รอยลัทธิซาตาน กับ ไสยศาสตร์ในเมืองไทย

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 16 มิถุนายน 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ถลกหนังไซออนนิส
    ตอนที่ 3
    รอยลัทธิซาตาน กับ ไสยศาสตร์ในเมืองไทย
    ถ้าเอ่ยถึงอิลลูมิเนติหรือฟรีเมสัน คนก็มักนึกถึงในเชิงการเมืองว่าเป็นสมาคมลับที่เข้าไปแทรกแซงอยู่ทั่วโลก แต่ว่าในความเป็นจริง เราต้องไม่แยกระหว่างศาสนาความเชื่อและการเมืองออกจากกัน ทั้งนี้หากเอ่ยถึงอิลลูมิเนติและฟรีเมสันแล้ว จะต้องรำลึกเสมอว่าพวกเขาเป็นลูกหลานชาวยิว และพวกเขาบูชาชัยฏอน (ซาตาน)

    ชาวยิวนั้นต้องยกให้ว่าเป็นบิดาแห่งวิชาไสยศาสตร์ เพราะไสยศาสตร์ทั่วโลก ก็เป็นวิชาที่ศึกษาสืบทอดต่อกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากชาวยิว

    ธงชาติอิสราเอลรูปดาว 6 แฉกนั้น เป็นสัญลักษณ์ของชาวยิว มันเป็นสัญลักษณ์ของผู้บูชาชัยฏอนและเครื่องหมายทางไสยศาสตร์ ซึ่งชาวยิวเชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งนบีสุลัยมาน (โซโลมอน)


    [​IMG]

    ทั้งนี้เพราะฮารูตและมารูตได้นำวิชาไสยศาสตร์มาสอนแก่มนุษย์ แต่ชาวยิวได้เข้าใจผิดมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันว่าไสยศาสตร์เป็นวิชาที่ถูก สอนโดยนบีสุลัยมาน เพราะท่านมีความสามารถพิเศษที่มนุษย์ทั่วไปไม่มี ซึ่งอัลลอฮฺได้ชี้แจงตอบโต้ในเรื่องนี้ว่า

    “และพวกเขาได้ปฏิบัติตาม สิ่งที่บรรดาชัยฏอนในสมัยสุลัยมานอ่านให้ฟัง และสุลัยมานหาได้ปฏิเสธการศรัทธาไม่ แต่ทว่าชัยฏอนเหล่านั้นต่างหากที่ปฏิเสธการศรัทธา

    โดยสอนประชาชนซึ่งวิชาไสยศาสตร์และสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่มะลาอิกะฮฺทั้ง สอง คือฮารูตและมารูต ณ เมืองบา บิล(บา บิโลเนีย)

    และเขาทั้งสองจะไม่สอนให้แก่ผู้ใดจนกว่าจะกล่าวว่า แท้จริงเราเพียงเป็นผู้ทดสอบเท่านั้น ท่านจงอย่าปฏิเสธการศรัทธาเลย แล้วเขาเหล่านั้นก็ศึกษาจากเขาทั้งสอง สิ่งที่พวกเขาจะใช้มันยังความแตกแยกระหว่างบุคคลกับภรรยาของเขา และพวกเขาไม่อาจทำให้สิ่งนั้นเป็นอันตรายแก่ผู้ใดได้ นอกจากด้วยการอนุมัติของอัลลอฮฺเท่านั้น

    และพวกเขาก็เรียนสิ่งที่เป็นโทษแก่พวกเขา และมิใช่เป็นคุณแก่พวกเขา และแท้จริงนั้นพวกเขารู้แล้วว่าแน่นอนผู้ที่ซื้อมันไว้นั้น ในปรโลกก็ย่อมไม่มีส่วนได้ใด ๆ และแน่นอนเป็นสิ่งที่ชั่วช้าจริง ๆ ที่พวกเขาขายตัวของพวกเขาด้วยสิ่งนั้น หากพวกเขารู้” (ความ หมายอัลกุรอาน 2:102)

    กล่าวคือ ไสยศาสตร์คือวิชาที่มะลาอิกะฮฺ (Angel) ฮารูตและมารูตนำมาเพื่อทดสอบมนุษย์ว่าจะรับหรือไม่รับวิชาที่ชั่วช้านี้ แต่แล้วชาวยิวก็รับวิชานั้นมาโดยการสอนของชัยฏอน

    จริง ๆแล้วความสามารถของท่านนบีสุลัยมานนั้นไม่ใช่ไสยศาสตร์ แต่เป็นมุอฺญิซะฮฺ ปาฏิหาริย์ที่อัลลอฮฺได้มอบแก่บรรดารอซูลแต่ละคน ซึ่งอัลลอฮฺจะช่วยให้มีสิ่งเหนือกฎธรรมชาติที่พระองค์สร้างไว้เป็นบางครั้ง บางคราว แต่สำหรับนบีสุลัยมานนั้น ท่านได้รับสิ่งพิเศษมากที่สุดคือ สามารถกระทำสิ่งเหนือกฎธรรมชาติได้ตลอดไม่ว่าจะคุมฟ้าคุมฝน การใช้ญิน การคุยกับสัตว์ ฯลฯ

    สิ่งเหล่านั้นเป็นอำนาจพิเศษที่แตกต่างจากไสยศาสตร์โดยสิ้นเชิง เพราะไสยศาสตร์หมายถึง วิชาที่ว่าด้วยเรื่องการใช้ญินให้ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด (ไม่ว่าจะคุ้มครองตนเอง, ทำร้ายผู้อื่น, รักษาโรค, แก้ไสยศาสตร์, ทำเสน่ห์) โดยมีเงื่อนไขว่าต้องทำสิ่งที่เป็นกุฟรฺก่อน ซึ่งจะมีขั้นมีตอนตามเงื่อนไขที่ญินต้องการ

    การทำไสยศาสตร์นั้น ทั้งผู้ทำและผู้ที่มีวิชา ไม่จำเป็นจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับญินเลย (และโดยมากทั้งคนทำและหมอไสยศาสตร์ก็มักเป็นคนที่ไม่มีความรู้ในอากีดะฮฺที่ ถูกต้อง) จะเห็นได้ว่าคนแถบบ้านเรา อย่างคนไทยและคนเขมร ก็เชื่อในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เข้าใจผิดว่าวิญญาณคนตายมีอำนาจและกลับมาได้ ไม่รู้จักญินและชัยฏอนเลย แต่เขาก็สามารถทำไสยศาสตร์ได้ โดยหากมีคาถา มียันต์ มีกระบวนการทำที่ตรงเงื่อนไขของมันแล้ว ก็จะได้รับอำนาจไสยศาสตร์ทันที

    จะเห็นได้ว่ากระบวนการเหล่านี้เป็นชีริก เป็นกุฟรฺ ซึ่งสำหรับโลกมุสลิม พิธีทางไสยศาสตร์ก็ต้องทำสิ่งที่เป็นการปฏิเสธเช่นเดียวกัน เช่นการเขียนอัลกุรอานด้วยเลือดประจำเดือน หรือการลบหลู่อัลกุรอานด้วยวิธีการต่าง ๆของหมอไสยศาสตร์ การมีเครื่องรางของขลัง ว่ากันว่าไสยศาสตร์ที่แรงที่สุดนั้นอยู่ที่ประเทศอียิปต์ ซึ่งเป็นแหล่งอวิชชาโบร่ำโบราณของชาวยิว


    [​IMG]


    สำหรับการครองโลกของอิลลูมิเนตินั้นก็พึ่งพาอำนาจของชัยฏอนเช่นกัน เพราะคนกลุ่มนี้จะมีพิธีกรรมบูชาชัยฏอน สัญลักษณ์ของพวกเขาก็มักจะอิงประวัติศาสตร์บาบิโลนและอียิปต์




    ที่มา http://assabikoon.wordpress.com/2009...AA-3/#comments
    เครดิต http://www.oknation.net/blog/Joseph/2010/04/12/entry-2<!-- google_ad_section_end -->

    ปล.โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เด็กๆควรมีผู้ปกครองคอยให้คำแนะนำ
     
  2. สุปราณี (ปู)

    สุปราณี (ปู) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    163
    ค่าพลัง:
    +1,296
    ขอบคุณค่ะในความรู้ใหม่ๆ ในโลกใบนี้มักมีอะไรที่เรายังไม่รู้อีกมากจริงๆ
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ผีในอิสลามเป็นเช่นไร



    [​IMG]

    ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่านทั้งหลาย



    ตามหลักการอิสลามนั้นไม่มีเรื่องของภูตผีหรือวิญญาณ และเจ้าที่ค่ะ

    แต่..อิสลามเชื่อในเรื่องของ ญิน และ ชัยฏอน ส่วนมุสลิมจะไม่เรียกญินหรือชัยฏอนว่าเป็นพวกภูตผีปีศาจ....

    ตามหลักการอิสลามนั้นไม่มีเรื่องของภูตผีหรือวิญญาณค่ะ
    เมื่อตายแล้ว วิญญาณออกจากร่าง จะถูกเก็บเอาไว้ที่ โลกอะลัมบัรฺซัค คือโลกที่อยู่ระหว่างโลกดุนยา(โลก ปัจจุบัน) กับโลกอาคิเราะฮฺ (โลกแห่งการพิพากษา)
    ซึ่งเป็นโลกที่เก็บวิญญาณของบุคคลที่เสียชีวิตไปแล้วนั่นเอง


    ส่วนโลกอะลัมบัรฺซัคนั้นไม่ถูกระบุว่ามีลักษณะอย่างไร? อยู่ที่ไหน?
    สภาพภายในโลกอะลัมบัรฺซัคเป็นเช่นไร? นั้นไม่สามารถรู้ได้เลย เพราะไม่มีหลักฐานจากอัลกุรฺอาน
    หรือหะดีษที่กล่าวถึงสิ่งข้างต้น อัลลอฮุอะลัม (พระเจ้าผู้ทรงรู้ทุกอย่างยิ่ง)

    กล่าวคือเป็นเรื่องสิ่งพ้นญาณวิสัยที่มนุษย์จะจิตนาการขึ้นเองได้
    เราจะรู้ได้ต่อเมื่อ อัล-กุรฺอานระบุไว้
    หรือท่านรอซูล กล่าวเอาไว้เท่านั้นนั่นเอง


    แต่ที่เห็นเล่านั้น คือมารร้าย ชื่อว่า ญิน และ ชัยฏอน
    เป็นผู้ที่ไม่เคารพเชื่อฝั่งคำสั่งของพระเจ้า และต้องการล่อลวง
    บรรดาลูกหลานอาดัมให้หลุดจากแนวทางของศาสนา

    ไม่ว่าจะเรื่อง ยุยงเรื่องความโกรธ ขาดความอดทน เมื่อโกรธเขาจะมายุให้เราเอาคืนแล้วทะเลาะกัน
    กระซิบกระซาบในหัวใจให้ออกห่าง ล่อลวงบรรดาผู้คนที่ศรัทธาอ่อนแอ
    แต่สิ่งที่เหล่านี้กลัว คือบรรดามุมินฮฺ (บรรดาผู้ศรัทธาและปฎิบัติตามหลักศาสนาที่ถูกต้อง)


    ญินและชัยฏอนเขามีการคงอยู่ แค่วันสิ้นโลกเท่านั้น
    ดังนั้นญินและชัยฏอนจะพยายามทุกวิถีทางให้มนุษย์หลงตามมัน
    โดย 1 ในวิธีการนั้น คือ ออกมากลั่นแกล้งแปลงร่าง ต่างๆให้คนหวาดกลัว จนความศรัทธาสั่นคลอน
    แล้วหันไปพึ่งพิงของศักดิ์สิทธิ ที่ไม่มีอยู่ในหลักการอิสลาม
    เพื่อที่คนเหล่านั้นจะได้ไปพึ่งสิ่งอื่นที่ไม่ใช่พระเจ้า

    ทั้ง ญิน และ ชัยฎอนนี้ ไม่สามารถมีฤทธิ์และอำนาจ ฆ่ามนุษย์ได้
    มีที่อยู่อาศัยบริเวณที่รกร้าง ซากปรักหักพัง สถานที่สกปรกต่างๆ บริเวณที่โล่ ตามป่าเขา
    รวมถึงห้องน้ำ และสถานที่ ที่มีรูปปั้นทั้งหลาย

    ดังนั้น มุสลิมจะมีวิธีป้องกันเหล่ามารร้ายอยู่แล้วด้วยการขอความคุ้มครองต่อพระเจ้า
    ให้พ้นจากชัยฏอนมารร้าย ก่อนทุกครั้งไม่ว่าจะทำกิจกรรมใดๆ

    ไม่ว่าจะก่อนนอน ก่อนทานข้าว หรือเข้าไปในสถานที่ต่างๆค่ะก่อนเข้าบ้าน /ปิดบ้าน ฯลฯ






    วิธีป้องกันญินและชัยฏอน
    คร่าวๆสั้นๆไม่ยากเลย

    1. เวลามักริบให้รีบเข้าบ้านเพราะญินและชัยฏอนจะออกมาแยะลักษณะคล้ายฝูงค้างคาวออกจากถ้ำ

    2. ปิดประตูหน้าต่างให้กล่าวบิสมิลลา ฮิรฺเราะฮฺมานิรเราะฮีม คำแปล : “ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปรานีผู้ทรงเมตตาเสมอ” ประตูหน้าต่างบานใด กล่าวพระนามของฮัลลอฺฮฺ ทั้งญินและชัยฏอน จะเข้าประตูหน้าต่างบานนั้นไม่ได้

    3. เวลาปิดถุง หม้อข้าว หม้อทุกชนิด ถุงของกินทุกอย่างให้กล่าวบิสมิลลา ฮิรฺเราะฮฺมานิรเราะฮีม เช่นกัน เพราะยามดึก ญิณและชัยฏอน จะหากิน อาหารของเขาคือ กระดูกและถ่าน หากเราปัสสาวะรด กระดูก หรือเหยียบเศษอาหาร บรรดาชัยฏอรเหล่านั้นจะมาทำร้ายเรา เพราะไปทำลายอาหารเขา

    4. ก่อนเข้าบ้านให้กล่าวบิสมิลลา ฮิรฺเราะฮฺมานิรเราะฮีม

    5. ที่รกร้าง บ้านร้างเก่าๆ ป่าเขา ซากปรักหักพังต่างๆ นั่นเป็นที่อยู่ของเขา โค้ง 100 ศพ มีศาลตั้ง ขับรถไม่ต้องบีบแตรนะคะ ไม่ใช่ศาสนาของเรา แต่กล่าว อะอูซุ บิลลาฮิ มินัช-ชัยฏอนิร-เราะญีม. คำแปล : ฉันขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺ ให้พ้นจากมารที่ถูกสาปแช่ง แทน.. ญิณและชัยฏอนมารร้ายที่อาศัยอยู่ จะกระเจิงไปเอง ไม่งั้นจะมาให้เห็นเป็นรูปต่างๆให้เราหวั่นไหว อีหม่านสั่นคลอน...แล้วจะมาบ่นว่าเห็นผีอีก...

    6. ห้องนอน ที่นอน ในบ้านอย่ามีมากมาย เหลือใช้เกินความจำเป็น เช่น ห้องนอน ที่นอน หากมีแยะ มันก็จะเป็นที่อยู่ของชัยฏอนเช่นกัน เช่นมี ห้องนอน 6 ห้อง ใช้จริงๆ แค่ 3 ห้อง อีก 3 ห้อง นั่นแหละ สวรรค์ของพวกนี้เลย หากแต่ ใช้ 3 เผื่อไว้อีก 1 ไว้ใช้ยามญาติมาเยี่ยมเยียน นั่นน่ะได้ ที่นอน มี 6 ใช้ 3 อีก 3 ก็ เป็นที่นอนของมัน

    อยู่แบบพอเพียง ดีกว่าอยู่แบบอลังการณ์งานสร้าง...สร้างไว้เผื่อมารร้าย...

    7. รูปทุกชนิด ที่อยู่ในบ้าน หรือข้าวของเครื่องใช้ สิ่งใดเป็นรูปของสิ่งมีชีวิตให้เอาออก หรือเก็บลงแฟ้ม ถ้ายังมีอยู่ตอนดึก ยามค่ำคืน จะออกมา ปาร์ตี้กันเต็มบ้านเลย.. เสียง ก่อกแกร่กๆ นั่นและเขากำลังมา

    8. เมื่อจะมีการหลับนอนกับสามีภรรยา ให้กล่าวดุอาเช่นกัน เพราะชัยฏอนจะไม่มาเป็นวุ่นวายและหากเป็นประสงค์ของพระเจ้า ท่านก็ได้บุตรที่ได้รับความคุ้มครองจาก พระองค์อัลลอฮฺ ซุบบะฮานะฮูวะตะอาลา

    คำอ่าน : บิสมิลลาฮิ อัลลอฮุมมะ ญันนิบนิชชัยฏอนะ วะญัน นิบิชชัยฏอนะ มาเราะซักตะนา

    คำแปล : ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ โอ้อัลลอฮฺโปรดทรงให้ชัยฏอนห่างไกลจากฉัน และให้ชัยฏอนห่างไกลจากสิ่ง (บุตร) ที่พระองค์ทรงประทานแก่เรา
    บันทึกโดย บุคอรี-มุสลิม


    9. ก่อนทานอะไรให้กล่าวบิสมิ้ลลา ไม่เช่นนั้น ชัยฏอนจะทานอาหารกับเราด้วย อยากใจดีเผื่อแผ่มารด้วยเหรอ...
    ถ้าลืม แล้วนึกออก ให้กล่าว บิสมิลลาฮิ วัลเอาวะลุ วัลอาคิลุ

    10. ควรทานอาหารด้วยมือขวา เพราะมือซ้ายจะเป็นของชัยฏอน เมื่ออาหารตกพื้นให้รีบเก็บขึ้นมา หากไม่เปื้อนหรือโดนสิ่งนะญิส ให้ทำความสะอาดเอาออกบางส่วนก็ทานได้

    11. เมื่อจะเข้าห้องน้ำ และก่อนออกจากห้องน้ำให้กล่าวดุอาอฺ

    12. เมื่อเดินทางไปพักที่พักต่างๆ ให้กล่าวดุอาดังต่อไปนี้


    أَعُوْذُبِكَلِمَاتِ اﷲِالتَّامَّاتِ
    مِنْ شَرِّمَاخَلَقَ



    คำอ่าน : อะอูซุ บิก้าลิมาติ้ลลา ฮิตตามมาติ มินชัรริมา ค่อลักกฺ

    คำแปล : ฉันขอความคุ้มครองด้วยพจนาถของอัลลอฮฺ ที่สมบูรณ์ ให้พ้นจากความชั่วร้ายของสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมา
    บันทึกโดย มุสลิม



    13. ก่อนนอนให้ขอดุอาอฺ โดยการเป่าที่ฝ่ามือแล้วอ่าน กุล 3 กุล (อันนาส , อัลฟะลัก อัลอิคลาส )จากนั้นลูบให้ทั่วร่างกาย ทำ 3 ครั้ง

    ก่อนล้มตัวนอนให้กล่าวดุอาอฺว่า
    "บิสมิกัลลอฮุมมะ อะหฺยา วะอะมูตะ" ความว่า "ด้วยนามของอัลลอฮฺ โอ้อัลลอฮฺพระองค์ทรงทำให้ฉันมีชีวิตและทำให้ฉันเสียชีวิต"

    กุล 3 กุล (อันนาส , อัลฟะลัก อัลอิคลาส )
    http://live.islamweb.net/quran/MeshariAl3affasy/112.rm

    http://live.islamweb.net/quran/MeshariAl3affasy/113.rm

    http://live.islamweb.net/quran/MeshariAl3affasy/114.rm



    Ps.เพิ่มเติม ให้อ่านอายะฮฺ กุรซีย์ก่อนนอนทุกคืน เพื่อคุ้มครองป้องกันจากความชั่วร้าย ยามค่ำคืน จะเป็นพลทหารจะรักษาการณ์ให้เรา ยามหลับใหล จนถึงรุ่งเช้า อยู่ใน ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ : 255
    หาไม่เจอ ก็ดูตรงนี้จ้ะ



    [​IMG]




    คำอ่าน :

    อัลลอฮุ ลาอิลาฮะอิ้ลลา ฮุวั้ลหัยยุ้ลก็อยยูม
    ลาต๊ะคุซุฮู สิน่ะตูวฺ วะลาเนามฺ
    ละฮูมาฟิสสะมาวาติ วะมา ฟิ้ลอัรฺฎ
    มันซั้ลละซี ยัซฟะอุ อินดุฮู อิ้ลลาบิอิซนิฮฺ
    ยะอฺ ละมุ มาบัยนะอัยดีฮิม วะมาค้อลฟะฮุม
    วะลายุฮีฏูนะบิ ชัยอิน มินอิ้ลมิฮี อิ้ลลาบิมาชาอฺ
    วะสิอะกุรซียฺ ยุฮุสสะมาวาติวั้ลอัรฺฎ
    วะลายะอูดุฮู หิฟซุฮุมา
    วะฮุวั้ล อะลียฺ ยุ้ล อะซีม




    คำแปล :

    อัลลอฮฺ (ทรงเป็นเจ้า) ซึ่งไม่มีพระเจ้าใดๆ (อีกแล้ว) นอกจากพระองค์เท่านั้น ทรงเป็นเสมอ ทรงดำรงอยู่ ความง่วงและความหลับไม่ครอบงำพระองค์ พระองค์ทรงสิทธิ์ในสรรพสิ่งที่มีอยู่ในชั้นฟ้าและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน ใครเล่าที่จะให้การสงเคราะห์ (แก่ผู้อื่น) ณ พระองค์ได้ นอกจากจะเป็นไปโดยอนุมัติของพระองค์เท่านั้น พระองค์ทรงรอบรู้สิ่งที่มีอยู่ต่อหน้าพวกเขา และที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา และพวกเขาไม่ครอบคลุมความรู้สักเพียงเล็กน้อยของพระองค์ นอกจากในสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ (จะให้พวกเขารู้) เท่านั้น เก้าอี้ (คืออำนาจปกครอง) ของพระองค์แผ่ไพศาลทั่วทั้งชั้นฟ้าและแผ่นดิน และการพิทักษ์มันทั้งสองไม่ทำให้พระองค์เหนื่อยยากเลย และพระองค์ทรงสูงส่ง อีกทั้งทรงยิ่งใหญ่



    ดังนั้นไม่ว่าจะผี จะเปรตอิสลามไม่มีผีค่ะ





    ด้วยความเคารพค่ะ
    วัสลามุอะลัยกุม
    annisaa.com
    [​IMG]
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    กุฟร: แนวคิดการปฏิเสธสัจธรรม


    กุฟร: แนวคิดการปฏิเสธสัจธรรม
    กับการกล่าวหาว่าบุคคลหนึ่งว่าเป็นกาฟิร



    ชัยคฺ ดร. ยูซุฟ อัล-เกาะเราะฎอวียฺ ตอบคำถาม
    แตออ แปลและเรียบเรียง




    คำถาม: กรุณาอธิบายให้ดิฉันได้เข้าใจถึงความหมายของคำว่ากุฟรฺ(การปฏิเสธศรัทธา)ในอิสลามด้วยค่ะ กุฟรหมายถึงอะไร เราสามารถที่จะกล่าวว่าใครเป็นกาฟิร(ผู้ปฏิเสธศรัทธา)โดยปราศจากหลักฐานสนับสนุนได้หรือไม่? และรูปแบบของการกุฟรมีหลายระดับหรือเปล่าคะ?


