธ์จ้าวอินทรี”

    เนื้อเรื่อง


    “มกโช้ว” ออกอาละวาดในยุทธจักร สังหารคนในบ้านสกุลบู๊อย่างโหดเหี้ยม จอมยุทธ์ “ก๊วยเจ๋ง” และภรรยา “อึ้งย้ง” ผู้เป็นหัวหน้าพรรคกระยาจก ออกมาตามหาบุตรสาว “ก๊วยพู” ผู้บังเอิญอยู่กับทายาทที่หนีรอดมาได้ของสกุลบู๊ ระหว่างทางทั้งคู่ได้พบเด็กน้อยชื่อเอี้ยก้วย และได้ทราบว่าเอี้ยก้วยเป็นบุตรของเอี้ยคัง พี่น้องร่วมสาบานของก๊วยเจ๋ง

    ก๊วยเจ๋งจึงตัดสินใจนำเขากลับเกาะดอกท้อ ระหว่างนั้นเอี้ยก้วยบังเอิญได้รู้จักพิษประจิมอาวเอี้ยงฮงผู้เสียสติและได้กราบเขาเป็นพ่อบุญธรรม อึ้งย้งเกรงว่าเอี้ยก้วยจะมีนิสัยชั่วร้ายเหมือนพ่อ จึงให้ก๊วยเจ๋งนำเอี้ยก้วยไปฝากเป็นศิษย์สำนักช้วนจินก่า

    “เอี้ยก้วย” อยู่สำนักช้วนจินมักถูกกลั่นแกล้งบังเอิญยายเฒ่าซุนแห่งสุสานโบราณพบเห็นเข้ารู้สึกเวทนาจึงขอร้องให้สาวน้อยเจ้าของสุสานโบราณคนปัจจุบัน “เซียวเหล่งนึ้ง” รับเอี้ยก้วยไว้เป็นศิษย์ เอี้ยก้วยฝึกวิชาที่สุสานโบราณจนโตเป็นหนุ่ม ครั้งหนึ่งขณะเอี้ยก้วยและเซียวเหล่งนึ้งฝึกวิชาในพุ่มดอกไม้ถูกศิษย์สำนักช้วนจินพบเห็นเข้า

    ต่อมา “เซียวเหล่งนึ้ง” ถูกลวนลามและเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเอี้ยก้วยจึงออกจากสุสานโบราณไป เอี้ยก้วยจึงออกไปตามหานางและได้พบกับผู้คนหลากหลายรวมไปถึง จ้าวธรรมจักรทอง (กิมลุ้นฮวบอ้วง) ราชครูแห่งมองโกลผู้ต้องการยึดครองยุทธภพ, เล็กบ้อซัง ศิษย์ของลี้มกโช้ว, เที้ยเอ็ง ศิษย์คนสุดท้ายของมารบูรพา, เฒ่าทารกจิวแป๊ะทง, มารบูรพาอึ้งเอียะซือ และ ยาจกอุดรอั้งชิกกง ผู้ต่อสู้กับพิษประจิมอาวเอี้ยงฮงจนเสียชีวิตทั้งคู่

    หลังจากนั้น เอี้ยก้วย เกิดความสงสัยว่าก๊วยเจ๋งและอึ้งย้งเป็นผู้สังหารบิดาของตนจึงพยายามสืบหาความจริง และต้องการแก้แค้นให้บิดาแต่ท้ายที่สุดเอี้ยก้วยก็เห็นว่าก๊วยเจ๋งเป็นผู้ทรงคุณธรรมและรักชาติบ้านเมืองจึงล้มเลิกความคิดไป กองทัพมองโกลได้บุกเมืองเซียงเอี้ยงในขณะเดียวกับที่อึ้งย้งคลอดบุตรชายหญิงฝาแฝด แฝดหญิงนามก๊วยเซียงถูกลี้มกโช้วจับตัวไปแต่เอี้ยก้วยก็ช่วยกลับมาได้สำเร็จ


    “ก๊วยพู” บุตรสาวคนโตของก๊วยเจ๋งทะเลาะกับเอี้ยก้วยและโกรธจนตัดแขนเขาขาดไปข้างหนึ่ง เอี้ยก้วยได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่ได้อินทรียักษ์ช่วยเอาไว้และนำเขามารักษาที่หุบเขาแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ฝังสังขารของมารกระบี่ต๊กโกวคิ้วป่าย ซึ่งอินทรียักษ์เป็นสัตว์เลี้ยงของเขา หลังเอี้ยก้วยหายดีแล้วได้นำกระบี่ที่ต๊กโกวคิ้วป่ายทิ้งเอาไว้มาฝึกวิชากับอินทรียักษ์จนวิทยายุทธ์รุดหน้าไปอย่างมาก

    เหตุการณ์ที่จ้าวธรรมจักรทองบุกสำนักช้วนจินก่า เอี้ยก้วยและเซียวเหล่งนึ้งกลับปราบจ้าวธรรมจักรทองลงได้และสาบานเป็นสามีภรรยากัน ทางด้านเซียวเหล่งนึ้งได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าหุบเหวรักมลายกงซุนจี้ ผู้ซึ่งต้องการบีบให้นางแต่งงานด้วย แต่เซียวเหล่งนึ้งไม่ยอม

    เผอิญเอี้ยก้วยได้บุกรุกเข้ามาในหุบเหวรักมลายและได้พบเซียวเหล่งนึ้ง กงซุนจี้จึงวางยาพิษเอี้ยก้วยด้วยพิษดอกรักเพื่อบังคับให้เซียวเหล่งนึ้งแต่งงานด้วย ทว่าเซียวเหล่งนึ้งกลับยอมถูกพิษไปด้วยอีกคน ภายหลังทั้งคู่ได้ยาถอนพิษมาแต่มีเหลือเพียงเม็ดเดียวเท่านั้น เพื่อช่วยชีวิตเอี้ยก้วย เซียวเหล่งนึ้งจึงได้ตัดสินใจบางอย่าง...

    เซียวเหล่งนึ่ง ต้องการให้ เอี้ยก้วย หมดหวังที่จะช่วยชีวิตนางจากพิษดอกรัก นางต้องการให้ เอี้ยก้วย คิดมีชีวิตอยู่ต่อไป และกำจัดพิษดอกรักออกจากายให้หมด ในสภาพที่ถูกบีบคั้นจนไม่มีทางเลือก เซียวเหล่งนึ่ง จึงสลักอักษรไว้ที่หน้าผาสะบั้นลำไส้ เหนือ เหวรักมลาย ว่า "สิบหกปีหลัง พบกันที่นี่ สามีภรรยารักแท้ อย่าเสียสัญญา" เพียงหวังให้เวลาอันยาวนานนี้ละลายความรักความคิดถึงที่ เอี้ยก้วย มีต่อนาง

    อึ้งย้ง ที่ฉลาดหลักแหลม เข้าใจความคิดของ เซียวเหล่งนึ่ง จึงสร้างเรื่องเล่าลือเกี่ยวกับ แม่ชีเทพยดาทะเลใต้ ขึ้นมาทันที กล่าวว่า แม่ชีทะเลใต้เป็นแม่ชียอดปรมาจารย์แห่งยุค ปฏิบัติธรรมะและฝึกวิทยายุทธ์ได้ลึกล้ำสุดหยั่งคะเน แม่ชีสูงวัยเกือบร้อยปีท่านนี้ ทุกสิบหกปีจะมาตงง้วนหนึ่งครั้ง ต้องเป็นแม่ชีทะเลใต้ที่พา เซียวเหล่งนึ่ง ไปทะเลใต้ ต้องการให้ เอี้ยก้วย รักษาพิษดอกรักในกายให้หมดสิ้นก่อน เพื่อจะได้พบกับ เซียวเหล่งนึ่ง อีกครั้งในสิบหกปีข้างหน้า


    แต่ใครจะคาดคิดถึงว่า เอี้ยก้วย เป็นผู้ที่ยึดมั่นในความรักและคุณธรรมอย่างหนักแน่น เฝ้ารอคอย เซียวเหล่งนึ่ง ยาวนานถึง สิบหกปีเต็ม ๆ ไม่รู้ว่าสวรรค์เบื้องบนกลั่นแกล้งผู้คน หรือเป็นการเสกสรรของพระเจ้าไว้ก่อนแล้ว ผ่านไปสิบหกปีแล้ว เอี้ยก้วย มาถึงหน้าผาสะบั้นลำไส้เหนือเหวรักมลาย เฝ้ารออยู่เนิ่นนานก็ยังไม่พบเห็นแม้แต่เงาของ เซียวเหล่งนึ่ง

    เอี้ยก้วยจะได้พบ เซียวเหล่งนึ่ง ที่เขาเฝ้าคิดถึงอยู่ทุกเช้าค่ำได้หรือไม่? หรือว่าจะมีเพียงนกอินทรีเทพยดาเท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อนเขา
     
  12. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    เอี้ยก้วยนั้น ลูกของเอี้ยคัง ศิษย์และคนรักของมังกรน้อย เป็นหลานก๊วยเจ๋ง และเป็นลูกบุญธรรมของพิษปัจฉิม เป็นน้องจิวแป๊ะธง เอี้ยก้วยนั้นมีสารพัดวิชา แต่วิชาที่เอี้ยก้วยฝึกนั้นที่สุดยอดก็คือกระบี่เหล็กนิลหรือกระบี่เหล็กไหลดำครับ และวิชาของกระบี่นี้คือ วิชาของ ต๊กโตตั๋วลาย เฮ้ย ต๊กโกคิ้วป่าย ผู้แสวงหาความพ่ายแพ้ แต่มั่ยยักกะแพ้ผู้ใด ต๊กโกผู้ไร้ตัวตนแท้ที่จริงแล้วต๊กโกคือการเรียกที่แสดงถึงความเป็นสุดยอดของจอมยุทธที่เป็นสุดยอดครับ วิชาที่ต๊กโก เอี้ยก้วย ฟงซิงหยาง เล้งฮู้ชงใช้นั้น คือเก้ากระบี่เกียวดายเหมือนกัน แต่ของเอี้ยก้วยใช้กระบี่หนักและเน้นความแข็งแกร่ง ส่วนต๊กโกนั้น มี กระบี่วเศษ 4 อัน แต่เอี้ยเลือกเหล็กนิล จึงใช้ท่าที่หนักหน่วง แต่ฟงและเล้งใช้ท่าที่รวดเร็วและกระบี่เบา จึงต่างกันตรงนี้ แต่เอี้ยนั้นฝึกวิชาที่เกี่ยวกับหัวใจสลายอะรัยทำนองนี้แหละจำชื่อวิชามะดั้ย แม้ว่าจะชนะพลังมังกรคชสารปัญาบารมีขั้นสิบสามดั้ย แต่ผมว่าเอี้ยก้วยยังมิดั้ยบรรลุถึงสุดยอดวิชาครับ เพราะอะรัยอันนี้ ผมหั้ยการบ้านท่านๆปัยคิดละกันครับ
    ---------------------
    ส่วนเตียซำฮงนั้น คือศิษย์ของหลวงจีนกั๊กเอี๊ยงแห่งเส้าหลินครับ ที่ฝึกวิชาเก้าเอี๊ยงจากหลวงจีนกั๊กเอี้ยงที่อ่านมาจากคอคัมภีร์อีกทีหนึ่ง และเตียชนะการประลองจึงถูกกล่าวหาว่าขดมยฝึกวิชาจึงถูกตามล่าครับ แต่จริงๆแล้วคนที่ขโมบวิชาพลังสุริยันต์คือหัวมังกรไฟหรือพ่อครัวของวัดเส้าหลินนั่นเองครับ เมื่อเตีย กั๊ก และ ก๊วยเซียง หนีมาดั้ยแล้ว แต่กั๊กถูกฆ่าตาย เตียและก๊วยจึงแยกกันฝึกวิชาที่ดั้ยมาอย่างไม่สมบูรณ์ครับ เตียจึงนำมาประยุกต์เป็นมวยไทยเก๊กของบูตึ้ง ส่วนก๊วยเซียงนี้นก็มาเป็นแม่ชีของง้อไบ้ จากนั้นเตียกับมังกรไฟก็สู้กัน เตียนั้นไม่มีเมียจึงมีพรหมจัน จึงชนะมังกรไฟในที่สุด และมังกรไฟก็โดดเหวลงไฟ 20 ปีต่อมา เตียบ่อกี้ตกลงไปในเหวนั้น มังกรไฟจึงถ่ายทอดวิชาพลังเก้าสุริยันให้เตียบ่อกี้ แล้วบ่อกี้ก็หายจากพลังไอเย็น อันนี้เวอร์ชันซีดี ส่วนเวอร์ชั่นทีวีนั้น บ่อกี้อาบไอสุริยันต์จันทรามาก่อนและฝึกคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นจึงรักษาพลังไอเย็นได้ครับ แล้วบ่อกี้ก็ฝึกพลังราชสีคำรนและเก้าสุริยันและไทเก้กด้วยครับ ถาม 1 เตีย แถมให้ 1 เตีย ส่วนเตียเมี่ยงนั้นเป็นนางเอกครับ แต่ในเรื่องนี้ผมชอบ จิวจี้เยียกและเสี่ยวเจียวที่เป็นหลานสาวของมังกรเสื้อม่วงแห่งพรรคจรัสครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 ตุลาคม 2007
  13. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    มังกรโบราณ กับ กระบี่อยู่ที่ใจ
    มรรคาแห่งวิชากระบี่

    ขั้นแรก ในมือมีกระบี่ ในหัวใจมีความงมงาย
    งมงายอย่างแทบจะบ้าคลั่ง อยู่กับกระบี่ และ เพลงกระบี่

    ขั้นต่อมา จากสภาวะงมงาย ในกระบี่และเพลงกระบี่
    นำไปสู่การหลอมรวมตัวมันเอง ( ผู้ถือกระบี่ และใช้เพลงกระบี่ )
    ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กับเพลงกระบี่
    นั่นก็คือ ลักษณาการอันเรียกว่า " ผนึกใจรวมกระบี่ " คนกับกระบี่รวมเป็นเอกะ !

    ความจริง , นั่นถือกันว่า เป็นสุดยอดและเป็นแก่นแท้ของวิชากระบี่
    ที่มือกระบี่ธรรมดา มิอาจบรรลุถึง
    แต่ เหนือฟ้าก็ยังมีฟ้า เหนือมือกระบี่ยังมีมือกระบี่
    ขั้นต่อมา สามารถบรรลุถึงขั้น
    แม้ในมือไม่มีกระบี่ แต่ในใจก็มีกระบี่

    เป็น กระบี่ใจ !
     
  14. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ......เพลงกระบี่ของมันคือ " สิบสามกระบี่คร่าชีวิต " ( โต๊ะเมี่ยจับซา )
    แม้แต่เดิมมันจะมิได้ถูกเรียกว่า " อี้จับซา " แต่ตอนนี้มันต้องเป็น " อี้จับซา " อย่างแน่นอน , เป็น " อี้จับซา " อย่างปราศจากข้อสงสัย
    " อี้จับซา " ( บุรุษที่สิบสาม ) มันไม่มีสหาย ไม่มีคนรัก ไม่มีญาติ มันเป็นบุคคลโดดเดี่ยวอย่างยิ่ง เนื่องเพราะมันหวาดเกรง ว่าจะบังเกิดความรู้สึกผูกพัน ............

    " กระบี่ของข้าพเจ้า เพียงถูกชักออกจากฝัก ก็ต้องฆ่าคน มีบางครั้ง ,แม้กระทั่งตัวข้าพเจ้าเอง ยังไม่มีปัญญาควบคุมบังคับมัน "
    ....เป้าหมายต่อไปของมันคือ ซาเสียวเอี้ย ( นายเล็กคนที่สาม ) เจี่ยเอียวฮง แห่งหมู่บ้านกระบี่เทพเจ้า ( ซิ่งเกี่ยมจึง ) ริมทะเลสาบ วารีเขียว ( เล็กจุ้ยโอ้ว ) เชิงเขาเมฆมรกต ( จุ่นฮุ้นฮง ) เจตจำนงเพียงหนึ่งเดียวคือ ชิงความเป็น " กระบี่ที่หนึ่งแห่งแดนดิน " !
    --------------------------------------------------------------------------
    เจี่ยเฮียวฮง มันทั้งคมคาย , ทั้งสง่างาม , และทั้งมีพรสวรรค์เป็นพิเศษในการฝึกวิชาฝีมือ.....เพลงกระบี่ของมัน เป็นธรรมชาติ แทบจะเหนือเขตจำกัดของวิชากระบี่ไปแล้ว.....จากนั้นจะเห็นได้ว่า มีเพียง " เจี่ยเฮียวฮง " หนึ่งเดียวเท่านั้น ที่ควรแก่การประมือกับ " อี้จับซา " ! ........

    แต่.....นามของ ซาเสียวเอี้ย - เจี่ยเฮียวฮง พลันตายลงกลับมีคนชื่อ " อากิก " เกิดขึ้นแทนที่มันจำต้องก้มหน้าเป็น " อากิกที่ใช้ไม่ได้ " คอยรับใช้หัวซุกหัวซุนอยู่ในซ่องคณิกาแห่งนั้น

    ไฉน มือกระบี่อันเรืองโรจน์ จึงกลายเป็นเพียงนี้
    เนื่องเพราะ หัวใจของมัน ได้ตายไปแล้ว
    อะไร ทำให้หัวใจของ เจี่ยเฮียวฮง ตาย.
    เนื่องเพราะมันต้องการ หลบหลีกให้พ้นจากคมแห่ง " สิบสามกระบี่คร่าชีวิต " ของ ฮี้จับซา กระนั้นหรือ ?
    หามิได้ , แท้จริงแล้ว มันต้องการหลบหลีก หนีจากตัวมันเอง !

