รวมเรื่องพระปัจเจกพุทธเจ้า ตอนที่ 11 อหิเปรต

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย เทพออระฤทธิ์, 9 เมษายน 2008.

  1. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,049
    ต่อจากนี้ไปผมจะขอรวมรวบร่วมเรื่องเกี่ยวพระปัจเจกพระพุทธเจ้าและองนิสงค์เกี่ยวกับการทำการบุญกับพระปัจเจกและเพื่อรวบรวมเป็นความรู้ต่อไป


    <O:p</O:p
    [​IMG]


    ธัมมปทัฏฐกถา พาลวรรควรรณนา๑๒. เรื่องอหิเปรต










    <!-- start content --><DL><DD>๑๒. เรื่องอหิเปรต [๕๖]






    </DD></DL><DL><DD>ข้อความเบื้องต้น






    </DD></DL><DL><DD>พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภอหิเปรต






    </DD></DL>ตนใดตนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "น หิ ปาปํ กตํ กมฺมํ"

    เป็นต้น.





    <DL><DD>พระมหาโมคคัลลานเถระทำการยิ้ม






    </DD></DL><DL><DD>ความพิสดารว่า ในวันหนึ่ง ท่านพระลักขณเถระ ภายในชฎิล






    </DD></DL>พันหนึ่ง และท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ ลงจากภูเขาคิชฌกูฏด้วย

    คิดว่า "เราจักเที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์." บรรดาพระเถระ ๒ รูป
    นั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะ เห็นอหิเปรตตนหนึ่ง จึงได้กระทำการ
    ยิ้มแย้มให้ปรากฏ. ลำดับนั้น พระลักขณเถระ ถามเหตุกะพระเถระนั้นว่า
    " ผู้มีอายุ เพราะเหตุไร ท่านจึงทำการยิ้มแย้มให้ปรากฏ ?" พระเถระ
    ตอบว่า "ผู้มีอายุ นี้ไม่ใช่กาลแล เพื่อวิสัชนาปัญหานี้, ท่านพึงถามผม
    ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด." เมื่อพระเถระทั้งสองนั้น เที่ยว
    บิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ ไปสู่สำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า นั่งแล้ว,
    พระลักขณเถระถามว่า " ท่านโมคคัลลานะผู้มีอายุ ท่านลงจากภูเขา
    คิชฌกูฏ ทำการยิ้มแย้มให้ปรากฏ ผมถามถึงเหตุแห่งการยิ้มแย้ม ได้
    กล่าวว่า ' ท่านพึงถามผมในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า,' บัดนี้ ท่านจง
    บอกเหตุนั้นเถิด."





    <DL><DD>พระมหาโมคคัลลานะบอกเหตุแห่งการยิ้ม






    </DD></DL><DL><DD>พระเถระ กล่าวว่า "ผู้มีอายุ ผมเห็นอหิเปรตตนหนึ่ง จึงได้






    </DD></DL>ทำการยิ้มแย้มให้ปรากฏ, อัตภาพของเปรตนั้นเห็นปานนี้, ศีรษะของมัน

    เหมือนศีรษะมนุษย์, อัตภาพที่เหลือของมัน เหมือนของงู, นั่นชื่อ
    อหิเปรต โดยประมาณ ๒๕ โยชน์, เปลวไฟตั้งขึ้นจากศีรษะของมัน
    ลามไปจนถึงหาง, ตั้งขึ้นจากหางถึงศีรษะ, ตั้งขึ้นในท่ามกลาง ลามไป
    ถึงข้างทั้งสอง ตั้งขึ้นแต่ข้างทั้งสอง รวมลงในท่ามกลาง." ได้ยินว่า
    อัตภาพของเปรตทั้งสอง นั่นแล ประมาณ ๒๕ โยชน์, ของเปรตที่เหลือ
    ประมาณ ๓ คาวุต, ของอหิเปรตนี้นั่นแล และของกากเปรต ประมาณ
    ๒๕ โยชน์, บรรดาเปรตทั้งสองนั้น อหิเปรต เป็นดังนี้ก่อน.





    <DL><DD>บุรพกรรมของกากเปรต






    </DD></DL><DL><DD>พระมหาโมคคัลลานะ เห็นแม้กากเปรต อันไฟไหม้อยู่ที่ยอดเขา






    </DD></DL>คิชฌกูฏ เมื่อจะถามบุรพกรรมของเปรตนั้น จึงกล่าวคาถานี้ว่า :-






    <DL><DD>" ลิ้นของเจ้าประมาณ ๕ โยชน์, ศีรษะของเจ้า






    </DD></DL><DL><DD>ประมาณ ๙ โยชน์, กายของเจ้าสูงประมาณ ๒๕






    </DD></DL><DL><DD>โยชน์, เจ้าทำกรรมอะไรไว้จึงถึงทุกข์เช่นนี้."






