รูป ตำนานผีไทย...ทีบางคนยังไม่รู้

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย Lukhgai, 11 ธันวาคม 2010.

  1. Lukhgai

    Lukhgai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    3,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +8,240
    บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด

    <TABLE jQuery1292061928672="136"><TBODY jQuery1292061928672="137"><TR jQuery1292061928672="138"><TD jQuery1292061928672="139">
    พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน ได้ให้คำจำกัดความของ “ผี” ว่าคือ สิ่งที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นสภาพลึกลับ มองไม่เห็นตัว แต่อาจจะปรากฏเหมือนมีตัวตนได้ อาจให้คุณหรือโทษได้ มีทั้งดีและเลว หรืออาจหมายถึง คนที่ตายไปแล้ว หรือเทวดาก็ได้ ส่วน “วิญญาณ” หมายถึง สิ่งที่เชื่อกันว่ามีอยู่ในกายเมื่อมีชีวิต เมื่อตายจะออกจากกายล่องลอยไปหาที่เกิดใหม่

    ด้วยเหตุที่ “ผี” เป็นสิ่งที่ยากจะบอกได้ ถึงรูปพรรณสัณฐานที่แน่นอน มีความลึกลับ ขึ้นกับความเชื่อ และจินตนาการ จึงถูกหยิบยกมาขู่เด็กอยู่เสมอ จนทำให้บางคนแม้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ความรู้สึกกลัวผีก็ยังมีอยู่ หนัง/ละครหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นของไทย หรือต่างประเทศ ต่างก็สร้างสรรค์ “ผี” ออกมาในรูปแบบต่างๆ มีทั้งแนวตลกขบขัน แนวสยองขวัญ น่ากลัว หรือแม้แต่แนวรักโรแมนติก ที่ฮิตๆ อมตะสร้างซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ได้แก่ พวกแดร็กคิวร่า, แฟรงเก็นสไตน์, แวมไพร์ม, ส่วนไทยก็มี แม่นาคพระโขนง, ผีปอบ, ผีกระสือ, ผีกระหัง เป็นต้น
    [​IMG]
    อย่างไรก็ดี ผีที่เราเห็นในหนังหรือละคร นับว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของผีทั้งหลาย ที่ยังมีอีกหลากหลายในไทย ทางสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงอยากจะขอแนะนำ “ผีไทย” ในแบบอื่นๆ ให้รู้จักกันบ้าง โดยทั่วไป คนไทยแต่เดิมได้แบ่งผีออกเป็นประเภทใหญ่ๆ คือ
    1. ผีฟ้า ได้แก่ผีที่อยู่บนฟ้า ซึ่งต่อมาเมื่อเรารับความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์มาจากพุทธศาสนา คนไทยภาคกลางจึงเรียกผีที่อยู่บนฟ้าว่า “เทวดา” หรือ “เทพ” และถือว่าเทวดามีหลายองค์ ส่วนคนทางภาคอีสานจะเรียกว่า “แถน”
    [​IMG]
    2. ผีคนตาย ได้แก่ผีที่เชื่อกันว่า เป็นวิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว ผีชนิดนี้มีทั้งผีดีและผีไม่ดี ซึ่งผีดีที่คนนับถือยังแบ่งย่อยเป็นอีก 3 ระดับ คือ ผีเรือน เป็นผีประจำครอบครัว คนไทยโบราณและชนชาติไทบางกลุ่มเรียกว่า “ผีด้ำ” หมายถึง ผีบรรพบุรุษ หรือผีปู่ย่าตายายพ่อแม่ที่ล่วงลับไปแล้ว แต่ยังสถิตอยู่ในบ้านเรือน เพื่อคอยคุ้มครอง และดูแลช่วยเหลือลูกหลาน และลูกหลาน จะต้องเซ่นสรวงตามโอกาสอันสมควร ผีบ้าน คือ ผีประจำหมู่บ้าน บางแห่งเรียก”เสื้อบ้าน” ได้แก่ผีที่คอยคุ้มครอง และให้ความอนุเคราะห์แก่คนในหมู่บ้าน ซึ่งแต่ละหมู่บ้านมักจะมีสถานที่ สำหรับทำพิธีบูชาบวงสรวง ผีเมือง หรือบางแห่งเรียก ”เสื้อเมือง” ได้แก่ วิญญาณของเจ้าเมืององค์ก่อนๆ หรือวีรบุรุษของกลุ่มชน คอยคุ้มครอง และให้ความอนุเคราะห์ดูแลคนทั้งเมืองหรือรัฐ บางแห่งก็เรียก “เทพารักษ์” และมักมีการสร้างศาลให้เป็นที่สถิต
    3. ผีไม่ปรากฎรายละเอียดในด้านความเป็นมาได้แก่ ผีที่ประจำอยู่กับสิ่งต่างๆ ที่มีในธรรมชาติ เช่น ผีป่า ผีเขา ผีน้ำ ผีประจำต้นไม้ เป็นต้น ผีดังกล่าวให้คุณและโทษได้ จึงต้องเซ่นสรวงให้ถูกวิธี โดยเฉพาะเมื่อต้องการความช่วยเหลือ หรือขออนุญาตใช้ประโยชน์
    นอกจากนี้ ยังมีผีตามสภาพที่ปรากฏ เช่น บอกสภาพการตาย ได้แก่ ผีตายโหง ผีหัวกุด ผีตายทั้งกลม เป็นต้น ต่อไปนี้จะขอแนะนำผีแต่ละจำพวกให้ได้รู้จักกัน ดังนี้ ผียอดนิยม ซึ่งเป็นที่รู้จักและมักถูกนำมาสร้างหนัง/ละครบ่อยๆ ได้แก่
    - ผีกระสือ คือผีที่เข้าสิงในตัวผู้หญิง และชอบกินของโสโครก คู่กับผีกระหัง ที่ชอบเข้าสิงผู้ชาย เชื่อกันว่าผีกระหังเป็นผู้ชายที่เรียนวิชาอาคม เมื่อแก่กล้าก็มีปีกมีหาง จะไปไหนก็ใช้กระด้งต่างปีก สากตำข้าวต่างขา สากกะเบือ ต่างหาง ชอบกินของโสโครกเช่นเดียวกับกระสือ
    [​IMG]
    - ผีปอบ คือ ผีที่สิงอยู่ในตัวคน พอกินตับไต้ไส้พุงหมดแล้วก็จะออกไปและคนๆ นั้นก็จะตาย
    [​IMG]
    - ผีดิบ คือ ผีที่ยังไม่ได้เผา หรือผีดูดเลือด ผีตายทั้งกลม คือ หญิงที่ตายในขณะที่ลูกอยู่ในท้อง

