ยอดเเห่งเสือ เสือกลับ ทองคำ

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย Jin, 4 มีนาคม 2005.

  1. Jin

    Jin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,996
    ค่าพลัง:
    +3,342
    เรื่องสำคัญของขุนพันธรักษ์ราชเดชที่อยุ่ในความทรงจำของผู้คนภาคใต้เรื่องหนึ่ง คือ เสือกลับ คำทอง บุคคลผู้นี้เคยสู้รบกับขุนพันธ์มาแล้ว แต่เสือกลับรอดพ้นการจับกุมของขุนพันธ์ไปได้ แม้เมื่อขุนพันธ์ถูกย้ายและกลับมาเป็นใหญ่ในภาคใต้อีกครั้งหนึ่ง ขุนพันธ์ก็ไม่มีโอกาสพบเสือกลับ คำทอง อีกเลย เสือกลับเองก็ไม่ต้องการพบขุนพันธ์ทั้งๆที่สองคนเคยเป็นศิษย์มีครู คือต่างผ่านการศึกษาวิทยายุทธไสยศาสตร์เข้าอ้อมาเหมือนกัน ต่างกันตรงที่ว่าอีกคนเป็นเสือร้าย ส่วนอีกคนเป็นมือปราบเสือ เรื่องราวของเสือกลับ คำทอง นี้จะขอบันทึกประวัติของเสือกลับที่เขียนขึ้นโดยชาวตรังที่รู้จักตัวเสือกลับดี ผู้เขียนบันทึกนี้คือ นายเจิม ชำนาญ อดีตคลัง จังหวัดตรัง บันทึกเรื่องเสือกลับ และเสือริม ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาจากความทรงจำเก่าๆคำบอกเล่าของผู้อื่นบ้างและได้เคยสัมผัสกับตัวเองบ้าง คิดว่าจะเป็นบันทึกชีวิตของคนชนบทที่โชคชะตาพาเข้าไปเป็นเสือ คำว่าเสือ เป็นคำเรียกสัตว์ป่าที่ดุร้ายน่ากลัว หรือ น่าเกรงขาม เสือในป่าแม้คนจะเลี้ยงเก่งอย่างไงก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน ไว้ใจไม่ได้ ส่วนคนที่ถูกเรียกว่าอ้ายเสือ นั้นก็เป็นคนดุร้าย น่ากลัว แต่น่าคิดว่าทำไมที่บางคนเรียก พี่เสือบ้าง ลุงเสือบ้าง นั่นแสดงว่าเสือยังมีคนรักนับถือเสือคนจึงไม่ได้หมายความว่าจะต้องชั่วร้ายจนไม่มีดีอะไร เสือที่ดีก็มีคนรักนับถือ เสือบางรายมีสัจจะจนใครๆก็เกรงใจอยู่เหมือนกัน เสือที่ไม่ได้เป็นเสือด้วยสันดานก็มีอยุ่ บางคนต้องกลายเป็นเสือเพราะความจำเป็นบีบบังคับ เสือจึงแตกต่างกับ อันธพาล คนที่เป็นอันธพาลเป็นคนเกเรไม่มีเหตุผล ไม่มีสัจจะ ไม่มีเมตตากรุณา ไม่มีศีลธรรม ทำอะไรต้องได้อย่างที่ใจนึก ส่วนพี่เสือหรือลุงเสือหรือเสือเฉยๆนั้น จิตใจยังมีคุณธรรมอยุ่บ้างเช่น เสือใบแห่งสุพรรณบุรี ทำการปล้นคนรวย หรือเศรษฐีหน้าเลือด