    </DD></DL>ครั้งนั้น เปรตเมื่อจะบอกแก่พระเถระนั้น จึงกล่าวคาถานี้ว่า :-






    <DL><DD>" พระโมคคัลลานะผู้เจริญ ข้าพเจ้ากลืนกินภัต






    </DD></DL><DL><DD>ที่เขานำมาเพื่อสงฆ์ ของพระพุทธเจ้าพระนานว่า






    </DD></DL><DL><DD>กัสสป ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ ตานปรารถนา."






    </DD></DL>ดังนี้แล้ว จึงกล่าวว่า " ท่านผู้เจริญ ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระนาม

    ว่ากัสสป พวกภิกษุมากรูป เข้าไปสู่บ้านเพื่อบิณฑบาต. พวกมนุษย์
    เห็นพระเถระทั้งหลายแล้ว รักใคร่ นิมนต์ให้นั่งที่โรงฉัน ล้างเท้า
    ทาด้วยน้ำมัน ให้ดื่มข้าวยาคู ถวายของควรเคี้ยว รอคอยบิณฑบาตกาล
    นั่งฟังธรรมอยู่. ในกาลจบธรรมกถา พวกมนุษย์รับบาตรของพระเถระ
    ทั้งหลายแล้ว ให้เต็มด้วยโภชนะมีรสเลิศต่าง ๆ ในเรือนของตน ๆ แล้ว
    นำมา. ในครั้งนั้น ข้าพเจ้าเป็นกา จับอยู่ที่หลังคาแห่งโรงฉัน เห็น
    โภชนะนั้นแล้ว ได้คาบเอาคำข้าว ๓ คำเต็มปาก ๓ ครั้ง จากบาตรอัน
    มนุษย์ผู้หนึ่งถือไว้, แต่ภัตนั้น ยังหาเป็นของสงฆ์ไม่, มิใช่เป็นภัตที่เขา
    กำหนดถวายแก่สงฆ์, เป็นภัตอันเหลือจากที่ภิกษุทั้งหลายฉัน อันพวก
    มนุษย์พึงนำไปสู่เรือนของตนบริโภคก็ไม่ใช่, เป็นเพียงภัตที่เขานำมา
    เฉพาะสงฆ์อย่างเดียวเท่านั้น. ข้าพเจ้าคาบเอาคำข้าว ๓ คำจากบาตรนั้น,
    กรรมเพียงเท่านี้ เป็นบุรพกรรมของข้าพเจ้า, ข้าพเจ้านั้น ทำกาละ
    แล้วไหม้ในอเวจี เพราะวิบากแห่งกรรมนั้น ในบัดนี้ เกิดเป็นกากเปรต
    เสวยทุกข์นี้ ที่ภูเขาคิชฌกูฏ ด้วยผลกรรมที่เหลือในเพราะกรรมนั้น
    เรื่องกากเปรต มีเท่านี้.





    <DL><DD>แต่ในเรื่องนี้ พระเถระกล่าวว่า " ผมเห็นอหิเปรต จึงได้ทำการ






    </DD></DL>ยิ้มแย้มให้ปรากฏ." ลำดับนั้น พระศาสดาทรงเป็นพยานของพระเถระ

    นั้น ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย โมคคัลลานะพูดจริง, ก็เราเห็นเปรตนั่น
    ในวันบรรลุสัมโพธิญาณเหมือนกัน, แต่เราไม่กล่าว เพราะเอ็นดูคนอื่นว่า
    ' ชนเหล่าใด ไม่เชื่อคำของเรา, ความไม่เชื่อนั้น พึงเป็นไปเพื่อสิ่งมิใช่
    ประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนเหล่านั้น." ก็ในกาลที่พระมหาโมคคัลลานะเห็น
    แล้วนั่นแล พระศาสดาทรงเป็นพยานของท่าน ตรัสเรื่อง ๒ เรื่อง
    แม้ในลักขณสังยุต(สํ. นิ. ๑๖/๒๙๘.)เเล้ว. แม้เรื่องนี้ พระเถระนั้น ก็กล่าวไว้อย่างนั้น
    เหมือนกัน. ภิกษุทั้งหลายฟังเรื่องนั้นแล้ว จึงทูลถามบุรพกรรมของเปรต
    นั้น. แม้พระศาสดา ก็ตรัสแก่ภิกษุเหล่านั้นว่า:-