    ความผิดพลาดอย่างฉกรรจ์ของมัน มาจากความสัมพันธ์อันอื้นฉาว กับโฉมสะคราญ " ม่อย้งชิวชิว " บุตรีของ วีรบุรุษกังหนำ " ม่อย้งเจี่ย " ประมุขสระเจ็ดดาว ( ชิกแชทั้ง ) อันยิ่งใหญ่
    -----------------------------------------------------------
    เจี่ยเฮียวฮง พบ ม่อยังชิวชิว หนแรก บนเนินหญ้าเขียวขจี แห่งฤดูชุนเทียนอันสดใส ต่างยิ้มให้กันมันเด็ดชา ดอกหนึ่งให้ นางกลับแทงใส่หนึ่งกระบี่คมกระบี่บางเบา กรีดผ่านข้าง ๆ คอ มันตะปบข้อมือนางไว้
    " ท่านคือ เจี่ยซาเสียวเอี้ย "
    " ท่านทราบได้อย่างไรว่า ข้าพเจ้าใช่ "
    " เนื่องเพราะ นอกจาก เจี่ยซาเสียวเอี้ย แล้ว ไม่มีใครสามารถช่วงชิงกระบี่ในมือข้าพเจ้าได้ ภายในกระบวนท่าเดียว "

    เป็นรักแรกพบอันงดงามยิ่ง , เป็นรักแรกพบอันประทับใจยิ่ง รอจนพบกันหนที่สองในอีกเจ็ดปีต่อมาม่อยังชิวชิว ก็หมั้นหมายไปกับคนอื่นเสียแล้วและแล้ว , ในคืนที่สองของวิธีหมั้นหมาย นางก็ติดตามมันไป...เพื่อที่จะถูกมันทอดทิ้ง พร้อมกับทารกนอกสมรสหนึ่งหน่อ
    นางแค้นอย่างยิ่ง และปรารถนาอย่างยิ่งให้มันตายด้วยคมกระบี่ของ " อี้จับซา "
    ---------------------------------------------------
    ตะวันยิ่งตก ใกล้ตีนฟ้า แสงแดดสดยิ่งบรรเจิดอาบไล้ ใบปัง ดั่งเลือดเพิ่งหลั่ง ทั้งสองเดินเข้าดงปัง ย่ำเหยียบไปบนใบไม้แห้ง ยิ่งก้าวฝีเท้า ยิ่งเบาแผ่ว เนื่องเพราะ สมาธิและพละกำลังค่อย ๆ รวมศูนย์กระทั่งบรรลุถึงจุด พลันทะลักทลาย กลายเป็นลงมือ กระบี่ชักอย่างรวดเร็ว จู่โจมดุจสายฟ้า !น้ำหนักของมัน คล้ายสูญสลาย กระทั่งสามารถเหินทะยานกลางอากาศ ราวสายลมกระบี่เปล่งประกาย แปลบปลาบ พลังกระจัดกระจาย ใบปังแหลกยุ่ย ร่วงพรูราวหยาดพิรุณโลหิต แม้ต้นปังอันแกร่งเหนียว ยังถูกคมกระบี่เฉือนแยกเป็นท่อน
    ล้มครืนทีละต้น - ทีละต้น !
    -------------------------------------------------
    " สิบสามกระบี่คร่าชีวิต " นั้น สิบสามกระบี่แรก เพียงเป็นราก กระบี่ที่สิบสี่ เป็นกิ่งใบ ต้องรอจน กระบี่ที่สิบห้า ดอกไม้จึงเริ่มเบ่งบาน กระบี่ที่สิบห้า จึงเป็นความสมบูรณ์ , ความสมบูรณ์สุดยอดอย่างแท้จริงดอกไม้ต้องมีราก หยั่งลึกจึงเจริญงอกงาม ต้องมีใบเขียวขจี ขับเส้นจึงงดงาม แต่หากไม่มีดอก ก็มิอาจนับว่า เป็นดอกไม้ได้

    " กระบี่ที่สิบห้า นั้น หากใช้จู่โจมเข้าจริง ๆ ข้าพเจ้าต้องตายแน่นอน แต่ในวินาทีสุดท้าย , มันกลับไม่ได้จู่โจมออก เนื่องเพราะในจิตใจของมัน ไม่มีเพลิงอำมหิต เนื่องเพราะมันเคยช่วยชีวิตข้าพเจ้า หากแม้นท่านช่วยชีวิตคนผู้หนึ่ง ก็ยากที่จะลงมือฆ่ามันได้ เนื่องเพราะท่าน เพาะน้ำใจกับคนผู้นั้นแล้ว "

    " แม้มันมิคิดฆ่าข้าพเจ้า แต่มันก็มิอาจจะไม่ตาย เนื่องเพราะในพริบตานั้น ในใจมันแม้ไม่คิดฆ่าข้าพเจ้า , มิอาจตัดใจฆ่าข้าพเจ้า แต่มันก็ไม่สามารถควบคุมในมือ เนื่องเพราะพลังของกระบี่นั้น สุดที่เรี่ยวแรงมนุษย์ จะควบคุมไว้ได้ ขอเพียงใช้ออก ต้องมีคนตายภายใต้คมกระบี่ "
    " ที่มันตวัดกระบี่ สะบั้นคอหอยตัวเอง สิ่งที่มันคิดทำลาย ไม่ใช่ตัวมันเอง หากแต่เป็นกระบี่นั้น , กระบี่ที่สิบห้า เนื่องเพราะ มันพลันพบว่า กระบี่นั้น จะนำไปสู่ความตายและการทำลายล้าง มันมิอาจทิ้งให้เพลงกระบี่นี้ อยู่ในโลก....

    .....มัน , แม้ตาย ก็ไม่อาลัยต่อชีวิตฉะนี้เอง - แววตาอันเคยหวาดหวั่นในวูบหนึ่งจึงพลัน กระจ่างสุกใส , สงบ , และ เป็นสุขอย่างยิ่ง .......
    --------------------------------------------------------
    มันถือกำเนิดมาจากชาติตระกูลสูงสง่า มีชื่อเสียงแห่งนครหลวง ซึ่งต่อมาปลีกหนีออกจากความครึกโครม สับสน ไปก่อตั้งหมู่บ้าน " หมื่นเหมย " ขึ้นในชนบทอันเปลี่ยวและสงบ มันทั้งมีเงินและมีชื่อเสียง แต่กลับไม่ชมชอบคบค้าผู้คน จึงดูเหมือนทั้งไม่มีญาติ และมีสหายน้อย

    " เรามีสหายไม่มากนัก อย่างมากไม่เกินสามคน "มันบอกกล่าวกับ " เล็กเซี่ยวหงส์ " ท่านเป็นหนึ่งในสามนั้น " แม้มันจะชมชอบชุดขาวราวหิมะ แต่กระบี่ที่สะพายอยู่หว่างเอว กลับเป็นสีดำสนิท ดำสนิทและเรียวยาว เล่ากันว่า ตอนหนุ่มฉกรรจ์ , แม้กระทั่งอาบน้ำและหลับนอน มือของมันยังโอบกอดกระบี่ เป็นกระบี่ยาว 3 เชียะ 6 นิ้ว น้ำหนัก 7 ชั่ง 10 ตำลึง

    ไซมึ้งชวยเซาะ มีนิสัยประหลาด พิกล เพลงกระบี่ ก็พลิกแพลงพิกล ขณะที่มันตกลงใจฆ่าคนใดคนหนึ่ง ก็กำหนดหนทาง 2 สาย เอาไว้
    " ไม่ใฃ่ท่านตาย , ก็เป็นเราสิ้น ! "

    เนื่องเพราะมันยึดถือการฆ่าคนเป็นเรื่องสวยงาม และสูงส่งเช่นนี้เอง มันจึงไม่เพียง ชมชอบการแต่งชุดขาว หากแต่ก่อนออกไปฆ่าคนทุกครั้ง มันจะประพฤติ มังสวิรัติ กินอาหารเหลว และน้ำดื่มบริสุทธิ์ เป็นเวลา 3 วัน .......เนื่องเพราะมันเห็นและรู้สึกว่า เรื่องราวที่มันจะไปกระทำ เป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ที่สุด บริสุทธิ์ที่สุด.......
    ......มันกำลังจะไปฆ่าคน !.......
    " ท่านเรียนเพลงกระบี่ " ไซมึ้งชวยเซาะถาม
    " เราคือกระบี่ " เจ้านครเมฆขาวตอบ
    " ท่านทราบหรือไม่ว่า แก่นแท้ของเพลงกระบี่ อยู่ที่ใด " ไซมึ้งชวยเซาะถามและก็ตอบด้วยว่า
    " อยู่ที่ความสุจริต มีแต่สุจริตธรรม จึงสามารถฝึกปรือเพลงกระบี่ถึงขั้นสุดยอด คนที่ปราศจากความสุจริตใจ ย่อมไม่คู่ควรกับการวิจารณ์กระบี่ "
    ไซมึ้งชวยเซาะ เขม็งตาเพ่งมองเจ้านครเมฆขาว
    " ท่านไม่มีความสุจริตใจ "เมื่อจิตใจไม่สุจริต เที่ยงธรรม , วิถีกระบี่ ก็พลอยเอนเอียง !

    ..........คืนเพ็ญเดือนเก้า , เหนือยอดต้องห้าม ราชวังหลวง , " กระบี่เดียวหยดโลหิต " พิชิตเซียนเหินจากเหนือฟ้า......นั่นคือเพลงร้อง จากปากต่อปาก , กระหึ่มในยุทธจักร.......
    ------------------------------------------------------------
    แรกที่นางโจร " ฮวงซี่เนี่ย " พบ " เซียวจับอิดนึ้ง "มันยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มไร้ชื่อในยุทธจักรเด็กหนุ่มผู้นั้น เปลือยร่างท่อนบน กำลังปีนป่ายขึ้นธารน้ำตก อันสายน้ำ สาดเทลงมา รุนแรงราวอสุนีนาต ทดลองครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ทราบล้มเหลวแล้วสักกี่ครามีคราวหนึ่ง , ใกล้ประสบความสำเร็จ แต่ก็ถูกสายน้ำกระหน่ำฟาดลงมาปะทะกับโขดหิน ศีรษะแตก โลหิตหลั่งไหล , มันไม่ยอมพันแผล กลับขบกราม ป่ายปีนขึ้นไป ในที่สุด , ก็สามารถขึ้นถึงยอดเขาเหนือธารน้ำตก !

    นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ภายในดวงใจของ " ฮวงซี่เนี่ย " ก็ประทับเงาร่างของ เซียวจับอิดนึ้ง เอาไว้แนบแน่น มิว่าสายลมจะกรรโชกรุนแรงสักปานใด ก็มิอาจพัดเงาอันทอดเฉียงอยู่เคียงใจให้สลายเลือนไปได้ เราเป็นเพียงเด็กป่าเถื่อนที่ถือกำเนิดขึ้นจากท้องทุ่ง รกกว้าง ในสายตาของเรา สถานที่สวยงามที่สุด คือ ท้องทุ่งกว้าง อันไร้ขอบเขต ขุนเขารกร้าง ไร้ต้นหญ้างอกเงย แม้แต่อากาศ ( พิษ ) , และไข้ป่าที่อบอวลอยู่ทุกแห่งหนก็น่ารักกว่า บุปผานานาพรรณ ในแหล่งหญ้า " ชีวิตของ เซียวจับอิดนึ้ง โดดเดี่ยวยิ่ง โดดเดี่ยวจนแทบจะเหมือนจอกแหนอันไร้ราก ลอยร่อนอย่างไร้จุดหมาย อยู่ท่ามกลางมรสุมปั่นป่วนในมหาสาครแห่งชีวิต เพื่อนสนิทเพียงหนึ่งเดียวของมัน กลับเป็นนางโจร " ฮวงซี่เนี่ย " ผู้อาวุโสมากกว่า แต่เพื่อนสนิทอย่างแท้จริงของมัน จนแทบจะตายแทนกันได้ กลับเป็นตัวมันเอง , และดาบอันกระชับมั่นอยู่ในมือมากกว่า

    ชะตากรรม บันดาลให้มันเข้าไปเกี่ยวพันกับโฉมสะคราญอย่าง " ซิมเปียะกุน " ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกัน กระทั่งก่อรูปเป็นความรักอันบริสุทธิ์สะอาด ระหว่างดรุณีในห้องหอที่มีคู่หมั้นหมายอยู่แล้วกับบุรุษไร้สกุล รุนชาติ ผู้ถูกหม้อดำ ป้ายหน้าว่า เป็นโจรพาลสันดานหยาบ....
    --------------------------------------------------------
    .....มันออกสู่วงนักเลง ตั้งแต่อายุเพียง 14 ปี
    ร่อนเร่พเนจรดุจสุนัขป่าตัวหนึ่ง พร้อมกับม้าดีตัวหนึ่ง , กระบี่ดีเล่มหนึ่ง
    กระบี่เป็นกระบี่ตาอสูร ( ม้องั่ง ) อันแวววาว แวววาวดุจดวงตา - ดวงตาในฝันของดรุณียามแรกรัก , ดวงตาวิฬารอันคอยตะปบจับมุสิกในความมืด , ดวงตาของพยัคฆ์ร้ายยามหิวโหว , ดวงตาของเหยี่ยวยามตระเตรียมโบจับไก่ , และดวงตาของอสูรยามฝันร้าย.

    จดจารเอาไว้ในคัมภีร์อาวุธโบราณว่า หากท่านสามารถคาดคำนวณได้ว่า ประกายตาเหล่านี้ เมื่อผนึกรวมกันเข้าจะก่อเป็นประกายเยี่ยงไร จึงค่อยบอกได้ถึงประกายกระบี่ตาอสูรของ ปึงอุ้ย

    คมกระบี่นี้วาววับ ดุจน้ำค้างกลางหาว มีตำหนิอยู่เพียงจุดหนึ่ง อันดูไปคล้ายดวงตาข้างเดียว - ดวงตาข้างเดียวของอสูร !
    --------------------------------------------------------
    แรกที่ ลี้คิมฮวง เห็น อาฮุย , อาฮุย เดินอยู่ท่ามกลางหิมะและสายลมหนาว อันยะเยียบ เดินช้าอย่างยิ่ง ฝีเท้าเบาแผ่วอย่างยิ่ง แม้ได้ยินเสียงล้อรถบดพื้น และเสียงม้าร้อง แต่มันก็ยังคง ย่างกล้าวเดินไปข้างหน้า , ดูราวกับ ยากจะมีเรื่องราวใด สามารถดึงดูดให้มันหันไปสนใจได้

    มันทั้งไม่มีร่ม และไม่มีหมวก , ทั้งยังสวมเสื้อผ้าบางเบาเพียงชิ้นเดียว แม้หิมะจะละลาย หยาดไหลจากศีรษะหยดลงสู่ใบหน้าและเอิบซ่านเข้าไปตามซอกคอ และแผ่นอก แต่ร่างของมัน ก็ยังยืดตรงดั่งปลายทวน ตลอดร่างของมัน , ดูไปแล้วคล้ายเป็นกระบี่ ที่เสียบอยู่กับเอว

    กระบี่ที่ไม่มีฝัก !
    กระบี่ของมัน แทบมิอาจนับว่าเป็นกระบี่ได้เลย เสมือนเป็นของเล่นของเด็กทารกมากกว่า เนื่องเพราะเป็นเพียงแผ่นเหล็กที่มีความยาว 3 เชียะเศษ ทั้งไม่มี คมกระบี่ และทั้งไม่มีโกร่งกระบี่ กระทั่งด้ามกระบี่ก็ยังไม่มี มีแต่ใช้ไม้บาง - บาง 2 แผ่น ตอกไว้ 2 ฟากข้าง ก็นับเป็นด้ามกระบี่แล้ว

    กระบี่อันเสียบกับสายรัดเอวของมันนี้ แรกเห็นคนมักจะหัวร่อ แต่รอเมื่อ มันชักออก คนก็มักจะหัวร่อไม่ออกกระบี่ของมันเร็ว , เร็วอย่างร้ายกาจ !

    ......" ข้าพเจ้าไม่รู้จักเพลงกระบี่ ข้าพเจ้าเพียงรู้จักใช้กระบี่แทงเข้าคอหอยของศัตรู ด้วยวิธีใดเท่านั้น กับคนที่ใช้กระบี่ , ความหมายของคำว่าช้า ก็คือ ตาย ".......... แม้กระบี่ของอาฮุยจะเร็ว , อำมหิต , มั่นคงและแม่นยำอย่างยิ่ง แต่ด้วยวัยเพียง 20 ที่เพิ่งหลุดพ้นจากป่าเขากันดาลและรกร้าง กล่าวในสายตาของชาวบู๊ลิ้ม อย่างมากมันสามารถเป็นได้ก็เพียงทารกที่ยังด้อยประสบการณ์ กับศัตรูที่ถืออาวุธพร้อมจะเข่นฆ่ากันและกัน มันเด็ดเดี่ยวห้าวหาญอย่างที่สุด" เสียดาย กระบี่ของข้าพเจ้า กลับไม่เข้าใจคำสั่งของผู้ใดทั้งสิ้น มันรู้จักแต่ฆ่าคนเท่านั้น "

    แต่...กับคนอย่าง ลิ่มเซียนยี้ โฉมสะคราญอันดับหนึ่งแห่งบู๊ลิ้ม , ผู้มากด้วยเล่ห์และเป็นเอกในเชิง " ข้าพเจ้าฆ่าคน มิเพียงไม่เห็นโลหิตเท่านั้น ( หาก ) แต่ยังไม่ต้องใช้มีด กระบี่อีกด้วย " อาฮุย กลับไม่มีปัญญาจะตีหักด่านออกไปได้ในพริบตา

    หัวใจของอาฮุยแข็งแกร่งราวศิลาแลง แต่เมื่อมือนุ่มนวลของ ลิ่มเซียนยี้ ค่อย - ค่อยลูบไล้ ไปบนหน้าอย่างอ่อนโยน หัวใจมันมิทราบเป็นอย่างไรไปแล้ว กลับมีสภาพเฉกเช่นกับน้ำนิ่ง ในบ่อโบราณ พลันเกิดระลอกจนกระฉอกไปมา....
    --------------------------------------------------
    " ลี้คิมฮวง , ลี้คิมฮวง นับว่าท่านไม่เสียทีเป็นวีรบุรุษแห่งยุคได้จริง ๆ "
    ลี้คิมฮวงฝืนยิ้มด้วยความรันทดกล่าว
    " วีรบุรุษ ? คนเช่นดั่งข้าพเจ้า นับเป็นวีรบุรุษได้ ? "
    ก้วยซงเอี๊ยง สั่นศีรษะถอนใจกล่าว
    " ทั่วภิภพจบแดน อาจบางทีมีแต่ท่านเท่านั้น จึงนับเป็นวีรบุรุษได้ "
    .........." ข้าพเจ้าเข้าใจท่านกระจ่างยิ่ง ท่านว่า ท่านไม่อาจประมือกับข้าพเจ้า เนื่องเพราะท่านรู้สึก ท่านตอนนี้ยังไม่อาจตาย ท่านทราบว่า ยังมีคนคอยให้ท่านปกปักรักษา ท่านมิอาจทอดทิ้งนางโดยไม่นำพาได้ " ........ลี้คิมฮวง เงียบงันไม่มีเสียง แต่น้ำตาอุ่นระอุแทบทะลักออกจากเบ้าแล้ว สหายที่พึ่งพาได้ที่สุดคนหนึ่ง มักจะเป็นศัตรูที่น่ากลัวของท่านได้ก็จริงแต่คู่มือ ที่น่าสะพรึงกลัว ก็มักจะกลายเป็นสหายรู้ใจที่สุดของท่านเช่นกัน

