รสนิยมการแต่งกาย การกินอยู่ของคนเราถูกปรุงแต่งด้วยกรรมเก่า !

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย จันทร์เจ้า, 14 กรกฎาคม 2007.

  1. จันทร์เจ้า

    จันทร์เจ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    830
    ค่าพลัง:
    +1,948
    Copy from : http://webboard.mthai.com/7/2007-07-12/334414.html

    ...................ตอนที่ผมเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยใหม่ๆ และได้ออกไปทำกิจกรรมนอกรั้วมหาวิทยาลัย ที่ต้องค้างคืนตามต่างจังหวัดกับเพื่อนๆ และรุ่นพี่ที่ไปด้วยกัน ครั้งแรกๆ ...ผมก็พบว่า รสนิยมอะไรหลายๆอย่าง ของผมทำไมมันถึงได้แตกต่างจากคนอื่นๆมากนัก ......
    .........อย่าง.เช่นการแต่งกาย ผมมีรสนิยมที่มักจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่สะอาดดูภูมิฐาน แถมยังมียี่ห้อ มีลวดลายพิเศษที่เรียกว่างดงามแบบที่คนทั่วๆไปไม่ค่อยมีใส่กัน (แถมยังรู้แหล่งที่จะซื้อเสื้อผ้าพวกนี้ได้ในราคาถูกเสียด้วย).............หรืออย่างตอนไปทำกิจกรรมครั้งแรกๆ (อย่างที่เกริ่นมาตอนต้น) .สมาชิกในกลุ่มกิจกรรมคนอื่นๆที่ไปด้วยกันเขาใส่ชุดนอนเสื้อยืด กางเกงวอร์ม หรือกางเกงขาสั้น ....แต่มีผมคนเดียว(คนเดียวจริงๆ) ที่ใส่ชุดนอนผ้าแพร แถมยังมีเสื้อคลุมยาวทำจากผ้าไหมจีนสวมทับอีกชั้น ...(จนเพื่อนตั้งฉายา ว่าองค์ชายไปเลย) ...หรือขนาดตอนเข้าอบรมโครงการในมหาวิทยาลัย ทุกคนแต่งชุดนักศึกษาหมด (รวมทั้งผมด้วย) ...แต่ก็ไม่วายมีคนมาทักผมว่า ดูมาดดี มีสง่าราศีกว่าเพื่อนคนอื่นๆทั้งหมด (ทั้งๆที่ใส่ชุดนักศึกษาเหมือนๆกัน) ........................

    .............ผมเริ่มสงสัย และเริ่มตั้งข้อสังเกตเปรียบเทียบเกี่ยวกับฐานะการเงิน(กำลังซื้อ) กับ สไตล์การใช้ชีวิต รสนิยม การกินอยู่ ..บุคลิกการแต่งกาย ..หรือแม้แต่สังคมแวดล้อมของคนแต่ละคนที่แตกต่างกัน ................

    ............ยกตัวอย่าง............คนที่มีฐานะทางการเงินอยู่ในระดับมีอันจะกินพอๆกัน 2 คน ...แต่คนหนึ่ง มีรสนิยมการแต่งกายที่ทำให้ตนดูดีมีสง่าราศีอยู่เสมอ ...แถมยังรู้จักแหล่งที่จะหาซื้อเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ที่มีลวดลายสีสันงดงามวิจิตรแตกต่างจากเสื้อผ้าที่คนธรรมดาทั่วๆไปใส่ ..
    ............ขณะที่อีกคนหนึ่ง แม้มีฐานะเท่ากัน ..หรืออาจจะมีกำลังซื้อมากกว่า แต่..กลับนิยมแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าลวดลายธรรมดา ที่ คนเดินถนนทั่วๆไปก็มีใส่ได้
    หรือประเภท มีฐานะแต่ชอบแต่งตัวเซอๆ ดูแล้วเหมือนคนเดินถนนธรรมดา ไม่มีสง่าราศีชวนให้น่ามองแต่อย่างใด หรือแม้จะซื้อเสื้อผ้าบนห้างราคาแพงกว่า แต่ลวดลายสีสันก็ไม่งดงามวิจิตร ไม่ดูภูมิฐานเท่าคนแรก พูดง่ายๆว่า ใส่เสื้อแพงยังไงก็ยังดูพื้นๆอยู่ดี .....................