    คำตอบ: ยังมีแนวความคิดผิดๆอีกมากมายที่เยาวชนมุสลิมจำเป็นต้องได้รับการพูดคุยและได้รับคำอธิบายเพื่อให้มีความชัดเจนในข้อวินิจฉัยต่างๆของอิสลามและเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายจากการตัดสินสิ่งต่างๆโดยไร้หลักฐาน แนวความคิดผิดๆ ที่สำคัญส่วนหนึ่ง คือแนวความคิดผิดๆ ที่เกี่ยวกับอีมาน(ศรัทธา), กุฟร(การปฏิเสธศรัทธา), นิฟาก(ความกลับกลอก), ญาฮีลียะห์(ความอวิชา) เป็นต้น ความซับซ้อนทางภาษาหรือการขาดความเชี่ยวชาญในภาษาอาหรับย่อมนำไปสู่ความสับสนและความเข้าใจผิด


    ผู้ที่ขาดความเชี่ยวชาญมักเข้าไม่ถึงความซับซ้อนทางภาษา บ่อยครั้งที่พบว่าเขาไม่สามารถแยกแยะระหว่าง ความหมายในเชิงอุปมาอุปไมย และความหมายที่แท้จริง จนเป็นเหตุให้เกิดความสับสน ดังตัวอย่างเช่น


    · พวกเขาไม่สามารถที่จะแยกแยะความแตกต่างระหว่างอีหม่านที่สมบูรณ์และอีหม่านที่บกพร่อง(ซึ่งไม่ได้หมายความว่าไม่มีอีหม่าน)

    · ระหว่างอิสลามที่สมบูรณ์และอิสลามแต่ภายนอก

    · ระหว่างกุฟรฺใหญ่ที่ทำให้บุคคลผู้นั้นออกนอกกรอบของอิสลามและกุฟรในการฝ่าฝืนคำสั่ง(กุฟรฺเล็กซึ่งไม่ทำให้ออกนอกอิสลาม)

    · ระหว่างชิรกฺใหญ่(ที่ทำให้ออกนอกอิสลาม)และชิรกฺเล็ก(ที่ยังไม่ทำให้ออกนอกอิสลาม)

    · ระหว่างกลับกลอกในแง่ความศรัทธา(คือนิฟากในแง่อะกีดะฮฺซึ่งทำให้ออกนอกอิสลาม)และการกลับกลอกในแง่พฤติกรรม(ซึ่งยังไม่ออกนอกอิสลาม)

    · พวกเขายังนำเอาญะฮีลียะฮฺ(ความอวิชา หมายถึงสิ่งที่มิใช่อิสลาม)ในแง่จริยธรรมและพฤติกรรมเป็นเหมือนกับญะฮีลียะฮฺในแง่ความศรัทธา(ซึ่งอันตรายกว่ามาก)

    ต่อไปนี้คือการอธิบายความโดยย่อที่มีต่อแนวคิดเหล่านี้ พร้อมกับความคิดเห็นที่จะช่วยป้องกันผลที่ก่อเกิดอันตรายตามมา


    ความหมายในทางกฎหมายอิสลาม


    ความหมายในทางกฎหมายอิสลาม กุฟรหมายถึงการปฏิเสธอัลลอฮฺและสาส์นของพระองค์(คืออิสลาม) ดังที่ได้มีระบุไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน “…. และผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และมลาอิกะฮ์ของพระองค์และบรรดาคัมภีร์ของพระองค์และบรรดาร่อซูลของพระองค์ และวันปรโลกแล้วไซร้ แน่นอนเขาก็ได้หลงทางไปแล้วอย่างไกล” (อันนิซาอ์ 136)


    กุฟรยังหมายถึง การสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม(มุรตัด) อันเนื่องมาจากอีหม่าน(ความศรัทธา)ได้สูญเสียไปทั้งหมด




    กุฟรฺ ในความหมายที่สอง


    คำว่า กุฟร ยังถูกนำไปใช้ในการหมายถึงการละเมิดบางชนิดอีกด้วย ซึ่งยังห่างไกลกับการปฏิเสธอิสลามโดยสิ้นเชิง และไม่ใช่การปฏิเสธอัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค์(เป็นกาฟิร) นักปราชญ์มุสลิมที่มีชื่อเสียงอย่างอิมาม อิบนุ กอยยิม ได้แบ่ง กุฟร ออกเป็น 2 รูปแบบ คือ กุฟรใหญ่ และกุฟรเล็ก


    · กุฟรใหญ่ จะนำไปสู่การได้รับการลงโทษในไฟนรกชั่วกัปชั่วกัลป์

    · กุฟรเล็ก นำไปสู่การได้รับการลงโทษชั่วระยะเวลาหนึ่งแทนที่จะเป็นการลงโทษถาวรในไฟนรก โดยพิจารณาจากฮาดีษต่อไปนี้


    “สองสิ่งต่อไปนี้ ถ้าอุมมะฮ์ของฉันได้ปฏิบัติ มันคือการแสดงการกุฟร(ปฏิเสธ) คือ การกล่าวร้ายเกี่ยวกับการสืบเชื้อสายของบุคคลอื่น และการคร่ำครวญแก่คนตาย”

    “ชายผู้ซึ่งได้ทำประเวณีกับภรรยาของเขาทางทวารหนัก เป็นกุฟรฺ(ปฏิเสธ)ในสิ่งที่ถูกประทานแก่มุฮัมมัด”

    “หากบุคคลใดไปหาหมอเวทมนต์ หรือหมอดู และเชื่อในสิ่งที่เขาบอก บุคคลนั้นเป็นกุฟรฺ(ปฏิเสธ)ในสิ่งที่ถูกประทานแก่มุฮัมมัด”

    เราได้อ่านพบในฮาดิษอื่นๆ ว่า “อย่าได้ กลับไปเป็นกุฟรฺ(ปฏิเสธ) หลังจากการตายของฉันด้วยฆ่าฟันซึ่งกันและกัน”



    กุฟรที่กล่าวถึงผู้ไม่ใช้กฎหมายของอัลลอฮฺตัดสิน


    มีอายะฮฺอัลกุรอานที่ผู้คนมักเข้าใจผิด อายะฮฺนั้นก็คือ “....และผู้ใดที่มิได้ตัดสินด้วยสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมาแล้ว ชนเหล่านี้แหละคือผู้ปฏิเสธการศรัทธา(เป็นกฟุรฺ)”


    อัลกุรอานอายะห์นี้ได้มีการอธิบาย(ตัฟซีร)ที่หลากหลาย ท่านอิบน อับบาสกล่าวว่า

    “มันไม่เป็นการกุฟรฺที่จะขับบุคคลหนึ่งบุคคลใดให้ออกนอกกรอบของอิสลาม เนื่องจากว่าบุคคลที่ทำเช่นนั้นยังไม่ได้ปฏิเสธอัลเลาะฮฺ และวันสิ้นโลก แต่มันเป็นเหมือนกุฟรฺในระดับหนึ่ง”

    ท่านฏอวูสได้เห็นในแบบเดียวกันนี้


    ท่านอะฏออ์ กล่าวว่า “ความหมายของกุฟรในอายะห์ดังกล่าว หมายถึงรูปแบบหนึ่งของกุฟรฺ ซึ่งสามารถใหญ่กว่าในแบบอื่นๆหรืออาจเล็กกว่าก็ได้”


    ท่านอิกรอมะฮ์ แย้งว่าบุคคลที่ไม่ได้ตัดสินตามสิ่งที่อัลลอฮฺประทานลงมานั้น ถือเป็นกุฟร(ต่ออัลลอฮฺ) แต่เป็นข้อโต้แย้งที่อ่อนหลักฐาน เพราะความจริงการปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงต่อวะหยุของอัลลอฮฺต่างหากที่เท่ากับเป็นการกุฟรฺ ไม่ว่าคนนั้นยอมตัดสินตามชารีอะฮฺหรือไม่ก็ตาม

    อับดุลอาซิซ อัล กินานี ยืนยันว่ากุฟรฺ(ในอายะฮฺนี้)ต้องประกอบด้วยการเพิกเฉยในการตัดสินตามที่อัลลอฮฺได้ประทานมาทั้งหมด รวมทั้งเตาฮีด(เอกภาพของอัลลอฮฺ)และอิสลามด้วย (ถึงจะเป็นกาฟิรจริงๆ )

    อิบนุ กอยยิม อธิบายว่า

    “การตัดสินที่ขัดกับแนวทางที่อัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่ได้ประทานมา จัดเป็นการกุฟรใหญ่หรือกุฟุรเล็กขึ้นกับทัศนคติของผู้ที่ทำการตัดสินนั้น

    หากถ้าบุคคลนั้นเชื่อว่าการตัดสินของเขาจะต้องเป็นไปตามที่อัลเลาะห์ได้ประทานมาและต้องลงโทษไปตามนั้น แต่เขายับยั้งที่จะตัดสินเช่นนั้นเนื่องจากการละเมิดและการไม่เชื่อฟังของเขา กรณีนี้เขาจัดเป็นกุฟรเล็ก

    แต่ถ้าเขาเชื่อว่ามันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตัดสินไปตามหลักชารีอะฮ์ และเขามีอิสระที่จะกระทำการดังกล่าว ทั้งที่เขามีความเชื่อว่านี่คือสิ่งที่มาจากอัลลอฮฺ ดังนั้นถือว่าเขากระทำกุฟรใหญ่

    แต่หากการกระทำของเขาเนื่องมาจากความเขลา และทำผิดโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาจะถูกจัดเป็นเพียงผู้กระทำผิดเท่านั้น”


    ..........................................



    หมายเหตุ บรรณาธิการ


    กุฟร แปลตามภาษาว่า การปกปิด ส่วนความหมายตามชะรีอะฮฺแปลว่า สิ่งที่ตรงข้ามกับอีหม่าน(ศรัทธา) ดังนั้น เมื่อกล่าวถึง กุฟรฺ คือการบอกว่า “ไม่มีอีหม่าน” นั่นเอง เราจึงมักแปลว่า “การปฏิเสธศรัทธา”


    ในอัลกุรอานและฮะดีษมีการกล่าวถึง กุฟรฺ ในสองความหมาย


    · ความหมายแรก เป็นการปฏิเสธความศรัทธา หมายถึงการไม่ศรัทธาในความเป็นสัจธรรมอิสลาม หรือแม้จะเชื่อแต่ก็ปฏิเสธด้วยความยะโส เช่น อิบลิส หรือเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งก็นับว่าเป็นการปฏิเสธ หรือเชื่อแต่ไม่ยอมรับ หรือปากบอกว่าเชื่อแต่ใจไม่เชื่อ(เรียกอีกอย่างว่ามุนาฟิกในแง่อะกีดะฮฺ) นักวิชาการเรียกกุฟรฺลักษณะนี้ว่า กุฟรฺใหญ่

    · ความหมายที่สอง ถูกเรียกว่ากุฟรฺ แต่ไม่เข้าข่ายความหมายกุฟรฺใหญ่ เช่น ในอัลกุรอานกล่าวถึงกุฟรฺ(ปฏิเสธ)ความโปรดปราน หรือในบางฮะดีษกล่าวถึงการฆ่ามุสลิมว่าเป็นกุฟรฺ นักวิชาการเรียกกุฟรฺชนิดว่า กุฟรฺเล็ก




    กุฟรฺใหญ่(ตามความหมายแรก)ทำให้สิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม เรียกว่า “กาฟิร”

    กุฟรฺเล็ก(ตามความหมายสอง) ยังไม่สิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม แต่เป็นการฝ่าฝืนที่อันตรายมาก

    แน่นอนว่า กุฟรฺเล็ก แม้ยังไม่ถึงขึ้นตกศาสนา แต่ถือว่าเป็นบาปใหญ่โตมาก ดังนั้น กุฟรฺเล็กจึงไม่เกี่ยวกับบาปเล็กอย่างแนนอน


    แนวคิดกุฟรฺ หากถูกเข้าใจผิดว่ามีชนิดเดียวคือกุฟรฺใหญ่ ก็จะก่อให้เกิดความเลยเถิดในการกล่าวหากันว่าเป็นกาฟิร(เรียกว่าการตักฟีร) นี่เป็นเหตุผลที่เชค อัล ก็อรฎอวียฺ และอุลามาอ์จำนวนมากพยายามอธิบายความหมายของคำนี้


    วัลลอฮุ อะอฺลัม


    เยาวชนฆุรอบาอ์ - กุฟร: แนวคิดการปฏิเสธสัจธรรม
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    จะมีความดีใดเล่า …

    จะมีความดีใดเล่า …
    เท่ากับการปกป้องคนไม่ให้ตกไปสู่ไฟนรก

    อิบนุ อับดุรรออูฟ

    ทุกวันนี้ผู้คนในแวดวงกิจกรรมอิสลามจำนวนไม่น้อยในสังคมของเราให้ความสนใจกับกิจกรรมที่เกิดประโยชน์น้อยมากในสังคม เช่น งานเมาลิด แม้ผมไม่ใช่ฝ่ายที่ตัดสินงานเมาลิดทุกประเภทว่าเป็นบิดอะฮฺที่ลุ่มหลง แต่ผมไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมทุกวันนี้มันมีงานเมาลิดมากมายเหลือเกิน

    เมื่อก่อนผมเข้าใจว่า เมาลิดคงจะจัดแค่ระดับจังหวัดหรือระดับมัสญิด แต่ผมเพิ่งรู้ว่าทุกวันนี้เขาจัดเมาลิดกันในระดับครัวเรือนเสียด้วยซ้ำ

    ผมยอมรับได้ครับว่า ถ้าเมาลิดเป็นแค่การชุมนุมเพื่อเล่าเรื่องราวของท่านนบีฯ อันเป็นที่รักของเรา แล้วเลี้ยงอาหารนิดหน่อย หรือเป็นลักษณะงานวิชาการเพื่อวิเคราะห์ซีเราะฮฺ(ชีวประวัติท่านนบีฯ) แต่ทุกวันนี้มันไปไกลกว่านี้มาก มันกลายเป็นพิธีอะไรสักอย่างที่คนทำคิดว่าได้ผลบุญมากมายเหลือเกิน มันกลายเป็นกิจกรรมที่บางคนคิดว่าเป็น “สุนัต” ประเภทถ้าไม่ทำไม่ได้เสียแล้ว

    ผมจึงไม่เข้าใจว่า ทำไมเราหลงประเด็นไปไกลขนาดนี้ ขณะนี้สังคมเราจัดงานเพื่อความรักต่อท่านนบีฯ แต่กลับปล่อยให้มีคนกล่าวถ้อยคำดูถูกเหยียดหยามท่านนบีฯและคำสอนอิสลาม โดยรับฟังอย่างอดทนเกินความจำเป็น ผมมั่นใจว่าต่อให้อุละมาอ์ที่อนุโลมให้จัดเมาลิดนบีฯ ได้ อย่างอิหม่ามสุยูฏียฺ และอีกหลาย ๆ ท่านได้มาเห็นเมาลิดบางแห่งในบ้านเราที่มีการเดิน “อิสลามิคแฟชั่นโชว์” พวกเขาต้องสั่งปิดงานแห่งนั้นอย่างแน่นอน

    สังคมมุสลิมทุกวันนี้ละเลยกับฟิกฮฺ เอาละวิยาต (การเข้าใจถึงการลำดับความสำคัญ)อย่างน่าวิตกยิ่ง การเข้าใจฟิกฮฺ เอาละวิยาต ไม่ได้เป็นเพียงแค่รู้ว่า เราต้องจัดลำดับความสำคัญโดยนั่งประเมินกันเองส่วนตัว แต่ต้องเป็นการประเมินที่มาจากบรรดาอุละมาอ์ของมุสลิมและสถาบันศึกษาอนาคตอิสลามต่าง ๆ เพราะฟิกฮฺ เอาละวิยาต นั่นต้องอาศัยข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำและผ่านการชั่งน้ำหนักมาแล้วอย่างชัดเจน เพราะถ้าไม่มีข้อมูลเหล่านี้ มันก็ไม่อาจจัดลำดับความสำคัญโดยอาศัยหลักการอิสลามมาตัดสินได้เลย

    ในการจัดลำดับความสำคัญของความชั่วร้ายชิริกและกุฟรฺถือว่าเลวร้ายที่สุด และท่ามกลางกุฟรฺชนิดต่าง ๆ ไม่ว่ากุฟฺรของอะหฺลุลกิตาบ กุฟรฺของคนไม่ใช่มุสลิมทั่วไป และกุฟรฺของกลุ่มชนต่าง ๆ นั้น กุฟรฺที่รุนแรงอันดับหนึ่งกลายเป็นกุฟรฺของการปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าจากพวกนักอเทวนิยม พวกนักทฤษฎีดาวินนิสต์ ตลอดจนถึงพวกนักปรัชญาสำนักต่าง ๆ ที่กำเนิดในอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมัน ในระยะหลัง ๆ นี้เป็นส่วนใหญ่
    [​IMG]

    แต่กระนั้นสังคมเราต้องจำให้ขึ้นใจว่ายังมีกุฟรฺที่รุนแรงที่สุดและบ่อนทำลายสังคมมุสลิมอย่างน่ากลัวยิ่งกว่านั้นอีก นั่นคือกุฟรฺที่เกิดจากความเสื่อมโทรมในเชิงอะกีดะฮฺภายในสังคมมุสลิมเอง เป็นกุฟรฺที่ก่อให้เกิดการมุรตัด(การสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม) กุฟรที่เกิดกับผู้ที่เป็นมุสลิม จนทำให้เขาสูญเสียอิสลามไป อย่างที่ผมได้พบเจอเด็กวัยรุ่นมุสลิมบางคนกล่าวดูถูกการละหมาดว่า ละหมาดไปทำไม ไม่เห็นรวยขึ้น หรือไม่เชื่อในวันพิพากษา ไม่เชื่อในมลาอิกะฮฺ หรือบางคนผูกวัตถุศักดิ์สิทธิ์ไว้ที่เอว และอื่น ๆ อีกมากมาย นี่ยังไม่รวมมุรตัดที่ปรากฏในแนวคิดอุดมการณ์ชนิดต่าง ๆ ที่แฝงเข้ามาในสังคมเรา

    การจัดลำดับความสำคัญของสังคมเราทุกวันนี้ไม่ได้เป็นไปตามนั้น บางคนทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งวันทั้งคืนเพื่อพิสูจน์ในรายละเอียดของฟัตวาที่ตนเองเชื่อมั่นว่าถูกต้องกว่าคนอื่น เพื่อพิสูจน์ว่ากลุ่มทำงานของตนบริสุทธิ์กว่ากลุ่มอื่น และเพื่อพิสูจน์ว่ากลุ่มอื่นมีเรื่องบางเรื่องที่หลงผิดที่กลุ่มคนที่ยึดมั่นหลักการต้องต่อต้าน แต่ขณะเดียวกันกลับมองไม่เห็นถึงความสำคัญของการร่วมมือระหว่างคนในสังคมเพื่อคัดค้านสิ่งที่เป็นชิริกและกุฟรฺ ทำประหนึ่งว่าเป็นเรื่องชายขอบที่ใครก็สามารถจัดการได้ตามลำพัง

    การลำดับความสำคัญในการเผชิญหน้ากับความชั่วร้ายต่าง ๆ จำเป็นต้องใช้ฟิกฮฺ เอาละวิยาต เข้ามากำหนด ไม่มีกองทัพที่แข็งแกร่งที่ใดในโลกสามารถเปิดศึกพร้อม ๆ กันหลายด้าน โดยไม่ประเมินกำลังของตัวเอง และไม่ประเมินว่าสมรภูมิใดที่จำเป็นต้องพิชิตก่อน เพราะมันมีผลในทางยุทธศาสตร์ระดับความเป็นความตาย คนทำงานอิสลามที่น่าสงสารที่สุด คือคนที่เผชิญกับปัญหาทุกด้านด้วยทรัพยากรของตนที่มีอยู่ในระดับเดียวกันหมด ใช้กำลังและความแข็งกร้าวที่เหมือนกันหมด ทั้งที่บางปัญหาเป็นแค่ทัศนะความเห็นที่แตกต่างกันในผลอิจญติฮาดเท่านั้นเอง ไม่ได้มีผลในการนำพาใครไปสู่ไฟนรกเลย ...

    เราไม่ควรมุ่งหวังมากนักกับอิสลามแบบราชการ ... แม้ผมไม่คิดในแง่ร้ายกับอิสลามแบบราชการ และผมเชื่อว่าด้วยศักยภาพของพวกเขา พวกเขาสามารถเข้ามาจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ แต่นั่นแหละอิสลามแบบราชการนั้นเชื่องช้าและมักติดอยู่ขั้นตอนที่ยุ่งยาก อีกทั้งความหวาดกลัวถึงสิ่งที่จะมีผลกระทบต่อตำแหน่งของตัวเองทำให้มีผลต่อวิธีคิดของพวกเขาไม่น้อย ผมจึงไม่อยากให้สังคมให้ความหวังมากกับอิสลามที่ผ่านมาจากหน่วยงานของมุสลิมที่อิงอยู่กับราชการ แต่ทุกกลุ่มทำงานควรจะต้องทำงานในสนามที่ตัวเองถนัดเพื่อเผชิญหน้ากับกุฟรฺมุรตัด เคลื่อนไหวทั้งวิชาการและการปฏิบัติเพื่อปกป้องสังคมและลูกหลานมุสลิมไม่ให้ตกไปสู่หลุมพรางแห่งมุรตัด ...