    ลี้คิมฮวง กล่าวช้า ๆ
    " ขอเพียงเรื่องราวทางนี้เสร็จสิ้น วันหน้าท่านชักชวนข้าพเจ้าเพียงคำเดียว ข้าพเจ้าจะน้อมสนองทุกเวลา "
    ก้วยซงเอี๊ยง สั่นศีรษะกล่าว
    " ถึงเวลานั้น เราสองยิ่งน่ากลัวไม่มีทางประมือกันได้อีกแล้ว "
    " เพราะเหตุใด ? "
    ก้วยซงเอี๊ยง เบือนสายตามองไปในทางสุดไกลที่ขอบฟ้า พอดีมีเมฆขาวปุยหนึ่งลอยช้า ๆ อยู่ ใบหน้า ก้วยซงเอี๊ยง ปรากฎรอยย้มที่รันทดหดหู่ เน้นทีละคำ" ถึงตอนนั้น เราสอง มิแน่จะกลายเป็นสหายรักกันแล้ว "

    อาฮุย ความจริงเป็นคนโดดเดี่ยวและว้าเหว่ แต่บัดนี้กลับทราบว่า มีคนกำลังคอย...คนที่รักปานดวงใจ กำลังรอคอยอยู่ ความรู้สึกเยี่ยงนี้ นับว่าสุขซึ้ง ตรึงใจ ในโลกต้องไม่มีเรื่องราวใดเปรียบกับเรื่องนี้ได้ และต้องไม่มีเรื่องราวใดแทนเรื่องนี้ได้ด้วย

    แต่..หัวใจลี้คิมฮวง กลับวาบหวิว เมื่อแลเห็นสีหน้าเปี่ยมประกายความสุขของ อาฮุย ลี้คิมฮวงพลันรู้สึกมีโทษทัณฑ์ความผิดทันที
    ลี้คิมฮวง ความจริงไม่อำมหิตพอให้อาฮุยต้องผิดหวัง
    ลี้คิมฮวง ยินยอมไปรับทุกข์ทรมานทั้งมวลก็ไม่ยินยอมให้อาฮุยผิดหวัง
    แต่บัดนี้ ลี้คิมฮวง กลับจำเป็นต้องให้อาฮุยผิดหวังแล้ว
    ลี้คิมฮวง ไม่มีปัญญาคิดคำนวณ ยามเมื่ออาฮุยกลับไปแล้วไม่พบลิ้มเซียนยี้ จะกลับกลายเป็นสภาพใดแน่ ?
    มาตรแม้นกระทำเยี่ยงนี้ เพราะหวังดีต่ออาฮุยเท่านั้น หวังให้อาฮุย มีชีวิตต่อไปโดยสุขสมบูรณ์ มีชีวิตอยู่ด้วยความกล้าหาญ องอาจ มีชีวิตเช่นชายชาตรีอันเข้มแข็ง แต่ลี้คิมฮวง ยังคงรู้สึกละอายต่ออาฮุยอยู่บ้าง

    " เจ็บนานมิสู้เจ็บบัดเดี๋ยวเดียว "
    ลี้คิมฮวง เพียงหวังอาฮุย สามารถสลัดความเจ็บปวดนี้ออกไปได้รวดเร็ว ลืมนางไปได้รวดเร็ว

    นางทั้งไม่มีคุณค่าให้รัก ยิ่งไม่มีคุณค่าให้คิดคำนึงถึง !
    --------------------------------------------------------------
    กระบี่ของ จิ้นบ้อเมี่ย ได้แทงเข้าที่ไหล่ อาฮุย แต่แทงลึกเพียงสองหุนเท่านั้น
    กระบี่ของอาฮุย ยังห่างจากคอหอย จิ้นบ้อเมี่ย อีกสี่นิ้ว
    โลหิตบนไหล่อาฮุย เริ่มไหลออกมา ไหลลงใส่เสื้อผ้าจนกลายเป็นสีแดงฉาน
    กระบี่ของอาฮุยไฉน มิได้แทงลงไป !
    ไหล่ของ จิ้นบ้อเมี่ย มีมีดสั้น ปักเฉียงอยู่เล่มหนึ่ง

    เซี่ยวลี้ปวยตอ ! !

    เป็นอานุภาพ พิสดาร จึงสามารถบันดาลให้ลี้คิมฮวง ซัดมีดสั้นออกมาได้ ? !
    ใบหน้า เล้งโซ่วฮุ้น ซีดขาวจนเผือด
    มือสั่นระริก ถอยหลังไปทีละก้าว ถอยจนถึงมุมห้อง

    ลี้คิมฮวง ลุกขึ้นยืนแล้ว !
    จิ้นบ้อเมี่ย หันช้า ๆ จับตามอง ลี้คิมฮวง แน่วนิ่ง ดวงตาที่เป็นสีเทาซีดของมันยังคงตายด้าน ไร้ความรู้สึก และมิทราบอีกเนิ่นนานปานใด จึงพลันกล่าว" มีดสั้นที่ยอดเยี่ยม "

    ลี้คิมฮวง ยิ้มพลางกล่าว
    " ไม่ยอดเยี่ยมเท่าใด เพียงแต่เนื่องเพราะ ท่านเกิดดูแคลนข้าพเจ้าก่อน ไม่แยแสสนใจข้าพเจ้าในสายตาเลย ไม่เช่นนั้น ข้าพเจ้ามิแน่จะสามารถทำอันตรายท่านได้ "

    .......ลี้คิมฮวง ไอเบา ๆ แล้วกล่าวสืบต่อไป

    " ข้าพเจ้า แม้ทำอันตรายคนไปเจ็ดสิบหกคน แต่ในจำนวนนั้น มียี่สิบแปดคน มิได้ตาย ผู้ตาย ล้วนสมควรตายทั้งสิ้น " .... หัวใจ ลี้คิมฮวง วาบหวิวลงอีกแล้ว

    ลี้คิมฮวงทราบ ในโลกไม่มีดนตรีใด ไม่มีสำเนียงใด ๆ จะสามารถสั่นไหวจิตใจบุรุษได้ยิ่งกว่าเสียงถอนหายใจเยี่ยงนี้ของสตรี มาตรว่าเสียงใบไม้ร่วงฤดูชิวเทียน เสียงสายน้ำที่ครวญคร่ำ กระทั่งเสียงพิณในวิกาลใต้แสงจันทร์ เสียงขลุ่ยในสายลมยามดึก ก็ไม่อาจบีบคั้นทางจิตใจผู้คนให้หวั่นไหว ได้เท่าเสียงถอนหายใจของสตรี
    --------------------------------------------------------
    ลี้คิมฮวง เคยกระทำเรื่องราวต่าง ๆ ให้ผู้คนมากหลายมาจริง ๆ แต่พวกเหล่านั้น บ้างหันหลังให้ บ้างลืมเลือนลี้คิมฮวง กระทั่งมีบ้าง ยังเคยขายลี้คิมฮวงอีกด้วย

    ลี้คิมฮวง มิเคยกระทำเรื่องราวใด ๆ แก่ก้วยซงเอี๊ยงเลย แต่ก้วยซงเอี๊ยง กลับยินยอมไปตายแทน โดยไม่เสียดายชีวิต นี่คือ น้ำมิตรที่แท้จริง !
    น้ำมิตรเยี่ยงนี้ ทั้งไม่อาจซื้อ และไม่อาจแลกเปลี่ยนได้มา อาจบางทีเนื่องเพราะ ในโลกยังมีน้ำมิตรเยี่ยงนี้หลงเหลืออยู่ ดังนั้น ความรุ่งโรจน์ของมนุษย์ชาติ จึงสามารถดำรงไปตลอดกาลนาน
    --------------------------------------------------------
    ......" เซี่ยงกัวกิมฮ้ง " เน้นทีละคำ
    " มีดของท่านเล่า ? "
    คนผู้นั้นพลิกมือวูบ ปลายนิ้วมีมีดสั้นอยู่เล่มหนึ่งทันที !
    เซี่ยวลี้ปวยตอ ! !
    พอเห็นมีดเล่มนี้ คนทั้งหลายจึงได้ทราบว่า มิได้คาดเดาผิดเป็นลี้คิมฮวง ! ในที่สุด ลี้คิมฮวงก็มาแล้ว
    ......ลี้คิมฮวง กล่าว
    ห่วงของท่านเล่า ? "
    " ห่วงอยู่ "
    " อยู่ที่ใด ? "
    " อยู่ในหัวใจ "
    " อยู่ในหัวใจ ? "
    " ในมือเราแม้ไม่มีห่วง แต่ในใจกลับมีห่วง "
    แก้วตาของลี้คิมฮวง หดเล็กลงทันที
    ห่วงของเซี่ยงกัวกิมฮ้ง ถึงกลับมองไม่เห็น
    เนื่องเพราะมองไม่เห็นนั่นเอง ดังนั้น จึงอยู่ในทุกแห่งหน ไม่มีที่ใดไปไม่ถึงได้ !
    " ในมือไร้ห่วง ในใจมีห่วง "
    นี่คือสุดยอดของหลักวิชาบู๊แล้ว นี่เป็นระดับเทพเจ้าแล้ว
    ผู้อื่นไม่เข้าใจ ลี้คิมฮวง เข้าใจกระจ่าง !

    " ท่าน ความจริงเป็น ถ้ำฮวย มาสามชั่วคน รับราชการในตำแหน่งโอ่อ่า ภาคภูมิ มีเกียรติยศสูงส่ง ไยต้องมาเป็นคนเสเพล พเนจรในวงพวกนักเลงอันโสมมนี้ ? "

    ......ลี้คิมฮวง ยิ้มพลางกล่าวเสียงราบเรียบ
    " คิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไป "
    " ท่านยังสามารถไปได้ ? "
    ลี้คิมฮวงอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง จึงถอนหายใจยาวกล่าวขึ้น
    " เป็นไม่คิดจะไป และก็ไม่อาจจะไป "
    " ประเสริฐมาก เชิญใช้กระบวนท่าออกมา "
    " กระบวนท่า มีอยู่แล้ว "
    เซี่ยงกัวกิมฮ้ง ต้องโพล่งโดยไม่รู้ตัว
    " อยู่ที่ใด ? "
    ลี้คิมฮวง กล่าวเสียงราบเรียบ
    " อยู่ในหัวใจ มีดข้าพเจ้า แม้ไม่มีกระบวนท่า
    แต่หัวใจกลับมีกระบวนท่าอยู่ "
    แก้วตาเซี่ยงกัวกิมฮ้ง พลันหดเล็กลงบ้าง !
    ทุกผู้คน ต่างไม่เห็นห่วงเซี่ยงกัวกิมฮ้งอยู่ที่ใด ?
    และไม่เห็นกระบวนท่า จู่โจมของลี้คิมฮวงอยู่ที่ใด ?

    แต่ห่วงอยู่แล้ว กระบวนท่าก็ใช้ออกไปแล้ว !
    ---------------------------------------------------
    ตอน เซี่ยงจง ( ปัญญาบารมีภิกขุ ) แสดงธรรมเทศนา โง๊วโจ๊ว ( มหาสมณะที่ 5 ) ได้เทศน์ขึ้น สังขารดุจต้นโพธิ์ หัวใจดุจกระจกใส
    หมั่นเพียรเช็ดถูไว้ ไม่ให้มีธุลีติดได้ นั่นเป็นหลักธรรม ที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งแล้ว " เสียงชายชรากล่าว
    เหตุผลนี้ ก็เช่น ห่วงก็คือเรา เราก็คือห่วง จะฝึกถึงระดับนั้น นับว่าไม่ง่ายดาย "
    เสียงดรุณีน้อยกล่าว
    แต่ มหาสมณะที่ 6 ( ลักโจ๊ว ) ฮุ่ยเล้ง ยิ่งเทศน์ได้เลิศกว่า โดยท่านว่า ต้นโพธิ์ความจริงหาใช่ไม่ กระจกก็มิใช่ใสความจริงไร้วัตถุใด ๆ ไปมีธุลีได้อย่างไร ?
    ดังนั้น ตอนหลัง ท่านจึงได้เป็นทายาทสืบต่อจาก เซี่ยงจง "

    " ใช่แล้ว นี่จึงนับเป็นแก่นธรรมอันเลอเลิศสุดสูงของเซี่ยงจงเมื่อถึงระดับนั้น จึงถือ ระดับเทพยดา อันสูงส่ง "
    " เช่นนั้นเป็นว่า แก่นแท้ของหลักวิชาบู๊ ไยมิใช่เป็นเช่นหลักธรรมของเซี่ยงจง ? "
    " เรื่องใด ๆ วัตถุนานาในพิภพจบแดน เมื่อถึงระดับ ไร้คนไร้เงา ลืมเขาลืมเรา ทั้งสองประการ จึงสามารถถึงระดับสุดยอดได้ "

    " แต่เสียดาย ที่มีบ้าง บางคนยังไม่เข้าใจ พอถึงระดับ มือไร้ห่วง หัวใจมีห่วง ก็อิ่มเอมเปรมใจ หลงทะนงโอหังในตัวเอง โดยมิทราบว่า นั่นเป็นระดับ เพิ่งก้าวข้ามประตูเท่านั้น จะเข้าในห้องใหญ่ ยังมีระยะอีกห่างไกลนักดอก "
    -------------------------------------------------------
    ในศาลบูชา ยิ่งนานยิ่งหนาวเหน็บ ไฟก็มอดดับไปแล้ว บนพื้นศิลา คล้ายดั่งผนึกเป็นน้ำแข็ง " อาฮุย " นั่งอยู่บนพื้นน้ำแข็งนั่น แม้เสื้อผ้าจะเบาบาง แต่หัวใจกลับมีเปลวไฟลุกโชติช่วงเปลวไฟที่ไม่มีวันดับเลยตลอดกาล !

    เนื่องเพราะในหัวใจคนบางคน ยังมีไฟชนิดนี้ลุกโชติช่วงดังนั้น โลกจึงมิตกอยู่ในความมืดมนตลอดกาลบุรุษที่มีโลหิตระอุคุกรุ่น ก็จะไม่เงียบเหงา ว้าเหว่ ตลอดกาล อาฮุย จับตามองจน " จิ้นบ้อเมี่ย " ไปไกลในใจมีรสชาติที่บอกมิถูกว่าเป็นอย่างไร ใช้ฟันต่อฟัน ใช้เลือดล้างเลือด !

    ที่ " จิ้นบ้อเมี่ย " เมื่อก่อนให้แก่ " อาฮุย " ตอนนี้ อาฮุย ก็คืนสนองแก่จิ้นบ้อเมี่ยในสภาพเช่นเดียวกัน

    อาฮุย อาศัยพลังความรัก กระตุ้นจนฟื้นคืนมา
    บัดนี้อาฮุย กลับใช้พลังความแค้น ไปกระตุ้นชีวิตของ จิ้นบ้อเมี่ย ให้ฟื้นคืนกลับมา
    อาฮุย ต้องการให้ จิ้นบ้อเมี่ย มีชีวิตสืบไป
    อาฮุย ออกจากป่าดงเข้าสู่โลกีย์วิสัย มิใช่เพื่อต้องการให้ชีวิตมีความสุขบ้าง แต่เป็นต้องการ แก้มือกับมนุษย์ชาติ ! แก้แค้นให้มารดา !

    แต่คนแรกที่ อาฮุย พบก็คือ ลี้คิมฮวง ลี้คิมฮวง กระตุ้นจิตใจ อาฮุย จนรู้สึก ชีวิตมิใช่เจ็บปวดดั่งที่เคยคิดคาดเอาไว้เลย มนุษย์ชาติก็ไม่อัปลักษณ์ดั่งที่เคยคิดคาดเอาไว้เลย อาฮุยได้พบเห็นคุณธรรม ดีงามจากตัวลี้คิมฮวงมากหลาย อาฮุยความจริงไม่อยากเชื่อเลยว่า ในโลกยังจะมีคุณธรรมดีงามเหล่านี้หลงเหลืออยู่ ชีวิต อาฮุย ถูกลี้คิมฮวงโยกคลอน ให้คล้อยตามมาก กระทั่งยังมากกว่ามารดาเสียอีก

    เนื่องเพราะ ที่ลี้คิมฮวงสั่งสอนให้ อาฮุย คือ " รัก " มิใช่ " แค้น "รักให้ผู้คน รับได้ง่ายดายกว่าแค้นตลอดกาลนาน

    แต่บัดนี้ อาฮุย กลับมิอาจไม่แค้นได้
    อาฮุย แค้นจนคิดจะทำลาย ทำลายผู้อื่น ทำลายตัวเอง ทำลายทุกสรรพสิ่ง !
    อาฮุย รู้สึก อยุติธรรมเกินไป บุคคลเช่น ลี้คิมฮวง ความจริงไม่สมควรตายในสภาพนี้
    ซุนเซี่ยวอั๊ง ถอนหายใจอีกครา กล่าวเสียงเครือว่า
    " หากเซี่ยงกัวกิมฮ้ง ทราบพวกเรารอคอยอยู่ที่นี้ จะต้องเบิกบานใจอย่างยิ่ง "
    อาฮุยขบกรามกล่าว
    " ให้มันเบิกบานใจเถิด โลกนี้ความจริง มีแต่คนดีจึงเจ็บปวดที่เบิกบานใจล้วนเป็นคนชั่วช้าสามานย์ "

    พลันมีผู้คนหนึ่งส่งเสียง
    " ท่านผิดแล้ว ! "
    เป็นวาจาสั้น ๆ เพียงสามคำเท่านั้นและช่วงเวลาระบุผลแพ้ - ชนะ ก็เป็นเพียงพริบตาเดียว !

    ประกายดาวตก ที่กรีดผ่านท้องฟ้ามืดมิดนั้นมักให้ผู้คน กระตือรือร้นคึกคัก ตื่นเต้น ตื้นตัน
    แต่..แม้ประกายดาวตก ยังไม่มีปัญญาเปรียบเทียบกับประกายมีดสั้นเพียงวูบนั้น !
    ประกายดาวตกสั้นอย่างยิ่ง แต่ประกายมีดสั้นที่วูบขึ้นมาวาบนี้ กลับยืนยงอยู่ในมนุษย์ชาติไปตลอดกาล !

    มันแพ้แล้ว !
    จาก http://www.pantown.com/board
     
  15. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    นวนิยายของท่านปรมาจารย์กิมย้ง .