    ...............ในที่สุด สิ่งที่ผมสงสัยก็ได้รับการเฉลยจากผู้รู้ท่านหนึ่ง เมื่อไม่กี่วันมานี่เอง ....

    ............ท่านผู้รู้บอกว่า มันมีสาเหตุมาจากกรรมด้านดีในอดีต เป็นกรรมดีที่เกี่ยวข้องกับเครื่องนุ่งห่ม ....................ยกตัวอย่างเช่น กรรมดีจากการถวายจีวรใหม่ๆให้พระภิกษุสงฆ์ใช้หรือถวายผ้าห่มองค์พระด้วยจิตที่เลื่อมใสศรัทธา ................รวมถึงการบริจาคเสื้อผ้าที่ยังดูใหม่ๆสภาพดีให้กับคนยากจน หรือคนที่เดือดร้อนเรื่องเครื่องนุ่มห่ม(ขอย้ำว่า เป็นเสื้อผ้าที่ยังมีสภาพดี และยังไม่เก่า) ...............
    ......................กรรมอันนี้จึงส่งผลให้เกิดมานอกจากมีเสื้อผ้าดีๆ ใส่แล้ว ยังทำให้เป็นคนที่มีรสนิยมการแต่งกายที่ดูดีกว่าคนอื่นๆ หรือ ไม่ก็กลายเป็นคนที่ดูมีสง่าราศี แต่งตัวยังไงก็ดูดี มีบุคลิกที่ดูมีราศีผิดคนธรรมดาทั่วๆไป ...........................

    ............ในเรื่องการบริจาคเสื้อผ้าโดยเฉพาะกับ ผู้ยากไร้หรือผู้เดือดร้อนนั้น มีแง่คิดอยู่ว่า โดยส่วนมาก เท่าที่ผมเคยเห็น คนทั่วๆไปมักบริจาคแต่เสื้อผ้าโละทิ้งแล้ว หรือ ใส่เองจนเก่าแล้วเป็นส่วนมาก..............แน่นอนว่า กรรมด้านดีนั้น แม้จะมีก็จริง แต่ก็คงไม่สูงเท่าคนที่นิยมบริจาคเสื้อผ้าที่ยังดูใหม่ สะอาดสะอ้านแล้วก็สภาพดีอย่างแน่นอน ..........(ลองนึกถึงคนที่รับ แม้จะยากจน ยังไง เขาก็คงไม่ชอบนักที่จะใส่เสื้อผ้าที่ดูสกปรก หรือเก่าจนน่าเกลียด ) ...............

    ................ที่สำคัญผู้รู้บอกว่า .......เจตนานั้นจะกำหนดความแรงในการส่งผลของกรรม.....ถ้าเราบริจาคเสื้อผ้าที่ยังดูใหม่สภาพดี ที่เราไม่ค่อยได้ใส่ หรือรู้สึกว่าเก็บไว้ก็ไม่ค่อยได้ใส่ ด้วยเจตนาอยากจะเผื่อแผ่คนด้อยโอกาสก็ดี หรือ ถวายจีวร ผ้าห่มองค์พระใหม่ๆด้วยเจตนาเลื่อมใสก็ดี ...ความแรงของกรรมดีย่อมมีมาก ซึ่งจะส่งผลไปถึงรสนิยม ไปปรุงแต่งรสนิยมการแต่งกายให้รู้จักเลือกที่จะแต่งกายให้ดูสวยงาม ดูมีรสนิยมกว่าคนทั่วๆไป.(ที่สำคัญ แต่งแล้วไม่เดือดร้อนการเงินของตัวเองด้วย เข้าทำนองว่ามีปัญญาแต่ง นี่หล่ะ จึงจะเรียกว่า ของจริง) ...
    ...............ซึ่งจะผิดกับ พวกที่มีสตางค์แต่กลับแต่งตัวเซอๆ หรือแต่งตัวเชยๆ หรือไม่ก็ใส่เสื้อผ้าแพงก็จริง แต่ดูแล้วก็ธรรมดาไม่ต่างจากคนเดินถนนทั่วๆไป ....................................