นำไปแจกจ่ายแบ่งปันให้คนจน หรือคนด้อยโอกาสจะทำมาหากิน พี่เสือริมและลุงเสือกลับ คำทอง ก็เช่นเดียวกัน ซึ่งข้าพเจ้าจะขอเล่าประวัติเสือทั้งคนนี้ไว้ให้รับทราบกันในหมู่คนภาคใต้ และผู้ที่ศึกษาประวัติการปราบเสืออย่างพลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดช ดังต่อไปนี้



    ประวัติเสือกลับ คำทอง และเสือริม ข้าพเจ้าได้พบลุงกลับหรือเสือกลับ คำทองที่บ้านทุ่งจันทน์หอม ตำบล บ้านโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดตรัง ลุงเสือกลับเล่าให้ฟังว่า เกิดที่ตำบลเขาวิเศษ อำเภอเมืองวังวิเศษ จังหวัดตรัง เป็นลูกใครเขาไม่บอกและข้าพเจ้าไม่กล้าถาม วันหนึ่งนายกลับ คำทอง กำลังตำข้าวอยู่กับพี่สาวของแก และเกิดมีปากเสียงกับพี่เขย พี่เขยเดินเข้ามาด่าแม่และตบหน้าแก 1 ที ลูกผู้ชายโดนตบหน้าด่าใส่แม่ของตนอย่างนั้นเกิดความโกธสุดขีด สากตำข้าวที่กำอยุ่ในมือนั้นหนักพอดูแต่เมื่อความโกรธขึ้นหน้า สากก็กลายเป็นอาวุธฟาดโครมเข้าที่ตัวพี่เขย ตายคาก้นครกตำข้าว เมื่อได้สติคืนมา กลับ คำทอง ก็รุ้ว่าเขาฆ่าพี่เขยตายจะต้องถูกจับกุมไปดำเนินคดีรับอาญาแผ่นดิน จึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านไป เพื่อให้พ้นคดีที่ตนทำผิด นายกลับ คำทอง หนีหายไปหลายปี แกหนีไปอยุ่เป็นศิษย์สำนักเขาอ้อ จังหวัดพัทลุง ได้ศึกษาวิชาดีทางไสยศาสตร์กับพระอาจารย์ปาล เจ้าสำนักวัดเขาอ้อจนมีความเชี่ยวชาญ เมื่อพระอาจารย์ปาล ปาลธัมโม มรณภาพแล้วจึงย้ายมาศึกษาต่อกับพระอาจารย์เอียด ปทุมสโร ที่วัดดอนศาลา ซึ่งเป็นสาขาของวัดเขาอ้อ (เขาเอาะ) วิชาที่นายกับเสือกลับ ได้รับการถ่ายทอดมาจากสำนักเขาอ้อ และวัดดอนศาลานั้น นับว่าสุดยอดทีเดียว โดยเฉพาะสามสี่วิชาหลักที่เรียนมาจนชำนิชำนาญก็คือ 1 วิชาเมตามหานิยม 2 วิชาอยู่ยงคงกระพัน ชาตรี 3 วิชากำบังตาแบบหายตัวได้ 4 วิชาหมอยาเขาอ้อ ลุงเสือกลับนั้น ลักษณะร่างกายล่ำสันแข็งแรง ถึงแม้ว่าตอนที่พบกับข้าพเจ้าอายุเขามากแล้วก็ตามเนื้อตัวค่อนข้างดำ นัยน์ตาดุ คล้ายๆตาของขุนพันธรักษฺหรือตาของหลวงอดุลย์เดชจรัส อดีตอธิบดีกรมตำรวจของขุนพันธรักษ์ราชเดช ลุงกลับเป็นศิษย์เขาอ้อแล้วมาเรียนต่อที่วัดดอนศาลา