    หนึ่งในนวนิยายอันลือเลื่องของท่านปรมาจารย์กิมย้ง มังกรจ้าวยุทธจักรหรือมังกรหยก ทั้ง 4 ภาค ได้ผ่านการอ่านและผ่านเข้ามาสู่จิตใจของข้าพเจ้า จนร้าวรานและสะเทือนความรู้สึกถึงขนาดน้ำตาไหลมิขาดสาย ข้าพเจ้ารักและเคารพในฝีมือและอัจฉริยภาพของท่านกิมย้งมาก ๆ น้ำชาจอกนี้ ข้าพเจ้าจอมยุทธหนุ่มแห่งซอยเรวดีจังหวัดนนทบุรีขอมอบแด่ท่าน

    มังกรหยกภาคที่สะเทือนใจมากที่สุดของข้าพเจ้าในชาตินี้และชาติต่อ ๆ ไป คงจะเป็นมังกรหยกภาคสมบูรณ์ หรือที่หลายคนเรียกว่า " 8 เทพอสูรมังกรฟ้า " หรือมังกรหยกภาค 4 นวนิยายเรื่องนี้ กระชากความรู้สึกของข้าพเจ้าดำดิ่งลึกในความโศกเศร้า โศกาอาดูร และประทับใจในความรักที่พระเอกประมุขพรรคยาจก( เซียวฟง ) มีให้กับคนที่รักเขามากที่สุด นั่นคือนางเอกซึ่งเป็นแค่หญิงรับใช้กำพร้าบิดามารดาของสกุลกุฟูมู่หยง ( อาจู ) อาจูเป็นอิสตรีเพียงนางเดียวในยุทธภพที่กว้างใหญ่ไพศาล ที่รักและสงสารในตัวของพระเอก ( เซียวฟง ) อย่างจริงจังที่สุด รักแม้กระทั่งยศฐาบรรดาศักดิ์ของเซียวฟงนั้นมลายหายไปสิ้น แต่กระนั้นอาจูก็ได้เสียชีวิตโดยการเข้าใจผิด พระเอกเป็นคนทำลายชีวิตของนางเอก เนื่องจากความรักที่มีต่อบิดาที่เพิ่งพบเจอกัน และคนรักของนาง ( เซียวฟง ) การจากไปของอาจู ทำให้ชีวิตที่เหลือทั้งหมดของประมุขพรรคยาจกเซียวฟงขาดซึ่งความสุขไปตลอดกาล คำมั่นสัญญาที่จะอยู่ด้วยกัน หนีหายจากยุทธภพไปสู่ทุ่งหญ้าสีเขียวกว้างใหญ่ไพศาล เลี้ยงม้า เลี้ยงแพะ ได้มลายสูญหายไปหมดสิ้น แต่กระนั้นเซียวฟงซึ่งบัดนั้น หมดแล้วซึ่งยศฐาและบรรดาศักดิ์จะยังอำลาจากยุทธภพไปไม่ได้ คำมั่นสัญญาสุดท้ายที่หลุดออกจากนางในดวงใจของเขานั่นคือ จงปกป้องน้องสาวของอาจูที่นิสัยโหดร้ายที่เพิ่งพบเจอกันเมื่อไม่นาน เซียวฟงต้องเดินทางไปช่วยอาจื่อ ซึ่งแส่หาเรื่องเข้าตัวเองจนถูกราชาพิษ ติงชุนชิวจับตัวไปและได้ทำลายดวงตาของน้องสาวของอาจู การเดินทางไปของเซียวฟงจะต้องไปช่วยอาจื่อน้องของอาจู ตามคำสัญญาสุดท้ายของชีวิตของคนรัก เซียวฟงอุ้มศพอาจูและเฝ้าศพอาจู 3 วัน 3 คืน เซียวฟงมิรีบฝังศพ เพียงเพราะเซียวฟงอยากเห็นใบหน้าของหญิงอันเป็นที่รักให้นานแสนนานที่สุด เซียวฟงใช้กำลังฝีมือและโลหิตของตนเองในการเขียนชื่ออาจูไว้ที่ป้ายหลุมศพ เซียวฟงร้องไห้ทั้ง 3 วัน 3 คืน เซียวฟงใช้กำลังภายในเพื่อฝังศพของอาจูอย่างน่าสงสาร เซียวฟงจะไม่มีอาจูอีกแล้วในชาตินี้ เซียวฟงยังคงนึกถึงการมีชีวิตร่วมกันระหว่างเซียวฟงและอาจูอย่างสม่ำเสมอ อาจูเคยรอคอยเซียวฟง 5 วัน 5 คืนเพื่อรอเซียวฟงว่าอาจจะผ่านมาที่หุบเขา และทั้งสองคนบอกรักกันที่นั่น เซียวฟงนึกถึงเสื้อที่อาจูเคยเย็บให้พร้อมทั้งกล่าวว่า " แต่ละเข็มที่เจ้าเย็บเสื้อให้ข้า มันยิ่งร้อยรัดดวงใจของข้าเหลือเกิน " เซียวฟงบัดนี้พร้อมแล้วที่จะทำตามคำสัญญาของอาจูก่อนตาย นั่นคือไปช่วยเหลืออาจื่อน้องของอาจูที่โดนมารเฒ่าติงชุนชิวแห่งซานตงทำลายดวงตาและจับตัวไป การเผชิญหน้ากันของ ประมุขพรรคยาจกที่มีวิชายุทธประดุจผู้วิเศษ ผู้มีฉายาว่า " เทพเจ้าแห่งภาคเหนือ " ผู้ใช้แต่พลังฮั่งเล้งจับโป้ยเจี่ย ( ฝ่ามือสยบมังกร 18 ท่า )เซียวฟงกำลังจะพบกับวิชาอันพิศดารและล้ำเลิศที่สุดในแผ่นดิน นั่นคือพลังยุทธสลายเอ็นที่โจวจี้เสียนแอบขโมยมาจากเส้าหลิน เอาใจช่วยประมุขพรรคยาจกเซียวฟงจนน้ำตาไหลมิขาดสาย และประทับใจกับความรักที่อาจูมีให้เซียวฟง และเซียวฟงมีให้อาจู ร้อยรัดความรักและความนิรันดรได้ในบทประพันธ์จีน 8 เทพอสูรมังกรฟ้า หรือมังกรหยกภาค 4 หรือมังกรหยกภาคสมบูรณ์ ที่มีหัวเรื่องตั้งต้นก่อนภาคที่ 1

    ทุกคนที่อ่านนวนิยายจอมยุทธมาคงทราบดีอยู่แล้วว่า ปรมาจารย์ตั๊กม้อ หรือท่านอรหันต์ตั๊กม้อได้มาที่เส้าหลินและได้คิดค้น สุดยอด 72 วิชาวัดเส้าหลิน อีกทั้ง กระบวนยุทธอีกหลากหลายจึงคิดค้นไว้ที่เส้าหลิน ในอดีตประมุขพรรคยาจกนั้นมีวิชาเอกคือเพลงตีสุนัข 36 เพลงเพียงเท่านั้น แต่หลายปีต่อมา ไต้ซือเสียนขู่แห่งวัดเส้าหลินได้รับศิษย์ฆราวาสไว้คนหนึ่งนั่นคือเซียวฟง อาจารย์เสียนขู่ถ่ายทอดเพลงยุทธต่าง ๆ รวมถึงวิชาพลังฝ่ามือสยบมังกร 18 ท่าให้กับเซียวฟง เซียวฟงมีหัวในการฝึกยุทธสูงที่สุดในแผ่นดิน ประจวบกับทั้งอาจารย์เสียนขู่สอนยุทธให้ตลอด 10 ปี มิมีขาดแม้สักวัน ครั้งประมุขพรรคยาจกวังเจี้ยนธงเสียชีวิต จึงขอสถาปนาให้เซียวฟงเป็นประมุขพรรคยาจกแทนตน ดังนั้นวิชาเอกของประมุขพรรคยาจกจึงมี 2 วิชา นั่นคือพลังฮั่งเล้งจับโป้ยเจี่ย ( ฝ่ามือปราบมังกร 18 กระบวน ) และเพลงไม้ตีสุนัข 36 เพลง ที่ใช้เพลงยุทธช้าแต่เต็มไปด้วยพลัง ประมุขพรรคยาจกรุ่นหลังจึงมี 2 วิชานี้เป็นวิชาเอก ตั้งแต่เซียวฟง ฟุ้งปังจู๋ อั้งชิกกง อึ้งย้ง ลูอู่คา ส่วนก๊วยเจ๋งนั้นรบเร้าให้อั้งชิกกงสอนให้ ในยุคต่อมาเคล็ดวิชาฝ่ามือสยบมังกร 18 ท่าได้ถูกบันทึกไว้ภายในกระบี่อิงฟ้าและดาบคาบมังกรในมังกรหยกภาค 3 ทำให้ จิวจื้อเยี๊ยกประมุขง้อไบ๊ได้ฝึกเคล็กวิชานี้ด้วย เตียบ่กี้แห่งพรรคจรัสได้รับอานิสงส์วิชานี้จากจิวจื้อเยี๊ยกเช่นกัน

    มังกรหยกภาค 1 มีก๊วยเจ๋งเป็นตัวละครแบบแบน นั่นคือมีด้านดีด้านเดียว ก๊วยเจ๋งไม่มีหัวในการฝึกยุทธ ซ้ำยังได้อาจารย์เป็น 7 ประหลาดกังหน้ำ ซึ่งฝึกวิชากับอาจารย์ไม่เหมือนกันทั้ง 7 คน ทำให้สับสน แต่โชคดีที่ได้มาพบนักพรต 1 แห่งสำนักฉ่วนจิงก่า ( นักพรตแบยก ) ได้ฝึกกำลังภายในให้ใหม่ แต่สุดท้ายก๊วยเจ๋งยังไม่สามารถใช้พลังฝ่ามือสยบมังกร 18 ท่าให้รุนแรงที่สุดเทียบเท่ากับยุคต้น ๆ ได้ ก๊วยเจ๋งจึงประยุกต์พลังฝ่ามือสยบมังกร 18 ท่ากับเคล็ดวิชา เก้าอิมจินเก็ง (คัมภีร์นพเก้า เก้าอิม) จนกลายเป็นฝ่ามือสยบมังกร 18 ท่าของก๊วยเจ๋งไปในที่สุด ถึงก๊วยเจ๋งจะโง่แต่มีความเป็นคนดีอย่างถึงที่สุด ลูกสาวของมารบูรพาที่เฉลียวฉลาดที่สุดในแผ่นดินอย่างอึ้งย้ง รักก๊วยเจ๋งอย่างสุดหัวใจ ในยุคนี้ยอดยุทธต่าง ๆ จะมีเทพเจ้าภาคกลางเฮ้งเต็งเอี๊ยง ซึ่งเป็นศิษย์พี่ของเฒ่าทารกจิวแปะธง มารบูรพาอึ้งเอี๊ยะซือ ยาจกอุดรอั้งชิกกง พิษปัจฉิมอาวเอี๊ยงฮง 6ดรรชนีสกุลต้วนแห่งภาคใต้ต้วนเฟย อีกทั้งฝ่ามือเหล็กลอยน้ำคิ้วโชยยิ่ม ไม่มีน้ำตาจากข้าพเจ้าเลยแม้สักหยดเมื่ออ่านภาคนี้ แต่ยอมรับว่าสนุกมาก

    มังกรหยกภาค 2 มีเอี้ยก้วยเป็นตัวละครที่พัฒนามาจากภาคหนึ่งนั่นคือตัวละครแบบกลม คือมีทั้งแง่ดีและแง่ร้าย เอี้ยก้วยเป็นบุตรของคนที่ชั่วช้าสามานย์ที่สุดอย่างเอี้ยคัง แต่มารดาของเอี้ยก้วยคือ มัวเนี่ยมชื้อนั้นดีเหลือเกิน ภาคนี้พูดถึงความรักอันยิ่งใหญ่ระหว่างศิษย์กับอาจารย์หญิงสุสานโบราณ เอ้ยก้วย กับ เสียวเล้งนึ้ง ซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้น แต่ก็เกิดไปแล้ว อึ้งย้ง ก๊วยเจ๋งและอีกหลายคนไม่เห็นด้วย แต่ใย มารบูรพา(ตังเซี๊ยะ)นามว่าอึ้งเอี๊ยะซือกลับชื่นชมในตัวของเอี้ยก้วยที่กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้องและมีความสุข ความจริงแล้ว มารบูรพานั้นหาความเป็นมารในตัวตนนั้นไม่มีเลย เพียงแต่อึ้งเอี๊ยะซือมีความเป็นตัวของตัวเองมากเกินไป จนหลายคนตั้งฉายาให้ว่า ตังเซี๊ยะหรือทูตบูรพา ความคิดเห็นและความเป็นตัวของตัวเองจะสูงส่งขึ้นและดีขึ้นในยุคของมังกรหยกภาค 3 นั่นคือยุคของปรมาจารย์เตียซำฮงแห่งบู๊ตึ๊ง ที่เห็นดีด้วยกับการแต่งงานกันของศิษย์ 5 (จอมยุทธ 5 แห่งบู๊ตึ๊ง) เตียชุ่ยซัว กับลูกสาวพรรคมารพรรคอินทรีย์ของอินทรีย์คิ้วขาว ฮั่งทีเจ็ง (ฮั่งโซวโซว) จนกำเนิดเป็น เตียบ่กี้ ก่อนจบภาคนี้ ปีศาจเซียวเซี่ยงจื๊อได้แอบขโมยเคล็ดวิชาความร้อนสุดยอด เก้าเอี๋ยงจินเก็งจากเส้าหลิน และได้ตกภูเขาตายไป ซึ่งในภาคที่ 3 เตียบ่กี้จะได้พบและฝึกวิชานี้ ควบคู่ไปกับคัมภีร์เก้าอิมจินเก็งที่จิวจื้อเยี๊ยกประมุขง้อไบ๊รุ่นที่ 4 ที่ได้ค้นพบความลับทั้งหมดบนดาบคาบมังกรและกระบี่อิงฟ้า นางเคยเป็นคนที่สนิทกับเตียบ่กี้ในวัยเยาว์

    มังกรหยกภาค 3 นี้ ทุกจอมยุทธในภาค 1 และ 2 ได้พลีชีพไปหมดแล้วเพื่อช่วยเมืองเซียงเอี๋ยงสู้กับทัพของมองโกล ก่อนที่เมืองเซียงเอี๋ยงจะแตกนั้น จอมยุทธหญิงก๊วยเซียงบุตรีที่ 2 ของก๊วยเจ๊งที่สร้างพรรคง้อไบ๊ได้ผนึกสุดยอดวิชาในยุคนั้นลงบนกระบี่และดาบที่มีนามว่า กระบี่อิงฟ้า และดาบคาบมังกร เพื่อในอนาคตจะมีจอมยุทธหนุ่มผู้มีบุญได้ค้นพบและฝึกวิชาทั้งหมดในดาบและกระบี่นี้ เพื่อกู้ชาติในอนาคต พร้อมทั้งปล่อยบทกลอนบทนี้เข้าสู่ยุทธภพนับ 10 ๆ ปี "ใครได้ดาบคาบมังกรผู้นั้นบัญชายุทธภพ อิงฟ้าไม่มา ใครหาญต่อกร "ในภาคนี้เตียบ่กี้เป็นพระเอก เป็นลูกชายคนเดียวของจอมยุทธ 5 แห่งบู๊ตตึ๊งและลูกสาวพรรคมารฮั่งโซวโซว บ่กี้จะเป็นคนดีหรือคนร้าย แต่บทสรุปคือเตียบ่กี้ยังไม่มีความเด็ดขาดในการปกครองขนาดใหญ่ ทำให้ทูตซ้ายเอี้ยงเซียวแห่งพรรคจรัสต้องโดนลอบวางยาพิษจนถึงแก่ความตาย ความดีของเตียบ่กี้นั้น ทำให้พรรคที่ถือกันว่าเป็นพรรคมารของยุทธภพเช่นพรรคจรัสของประมุขเอี๊ยงเตงที ทุกคนในพรรคจรัสรักและนับถือในตัวของเตียบ่กี้ซึ่งสามารถพลีชีวิตเพื่อปกป้องพรรคจรัสได้ แม้ว่าตอนนั้นเตียบ่กี้ไม่มีอะไรเกี่ยวพันกับพรรคจรัสเลย เมื่อเตียบ่กี้ได้เป็นประมุขพรรคจรัส กลับค้นพบข้อเท็จจริงว่า ความจริงแล้วพรรคจรัสไม่ใช่พรรคมารเลย เตียบ่กี้จึงสร้างพรรคจรัสให้เป็นพรรคคุณธรรมให้ได้ เตียบ่กี้มีหัวในการฝึกยุทธสูงมาก สามารถเรียนสุดยอดวิชาของประมุขพรรคจรัส พลังพลิกปฐพีขั้นสูงสุดขั้นที่ 7 ในภาคนี้สามารถกระชากน้ำตาของข้าพเจ้าได้แล้ว แต่นับว่าน้อยมาก หากเทียบกับภาคต่อไป นั่นคือภาค 4 แต่ภาค 4 นั้นไม่ได้ต่อกับภาค 3 ,ภาค 4 จะเป็นยุคเริ่มต้นของมังกรหยกเลยทีเดียว การปะทะสงครามกันระหว่างชาวฮั่นกับซิตัน และความผูกพันในรักที่ดีที่สุด เศร้าที่สุดที่ข้าพเจ้าอ่านมา หากข้าพเจ้าได้หวลกลับไปอ่านอีก น้ำตาของข้าพเจ้าจะไหลมากเท่าเดิม ไม่มีน้อยลง เป็นสุดยอดแห่งบทประพันธ์ ตราตรึงหัวใจของข้าพเจ้าไว้ในพรรคกระยาจก ความรักของเซียวฟงกับอาจู อ่านบทประพันธ์แล้วจะไม่อยากดูเวอร์ชั่นภาพยนต์ เพราะไม่มีภาพยนต์เรื่องใดจะได้อรรถรส ความฟุ้งในจินตนาการ ความสวยงามของนวนิยายได้เท่ากับการอ่าน ลองอ่านดูสิครับ
     
  16. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ดาบมังกรหยก


    นับเป็นเรื่องสุดท้ายในไตรภาคของเรื่อง มังกรหยก ซึ่งอันที่จริงก็มีตัวละครในเรื่องมังกรหยกโผล่มานิดหน่อยในตอนต้นเรื่อง แล้วก็ไม่โผล่มาอีกเลย แต่มีอ้างอิงถึงบ้างนิดหน่อย