    <DL><DD>บุรพกรรมของอหิเปรต






    </DD></DL><DL><DD>" ได้ยินว่า ในอดีตกาล พวกชนอาศัยกรุงพาราณสี สร้าง






    </DD></DL>บรรณศาลาไว้เพื่อพระปัจเจกพุทธเจ้า ใกล้ฝั่งแม่น้ำ. พระปัจเจกพุทธเจ้า

    นั้น อยู่ในบรรณศาลานั้น ย่อมเที่ยวไปบิณฑบาตในเมืองเนืองนิตย์.
    แม้พวกชาวเมือง มีมือถือสักการะมีของหอมและดอกไม้เป็นต้น ไปสู่ที่
    บำรุงของพระปัจเจกพุทธเจ้า ทั้งเย็นทั้งเช้า. บุรุษชาวกรุงพาราณสีคน
    หนึ่ง อาศัยหนทางนั้นไถนา. มหาชน เมื่อไปสู่ที่บำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้า
    ย่อมเหยียบย่ำนานั้นไป ทั้งเย็นทั้งเช้า. ชาวนา แม้ห้ามอยู่ว่า "ขอ
    พวกท่านอย่าเหยียบนาของข้าพเจ้า" ก็ไม่สามารถจะห้ามได้. ครั้งนั้น
    ชาวนานั้น ได้มีความคิดอย่างนั้นว่า " ถ้าบรรณศาลาของพระปัจเจก-
    พุทธเจ้า ไม่พึงมีในที่นี้ไซร้ ชนทั้งหลายก็ไม่พึงเหยียบย่ำนาของเรา."
    ในกาลที่พระปัจเจกพุทธเจ้าเข้าไปบิณฑบาต ชาวนานั้น ทุบภาชนะ
    เครื่องใช้แล้วเผาบรรณศาลาเสีย. พระปัจเจกพุทธเจ้า เห็นบรรณศาลา
    นั้นถูกไฟไหม้ จึงหลีกไปตามสบาย. มหาชน ถือของหอมและระเบียบ
    ดอกไม้มา เห็นบรรณศาลาถูกไฟไหม้ จึงกล่าวว่า " พระผู้เป็นเจ้าของ
    พวกเรา ไป ณ ที่ไหนหนอแล ? " แม้ชาวนานั้น ก็มากับด้วยมหาชน
    เหมือนกัน ยืนอยู่ในท่ามกลางแห่งมหาชน พูดอย่างนี้ว่า " ข้าพเจ้าเอง
    เผาบรรณศาลาของพระปัจเจกพุทธเจ้า. " ครั้งนั้น ชนทั้งหลายพูดว่า
    " พวกท่านจงจับ. " พวกเราอาศัยบุรุษชั่วนี้ จึงไม่ได้เพื่อจะเห็นพระ-
    ปัจเจกพุทธเจ้า. " ดังนี้แล้ว ก็โบยชาวนานั้น ด้วยเครื่องประหาร มี
    ท่อนไม้เป็นต้น ให้ถึงความสิ้นชีวิตแล้ว. ชาวนานั้นเกิดในอเวจี. ไหม้
    ในนรกตราบเท่าแผ่นดินนี้ หนาขึ้นประมาณโยชน์หนึ่งแล้ว จึงเกิดเป็น
    อหิเปรตที่เขาคิชฌกูฏ ด้วยผลกรรมอันเหลือ. "





    <DL><DD>พระศาสดาทรงเปรียบเทียบผลกรรม






    </DD></DL><DL><DD>พระศาสดา ครั้นตรัสบุรพกรรมนี้ของอหิเปรตนั้นแล้ว จึงตรัสว่า






    </DD></DL>" ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าบาปกรรมนั้น เป็นเช่นกับน้ำนม. น้ำนมอันบุคคล

    กำลังรีดแล ย่อมไม่แปรไปฉันใด; กรรมอันบุคคลกำลังกระทำเทียว
    ก็ยังไม่ทันให้ผลฉันนั้น. แต่ในกาลใด กรรมให้ผล; ในกาลนั้น ผู้กระทำ
    ย่อมประกอบด้วยทุกข์เห็นปานนั้น " ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิ
    แสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า:-





    <DL><DD>๑๒. น หิ ปาปํ กตํ กมฺมํ สชฺชุขีรํว มุจฺจิ






    </DD></DL><DL><DD>ฑหนฺติ พาลมเนฺวติ ภสฺมาจฺฉนฺโนว ปาวโก.