    <CENTER jQuery1292061928672="238">[​IMG]</CENTER>

    ตำนาน"เรื่อง ผีโป่งค่าง"

    เรื่องโป่งค่างชาวบ้านถือว่าเป็นผีประจำอยู่ในป่า โป่งค่างเกิดจากสัตว์ที่ถูกฆ่าตายกลายเป็นปีศาจมาหลอกหลอนบางที่ก็แปลงกาย เป็นคนมาล่อให้นายพรานลงจากห้างจากนั้นก็ทำอันตรายนายพรานเสีย เรื่องของผีโป่งค่างบางครั้งก็เล่าว่าเป็นผีหรือเป็นสัตว์ที่หน้าตาคล้าย ค่างและเมื่อพระยาราชเสนาเข้าป่าเมื่อเห็นค่างมากก็ถามถึงผีโป่งค่าง ก็ถูกผู้ใหญ่ห้ามไม่ให้พูดถึงทันทีเพราะถ้าไปถามเข้าอาจถูกมันดูดเลือดได้

    แต่ครั้งนั้นไม่มีโอกาสได้เห็นผีโป่งค่าง และเมื่อเจ้าพระยาราชเสนาอายุ30 ปี ได้มีโอกาสไปพบโป่งค่างที่หนองหงส์ และที่หนองหงส์ไม่มีใครกล้าพักแรมเพราะเป็นแหล่งที่โป่งค่างมาลง