    จะว่าไปแล้ว สามารถแบ่งเรื่องนี้เองออกได้เป็นสามภาค โดยภาคแรกกล่าวถึง เตียกุนป้อในวัยหนุ่มสืบเนื่องจากในตอนท้ายของมังกรหยกภาคสอง พร้อมทั้งเปิดตัวคัมภีร์นวภพ ภาคที่สองกล่าวถึงเตียชุ่ยซัว และภาคที่สามซึ่งยาวที่สุดในเรื่อง กล่าวถึง เตียบ่อกี้

    เตียกุนป้อเป็นศิษย์รับใช้ในโรงครัวของวัดเส้าหลิน เรียนรู้คัมภีร์นวภพโดยไม่รู้ตัวจากกักเอี๊ยงไต้ซือ-อาจารย์ซึ่งเป็นหลวงจีนผู้ดูแล หอเก็บคัมภีร์ โดยที่ทั้งสองเองก็ไม่รู้ว่าตนมีพลังภายในลึกล้ำ กอปรกับได้รับการชี้แนะจากก๊วยเซียงทำให้เตียกุนป้อสามารถประมือกับฮ่อจกเต๋า-ยอดฝีมือที่มาท้าประลองฝีมือที่วัดเส้าหลิน จึงทำให้ทั้งสองถูกเข้าใจผิดว่าลักลอบเรียนวิทยายุทธ และถูกขับออกจากสำนัก

    ระหว่างการหนีการตามล่าจากเหล่าหลวงจีน กักเอี๊ยงได้มรณะภาพ แต่ก่อนตายได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาของคัมภีร์นวภพให้แก่ก๊วยเซียงและเตียกุนป้อ เตียกุนป้อถึงแม้จะหลงรักก๊วยเซียง แต่ในใจของก๊วยเซียงมีเพียงเอี้ยก้วย ทั้งสองจึงได้แยกทางกัน

    เตียกุนป้อได้มุมานะจนได้เป็นปรมาจารย์ก่อตั้งสำนักบู๊ตึ๊งและเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น เตียซำฮง ในขณะที่ก๊วยเซียงได้บวชเป็นชีและก่อตั้งสำนักง้อไบ๊ในเวลาต่อมา


    ผ่านไปเป็นเวลาหลายสิบปี ในขณะที่เร่งเดินทางกลับไปร่วมงานครบรอบ 90 ปีของเตียซำฮง ยู้ไต้ง้ำ-ศิษ์อันดับสาม ในเจ็ดศิษย์เอกของเตียซำฮง พลาดท่าถูกทำร้ายจนพิการ เตียชุ่ยซัว-ศิษย์อันดับห้าจึงออกตามหาตัวคนทำร้ายและได้พบกับฮึงซูซุ่แห่งนิกายเหยี่ยวฟ้าซึ่งมีชื่อเสียงเป็นชาวอธรรม

    จากการตกกระไดพลอยโจนเข้าร่วมการชิงดาบฆ่ามังกรทำให้เตียชุ่ยซัวและฮึงซูซู่ต้องเผชิฐหน้ากับเจี่ยซุ่น-ราชสีห์ขนทอง และเรือแตกไปจนติดเกาะน้ำแข็งในขั้วโลกเหนือ
     
  17. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    "สุวินัย ภรณวลัย" สกัดจุดยุทธจักรนิยาย "มังกรคู่สู้สิบทิศ"

    เมืองไทยในช่วงระยะเวลา ๒-๓ ปีที่ผ่านมานี้ กระแสวรรณกรรมแนวยุทธจักรกำลังภายในกำลังพุ่งขึ้นมาเป็นที่นิยมอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่เคยซบเซามานานนับสิบปี จะเห็นได้จากการที่ในหมู่คนหนุ่มสาวได้หันมาสนใจอ่านหนังสือแนววรรณกรรมยุทธจักรกำลังภายในมากขึ้นเมื่อบริษัท "สยามอินเตอร์คอมมิกส์" ได้จัดพิมพ์วรรณกรรมแนวกำลังภายในเรื่องใหม่ออกมา ๒ เรื่อง คือ "เจาะเวลาหาจิ๋นซี" และ "มังกรคู่สู้สิบทิศ" ซึ่งเป็นผลงานของผู้ประพันธ์คนเดียวกันนาม "หวงอี้" โดยมีการพิมพ์เรื่อง "เจาะเวลาหาจิ๋นซี" ออกมาก่อนมีจำนวน ๘ เล่ม และได้รับความนิยมอย่างสูงแม้แต่ในฮ่องกงก็มีการสร้างเป็นละครโทรทัศน์และเข้ามาแพร่ภาพในเมืองไทยอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นทางสำนักพิมพ์จึงได้พิมพ์ "มังกรคู่สู้สิบทิศ" ซึ่งเป็นเรื่องยาวถึง ๒๑ เล่มออกมาและเพิ่งจะออกเล่มอวสานไปเมื่อไม่นานนี้

    ชื่อของ "หวงอี้" เป็นชื่อใหม่ในวงการนิยายกำลังภายในบ้านเรา แต่การตอบรับผลงานของเขานับว่ามาแรงกว่าวรรณกรรมกำลังภายในที่ออกมาในระยะเวลาไล่เลี่ยกันมาก นี่ต้องแสดงถึงความไม่ธรรมดาของวรรณกรรมในแบบฉบับของ "หวงอี้" อย่างแน่นอน

    บ่ายอ่อนๆ ณ มุมหนึ่งของเมืองหลวง "ดร.สุวินัย ภรณวลัย" ได้อธิบายให้ "อาทิตย์" ฟังเกี่ยวกับ "สาระสำคัญ" ที่แฝงอยู่ภายในผลงานวรรณกรรมของ "หวงอี้" โดยเฉพาะในเรื่อง "มังกรคู่สู้สิบทิศ" ซึ่งนับว่ามีความโดดเด่นที่สุด และแตกต่างจากวรรณกรรมกำลังภายในเรื่องอื่นๆ ที่เคยมีมาก่อนหน้านี้เลยทีเดียว...

    ๑) จุดเด่นของวรรณกรรมหวงอี้
    งานเขียนแบบวรรณกรรมของ หวงอี้ นี่ท้าทายมากเพราะคนจีนนี่เขารู้เรื่องหมดแล้ว อย่างในทีวีเขาก็มีเรื่อง "ศึกลำน้ำเลือด" ซึ่งเป็นเรื่องราวอันเดียวกัน หรือผลงานของหวงอี้เรื่อง "เจาะเวลาหาจิ๋นซี" คนจีนเขารู้กันหมดแล้วแต่เขาก็เอามาเขียนเป็นนิยายใหม่ได้ นี่เป็นจุดเด่นของวรรณกรรมแบบหวงอี้ ที่เห็นเป็นข้อแรกคือเขาทำนิยายแบบ พาราเรลฮิสตอรี่ หรือ พาราเวลเวิลด์ ซึ่งก็คือ "โลกในคู่ขนาน" คือมันมีความจริงของประวัติศาสตร์อยู่ แต่คุณเข้าไปในโลกแห่งความฝัน ความฝันของความฝันอีกทีหนึ่ง เราต้องจินตนาการว่าเราเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นี้ เรารู้ประวัติศาสตร์อยู่แล้ว แต่ต้องมาประลองปัญญากับหวงอี้ดูว่า เขาจะทำให้เราเชื่อได้หรือเปล่า เพราะนิยายของหวงอี้เน้นเรื่องเล่าเป็นหลัก ซึ่งต่างกับของโกวเล้ง อย่างเรื่อง "ฤทธิ์มีดสั้น" นี่เรื่องทางประวัติศาสตร์น้อย แต่โกวเล้งเขาเล่นกับอารมณ์เป็นธีมหลักๆ โดยเฉพาะ เรื่อง "ฤทธิ์มีดสั้น" ซึ่ง "ฤทธิ์มีดสั้น" นี้เขาเขียนออกมา ๑,๒๐๐ หน้า แต่คุณอาจไม่มีทางทนเพื่อจะอ่านความร้าวรันทดของ "ลี้คิมฮวง" และความร้ายกาจของ "ลิ้มเซียนยี้" ที่โกวเล้งพรรณาได้ถึงจำนวนหมื่นหน้าเหมือนอย่างเรื่อง "มังกรคู่ฯ" หวงอี้เขาเขียนในเรื่องที่คนรู้อยู่แล้วโดยเฉพาะคนจีนแล้วทำอย่างไรให้เกิดเป็นประวัติศาสตร์คู่ขนานได้ราวกับว่ามันมีตัวตนอยู่จริง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นประมาณ ๑,๓๐๐ ปีก่อน ในช่วงที่หลวงจีนตั๊กม้อเดินทางมาเผยแพร่พุทธศาสนาแบบเซนได้ไม่นาน ไม่เกินสองร้อยปี เพราะในเรื่อง "มังกรคู่สู้สิบทิศ" จะปรากฎชื่อของสังฆปรินายกรุ่นที่ ๔ คือ "เต้าซิ่น" โผล่ออกมารวมอยู่ใน ๔ หลวงจีนศักดิ์สิทธิ์ และมาประลองกับพวกพระเอก ใครที่ตามอ่านเรื่องเกี่ยวกับเซนจะตกใจว่าปรมจารย์เซนมาโผล่ในเรื่องนี้ด้วย

    เราจะเห็นว่าบุคคลที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ในเรื่องมังกรคู่สู้สิบทิศนี้มีบทบาทมาก เช่น "หลี่ซื่อหมิน" "หลี่มี่" "หวังซื่อชง" ขนาดที่ว่าถ้าคุณไปอ่านเรื่อง "ดาบมังกรหยก" หรือ "มังกรหยก" ก็ดี บุคคลที่มีบทบาททางประวัติศาสตร์จริงมีบทบาทเป็นแค่ตัวประกอบเท่านั้นเอง คือผู้แต่ง "กิมย้ง" เวลาเขาเขียนเรื่องนิยายกำลังภายในอิงประวัติศาสตร์ก็ยังไม่สะใจเท่ากับหวงอี้ เพราะหวงอี้เขาเล่นกับประวัติศาสตร์โดยตรงนี่คือจุดเด่นของวรรณกรรมหวงอี้ที่ทำให้คนตามอ่านได้ถึง ๒๑ เล่ม

    อีกประการหนึ่งก็คือผมอ่านแล้วรู้สึกเหมือนกับว่าเรื่อง "มังกรคู่สู้สิบทิศ" เป็นงานวรรณกรรมทางการเมืองแบบบูรณาการ ในความหมายที่ว่าตัวหวงอี้เขาได้เสนอ "วิชั่น" ทางการเมืองมุมมองและประเด็นทางการเมืองที่ประกอบได้ด้วยการวิเคราะห์สถานการณ์ในขณะนั้น ซึ่งจริงๆ แล้วนักรัฐศาสตร์ควรจะอ่าน มีคนพูดว่าถ้าไม่อ่าน "สามก๊ก" ก็ไม่สามารถสำเร็จงานใหญ่ได้ แต่ผมว่าถ้าไม่อ่าน "มังกรคู่สู้สิบทิศ" ก็ไม่สำเร็จงานใหญ่เช่นกันเพราะในด้านนี้เขาเหนือกว่า "กิมย้ง" อีกนะเพราะว่ากิมย้งเขามองแบบองค์รวมที่ไม่ได้เน้นปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างเช่นตอนที่เราอ่านนิยายกำลังภายใน คนหนึ่งคนมีความร่ำรวยมาได้อย่างไรเราจะไม่รู้เลย หรืออย่าง "ฤทธิ์มีดสั้น" ตัวละครยิ่งไม่สมจริงใหญ่ เพราะ "โกวเล้ง" เป็นคนที่สร้างคาแรคเตอร์ตัวละครออกมาแล้วทำลายทิ้งมาก ในเรื่อง "ฤทธิ์มีดสั้น" ผมอ่านเฉพาะในสองบทแรกคนตายไปสามสิบคนแล้ว แทบไม่มีบทบาทเลยแต่เอ่ยชื่อออกมาเยอะไปหมด ขณะที่ "หวงอี้" เขาเป็นคนที่รักษาตัวละครดีมาก ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าฝีมือเขียนในเชิงมหากาพย์ของเขาเหนือกว่าคนอื่นมากใน "มังกรคู่สู้สิบทิศ" ปัจจัยทางเศรษฐกิจก็เขียนไว้ชัดเจนมาก และมีการบอกที่มาขุมกำลังต่างๆ ที่เข้ามาช่วงชิงแผ่นดิน เพราะนี่คือวรรณกรรมเรื่องการช่วงชิงแผ่นดินในช่วงกลียุค ในเรื่องนี้เราจะเห็นว่าบางคนค้าขนแพะ บางคนค้าเกลือ ผู้ร้ายนี่ค้าผู้หญิงกับเปิดบ่อน

    อย่างที่สอง คนจะทำงานใหญ่มันต้องมีเครือข่าย พระเอก "โค่วจง" นี่ไต่เต้ามาจากนักเลงอันธพาลระดับกระจอกในเมืองหยางโจวจนขึ้นมาเป็นผู้นำที่สามารถเป็นคู่แข่ง "หลี่ซื่อหมิน" ได้นี่เพราะเขาได้สร้างเครือข่าย คือชนะมาแล้วก็เพราะน้ำใจ เพราะว่านี่เป็นคุณสมบัติที่สำคัญในการช่วงชิงแผ่นดิน ใน "มังกรคู่ฯ" เราจะเห็นได้ว่าพระเอก "โค่วจง" ไต่เต้าขึ้นมาได้อย่างไร

    อย่างที่สามเรื่องเทคโนโลยี ในเรื่องนี้มีนวัตกรรมที่ใช้ในการสู้รบมาก ถ้าได้อ่านดูประการที่สี่เขาพูดเรื่อง "ลีดเดอร์ชิพ" ความสามารถในการเป็นผู้นำแบบ "หลี่ซื่อหมิน" หรือความสามารถในการเป็นผู้นำแบบ "โคว่จง" มีการวิพากษ์การเป็นผู้นำแบบ "หวังซื่อชง" และ "หลี่มี่" มันน่าสนใจมากและก็พูดถึงเรื่องการจัดองค์กรซึ่งก็เล่าตั้งแต่พระเอกเริ่มสร้างพรรคมังกรคู่เพื่อเตรียมการช่วงชิงแผ่นดิน จนมาถึงการสร้างกองทัพขุนพลน้อย มันสมจริงมากในแง่นี้ ถ้าเราอ่านก็จะได้ความรู้พวกนี้

    ประการต่อมานี่ ไม่ใช่ว่า "กิมย้ง" ไม่ได้เขียนวรรณกรรมทางการเมือง นิยายของเขาเรื่อง "ยิ้มเย้ยยุทธจักร" นี่ก็จัดเป็นวรรณกรรมทางการเมืองที่เยี่ยมยอดที่สะท้อนการวิจารณ์การปฏิวัติวัฒนธรรมของจีนในสมัยนั้น เพราะเราบอกได้เลยว่าถ้าเราตัดฉากบู๊และเรื่องกำลังภายในที่เป็นเหมือนผงชูรสออกมันก็คือเรื่องการเมืองสมัยใหม่นั่นเอง เพียงแต่ว่าทัศนทางการเมืองของ "กิมย้ง" เป็นการเมืองแบบ "เนกกาตีฟ" ที่ผมเรียกว่า "การเมืองแบบเก่า" ซึ่งทำให้คิดว่าการเมืองเป็นเรื่องสกปรก น่ารังเกียจไม่น่าแตะต้อง เราอ่านมาจะได้ความรู้สึกแบบนั้นแต่พออ่านการเมืองของ "หวงอี้" โดยเฉพาะเรื่อง "มังกรคู่สู้สิบทิศ" ผมอ่านแล้วยิ้ม ดูแล้วมีความหวัง รู้สึกว่ามันเป็นการเมืองแบบ "ข้ามพ้นตัวตน" ทำให้เรามองการเมืองแบบ "โพสซิตีฟ" ให้ความหวังในการสร้างชาติซึ่งเป็นประเด็นที่ชัดเจนมาก ในฉากหนึ่งของเรื่องมีผู้ถามว่า ทำไม "หลี่ซื่อหมิน" ควรได้เป็นฮ่องเต้ โดยเฉพาะตอนที่ "โค่วจง" สนับสนุน "หลี่ซื่อหมิน" และพาไปพบ "ดาบสวรรค์ซ่งเสวีย" ก็เพราะ "หลี่ซื่อหมิน" มีทัศนเปิดกว้างกับคนนอกด่าน อันนี้แสดงจุดยืนทางการเมืองชัดเจนว่า การขจัดปัญหาเรื่องชนกลุ่มน้อยในจีนอย่างธิเบตนี่คุณต้องให้เกียรติเขา มันเป็นเรื่องล้ำยุคมาก ในขณะที่เราไปอ่านของกิมย้งในเรื่อง "แปดเทพอสูรมังกรฟ้า" มันน่าเศร้ามากเพราะพระเอกของเรื่อง "เซียวฮง" ต้องฆ่าตัวตายเพราะตนเองเป็นคนต่างชาติจริงๆ แล้ว "หลี่ซื่อหมิน" ก็เป็นลูกครึ่ง แม่เป็นชนชาติหู แต่ "โค่วจง" ได้สนับสนุนเพราะว่าเขาเหมาะสมที่สุด แต่ "ดาบสวรรค์" ติดอยู่ที่ว่าอยากให้ฮ่องเต้เป็นชาวฮั่นแท้ คืออยากให้คนจีนทางตอนใต้เข้ามาปกครอง ซึ่ง "โค่วจง" เห็นว่าถ้าทำเช่นนั้นก็ต้องรบกันอีกยาวคนที่ทุกข์ยากก็คือประชาชน วิชั่นแบบ "โค่วจง" นี้คือมันต้องทำการเมืองแบบข้ามพ้นตัวตน "โค่วจง" เป็นผู้ยอมเสียสละเพราะดูแล้ว "หลี่ซื่อหมิน" เหมาะกว่าเพราะว่าเขามีนโยบายหลังการยึดอำนาจรัฐที่ชัดเจน คือจัดระเบียบชัดเจนซึ่งตอนแรก "โค่วจง" เขายอมรับไม่ได้ เพราะเขาเป็นนักผจญภัยไม่ใช่ผู้บริหาร หรือเรียกว่ามันเป็นเรื่องท้าทาย แต่พอหมดความท้าทายเขาก็หมดความสนใจแล้ว เรื่องนี้จึงเป็นวรรณกรรมทางการเมืองแนวใหม่ที่น่าสนใจมาก