    ท่านอบู บักรฺ อัศศิดดีก ได้ใช้กองกำลังที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์อิสลาม ทั้งในแง่ความกล้าหาญ คุณธรรม และอำนาจทำลายล้าง ที่พร้อมที่จะฆ่าและถูกฆ่าในสมรภูมิญิฮาด เพื่อเข้าไปทำศึกกับระบอบมุรตัดที่กำลังขยายใหญ่ขึ้น ท่านอิหม่ามอะหฺมัด บิน ฮัมบัล และอิหม่ามอบุล หะสัน อัล-อัชอารียฺ เป็นเอกชนที่กล้าเผชิญหน้ากับอำนาจของพวกมุอฺตะซิละฮฺที่ได้รับความนิยมในราชสำนักอับบาสียะฮฺอย่างไม่หวั่นเกรง เพราะมันไม่ได้เป็นสำนักคิดที่วางอยู่บนพื้นฐานของอิสลาม มันกำลังเปิดทางนำพาผู้คนไปสู่การดูหมิ่นดูแคลนต่ออะกีดะฮฺอิสลามอันบริสุทธิ์ ขณะที่อิหม่ามฆอซาลียฺ ได้ทิ้งตำแหน่งที่มีเกียรติและทรัพย์สินเงินทองจากสถาบันนิศอมียะฮฺ และจากการนับหน้าถือตาที่ได้จากวาซีร(เสนาบดี)นิศอมุลมุลกฺ และพวกผู้นำของราชวงศ์สัลญูกเติร์ก เพื่อแสวงหาความจริงภายใน และกล้บมาพร้อมกับวิจารณ์ปรัชญากรีกที่ได้รับการสนับสนุนจากระบอบการศึกษาของราชวงศ์อย่างรุนแรงที่สุด เพราะมันกำลังล้อเล่นกับอะกีดะฮฺอิสลาม มันไปไกลถึงขึ้นปฏิเสธสิ่งเร้นลับต่าง ๆ ปฏิเสธนรก สวรรค์ จนอะกีดะฮฺ อิสลามกำลังจะถูกถอนรากถอนโคนอย่างไม่ได้ตระหนัก

    การต่อสู้ของเหล่านักฟื้นฟูในอดีต ไม่ได้กระทำบนพื้นฐานของความสะใจเพื่อตอบสนองอารมณ์อยากส่วนบุคคล แต่พวกเขาใช้ปัญญาไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว และพวกเขาไม่ได้มองว่าเรื่องเหล่านี้เป็นความขัดแย้งระหว่างสำนักปรัชญาเช่นในยุโรปหรืออินเดีย แต่ได้เห็นชัดถึงการปะทะกันระหว่างสัจธรรมกับความหลงผิด ดังนั้น นี่จึงมิใช่การต่อสู้ที่มาจากความคิดที่ว่าอีกฝ่ายคิดไม่เหมือนตนจึงต้องทำให้เหมือนตน และมิใช่การต่อสู้เพื่อล้มแนวคิดใดแนวคิดหนึ่งหรือกลุ่มชนใดกลุ่มชนหนึ่งที่ตนไม่ชอบ ยิ่งกว่านั้นการต่อสู้นี้มิได้เป็นเพียงการต่อสู้กับกองทัพของอาหรับบางเผ่าที่มุรตัด หรือการต่อสู้กับสำนักมุอฺตะซิละฮฺ หรือสำนักปรัชญาของกรีก แต่พวกเขากำลังต่อสู้กับระบอบมุรตัดที่กำลังถาโถมใส่มวลชนมุสลิม แนวคิดและวิธีการต่าง ๆ ที่พวกเขานำเสนอเป็นกระบวนการที่พวกเขาได้อิจญติฮาดขึ้นมาเพื่อตอบโต้และป้องกันระบอบมุรตัดที่ก้าวร้าวเหล่านั้น ซึ่งอิจญติฮาดมีถูกมีผิด มิใช่เรื่องที่คนรุ่นหลังต้องเอามาทะเลาะถกเถียงเอาเป็นเอาตาย

    ระบอบแห่งมุรตัดในโลกยุคใหม่ภายในสังคมมุสลิมมีความซับซ้อนยิ่งกว่าในอดีตหลายเท่านัก ดังนั้น การต่อสู้จึงไม่ใช่หน้าที่ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ต้องเป็นของทุกกลุ่ม และไม่ใช่เป็นเพียงวิธีการใดวิธีการหนึ่ง แต่ต้องผสมผสานหลาย ๆ วิธีการ … โดยคำนึงประโยชน์สูงสุดที่สังคมจะได้รับในวันข้างหน้า
    [​IMG]

    จะมีความดีใดเล่าที่จะเท่ากับการปกป้องคนไม่ให้ตกไปสู่ไฟนรก ...โดยเฉพาะนรกตลอดกาล !!
    ...........................................

    Tawbah.org เตาบะฮฺ ประตูแห่งทางรอด - จะมีความดีใดเล่า …
     
  6. chevasit

    chevasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +424
    เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันพุธ ที่ 10 มิถุนายน 2552

    กำเนิดวิชาไสยศาสตร์ ในทัศนะของอิสลาม

    นี่คือจุดที่อิสลามกล่าวถึงการกำเนิดวิชาไสยศาสตร์ เสน่ห์ยาแฝด และอีกมากมายที่ขยายสาขามาจากการที่ อัลเลาะฮ์ ซ.บ. ได้ประทานเรื่องนี้ลงมาทดสอบกับมนุษย์ ในยุคของท่านนบีสุลัยมาน หรือกษัตริย์โซโลมอนแห่งอิสราเอลโบราณ ระหว่างความรู้ที่เป็นวิทยปัญญาและการศรัทธาที่แท้จริงอันนำไปสู่ศรัทธาที่ถูกต้องต่อพระเจ้า กับ ไสยศาสตร์และการศรัทธาที่สูญเปล่า และจะต้องได้รับโทษในวันปรโลก เพื่อวัดจิตใจของมนุษย์

    ในยุคนบีสุลัยมาน อ.ล.(กษัตริย์โซโลมอน) นี้มีเรื่องมากมายที่สร้างเงื้อนงำทิ้งไว้อย่างมากมายให้คนรุ่นกล่าวหาท่าน ไปต่างๆนาๆ มาตลอดเกือบสามพันปี จนถึงปัจจุบัน เช่น เกิดข้อกล่าวมากมายที่ตกอยู่ในความเชื่อของ ชาวยิวในมะดีนะฮ์ว่าท่านเชื่อในวิชาไสยศาสตร์ พวกอัศวินไนต์เทมปล้า ที่เข้ามารบกับมุสลิมในสงครามครูเสดก็อ้างว่าได้ค้นพบความลับบางอย่างที่โซโลมอนซุกซ่อนไว้ พวกฟรีเมสัน ก็อ้างว่าวิชาสถาปัตย์ชั้นยอดนั้น เป็นของนายช่างที่เป็นซาตานที่กุมความลับบางอย่างในการก่อสร้างไว้ ซึ่งอ้างว่าเรื่องนี้คัมภีร์ตัลมุดที่ยิวบางนิกายได้กล่าวไว้ บ้างก็กล่าวว่าฮีรามนายช่างยุคโซโลมอนคือนายช่างที่เป็นเสมือนเทพเจ้าของการก่อสร้าง การเกิดลัทธิยิวดำราสต้าฟาเรี่ยน เจ้าของเพลงสไตล์เร็กเก้ ก่อนจะจบจดหมายฉบับนี้ของฉันฉันจะทยอยเอาข้อมูลเหล่านี้มาให้อ่านพอสังเขปนะ

    ตอนนี้เรากลับมาที่อัลกุรอานที่กล่าวถึงวิชาไสยศาสตร์ที่ประเจ้าทรงประทานมาเพื่อเป็นการทดสอบจิตใจมนุษย์ ในยุคท่านนบีสุลัยมานกันก่อนนะ

    เหรียญในยุคนบีสุลัยมาน
    [​IMG]

    นบีสุลัยมาน(กษัตริย์โซโลมอน)กับไสยศาสตร์

    อีกเรื่องหนึ่งที่จะข้ามไปเสียไม่ได้ก็คือข้อกล่าวหาที่ว่า โซโลมอนทรงกระทำการนอกลู่นอกทางในการนับถือพระเจ้าต่างๆตามลัทธิศาสนาของพระชายาที่มาจากหลายเผ่าพันธุ์ของพระองค์ ตามทัศนะของอิสลามแล้วเราไม่เชื่อว่าท่านทำเช่นนั้นเพราะถือว่าการกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องร้ายแรงมาก พูดไปทำไมมี เรามาดูหลักฐานที่มุสลิมเรายึดถือในความบริสุทธิ์ของท่านนบีสุลัยมานกันดีกว่า

    -“และพวกเขาได้ปฏิบัติตามสิ่งที่บรรดาชัยฏอน(ซาตาน)ในสมัยสุลัยมานอ่านให้ฟัง และสุลัยมานหาได้ปฏิเสธการศรัทธาไม่ แต่ทว่าชัยฏอนเหล่านั้นต่างหากที่ปฏิเสธศรัทธา โดยสอนประชาชนซึ่งวิชาไสยศาสตร์ และสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่มะลาอีกะฮ์(ทูตสวรรค์)ทั้งสอง คือฮารูต และมารูต ณ เมืองบาบิล และเขาทั้งสองจะไม่สอนแก่ผู้ใด จนกว่าจะกล่าวว่า แท้จริงนั้นเราเพียงเป็นผู้ทดสอบเท่านั้น ท่านจงอย่าปฏิเสธศรัทธาเลย แล้วเขาเหล่านั้นก็ศึกษาจากเขาทั้งสอง สิ่งที่พวกเขาใช้มัน ยังความแตกแยกระหว่างบุคคลกับภรรยาของเขา และพวกเขาไม่อาจทำสิ่งนั้นให้เป็นอันตรายแก่ผู้ใดได้ นอกจากอนุมัติของอัลเลาะฮ์เท่านั้น และพวกเขาก็เรียนสิ่งที่เป็นโทษแก่พวกเขา และมิใช่เป็นคุณแก่พวกเขา และแท้จริงนั้นพวกเขารู้แล้วว่า แน่นอนผู้ที่ซื้อมันไว้นั้น ในวันปรโลกเขาย่อมไม่มีส่วนได้ใดๆ และแน่นอนเป็นสิ่งที่ชั่วช้าจริงๆ ที่พวกเขาขายตัวของพวกเขาด้วยสิ่งนั้น หากพวกเขารู้”-

    (อัลกุรอาน2/102)

    โองการนี้ อัลเลาะฮ์ ทรงประทานให้นบีมูฮัมหมัด เพื่อโต้แย้งกับชาวยิวซึ่งพวกเขาอ่านคัมภีร์เตารอต(พระคัมภีร์เดิม)กันอยู่ ซื่งมีข้อกล่าวหาต่อท่านนบีสุลัยมาน(กษัตริย์โซโลมอนของชาวอิสราเอล)หลายเรื่องในนั้น เช่น การออกนอกแนวทางของอัลเลาะฮ์ รวมทั้งเรื่องการศึกษาวิชาไสยศาสตร์และเก็บรวบรวมตำราไว้ จนถึงเรื่องร้ายแรงที่สุดที่ชาวยิวในยุคท่าน นบีมูฮัมหมัด ซ.ล. ในเมืองมะดีนะฮ์(เมดินา)ต่างก็ปักใจเชื่อตามพระคัมภีร์เดิมของเขาที่ว่าท่าน นบีสุลัยมาน(โซโลมอน) เลิกนับถือ อัลเลาะฮ์ แต่หันไปนับถือศาสนาอื่นและบูชารูปปั้น ตามลัทธิศาสนาความเชื่อของบรรดา มเหสีและนางสนมจำนวนมากมายของท่าน

    ดังนั้นฉันขอยกข้อความของนักอธิบายอัลกุรอาน มาให้ฟังอย่างละเอียดหน่อย เพราะแต่ละข้อความในโองการนี้ มีความรวบรัดมาก เพราะหากใครไม่มีความรู้ในประวัติศาสตร์ หรือข้อความที่มีอยู่ในคัมภีร์เตารอตซึ่งเป็นยุคก่อนหน้าท่านนบีเป็นพันปี(ยุคกษัตริย์โซโลมอนประมาน960ปี-586 ปี ก่อนค.ศ.ท่านนบีมูฮัมหมัดเกิดในปี ค.ศ. 570-571)ก็ยากที่จะเข้าใจ และสาวกส่วนใหญ่ของท่านก็เป็นอาหรับแทบทั้งสิ้นในช่วงเวลานั้น ย่อมมีข้อซักถามมากมาย และจากข้อซักถามเหล่านี้ก็เป็นข้อมูลที่นักอธิบายอัลกุรอานใช้ขยายความให้พวกเราได้เข้าใจในยุคนี้

    “ความที่ว่า “และพวกเขาได้ปฏิบัติตามสิ่งที่บรรดาชัยฏอน(ซาตาน,ผู้ประพฤติชั่ว)ในสมัยสุลัยมานอ่านให้ฟัง”นั่นคือ พวกนักปราชญ์ของยิวกลุ่มหนึ่งที่ผินหลังให้แก่คัมภีร์เตารอต(โตรา)ได้ถือปฏิบัติในวิชาไสยศาสตร์ที่พวกประพฤติชั่วในสมัยท่าน นบีสุลัยมานเผยแพร่ พวกเขากล่าวว่า ท่านนบีสุลัยมานได้รวบรวมตำราไสยศาสตร์จากประชาชนแล้วนำไปฝังใต้บัลลังก์ของพระองค์ หลังจากที่พระองค์ได้สิ้นชีวิตลง ประชาชนก็นำตำราเหล่านั้นออกมาศึกษา และถ่ายทอดต่อๆกันมา ดังกล่าวมานี้เป็นเรื่องมุสา ซึ่งอิสราเอลได้กุขึ้นเพื่อเป็นการสนับสนุนการปฏิบัติของตน โดยโยนบาปให้แก่ท่านนบีสุลัยมานผู้บริสุทธิ์

    และความที่ว่า “และสุลัยมานหาได้ปฏิเสธศรัทธาไม่”นั้นคือ ท่านนบีสุลัยมานหาได้เชื่อถือและปฏิบัติในวิชาไสยศาสตร์แต่อย่างใดไม่ เพราะการเชื่อถือในวิชาไสยศาสตร์นั้นเป็นการปฏิเสธศรัทธา ในฐานะที่ท่านเป็นนบีของอัลเลาะฮ์ กระทำหน้าที่เชิญชวนประชาชนให้ยอมรับและยึดถือในเอกภาพของอัลเลาะฮ์ แล้วตัวท่านเองจะปฏิบัติในสิ่งตรงกันข้ามกระนั้นหรือ ย่อมเป็นไปไม่ได้แน่นอน ด้วยเหตุนี้อัลเลาะฮ์ ซ.บ.จึงได้ทรงแก้ข้อกล่าวหาของวงศ์วานอิสรออีล(อิสราเอล)หรือยิวในสมัยท่านนบีมูฮัมหมัด

    http://www.oknation.net/blog/dragonball/2009/06/10/entry-1
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มิถุนายน 2010
  8. แสงอุ่น

    แสงอุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    612
    ค่าพลัง:
    +1,036
    เป็นคนไทยที่ชอบภาษามุสลิมและภาษาอื่นๆ ครับ ส่วนตัวเห็นว่ามี ความไพรเพราะ
    อนุโมธนา
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2007/05/Y5382327/Y5382327.html]PANTIP.COM : Y5382327 แหล่งข้อมูล

    ไสยศาสตร์อิสลาม, ใครว่าไสยศาสตร์เป็นเรื่องต้องห้ามในอิสลาม
    แต่มุสลิมหลายคนกล่าวว่าไม่เกี่ยวข้องกับอิสลาม แต่อัลกุรอ่านได้อธิบายสิ่งนี้ไว้ นั่นคือเรื่องไสยศาสตร์ มันก็ต้องเกี่ยวข้องกับอิสลามโดยเฉพาะความเชื่อว่าไสยศาสตร์มีจริงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    “1.และพวกเขาได้ปฏิบัติตามสิ่งที่บรรดาชัยฏอนในสมัยสุลัยมานอ่านให้ฟัง และสุลัยมานไม่ได้ปฏิเสธความศรัทธา แต่ทว่า2.ชัยฏอนเหล่านั้นต่างหากที่ปฏิเสธความศรัทธาโดยการสอนไสยศาสตร์ให้แก่ผู้คนและ3.สิ่งที่ถูกประทานมาแก่มลาอิก๊ะฮฺทั้งสองคือฮารูตและมารูต ณ เมืองบาบิล และเขาทั้งสองจะไม่สอนผู้ใดจนกว่าจะกล่าวว่า “แท้จริง เราแค่เป็นผู้ทดสอบเท่านั้น ท่านจงอย่าปฏิเสธความศรัทธาเลย” แม้กระนั้น 4. ผู้คนก็ยังศึกษาจากเขาทั้งสอง 5.ซึ่งมันได้เป็นสาเหตุให้เกิดการแตกแยกระหว่างผู้ชายกับภรรยาของเขา และ6.พวกเขาไม่อาจใช้สิ่งนั้นทำอันตรายแก่ผู้ใดได้นอกจากด้วยการอนุมัติของอัลลอฮฺเท่านั้นและ7.พวกเขาก็เรียนสิ่งที่เป็นอันตรายต่อพวกเขาและมิได้เป็นคุณแก่พวกเขา และแน่นอน 8.พวกเขารู้ว่าใครก็ตามที่ซื้อมันจะไม่มีส่วนแห่งความดีใดในโลกหน้าและความชั่วคือราคาที่พวกเขาขายชีวิตของพวกเขาถ้าหากพวกเขารู้” (กุรอาน 2:103)

    อธิบายได้ดังนี้
    1. สุลัยมานได้รับไสยศาสตร์มาจากมลาอิกะห์ หรือเทวทูตสองท่านชื่อ ฮารูตและมารูต ซึ่งสุลัยมานยังคงเป็นมุสลิม (ไม่ปฏิเสธศรัทธา)
    2. ชัยฏอนก็ได้สอนไสยศาสตร์ให้แก่ผู้คน โดยที่มาจากแหล่งเดียวกันคือ เทวทูตสองท่านนั้น
    3. อัลลอฮ์ให้มลาอิกะห์นำไสยศาสตร์ลงมาแก่สุลัยมาน รวมถึงคนอื่น ๆ เพื่อการทดสอบไม่ใช่การใช้งาน
    4. นอกจากมลาอิกะห์สอนสุลัยมาน มลาอิกะห์สองท่านนั้นยังสอนคนอื่นอีกด้วย ไม่ใช่แค่ชัยฏอน
    5. ผลของไสยศาสตร์ทำให้สามีภรรยาแตกแยกกัน (การทำเสน่ห์หรือเปล่า)
    6. ไสยศาสตร์ทำอันตรายกับผู้ใดก็ได้ หากอัลลอฮ์อนุญาต
    7. ไสยศาสตร์เป็นอันตรายกับตัวผู้เรียนด้วย และไม่มีคุณค่าใด
    8. ราคาของไสยศาสตร์คือความความดีที่เสียไป

    ถามว่า
    ๑. ความพิเศษของสุลัยมานคือ สามารถติดต่อกับสิ่งมีชีวิตชนิดพิเศษอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "ญิน" และสามารถใช้งานพวกมันได้ ไสยศาสตร์คือวิธีติดต่อและใช้งานพวกมันใช่หรือไม่ และการที่ชัยฏอนได้ยินวิธีการนี้และนำไปเผยแพร่ให้คนอื่น ๆ ก็เพราะพวกมันเป็นญิน

    ๒. ไสยศาสตร์ของสุลัยมานตกทอดมาถึงปัจจุบันหรือไม่

    ๓. หากไสยศาสตร์ของสุลัยมานตกทอดมา ก็ต้องมี เพื่อการทดสอบ และใช้งานจริง ตรงนี้ตัดสินอย่างไร

    ๔. อัลลอฮ์เกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์ เพราะไสยศาสตร์จะสำเร็จหรือไม่มันต้องผ่านการอนุมัติใช่หรือไม่
    เป็นการพิสูทจ์ว่า อิสลามกับไสยศาสตร์เป็นของคู่กันไม่ใช้สิ่งต้องห้ามอันใดและเป็นการพิสูทจ์ว่า ไสยศาสตร์ ปัญญา และชีวิตเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้เพียงแต่ว่าให้ใช้ไปทางขาวหากจะใช้ไปทางมืดต้องขออนุญาติต่อพระอัลลอห์ ก่อน
    พูดถึงไสยศาสตร์มุสลิม ทำให้ผมนึกถึงเรื่องข้างบ้านผมแต่ก่อนมีพ่อค้าผ้าไหมและนมชื่อ อารยา ผู้ร่ำรวยแกเป็นหมอไสยศาสตร์มุสลิมแกชาญทั้งไสยเวท การเพ่งกสิณแบบอิสลามได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ถ้าของพุทธจะมี 10 แต่อิสลามรู้สึกจะมี 4 อะครับ แต่แถวบ้านผมนี้สิไม่ธรรมดาเลย เพราะฝั่งซ้ายเป็นจอมไสยเวทที่จบมาจาก เขมร ชื่อ สมหมาย ส่วน อากุลยอ อยุ่ฝั่งขวาส่วนผมอยู่ตรงกลางอย่าเข้าใจผิดเป็นสนามมวยลุมพินีล่ะ รู้สึกว่าอา สมหมาย ไม่ค่อยถูกกับอา อารยา เพราะแกไม่ค่อยถูกกลับคุณไสยอิสลาม เพราะเท่าที่ผมรู้ๆมาว่าคุณไสยอิสลามมักชนะคุณไสยเขมรอยู่เรื่อยทำให้สองบ้านนี้เป็นปรปักษ์กันทั้งที่อาอารยา ไม่อยากจะมีปัญหากับใครแต่ไม่อาจพ้นและผมก็พลอยติดร่างแห (ซวยจริงๆกู) เพราะคุณอาทั้ง 2 แกสาดไสยเวทกันดังโครมครามไอ้ผมหรือไม่เป็นอันหลับอันนอนมีทั้งกรีดร้อง เสียงหัวเราะที่สยดสยอง เสียงเสือ เสียงวัว เสียงควาย เสียงต่อเสียงแตน เสียงลม เสียงฟ้าผ่า โอ้ยจะบ้าตายไปๆมาๆ จนผมต้องย้ายออกจากที่นั้นไม่ไหวแล้ว โอ้ย เห็นได้ยินข่าวมาหลังจากย้ายมาแล้ว อาสมหมายเสียแล้วผมคงรู้อยู่แล้วว่าแกตายเพราะอะไร
    อา อารยานอกจากแกจะเก่งแล้ว แกยังมีลูกสาวสวยชื่อน้อง มาฮาน สวยมากเลยครับแค่เห็นหน้าก็รู้เคยเลือบไปเห็นน้องเขาตอนอยุ่ในบ้านไม่ได้คลุม โอ้แม่เจ้าสวยมากๆ และบังเอิญแถวบ้านผมมันมี กุ๊ย 3 ตัวชอบมายอกล้อแซวน้องมาฮานอา อารยาแกเลยสังคยานาปล่อยหุ่นไม้ผีสิงผมเรียกว่า ตุ๊กตาสะกดวิญญาณ ปล่อยมาหลอกไอ้ 3 กุ๊ยหนีหายไปเลย