    โป่งค่างมีลลักษระเหมือนลิง ร้องป๊อกเจี๊ยก ชอบอยู่ที่สูง มีอิทธิฤทธิ์ในการดูดเลือดคนเป็นๆและก็จะตายในทันทีและพอถึงหนองหงส์ ท่านก็สั่งให้ลูกน้องพักผ่อนตัวเองจะคอยเฝ้ายามเอง แล้วคืนนั้นยากดึกสงัดท่านก็ได้ยินเสียงร้อง ป๊อกเจี๊ยก ป๊อกเจี๊ยกมาใกล้ๆ บริเวณที่ลูกน้องนอนอยู่

    ทันใดนั้นเสียงก็เงียบไปจากแสงไฟที่ก่อกองเอาไว้ แล้วมันก็ค่อยๆไต่ลงมาจากต้นไม้ตรงไปที่ปลายเท้าของลูกน้องที่นอนหลับอยู่ พร้อมที่จะดูดเลือด เจ้าพระยาราชเสนาได้ยกปืนลั่ยนไกยิงไปที่ผีโป่งค่างทันที แล้วผีโป่งค่างก็ฟุบลงไปและเมื่อเดินไปใกล้ๆก็สามารถเห็นมันมีรูปร่างเหมือน ค่างแต่รูปร่างมันใหญ่กว่าค่างธรรมดา หางสั้นเนื้อริมฝีปากข้างบนหดนจนเห็นเหงือก ชอบหากินตอนกลางคืนชอบดูดเลือด มักมาตัวเดียวไม่อยู่เป็นฝูง
    [​IMG]

    - ผีกองกอย คือ
    ความเขื่อเกี่ยวกับผีก่องก่อย<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p jQuery1292061928672="263"></O:p>


    ผีก่องก่อยเป็นชื่อผีชนิดหนึ่งของชาวอีสานที่เล่าสืบต่อกันมาว่า
    ผีชนิดนี้เป็นผีที่มีอยู่จริงทางภาคอีสาน
    เหตุที่เรียกว่าผีก่องก่อยเพราะเรียกตามเสียงเรียกร้องของผี
    เวลาที่ผีออกหากินจะส่งเสียงร้องดัง ก่องก่อยก่องก่อย
    คนจีงเรียกว่าผีก่องก่อยตามเสียงดังกล่าว
    ความเป็นมาของผีก่องก่อยจะมีคำบอกเล่าต่างๆ กันออกไป และไม่มีหลักฐาน
    แน่นอนอะไรแต่ผีก่องก่อยตามความเชื่อของชาวอีสานบอกว่า
    เป็นผีผู้หญิง ดังนั้นความเชื่อที่ว่าผู้หญิงที่ถูกสิ่งศักสิทธิ์
    ลงโทษให้เป็นผีก่องก่อยจะต้องออกเร่ร่อนตามป่าเขาอย่างทรมาน
    มันต้องร้อง ก่องก่อยก่องก่อยให้คนได้ยินทั่ว
    เพื่อแสดงถึงความเจ็บปวดอันแสนทรมานจากการทำชั่ว
    เพื่อที่ผู้อื่นจะได้ไม่ทำตามคนแก่เฒ่า

    ผีชนิดนี้ตีนเดียว ไม่มีสะบ้าหัวเข่า จึงต้องเดินเขย่งเกงกอย ชอบออกมาดูดเลือดที่หัวแม่เท้าของคนที่นอนหลับพักแรมในป่า
    ผีที่ให้คุณก็มี ผีขุนน้ำ คือ อารักษ์ประจำต้นน้ำแต่ละสาย ซึ่งสถิตอยู่บนดอยสูง ผีขุนน้ำมักอยู่ตามต้นไม้ใหญ่ ชาวบ้านจะอัญเชิญมาสถิตที่หอผี ที่ปลูกอย่างค่อนข้างถาวรใต้ต้นไม้เหล่านี้ ผีขุนน้ำที่อยู่ต้นแม่น้ำใด ก็มักจะได้ชื่อตามแม่น้ำนั้น เช่น ขุนลาว เป็นผีอยู่ต้นแม่น้ำลาว ใน