    ประการสุดท้ายนี่วรรณกรรมเรื่องนี้ได้เสนอ "ฮีโร่พันธุ์ใหม่" หรือวีรบุรุษแนวใหม่ในนิยายกำลังภายในที่ไม่มีมาก่อน ถ้าเทียบกับ "เซียวฮง" จาก "แปดเทพอสูรมังกรฟ้า" ที่มีจุดจบเป็นโศกนาฏกรรม แต่เรื่อง "มังกรคู่สู้สิบทิศ" นี้เป็นฝ่ายให้เพราะพระเอกเรื่องนี้มีสองคน คนหนึ่ง "โค่วจง" เป็นสุดยอดของโลกียะ อีกคนหนึ่งคือ "ฉีจื่อหลิง" นี่จะเป็นแบบโลกุตระ เป็นเหมือนด้านจริยะของคนเรา เพราะสองคนนี้ไม่เคยหักหลังกันเลย ถ้าอ่านนิยายกำลังภายในนี้ในที่สุดแล้วต่อให้จะปลีกวิเวกเขาก็จะทำเมื่อหลังจากเสร็จงานใหญ่ จุดจบไม่ได้จบแบบ "เตียบ่อกี้" ในเรื่อง "ดาบมังกรหยก" ที่เป็นผู้นำพรรคมารแล้วก็ถูก "จูหยวนจาง" หักหลังแล้วขึ้นมาครองราชย์เป็นฮ่องเต้ราชวงศ์หมิง แต่ "มังกรคู่สู้สิบทิศ" เขาทำได้ดีคือพอสำเร็จงานใหญ่แล้วพวกพระเอกก็ปลีกตัวออกมา แล้ว ๑๐ ปีให้หลังก็กลับมาดูว่า "หลี่ซื่อหมิน" รักษาสัจจะวาจาตามที่ให้ไว้หรือเปล่า

    ๒) สรรพวิชา หรือภูมิปัญญาตะวันออกในเรื่อง "มังกรคู่สู้สิบทิศ"
    เมื่อเปรียบเทียบกับ "ฤทธิ์มีดสั้น" ของ "โกวเล้ง" แล้วจะมีอยู่แค่ฉากเดียวเท่านั้นเองคือฉากที่ "ลี้คิมฮวง" เผชิญหน้าเป็นครั้งแรกกับ "เซี่ยงกัวกิมฮ้ง" และกำลังจะดวลกัน ปรากฎว่า "ผู้เฒ่าเทียนกี" ซึ่งถือเป็นอันดับหนึ่งออกมาเตือนสติเพราะว่า "ลี้คิมฮวง" ได้ถามว่าอาวุธของท่านล่ะอยู่ที่ไหน "เซี่ยงกัวกิมฮ้ง" ตอบว่ามือไร้ห่วงแต่ใจมีห่วง แล้ว "ผู้เฒ่าเทียนกี" ที่จะมาช่วย "ลี้คิมฮวง" ก็พูดว่าแค่มือไร้ห่วงคิดไปว่าตัวเองเก่งแค่ไหนเพราะว่าที่สูงสุดก็คือต้องไร้คน ไร้ห่วง "เซี่ยงกัวกิมฮ้ง" ก็เลยช็อกไป ในที่สุดก็ไม่ได้ดวลกัน เลยต้องไปดวลกันวันหลังคือในตอนจบของ "ฤทธิ์มีดสั้น" มีอยู่แค่นี้เอง เพราะฉะนั้น "โกวเล้ง" เขาเสนอภูมิปัญญาของเซนแบบผิวเผินนิดหน่อย เพราะไปอ้างของ "ลักโจ้ว" คือสังฆปรินายกองค์ที่หกที่ไปเขียนบทโศลกแข่งกันจนได้ตำแหน่งมา เราจะเห็นว่า "โกวเล้ง" เขาเก่งในเรื่องนิยายแบบปัจเจก แต่ความลุ่มลึกในด้านภูมิปัญญาเขาสู้ "กิมย้ง" และ "หวงอี้" ไม่ได้

    แต่ว่าเมื่อไปอ่านเรื่อง "มังกรคู่สู้สิบทิศ" นี่จะพบว่า การประลองยุทธนี่คือการประลองปรัชญา ปรัชญาในการต่อสู้มันลึกซึ้งและซับซ้อนลึกเข้าไปเรื่อยๆ อ่านแล้วสนุกมากและได้ภูมิปัญญา

    อันแรกเคล็ด "จันทร์ในบ่อ" อันนี้มาจากหลักของเซนและ "ซ็อกเจน" ของทางธิเบต อาจกล่าวได้ว่าในนิยายกำลังภายในที่ผมอ่านมา "หวงอี้" เป็นคนแรกที่เอาเรื่องเซนเข้ามาใช้อย่างจริงจัง เพราะตอนที่เขาบรรยายฉากคิวบู๊เปรียบเทียบกับของ "กิมย้ง" แล้วกิมย้งเขาไม่ค่อยใช้ปรัชญาเท่าไหร่ บางเรื่องก็คือจินตนาการล้วนๆ แต่ของ "หวงอี้" เขาจะมีหลักอยู่ อันแรกเคล็ดจันทร์ในบ่อก็ตรงกับ "ซ็อกเจน" ภาษาอังกฤษเรียกว่า "self perfection stage" หรือ "ภาวะความสมบูรณ์พร้อม" มีปรากฎอยู่ในเรื่องตลอดมา โดยเฉพาะปรากฎอยู่ในตัวละคร "ชอนแชอิม"

    ต่อมาเคล็ด "กระบี่หมากล้อม" นี่เอาเรื่องหมากล้อมมาเป็นเคล็ดวิชา เป็นของ "ชอนแชอิม"

    เคล็ด "วิชาลมปราณอมตะ" ของเต๋า ที่มาที่ไปนี่เกิดจากการที่พระเอกเขาไปเจอคัมภีร์เต๋าเล่มหนึ่ง ซึ่งในเรื่องถือเป็น "เคล็ดวิชาอมตะ" พระเอกสองคนนี้ได้มาและฝึกสำเร็จ คนที่วิเคราะห์เรื่องเต๋าเขาเรียกว่า Taoist canon จริงๆแล้วมันมีกว่า ๓,๐๐๐ ม้วน ที่มีอยู่ในปัจจุบันนะเป็นภาษาโบราณ "หวงอี้" ก็หยิบมาม้วนหนึ่งที่เป็นภาษาโบราณ ตอนนี้ก็ยังมีการแกะภาษาอ่านกันอยู่ เพราะมันมีศัพท์ทางวิชาต่างๆ มากถ้าถามว่ามันเป็นไปได้มากแค่ไหน ก็มีจุดพลังที่ออกมาจากยอดศีรษะคือจุด "ไป่ฮุ่ย" และจุดที่มีพลังออกมาจากฝ่าเท้าคือจุด "หย่งเฉวียน" ซึ่งจะมีกระแสไฟฟ้าวิ่งอ่อนๆ อันนี้มีอยู่จริง ตอนที่ได้วิชานี้ จุดที่เท้าก็ได้จากท่านอนเพราะจะฝึกได้ง่าย ส่วนจุดที่หัวก็ฝึกจากท่านั่งได้ง่าย อันนี้มีจริงแน่นอน และถ้าหากถามว่า "พลังรูปเกลียว" นี่มีอยู่ไหม ก็มีจริงเหมือนกันแต่ไม่โอเวอร์ถึงขนาดนั้น ศัพท์ทางวิชาเรียกว่า "ฉันซือจิ้ง" เป็นเคล็ดพลังรังไหมของมวยไทเก็กสายเต๋า

    เพราะฉะนั้นในเคล็ดวิชาลมปราณอมตะของเต๋ามันมีมูลความจริงอยู่บ้าง แต่ประสิทธิภาพไม่ได้เหมือนในเรื่องขนาดนั้น เพราะวิชาจริงเขาเรียกว่า "ถงจื่อกง" คือวิชาพลังกุมารเท่านั้นเอง ทำให้มีสุขภาพดี อายุยืน แต่ไม่ได้มีพลังเหนือมนุษย์ขนาดนั้น

    วิชาต่อไปคือวิชา "กระบี่ใจกระจ่าง" ของ "ซือเฟยเซวียน" จาก "เรือนฌาณเมตไตรย" อันนี้เป็นเซนชัดเจนมาก คือสายพุทธนะ และบทสนทนาที่ "ซือเฟยเซวียน" จะเตือนสติ "ฉีจื่อหลิง" ก็น่าสนใจมาก ถ้าใครสนใจเรื่องเคล็ดวิชาก็ต้องอ่านเล่ม ๙ ของภาคหนึ่งและภาคสอง (ภาคสมบูรณ์) จะสนุกที่สุดคือในสิบเล่มแรกที่รวมสรรพวิชามากก็คือเล่มเก้า พอสิบเอ็ดเล่มหลังก็เป็นเล่มเก้าเหมือนกัน

    "วิชาเปลี่ยนพระอาทิตย์" วิชานี้เป็นกุณฑาลินีโยคะของอินเดียที่ผู้แต่งเอามาใช้

    "เคล็ดวิชาตัวตนกับพรหมมัน" คิดว่าผู้แปลน่าจะแปลผิด เพราะน่าจะใช้คำว่า "อาตมัน" เขาเขียนไว้ว่า "อาตมัน" กับ "พรหมมัน" เป็นหนึ่งเดียวอันนี้เป็น "ราชาโยคะ" ของ "ปตัญชลี" และยังมีท่าที่ใช้ในการต่อสู้นี้ก็เป็นเหมือน "หธะโยคะ"

    "เคล็ดวิชาเก้าคำศักดิ์สิทธิ์" นี่คือวิชา "มนตรายาน" นั่นเองเรื่องนี้ผมเคยไว้ในหนังสือ "คัมภีร์มังกรวัชระ" ที่ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า "มิกเคียว" มันแปลกมาก เพราะคำศักดิ์สิทธิ์ที่ "ฉีจื่อหลิง" ได้มามันเป็นสถานการณ์ในตอนที่เขาไปพบพระพุทธรูป นิยายกำลังภายในเขาจะเอาสิ่งที่ไม่เป็นวิทยายุทธ มาเป็นวิทยายุทธหมด ก็เลยใช้ปางมือ ซึ่งภาษาทางวิชาการเราเรียกว่า "มุทรา" มีคำอยู่เก้าคำที่เอามาจากคัมภีร์ของเต๋า ในภาษาญี่ปุ่นออกเสียง "ริน เปียว โต ฉะ ไค จิน เรสุ ไซ เซ็น" มี ๙ คำ แปลได้ว่า "เมื่อทั้งหมดเผชิญหน้ากับทหารก็จัดเรียงแถวข้างหน้า" แต่ละท่าก็จะมีท่าของมัน คือ "ปางนอก" "ปางใน" ฯลฯ วิชานี้ยังตกทอดอยู่ถึงปัจจุบัน หวงอี้นี่เป็นคนแรกที่เอาเรื่องเหล่านี้มาใช้ แต่ในเรื่องนี้เคยมีหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นเอามาใช้อยู่ ในนิยายกำลังภายในถือว่าเป็นของใหม่ แต่ถ้าในการ์ตูนนั้นมีคนเอามาใช้นานแล้ว

    "วิชาท่าร่างมายา" ของ "เทพอาถรรพณ์" เมื่อวิเคราะห์แล้วก็พบว่าเขาใช้วิธีสะกดจิต พลังจิต คล้ายกับ "วิชาพรหมสี่หน้า" ของเมืองไทยคือทำให้เห็นเป็นหลายร่าง ต้องใช้พลังจิตบวกกับท่าเท้า

    "เคล็ดห้วงขณะในยามนี้" ของ "ปาฟงหัน" ที่เขาฝึกมาจากในทะเลทราย อันนี้เป็นเซน ดูลึกซึ้งมากลองไปอ่านดูได้

    "เคล็ดรับดาบ ได้ดาบ แล้วลืมดาบ" ของ "ดาบสวรรค์ซ่งเสวีย" อันนี้ไม่ทราบว่าได้รับอิทธิพลจาก "มูซาชิ" หรือเปล่าก็ไม่ทราบ เพราะบุคลิกของ "ดาบสวรรค์ซ่งเสวีย" คล้ายมากกับของโกวเล้งที่เขียนก็จะมี "บุรุษชุดขาว" ถ้าใครสนใจเรื่องนี้ก็ลองไปอ่านภาคผนวกของหนังสือ "มูซาชิ" ที่ผมเขียนจะมี "คัมภีร์อจลนาถ" คือเคล็ด "ไร้ดาบ" อันนี้มีจริงอยู่ที่ญี่ปุ่นเป็นของสายตระกูล "ยางิว" มีการแปลฉบับเต็มเป็นภาษาอังกฤษด้วย

    ส่วนเคล็ดของ "ผู้วิเศษกำจาย" ส่วนใหญ่จะอิงจากหลักของ "จวงจื้อ" มากกว่า "เล่าจื้อ" มีคนไทยได้แปลออกมาตั้งหลายเวอร์ชั่นลองไปหาอ่านดูได้

    แล้วที่เหลือก็จะมีวิชาของทางนอกด่าน เช่น "วิชายิงธนู" "วิชาคนกับม้าหลอมรวมเป็นหนึ่ง" "เคล็ดการพนัน" คือได้การพนันและลืมเลือนการพนัน ก็เอาจากเคล็ดวิชาดาบมาใช้ เมื่อดูบรรยากาศเราจะรู้ว่าวรรณกรรมเรื่องนี้ได้รวมเอาสุดยอดของฉากแอ็คชั่นในหนังที่เราเคยได้ดูมายกเว้นหนังแบบอวกาศอย่างเรื่อง "เอเลี่ยน" เท่านั้นเอง ถ้าใครชอบภาพยนตร์แอ็คชั่นแล้ว วรรณกรรมเรื่องนี้ก็ไม่น่าผิดหวัง นอกจากนี้ก็ยังมีวิชาสะกดรอย ดูท้องฟ้า ใช้เหยี่ยวสืบข่าว การทำสงคราม เรื่องของเรือ การทำห้องลับ การจัดสวน การทำอาหารเป็นต้น มีอยู่ตอนหนึ่งที่ผมชอบเป็นพิเศษคือ ตอนที่พระเอกทั้งสองคนไปที่สถานปศุสัตว์เลี้ยงม้า แล้วไปเจอยอดคน "หลู่เมี่ยวจื่อ" รวมแล้ววิชามีเยอะมากเมื่อเราจับมาแยกแยะทีละอัน อาจจะไม่ผิดหวังถ้าได้อ่านเรื่องนี้ และจะเป็นจุดเริ่มต้นให้ศึกษาเรื่องเหล่านี้เข้าไปอย่างลึกซึ้งได้จริงๆ แล้วมันน่าจะมีฟุตโน้ตของมังกรคู่ฯ ด้วยซ้ำไป เพื่อว่าคนที่อ่านเรื่องนี้จะสามารถเข้าลึกทางความลึกได้

    ๓) เหล่ายอดคนในเรื่อง "มังกรคู่สู้สิบทิศ"
    คนแรก "โค่วจง" คนที่อ่านเรื่องนี้จะพบว่าหวงอี้สร้างโมเดลให้เขาเป็นวีรบุรุษ เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในระดับสุดยอดของเรื่องทางโลก เท่าที่วีรบุรุษจะสามารถกระทำได้ เขาเป็นผู้นำอุดมคติในช่วงกลียุค ถ้าเป็นสมัยนี้ก็เหมือนพี่เสกสรรค์ ประเสริฐกุล คือมันดึงดูดให้ผู้คนร่วมสู้กับเขาด้วย มีน้ำใจ

    แต่ "โค่วจง" หลังจากที่หมดภาระแล้วเป็นยังไง ต้องดูว่าคนเหล่านี้สำเร็จภารกิจในอายุวัย ๒๖ เท่านั้นนะ "หลี่ซื่อหมิน" ยึดอำนาจได้ตอนอายุ ๒๖ ซึ่งนับเวลา ๙ ปีจึงสำเร็จ "โคว่จง" ตอนแรกเพิ่งอายุ ๑๗ ตอนจบนี่ "ฉีจื่อหลิง" อายุ ๒๕ ปีเท่านั้น ชีวิตหลังจากนั้นมันคงน่าหดหู่มาก "โค่วจง" คงจะกลายเป็น "ก็อดฟาเธอร์" คือสามารถคุมสถานการณ์ได้โดยไม่ต้องทำอะไร แค่ส่งคนไปบอกเรื่องก็เงียบ ในแง่นี้ผมเสียดาย "โค่วจง" เพราะว่าเขาจะไปไม่ได้ไกลเท่ากับ "ฉีจื่อหลิง" เพราะในระดับทางจิตแล้ว "ฉีจื่อหลิง" สูงกว่า "โค่วจง" ในใจผมถ้าเป็นตอนหนุ่มๆ ผมคงจะชอบ "โค่วจง" ผมยังเคยถามลูกชายของเพื่อน เขาก็ยังตอบว่าชอบ "โค่วจง" ผมไม่แปลกใจเลย แต่ถ้าเป็นตอนนี้ผมชอบ "ฉีจื่อหลิง" มากกว่า

    แล้ว "ฉีจื่อหลิง" มีบุคลิกอย่างไร ทั้ง "โค่วจง" และ "ฉีจื่อหลิง" มีบุคลิกไม่เหมือนกัน "โค่วจง" เป็นคนร่าเริง แต่ "ฉีจื่อหลิง" เป็นคนเงียบไม่ค่อยแสดงความรู้สึกของตัวเอง และไม่ค่อยเปิดเผยความในใจ เขาเป็นคนที่มีความสำเร็จเข้าสู่กระแสโลกุตระ เป็นคนเหนือโลก แล้ว "ฉีจื่อหลิง" หลังจากนั้นเป็นอย่างไร เขาก็อยู่กับ "สือชิงเสวียน" ที่หุบเขาพนาเร้นลับ ผมคิดว่าระดับของเขาต้องไปต่อได้ไม่แพ้ "ผู้วิเศษกำจาย" เพราะสถานภาพของเขาในเรื่องก็คือเป็น "ผู้พิทักษ์ธรรม" ของสถาบันสงฆ์ ความสัมพันธ์ที่เขามีตอนแรกๆ กับ "ซือเฟยเซวียน" กับ "เรือนฌาณเมตไตรย" หรือ "สี่หลวงจีนศักดิ์สิทธิ์" ก็ดีจะทำให้เขาก้าวหน้าในทางธรรมด้วยซ้ำไป แม้เขาจะมีวิชาอมตะที่เป็นสายเต๋าแต่ความสำเร็จของเขาเป็นสายพุทธ