    เครดิต http://talk.mthai.com/topic/79865

    ปล.โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เด็กๆควรมีผู้ปกครองคอยให้คำแนะนำ<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มิถุนายน 2010
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เผื่อบางคนยังไม่รู้
    ศาสนา ยูดาย(ยิว) คริสต์ และอิสลาม
    นับถือพระเจ้าองค์เดียวกัน คือ พระยโฮวาห์ พระบิดา และพระอัลลอฮฺ คือองค์เดียวกัน
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=ZIB87IkMSDM]YouTube - ทำไมถึงเกลียดยิว และ สงครามครูเสด[/ame]

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=pjnNSDmCXwM]YouTube - ประวัติศาสตร์นบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) 5[/ame]

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=Mt0SXC710nE]YouTube - มุฮัมมัดศาสดาแห่งอิสลาม 1[/ame]

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=-PtbT663dFM]YouTube - นับถอยหลังสู่วันสิ้นโลก ตอนที่5 The reason เหตุผลที่ตายเพื่อเธอ[/ame]
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=aBBCfI8mQvQ&feature=PlayList&p=B569890029F2ADA1&index=0&playnext=1]YouTube - 70 สัปตะ 1.1[/ame]
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ถ้าเชื่อเรื่องพยากรณ์นะ ทางพุทธเราก็มีเหมือนกัน

    มีพุทธทำนายเพิ่มเติมที่มีผู้ถอดความจากศิลาจารึก เชตมหาวิหาร สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย ความว่า พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า “ ....เมื่อศาสนาตถาคตล่วงเลยไปถึงกึ่งพุทธกาล สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดในยุคนั้นจะพบกับความลำบากทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลก ที่หมุนเวียนไปใกล้ความแตกทำลาย แผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทิศ คนในสมัยนั้น(ปัจจุบัน) จะมีวิสัยโหดดุจกำเนิดจากสัตว์ป่าอำมหิต จะรบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ ส่วนเวไนยสัตว์ผู้ขวนขวายในกุศลตามวัจนะของตถาคต ก็จะระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัยและคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติจักเบาบาง แต่ก็จะหนีกฎธรรมชาติไม่พ้น …… ในระยะนั้นศาสนาของตถาคตเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัทไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม เชื่อคำของคนโกง กล่าวคำเท็จ ไม่เคารพหลักธรรมนิยม คนประจบสอพลอได้รับการเชื่อถือในสังคม ผู้มีศีลธรรมประพฤติชอบกลับไม่มีคนเคารพยำเกรง พระธรรมจะเริ่มเปล่งแสงรัศมีฉายส่องโลกอีกวาระหนึ่ง เมื่อมีธรรมิกราชโพธิญาณบังเกิดขึ้น อยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์(น่าจะหมายถึงพระศรีอาริยเมตตไตรย์)....จะเสด็จมาเสริมสร้างพระศาสนาของตถาคตให้รุ่งเรืองสืบไปอีก ๕,๐๐๐ พระวรรษา …. คำทำนายของตถาคตนี้ ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ นับเป็นกรรมของสัตว์โลกที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติ ให้รักษาศีลห้าประการ เจริญเมตตากรุณา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดษ รู้จักพอ ไม่หลงมัวเมาในอำนาจและลาภยศ ตั้งใจประพฤติตนตามคำสอนของตถาคตให้มั่นคง จึงจะพ้นอันตรายในยุคกึ่งพุทธกาล ”

    และเรื่องไสยศาสตร์ ทางพุทธเราเรียกว่า เดรัจฉานวิชา พาชีวิตตกต่ำได้ถ้าใช้อย่างขาดสติไร้ปัญญา ไม่รู้ดีรู้ชั่วก็เหมือนถือมีดไว้เชือดคอตัวเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มิถุนายน 2010
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คำพยากรณ์ของพระเยซู (ก่อนวันสิ้นยุค)

    ข้อความเหล่านี้เป็นข้อความจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ (พระคัมภีร์ไบเบิล) ที่ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ต่างๆ ก่อนจะถึงวันสิ้นยุค หรือก่อนที่จะเริ่มยุคใหม่ ซึ่งเป็นคำพยากรณ์ของพระเยซูคริสต์ที่ได้กล่าวไว้เมื่อ 2000 กว่าปีแล้ว

    จากเหตุการณ์ของโลกที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็น สงคราม การกันดารอาหาร และโรคระบาดนั้น ก็สอดคล้องกับคำพยากรณ์ของพระเยซูคริสต์ โดยพระองค์ได้กล่าวเตือนไว้นานแล้วว่าสิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องบังเกิดขึ้น เพื่อให้มนุษย์ทุกคนตระหนักถึงความจริงว่า แท้จริงแล้วพระเจ้าทรงควบคุมสิ่งเหล่านี้ และพระองค์ทรงปรารถนาให้มนุษย์ทุกคนหันกลับมาหาพระเจ้า และดำเนินในทางของพระองค์.... “ใครมีหู จงฟังเถิด”

    ฝ่ายพระเยซูทรงออกจากพระวิหารแล้วพวกสาวกของพระองค์มาชี้ตึกทั้งหลายในพระวิหารให้พระองค์ทอดพระเนตร

    พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า "สิ่งสารพัดเหล่านี้พวกท่านเห็นแล้วมิใช่หรือเราบอกความจริงแก่ท่านว่าศิลาที่ซ้อนทับกันอยู่ที่นี่ซึ่งจะไม่ถูกทำลายลงก็ไม่มี"

    เมื่อพระองค์ประทับบนภูเขามะกอกเทศพวกสาวกมาเฝ้าพระองค์ส่วนตัวกราบทูลว่า "ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ทั้งหลายทราบ

    ว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะบังเกิดขึ้นเมื่อไรสิ่งไรเป็นหมายสำคัญว่าพระองค์จะเสด็จมาและวาระสุดท้ายของโลกนี้" พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "ระวังให้ดีอย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านให้หลง

    ด้วยว่าจะมีหลายคนมาต่างอ้างนามของเรากล่าวว่า `เราเป็นพระคริสต์' เขาจะล่อลวงคนเป็นอันมากให้หลงไป

    ท่านทั้งหลายจะได้ยินถึงเรื่องสงครามและข่าวลือเรื่องสงครามคอยระวังอย่าตื่นตระหนกเลยด้วยว่าบรรดาสิ่งเหล่านี้จำต้องบังเกิดขึ้นแต่ที่สุดปลายยังไม่มาถึง

    เพราะประชาชาติต่อประชาชาติราชอาณาจักรต่อราชอาณาจักรจะต่อสู้กันทั้งจะเกิดกันดารอาหารและโรคติดต่อร้ายแรงและแผ่นดินไหวในที่ต่างๆ

    เหตุการณ์ทั้งปวงนี้เป็นขั้นแรกแห่งความทุกข์ลำบาก

    ในเวลานั้นเขาจะมอบท่านทั้งหลายไว้ให้ทนทุกข์ลำบากและฆ่าท่านเสียและประชาชาติต่างๆจะเกลียดชังพวกท่านเพราะนามของเรา

    คราวนั้นคนเป็นอันมากจะถดถอยไปและทรยศกันและกันทั้งจะเกลียดชังซึ่งกันและกัน

    ผู้พยากรณ์เท็จหลายคนจะเกิดมีขึ้นและล่อลวงคนเป็นอันมากให้หลงไป

    ความรักของคนเป็นอันมากจะเยือกเย็นลงเพราะความชั่วช้าจะแผ่กว้างออกไป

    แต่ผู้ใดทนได้จนถึงที่สุดผู้นั้นจะรอด

    ข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักรนี้จะได้ประกาศไปทั่วโลกให้เป็นคำพยานแก่บรรดาประชาชาติแล้วที่สุดปลายจะมาถึง

    *อ้างอิงจาก พระธรรมมัทธิว บทที่ 24:4-14 (ฉบับไทยคิงเจมส์เวอร์ชั่น)

    ขอพระเจ้าอวยพระพร

    โจเซฟ

    http://www.oknation.net/blog/Joseph/2009/05/01/entry-1

    <TABLE style="BORDER-TOP-WIDTH: 0px; BORDER-LEFT-WIDTH: 0px; BORDER-LEFT-COLOR: #0b8228; BORDER-BOTTOM-WIDTH: 0px; BORDER-BOTTOM-COLOR: #0b8228; BORDER-TOP-COLOR: #0b8228; BACKGROUND-COLOR: #9ef579; BORDER-RIGHT-WIDTH: 0px; BORDER-RIGHT-COLOR: #0b8228" border=0><TBODY><TR><TD style="TEXT-ALIGN: center">คำทำนายของศาสนาอิสลาม</TD><TD>สัญญาณวันสิ้นโลก ของ "ศาสนาอิสลาม"</TD></TR></TBODY></TABLE>

    วาระแห่งการบังเกิดขึ้นของวันกิยามะฮฺ


    [​IMG]




    วาระแห่งการบังเกิดขึ้นของวันกิยามะฮฺไม่มีผู้ใดสามารถล่วงรู้ได้นอกจากอัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา เท่านั้น ดังที่พระองค์ได้ตรัสในอัลกุรอานว่า


    يَسْأَلُكَ النَّاسُ عَنِ السَّاعَةِ قُلْ إِنَّمَا عِلْمُهَا عِنْدَ اللَّهِ وَمَا يُدْرِيكَ لَعَلَّ السَّاعَةَ تَكُونُ قَرِيبًا


    ความว่า “มีผู้คนถามเจ้าเกี่ยวกับยามอวสาน จงกล่าวเถิด(มุหัมหมัด) แท้จริงความรู้ในเรื่องนั้น อยู่ ณ ที่อัลลอฮฺ และอะไรเล่าจะทำให้เจ้ารู้ได้ บางทียามอวสานนั้นอยู่ใกล้นี่เอง” (อัล-อะหฺซาบ : 63)



    สัญญาณวันกิยามะฮฺ



    ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ชี้แจงถึงเครื่องหมายและสัญญาณ ที่บ่งบอกว่าวันกิยามะฮฺนั้นใกล้เข้ามาถึงแล้ว โดยสัญญาณดังกล่าวแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ สัญญาณย่อย และ สัญญาณใหญ่


    หนึ่ง สัญญาณย่อยของวันกิยามะฮฺ

    แบ่งออกเป็นสามประเภท


    1. สัญญาณที่ได้ปรากฏขึ้นและสิ้นสุด เช่น การบังเกิดของท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ตลอดจนการสิ้นชีวิตของท่าน การแยกส่วนของดวงจันทร์ การพิชิตบัยตุลมักดิส(เมืองเยรูซาเล็ม) และมีลูกไฟออกจากแผ่นดินหิญาซ


    จากเอาฟ์ บินมาลิก รอฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ฉันได้ยินท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า


    اعْدُدْ سِتًّا بَيْنَ يَدَيِ السَّاعَةِ : مَوْتِي ، ثُمَّ فَتْحُ بَيْتِ المَقْدِسِ ...


    ความว่า “ท่านจงนับสัญญาณหกประการก่อนการบังเกิดขึ้นของวันกิยามะฮฺ คือ การสิ้นชีวิตของฉัน จากนั้น การพิชิตบัยตุลมักดิส” (อัล-บุคอรีย์ : 3176)


    จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ แท้จริงท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า


    لاَ تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى تَخْرُجَ نَارٌ مِنْ أَرْضِ الحِجَازِ تُضِيءُ أَعْنَاقَ الإِبِلِ بِبُصْرَى


    ความว่า “วันกิยามะฮฺจะยังไม่อุบัติขึ้นจนกว่าไฟจะออกมาจากแผ่นดินหิญาซ และมันจะส่องประกายของมันที่ต้นคอของอูฐที่เมืองบุศรอ” (อัล-บุคอรีย์ : 8118, มุสลิม : 2902)


    2. สัญญาณที่ได้ปรากฏขึ้นและยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น เกิดความวุ่นวายระส่ำระสาย(ฟิตนะฮฺ) มีการแอบอ้างเป็นนบี ความฟุ้งเฟ้อจะแพร่หลาย ความรู้วิชาศาสนาจะเลือนหายไป ความโง่เขลาจะมาแทนที่ จะมีตำรวจกับบริวารที่โหดเหี้ยมเกิดขึ้นมากมาย มีเครื่องดนตรีมากมายอีกทั้งมีการรับรองว่าสิ่งดังกล่าวเป็นที่อนุมัติ คนที่เคยมีฐานะยากจนมีอาชีพเลี้ยงแกะจะกลายเป็นเศรษฐีแข่งกันสร้างตึกอาคารสูงๆ ผู้คนจะสร้างมัสยิดเพื่อโอ้อวดด้วยเครื่องประดับประดาต่างๆ จะมีการเข่นฆ่าเกิดขึ้นมากมาย เวลาจะกระชันชิด มีการมอบตำแหน่งแก่ผู้ที่ไม่สมควรได้รับ คนชั่วไร้คุณธรรมจะถูกยกย่องเทิดทูน ส่วนคนดีมีคุณธรรมกลับถูกเหยียดหยาม จะมีนักพูดมากกว่าผู้ปฏิบัติ จะมีร้านค้าเกิดขึ้นเรียงราย จะมีการตั้งภาคี(ชิริก)ในหมู่ประชาติอิสลาม ความตระหนี่จะแพร่หลาย การโกหกมดเท็จเป็นเรื่องปกติ เงินทองจะมีมากมาย การคดโกงในการค้าขายมีมากมาย จะเกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง ผู้คนไม่ไว้วางใจคนน่าเชื่อถือแต่จะไว้วางใจผู้ที่ทุจริตในหน้าที่ ความชั่วช้าจะแพร่หลาย การตัดญาติขาดมิตรจะมีมาก มีเพื่อนบ้านที่ไม่ดี คนด้อยปัญญาและไร้คุณธรรมจะขึ้นมาเป็นผู้ปกครอง ผู้รู้จะตอบปัญหาศาสนาตามอารมณ์ของผู้คน การให้สลามจะจำกัดเฉพาะคนที่รู้จักเท่านั้น ผู้คนนิยมหันไปศึกษาความรู้จากผู้น้อย จะมีตำรางานเขียนมากมาย สตรีจะแต่งกายเหมือนเปลือยร่าง มีพยานเท็จมากมาย มีการตายแบบฉับพลัน ผู้คนไม่พิถีพิถันในการแสวงหาปัจจัยที่หะลาล(อนุมัติ) คาบสมุทรอาหรับจะกลับมาอุดมสมบูรณ์มีแม่น้ำและทุ่งหญ้าเขียวขจีอีกครั้ง สัตว์เลื้อยคลานจะออกมาพูดกับมนุษย์ ปลายแส้และเชือกรองเท้าสามารถพูดกับเจ้าของมันได้ สองขาสามารถพูดได้ว่าเจ้าของได้กระทำอะไรมา ประเทศอิรักและชาม(ประเทศแถบซีเรีย จอร์แดนและปาเลสไตน์ในปัจจุบัน - ผู้แปล)จะถูกปิดล้อมจากอาหารและเงินทอง จากนั้นจะมีสนธิสัญญาระหว่างชาวมุสลิมกับชาวโรมเพื่ออยู่อย่างสันติแต่ผลสุดท้ายฝ่ายโรมันจะละเมิดสนธิสัญญาดังกล่าว


    จากอิบนุอุมัร รอฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่าแท้จริงเขาได้ยินท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในขณะที่ท่านหันหน้าทางทิศตะวันออกพลางพูดว่า


    أَلاَ إِنَّ الْفِتْنَةَ هَاهُنَا ، أَلاَ إِنَّ الْفِتْنَةَ هَاهُنَا ، مِنْ حَيْثُ يَطْلُعُ قَرْنُ الشَّيْطَانِ


    ความว่า “แท้จริงฟิตนะฮฺ วิกฤติการณ์จะเกิดขึ้นทางนี้ (ทางตะวันออก) แท้จริงฟิตนะฮฺ วิกฤติการณ์จะเกิดขึ้นทางนี้ ด้านที่เขา(หัว)ของมารร้ายโผล่ออกมาทางนั้น” (อัลบุคอรี : 7093, มุสลิม : 2905 สำนวนเป็นของท่าน)


    3. สัญญาณที่ยังไม่ปรากฏ แต่จะปรากฏขึ้นอย่างแน่นอน ดังที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้บอกกล่าว เช่น แม่น้ำฟุรอต(แม่น้ำยูเฟรติสในอิรัก) จะแห้งภูเขาทองคำจะโผล่ออกมา กรุงคอนสแตนติโนเปิลจะถูกพิชิต จะเกิดสงครามกับชาวเติร์ก จะเกิดสงครามระหว่างชาวยิวกับมุสลิม แต่มุสลิมเป็นฝ่ายมีชัย จะมีชายคนหนึ่งจากเผ่าเกาะฮฺฏอน(ในประเทศยะมัน)จะไล่ต้อนผู้คนด้วยไม้เท้าของเขา(คือ ปกครองโดยใช้ความรุนแรงและเผด็จการ) ผู้หญิงจะมีจำนวนมากกว่าผู้ชายถึงขนาดมีอัตราส่วน ผู้ชาย 1 คน ต่อ ผู้หญิง 50 คน เมืองมะดีนะฮฺจะขับคนที่ชั่วร้ายออกไปหมดถึงขนาดว่าบางช่วงจะกลายเป็นเมืองร้าง อิหมามมะฮฺดีย์จะปรากฏตัว ท่านเป็นบุรุษที่สืบเชื้อสายจากท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม อัลลอฮฺจะทรงช่วยเหลือท่านในงานศาสนา เมื่อวันนั้นมาถึงแผ่นดินจะปกคลุมด้วยความยุติธรรม เฉกเช่นที่เคยถูกปกคลุมด้วยความอยุติธรรมมาแล้ว ท่านจะปกครองแผ่นดินนานเจ็ดปี ในช่วงนั้นประชาชนจะได้สัมผัสกับความสงบสุขอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน ท่านจะปรากฏตัวครั้งแรก ณ ประเทศทางทิศตะวันออก และผู้คนจะให้สัตยาบัญต่อท่าน ณ บัยตลลอฮฺ กะอฺบะฮฺจะถูกทำลายโดยน้ำมือของชายผู้หนึ่งจากประเทศหะบะชะฮฺ(เอธิโอเปีย) มีฉายาว่า “ซู สุวัยเกาะตัยน์” (แปลว่าผู้ที่มีขาเรียวเล็ก ทั้งนี้เป็นคุณลักษณะของชาวเอธิโอเปีย ที่มีร่างสูงแต่มีขาเรียวเล็ก - ผู้แปล) ซึ่งหลังจากนั้นจะไม่มีผู้ใดบูรณะกะอฺบะฮฺขึ้นมาอีก เมื่อนั้นแหละคือวาระสุดท้ายของโลก


    สัญญาณต่างๆที่กล่าวมาข้างต้น ล้วนมีตัวบทชัดเจนจากหะดีษที่ถูกต้อง(เศาะฮีหฺ)จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม


    [​IMG]





    สอง สัญญาณใหญ่ของวันกิยามะฮฺ


    จากหุซัยฟะฮฺ บิน อะสีด อัล-ฆิฟารีย์ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า


    اطَّلَعَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم عَلَيْنَا وَنَحْنُ نَتَذَاكَرُ ، فَقَالَ : مَا تَذَاكَرُونَ؟ قَالُوا : نَذْكُرُ السَّاعَةَ، قَالَ : إِنَّهَا لَنْ تَقُومَ حَتَّى تَرَوْنَ قَبْلَهَا عَشْرَ آيَاتٍ - فَذَكَرَ - الدُّخَانَ، وَالدَّجَّالَ، وَالدَّابَّةَ، وَطُلُوعَ الشَّمْسِ مِنْ مَغْرِبِهَا، وَنُزُولَ عِيسَى ابْنِ مَرْيَمَ صلى الله عليه وسلم، وَيَأَجُوجَ وَمَأْجُوجَ، وَثَلَاثَةَ خُسُوفٍ : خَسْفٌ بِالْمَشْرِقِ ، وَخَسْفٌ بِالْمَغْرِبِ ، وَخَسْفٌ بِجَزِيرَةِ الْعَرَبِ ، وَآخِرُ ذَلِكَ نَارٌ تَخْرُجُ مِنَ الْيَمَنِ ، تَطْرُدُ النَّاسَ إِلَى مَحْشَرِهِمْ


    ความว่า “ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้เข้ามายังพวกเราในขณะที่พวกเรากำลังคุยกันอยู่ ท่านนบีถามว่า พวกท่านกำลังพูดคุยเรื่องอะไรอยู่? พวกเราตอบว่า กำลังพูดถึงเรื่องวันกิยามะฮฺ ท่านนบีกล่าวว่า วันกิยามะฮฺจะยังไม่อุบัติขึ้นจนกว่าพวกท่านจะได้เห็นสัญญาณก่อนหน้านั้นสิบประการ โดยท่านนบีกล่าวถึง ควันออกจากพื้นดิน การปรากฏตัวของดัจญาล จะมีสัตว์(พูดกับมนุษย์) ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก นบีอีซา ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม จะลงมาจากฟ้า ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์จะออกมา จะมีเหตุการณ์ธรณีสูบสามแห่ง เกิดทางทิศตะวันออก เกิดทางทิศตะวันตก และเกิดบริเวณคาบสมุทรอาหรับ และประการสุดท้ายจะมีไฟพุ่งออกมาจากประเทศยะมัน(เยเมน)ไล่ต้อนมวลมนุษย์ให้ไปที่แหล่งรวม(มะห์ชัร)ของพวกเขา” (มุสลิม : 2901)


    การปรากฏตัวของดัจญาล


    ดัจญาลเป็นมนุษย์เพศชาย ซึ่งจะปรากฏตัวในวาระสุดท้ายของโลก มันจะอ้างตนเองว่าเป็นพระผู้เป็นเจ้า โดยจะปรากฏตัวครั้งแรก ณ เมืองคุรอ๋ซาน(ปัจจุบันอยู่ในอิหร่าน - ผู้แปล) จากนั้นมันจะเดินทางเข้าไปยังทุกหนแห่ง ยกเว้น มัสยิดบัยตุลมักดิส(ปาเลสไตน์) มัสยิดอัฏฏูร(แหลมซีนาย ประเทศอียิปต์) เมืองมักกะฮฺ และมะดีนะฮฺ มันไม่สามารถเข้าไปยังสถานที่ดังกล่าวได้เพราะมีมลาอิกะฮฺคอยพิทักษ์รักษาอยู่ (เมื่อมันไม่สามารถเข้าเมืองมะดีนะฮฺได้) มันจะหยุดอยู่ ณ พื้นที่แห้งแล้งไม่มีต้นไม้(อัส-สะบะเคาะฮฺ) แล้วเมืองมะดีนะฮจะสั่นไหวสามครั้ง เมื่อนั้นบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาและพวกมุนาฟิก(กลับกลอก)จะถูกขับกระเด็นออกจากเมืองมะดีนะฮฺทั้งหมด