    จังหวัดเชียงราย ผีมด และ ผีเมง คือ ผีบรรพบุรุษตามความเชื่อชาวล้านนา ( คำว่า “มด” หมายถึงระวังรักษา) ส่วนผีเมงนี้เข้าใจกันว่ารับมาจากชนเผ่าเม็ง หรือมอญโบราณ ผีเจ้าที่ คือผีที่รักษาประจำอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เป็นผู้ดูแลรักษาเขตนั้นๆ ดังนั้น คนโบราณเมื่อเดินทางและหยุดพักที่ใด มักจะบอกขออนุญาตเจ้าที่ทุกครั้ง



    [​IMG]

    . นางตะเคียน
    นางตะเคียน เป็นผี ตามตำนานพื้นบ้านของไทย เป็นผีผู้หญิง สิงสถิตอยู่ในต้นตะเคียน
    บริเวณผืนป่าที่ ผีนางตะเคียนสิงสู่อยู่จะสะอาดสะอ้านเหมือนมีคนมาปัดกวาดอยู่เสมอๆ ก็คงเหมือนกับคนอยู่บ้านต้องออกมาปัดกวาดหน้าบ้านตัวเองให้สะอาดอยู่ตลอด เวลานั่นเอง
    นางตะเคียนมักมีรูปร่างหน้าตาสะสวย หมดจดงดงาม ผมยาว ห่มสไบ ใส่ผ้าถุง บางที่ก็ว่าแต่งตัวเหมือนสาวบ้านป่าทั่วๆ ไป ผีนางตะเคียนมักจะเป็นจำพวกหวงที่อยู่ และจะดุร้ายมากหากใครคิดจะรุกรานที่อยู่ของตน
    เนื่องจากต้นตะเคียน มีผีนางตะเคียนสิงสู่อยู่ การจะนำเอาต้นตะเคียนมาขุดเป็นเรือ (เรือสมัยก่อนใช้วิธีขุดขึ้นจากต้นไม้ทั้งต้น) หรือนำไม้ตะเคียนมาสร้างบ้าน จำเป็นจะต้องทำพิธีบวงสรวงขออนุญาตจากนางตะเคียนก่อน ทั้งนี้ เมื่อต้นตะเคียนที่ถูกนำมาแปรสภาพเป็นยานพาหนะ หรือสิ่งปลูกสร้างแล้ว นางตะเคียนที่สิงสถิตอยู่ในต้นตะเคียนนั้นก็จะเปลี่ยนแปลงสถานะตามไปด้วย เช่น ถ้าเป็นเรือ นางตะเคียนก็จะกลายเป็นแม่ย่านางเรือ เป็นต้น

    [​IMG]
    ผีฟ้า และเทพารักษ์ หรือในตามพุทธศาสนาจะเรียกว่า รุกขเทวา ก็คือเทวดาผู้สิงอยู่ในต้นไม้บ้าง ใบไม้บ้าง ตามเขาบ้างตามบุญที่วิมานตนไปบังเกิดที่นั้น ชอบอยู่ตามป่าตามเขา ในถ้ำ ในน้ำ หรือบนต้นไม้ บางทีเรียกว่า เทวดา หรือเจ้า เช่น เจ้าทุ่ง เจ้าท่า เจ้าป่า เจ้าเขา ผีชนิดนี้ จัดว่าเป็นผีธรรมชาติ
    ให้ทั้งคุณและโทษคน
    [​IMG]
    ผีทะเลหรือผีพราย เป็นผีที่สิงสถิตอยู่ในทะเลทำให้เกิดคลื่นลม ชาวเรือมักจะคอยสังเกตที่เสากระด้งเรือ ถ้ามีแสงเรืองขึ้นมา แสดงว่าถูกผีทะเลเล่นงาน ต้องรีบหาทางเอาตัวรอด เพราะเรือต้องจมแน่ๆ