    </DD></DL><DL><DD>" ก็กรรมชั่วอันบุคคลทำแล้ว ยังไม่ให้ผล






    </DD></DL><DL><DD>เหมือนน้ำนมที่รีดในขณะนั้น ยังไม่แปรไปฉะนั้น,






    </DD></DL><DL><DD>บาปกรรม ย่อมตามเผาคนพาล เหมือนไฟอันเถ้า






    </DD></DL><DL><DD>กลบไว้ฉะนั้น."






    </DD></DL><DL><DD>แก้อรรถ






    </DD></DL><DL><DD>บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สชฺชุขีรํ ความว่า น้ำนมซึ่งไหล






    </DD></DL>ออกจากนมของแม่โคนมในขณะนั้นนั่นแล ยังอุ่น ย่อมไม่เปลี่ยน คือ

    ย่อมไม่แปรไป. พระศาสดา ตรัสคำอธิบายไว้ดังนี้ว่า " น้ำนมที่เขารีด
    ในขณะนั้น ย่อมไม่เปลี่ยน คือไม่แปร ได้แก่ไม่ละปกติในขณะนั้น
    นั่นแล. แต่ที่เขารีดใส่ไว้ในภาชนะใด. ก็ย่อมไม่ละปกติตราบเท่าที่ยัง
    ไม่ได้ใส่ของเปรี้ยวมีเปรียงเป็นต้น ลงในภาชนะนั้น คือตราบเท่าที่ยัง
    ไม่ถึงภาชนะของเปรี้ยว มีภาชนะนมส้มเป็นต้น ย่อมละในภายหลัง
    ฉันใด; แม้บาปกรรมที่บุคคลกำลังทำ ก็ย่อมไม่ให้ผลฉันนั้นเหมือนกัน.
    ถ้าบาปกรรมพึงให้ผล (ในขณะทำ ). ใคร ๆ ไม่พึงอาจเพื่อทำบาปกรรม
    ได้. ก็ขันธ์ทั้งหลายที่บังเกิดด้วยกุศล ยังทรงอยู่เพียงใด; ขันธ์เหล่านั้น
    ย่อมรักษาบุคคลนั้นไว้ได้เพียงนั้น. เมื่อขันธ์ทั้งหลายเกิดในอบาย เพราะ
    ความแตกแห่งขันธ์เหล่านั้น บาปกรรมย่อมให้ผล, ก็เมื่อให้ผล ชื่อว่า
    ย่อมตามเผาผลาญคนพาล."





    <DL><DD>ถามว่า "เหมือนอะไร ?"






    </DD></DL><DL><DD>แก้ว่า "เหมือนไฟอันเถ้ากลบไว้."






    </DD></DL><DL><DD>อธิบายว่า เหมือนอย่างว่า ถ่านไฟปราศจากเปลวไฟ อันเถ้า






    </DD></DL>กลบไว้ แม้คนเหยียบแล้วก็ยังไม่ไหม้ก่อน เพราะเถ้ายังปิดไว้, แต่ยัง

    เถ้าให้ร้อนแล้ว ย่อมไหม้ไปจนถึงมันสมอง ด้วยสามารถไหม้อวัยวะ
    มีหนังเป็นต้นฉันใด; แม้บาปกรรมก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นบาปกรรม
    อันผู้ใดกระทำไว้, ย่อมตามเผาผู้นั้น ซึ่งเป็นพาล เกิดแล้วในอบาย
    มีนรกเป็นต้น ในอัตภาพที่ ๒ หรือที่ ๓.





    <DL><DD>ในกาลจนเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-






    </DD></DL>ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.






    <DL><DD>เรื่องอหิเปรต จบ.




    คาถาเงินล้าน<O:p</O:p



    ตั้ง นะโม ๓ จบ


    นาสังสิโม พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ (คาถาปัดอุปสรรค)
    พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม (คาถาเงินแสน)
    มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม (คาถาลาภไม่ขาดสาย)
    มิเตพาหุหะติ (คาถาเงินล้าน)
    พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง
    วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ
    มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม (คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า)
    สัมปะติจฉามิ (คาถาเร่งลาภให้ได้เร็วขึ้น)
    เพ็ง เพ็ง พา พา หา หา ฤา ฤา

    <O:p></O:p>


    (บูชา 30 จบ ตัวคาถาต้องว่าทั้งหมด)

    พระราชพรหมยาน ( หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)<O:p></O:p>


    วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี




    บทสวดคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าหรือคาถาเงินล้าน
    นำสวดโดยหลวงพ่อและวิธีสวด
    รวมเรื่องพระปัจเจกพุทธเจ้า ตอนที่ 20 หลวงพ่อเล่าเรื่องประวัติคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า<



    </DD></DL>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2008

แชร์หน้านี้

Loading...