แต่ลุงเสือกลับเป็นศิษย์วัดดอนศาลารุ่นพี่ของขุนพันธ์ การเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันนี้เอง จึงทำให้ทั้งสองต้องรักษาสัจจะที่อาจารย์เจ้าสำนักสั่งสอนไว้ หลวงพ่อเอียดวัดดอนศาลา หรือหลวงพอปาล ปาลธัมโมไม่แน่ชัด เคยสั่งขุนพันธไว้ว่า "ฝากไอ้กลับมันด้วย อย่าทำร้ายมัน เพียงตักเตือนก็พอ " ชะรอยหลวงพ่อผู้เป็นอาจารย์จะล่วงรู้ว่าศิษย์คนหนึ่งเป็นตำรวจมือปราบ ส่วนอีกคนเป็นนักเลง เป็นเสืออาจจะต้องฆ่าแกงกันเข้ามิวันใดก็วันหนึ่งก็เป็นได้ ลุงเสือกลับเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า แกมีภรรยาอยู่ที่พัทลุงชื่อนางหมิก บ้านอยู่กลางทุ่งนา และมีลูกอยุ่ที่นั่น มีอาชีพทำนาเลี้ยงชีพอยุ่ในแถบนั้น บ้านเรือนอยุ่ห่างกัน บางครอบครัวก็ยากจนมีแต่บ้านพักอาศัย แต่ไม่มีที่ดินทำนาเป็นของตัวเองต้องทำนาแบ่งข้าวกับเจ้าของนาคนละครึ่ง บางปีฝนแล้งไม่ตกตามฤดูกาลก็ไม่ได้ทำนา ครอบครับของลุงเสือกลับ คำทอง ก็เช่นเดียวกัน วันหนึ่งมีคนรวยริมชานเมืองพาเจ้าหน้าที่ไปยึดที่ของชาวบ้านแถบนั้น จะขอผ่อนผันอย่างไรเขาก็ไม่ยอมลดราวาศอกให้ ลุงเสือกลับพกเอาความคับแค้นใจนั้นไว้คนเดียวนาน 1เดือน ในที่สุดวิชาที่ติดตัวมาก็ถูกนำมาใช้ เมื่อตัดสินใจไปบ้านคนรวยที่มายึดที่ดินชาวบ้านก่อนนั้นในยามดึกสงัดของราตรีนั้น ลุงเสือกลับเล่าว่าแกใช้การรมยาสลบเจ้าบ้าน แล้วงัดประตูบ้านเข้าไปข้างในขนเอาของมีค่า รวมทั้งเอกสารหลักฐานการกู้เงินของชาวบ้านไปจนหมด เงินทองและเอกสารการกู้เงินเหล่านั้นลุงเสือกลับก็นำไปคืนให้กับคนที่เดือดร้อนจนทั่ว ทำให้ชาวบ้านรักและนับถือลุงกลับเป็นอันมาก นั่นคือจุดเริ่มต้นการเป็นเสือของ กลับคำทอง ต่อมาวันหนึ่ง ลุงเสือกลับแกได้ไปที่จังหวัดตรัง
    ต่อมาวันหนึ่ง ลุงเสือกลับแกได้ไปที่จังหวัดตรัง ตำบลเขาวิเศษ เพื่อเยี่ยมพี่สาว ซึ่งพี่สาวแต่งงานใหม่แล้ว ลุงเสือกลับจึงได้รุ้จักกับพี่เขยคนใหม่ ก็รุ้สึกว่าคุยกันถูกคอดีลุงเสือกลับก็ได้มีภรรยาใหม่อีกคนที่จังหวัดตรัง อยุ่กินมาหลายปีจนมีลูกชาย อีกคน ต่อมา ลุงเสือกลับไปอยุ่ที่ตำบลน้ำผุด อ.