    ..................นอกจากเรื่องการแต่งกายแล้ว ...............รสนิยมการเที่ยวการกิน ก็เช่นกัน

    .....................อย่างเช่น ..........คนบางคนมีเงินมาก มีรายได้มาก หน้าที่การงานดี ....แต่ชีวิตของเขา ถ้าไม่อยู่แต่ที่ทำงาน ก็อยู่ที่บ้าน ...อย่างดีหน่อยก็ออกมาเดินห้าง .......นานทีปีหนหรืออาจจะหลายๆปีจึงจะมีโอกาสได้เดินทางไปสัมนาตามต่างจังหวัดแล้วมีโอกาสได้เที่ยวซักที ....หรือ เป็นคนทำกิจการค้าของตน ก็ต้องนั่งเฝ้าร้านตลอด หรือทำงานตลอด แม้หยุดเทศกาลหรือวันสำคัญทางศาสนา ก็ไม่สามารถหยุดเพื่อไปทำบุญ หรือไปท่องเที่ยวได้ ......

    .................ขณะที่อีกคนหนึ่ง อาจจะรวยน้อยกว่า แต่มีวาสนาได้เดินทางท่องเที่ยวใช้ชีวิตอิสระ ไปเปิดหูเปิดตา ไปสัมผัสกับความงดงามของแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีชื่อเสียง..อยู่บ่อยๆ .ได้ไปกิน ไปเที่ยว ไปช็อป ไปสูดอากาศบริสุทธิ์ตามแหล่งท่องเที่ยวที่ไกลๆตัวเมือง อยู่บ่อยๆ .......(และการเที่ยวก็ต้องไม่ทำให้ตนเดือดร้อนเรื่องเงินตามมาทีหลังด้วยน่ะ จึงจะเรียกว่ามีบุญของจริง) ..........................

    ......................ท่านผู้รู้บอกว่า เป็นผลจากการ ปล่อยสัตว์ให้เป็นอิสระ .....ไม่เลี้ยงสัตว์แบบกักขังให้อยู่แต่ในกรงแคบๆ .หรือสถานที่แคบๆ ........หรือคนที่เป็นเจ้าคนนายคนเป็นผู้บังคับบัญชาที่ ไม่ควบคุมลูกน้องมากเกินไป ปล่อยให้ลูกน้องคนรับใช้ได้มีโอกาสลางาน หยุดงานไปหาครอบครัว หรือท่องเที่ยวพักผ่อนบ้าง ตามสมควร ...(ไม่ใช่ ให้ทำแต่งานแม้แต่วันหยุดนักขัตฤกษ์ หรือ วันสำคัญทางศาสนา ก็ยังให้มาทำงาน) ...
    .......................ผลที่จะส่งก็คือ ทำให้ สามารถที่จะเลือกใช้ชีวิตที่ค่อนข้างอิสระ สามารถไปไหนมาไหนได้ตามต้องการ .........นอกจากนี้กรรมดียังส่งผลปรุงแต่งรสนิยมให้ รู้จักที่จะหาสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยๆงามๆ ได้ดี.....รู้วิธีที่จะค้นหาวิธีเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยว ...สามารถไปไหนมาไหนไกลๆในที่ๆไม่คุ้นได้โดยไม่เคยหลงทาง (เรียกว่า "เที่ยวเป็น" ) ....
    .........ขณะที่ บางคนที่ผมเคยเจอนั้น แม้อยากจะออกเที่ยวต่างจังหวัดซักที ก็ยังไม่กล้า กลัวหลง หรือ เดินทางไกลที่ไร มีปัญหาเรื่องหลงทางทุกที .....