    จากอับดุลลอฮฺ บิน อุมัร รอฏิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่า


    كُنَّا قُعُودًا عِنْدَ رَسُولِ اللَّهِ، فَذَكَرَ الْفِتَنَ فَأَكْثَرَ فِي ذِكْرِهَا حَتَّى ذَكَرَ فِتْنَةَ الأَحْلَاسِ، فَقَالَ قَائِلٌ : يَا رَسُولَ اللَّهِ وَمَا فِتْنَةُ الأَحْلاَسِ ؟ قَالَ : هِيَ هَرَبٌ وَحَرْبٌ ، ثُمَّ فِتْنَةُ السَّرَّاءِ ، دَخَنُهَا مِنْ تَحْتِ قَدَمَيْ رَجُلٍ مِنْ أَهْلِ بَيْتِي يَزْعُمُ أَنَّهُ مِنِّي ، وَلَيْسَ مِنِّي ، وَإِنَّمَا أَوْلِيَائِي الْمُتَّقُونَ ، ثُمَّ يَصْطَلِحُ النَّاسُ عَلَى رَجُلٍ كَوَرِكٍ عَلَى ضِلَعٍ ، ثُمَّ فِتْنَةُ الدُّهَيْمَاءِ ، لاَ تَدَعُ أَحَدًا مِنْ هَذِهِ الأُمَّةِ إِلاَّ لَطَمَتْهُ لَطْمَةً ، فَإِذَا قِيلَ : انْقَضَتْ ، تَمَادَتْ يُصْبِحُ الرَّجُلُ فِيهَا مُؤْمِنًا ، وَيُمْسِي كَافِرًا ، حَتَّى يَصِيرَ النَّاسُ إِلَى فُسْطَاطَيْنِ ، فُسْطَاطِ إِيمَانٍ لاَ نِفَاقَ فِيهِ ، وَفُسْطَاطِ نِفَاقٍ لاَ إِيمَانَ فِيهِ ، فَإِذَا كَانَ ذَاكُمْ فَانْتَظِرُوا الدَّجَّالَ ، مِنْ يَوْمِهِ ، أَوْ مِنْ غَدِهِ


    ความว่า “พวกเราได้นั่งใกล้กับท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แล้วท่านได้กล่าวถึง ฟิตนะฮฺ วิกฤติการณ์ต่างๆมากมายจนกระทั้งท่านได้กล่าวถึง ฟิตนะฮฺ อัลอัหลาส มีเศาะหะบะฮฺถามท่านว่า โอ้ รอซูลุลลอฮฺ ฟิตนะฮฺ อัล-อะห์ลาส(อะห์ลาส เชิงภาษาหมายถึง พรมหรืออานที่ติดบนหลังอูฐ ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบว่าวิกฤติการณ์นี้จะยืดเยื้อต่อเนื่อง - ผู้แปล) มันคืออะไร?ท่านนบีตอบว่า มันคือ การหลบหนีและการฆ่าฟันกัน จากนั้นจะมี ฟิตนะฮฺ อัส-สัรรออ์ (การทดสอบด้วยความสบาย ความปลอดภัย) ฟิตนะฮฺดังกล่าวจะเผยแพร่โดยชายคนหนึ่งที่มาจากวงค์ตระกูลของฉัน อ้างว่าเขามาจากฉัน(คือปฏิบัติตามแนวทางของฉัน)แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่(เพราะผู้สืบสกุลของฉันที่แท้จริงจะไม่สร้างฟิตนะฮฺความวุ่นวายแก่สังคม) หากแต่เขาจะเป็นผู้ที่ยำเกรงต่ออัลลอฮฺ จากนั้นมวลมนุษย์จะตกลงให้สัตยาบันแก่ชายคนหนึ่งเหมือนกับกระดูกสะโพกบนซี่โครง(เป็นการเปรียบถึงความไม่มีเสถียรภาพไม่มั่นคงของการปกครองและชายคนดังกล่าวไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่) จากนั้นจะมีฟิตนะฮฺ อัด-ดุฮัยมาอ์(ภัยมืด) ประชาชาติมุสลิมทุกคนจะต้องประสบกับฟิตนะฮฺอันนี้ เมื่อผู้คนคิดว่ามันได้สิ้นสุดสงบลงแล้ว มันก็ยังยืดเยื้อออกไปอีก จนผู้ชายบางคนตอนเช้าเป็นผู้ศรัทธา(ในกลางวันพวกเขาจะรักษาคุ้มครองชีวิต ทรัพย์สิน เกียรติพี่น้องมุสลิมด้วยกัน) พอตกเย็นกลายเป็นกาฟิรปฏิเสธศรัทธา(ในตอนกลางคืนพวกเขากลับละเมิดในชีวิต ทรัพย์สิน เกียรติพี่น้องมุสลิมด้วยกัน) จนกระทั่งมนุษย์จะมีพลับพลาสองแห่ง(เป็นการเปรียบเทียบถึงพรรคพวกหรือเมือง) แห่งที่หนึ่งเป็นพลับพลาที่เต็มไปด้วยอีมาน(ศรัทธา)ไม่มีการกลับกลอกใดๆ และแห่งที่สองเป็นพลับพลาที่เต็มไปด้วยการกลับกลอกไร้ซึ่งความศรัทธาใดๆ เมื่อพวกเจ้าประสบภัยเช่นนั้นก็จงรอการปรากฏตัวของของดัจญาลในวันนั้นหรือวันรุ่งขึ้น“ (หะดีษเศาะฮีหฺ, บันทึกโดย อะห์มัด : 6168, อบู ดาวูด : 4242, ดู อัส-สิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮ : 947)



    ฟิตนะฮฺของดัจญาล


    การปรากฏตัวของดัจญาล เป็นบททดสอบอีมานอันยิ่งใหญ่สำหรับผู้ศรัทธาเพราะอัลลอฮฺให้มันมีความสามารถทำอภินิหารให้ผู้คนแปลกใจ มีหลักฐานจากตัวบทว่าดัจญาลนั้นมีสวรรค์และนรก(ปลอม) นรกของมันก็คือสวรรค์ที่แท้จริง ส่วนสวรรค์ของเขาก็คือนรกที่แท้จริง มันมีภูเขาขนมปัง มีแม่นํ้า มันสามารถสั่งฟ้าให้หลั่งนํ้าฝน สามารถสั่งพื้นดินให้พืชพันธุ์งอกเงยได้ ทรัพยากรมีค่าในดินก็ทำตามมัน มันสามารถเดินทางบนพื้นแผ่นดินอย่างรวดเร็ว เหมือนกับฝนเมื่อมีลมพายุพัด มันจะอยู่ในพื้นพิภพนี้นาน 40 วัน โดยจะมี 1 วันที่นานเหมือน 1 ปี มี 1 วันที่นานเหมือน 1 เดือน และมี 1 วันที่นานเหมือน 1 อาทิตย์ส่วนวันที่เหลือจะเหมือนวันปกติธรรมดาทั่วไป จากนั้น นบีอีซา อะลัยฮิสสลาม จะเป็นผู้ลงมือฆ่ามัน ณ ประตูลุ๊ด ในประเทศปาเลสไตน์


    ลักษณะของดัจญาล


    ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ตักเตือนพวกเราไม่ให้หลงเชื่อดัจญาล ดังนั้นท่านจึงอธิบายแก่พวกเราถึงคุณลักษณะของมันเพื่อให้พวกเราได้ระวังตัว ท่านได้ระบุว่ามันเป็นชายวัยฉกรรณ์มีผิวสีแดง มีตาพิการ เป็นหมันไม่ให้กำเนิดลูก บนหน้าผากจะมีอักษรอาหรับเขียนว่ากาฟิรฺ มุสลิมทุกคนเมื่อเห็นแล้วสามารถอ่านออกได้ ดังหะดีษ


    จากอุบาดะฮฺ บิน อัศ-ศอมิต รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า


    إِنَّ مَسِيحَ الدَّجَّالِ رَجُلٌ قَصِيرٌ ، أَفْحَجُ ، جَعْدٌ ، أَعْوَرُ مَطْمُوسُ الْعَيْنِ ، لَيْسَ بِنَاتِئَةٍ ، وَلاَ حَجْرَاءَ ، فَإِنْ أُلْبِسَ عَلَيْكُمْ ، فَاعْلَمُوا أَنَّ رَبَّكُمْ تبارك وتعالى لَيْسَ بِأَعْوَرَ


    ความว่า “แท้จริงดัจญาลผู้ตาบอดนั้นเป็นชาย รูปร่างเตี้ย เดินขาถ่าง ผมหยิก ตาข้างหนึ่งของมันพิการ(บอด)ไม่มีแวว ดวงตาของมันไม่โปนบวมและยื่นออกมา(ผิวบริเวณตาจะเรียบ) ถ้าหากมันมาหลอกลวงพวกท่านเพิ่งรู้เถิดว่าแท้จริงพระผู้เป็นเจ้าของท่านไม่ได้มีตาพิการ” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยอะห์มัด : 23144, อบู ดาวูด : 4320, ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อบี ดาวูด : 3630)


    สถานที่ดัจญาลจะปรากฏตัว


    จากอันเนาวาส บิน สัมอาน รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวถึงดัจญาลซึ่งมีบางตอนว่า


    ... إِنَّهُ خَارِجٌ خَلَّةً بَيْنَ الشَّأْمِ وَالْعِرَاقِ ، فَعَاثَ يَمِينًا وَعَاثَ شِمَالاً


    ความว่า “...แท้จริงมันจะออกมาตามเส้นทางระหว่างประเทศชามกับอิรัก อีกทั้งทำความเสียหายให้เกิดขึ้นทางด้านขวาและด้านซ้าย” (มุสลิม : 2937)


    สถานที่ดัจญาลไม่สามารถเข้าได้


    จากอะนัส บิน มาลิก รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า


    لَيْسَ مِنْ بَلَدٍ إِلاَّ سَيَطَؤُهُ الدَّجَّالُ ، إِلاَّ مَكَّةَ وَالْمَدِينَةَ


    ความว่า “ไม่มีเมืองใดนอกจากดัจญาลจะย่ำผ่านเข้าไปนอกจากเมืองมักกะฮฺและเมืองมะดีนะฮฺ” (อัล-บุคอรีย์ : 1881 และมุสลิม : 2943)


    จากเศาะหาบะฮฺชายคนหนึ่ง กล่าวว่า แท้จริงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวถึงดัจญาลว่า


    وَلاَ يَقْرَبُ أَرْبَعَةَ مَسَاجِدَ مَسْجِدَ الْحَرَامِ ، وَمَسْجِدَ الْمَدِينَةِ ، وَمَسْجِدَ الطُّورِ ، وَمَسْجِدَ الأَقْصىْ


    ความว่า “...และมันจะไม่เข้าใกล้มัสยิด 4 แห่ง คือ มัสยิดอัล-หะรอม(มักกะฮฺ) มัสยิดอัลมะดีนะฮฺ มัสยิดอัฏ-ฏูร(ภูเขาซีนาย) และมัสยิดอัลอักศอ” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยอะห์มัด : 24085, ดู อัสสิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮฺ : 2934)


    สาวกของดัจญาล


    สาวกหรือผู้ที่หลงเชื่อดัจญาลส่วนใหญ่แล้วจะเป็นชาวยิว ชาวอะญัม(ไม่ใช่คนอาหรับ) ชาวเติร์ก และชนชาติอื่นๆ ส่วนใหญ่จะเป็นสตรีและผู้คนทั่วไปตามชนบท ดังในหะดีษจากอะนัส บิน มาลิก เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ แท้จริงท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า ​


    يَتْبَعُ الدَّجَّالَ مِنْ يَهُودِ أَصْبَهَانَ ، سَبْعُونَ أَلْفًا عَلَيْهِمُ الطَّيَالِسَةُ ​


    ความว่า “จะมีผู้ตามดัจญาลจากพวกยิวอัศบะฮาน(เมืองหนึ่งในประเทศอิหร่านปัจจุบัน) จำนวนเจ็ดหมื่นคนโดยทั้งหมดจะสวมเสื้อคลุม(เสื้อคลุมบ่าโดยไม่มีการตัดเย็บ)” (มุสลิม : 2944) ​


    การป้องการภัยจากดัจญาล


    ภัยจากดัจญาลนั้นสามารถป้องกันได้ด้วยการศรัทธามั่นในอัลลอฮฺและขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจากภัยการล่อลวงของมันโดยเฉพาะการดุอาอ์(วิงวอน)ในเวลาละหมาด อีกวิธีหนึ่งคือการหลีกหนีให้พ้นเมื่อพบกับมัน ดังในหะดีษ


    مَنْ حَفِظَ عَشَرَ آياَتٍ مِنْ أَوَّلِ سُوْرَةِ الْكَهْفِ عُصِمَ مِنَ الدَّجَّالِ


    ความว่า “ผู้ใดท่องจำสิบอายะฮฺตอนต้นของสูเราะฮฺ อัล-กะฮฺฟิ เขาจะปลอดภัยจากการล่อลวงของดัจญาล”


    وفي لفظ : فَمَنْ أَدْرَكَهُ مِنْكُمْ ، فَلْيَقْرَأْ عَلَيْهِ فَوَاتِحَ سُورَةِ الْكَهْفِ


    อีกสำนวนหนึ่ง “ดังนั้นบุคลคลใดในหมู่พวกท่านพบมันก็จงอ่านใส่มันอายะฮฺต้นๆของสูเราะฮฺอัล-กะฮฺฟิ”


    [​IMG]






    การลงมาของนบีอีซา บุตร มัรยัม


    หลังจากการออกมาสร้างความเสียหายบนพื้นแผ่นดินของดัจญาล อัลลอฮฺจึงส่งนบีอีซา บุตร มัรยัม อะลัยฮิมัสสลาม ลงจากฟากฟ้ามายังโลกมนุษย์ผ่านทางประภาคารสีขาวทางทิศตะวันออกของเมืองดามัสกัส ในลักษณะที่ท่านลงจะวางสองฝ่ามือของท่านบนปีกของมลาอิกะฮฺสองท่าน นบีอีซาจะเป็นผู้ลงมือสังหารดัจญาล ท่านจะทำการปกครองด้วยบทบัญญัติของอิสลาม ท่านจะหักไม้กางเขน ท่านจะฆ่าสุกร ท่านจะยกเลิกบทบัญญัติเกี่ยวกับภาษีราชนูปกร(ญิซยะฮฺ) ในวันนั้นทรัพย์เงินทองจะมีมากมายก่ายกอง ความขัดแย้งและข้อพิพาทต่างๆ จะหมดไป ท่านจะอยู่บนโลกนี้นานเจ็ดปี โดยไม่มีการเป็นศัตรูต่อกันระหว่างผู้ใดเลย สุดท้ายท่านก็สิ้นชีวิตแล้วบรรดามุสลิมก็จะจัดการละหมาดญะนาซะฮฺให้แก่ท่าน


    จากนั้นอัลลอฮฺจะส่งลมพัดที่เย็นชื่นมาจากแถบประเทศชาม(แถบซีเรีย) ไม่มีผู้ใดในโลกนี้ที่หัวใจของเขามีอีมานแม้เพียงเท่าผงธุลีเว้นแต่เมื่อโดนลมนี้แล้วจะเสียชีวิตทันที แล้วในโลกนี้จะเหลือแต่ผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ชั่วช้าตัวเบาเช่นวิหคและมีปัญญาเช่นเดรัจฉาน พวกเขาจะมีเพศสัมพันธ์กับหญิงอย่างเปิดเผยเหมือนกับลา จากนั้นชัยฏอนจะสั่งพวกเขาเหล่านั้นเคารพสักการะรูปปั้น พวกเขาก็จะทำตาม แล้ววันกิยามะฮฺจะบังเกิดขึ้นกับพวกเขา


    จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า


    وَالَّذِي نَفْسِي بِيَدِهِ ، لَيُوشِكَنَّ أَنْ يَنْزِلَ فِيكُمْ ابْنُ مَرْيَمَ حَكَمًا عَدْلاً ، فَيَكْسِرَ الصَّلِيبَ ، وَيَقْتُلَ الخِنْزِيرَ ، وَيَضَعَ الجِزْيَةَ ، وَيَفِيضَ المَالُ حَتَّى لاَ يَقْبَلَهُ أَحَدٌ ، حَتَّى تَكُونَ السَّجْدَةُ الوَاحِدَةُ خَيْرًا مِنَ الدُّنْيَا وَمَا فِيهَا، ثُمَّ يَقُولُ أَبُو هُرَيْرَةَ رضي الله عنه : وَاقْرَءُوا إِنْ شِئْتُمْ وَإِنْ مِنْ أَهْلِ الْكِتَابِ إِلاَّ لَيُؤْمِنَنَّ بِهِ قَبْلَ مَوْتِهِ وَيَوْمَ الْقِيَامَةِ يَكُونُ عَلَيْهِمْ شَهِيدًا (النساء/159)


    ความว่า “ขอสาบานด้วยผู้ที่ชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ บุตรของมัรยัม(นบีอีซา)ใกล้จะลงมายังพวกเจ้า และจะปกครองแผ่นดินด้วยความยุติธรรม ท่านจะหักไม้กางเขน จะฆ่าสุกร จะยกเลิกภาษีราชนูปกร(ญิซยะฮฺ) และทรัพย์สินเงินทองจะไหลบ่ามีมาก จนไม่มีใครที่จะรับเงินบริจาคอีก จนกระทั่งการสุญูดครั้งหนึ่งประเสริฐกว่าโลกดุนยานี้และสรรพสิ่งที่อยู่ในมัน” จากนั้นอบู ฮุร็อยเราะฮฺ ก็กล่าวว่า หากพวกเจ้าต้องการพวกท่านจงอ่านอายะฮฺ..


    وَإِنْ مِنْ أَهْلِ الْكِتَابِ إِلاَّ لَيُؤْمِنَنَّ بِهِ قَبْلَ مَوْتِهِ وَيَوْمَ الْقِيَامَةِ يَكُونُ عَلَيْهِمْ شَهِيدًا


    ความว่า “และไม่มีอะฮ์ลิลกิตาบ(ชาวคริสต์และยิว)คนใด นอกจากแน่นอนเขาจะต้องศรัทธา ต่อท่านนบีอีซา ก่อนที่เขาจะตาย และวันกิยามะฮฺ เขา(นบีอีซา)จะเป็นพยานยืนยันพวกเขาเหล่านั้น” (อัน-นิสาอ์ : 159)


    (หะดีษบันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ : 3448 สำนวนเป็นของท่าน และมุสลิม : 155)




    ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์


    ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์คือ สองประชาชาติที่ยิ่งใหญ่จากลูกหลานอาดัม พวกเขาคือมนุษย์จอมพลังที่ไม่มีใครเทียมทานได้ การออกมาของสองประชาชาตินี้คือสัญญาณวันกิยามะฮฺ พวกเขาจะสร้างความเสียหายบนพื้นแผ่นดิน จากนั้นท่านนบีอีซา อะลัยฮิสลาม จะขอดุอาอ์ให้พวกเขาตาย


    1. อัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า


    حَتَّى إِذَا فُتِحَتْ يَأْجُوجُ وَمَأْجُوجُ وَهُمْ مِنْ كُلِّ حَدَبٍ يَنْسِلُونَ


    ความว่า “จนกระทั่งเมื่อยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์ถูกปล่อยออกมา และพวกเขาจะกระจายลงมาอย่างรวดเร็วจากทุกทิศทาง” (อัล-อันบิยาอ์ : 96)


    2. จากอันเนาวาส บิน สัมอาน รอฎิยัลลฮุอันฮุ กล่าวว่าท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวถึงเรื่องดัจญาลว่านบีอีซาจะเป็นผู้ลงมือสังหารมัน ณ ประตูลุ๊ด ซึ่งมีระบุว่า


    إِذْ أَوْحَى اللَّهُ إِلَى عِيسَى : إِنِّي قَدْ أَخْرَجْتُ عِبَادًا لِي ، لاَ يَدَانِ لأَحَدٍ بِقِتَالِهِمْ ، فَحَرِّزْ عِبَادِي إِلَى الطُّورِ ، وَيَبْعَثُ اللَّهُ يَأْجُوجَ وَمَأْجُوجَ ، وَهُمْ مِنْ كُلِّ حَدَبٍ يَنْسِلُونَ ، فَيَمُرُّ أَوَائِلُهُمْ عَلَى بُحَيْرَةِ طَبَرِيَّةَ فَيَشْرَبُونَ مَا فِيهَا ، وَيَمُرُّ آخِرُهُمْ فَيَقُولُونَ : لَقَدْ كَانَ بِهَذِهِ مَرَّةً مَاءٌ ، وَيُحْصَرُ نَبِيُّ اللَّهِ عِيسَى وَأَصْحَابُهُ ، حَتَّى يَكُونَ رَأْسُ الثَّوْرِ لأَحَدِهِمْ خَيْرًا مِنْ مِائَةِ دِينَارٍ لأَحَدِكُمُ الْيَوْمَ ، فَيَرْغَبُ نَبِيُّ اللَّهِ عِيسَى وَأَصْحَابُهُ ، فَيُرْسِلُ اللَّهُ عَلَيْهِمُ النَّغَفَ فِي رِقَابِهِمْ ، فَيُصْبِحُونَ فَرْسَى كَمَوْتِ نَفْسٍ وَاحِدَةٍ ، ثُمَّ يَهْبِطُ نَبِيُّ اللَّهِ عِيسَى وَأَصْحَابُهُ إِلَى الأَرْضِ


    ความว่า ”อัลลอฮฺได้ทรงวะห์ยูมายังอีซาว่า แท้จริงเรา(อัลลอฮฺ)ได้ให้บ่าวจำนวนหนึ่งของเราออกมาซึ่งไม่มีสองมือของบุคคลใดที่จะต่อสู้กับเขาได้ ดังนั้นท่านจงนำบ่าวของข้าไปหลบกำบังยังภูเขาฏูรฺเถิด และอัลลอฮฺก็ส่งยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์มา โดยพวกเขาจะกระจายไปทั่วแผ่นดินอย่างรวดเร็ว ชุดแรกจะผ่านมาที่ทะเลสาบเฏาะบะริยะฮฺ(ปัจจุบันอยู่ในประเทศซีเรีย) พวกเขาจะดื่มน้ำที่อยู่ในทะเลสาบนั้นและชุดสุดท้ายของพวกมันก็ผ่านมาพลางพวกเขากล่าวว่า ครั้งหนึ่งเคยมีน้ำอยู่ที่นี้ ผู้เป็นนบีของอัลลอฮฺคืออีซาและสหายของท่านจะถูกปิดล้อมจนขนาดที่ว่า หัววัวสำหรับคนหนึ่งในหมู่พวกเขานั้นดียิ่งกว่าเงินหนึ่งร้อยดีนาร์สำหรับคนหนึ่งในหมู่พวกท่านในวันนี้(หมายถึงไม่มีอาหารให้กินแม้กระทั่งหัววัวก็มีค่ามากกว่าเงิน - บรรณาธิการ) ดังนั้นนบีอีซาจะวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺ อัลลอฮฺจึงส่งหนอนมาลงที่ต้นคอของพวกเขา(ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์) รุ่งเช้าพวกเขาก็จะตายกลายเป็นแพพร้อมกันเหมือนชีวิตเดียวกัน ต่อมานบีของอัลลอฮฺอีซาและสหายของท่านจะลงมาจากภูเขาฏูรสู่แผ่นดินเบื้องล่าง” (มุสลิม : 2937)