เมืองตรัง ก็มีเมียที่นั่นอีกคน แต่คดีเก่าที่ฆ่าพี่เขยคนแรกยังไม่หมดอายุ ความ ลุงเสือกลับก็รู้ตัวว่าเจ้าหน้าที่กำลังตามจับอยู่ แกจึงตัดสินใจปล้นอีกครั้งทีจังหวัดตรัง นำเอาเงินที่ปล้นได้ไปให้ครอบครัวทั้งสองและเพื่อนบ้านที่เดือดร้อน จากนั้นแกก็หนีย้อนกลับไปอยุ่กับภรรยาที่พัทลุง เมื่อตอนที่กลับไปอยุ่พัทลุงนั่นเอง วันหนึ่งขณะที่แกทำรั้วคอกวัวอยู่นั้นก็มีคนไปถามหาคนชื่อกลับอยุ่ไหน แกก็ชี้มือไปที่บ้านของตัวเอง คนผู้นั้นก็ย้อนถามอีกว่า นายกลับอยุ่หรือไม่ ? ลุงเสือกลับบอกว่าแกไม่ตอบ ได้แต่พยักหน้า คนผู้นั้นก็เดินเข้าไปที่บ้านมารู้ภายหลังว่าเขาผู้นั้นคือขุนพันธ์ตำรวจมือปราบพัทลุงนั่นเอง เมื่อขุนพันธ์สอบถามที่บ้านรู้ความว่านายกลับ คำทองกำลังตอกเสาทำรั้วคอกควายอยู่ รู้อย่างนั้นขุนพันธ์ก็รีบถอยกลับกลับไปหาตัว เสือกลับ คำทอง ทันที ขุนพันะวิ่งไปหาเสือกลับ หมายจะจับตัวให้ได้ จนในที่สุดเกิดประชิดตัวต่อสู้ฟัดเหวี่ยงกันนาน ท่านขุนพันธ์เก่งมวยและยูโด แต่ตัวเล็กกว่าลุงกลับ ลุงกลับใช้ความได้เปรียบในเรื่องร่างกายวิ่งหนีการจับกุมของขุนพันธ์ไปได้ช่วง 1คันนาเดียวก็มองไม่เห้นตัวลุงกลับเลย ทั้งๆที่บริเวณนั้นเตียนโล่งแท้ๆแล้วลุงกลับก็หนีรอดไปได้อย่างหวุดหวิด ลุงเสือกลับหนีขุนพันธ์กลับจังหวัดตรังอีกครั้ง โดยไปนั่งรถยนต์โดยสาร สายพัทลุง - ตรัง ซึ่งลุงเสือกลับเล่าว่าสมัยนั้นมีเพียงคันเดียว คือไปเช้า - กลับเย็น ครั้นรถมาถึงหน้าวัดโคกพิกุล (วัดโคกยาง ) ลุงเสือกลับบอกให้รถหยุด แกลงจากรถจ่ายค่าโดยสาร 2 บาทเรียบร้อยแล้ว ในรถคันที่ลุงเสือกลับนั่งมานั้น มีตำรวจนอกเครื่องแบบคนหนึ่งนั่งมาด้วย เขาคือ ร.ต.อ.ยุทธ์ ประภาวัฒน์ นั่นเอง ( ชาวบ้านเรียกท่านว่า นายร้อยสายหยุด ) ท่านผู้กำกับตำรวจเมืองตรัง จำหน้าลุงสือกลับได้ จึงตะโกนเรียกให้หยุด ลุงเสือกลับเดินไปเรื่อยๆโดยไม่ยอมทำตามเสียงเรียกร้องของผู้กำกับยุทธ์แกเดินไปเรื่อยๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นผู้กำกับจึงรีบวิ่งลงจากรถไล่ตามไปทันทีแต่ก็มองไม่เห็นตัวเสือกลับเสียเลย ลุงเสือกลับหนีไปหาเพื่อนเกลอที่บ้านยางน้อยก่อนที่จะเลยไปอยุ่กับภรรบาที่ตำบลน้ำผุด ในช่วงระยะเวลาที่ลุงเสือกลับมาอยู่จังหวัดตรัง ตำบลน้ำผุดนั้น เข้าใจว่าน่าจะหมดอายุความในคดีที่ฆ่าพี่เขยแล้ว ก็ปรากฏว่ามีผู้ที่เคารพนับถือในวิชาความรู้ที่ลุงเสือกลับได้รับมาจากเขาอ้อและดอนศาลา จึงมีผู้เข้าไปฝากตัวเป็นศิษย์หลายคน เช่น เสือริม ส.