    ...............รสนิยมในการกิน ก็ถูกปรุงแต่ง ด้วยกรรมเก่าเช่นกัน ................... ผมเคยเห็นมาเยอะ คนบางคน ...ที่มีเงินเข้าขั้นรวยมากๆ ....แต่อาหารการกินของเขานั้นไม่ต่างอะไรกับ คนจนๆคนหนึ่ง ...เช่น ซื้ออาหารตักขายในตลาดเอา (ซึ่งก็สะอาดปลอดภัยแค่ไหนก็ไม่รู้) กินอาหารแบบเดิมซ้ำๆซากๆ ......หรือกินอาหารตามสั่งแบบเดิมๆให้อิ่มไปวันๆหนึ่ง ..................

    ...........ขณะที่อีกคน อาจจะรวยน้อยกว่าแต่รู้จักภัตตาคารดีๆรู้จักแหล่งอาหารการกินขึ้นชื่อ รู้จักที่จะเลือกกินอาหารคุณภาพสูงๆ ที่เป็นผลดีกับสุขภาพ (เช่น คนที่รู้ว่าข้าวกล้องดีต่อสุขภาพ ก็เลยเลือกกินแต่ข้าวกล้องเป็นประจำขณะที่คนทั่วๆไปส่วนใหญ่กินข้าวขาวธรรมดา .....หรือ คนที่ กินแต่ผักปลอดสารพิษ หรือ คนที่รู้วิธีปรุงอาหารอร่อยๆให้ตัวเองกินได้สารพัดรูปแบบ) ...ที่สำคัญ เขารู้แหล่งที่จะซื้ออาหารคุณภาพสูงพวกนี้ได้ในราคาถูกๆเสียด้วย ขณะที่คนทั่วๆไปไม่รู้ .....(สรุปก็คือ มีรสนิยมการกิน ที่ดีกว่าคนทั่วๆไป)

    .................ผู้รู้บอกว่า เป็นผลมาจาก การถวายภัตาหารพระ หรือการใส่บาตรในอดีต ..ที่ตั้งใจจะเลือกถวายแต่อาหารดีๆมีคุณภาพ (ไม่จำเป็นต้องหรูหรือแพงมาก) ......หรือไม่ก็ ใส่บาตร ถวายภัตาหารพระ เป็นประจำสม่ำเสมอ .....ไม่ใช่คนที่ทำบุญใส่บาตรตามเทศกาลแบบสุกเอาเผากิน คือ ประเภททำให้ผ่านๆไปที ทำพอเป็นพิธี ทำให้รู้ว่าได้ทำแค่นั้น ..............


    ..............ที่อยู่อาศัย ก็เช่นกัน ทำไมบ้านบางคนถึงดูรก ..หรือ ข้าวของไม่เป็นระเบียบ...หรือมีรสนิยม การตกแต่งภายในที่ดูธรรมดา เหมือนบ้านคนทั่วๆ ไป

    ............ขณะที่อีกคน มีบ้านที่มีเนื้อที่พอๆกัน แต่กลับมีรสนิยมรู้จักใช้งานศิลปะ หรือ จิตกรรม ปฏิมากรรมต่างๆมาตกแต่งบ้านเรื่อนของตนเองจนดู วิจิตรงดงามระดับ รีสอร์ท สปา .5 ดาว ..หรือไม่ก็ตกแต่งได้ร่มรื่น ดูแล้วสงบร่มเย็น ดูแล้วเจริญหูเจริญตา น่าอยู่ น่ามอง อะไรประมาณนั้น

    ..............ท่านผู้รู้บอกว่า เป็นผลจากการ คอยดูแล ทำความสะอาดหิ้งพระสิ่งบูชาต่างๆ ให้ดูสะอาด สวยงามเสมอ และไม่เคยไปทำให้ศาสนาสถานสกปรก(เช่นทิ้งเศษขยะ) รวมทั้งการสนับสนุนการซ่อมสร้างศาสนสถานอีกด้วย

