มโหราค

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สิกขิม, 7 พฤศจิกายน 2007.

  1. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    ขอเล่าเรื่องอมนุษย์ประเภทหนึ่ง ตามตำนานจินตนาการ แดนหิมพานต์ หรือ หิมวันตบรรพต

    อันเป็นรอยต่อแห่งมิติ คือส่วนหนึ่งเป็นแดนทิพย์ อีกส่วนเป็นแดนมนุษย์

    สถานที่แห่งนี้ มีพรรณไม้น่าพิศวงมากหลาย ทั้งพันธุ์สัตว์ก็ล้วนแต่พิสดาร


    คือมี สัตว์กึ่งเทพ สัตว์กายสิทธิ์ นานาจำพวก

    เป็นต้นว่า มโหราค อยู่ในพงศ์ใกล้กับนาคราช แต่หย่อนกว่าทางศักดิ์และฤทธิ์

    ถิ่นอาศัยคือ ถ้ำโตรกซอกลึก ยามอยู่ในอาณาเขตตน มีกายอย่างมนุษย์

    ยามเข้าสู่ภพมนุษย์ มีร่างอย่างงูใหญ่ ผิดแผกที่ไม่มีหงอน

    และสีของวรรณะไม่พรรณราย เช่นนาคาทั้งปวง






    ภาพจงอางเดิม อาจแลดูน่าสยองใจ จึงเปลี่ยนใหม่

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 พฤศจิกายน 2007
  2. TK the Naka

    TK the Naka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +1,190
    สงสัยเป็นประเภทงูยักษ์...
    ประมาณ ไพทอน หรือ แอนาคอนดร้า ในฝรั่ง กระมังครับ
    ในรูปแลดูน่ากลัวมาก...ครับ
     
  3. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    เป็นงูที่มีกายาใหญ่ๆ


    มโหราค บางตำนานว่า เป็นอริกับนาคราช

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 พฤศจิกายน 2007
  4. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    เรื่องของงูนั้นน่าสนใจ จึงจะขอกล่าวต่อไปเกี่ยวกับงูมีหงอน

    กับงูอื่น ที่บ้างก็มีลักษณะอันแปลกจากสามัญ


    ซึ่งมีบางคนในยุคสมัยนี้ กล่าวว่าตนเคยประสบมา ดังข้อความบรรทัดด้านล่าง



    งูเป็นสัตว์ที่หลายคนเพียงได้ยินชื่อก็ขนลุกขนพองหลับตาปี๋ทีเดียว ฉันก็ไม่ได้รักงูหรือชอบงูเป็นพิเศษไปกว่าสัตว์อื่น แต่ฉันก็เห็นว่างูมันก็มีสิ่งที่สวยงามอยู่ในตัวเกล็ดที่มันละเลื่อมสีสดใส

    ในเรื่องจะเล่าถึงงูที่ฉันว่าแปลกที่เห็นมากับตา หรือแม้กระทั่งอาจจะฝันไปก็มี หรือประสบการณ์เกี่ยวกับงูและฉัน

    งูตัวแรกที่ฉันจะพูดถึงก็คือ งูที่อยู่ในวรรณคดี หรือถ้ามีตัวตนก็ต้องอยู่ในป่าสูงหรือภูเขาที่มีอากาศหนาวจัด เช่น ดอยสอยดาว ดอยอินทนนท์ จนกระทั่งถึงหิมาลัย นั่นคืองูหงอน

    แต่ที่ฉันเห็นนี่อยู่ในกรุงเทพ ที่ถนนเศรษฐศิริ ในวังรัตนาตา ของ พระบรมวงเธอพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา อาภากร

    ฉันจำได้ว่า วันหนึ่งมีคนมาตรวจปลวก ขณะที่เขาลงไปตรวจที่ห้องเก็บของใต้ถุนบ้าน วิ่งกลับขึ้นมากระหืดกระหอบเหมือนเห็นผีเจ็ดวัด แจ้งให้พวกเราทราบว่า