ต.ท. สว่าง และปลัดละม่อม หรือปลัดณรงค์ ณ ถลาง โดยเฉพาะศิษย์ที่มีชื่อว่า สิบตำรวจโทสว่าง นั้นลุงเสือกลับเป็นผู้ลงเลขยันต์ให้กินและทาน้ำมันมนตร์จนเนื้อหนังแน่นเหนียว อยุ่ยงคงกระพัน ยิงฟันไม่เข้า ลุงเสือกลับได้รับการยกย่องนับถือในบรรดาศิษย์เป็นอันมาก เสือริมซึ่งเป็นศิษย์สำคัญของลุงกลับนั้น เป็นผู้ที่ได้รับการลงอาคมให้พร้อมทั้งได้มอบลูกไข่ (อัณฑะ )คนเป็นเหล็กให้อีกด้วย ตอนที่มอบให้เสือริมยังเป็นตำรวจเกณฑ์ไม่ได้เป็นเสือ ต่อมาภายหลังจึงมีเหตุให้เขากลายเป็นเสือริม

    ตอนที่เป็นตำรวจ เสือริมได้ออกปราบปรามผู้ร้ายคนหนึ่ง ชื่อใดจำไม่ได้ ผู้ร้ายคนนี้ยิงไม่เข้าเช่นกัน แต่เสือริมสามารถจับได้ 2 คนและเอามาขังไว้เพื่อสอบสวน คนร้ายที่ยิงไม่เข้านั่นเองได้เรียกเสือริมหรือตำรวจริมเวลานั้นมาหาแล้วเขาผู้นั้นได้มอบตะกรุตรัดอก 5 ดอกให้ไว้ ผลที่ติดตามมาตำรวจริมหรือเสือริมคนนี้ ผู้กำกับได้เลื่อนยศเป็นสิบตำรวจตรี ต่อมาสิบตำรวจตรีริมถูกผู้ร่วมงานที่สภอเมืองกลั่นแกล้ง ใส่ความจนถูกทางผู้บังคับบัญชาเรียกสอบสวน ทำให้สิบตำรวจริมมีความโกรธแค้นผู้ใส่ร้ายและได้ฆ่าผู้นั้นตาย และก็หนีเตลิดเข้าป่าไปกลายเป็นเสือในที่สุด ภายหลังเสือริมก็ออกทำการปล้นฆ่าคนไทย เชื้อสายจีนที่เหมืองแร่ระหว่างทาง จีนคนนั้นเป็นคนของเสี่ยกิ้ม แซ่โค้ว (เขาเรียกว่านายพลกิ้ม) มีอิทธิพลมากสามารถ สั่งย้ายนายอำเภอได้ สิบตำรวจริมจึงกลายเป็นเสือเต้มตัวตั้งแต่นั้นมา ปฏิบัติการปล้นฆ่าของเสือริม เขาทำการปล้นฆ่าเกือบ 200 ศพ และถูกจับกุมขังที่เรือนจำจังหวัด ตรังแต่ไม่เคยถูกพิพากษาโทษเลย เมื่อออกมาอยุ่บ้านได้ไม่นาน ก็ได้อยุ่กับลุงเสือกลับซึ่งเวลานั้นลุงเสือกลับมีรางวัลนำจับ 300บาท และเหตุที่มีรางวัลนำจับนี่เองจีงทำให้ผู้คนทั้งหลายเรียกว่า เสือกลับสามร้อย ในวันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้านอนเฝ้าควายอยุ่กลางทุ่งนา ตอนนั้นข้าพเจ้ารุ่นหนุ่มแล้ว ในตอนดึกคือนนั้นได้ยินเสียงเรียกว่า