    ***************************************************************

    ความจริงเรื่อง กรรมที่ปรุงแต่งรสนิยมของคนเรานั้น ผมคิดว่า ยังมีอีกเยอะครับ ..........แต่ ในนี้ เอามาเขียนเฉพาะที่"ผู้รู้" บอกเล่าให้ผมฟังเท่านั้น

    ..............อย่างที่ผมยังสงสัย ....ก็อย่างเช่น ...เรื่อง สติปัญญา ความรู้ความสามารถ หรือ เรื่องอาชีพการงาน .การทำธุรกิจ ................ยกตัวอย่างของตัวผมเอง ที่ผมยังสงสัยอยู่อย่างเช่น
    ............ทำไมผมถึงมีรสนิยมชอบที่จะทานอาหารเจ - มังสวิรัติตั้งแต่ยังอายุแค่วัยรุ่น(ทั้งๆที่ คนในครอบครัว คนใกล้ชิด สังคมรอบข้าง ไม่มีใครที่ทานเจ กันเลย แต่ความชอบนี้เหมือนกับมันเกิดขึ้นมาเอง โดยที่ไม่มีใครมาสอน
    ............หรือ เรื่องการลงทุน....ทำไมผมถึงเกิดมีความรู้สึกชอบเรื่องการบริหารเงิน (ทำบัญชีการเงินของตัวเอง รู้จักออมเงินเองตั้งแต่ อายุ ไม่ถึง 15 โดยไม่มีใครสอน) .
    .ทำไมผมถึงชอบเรื่องตลาดหุ้น .....สนใจเรื่องการลงทุนในตลาดหุ้น ตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ยังไม่รู้ประสีประสา ...ทั้งๆที่ครอบครัว คนรอบข้าง สังคมรอบข้าง ไม่มีใครที่อยู่ในวงการนี้ แล้วก็ไม่มีใครเคยสอนเรื่องพวกนี้ด้วย ....พอเข้ามาลงทุนจริงตอนอายุ 24 ผมก็เรียนรู้มันได้เร็วเสียด้วย .....(ทั้งๆที่คนรอบข้างไม่มีใครสอนเลย) ........แถมยังซื้อ - ขายไม่ค่อยจะผิดพลาด ทั้งๆที่ข้อมูลข่าวสารเรื่องการลงทุนผมก็ไม่ค่อยได้ติดตามมาก
    ............ทำไมเพื่อนของผมแต่ละคนถึงไม่มีใคร ที่ติดเหล้าติดยา เที่ยวกลางคืน มีแต่จะเที่ยวต่างจังหวัด หรือไม่ก็ชวนกันทำบุญ (ขณะที่เด็กมหาลัยคนอื่นๆมักจะมีกลุ่มเพื่อนประเภทนี้)

    ...................ผมเชื่อว่า เป็นเพราะกรรมเก่าบางอย่าง (แต่ยังไม่รู้ว่าอะไร) ที่ปรุงแต่งรสนิยมของเรา แล้วก็สภาพแวดล้อมของเรา ให้เป็นไปในทางนี้

    ......หลักธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนเรื่อง เหตุ (การกระทำ) ..และ ผล (กรรมที่เราจะได้รับ) ....................อีกนัยหนึ่งก็คือ การกระทำในวันนี้ จะกำหนด ผลที่ได้รับในอนาคต

    .เพราะฉะนั้นยังไม่สายครับ ที่จะหาโอกาสศึกษาว่าการกระทำแบบไหนให้ผลอย่างไร ...และทำปัจจุบันให้ถูกต้อง เพื่อ จะได้อนาคตที่ถูกต้องและพึงปราถนาสำหรับตัวเราๆท่านๆ เอง ......

    .ลองเริ่มเสียแต่วันนี้เถอะน่ะ !

    ******************************************************************
    ปล. ใครที่มีความรู้เรื่องธรรมะดีกว่าผม สามารถมาแลกเปลี่ยนกันได้นะครับ
    ******************************************************************


    Mr.K.Cheng Gong (จิ้งจอกหน้าหยก เซียวอิงจวิ้น)
     

แชร์หน้านี้

Loading...