    หลังจากที่นบีอีซาและสหายของท่านจะลงมาสู่แผ่นดินท่านจะวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺอีก อัลลอฮฺจึงได้ส่งฝูงนกมานำร่างของพวกยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์ไปทิ้งที่ตามอัลลอฮฺทรงประสงค์จากนั้นพระองค์จะส่งความบะเราะกะฮฺ(เพิ่มพูน-สิริมงคล)แก่พื้นแผ่นดิน จะทรงให้พืชพันธุ์งอกเงยอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งจะเกิดความบะเราะกะฮฺในกิจการเกษตรและปศุสัตว์อีกด้วย



    4, 5, 6. จะมีเหตุการณ์ธรณีสูบ


    การเกิดธรณีสูบสามแห่งเป็นสัญญาณใหญ่ของวันกิยามะฮฺ คือจะเกิดทางทิศตะวันออก ทางทิศตะวันตกและแถวคาบสมุทรอาหรับ เหตุการณ์นี้ยังไม่ได้เกิดขึ้น



    7. ควันไฟ


    فَارْتَقِبْ يَوْمَ تَأْتِي السَّمَاءُ بِدُخَانٍ مُبِينٍ، يَغْشَى النَّاسَ هَذَا عَذَابٌ أَلِيمٌ


    ความว่า “ดังนั้น เจ้าจงคอยเฝ้าดูวันที่ชั้นฟ้าจะนำควันออกมาซึ่งจะเห็นได้ชัด ซึ่งจะครอบคลุมผู้คน นี่คือการลงโทษอันเจ็บปวด” (อัด-ดุคอน : 10-11)


    จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เล่าจากท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า


    بَادِرُوا بِالْأَعْمَالِ سِتًّا : طُلُوعَ الشَّمْسِ مِنْ مَغْرِبِهَا ، أَوِ الدُّخَانَ ، أَوِ الدَّجَّالَ ، أَوِ الدَّابَّةَ ، أَوْ خَاصَّةَ أَحَدِكُمْ أَوْ أَمْرَ الْعَامَّةِ


    ความว่า “พวกท่านจงรีบเร่งทำอะมัลต่างๆ ก่อนที่หกประการนี้จะเกิดขึ้น คือ การที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก หรือควัน หรือการออกมาของดัจญาล หรือด๊าบบะฮฺ(สัตว์พูดกับมนุษย์ได้) หรือสิ่งที่จะเกิดกับตัวท่านเป็นการเฉพาะ(คือความตาย) หรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้คนทั่วไป(คือกิยามะฮฺ)” (มุสลิม : 2947)




    8. ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก


    การที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกเป็นสัญญาณใหญ่ของวันกิยามะฮฺ เป็นสัญญาณแรกของการเปลี่ยนแปลงของระบบจักรวาล ดังหลักฐานที่ปรากฏดังนี้


    يَوْمَ يَأْتِي بَعْضُ آيَاتِ رَبِّكَ لا يَنْفَعُ نَفْسًا إِيمَانُهَا لَمْ تَكُنْ آمَنَتْ مِنْ قَبْلُ أَوْ كَسَبَتْ فِي إِيمَانِهَا خَيْرًا قُلِ انْتَظِرُوا إِنَّا مُنْتَظِرُونَ


    ความว่า “วันที่สัญญาณบางอย่างแห่งพระเจ้าของเจ้ามานั้น จะไม่อำนวยประโยชน์แก่ชีวิตหนึ่งชีวิตใดซึ่งการศรัทธาของเขาหากเขามิได้ศรัทธามาก่อน หรือมิได้แสวงหาความดีใดๆ ไว้ในการศรัทธาของเขา” (อัล-อันอาม : 158)


    จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เล่าจากท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า


    لاَ تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى تَطْلُعَ الشَّمْسُ مِنْ مَغْرِبِهَا ، فَإِذَا طَلَعَتْ مِنْ مَغْرِبِهَا آمَنَ النَّاسُ كُلُّهُمْ أَجْمَعُونَ فَيَوْمَئِذٍ لاَ يَنْفَعُ نَفْسًا إِيمَانُهَا لَمْ تَكُنْ آمَنَتْ مِنْ قبْلُ أَوْ كَسَبَتْ فِي إِيمَانِهَا خَيْرًا


    ความว่า “วันกิยามะฮฺจะยังไม่อุบัติขึ้นจนกว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก เมื่อมันขึ้นมาทางทิศตะวันตกแล้วมวลมนุษย์จะกลายเป็นผู้ศรัทธามั่น แต่ ณ วันนั้นจะไม่อำนวยประโยชน์แก่ชีวิตหนึ่งชีวิตใดซึ่งการศรัทธาของเขาโดยที่เขามิได้ศรัทธามาก่อน หรือมิได้แสวงหาความดีใด ๆ ไว้ในการศรัทธาของเขา” (อัล-บุคอรีย์ : 4635, มุสลิม : 157 สำนวนเป็นของท่าน)


    จากอับดุลลอฮฺ บิน อัมรฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าว่า


    إِنَّ أَوَّلَ الْآيَاتِ خُرُوجًا ، طُلُوعُ الشَّمْسِ مِنْ مَغْرِبِهَا ، وَخُرُوجُ الدَّابَّةِ عَلَى النَّاسِ ضُحًى ، وَأَيُّهُمَا مَا كَانَتْ قَبْلَ صَاحِبَتِهَا ، فَالْأُخْرَى عَلَى إِثْرِهَا قَرِيباً


    ความว่า “เครื่องหมายแรกของวันกิยามะฮฺที่จะปรากฏคือ การที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก และการที่สัตว์ออกมา(พูดตักเตือน)มนุษย์ในตอนสาย ทั้งสองอย่างนี้ถ้าอันไหนเกิดขึ้นก่อน อีกอย่างหนึ่งก็จะเกิดขึ้นตามหลังมาจากนั้นในเวลาไล่เลี่ยกัน” (มุสลิม : 2942)


    9. การออกมาของด๊าบบะฮฺ (สัตว์เลื้อยคลาน)


    การออกมาของด๊าบบะฮฺสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่งในวาระสุดท้ายของโลกเป็นสัญญาณว่าวันกิยามะฮฺนั้นเริ่มใกล้เข้ามาเต็มที่แล้ว สัตว์ดังกล่าว จะประทับตราบนจมูกของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา(เพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงให้เห็นว่าผู้นั้นเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา) และจะทำให้ใบหน้าของผู้ศรัทธามีราศี ส่วนหนึ่งของหลักฐานเกี่ยวกับการออกมาของด๊าบบะฮฺ มีดังนี้ อัลลอฮฺได้ตรัสว่า


    وَإِذَا وَقَعَ الْقَوْلُ عَلَيْهِمْ أَخْرَجْنَا لَهُمْ دَابَّةً مِنَ الأرْضِ تُكَلِّمُهُمْ أَنَّ النَّاسَ كَانُوا بِآيَاتِنَا لا يُوقِنُونَ


    ความว่า “และเมื่อพระดำรัสเกิดขึ้นแก่พวกเขา(หมายถึงได้เวลาที่กำหนดแล้ว) เราจะได้ให้สัตว์ออกมาจากแผ่นดินแก่พวกเขา เพื่อกล่าวแก่พวกเขาว่า แท้จริงปวงมนุษย์นั้นไม่ยอมเชื่อมั่นต่อโองการทั้งหลายของเรา” (อัน-นัมล์ : 82)


    จากอบูฮุรอยเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า


    ثَلاَثٌ إِذَا خَرَجْنَ لاَ يَنْفَعُ نَفْسًا إِيمَانُهَا لَمْ تَكُنْ آمَنَتْ مِنْ قَبْلُ أَوْ كَسَبَتْ فِي إِيمَانِهَا خَيْرًا : طُلُوعُ الشَّمْسِ مِنْ مَغْرِبِهَا ، وَالدَّجَّالُ ، وَدَابَّةُ الأَرْضِ


    ความว่า “มีสามสิ่ง ซึ่งหากทั้งหมดปรากฏขึ้น การศรัทธาของบุคคลจะไร้ความหมายโดยที่ไม่ศรัทธาก่อนหน้านั้น หรือมิได้ปฏิบัติตามที่ตนศรัทธา สามสิ่งดังกล่าวคือ การที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก เมื่อดัจญาลปรากฏตัว และเมื่อด๊าบบะฮฺออกมา” (มุสลิม : 158)




    10. ไฟไล่ต้อนมวลมนุษย์


    ไฟที่จะออกมาในวันนั้นคือไฟกองใหญ่อันมหึมา ซึ่งจะออกจากทางทิศตะวันออกของประเทศยะมัน(เยเมน) จากก้นบึงของทะเลเอเดน มันเป็นสัญญาณสุดท้ายของวันกิยามะฮฺ และเป็นเครื่องหมายแรกที่อัลลอฮฺอนุมัติให้เหตุการณ์กิยามะฮฺบังเกิดขึ้น ไฟกองดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นจากประเทศยะมันและจะลามไปทั่วโลกเพื่อไล่ตอนมวลมนุษย์สู่มะห์ชัร(แหล่งรวมตัวเพื่อการพิพากษา) ณ ดินแดนชาม


    ลักษณะของการไล่ตอนมนุษย์ของไฟ


    จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า


    يُحْشَرُ النَّاسُ عَلَى ثَلَاثَةِ طَرَائِقَ : رَاغِبِينَ وَرَاهِبِينَ ، اثْنَانِ عَلَى بَعِيرٍ ، وَثَلَاثَةٌ عَلَى بَعِيرٍ ، وَأَرْبَعَةٌ عَلَى بَعِيرٍ ، وَعَشَرَةٌ عَلَى بَعِيرٍ ، وَتَحْشُرُ بَقِيَّتَهُمُ النَّارُ ، َتَقِيلُ مَعَهُمْ حَيْثُ قَالُوا، تَبِيتُ مَعَهُمْ حَيْثُ بَاتُوا، وَتُصْبِحُ مَعَهُمْ حَيْثُ يُصْبِحُوا ، وَتُمْسِي مَعَهُمْ حَيْثُ أَمْسَوْا


    ความว่า “มนุษย์ทั้งหลายจะถูกให้มารวมตัวกันสามกลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรกก็คือผู้ที่มีความหวังว่าจะเข้าสวรรค์ซึ่งมีความหวาดกลัวว่าจะถูกทำโทษ กลุ่มที่สองคือพวกที่ถูกรวบรวมโดยขี่อูฐมา ตัวหนึ่งขี่สองคนหรือสามคนบนอูฐตัวเดียว หรือสี่คนบนอูฐตัวเดียว หรือสิบคนบนอูฐตัวเดียว ส่วนกลุ่มที่สามคือพวกที่เหลือจากนั้น พวกนี้จะถูกกระตุ้นให้มารวมกันโดยใช้ไฟ ซึ่งจะตามพวกเขาไปเมื่อเวลาหลับในยามบ่าย อีกทั้งอยู่กับพวกเขาในตอนที่พวกเขาพักผ่อนในเวลากลางคืนและจะอยู่กับพวกเขาในตอนเช้าและตอนบ่าย” (อัล-บุคอรีย์ : 6522, มุสลิม : 2861)

    แหล่งอ้างอิง:
    สัญญาณแรกของกิยามะฮฺและความต่อเนื่อง - ไทย

    คำทำนายของศาสนาอิสลาม | ThaiGoodView.com<!-- google_ad_section_end --> <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มิถุนายน 2010
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ความจริงคนยิวก็มีทั้งเป็นคนดีและคนไม่ดี เหมือนๆคนไทย
    ก็ต้องแยกแยะ พิจารณากันไป อย่าไปเกลียดชังกันให้มาก เพราะคนเราก็เหมือนๆกัน
    เพียงแต่คนหลงผิดเพราะถูกกิเลส(ซาตาน ชัยฏอน)ชักจูงให้เห็นผิดเป็นชอบก็ทำกรรมไม่ดี
    เราเห็นคนทำผิดก็อย่าไปทำตามเขา ทวนขึ้นที่สู่ที่สูง ทำใจให้สูง ก็จะเห็นความจริงได้
    ว่าควรดำเนินชีวิตไปทางไหน

    ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี แต่บางคนก็เห็นกงจักรเป็นดอกบัวได้
    ถ้าปรองดองกันได้ ไม่ดูถูกเหยียดหยามซึ่งกันและกัน โลกก็คงสงบสุข
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ฟาริสี
    เป็นกลุ่มผู้นำทางศาสนาของชาวยิว ที่มีบทบาทสำคัญในปาเลสไตน์ เกิดขึ้นจากกลุ่มคนที่มีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะประพฤติตามกฎบัญญัติทุกข้อ ที่ปรากฏในธรรมบัญญัติของโมเสส ในสมัยพระคัมภีร์ใหม่ผู้นำทางศาสนาของยิวจะแบ่งออกเป็น 2 พรรคใหญ่ๆ พรรคที่มีจำนวนสมาชิกมากกว่าคือ พรรคฟาริสี อีกพรรคหนึ่งคือพรรคสะดูสี (ดู ``สะดูสี'') สองพรรคนี้เกิดขึ้นในสมัยที่ประเทศกรีกปกครองปาเลสไตน์ ในราวปี 200 ก่อน ค.ศ. พวกฟาริสีเคร่งครัดในเรื่องการถือขนบธรรมเนียมประเพณี โดยเฉพาะข้อห้ามต่างๆ พวกเขาถือว่าพระเจ้าไม่พอพระทัยใครเลยนอกจากพวกเขา พวกเขาจึงไม่ยอมคบกับคนต่างชาติหรือชาวยิวที่ไม่เคร่งศาสนา พวกฟาริสีพยายามตีความบทบัญญัติและกฏเกณฑ์ต่างๆ เพื่อให้การปฏิบัติ ครอบคลุมถึงการดำเนินชีวิตทุกด้าน จึงเกิดกฎบัญญัติเพิ่มขึ้นอีกหลายร้อยข้อที่ไม่มีในพระคัมภีร์ กลายเป็นบัญญัติข้อหยุมๆ หยิมๆ เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เช่น การถือพิธีล้างชำระ การถือศีลอดอาหาร การถวายทศางค์ การกล่าวสาบานตัว เป็นต้น พวกฟาริสีบางคนสนใจแต่เรื่องการปฏิบัติตามกฎบัญญัติ แต่ไม่สนใจเรื่องสภาพฝ่ายจิตวิญญาณ พระเยซูจึงมักจะกล่าวตำหนิคนเหล่านี้อยู่เสมอ (มธ.23) ซึ่งเป็นเหตุให้ฟาริสีพวกนี้ร่วมมือกับพวกสะดูสีเพื่อวางแผนกำจัดพระองค์ พวกฟาริสีมีความเชื่อในเรื่องต่างๆ ที่ไม่ได้บันทึกในหมวดธรรมบัญญัติ (หนังสือ 5 เล่มแรกของพระคัมภีร์เดิม) เช่น การเป็นขึ้นจากตาย วิญญาณ ทูตสวรรค์ (กจ.23:6-8) และยังเชื่อว่าหนังสือเล่มอื่นๆ ในหมวดพวกผู้เผยพระวจนะ และหมวดบทกวี เป็นส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์ด้วย หลังจากที่กรุงเยรูซาเล็มถูกทำลายในปี ค.ศ.70 พรรคสะดูสี และพรรคเล็กๆ ค่อยๆ สูญหายไป เหลือแต่พรรคฟาริสี ทำให้ชาวยิวนับตั้งแต่ในสมัยนั้นเป็นต้นมา ต่างพยายามปฏิบัติตามแนวคำสอนของพวกฟาริสีเท่านั้น
    มลทิน
    คือ สภาพของคนหรือสิ่งของที่ผิดแผกแตกต่างไปจาก ข้อกำหนดเรื่องความบริสุทธิ์ในกฎบัญญัติของพระเจ้าหรือธรรมเนียมของชาวยิว ความเป็นมลทินนี้เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับจิตใจ ร่างกาย อาหารการกิน สถานที่ และทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ถ้าชาวอิสราเอลคนใดเป็นมลทินเพราะทำผิดกฎบัญญัติเหล่านี้ เขาจะเข้าร่วมพิธีทางศาสนาหรือร่วมนมัสการพระเจ้าไม่ได้ จนกว่าเขาจะทำพิธีชำระตัวเสียก่อน ดู ``ชำระตัว''
    มารีย์
    ผู้หญิงชื่อมารีย์ ในพระคัมภีร์ใหม่ มีด้วยกัน 6 คน คือ 1) มารีย์ มารดาของพระเยซู (ลก.1:27) 2) มารีย์ มักดาลา ผู้ซึ่งกลับใจติดตามพระเยซูหลังจากที่พระองค์ทรงขับผีออกจากนาง (ลก.8:2) 3) มารีย์ พี่สาวของลาซารัส (ยน.11:1-3) เป็นผู้นำน้ำมันหอมนารดามาชโลมพระบาทพระเยซู (ยน.12:1-8) 4) มารีย์ ภรรยาของเคลโอปัส (ยน.19:25) อาจเป็นมารดาของโยเสส (มก.15:47) และยากอบ (มก.16:1)ด้วย 5) มารีย์ มารดาของยอห์น มาระโก มีบ้านอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม ที่ซึ่งสาวกใช้เป็นที่ประชุมนมัสการ (กจ.12:12) 6) มารีย์ ชาวโรมัน (รม.16:6)เป็นสมาชิกคริสตจักรในกรุงโรม
    ยอห์น
    ชื่อนี้ในพระคัมภีร์ใหม่ มีอย่างน้อย 5 คน คือ \nt *1)* ยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา (มธ.3:1-7; มก.1:1-11; ลก.3:1-22; ยน.1:19-34) ที่ปรากฎในหนังสือยอห์น มักจะหมายถึงยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา ท่านเป็นผู้เตรียมใจชาวยิวให้หันจากความบาป เพื่อต้อนรับพระเมสสิยาห์ที่กำลังจะเสด็จมา ท่านถูกกษัตริย์เฮโรด อันติพาส จับขังและประหารชีวิต (มก.6:14-29) \nt *2)* ยอห์น บุตรเศเบดี (มก.10:35) สาวกคนหนึ่งใน 12 คน เป็นน้องของยากอบ และอาจเป็นสาวกที่ไม่ยอมเปิดเผยชื่อในหนังสือยอห์น (สาวกที่พระองค์ทรงรัก - ยน.1:21; 13:23; 19:26-27; 20:2,8; 21:21-23) เขาอาจเป็นผู้เขียนหนังสือยอห์น จดหมาย 1-2-3 ยอห์น และหนังสือวิวรณ์ \nt *3)* ยอห์น มาระโก ลูกของนางมารีย์ที่มีบ้าน อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม (กจ.12:12) เชื่อกันว่าเป็นผู้เขียนหนังสือมาระโก อาจเป็นชายหนุ่มเปลือยกายที่หนีเมื่อพระเยซูถูกจับ (มก.14:51-52) เป็นญาติกับบารนาบัส เคยเดินทางไปประกาศร่วมกับเปาโล (กจ.13:4-13) และเคยเป็นผู้ร่วมงานใกล้ชิดกับเปโตร (1ปต.5:13) \nt *4)* ยอห์น บิดาของเปโตร (ยน.21:15-17) \nt *5)* ยอห์น ญาติของมหาปุโรหิต และเป็นสมาชิกของสภายิว (กจ.4:5-6)
    รอด
    ในพระคัมภีร์เดิม หมายถึงการปลดปล่อยหรือการช่วยให้รอดพ้นจากภัยอันตราย และโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ (อพย.6:6; สดด.6:2-4; 7:1-5; 103:3) ส่วนในพระคัมภีร์ใหม่หมายถึงการทรงไถ่ผู้เชื่อทั้งหลายให้รอดพ้นจากโทษบาปคือความตาย เข้าสู่ชีวิตนิรันดร์และสันติสุขโดยทางพระเยซูคริสต์เท่านั้น (1ธส.5:9) ดู ``ชีวิตนิรันดร์ และ แผ่นดินของพระเจ้า''
    รัก
    คำนี้ในภาษากรีกมีอยู่ 4 คำด้วยกัน คือ สตอร์เก้ อีรอส อากาเป และ ฟีลอส แต่ในพระคัมภีร์ใหม่ปรากฏเพียง 2 คำหลังเท่านั้น คำว่า ``ฟีลอส'' เป็นรากศัพท์ของ ``ฟิลาเดลเฟีย'' ซึ่งหมายถึงความรักระหว่างพี่น้อง (รม.12:10; 2ปต.1:7) ส่วน ``อากาเป'' หมายถึง ความรักที่บริสุทธิ์ เต็มไปด้วยความหวังดี เป็นความปรารถนาดีต่อผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน เป็นการเสียสละเพื่อผู้อื่น (1คร:13) ความรักแบบนี้เราจะเห็นได้จากชีวิตของพระเยซูคริสต์ (ยน.3:16; วว.3:9)
    เลือด
    คำว่าเลือดในพระคัมภีร์เดิม มีความหมายเล็งถึงชีวิตที่พระเจ้าทรงประทาน ด้วยเหตุนี้ เลือดจึงเป็นสิ่งประเสริฐ พระเจ้าจึงห้ามรับประทานเนื้อที่มีเลือดติดอยู่ (ปฐก.9:4) ชาวอิสราเอลจะไม่กินเลือดโดยเด็ดขาด (ลนต.17:12) ในการถวายบูชาตามพันธสัญญาเดิมนั้น แทนที่จะใช้วิธีการทวงเอาชีวิตจากผู้ที่กระทำผิด พระเจ้าทรงรับเลือดของสัตว์เป็นเครื่องไถ่บาปแทน แต่ในพันธสัญญาใหม่ พระเยซูคริสต์ทรงวายพระชนม์ และให้โลหิตของพระองค์ไหลออก เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปผิดของมนุษย์ทุกคน (ยน.1:29; อฟ.1:7) เป็นการประทับตราแห่งพันธสัญญาใหม่ และเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า
    โลก
    คำนี้ในพระคัมภีร์ใหม่มีความหมายได้หลายอย่างคือ 1) จักรวาลที่พระเจ้าทรงสร้าง (มธ.13:35; กจ.17:24) 2) แผ่นดินโลก (ยน.11:9; 16:21) 3) มวลมนุษย์ (ยน.3:16; 2คร.5:19) 4) การกระทำและค่านิยม (มธ.16:26; 1คร.7:33) 5) ความชั่วร้ายที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับพระเจ้า (1ยน.2:15-17)
    วันสุดท้าย
    ชนชาติอิสราเอลในสมัยพระคัมภีร์เดิม รอคอยวันที่พระเจ้าจะเสด็จมาจัดการกับมนุษย์อย่างเด็ดขาด เพื่อแก้ไขสิ่งผิดๆ และตั้งความยุติธรรมของพระองค์ขึ้นในโลก พวกเขาเรียกวันนี้ว่า ``วันแห่งพระเจ้า'' พวกอิสราเอลคิดว่าในวันแห่งพระเจ้านี้จะได้รับแต่พระพร และการช่วยกู้จากพระเจ้าเท่านั้น (อสย.4:2; 10:20) แต่พวกผู้เผยพระวจนะประกาศว่า แต่วันนั้นจะกลายเป็นวันแห่งความมืดมิด เป็นวันวิบัติ วันแห่งการพิพากษาโทษอันเนื่องจากบาปที่ชาวอิสราเอลได้กระทำ (อสย.2:11-17; อมส.5:18-20; ศฟย.1:14-18) ผลของการพิพากษาโทษทำให้เกิดความหายนะอย่างร้ายแรงมาก เช่น น้ำท่วม อดอยาก ยากแค้น ฝูงตั้กแตนทำลายพืชผล โรคระบาด เกิดสงคราม ฯลฯ เมื่อพระเยซูเสด็จกลับมาอีกครั้ง (การเสด็จมาครั้งที่ 2) วันนั้นจะเรียกว่า ``วันสุดท้าย'' ซึ่งในพระคัมภีร์ใช้คำที่แตกต่างกันหลายคำเพื่อหมายถึง ``วันสุดท้าย'' (ยน.6:40,44; 11:24) เช่น วันนั้น (มก.13:32; ฮบ.10:25) วันพิพากษา (2ปต.2:9) วันของพระเจ้า (2ปต.3:12) วันของพระคริสต์ (ฟป.2:16) วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า (1ธส.5:2; 2ปต.3:10) วันยิ่งใหญ่ (วว.16:14) อวสานกาล (ยก.5:3) วันแห่งพระเยซูเจ้า (2คร.1:14) วันสำคัญแห่งพระพิโรธ (วว.6:17) วันที่พระเจ้าทรงลงพระอาชญา (รม.2:16) วาระสุดท้าย (1ปต.1:5) และ วันสำคัญยิ่ง (ยด.6)
    สภา
    คำนี้โดยทั่วไป หมายถึงสภาของชาวยิวหรือศาลสูง หรือ พฤฒสภา ซึ่งเป็นศาลสูงสุดของชาวยิว ประกอบด้วยสมาชิก 70 คน ได้แก่ พวกปุโรหิต พวกผู้ใหญ่ และพวกธรรมาจารย์ โดยมีมหาปุโรหิตดำรงตำแหน่งเป็นประธานสภา สภาของชาวยิวอยู่ใต้อำนาจของจักรวรรดิโรม โดยได้รับมอบอำนาจให้ตัดสินคดีเกี่ยวกับศาสนายิว ตลอดจนลงโทษผู้กระทำผิดด้วย แต่เขาไม่มีสิทธิอำนาจในการประหารชีวิต นอกจากต้องยื่นคดีให้ทางโรมพิจารณาก่อน ผู้นำศาสนายิวใช้สภาแห่งนี้ในการไต่สวนพระเยซู และใช้พิพากษาลงโทษคริสตชนในสมัยแรกด้วย (มธ.26:3; ลก.22:66; ยน.11:47; กจ.5:21; 22:5) ส่วนสภาอาเรโอปากัสที่กล่าวถึงใน กจ.17:19,22,34 หมายถึงการประชุมของพวกผู้นำในกรุงเอเธนส
    สะดูสี
    กลุ่มผู้นำทางศาสนาของชาวยิวในปาเลสไตน์ ส่วนใหญ่เป็นผู้นำทางการเมืองและมีอิทธิพลในสภายิว ตระกูลมหาปุโรหิตล้วนอยู่ในพรรคสะดูสี เป็นกลุ่มที่มีความสำคัญมากในช่วง ปี 200 ก่อน ค.ศ. จนถึงปี ค.ศ.70 กลุ่มนี้จะตั้งตนเป็นศัตรูกับพระเยซู พวกเขาปฏิเสธคำสอนและการปฏิบัติทุกอย่าง ที่ไม่ได้บันทึกไว้ในหมวดธรรมบัญญัติ (หนังสือ 5 เล่มแรกของพระคัมภีร์เดิม) พวกเขาไม่เชื่อเรื่องการเป็นขึ้นจากตายหรือการรับบำเหน็จรางวัล หรือการรับโทษหลังความตาย สิ่งหนึ่งที่พวกเขาเน้นมากคือ ความมีอิสระเสรีของมนุษย์ (ดู ``ฟาริสี'')