ไอ้ไข่ลุกขึ้นเร็วๆ รีบสุมไฟเร็วๆ เมื่อข้าพเจ้าสุมไฟลุกโพลง เสือริมกับเสือกลับขึ้นไปนอนอยุ่บนแคร่สูงประมาณ 1เมตร รางมีรอยตะปุ่มตะป่ำเต็มหลังไปหมด ข้าพเจ้าถามว่าเป็นอะไร เสือริมตอบว่าถูกต้อไช (หมายถึงถูกตัวต่อต่อย) แล้วแกก็เล่าให้ฟังว่า ถูถูกหักหลัง คือสายเสือให้ไปปล้นคนชื่อ พุ่ม ที่บ้านโคกพลา ตำบลโคกหลอ อ.เมืองตรัง แล้วมันไปแจ้งตำรวจ คนที่เข้าปล้นมีอยุ่ 5คนนายพุ่มเจ้าทรัพย์ไม่ยอม จึงเอาดาบฟันลุงเสือกลับ คำทองแต่ไม่เข้า เสือริมจึงเตะล้มลง เสือกลับห้ามเสือริมไว้ว่าอย่าทำ แต่ลูกน้องคนอื่นๆเอาดาบแทงนายพุ่มก็ไม่เข้าเช่นกัน ลูกน้องอีกคนนึงเอาหอกแทงเข้าช่องทวารหนักจนล้มลงขาดใจตาย เมื่อกวาดทรัพย์ไปได้แล้ว ลูกน้อง 3 คนที่ทำร้ายเจ้าทรัพย์ก็รีบหอบเอาทรัพย์ที่ปล้นได้ไปก่อน ส่วนเสือริมวิ่งตามลุงเสือกลับไปภายหลัง ก็ถูกตำรวจยิงด้วยปืนกลเบาบ้าง ปืนพระราม6 บ้างสามคนนั้นตายหมดพร้อมกับนอนกอดทรัพย์ที่ปล้นมาได้ ส่วนเสือริมและลุงเสือกลับหนีรอดไปได้ และก็มานอนย่างกระสุนดังกล่าวแล้วข้างต้น ตอนใกล้สว่างทั้งสองเสือจากไปพร้อมกับสั่งว่า ห้ามบอกใครเป็นอันขาด ลูกศิษย์เสือกลับ ทรยศ ในปีพ.ศ.2488 ต้นปี ข้าพเจ้าซึ่งทำงานรับราชการในหน่วยงานหนึ่ง สังกัดกระทรวงการคลัง พอขึ้นบนศาลากลางจังหวัดตรัง ตำรวจยามได้บอกข้าพเจ้าว่า เมื่อคืนตำรวจได้ทำการจับกุมเสือกลับได้ และคุมขังอยุ่ที่โรงพัก พอตอนเที่ยงวันไปดูที่ห้องขัง ส.ภ.อ.เมือง เห็นนอนอยุ่จริง ข้าพเจ้าจึงไปซื้อของที่ตลาดคือ ข้าวมันไก่ 1ห่อและกาแฟเย็นขึ้นไปเยียมที่ห้องขัง เมื่อตำรวจตรวจห่ออาหารเรียบร้อยแล้วจึงอนุญาตนำเข้าเยี่ยม แกกำลังหิวพอดี แต่ก็นั่งดูอยุ่พักหนึ่งจึงได้กินเสร็จแล้วแกเล่าให้ฟัง ดังนี้ ศิษย์รักของแกที่ชื่อนายละม่อมหรือปลัดณรงค์ ได้เคยให้แกทำนายวัวชนะว่าวัวสีอะไรชนะ แกเคยบอกให้ชนะมาตลอด ในวันหนึ่งก็นัดแนะกับแกอีกครั้งให้ไปที่บ้านพักของคุณบุญนาค แกขึ้นอยุ่กับบ้าน เมื่อขึ้นสุดขั้นบันไดก็มีคนผลักแกตกบันไดแล้วมีผู้โยนผ้านุ่งผู้หญิงที่ติดเลือดประจำเดือนครอบลงบนหัว