    เห็นงูใหญ่รูปร่างประหลาดเอาไก่เข้าไปกินหงอนยังคาปากอยู่เลย ตอนนั้นฉันยังเป็นเด็ก เขาไม่ให้เข้าไปยุ่ง ฉันจึงได้แต่อยู่รอบนอก พวกผู้ใหญ่ก็ฉวยมีดพร้าประดามี รวมทั้งฉมวกแทงปลา วิ่งลงใต้ถุน

    พักใหญ่ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกขึ้นมา ช่วยกันพยุงงูตัวดำๆ ค่อนข้างใหญ่ ทุกคนมีสีหน้าตื่นเต้นประหลาดใจ พอพ้นชายคาบ้านเขาวางงูลงกับพื้นปูน มันตายแล้ว

    มันเป็นงูตัวใหญ่ทีเดียวขนาดน่องผู้หญิง ตัวยาวประมาณเมตรกว่าๆ หัวหลิมหางหลิมไม่มีเกล็ดตามตัวแต่มีหนังเป็นตุ่มๆ สีเกือบดำด้านทั้งตัว ที่แปลกก็คือมีหงอนสีแดงเหมือนไก่ตะเภา ที่ทำให้คนแรกเขาใจผิดคิดว่ากำลังกินไก่

    ในห้องใต้ถุนนั้นไม่มีรูใหญ่ๆ ที่มันจะมุดเข้ามาได้ ก็หมายความว่า มันต้องอยู่ในห้องนั้นนานมาแล้ว จับหนูหรือสัตว์เล็กกินเป็นอาหาร

    เขาพูดกันว่างูชนิดนี้มีอยู่ในป่าสูงอากาศหนาวจัดอย่างเช่น ภูเขาหิมาลัย และเคยมีคนกล่าวถึงว่าเคยเห็นบนภูเขาสูงในดงพญาเย็น แต่ฉันได้เห็นในกรุงเทพนี่เอง

    ไม่ทราบว่ามันมาได้อย่างไร เดาเอาว่าแม่งูคงจะไปไข่ไว้ในโพรงไม้แล้วมีคนไปตัดต้นไม้ต้นนั้นขนขึ้นรถหรือล่องตามน้ำมา มาเกิดเป็นตัวในเมืองแล้วก็ซอกซอนหาที่อยู่ แล้วมาเจริญเติบโตจนออกไม่ได้ffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>

    ตัวที่สองก็เห็นที่เดียวกันนี่แหละ แต่เป็นกลางสนามในตอนเช้ามากวันหนึ่ง ฉันตื่นขึ้นเดินออกมาที่เฉลียงเหลือบลงไปดูข้างแปลงต้นสตรอเบอร์รี่เห็นต้นหญ้าไหม้เป็นทาง ไม่ได้คิดเป็นอื่นนอกจากมดคันไฟทำทางเดิน

    พอมีคนเดินผ่านเข้ามา เขาถึงกับสะดุ้งร้องเสียงหลงว่า
     
  5. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    เกี่ยวกับงูมีหงอนนี้ มีปรากฏที่อ้างถึงโดยหลายท่านซึ่งเคยประสบ

    บ้างก็ว่า มีที่ จังหวัดนครสวรรค์ บ้างก็ว่ามีอยู่ที่ป่าพรุทางภาคใต้


    โดยที่จังหวัดสงขลา มีตำนานงูมีหงอนว่า เป็นงูบองหลา หรืองูจงอางที่มีอายุนานปี


    ย่านท้องถิ่นนั้นมีคำเรียกว่า ทวดงู ดังเรื่องที่จะขอยกมาดังนี้


    [​IMG]



    สำหรับท้องถิ่นภาคใต้ของประเทศไทย คำ "ทวด" หมายถึงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถให้คุณและให้โทษแก่มนุษย์ได้

    "งูทวด" หรือ "ทวดงู" เป็นความเชื่อเฉพาะถิ่นของชาวไทยภาคใต้และคนในรัฐทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย

    ว่าเป็นดั่งงูศักดิ์สิทธิ์ต้องกราบไหว้บูชา เปรียบประดุจดั่งเทวดาประจำถิ่นที่จะช่วยดลบันดาลให้พรสมปรารถนา

    กล่าวกันว่างูทวดเป็นงูจงอางขนาดใหญ่ มีหงอนแดงบนกลางหัว เชื่อกันว่างูทวดมีหลายตน แต่ละตนปกครองดินแดนของตนไม่มีการล่วงล้ำดินแดนหรือเขตแดนซึ่งกันและกัน

    ที่เห็นในภาพเป็นงูทวดตนที่ชื่อ "งูทวดพ่อตาหลวงรอง" หรือ "งูทวดตาหลวงรอง" สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่วัดโลการาม บ้านสทิงหม้อ ตำบลสทิงหม้อ อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา เป็นรูปปั้นงูทวดที่สภาพสมบูรณ์ที่สุด

    หนังสือ "งูทวดกับบริบททางความเชื่อของชาวไทยถิ่นใต้และคนในรัฐทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย" เขียน เรียบเรียง และวาดภาพประกอบโดย คุณาพร ไชยโรจน์ เผยตำนานชาวบ้านเล่าปากต่อปาก รุ่นสู่รุ่นมาว่า

    แต่เดิมงูทวดพ่อตาหลวงรองเป็นพระธุดงค์เดินทางมาจากภาคเหนือ ได้ปักกลดลงบริเวณที่เป็นวัดโลการามปัจจุบัน และมรณภาพลงที่นั่น

    พอตกกลางคืนมีชาวบ้านเห็น "งูบองหลา" ขนาดใหญ่ มีหงอนแดงอยู่ตรงกลางหัว นอนขดตัวอยู่ในบริเวณที่ท่านมรณภาพ

    จึงเชื่อกันว่าดวงวิญญาณของท่านกลายร่างหรือเกิดใหม่เป็นงูทวด ใครต้องการอะไรให้มาว่ากล่าวบนบานจะได้สมดั่งใจหมาย

    กาลต่อมาได้มีการสร้างรูปเคารพบูชางูทวดพ่อตาหลวงรองขึ้นภายในบริเวณวัดโลการาม โดยนายจู้ห้วย สุวรรณรัตน์ (ปัจจุบันถึงแก่กรรมแล้ว) เป็นผู้ปั้น งานแล้วเสร็จ เมื่อปีพ.ศ.2529

    งูทวด หรือภาษาอังกฤษใช้ศัพท์ sacred snake (งูอันเป็นที่สักการะบูชา) มีรูปลักษณะที่สำคัญๆ 7 ประการด้วยกัน ได้แก่

    1.งูทวดมีรูปร่างใหญ่โตกว่างูจงอางในแบบธรรมดามาก บ้างก็ว่างูทวดตัวโตเท่าต้นตาล

    2.งูทวดส่วนใหญ่มีสีดำ แต่บางครั้งก็แสดงสีที่ไม่แน่นอน อาทิ ขาว น้ำตาล แดง เป็นต้น

    3.งูทวดส่วนใหญ่มีหงอนเป็นรูปเปลวเพลิงสีแดงสด ตั้งอยู่บริเวณกลางส่วนหัว

    4.งูทวดมีดวงตาสีแดงเพลิง อันบ่งบอกถึงพลังอำนาจ

    5.งูทวดมีปากและลิ้นเป็นสีแดง

    6.งูทวดมีปลายหางเป็นสีแดงเพลิง เฉกเช่นเดียวกันกับหงอนแดงบนกลางหัว

    7.งูทวดตนที่มีอายุมาก จะมีเครางอกออกมาบริเวณใต้คางด้วย

    http://songkhlatoday.com/index.php?file=webboard&obj=forum.topic.forprint(9072)
     

แชร์หน้านี้

Loading...