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มิถุนายน 2010
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    หัวข้อ: คนที่มีทิฐิชั่ว

    คนที่มีทิฐิชั่วคงไม่มีใครเกินพวกฟาริสี เพราะพวกฟาริสีเป็นศัตรูตัวยงของพระเยซู ไม่ว่าพระองค์จะไปสั่งสอนที่ไหน พวกฟาริสีจะติดตาม หรือให้พวกของเขาติดตามไปจับผิด หรือพูดซักไซร์ไล่เลียงเพื่อจำผิด เราจึงควรศึกษาลักษณะพฤติกรรมของ ฟาริสีให้ดีเพื่อจะได้รู้ว่า พวกนี้มีพฤติกรรมอย่างไร


    พวกฟาริสี มักจะ

    ก. รักษากฏระเบียบทางศาสนาอย่างเคร่งครัด มีกฎระเบียบเรื่องการนมัสการ การทำพิธีกรรมต่างๆ
    ข. เคร่งครัดในกฎหมายของโมเสส พวกเขาเชื่อฟังระเบียบมากกว่าทำตามคำสอนของพระเยซู
    ค. ทำตัวเองให้ดูดีภายนอก ดูเหมือนเป็นคนมีธรรมะ (ฟป 3.5-6)
    ง. เป็นพวกหน้าซื่อใจคต หรือไม่จริงจัง หวังแต่รักษาผลประโยชน์ของตนมากกว่า ความสัมพันธ์ที่จริงใจมีน้อยลงไปทุกที (ลูกา 12.1)
    จ. ทำตัวให้น่านับถือในสังคม มีใจรักเงิน (ลูกา 16.14-15)
    ฉ. ดีแต่สอนคนอื่นแต่ตนเองทำไม่ได้ (มัทธิว 23.3)
    ช. ชอบให้คนทักและยกย่องนับถือตามที่มีคนเยอะๆ ชอบให้คนเรียกว่าอาจารย์ (มัทธิว 23.11, ลูกา 11)
    ซ. ชอบเกียรติและศักดิ์ศรีของตนเองมากกว่า การถวายเกียรติแด่พระเจ้า
    ฌ. ชอบทดสอบความรู้ทางพระคัมภีร์ของคนอื่น เพื่อให้ดูว่าตนเองรู้มากกว่าเก่งกว่า หลายครั้งชอบจัดผิดผู้อื่นมากกว่า การสนับสนุนช่วยเหลือผู้อื่นให้เจริญขึ้นการทำการงานของพระเจ้าโดยรวม
    ญ. เอาความคิดเห็นของตนเป็นมาตรฐานเพื่อวัดคนอื่น หรือตีค่าคนด้วยมาตรวัดของตนเอง
    ฎ. แม้จะเห็นคนอื่นทำอิทธิฤทธิด้วยฤทธานุภาพของพระเจ้าก็ไม่ยอมรับ อ้างว่าการอัศจรรย์ไม่มีแล้วในยุคนี้ หรือไม่ใช่มาจากพระเจ้า (ยอห์น 7.20)
    ฏ. ไม่ยอมรับการเปิดเผยใหม่ๆ เนื่องจากพวกเขาเป็นพวกหัวเก่า ปิดหูปิดตาตนเองมานาน (ยอห์น 7.52)
    เพราะกลัวว่าผู้ติดตามพวกเขาจะไปเป็นพวกของพระเยซู
    ฐ. ชอบทำอะไรตามตัวอักษร ไม่รู้จักพลิกแพลงสร้างสรรค์ในการประยุกต์ใช้คำสอนให้เหมาะสมกับยุคสมัย ละเลยความรักและความชอบธรรม (ลูกา 11.42.44)
    ฑ. ด้วยหูตาที่คับแคบ ไม่เปิดโลกทรรศ์ พวกเขาทำผิดพลาดหลายๆ อย่างโดยคิดเห็นไปว่าเป็นการปกป้องศาสนา สถาบัน และพระเจ้า (ลูกา 11.49)

    พระเยซูถือว่าคนที่มีพฤติกรรมแบบนี้หรือคล้ายๆ พฤติกรรมของพวกฟาริสีเป็นพวกชาติชั่ว และทรยศต่อพระเจ้า (มัทธิว 12.39) เป็นพวกงูร้าย พันธุ์อสรพิษ (มัทธิว 23.16-24) จิตใจเต็มไปด้วยความโสโครก, โจรกรรมมัวเมาด้วยกิเลส เป็นเหมือนอุโมงค์ฝั่งศพฉาบด้วยปูนขาว


    อรรถาธิบายเพิ่มเิติม

    ชาติพันธุ์ฟาริสีในปัจจุบันได้แพร่พันธุ์อย่างมากมายในคริสตจักรหลายๆ แห่ง พวกนี้จะนั่งที่นั่งในโบสถ์เหมือนกับว่าเป็นเก้าอี้ประจำตำแหน่ง พวกเขาจะนั่งที่นั่นเป็นปีๆ ไม่ยอมย้ายที่นั่ง เป็นเหมือนการแสดงอำนาจควบคุมผู้รับใช้พระเจ้า เจ้าหน้าที่ต่างๆ พฤติกรรมที่ออกมาจากจิตใจส่วนลึกหมายความว่า นี่คือที่ของข้า เขาจะนั่งที่นั่นจนตาย ก่อนตายก็จะมีลูกหลานมาเป็นใหญ่ต่อไปอีก

    การสั่งสอนของพวกฟาริสีจะเป็นไปเพื่อให้ผ่านพ้นไปเป็นครั้งๆ เป็นเดือนๆ ปีๆ โดยไม่ได้คาดหวังอะไรมาก การเทศนากลายเป็นเพียงภาระ และวาระ อย่างหนึ่งในการประชุมกราบไหว้พระเจ้าของพวกเขา พวกเขาหลายๆ คนชอบใช้ธรรมมาสเป็นที่ระบายอารมณ์ กล่าวคำเสียดสีและด่าว่าคนที่มีความคิด หรือความเชื่อ แตกต่างไปจากที่พวกเขาเชื่อถือ

    ลักษณะการเทศนาของพวกเขาจะเป็นการเปิดพระคัมภีร์สักหนึ่งตอน แล้วจะอ่านให้จบ ต่อมาก็จะอธิบายนิดหน่อย แล้วต่อไปแจะเป็นการสำแดงความรู้ทางโลก นิยาย นิทานเรื่องแต่งต่างๆ เช่น หมาพูดได้ กบพูดได้ เรื่องจากละครทีวี ข่าวดัง ข่าวเด่น พวกเขากลายเป็นนักรายงานข่าวในโบสถ์โดยไม่รู้ตัว ในจิตลึกๆ แล้วพวกเขาอยากจะอวดภูมิรู้ และความทันสมัยของพวกเขาเท่านั่นเอง พวกเขามีแผนพัฒนาคริสตจักรที่เน้นการพัฒนาทางด้านวัตถุ การสร้างอาณาจักรด้านวัตถุ อาคารสถานที่ และความสนุกสนาน ไม่มีแผนการประกาศข่าวประเสริฐที่มีประสิทธิภาพ การอธิษฐานประจำสัปดาห์ถือว่าเป็นสิ่งที่ปฎิบัติได้ยาก และคิดว่าไม่มีความจำเป็นมากนักเพราะเขาเชื่อมั่นในความรู้ ปัญญา และทุนทรัพย์ตัวเองมาก


    การสั่งสอนของพวกเขานานๆ จะมีการสอนพระคัมภีร์อย่างจริงจัง การสอนก็ไม่มีแบบแผน พวกเขาจะสอนอะไรที่พวกเขานึกได้ เพราะพวกเขาวางโครงการสอนไม่ค่อยเป็น สอนซ้ำไปซ้ำมา และไม่มีจุดประสงค์อะไรให้คนพัฒนาสูงขึ้นแต่อย่างใด คนเรียนก็เบื่อเพราะเรียนแต่เรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ และไม่ได้นำเอาไปใช้อะไร เพราะสมาชิกเป็นแค่เพียงคนฟังเท่านั้นปีแล้วปีเล่า นั่งฟังจนเบื่อ คริสเตียนใหม่หรือคริสเตียนเก่าก็เรียนบทเรียนในห้องเรียนเดียวกันและเรียนในเวลาเดียวกัน พวกเขามีความคาดหวังให้คริสเตียนโตด้านจิตวิญญาณบ้่าง แต่ไม่มีวิธีการ และแก้ตัวว่าไม่มีใครมาช่วยเขาทำ การพัฒนาผุ้เชื่อให้มีความเชื่อจนกลายเป็นสาวกนั่นแทบไม่มีอยู่ในความคิดเลย แท้ที่จริงมีวิธีการมากมายในการจัดสอนคริสเตียนศึกษาอย่างได้ผล เพราะเราไม่จำเป็นต้องทำอะไรเป็นทุกอย่าง เพียงแต่ขอให้มีความตั้งใจจริงก็พอ

    คริสเตียนฟาริสีจะสั่งสอนอย่างหนึ่งแต่พวกเขามีพฤติกรรมอีกอย่างหนึ่ง พวกเขาจะสอนไม่ครบตามพระคัมภีร์ แต่เป็นนักตัดตอน เพื่อหวังประโยชน์จากความเชื่อของสมาชิกจึงคล้ายๆ กับว่าสมาชิกในโบสถ์เป็นเพียงเครื่องมือหากินของพวกเขา พวกเขาหลอกลวง ต้มตุ้น และเรี่ยไรทุกครั้งเพื่อให้โบถส์มีรายได้ เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินของโบสถ์มากกว่าความคาดหวังว่าพระเจ้าจะทรงอวยพรผู้คนที่ตั้งใจถวายด้วยความยินดี พวกเขาอธิษฐานเผื่อทรัพย์ให้เจริญงอกงาม ขอให้คนใช้เงินของโบสถ์มีสติปัญญาในการใช้ทรัพย์ในการก่อสร้าง และสร้างอาณาจักรของตนเอง มากกว่าการอธิษฐานขอให้พระเจ้าอวยพระพรผู้ถวายให้เกิดผลมากขึ้น มีชีวิตที่เต็มล้นไปด้วยพระพรตามพระสัญญาแห่งการถวาย

    คริสเตียนฟาริสี จะกีดกันคนที่อาจจะเก่งกว่าเขาในด้านต่างๆ ทั้งการเทศนา การใช้ของประทานเพราะวิญญาณฟาริสีแท้ที่จริงแล้ว คือเนื้อหนังที่มีวิญญาณผีโสโครกสิงสู่อยู่ในคริสเตียนที่ดีแต่ปากนั่นเอง พวกเขามีความรู้พระคัมภีร์อยู่เต็มสมองแต่ขาดความถ่อมใจ ไม่ยอมจำนนต่อการควบคุมของพระวิญญาณในชีวิตของตน พฤติกรรมหน้าด้าน หน้าทน หน้าซื่อใจคต ดีแต่หน้าลับหลังนินทา ชอบทำความผิดบาปในที่ลับเมื่อไม่มีใครเห็น มีความคิดที่ผิดเพี้ยน พวกเขาชอบเข้าไปอ่านเว็บโป๊ ดูรูปผู้หญิงแนวอีโรติก แอบสะสมรูปภาพโป๊ คลิปวีดีโอลามก เอาไว้กระตุ้นความต้องการทางเพศที่เสื่อมถอยตามธรรมชาติของมนุษย์ชาวโลกทั่วไปโดยไม่รู้สึกผิดแต่อย่างใด มีพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ไม่ต่างไปจากคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า เพียงแต่พวกเขายังไปโบสถ์เท่านั้น พวกเขาชอบมัวเมาการดูกีฬาต่างๆ เช่น ฟุตบอล ชนไก่ ตกปลา เล่นหมากรุก หรืออื่นๆ มากกว่าเอาเวลาไปศึกษาพระคัมภีร์หรืออธิษฐานเผื่อพี่น้องคริสเตียน การงานของพระเจ้า และผู้รับใช้พระเจ้า

    ข้าพเจ้าเคยไ้ด้ยินผู้ใหญ่ระดับรองเจ้าอธิการของคณะใหญ่พูดในการสัมมนาผู้รับใช้พระเจ้าและต่อหน้านักศึกษาพระคัมภีร์เป็นร้อยกว่าคนว่า การดื่มเครื่องดื่มแอลฮอล์ไม่ผิด ไม่เป็นไร ผมยังเคยใช้สิ่งนี้ต้อนรับผู้รับใช้จากต่างประเทศบ่อยๆ แต่ขออย่าให้เราดื่มให้พี่น้องคริสเตียนเห็นก็แล้วกัน เพราะเรื่องมันจะยาว และอาจเป็นการทำให้เกิดปัญหา ที่จริงความคิดเห็นเรื่องการดื่มแอลกอฮอล์ของเขาไม่ได้เกินเลยไปจากคำสอนทางศาสนาคริสต์ เพียงแต่เรื่องแบบนี้ไม่ควรนำไปพูดในที่แบบนั้นมากกว่า เพราะคริสเตียนไม่ได้ห้ามการดื่มเหล้า และไม่ถือว่าการดื่มเหล้าเป็นการผิดศีลทางศาสนาคริสต์ เพียงแต่เท่าที่เรารับทราบและมีประสบการณ์ว่าคริสเตียนที่ชอบดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มักจะเป็นคริสเตียนที่ปากเท่านั้น และไม่ค่อยมีพฤติกรรมที่แสดงผลของพระวิญญาณ และไม่ค่อยจะเกิดผล คือเป็นคนที่ไม่สามารถเป็นพี่เลี้ยงฝ่ายวิญญาณ หรือนำใครมาเชื่อพระเจ้าได้ แต่เป็นเหมือนตอไม้ผุๆ ที่ลอยน้ำไป ไม่มีคุณค่า และบางครั้งกลายเป็นหินสดุดให้กับคริสเตียนใหม่ๆ อีกมากมาย เพราะประเทศไทยมีปัญหาและได้รับผลกระทบจากเรื่องการดื่มเหล้า การติดเหล้ามากเหลือเกิน

    คริสเตียนฟาริสีจะไม่มีฤทธิเดชในคำเทศนา พวกเขาไม่มีความมั่นใจในการทรงสถิตของพระเจ้า พวกเขาจะอธิษฐานขอให้พระเจ้าลงมาสถิตกับพวกเขาอยู่เสมอในการประชุมนมัสการต่างๆ ทั้งๆ ที่พระเจ้าก็ทรงสถิตอยู่กับผู้เชื่อแท้อยู่แล้ว พวกเขาจะใช้ให้พระเยซูทำการรักษาผู้คน ทุกครั้งที่พวกเขาอธิษฐานขอพวกเขาจะกล่าวอ้างความดีต่างๆ ของคนป่วยว่าสมควรที่พระเจ้าจะต้องรักษาเพราะคนเหล่านี้เป็นคนดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ โดยไม่ได้คาดหวังพระคุณของพระเจ้าแต่จะคาดหวังเอาความดีของคนว่าเป็นผู้สมควรได้รับพระคุณของพระเจ้าในการรับการรักษาและรับการอัศจรรย์แห่งการหายโรค

    คริสเตียนฟาริสีจะมีเวลาสังสรรค์กันในหมู่ฟาริสีด้วยกัน พวกเขาคิดค้นวิธีต่างๆ ในการรวมกลุ่มกันโดยอ้างการสามัคคีธรรมบังหน้า แต่แท้ที่จริงพวกเขาหาเวลาในการนินทาสมาชิก และลูกแกะของพวกเขามากกว่าการสามัคคีธรรมแสวงหาความช่วยเหลือจากพระเจ้า การอธิษฐานถืออดอาหารนับเป็นสิ่งแปลกประหลาดสำหรับพวกนี้และเป็นข้อปฎิบัติเพียงประการเดียวที่พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติเหมือนกับพวกฟาริสี

    วิญญาณฟาริสีจะชอบแบ่งพรรคแบ่งพวก แบ่งเกรด แบ่งวิก แบ่งสำนักว่าจบจากสถาบันพระคัมภีร์ไหนมา พวกเขามีซีเนียร์ จูเนียร์ พวกเขาไม่สนใจของประทานฝ่ายวิญญาณจิต และไม่เปิดโอกาสให้ใช้ของประทานในคริสตจักร หลายๆ ครั้งพวกเขาดับพระวิญญาณ และการเปิดเผยของพระเจ้าในคริสตจักร การรับใช้ต้องมีเส้น มีสาย มีผลประโยชน์เป็นตัวล่อ พวกเขามีการหาเสียง วิ่งเต้น เพื่อเอาตำแหน่งทางการบริหารในองค์กร เพื่อผลประโยชน์มากกว่าโอกาสในการปฏิรูปองค์กรให้รับใช้พระเจ้าอย่างเกิดผลมากขึ้น

    วิญญาณล่อลวงจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้พวกคริสเตียนแตกคอกันให้มากที่สุด เมื่อพวกคริสเตียนไม่สามัคคีกัน การประกาศข่าวประเสริฐเรื่องความรอดของพวกคริสเตียนก็ไม่เกิดผลเท่าที่ควร เพราะพลังไม่เพียงพอในการทำลายป้อมปราการทาง วัฒนธรรม ศาสนา ธรรมเนียม และประเพณีการไหว้รูปเคารพและผีต่างๆ ที่คนในชุมชนยกย่องนับถือ วิญญาณต่างๆ จึงอยู่กันอย่างอิ่มหมีพลีมันเพราะพวกคริสเตียนแตกความสามัคคี ถือพวกถือคณะ ถือว่าคณะหรือกลุ่มของตนเองดีกว่ากลุ่มอื่น คณะอื่น พวกเขาจึงมุ่งแต่หาประโยชน์หรือชื่อเสียงให้คณะหรือพวกของตนมากกว่าการร่วมมือร่วมใจในการประกาศทำศึกสงครามกับวิญญาณซาตานและสมุนของมัน หรือการทำกิจกรรมต่างๆ ที่พัฒนาชีวิตริสเตียนหรือสังคมโดยส่วนรวม