    แก แกร้องสุดเสียงว่า ทำไมทำกันอย่างนี้ ก็พอดีตำรวจที่คอยทีอยู่แล้ว ยศ ร.ต.ต. (อย่าออกชื่อเลย เพราะเป็นพี่ชายของเพื่อนข้าพเจ้า ) เอาไม้ที่รองขั้นบันไดทุบหัวแกแล้ว แกล้มลง เลือดเต็มหัว แกนั่งนิ่งไม่ไหวติง คล้ายกับนั่งทำสมาธิและถูกใส่กุญแจมือแกเล่าพลางน้ำตาไหลซึมเต็มเบ้าตา แกถูกขังอยุ่บนโรงพักจนหมดเวลาที่จะคุมขังจึงทางอัยการของผลัดฝากขังต่อที่เรือนจำ ระหว่างที่อยุ่เรือนจำนั้นก็ได้พบกับเสือริมซึ่งต้องคดีปล้นฆ่าคนจีนซึ่งเป็นคนของเสี่ยกิ้ม แซ่โค้ว (นายพลกิ้ม )ลุงเสือกลับพยายามที่จะหาโอกาสที่หนีออกจากคุก แต่อาคมต่างๆเสื่อมหมดแล้ว บังเอิญมีหมอตำแยคนหนึ่งติดคุกในคดีทำแท้งจนคนท้องตาย ลุงเสือแกขอร้องให้ช่วยทำพิธีเกิดใหม่ให้ทีให้แกที ผู้คุมคนหนึ่งสงสารแกเปิดโอกาสให้กระทำพิธีได้ มีการใช้หุ่นทำคลอดตามแบบฉบับพวกนักโทษก็ช่วยกันอุ้มแกอาบน้ำอุ่น และแกก็ท่องอาคมไปตลอด และร้องอุแว๊ๆเหมือนเด็กจริงๆ แล้วก็ช่วยหามแกขึ้นเปลเห่ช้า ซึ่งหมอคลอดเขาร้องเพลงกล่อมเอง (เสือริมเป็นผู้ให้เดินราดใส่ในจานหมากพลูให้หมอเอง และเรื่องในเรือนจำทั้งหมดเสือริมเป็นผู้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังเอง ) เมือลุงเสือกลับทำพิธีเกิดใหม่แล้ว ก็ได้ชวนพวกนักโทษเด็ดขาดว่าใครจะออกไปบ้างแกจะพาหนี แต่ผู้ที่อยู่ในระหว่างสู้คดีแกจะไม่ชวน ปรากฏว่าอยากหนีมี 5คน รวมทั้งแกเอง เสือริมไม่ยอมหนีเพราะแกมีทางสู้คดี ในจำนวน 5คนนั้นมีเสือน้ำ เรียบร้อย พร้อมพรรคพวกอีก3 คนซึ่งต้องคดีเป็นโจรสลัดถูกพิพากษาโทษเด็ดขาดแล้ว พอได้ฤกษ์ยามดี ลุงเสือกลับจึงทายาที่ประตูชั้นในบริกรรมอาคมเสร็จก็สะเดาะกุญแจคุกทั้งสองประตูออกมาโดยไม่มีใครเห็น พอขึ้นถึงควนหลังจวนผู้ว่าฯ ก็เดินเข้าป่าสวนยางพาราแล้วก็ตัวใครตัวมัน ลุงเสือกลับนั้นหนีไปอยุ่ บ้าน ต.น้ำผุด และอยุ่จนแก่ตายที่นั่น สำหรับเสือริม นั้นชนะคดีจึงได้ออกมาอยู่ ณ ที่บ้านทุ่งจันทน์หอม.บ้านโพธิ์ อ.เมือตรัง อยุ่มาวันหนึ่งนายอำเภอเมืองตรังเห็นว่าเสือริมมีอิทธิพลในตำบลนั้นมากเป็นที่นับถือและเกรงกลัวในหลายตำบล