    "ดาบสวรรค์ซ่งเสวีย" เคล็ดสุดยอดของเขาคือ "นอกจากดาบแล้ว ไม่มีอย่างอื่นอีก" อันนี้สำคัญมากถ้าหากใครต้องการสำเร็จในวิถีของตนนะ เช่นนอกจากการเมืองไม่สนใจเรื่องอื่นอีก คือมองทุกอย่างให้เป็นการเมืองให้ได้ แล้วยังมีเคล็ดอีกอันหนึ่งคือ พอได้การเมืองแล้วลืมการเมือง หรือ นอกจากพุทธะแล้วไม่มีอย่างอื่นอีก ถ้าหากทำได้สำเร็จอรหันต์แน่นอน หรือ นอกจากดนตรีแล้วไม่มีอย่างอื่นอีก นี่คือเคล็ดของดาบสวรรค์ที่เราสามารถเอามาใช้ได้ในชีวิตความเป็นจริง

    นอกจากนี้เขายังเป็นจอมดาบที่เป็นผู้นำทางการเมืองด้วย นี่น่าสนใจมาก เพราะจอมดาบอย่าง "มูซาชิ" จะคล้ายๆ ว่าไม่มีความเข้าใจทางการเมือง แต่ดาบสวรรค์เขาเป็นนักยุทธศาสตร์ตัวยง ถ้าชีวิตของเขาไม่ได้เจอกับ "โค่วจง" ก็คงสิ้นหวังแล้วล่ะ เพราะการที่เขาได้พบ "โค่วจง" มันทำให้เขามีโอกาสได้พลิกสถานการณ์ หรือทำให้สามารถลงไปเล่นการเมืองได้ เพราะเขามาจากตระกูลขุนนางชั้นสูง คือเมื่อรวยแล้ว อีกด้านหนึ่งเป็นนักดาบ ที่เข้าถึงปรัชญาได้อย่างลึกซึ้ง เขาจึงฉลาดมาก รอบรู้ไปหมด และหันมาสนใจการเมือง แต่เป็นเรื่องที่น่าสนใจว่าตัวละครทุกตัวในเรื่องนี้สนใจเรื่องการเมือง พระสงฆ์ หรือ "ผู้วิเศษกำจาย" ก็เข้าใจเรื่องการเมือง อ่านวรรณกรรมเรื่องอื่น การเมืองเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ แต่นี่เขาเข้าใจการเมืองด้วยสถานการณ์และก็มาดูว่าใครจะมาเป็นผู้นำ พอมองแบบองค์รวมก็ดูว่าใครเหมาะสมที่สุด รายละเอียดเขาไม่คุยกันหรอก ยอดคนเขาคุยกันเป็นภาพใหญ่ๆ ทั้งนั้น แล้วมันก็มีระบบการทำงานในทีมงานของมันเองมารองรับ

    "ผู้วิเศษกำจาย" คนนี้มีบทออกมาน้อย แต่เขาเป็นแบบอย่างของนักพรตเต๋า คือเต้าหยินทั้งหลายก็จะเป็นแบบนี้ และเขาก็มีสไตล์เหมือน "จวงจื้อ" คือถ่อมตน ปล่อยวาง และอยู่กับธรรมชาติ มากกว่า "เล่าจื้อ"

    อีกคนที่ผมชอบมากคือ "ปาฟงหัน" ถึงขนาดที่อยากจะให้หวงอี้แยกไปเขียนเป็นอีกเรื่องต่างหาก เขาเป็นมือสังหารผู้ไร้ใจ และกลายเป็นวีรบุรุษเต็มตัวเพราะได้รับอิทธิพลจาก "โค่วจง" และ "ฉีจื่อหลิง" ทั้งสามคนสาบานเป็นพี่น้องกัน ในที่สุดแล้ว "ปาฟงหัน" ปลดปล่อยตัวเองได้จากความขัดแย้งเรื่องชาติพันธุ์ คือคนรักของเขาเป็นศัตรูทางชนชาติ คือเป็นชาว "ถูเจี๋ย" ซึ่งฆ่าชนเผ่าของเขา แล้วเขาก็ไปท้ารบกับ "ราชันย์บู๊" แต่ในที่สุดเขาก็ยอมไม่ท้าสู้อีกเป็นครั้งที่สาม แสดงว่าเขาปลดเปลื้องตัวเองจากวิถีบู๊ที่เป็นเหมือนชีวิตของเขา ในแง่นี้ "ปาฟงหัน" เหนือกว่า "ดาบสวรรค์ซ่งเสวีย" คือเข้าถึงมรรคาดาบและก็พ้นมรรคาดาบได้ และยังเหนือกว่า "โคว่จง" ด้วยซ้ำไปในความคิดผมนะ เราเห็นชัดเจนมากว่าตอนจบเรื่องนี้ "ปาฟงหัน" เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็นคนพูดเล่น พูดตลกได้

    เรื่องนี้มีตัวละครที่ผมชอบหลายคนมาก นี่คือเสน่ห์ของหวงอี้หากเทียบกับเมื่อเราอ่าน "ฤทธิ์มีดสั้น" ก็จะชอบแค่ "อาฮุย" หรือไม่ก็ "ลี้คิมฮวง" แต่ของหวงอี้นี้ผมชอบหลายคนมาก

    อีกคนหนึ่งคือ "คุณชายมากรัก" ที่แปลว่า "มากรัก" นี่น่าจะแปลว่า "มากน้ำใจ" มากกว่าเขาเป็นผู้ที่เข้าถึงความงามพร้อมด้วยศิลปะ เป็นวิธีของศิลปินและ "ตันตระ" เขาจะมองโลกจากมุมมองของความงามโดยเฉพาะความงามของผู้หญิง เขาจะเหมือนเพลย์บอยในอีกความหมายหนึ่งแต่เป็นเพลย์บอยแบบชั้นสูง เพียงแต่บทบาทในเรื่องนี้หวงอี้ให้บทบาทเขาไม่เท่า "ปาฟงหัน" แต่จะเน้นไปในทางบุ๋นซะเยอะกว่า

    ที่น่าสนใจที่สุดก็คือ "เทพอาถรรพณ์" ผมนิยามว่าเขาเป็น "อัจฉริยะผู้ป่วยใจ" เพราะคนๆ นี้เก่งที่สุด หวงอี้ให้บทบาทเขาถึงขนาดว่าสามารถล้มล้างราชวงศ์ของสุยหยางตี้ได้ คือเป็นขุนนางชั้งสูงและเตรียมการจนจะกลายเป็นฮ่องเต้องค์ต่อไปได้ถ้าหากไม่มี "โค่วจง" กับ "ฉีจื่อหลิง" มากพลิกล็อกวางหมากซ้อน โดยใช้เครือข่ายมาช่วย

    สุดท้ายคนๆ นี้เหมือน "องคุลิมาล" คือดวงตาเห็นธรรม ความป่วยของเขาเกิดจากสองสาเหตุที่บอกแก่ "ฉีจื่อหลิง" อันแรกคือเขาต้องการค้นหาความจริง แต่เขาบอกว่าศาสนาเป็นเรื่องงมงาย ผมอ่านแล้วรู้สึกว่าเป็นเรื่องสมัยนี้เลย เพราะเรื่องนี้กำลังทำให้คนงมงายอย่างเรื่องที่เกิดขึ้นวันที่ ๑๑ กันยา "เทพอาถรรพณ์" เขามองทุละหมด เขาก็ศึกษาพระธรรมมา ในเรื่องนี้ที่เรียกว่าเป็นฝ่าย "อธรรม" ที่จริงก็มีความหมายว่า "ไม่ติดกรอบ" อย่าไปคิดว่า "อธรรม" นี่คือชั่วร้ายเพียงแต่ว่าเขาไม่เชื่อในธาตุแท้ดีงามของมนุษย์ ผมเข้าใจว่าอย่างนั้นเพราะ "เทพอาถรรพณ์" ต่างกับฝ่ายอธรรมคนอื่นทั้งหมด อันนั้นมันเลวในแง่ของจิตใจ แต่ "เทพอาถรรพณ์" เป็นอัจฉริยะแลเห็นสันดานมนุษย์ แล้วอาจารย์ก็ปลูกฝังมาว่าเมื่อเป็นอัจฉริยะก็น่าจะลงเล่นทางการเมือง คือน่าจะได้นั่งบันลังก์ฮ่องเต้ แต่จุดที่เปลี่ยนเขาก็คือเขาไปหลงรัก "ปี้สิ้วซิน" ที่เป็นศิษย์เอกของ "เรือนฌาณเมตไตรย" แล้ว "ปี้สิ้วซิน" เป็นตัวแทนของความดีงาม สุดท้ายเหมือนกับว่าเป็นการทำร้าย "ปี้สิ้วซิน" จนตายกับมือตัวเอง เลยทำให้เขากลายเป็นบุคคลที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย คือมีสองบุคลิก จนเมื่อลูกสาวยอมเรียกว่าพ่อ ในแง่นี้มันก็มองได้ว่าเรื่องนี้เป็นการต่อสู้กันของพลังธรรมะกับพลังอธรรมของ "เทพอาถรรพณ์" เอง ตั้งแต่เล่ม ๙ ของภาคแรกก็จะผูกเรื่องกับ "เทพอาถรรพณ์" มาตลอด

    "ชอนแชอิม" คนนี้ผมก็ชอบเขานะ เขามีอายุร้อยกว่าปีแล้ว ที่น่าสนใจมากก็คือเขานอนกลางวันแต่ตื่นตอนกลางคืน ชอบดมกำยาน ผมก็ชอบเพราะมันให้ในด้านลึก เขาแสวงหาความสมบูรณ์พร้อมคล้ายกับเรื่อง "จันทร์ในบ่อ" ชอบในศิลปะและราตรีกาล ฐานะของเขาเหมือนกับ "ราษฎรอาวุโส" ในเกาหลี แต่ในที่สุดแล้วก็ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง เพราะจริงๆ เขาก็ไม่ไว้ใจคนจีน (จงหยวน) เพราะแดนจงหยวนเคยไปรุกรานเกาหลีหลายครั้ง แต่ตัวหลานศิษย์ก็คือ "โค่วจง" ได้อธิบายว่า "หลี่ซื่อหมิน" มีความใจกว้างต่อคนชาติอื่นด้วย "ชอนแชอิม" ถึงยอม เพราะตอนแรกเขาคิดว่าความวุ่นวายของจงหยวนก็คือสันติสุขของเกาหลี เรื่องนี้แสดงว่าความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เสียดายที่ "ชอนแชอิม" เขาโผล่ออกมาในเรื่องเล่มท้ายๆ เท่านั้น ตอนที่เขาถกกันเรื่องมองดูดาวและพูดถึงความลับของจักรวาลก็น่าสนใจ กิมย้งไม่ค่อยพูดถึงเรื่องอย่างนี้ในนิยายกำลังภายใน โกวเล้งยิ่งไม่ต้องพูดถึง

    ๔) ผู้หญิงในเรื่องมังกรคู่ฯพูดถึงเรื่องผู้หญิงในมังกรคู่ฯ คนที่ผมชอบจะมีอยู่ ๕ คน ด้วยกัน คนแรกคือ "ซือเฟยเซวียน" หรือ นางเซียนแปลง คนนี้เป็นอุดมคติ คือมันเหมือนกับว่าถ้าหากมีนางฟ้าจุติลงมาจริงๆ ก็คงเป็นแบบเค้านี่แหละ ซึ่ง "ซือเฟยเซวียน" ก็เหมือนกับแม่ชีเพราะว่าเค้าฝักใฝ่ในวิถีแห่งฟ้า แล้ว "ฉีจื่อหลิง" ก็เป็นเหมือนสิ่งสะกิดใจเล็กๆ น้อยๆ ของเค้าในวิถีนี้เท่านั้นเอง

    ฉากที่โรแมนติกที่สุดของเรื่องนี้ก็คือตอนที่ "ฉีจื่อหลิง" บอกรักกับ "ซือเฟยเซวียน" และตอนที่ "ซือเฟยเซียน" บอก "ฉีจื่อหลิง" ว่านอกจากอาจารย์ของเค้าซึ่งเป็นคุรุทางจิตวิญญาณแล้ว ก็มี "ฉีจื่อหลิง" เท่านั้นที่เป็นประสบประการณ์อันตรึงตราที่สุดในชีวิต นี่เป็นคำพูดที่ดีมาก ถ้าผู้ชายคนหนึ่งได้ฟังคำพูดนี้จากปากของผู้หญิงที่สูงส่งขนาดนี้ ก็ถือว่าไม่เสียชาติเกิดแล้ว

    แล้วบทสนทนาการถกปรัชญาในเรื่องนี้ก็น่าสนใจ เพราะตอนที่เค้ารู้ว่า "ฉีจื่อหลิง" หลงรักตน "ซือเฟยเซวียน" ก็ได้เล่านิทานจีนตอนหนึ่งเรื่อง "คนเฝ้าเตา" ซึ่งเป็นนิทานเซนมาสอน "ฉีจื่อหลิง" ซึ่งที่สุดแล้วมันก็เป็นการสู้กันทางความคิดทั้งสิ้นว่าถ้าจะเรียกว่า "การบรรลุธรรม" กับเรื่องมี "ความรัก" นี่อะไรคือจุดเปลี่ยนแปร แต่ตัวของ "ซือเฟยเซวียน" เองก็ต้องเดินทางออกนอกด่านจึงกล้าปลดเปลื้องตัวเองออกจากกรอบของธรรมะ คือกล้ามีประสบการณ์ของความรักอย่างเต็มตัว

    คนที่ชอบต่อมาคือ "วาวา" เค้าเป็นตัวร้าย คล้ายๆ ว่าเราดูได้แต่อย่าสัมผัส แต่เรื่องนี้เค้าไม่ร้ายเท่า "ลิ้มเซียนยี้" ใน "ฤทธิ์มีดสั้น" คือถ้าไม่มี "วาวา" เรื่องนี้จะจืดชืดไปเยอะเลย

    อีกตัวหนึ่งที่ผมชอบมากเลยคือกุนซือหญิง "เสิ่นลั่วเอียน" เค้าเป็นนักวางแผนจะเห็นได้จากตอนแรกๆ ที่เค้าอยู่กับ "หลี่มี่" ผมว่าเค้าฉลาดกว่า "โค่วจง" อีก ถ้ามองในแง่ของการเป็นกุนซือนะ เพราะว่าเค้ารู้ทันสามารถวางแผนดัก "โค่วจง" ได้ และก็ยังมีฉากที่เซ็กส์ซี่คือในฉากที่ "ฉีจื่อหลิง" เข้ามาหานี่ "เสิ่นลั่วเอียน" จะแต่งตัวโป๊มากเพราะผู้หญิงคนนี้เค้ารัก "ฉีจื่อหลิง" มากและก็ยังได้จูบ "ฉีจื่อหลิง" เป็นคนแรกในเรื่องนี้นะ แล้ว "ฉีจื่อหลิง" ก็ยอม ทั้งๆ ที่เค้าเป็นคนที่ไม่สนใจผู้หญิง "เสิ่นลั่วเอียน" เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องความรัก แต่ว่า "ซือเฟยเซวียน" นี่เป็นคนแรกที่ทำให้ "ฉีจื่อหลิง" รู้สึกว่าตนเองมีความรักเป็นครั้งแรกเพราะ "ฉีจื่อหลิง" เขาเหมือน "พระ" ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เขาเป็นคนไม่กระตือรือร้นกับชีวิต อันนี้ต่างกับ "โค่วจง" คือถ้าเขาไม่เจอกับ "โค่วจง" เขาก็ยังคงเป็นอันธพาลอยู่ที่เมืองหยางโจว มีข้าวกินไปวันๆ ก็พอแล้ว

    อีกคนหนึ่งคือ "สั้งสิ้วฟาง" เป็นคนเล่น "กู่เจิง" คนนี้เค้ามีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก ขอแค่ความรักแบบ "ข้ามคืน" กับ "โค่วจง" เพราะชีวิตของเค้านั้นมีอยู่ตอนหนึ่งที่เค้าได้บอกว่าต้องการที่จะเข้าถึงความจริงด้วยศิลปะดนตรี และเค้าก็เป็นคนรักสันติ ในเรื่อง "มังกรคู่ฯ" นี้ผู้หญิงจะเป็นคนรักสันติแทบทุกคน "สั้งสิ้วฟาง" รัก "โค่วจง" เพราะเค้าฝากความหวังไว้กับ "โค่วจง" มากว่า "โค่วจง" จะสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นและยุติการสู้รบ สงครามที่เกิดขึ้นเพื่อ "โค่วจง" เค้ายอมทุกอย่างได้ แต่ "โค่วจง" นี่ก็มีข้อเสียคือชอบรักสาวไฮโซฯ ดูคล้ายๆ เด็กมีปมด้อย เป็นคนจนแต่อยากไปรักดอกฟ้ามันก็เป็นปัญหาขึ้นมา

    อีกคนหนึ่งคือ "สือชิงเสวียน" คนนี้มีศิลปะอยู่สองอย่างคือ เป่าขลุ่ย และก็เรื่องสมุนไพร เค้าเป็นลูกสาวที่อาภัพของ "เทพอาถรรพณ์" แต่เรื่องดนตรีของเค้านี่เหมือนเป็น "อาณาจักรเซนแห่งคีตากาล" คือเสียงขลุ่ยของ "สือชิงเสวียน" ต่างกับของ "สั้งสิ้วฟาง" เพราะ "สั้งสิ้วฟาง" จะเป็นดนตรีแบบทางโลก แต่ของ "สือชิงเสวียน" นี่จะใช้ขลุ่ยแบบสปิริตชวลมิวสิก (Spiritual music) คือถ่ายทอดความในใจออกมาและก็ให้ลืมเพื่อข้ามพ้น วิชานี้เค้าได้มาจากแม่คือ "ปี้สิ้วซิน" ซึ่งเป็นศิษย์ของ "เรือนฌานเมตไตรย" ในตัวของ "ฉีจื่อหลิง" นี่ถ้าหากไม่มาเจอ "สือชิงเสวียน" ก็คงจะไม่แต่งงาน จะว่าไปแล้ว "สือชิงเสวียน" ก็เหมือนเป็นลูกพี่ลูกน้องกับ "ซือเฟยเซวียน" ผมว่า "หวงอี้" แต่งได้ดีมากเพราะถ้าหากเขียนให้ "ซือเฟยเซวียน" ทิ้ง "วิถีแห่งฟ้า" และมาแต่งงานกับ "ฉีจื่อหลิง" มันก็ดูไม่สมควร