    พวกคริสเตียนในโบสถ์ที่อยู่มานาน มีสมาชิกออกลูกออกหลานเพิ่มมากขึ้นตามกาลเวลา พวกเขาจะสร้างป้อม หรือกำแพงของตนเองอีกชั้นหนึ่งเพื่อสกัดไม่ใ้ห้สมาชิกได้รับคำสอนใหม่ๆ การเปิดเผยใหม่ เพราะพวกเขาเหนื่อยกับคำสอนใหม่ๆ และไม่อยากจะก้าวไปไหนแล้ว เพราะอาณาจักรของเขามีจำนวนสมาชิกมากพอที่วิญญาณฟาริสี และวิญญาณศาสนาจะอยู่กันอย่างสนุกสนาน กินอิ่ม นอนอุ่น และสงบสุข พวกเขาตั้งใจอย่างแน่วแน่แล้วว่า การประกาศเรื่องความรอดของพระเยซูเป็นเพียงกิจกรรมประจำปีในวันคริสต์มาส ปีละครั้งก็พอแล้ว เพราะสิ้นเปลืองงบประมาณและไม่ได้ผลดีอะไร ทำมาแล้วหลายๆ ปีก็ไม่มีใครเข้ามาเชื่อถือเท่าไหร่ คนหลงหายที่มีเดินเข้ามาในโบสถ์บ้าง ก็มาเจอกับตอ เจอหินสดุด ปลาผอมแห้งหัวโตเจ้าของบ่อจะไล่กัดไล่แทะปลาเล็กปลาน้อยที่พลัดหลงเข้ามาในบ่อ ทำความเบียดเบียน รังเกียจไม่อยากให้อยู่ คอยจับผิด นินทา ผู้เชื่อใหม่เจออาวุธอันเผ็ดร้อนที่ออกมาจากลิ้นอันหมายร้ายของวิญญาณที่ออน่แอของคริสเตียนที่ยังไม่เติบโต ผู้เชื่อใหม่หลายคนเดินหายไปสู่ความมืดมิดของชีวิตเหมือนเดิมอย่างน่าสงสาร

    คริสเตียนฟาริสีไม่สามารถมีการเติบโตฝ่ายวิญญาณที่มากพอ หรือรับการเปลี่ยนแปลงเพื่อเป็นสาวกที่เกิดผลอย่างเต็มที่ได้ วิญญาณฟาริสีมีความเชื่อว่าความเติบโตฝ่ายวิญญาณ ความสำคัญไม่ได้เกิดจากการฟังคำเทศนาที่มุ่งสร้างสรรค์หรือเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม พวกเขาต้องการฟังคำเทศนาที่อ่อนหวานประโลมใจ รื่นหู ไม่แจ้งความผิดบาป คำเทศนาจึงปรุงแต่งด้วยส่วนประกอบด้านความรู้และสถิติต่างๆ ที่น่าฟัง ผลงานวิจัยต่างๆ ที่นักวิชาการสรุปผลออกมา วิญญาณของพวกเขาเหมือนกับเด็กทารกที่ต้องการกินกล้วยขูด หรืออาหารสำหรับเด็กอ่อน ปีแล้ว ปีเล่า พวกเขาเคยชินกับอาหารรสจืดชืดที่วิญญาณศาสนาถ่ายทอดออกมา อาทิตย์ละ 20-25 นาที ผู้นำฝ่ายฟาริสีเชื่อว่าการเทศนานานๆ นั่นน่าเบื่อและทำให้คนเข็ดโบสถ์ และทำให้เสียเวลา

    คริสเตียนฟาริสีหลายคนจะคาดเดาว่า ใครจะเป็นผู้เทศนาในอาทิตย์ต่อไป หากเป็นนักเทศน์โนเนม หรือนักเทศน์ไร้ปริญญาศาสนศาสตร์ พวกเขาจะไม่สนใจฟัง ถ้าไม่จำเป็นพวกเขาอยู่บ้านดีกว่า คำสอนทั่วไปของคริสเตียนฝ่ายฟาริสีเน้นหนักอยู่ 5 นะ คือ "1. มีความเชื่อนะ" 2. มาโบสถ์เป็นประจำนะ" "3. ถวายสิบลดและบริจาคพิเศษเยอะๆ นะ" " 4. ร่วมกิจกรรมนะ" " 5. อย่าลืมอธิษฐานก่อนทานอาหารและเข้านอนด้วยนะ" ถ้าคุณทำได้อย่างนี้ก็ถือว่าคุณเป็นคริสเตียนมาถึงเป้าหมายสูงสุดของชีวิตคริสเตียนของคุณแล้วนะ

    มีคนเคยให้ข้อคิดว่าคริสเตียนหลายคนเป็นเหมือนอึ่งอ่าง เพราะเมื่อไรที่โดนกระตุ้น อึ่งจะพองตัว รอไปสักพักอึ่งที่พองตัวก็จะตัวเล็กลงเหมือนเดิม และไม่มีความกระตือรือร้นอะไรอีก เขาจึงเรียกมันว่า คริสเตียนอึ่งอ่าง

    วิญญาณฟาริสีมักสิงสู่อยู่ในพวกมีการศึกษาดี มีใบปริญญาและฐานะดี พวกนี้สมองเต็มอิ่มไปด้วยความรู้ปรัชญา ปัญญาของโลก และความรู้สารพัน เพราะพวกเขาอนุญาตให้ลูกๆ หลานๆ ขาดโบสถ์เพื่อไปเรียนพิเศษในวันอาทิตย์ตั้งแต่เด็กๆ เหมือนกับพวกเขาที่เคยได้รับการปฎิบัติเช่นนี้มาแล้วเพราะความผิดพลาดของพ่อแม่ยุคการแข่งขันด้านเศรษฐกิจ และการถูกกระแสบริโภคนิยมของโลกครอบงำ พอโตขึ้นพวกเขาจึงกลายเป็นไม้แข็งที่ดัดไม่ได้ มีแต่ความคดงอตั้งแต่ปลายเท้่าจนถึงสมองส่วนกลาง และไปถึงจิตวิญญาณ

    คนเหล่านี้แสดงพฤติกรรมนัยว่าสมองของพวกเขาเต็มไปด้วยข้อมูลอันมหาศาลเหมือนกับฮาร์ดดิสคอมพิวเตอร์ที่เต็มไปด้วยรูปภาพและไฟล์วีดีโอ ไฟล์ดีวีดี และไฟล์เอ็มพีสามจนเกือบจะเต็มฮาร์ดดิสแล้ว แถมยังไม่พอยังมีไวรัสคอมพิวเตอร์ พวกม้าโทรจัน และสปายแวร์หลบซ่อนตัวอยู่ เพราะแอบเข้ามาทางฟอร์เวิร์ดเมล์ที่เพื่อนชาวโลกส่งภาพโป๊ ภาพลามกที่พวกเขาชอบดูมาให้ สมองของเขาจึงอิ่มและไม่อยากจะเรียนรู้มากนักเกี่ยวกับความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า เพราะเข้าใจยาก และไม่อยากจะเข้าใจด้วย

    นัียตาของพวกเขาแดงก่ำ และมีกลิ่นแอลกอฮอล์ออกตามร่างกาย และลมปาก เพราะเหตุอันเกิดจากคืนวันเสาร์ที่แสนสุขที่พวกเขามอมเมาตัวเองด้วยหนังรอบดึก และเบียร์พีเมียม หรือเมรัยต่างประเทศ นอกจากนี้พวกเขามักจะชอบสนุกับการมีปาร์ตี้ในคืนวันศุกร์และต่อด้วยคืนวันเสาร์ที่แสนหรรษาอีกต่างหาก

    การมานั่งฟังเทศนาในโบสถ์ในเช้าวันอาทิตย์พวกเขากลายเป็นเพียงกิจกรรมที่ต้องปฎิบัติเพราะเกรงใจ พ่อแม่ และปู่ย่า ที่พยายามพูดแนะนำให้พวกเขาว่า "อย่าขาดโบสถ์ในเช้าวันอาทิตย์" ด้วยเหตุผลต่างๆ เหล่านี้จึงเป็นเหตุทำให้พวกเขาไม่อยากจะรับข้อมูลทีี่่่เป็นประโยชน์ต่อการเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณมากนัก เพราะพวกเขามั่นใจว่าพวกเขายังอยู่อีกนาน และการเข้าสู่การพิพากษาหรือการได้พบกับพระเจ้านั้นคือเมื่อเขาตายแล้วเท่านั้น ซึ่งความเชื่อเช่นนี้ก็น่าเห็นใจเพราะความคิดว่า ศาสนาไหนก็ดีเหมือนกัน

    พวกเขาคิดว่าพระเยซูก็คือพระเจ้าองค์หนึ่งที่พ่อแม่ของพวกเขานับถือมา และจะมีอยู่จริงหรือไม่มียังไม่ค่อยแน่ใจเพราะพระเจ้ามักจะไม่เปิดเผยพระองค์กับพวกที่ไม่นับถือพระองค์อย่างแท้จริงอยู่แล้ว พวกเขาจะร้องเรียกหาพระเจ้าเมื่อพวกเขาป่วยหนัก อุบัติเหตุ เป็นอัมพาต เกิดวิบัติในชีวิต และแสวงหาความช่วยเหลือจากแพทย์ไม่ได้แล้ว พวกเขาจึงจะมาแสวงหาพระเจ้า บางคนกลายเป็นเหมือนม้าแก่ที่วิ่งไม่ได้ เป็นเหมือนควายแก่ที่เจ็บป่วยผอมแห้งไม่มีใครซื้อแล้ว หมดสภาพ พวกเขาจะสัญญากับพระอาจารย์ว่า ถ้าหายป่วยนะจะมาช่วยงานโบสถ์


    วิญญาณที่่อิ่มเอมด้วยการครอบครองของเนื้อหนัง จะไม่สามารถทนฟังคำเทศนาที่เร้าใจ หรือยาวๆ ได้
    การฟังเทศนาจากการอ่านจากบทคัดย่อที่ศาสนาจารย์พยายามคัดลอกมากจากที่ต่างๆ นำมาอ่านให้ที่ประชุมฟังในเช้าวันอาทิตย์ เหมือนกับแสดงปาฐกถาของนักบวชทั่วไป จึงเป็นอะไรที่ทำให้หนังตาของพวกเขาหนักและหย่อนยาน หลายๆ ครั้งทำให้เกิดอาการหาว และน่าง่วงนอนเป็นที่สุด พวกเขาแสดงอาการงวงเหงาห้าวนอนขณะฟังเทศน์ให้ศาสนาจารย์ที่ยืนเทศนาอยู่บนแท่นอย่างไม่เกรงใจ


    อีกประการหนึ่งเพราะกระเพาะของเขาคือผู้บัญชาการอย่างแท้จริง เขาจะต้องถวายเครื่องบูชาแด่กระเพาะอาหารของเขาตามเวลา วันละ 3-4 ครั้ง คือเช้า บ่าย เย็น และก่อนนอน ตลอดชีวิต โดยเฉพาะในเวลาเที่ยงของวันอาทิตย์คือ 12.00 น. หากวันใดเกิดมีนักเทศน์ขาจรที่ได้รับเชิญมาเนื่องจากเหตุบังเอิญต่างๆ หากนักเทศน์แสดงโวหารเกิน 12.00 น. จะเป็นอะไรที่น่ารำคาญมาก พวกเขาจะยกนาฬิกาขึ้นดูทุกๆ 2-3 นาที เมื่อพวกเขารู้สึกว่าเกินเวลาที่กำหนดแล้ว พวกเขาอาจมีความเชื่อผิดๆ ว่าคนที่เทศนายาวๆ เป็นพวกไม่รู้จักกาละเทศะ และไม่ให้เกียรติคนฟัง พวกเขาถือว่า เวลาคือสิ่งมีค่าที่สุด เกียรติของเขา สิทธิของเขาย่อมสำคัญกว่าการรับฟังข่าวสารของพระเจ้าจากผู้สื่อสารที่จบไม่ลง หรือไม่เป็นมืออาชีพ

    แน่ทีเดียวคริสเตียนฟาริสีมักจะไม่มีของประทานแห่งการอัศจรรย์อะไรเลย บางครั้งพวกฟาริสีจะแสดงออกถึงการต่อต้านการอัศจรรย์ ไม่ยอมรับการสำแดงของพระวิญญาณ หรือปาฎิหารใดๆ เพราะเขาเข้าใจว่า การอัศจรรย์สมัยอัครทูตนั้นเป็นสิ่งที่ล่วงเลยผ่านไปแล้ว และปัจจุบันไม่มีอีกแล้ว พวกเขาเป็นเพียงผู้อยู่ในศาสนา เหมือนๆ กับผู้นักบวชในศาสนาอื่นๆ ทั่วไป พวกเขาไม่ได้ประสบกับฤทธิเดชด้วยตนเอง ไม่ค่อยมีการอัศจรรย์ในชีิวิต เรื่องเล่าการอัศจรรย์มักเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนอื่นๆ มากกว่าการมีประสบการณ์ด้วยตนเองกับพระเจ้า ทั้งๆ ที่เขาพยายามทำงานในโบสถ์มาหลายปีแต่พวกเขาก็ยังเป็นเหมือนเดิม นิสัยเหมือนเดิม พฤติกรรมเหมือนเดิม ขึ้นๆ ลงๆ กับพระเจ้าเหมือนเดิม ไม่ไปถึงไหน พระเยซูคริสต์คงจะเสียใจกับคริสเตียนที่มีวิญญาณเหมือนกับพวกฟาริสีนี้มากทีเดียว

    พี่น้องคริสเตียนที่รักท่านไปโบสถ์เพื่ออะไรกันแน่ พระเยซูอยู่ไหนกันแน่ ทำไมท่านจะไม่ได้รับประสบการณ์อะไรเลยกับพระเจ้าที่มีชีวิตอยู่ ชีวิตท่านยังเหมือนเดิม อยู่ในนิสัยบาป เป็นทาสบาป ท่านอยากจะไปโบสถ์ที่ไม่มีการอัศจรรย์ ไม่มีการสำแดงของพระเจ้าหรือ ถ้าท่านคิดเช่นนี้ท่านจะประกาศกับคนที่ไม่รู้จักพระเยซูคริสต์ได้อย่างไรว่า พระเยซูคือพระเจ้าที่ทรงพระชนม์อยู่

    เดี่ยวนี้ชาวโลกเขาแสวงหาอะไร เมื่อพวกเขาป่วยเขาไปหาหมอแล้วไม่หาย เขาไปหาใคร เขาไปหาอาจารย์คริสเตียนที่โบสถ์ให้อธิษฐานให้ หรือพวกเขาไปหาหมอดู คนทรงเจ้า เจ้าแม่ เจ้าพ่อต่างๆ บางครั้งทรัพย์ของเขาหาย ญาติเขาป่วยด้วยโรคร้าย หมอวินิจฉัยไม่ได้ว่าเป็นโรคอะไร เขาไปหาใคร เขาไร้ที่ี่พึ่งพิงเขาจึงต้องไปหาผีัหมอนึ่ง คนทรงเจ้าเพื่อแก้เคล็ด แก้กรรม ขับคุณไสยเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ของพวกเขา แล้วคนของพระเยซูอยู่ไหน คริสตจักรที่ไร้เรี่ยวแรงช่วยอะไรชาวโลกได้บ้าง ถึงเวลาหรือยังที่เราจะช่วยกันกำจัดวิญญาณฟาริสีให้ออกไปจากคริสตจักรและอธิษฐานขอพระเจ้าให้นำเอาของประทานของพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาในคริสตจักรเพื่อประกาศพระบารมี และฤทธิอำนาจในพระนามพระเยซู เหมือนกับคริสตจักรอื่นๆ ที่กำลังรุ่งโรจน์อยู่ในประเทศเกาหลี ประเทศจีน ประเทศทางแอฟริกาใต้ และในที่อื่นๆ ทุกส่วนของโลก



    ท่านล่ะเคยประสบกับวิญญาณฟารีสีหรือเปล่้า หรือว่าท่านเป็นเสียเองบางครั้ง หรือมีตัวบ่งชี้หลายๆ ข้อว่ามีวิญญาณศาสนา และพวกฟาริสี หากท่านมีวิญญาณฟาริสีอยู่ขอให้กลับใจเสียใหม่ ขอพระเจ้าเมตตาท่าน ท่านสามารถอธิษฐานตามแบบนี้ ด้วยความจริงใจของท่าน

    ข้าแต่พระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ ข้าพระองค์มีความผิดบาปด้วยเรื่องของความหยิ่งยะโส และมีวิญญาณที่ผิดเพี้ยน ถูกครอบงำด้วยความไม่รู้ ทำให้วิญญาณฟาริสี วิญญาณมืดบอดได้เข้ามาสิงสู่ในวิญญาณของข้า และมีอิทธิพลต่อชีวิตมากกว่าการครอบครองของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ขอพระเจ้าทรงยกโทษ ขอชำระล้างใจที่มืดมน ความคิดที่ดื้อดึงและจิตวิญญาณของข้าฯ ด้วยฤทธิแห่งพระโลหิตของพระเยซู ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาประทับอยู่กับข้าพระองค์อย่างถาวร ขอทรงสอน ทรงนำ ข้าฯขอเชิญพระองค์เข้ามาครอบครองบัลลังค์ใจของข้าพระองค์ตลอดไป เพื่อข้าฯ จะเป็นคนหนึ่งที่เป็นผู้เชื่อแท้และมีฤทธิเดชในการวางมือรักษาโรค และขับผีให้ออกจากผู้คน ขออธิษฐานในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า เอเมน

    เอเมน

    Reewat's Blog: ลักษณะของพวกฟาริสี-

    ปล.คนที่เข้าข่ายฟาริสี ก็มีในทุกศาสนา แม้แต่ศาสนาพุทธเราก็มี เป็นเหตุที่ทำให้เกิดการบิดเบือนคำสอนของพระศาสดา พวกเราก็ระวังตัวไว้หน่อย เวลาอ่านธรรมรู้ธรรมมากๆแล้วหลงอัตตาตัวเองก็อาจจะเพี้ยนจนบิดเบือนคำสอนของพระศาสดามาเข้าข้างความคิดของตัวเองก็ได้ คนที่เผยแพร่พระธรรมคำสอนควรจะสังวรณ์ไว้ก็จะเป็นประโยชน์กับตัวเองและรักษาพระศาสนาได้ถูกทาง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มิถุนายน 2010
  18. กุญแจไขปริศนา

    กุญแจไขปริศนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2009
    โพสต์:
    903
    ค่าพลัง:
    +979
    แต่บางกลุ่มความเชื่อดาวหกแฉกแทนความหมายของการหลอมรวมระหว่างตนเองและเทพเจ้า ซึ่งการก้าวเข้าไปภายในดาวหกแฉกจะเกิดคำถามขึ้นที่ว่าชีวิตคืออะไร
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    แล้วแต่ความเชื่อของกลุ่มนั้นๆ แต่ใครจะรู้ความจริงว่า
    สิ่งที่รู้นั้นเช่นรู้ว่าชีวิตคืออะไร มันรู้มาจากวิชชา หรือ อวิชชาพารู้
    รู้มาจากพระเจ้าหรือซาตาน และซาตานมักมาในรูปของพระเจ้า เลียนแบบพระเจ้า
    อย่างพุทธก็มี มารแปลงเป็นพระพุทธเจ้ามาสอนก็มี
    หรือที่บางคนนั่งสมาธิเห็นนิมิตเป็นพระพุทธเจ้ามาสอนธรรม จริงหรือเท็จ ก็ไม่รู้
    พระเยซูก็มีเตือนเหล่าสาวกว่าให้ระวังพระธรรมเทียมเท็จ
    ระวังให้ดีอย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านให้หลง
    ต้องใช้วิจารณญาณไตร่ตรองให้ดี
    บางคนรู้ว่าไสยศาสตร์ไม่ดี เดรัจฉานวิชาไม่ดี ก็ยังเลือกที่จะทำ ก็เหตุผลส่วนตัวของเขา
    แต่ละคนก็มีสติปัญญาส่วนตน ก็เลือกเชื่อ เลือกทำตามที่ตนเห็นชอบ
    ผลแห่งการกระทำ ก็เป็นวิบากส่วนตน ทำเหตุอย่างไรก็ได้ผลอย่างนั้น
    เราเลือกได้ ว่าจะทำดี หรือ ทำเลว
    แต่เราเลือกจะหลีกเลี่ยงผลกรรมไม่ได้ เลือกทำอะไรก็ก้มหน้ารับผลนั้นไป
    ความเชื่อต่างๆก็เหมือนกัน ดูผลได้ผลเสียและไตร่ตรองให้ดี
    จะได้ไม่เสียใจในภายหลัง

    มนุษย์เราเป็นเผ่าพันธ์ทางเลือกเสรี เลือกดีก็ได้ผลดี
    เลือกไม่ดีก็ได้ผลร้ายในบั้นปลายเอง ตามกฏแห่งกรรม
    แต่ก็ไม่มีผิดและถูก เลือกผิดก็เป็นครู เป็นประสบการณ์ของเรา
    วันนี้เลือกพลาดไปก็รับกรรมไปก่อน
    วันหน้าฉลาดขึ้นมีสติปัญญามากขึ้นก็จะเลือกได้ถูกเอง
    ถ้าไม่เลือกทำอะไรซักอย่าง ประสบการณ์ก็ไม่มี ก็ไม่รู้ไปเรื่อยๆ

    เรื่องสัญลักษณ์ดาว6แฉก
    เท่าที่เห็นมีใช้ในลัทธิพ่อมดหมอผีและลัทธิบูชาซาตานนะ
    แล้วก็พวกยิวใช้เป็นสัญลักษณ์ของพวกเขา มาจาก กษัตร์ย์โซโลโมอน

    เรื่องไสยศาสตร์เวทย์มนต์ดำ ก็เป็นคนละเรื่องกับอำนาจปาฏิหารย์หรืออภิญญา
    ต้องพิจารณาแยกแยะให้ถูกว่าต้องการอะไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มิถุนายน 2010
  20. ratercracker

    ratercracker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +729

    ใช่ครับมีที่มาเดียวกัน แต่ตอนหลังก็เกิดการแตกแยก จนปัจจุบันผู้เชื่อ ต่างไม่มีการยอมรับในเรื่องนี้ ด้วยเหตุผลต่างๆกันไป

    --------------------------------
    ความเชื่อเป็นสิ่งที่แตะต้องไม่ได้จริงๆ เหรอ
     

แชร์หน้านี้

Loading...