    จึงได้ปรึกษากับคณะกรรมการอำเภอว่า ในหมู่ 2 ต.บ้านโพธิ์นั้นตำแหน่ง ผู้ใหญ่บ้านยังว่างอยุ่ เห็นควรแต่งตั้งให้เป็นผู้ใหญ่บ้านที่ว่างลงได้ จึงได้สั่งให้ไปพบที่ว่าการอำเภอ เมื่อเสือริมมาพบท่านนายอำเภอ คือหม่อมหลวงดิสราสิงหราได้ให้เข้าพบในห้อง แล้วถามความสมัครใจ เสือริมต้องการจะล้างมือโจรเสียทีจึงตอบตกลง นายอำเภอจึงให้การอบรมความรู้หน้าที่อยุ่นานจนเป็นที่เข้าใจ จึงออกคำสั่งแต่งตั้งในวันนั้นเอง และได้ทำหน้าที่ในตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านดีเด่นมานานหลายปีเช่น หารายได้มาปฏิสังขรวัดวาอาราม โรงเรียนที่ชำรุดทรุดโทรม จัดสร้างถนนจากถนนสายลำแพะ - ทับเที่ยงผ่านหมุ่บ้านไปออกตลาดคลองเต็ง และนับตั้งแต่ผู้ใหญ่ริมหรือเสือริม ชำนาญเป็นผู้ใหญ่บ้านอยุ่นั้น ผู้ร้ายทั้งในตำบลบ้านโพธิ์ ต.นาพระและนาหมื่นศรี ลดน้อยลงต่างก็ได้ประกอบอาชีพสุจริตเป็นส่วนมาก ทางจังหวัดจึงได้เสนอความดีความชอบให้เป็นผู้ใหญ่บ้านดีเด่นต่อกระทรวงมหาดไทย เพราะการปฏิสังขรวัด โรงเรียน ถนนก็ดีไม่ได้ใช้เงินทางราชการแม้แต่บาทเดียว แกสร้างด้วยการขอแรงจากชาวบ้านทุกหมู่บ้านต่างยินดีให้ความร่วมมือด้วยความเชื่อถือเป็นอย่างดีบางทีแกเป็นศิษย์ลุงเสือกลับคงจะได้เรียนทางเมตตามหานิยมก็ได้ จึงเมือ พ.ศ.2507 ทางกระทรวงมหาดไทยสั่งให้ทางจังหวัดส่งตัวไปรับรางวัลจาก พณฯรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยคือ แหนบทองคำร้อมด้วยปืน .38ลูกโม่ 1กระบอกนับเป็นเกรียติประวัติสุงสุดของเสือริมหรือผู้ใหญ่บ้านริม ชำนาญ จึงเป็นเหตุให้ลูกและหลานของแกภูมิใจ ต่างก็ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเกือบทุกคน บางคนมั่งมีด้วยการสร้างเรือกสวนไร่นา บางคนก็รับราชการ ซี6 ซี 7 ก็มีเป็นที่ภูมิใจแก่ญาติๆ ตลอดมา บัดนี้เสือริมหรือผู้ใหญ่ริม ชำนาญได้ถึงแก่กรรม ไปแล้วเมือปลายปี 2544 ด้วยโรคตับอักเสบ ชำระอายุได้ 73 ปี ของให้วิญญาณของผู้ใหญ่ริมจงไปสู่สุคติภพทุกชั้นด้วยเถิด อนึ่ง เสือกลับ300 ไม่เคยฆ่าหรือทำร้ายชีวิตใครเลย นอกจากพี่เขยของแกเพียงคนเดียว จึงขอให้วิญญาณลุงเสือกลับจงไปสุ่สุคติภพด้วย พุทโธ โสนิพพานัง ปรมังสุโข ธัมโม โสนิพพานัง ปรมังสุโข สังโฆ โสนิพพานัง ปรมังสุโข
     
  2. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    Bravo...
     

แชร์หน้านี้

Loading...