    ๕) ความรักในมังกรคู่สู้สิบทิศ
    ความรักของเรื่อง "มังกรคู่ฯ" นี่มันจะมีแกนหลักอยู่คืออันแรก ทุกคนผิดหวังหมด ถ้าไปดูจากเล่มแรกมาถึงเล่ม ๑๘ นี่เป็นเหมือนกันหมด เพราะวีรบุรุษนี่ส่วนใหญ่จะ "Lucky in Game" แต่จะ "Unlucky in Love" อีกอันหนึ่งจะเป็นแบบ "Spiritual Love" ของ "ฉีจื่อหลิง" ส่วน "โค่วจง" จะเป็นแบบ "ดอกฟ้ากับยาจก"

    "ซิ่วหนิงกงจู้" นี่เค้าเป็นรักแรกของ "โค่วจง" เค้าเป็นน้องสาวของ "หลี่ซื่อหมิน" และ "โค่วจง" ก็ผิดหวังเพราะในตอนนั้นเขายังไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ก็กลายเป็นพลังผลักดันให้ "โค่วจง" ถีบตัวขึ้นมาเพื่อแข่งกับ "หลี่ซื่อหมิน" ส่วน "ซ่งอี้จื้อ" เป็นพลังที่เหนือกว่าคือทำให้ "โคว่จง" หันกลับมาช่วย "หลี่ซื่อหมิน" แสดงให้เห็นว่าความรักยิ่งใหญ่กว่าอำนาจ

    ยังมีรักอีกอันหนึ่งคือ "รักที่เป็นหนี้รัก" ระหว่าง "โค่วจง" กับ "สั้งสิ้วฟาง" เราต้องเข้าใจว่าบุคลิกแบบ "โค่วจง" ก็ต้องมีเรื่องเช่นนี้ในบางด้าน คนที่เขารักมากที่สุดน่าจะเป็น "สั้งสิ้วฟาง" ถ้าถามผมนะ ในฉากตอนจบมีอยู่ที่กล่าวว่า "สั้งสิ้วฟาง" ได้รอ "โค่วจง" อยู่ตอนที่เวลาผ่านไป ๑๐ ปี แล้วตอนนั้น "โค่วจง" เพิ่งอายุ ๓๖ ปีเท่านั้น

    ๖) การเมืองในเชิงบูรณาการจากเรื่องมังกรคู่สู้สิบทิศ
    คำว่า "บูรณาการการเมือง" หมายความว่าการเสนอทางออกในการแก้ไขปัญหาของชาติโดยพิจารณาปัจจัยสำคัญทุกชนิดทั้งหมดโดยไม่ละเลยปัจจัยไหนเลย นี่คือวิธีเข้าใจการเมืองแบบบูรณาการ อย่างที่เห็นชัดเจนมากคือ "หลี่ซื่อหมิน" เขาใช้คนเก่า บางทีการ "ปฏิรูป" มันดีกว่าการ "ปฏิวัติ" เพราะการ "ปฏิวัติ" มันต้องขุดรากถอนโคนอำนาจเก่า แต่ว่า "หลี่ซื่อหมิน" เขาไม่ได้ทิ้งคนเก่าและใช้คนตามความสามารถ แต่เรื่องนี้หลักการต้องแม่นยำ และมี "วิชั่น" ที่พร้อม

    หลักการในเชิงบูรณาการนี่บังเอิญผมก็สอนในระดับปริญญาเอกในชื่อว่า "ปรัชญาบูรณาการ" ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มันมีองค์ประกอบอยู่ ๕ เรื่องด้วยกัน

    อันแรกคือ จตุภาค ของการเข้าใจความจริง ซึ่งมีอยู่ ๔ ภาค ในด้านซ้ายบนกับซ้ายล่าง เขาเรียกว่าด้านใน และด้านซ้ายบนนี้เกี่ยวกับด้านในของจิต ดังนั้นทุกเรื่องของปรากฎการณ์ในโลกนี้จะมี ๔ ด้านเสมอ ด้านในของจิตถ้าเป็นเรื่องการเมืองคือจิตสำนึกของนักการเมืองอยู่ในระดับใด เพราะว่าการค้นคว้าตามหลักวิชาการที่ล่าสุดของทางตะวันตกปัจจุบันจะมีอยู่ ๙ ระดับ แล้วคนทั่วไปจะเฉลี่ยอยู่ในระดับ ๕ ถ้าเป็นผู้นำก็น่าจะอยู่ในระดับ ๖ ที่เรียกว่า Vision Logic ส่วนคนธรรมดานี่เรียกว่า Formal Logic แต่การเมืองไทยส่วนใหญ่อยู่ในระดับ Formal Logic ส่วนอย่างนายกฯ ทักษิณนี่จะอยู่ในระดับ Vision Logic คือสามารถที่จะคิดแบบนอกกรอบได้ และสามารถนำความคิดอันหลากหลายมาผสมกับด้านทฤษฎีได้ ดูที่กุนซือของเขาเช่นคุณพันศักดิ์ก็เป็นแบบ Vision Logic อย่างชัดเจน เพราะ Vision Logic เป็นสุดยอดของระดับภูมิปัญญาแบบโลกียชน ไม่ได้สนใจเรื่อง Make Money อย่างเดียว แต่ว่ามองในเชิงหลักการด้วย ไม่เถรตรงแบบบ้ากฎหมาย หรือตามระบบราชการ เพราะนั่นเป็นระดับแค่ Formal Logic คือระดับ ๕ แต่ระดับที่เป็นยอดคนคือ ๗-๙ อย่าง "ฉีจื่อหลิง" มันข้ามพ้นตัวตน เริ่มเข้าสู่กระแสโลกุตระแล้ว พูดง่ายๆ คือชอบปฏิบัติธรรม

    ด้านซ้ายล่าง เป็นเรื่องเกี่ยวกับวัฒนธรรม คือความเข้าใจเรื่องความเชื่อ และระบบคุณค่าของคน นักการเมืองที่ประสบความสำเร็จต้องเข้าใจเรื่องนี้ เช่น ค่านิยมคืออะไร ผู้คนที่มารวมตัวกันได้นี่มันมีระบบความเชื่อค่านิยมร่วมกัน ก็ต้องเข้าใจในประเด็นนี้โดยไม่ละเลย

    ด้านขวาบน คือการเข้าใจพฤติกรรมจากภายนอก เป็นพฤติกรรมของปัจเจกจากภายนอก แล้วขวาล่างนี่เป็นเรื่องของระบบ คนที่เข้าใจการเมืองโดยที่ไม่เข้าใจระบบเขาจะเข้าถึงความจริงได้เพียง ๑ ใน ๔ เท่านั้นเอง แต่การเข้าใจความจริงนี่เราต้องรู้ทั้งด้านใน ระดับปัจเจก ระดับรวมหมู่ ส่วนที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์นี่คือด้านขวาบนและขวาล่างที่เรียกว่า "It Language" หรือ "ภาษามัน" คือการวิเคราะห์ในเชิงภาวะวิสัย แต่การวิเคราะห์ความจริงในเชิงอัตวิสัยมันเป็นด้านซ้ายบนกับซ้ายล่าง แล้วศาสตร์แบบองค์รวมนี่จะต้องครบทั้งสี่ด้านมันจึงจะสามารถเป็นนโยบายชั้นสูงและสามารถดึงคนได้ ไม่เช่นนั้นมันจะล้มเหลว

    เราก็เอามาดูว่านโยบายที่ถกเถียงกันในแต่ละเรื่องนี่มันครอบคลุมทุกปัจจัยไหม ถ้าสนใจเฉพาะเรื่องระบบ มันก็ไม่ครบ อย่างปัญหาเรื่องการปฏิรูประบบราชการนี่ไง มันเกี่ยวกับความเชื่อค่านิยมที่ล้าหลัง จิตสำนึกของข้าราชการ และยังมีพฤติกรรมของนักการเมืองซึ่ง เราจะควบคุมอย่างไรและทำให้เกิดเป็น "ธรรมาภิบาล" ได้ในภาพรวม

    เรื่องที่ ๒ คือเรื่องของ Level หรือ ระดับการเข้าใจในการแก้ปัญหานี่ เนื่องจากว่าปัญหาเกิดจากหลายสาเหตุ ประการแรกในสังคมที่เราอยู่กันนี่มีระดับจิตของคนที่หลากหลาย ลองดูตัวอย่างจากภาพยนตร์เรื่อง ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ นี่ก็จะเห็นชัดเจน มีคนเชื่อเรื่องพญานาค มีคนเชื่อแบบนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะทำให้เรื่องการแก้ปัญหามีความซับซ้อน เพราะว่ามันสื่อสารกันไม่ได้ มันเป็นคนละ "วาทกรรม" คล้ายๆ กับว่า "วาทกรรม" เกิดขึ้นมาจากการที่ระดับจิตไม่เท่ากัน ถ้ามีระดับจิตห่างกันเกินกว่าหนึ่งชั้นก็จะมีปัญหามาก อย่างเช่นความขัดแย้งเรื่อง "๑๑กันยา" ในอเมริกาเกิดขึ้นก็เพราะเหตุผลนี้ มีระดับจิตที่ห่างกันประมาณ ๒-๓ ชั้น เขาเรียกว่าระดับแถบสี คือมันจะแบ่งระดับจิตเป็นสีๆ คือ สีเบต ม่วง แดง น้ำเงิน ส้ม สีส้มนี่คือชนชั้นกลางในเมืองไทยคือจะสนใจเรื่อง Make Money และสีเขียว ก็คือพวก NGO แต่ในอเมริกานี่เขาออกสีส้มอมเขียว ส่วนอัฟกานิสถานหรือตาลีบันนี่ยังสีแดงอยู่ สีแดงหมายถึงยังอยู่กับเรื่องในปัจจุบัน เฉพาะหน้า คือต้องเอาชีวิตรอดก่อน และไม่คิดหน้าคิดหลัง ระดับที่ห่างกันอย่างนี้ถึงทำการก่อการร้ายได้ และก็แก้ปัญหาไม่ได้ มันเกิดเป็น Clash of Civilization แน่นอน ความต่างกันในเรื่องความขัดแย้งในระดับจิตนี่ต้องให้มีช่องว่างเหลือไม่เกิน ๑ ชั้น และทำอย่างไรให้นโยบายนี้มันมีความหลากหลาย คือให้มันผ่านไปได้

    แต่สังคมไทยเราเป็นแบบ ๒ สังคม คุณทักษิณก็รู้ดีในเรื่องนี้ ดังนั้นการปฏิรูปสังคมก็คือการทำอย่างไรให้ระดับชั้นทางจิตไม่แตกต่างกันมาก เพราะคนที่นำนี่ต้องระดับเป็นสีเขียว คือเป็นแบบโลกาภิวัฒน์ที่เข้าใจเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วย การเข้าใจอย่างนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากในแง่ของการเมือง ถ้าเอามาเชื่อมโยงกับเรื่อง "มังกรคู่ฯ" ก็คือ วิธีคิดของ "หลี่ซื่อหมิน" ที่มีความก้าวหน้ามากที่สุดก็คือในเรื่องนโยบายการต่างประเทศ อันอื่นผมดูแล้วก็ไม่โดดเด่นเท่าไหร่ แต่หลังจาก "หลี่ซื่อหมิน" มาแล้วก็แก้ปัญหากันไม่ได้ เพราะว่าในอดีตที่ผ่านมาพันกว่าปียังแก้ไม่ได้ ในปัจจุบันเรายังแก้ไม่ได้เลยคือเรื่องความรุนแรงระหว่างชาติพันธุ์ ผมว่าน่าจะอีกประมาณ ๒๐๐ ปี ถ้าหากเศรษฐกิจนี่ถึงขั้นทำให้คนอยู่ดีกินดีมันถึงจะแก้ได้

    ประการที่ ๓ ต้องเข้าใจเรื่อง Line คือ สภาวะทางจิต หรือระดับทางจิตวิทยา มันจะมีเส้นวิวัฒนาการทางจิตอยู่ประมาณ ๒๑ เส้นด้วยกัน ในนั้นมีเส้นหลักๆ อยู่ ๑๐ เส้น เช่นเรื่องของ Emotion, Moral , Interpersonal และ Intrapersonal คืออารมณ์ ระดับของศีลธรรม ความสามารถในการสื่อสารกับคนอื่น และความสามารถในการเข้าใจตนเอง ถ้าทั้ง ๔ อย่างนี้ขาดความสมดุลย์จะมีปัญหามาก และนักการเมืองที่เราเห็นก็คือเขามีปัญหาเรื่อง Moral มาก หรือไม่มีความสามารถในการถ่ายทอดให้คนเข้าใจเป็นต้น เราจะใช้เรื่องเหล่านี้ในการวิเคราะห์คน

    ประการที่ ๔ เรื่อง Stage คือภาวะทางจิต และอารมณ์ คือคนจะทำงานสำเร็จในยามตื่นนี่เขาตื่นตัวได้แค่ไหน หรือปลุกเร้าตัวเองได้ไหม มีไฟเต็มร้อย หรือว่าเฉื่อยชา ซึ่งต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์

    เรื่องที่ ๕ Type หรือเรื่อง ประเภทของคน เพราะวิธีคิดของผู้ชายและผู้หญิงไม่เหมือนกัน ผู้ชายนี่ชอบอัตโนมัติ อิสระ ส่วนผู้หญิงชอบแบบแครริ่ง คือความผูกพันธ์ เอาใจใส่ เพราะฉะนั้นนโยบายแบบองค์รวมต้องเข้าใจวิธีคิดแบบผู้ชายและผู้หญิงด้วย นี่ยังไม่ได้นับประเภทของ Kind of Knowing ที่มี ๓ ประเภท ของการเข้าใจแบบเป็นเหตุเป็นผลคือ Prerational , Rational และTransrational เพราะฉะนั้นถ้าภาษาไม่เหมือนกันจะคุยกันไม่รู้เรื่อง และที่สุดยอดก็คือแบบ Transrational เพราะลักษณะวิวัฒนาการทางจิตนี่จะถึงขั้นก้าวข้ามและหลอมรวม

    ดังนั้นถ้าคุณเข้าใจบูรณาการในมุมมอง ๕ ประการนี้คุณก็สามารถวิเคราะห์ได้เกือบทุกเรื่อง และจะเห็นได้ชัดเจนว่าปัญหาอยู่ที่ไหน

    ความเป็น "หลี่ซื่อหมิน" ของคุณทักษิณ ประการแรกเราต้องยอมรับว่าเขาสร้างปรากฎการณ์ใหม่ๆ ขึ้นในเมืองไทยหลายอย่าง เราจะวิจารณ์ว่าเค้าผูกขาดอำนาจนี่ผมไม่เห็นด้วย เพราะว่าอย่าง "หลี่ซื่อหมิน" เข้าขึ้นครองอำนาจเราต้องดูนโยบายของเขาว่ามันได้ผลไหม หรือทักษิณโนมิค ๖ เรื่องของทักษิณมันได้ผลหรือเปล่า หรือได้ผลแต่มีผลกระทบในแง่ไหน ในระยะยาวถ้าแผนนี้ดำเนินการไปได้ถึง ๘ - ๑๒ ปีแล้วจะมีผลเลวร้ายที่เกิดขึ้นตามมาหรือเปล่า ถ้าหากว่าเขาใช้ประชานิยมในระดับ Globalization นี่ผมก็ไม่เห็นด้วยนะ แต่เข้าใจว่าเขาคงใช้ในระดับรากหญ้าเพื่อแก้ปัญหาภายในประเทศเป็นต้น ผมเองค่อนข้างแฮปปี้กับเขานะ ในการเมืองรอบ ๓๐ ปีที่ผ่านมา ถ้าเราเป็นนายกฯ ก็คงทำไม่ได้มากเท่ากับเขาในเงื่อนไขขนาดนี้ เพราะสิ่งที่เขาทำนี่เราคิดกันมาก่อนแล้ว

    แต่อยากจะเตือนว่าต้องไม่ระแวงคน พออยู่กับอำนาจนานที่ตามมาก็คือความหวาดระแวง และความหลงตัวเอง วิธีที่ดีที่สุดก็คือ เขาต้องมีทีมงาน อย่างตัว "หลี่ซื่อหมิน" ก็ยังมีคนที่กล้าแย้งเขาดังนั้นคุณทักษิณก็ต้องมีคนที่กล้าแย้ง ไม่เกรงใจเขากล้าบอกว่าท่านผิด คืออยากให้คุณทักษิณใจกว้างๆ สักหน่อย อย่าไประแวง แต่ความสามารถในการสื่อสารเขาดีมาก


    (จากนิตยสารอาทิตย์รายสัปดาห์ ฉบับที่ 1250 วันที่ 9-15 ธ.ค. 2545)
     
  18. ชอลิ้วเฮียง

    ชอลิ้วเฮียง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +738
    ห่างเหินยุทธภพมานาน โอ้โห ..... คลื่นลูกใหม่ไฟแรงเยอะจัง
     
  19. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    สำเร็จวิชาสุดยอดกันมากมายในเหล่าจอมยุทธทั้งหลายแต่ท้ายที่สุดก็ต้องสังเวยกันด้วยชีวิต(เฮ้อเป็นเวรเป็นกรรมกันไม่จบไม่สิ้น) เห็นจะมีอยู่เพียงจอมยุทธเดียวที่ไม่ยอมลงมือสังหารใครเลยตลอดชีวิตจอมยุทธผู้นั้นคือจิวแป๊ะทง ผู้เข้าใจสัจธรรมแห่งชีวิตแต่ทำตัวบ๊องๆให้คนเขาเห็นได้ขำๆสนุกๆ และสุดท้ายก็สำเร็จวิชาฟื้นกาย(โดยรวมพลังงานแห่งธาตุทั้งสี่)ดูได้จากอายุ 90 ปีแต่ผมกลับมาดกดำเหมือนหนุ่มๆหน้าตาก็กับมาเป็นหนุ่มอีก เป็นเพราะอานิสงค์ของการไม่ยอมทำร้ายชีวิตใครเลยตลอดชีวิต นี่มิยิ่งสมควรได้รับการยกย่อง มากกว่าจอมยุทธอื่นๆที่จ้องแต่จะแก้แค้นหรือไม่ก็ป้องกันยุทธภพโดยการสู้กับอีกฝ่ายหนึ่งจนถึงกับเสียชีวิตล้มตายกันมากมายอีกหรือ
     
  20. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    กล่าวได้ดีครับคุณ tossapornk แต่อย่าลืมว่าจิวแป๊ะทงเคยทำผิดศีลข้อกาเมผิดศีลข้อที่ 3 นะครับ (ผิดต่ออ๋องอุดร) อีกคนที่ไม่เคยฆ่าใครเลยก็คือ ชอลิ้วเฮียง แต่ว่าก็ทำผิดศีลข้อที่ 2 เป็นประจำ คือเป็นจอมโจรชอลิ้วเฮียงนั่นเอง.......
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...