    [​IMG]
    ผีตายโหง เป็นผีที่ดุร้ายเพราะตายแบบผิดธรรมดา เช่นถูกฆ่าตาย ถูกรถทับตาย ตกน้ำตาย วิญญาณไม่สงบเท่าที่ควร ไม่ไปผุดไปเกิดง่ายๆ ต้องรอให้มีคนมาตายตรงนั้นแทนจึงจะไปเกิด บริเวณที่มีคนตายโหงแล้วจึงมีคนตายอยู่เรื่อยๆ คนส่วนมใหญ่มักโดนผีประเภทนี้หลอกหลอนมากที่สุด

    [​IMG]
    ผีอำ เป็นอาการที่ถือว่าเกิดจากอิทธิฤทธิ์ของผี เวลานอนหลับอยู่ มีความรู้สึกเหมือนมีใครมานั่งหรือนอนทับ และตรึงแขนขาทั้งสองไว้ จนกระดุกกระดิกหรือเคลื่อนไหวไม่ได้เลย ทำให้อึดอัด หายใจไมออก ต้องพยายามดิ้นรนต่อสู้จนเหนื่อยกว่าอาการนี้จะหายไป


    [​IMG]



    กระสือ

    ผีชนิดนี้จะสิงเด็ดขาดในผู้หญิง กลางวันจะมีร่างเหมือนหญิงทั่วไป มีพฤติกรรมแปลกๆคล้ายคนป่วย แต่ตกกลางคืนดึกๆ วิญญาณร้ายที่สิงอยู่ในส่วนลึกของจิตใจจะบีบเค้นให้ศีรษะและอวัยวะภายในหลุดออกจากร่าง ลอยออกไปล่าเหยื่อกินวัวควายและสัตว์เล็กๆประเภทกบเขียดแต่มักจะหลบคนและไม่ทำร้ายคนนอกจากจะจนมุมแล้ว ชอบกินเครื่องในโดยเฉพาะไส้ แบบสดๆ แต่กระสือบางตนที่ดุๆก็มักจะชอบอาละวาดกินเป็ดไก่เมื่อกินเสร็จก็จะไปเช็ดปากตามผ้าที่ตากไว้ตามบ้านต่างๆ และคนโบราณยังมีความเชื่อว่าถ้านำไปต้มจะรู้ว่าใครคือผีกระสือที่มาเช็ดปาก เมื่อนำผ้าไปต้มคนที่เป็นผีกระสือก็จะโผล่ออกมาเพราะเจ็บปาก ผีกระสือชอบกินอีกอย่างคือ อุจจาระ คนสมัยก่อนจะไม่มีส้วม แต่จะขุดเว็ดเอาเว็ดที่ว่านี้คือหลุมที่ใช้เป็นส้วมชั่วคราวสามารถขุดขึ้นมาใหม่ได้ชาวบ้านทนไม่ไหวต้องให้หมอผีมาปราบ

    แต่การปราบกระสือนั้นไม่สามารถไล่ออกจากร่างของเหยื่อเคราะห์ร้ายได้ เพราะวิญญาณนั้นได้หยั่งลึกลงในใจของคนๆนั้นแล้ว ฉะนั้น การปราบกระสือก็เท่ากับต้องฆ่าคนๆนั้นไปเลย กระสือนั้นจะชอบท้องไร่มืดๆที่จะหาอาหาร ลักษณะพิเศษอีกอย่างของกระสือคือจะมีดวงไฟวูบวาบอยู่ที่หัวใจ เชื่อกันว่านั่นคือวิญญาณที่สิงอยู่ในตัวของคนเคราะห์ร้าย เมื่อมองจากที่ไกลๆจะเห็นเป็นดวงไฟเขียวๆส่องแสงสลัวๆในความมืด ผีกระสือนั้นมีความรอบคอบพอดู เพราะเมื่อออกจากร่างไปหากิน เขาจะคาบผ้าห่มมาคลุมร่างไร้หัวของเขาไว้ก่อนไป ร่างของเขานั้นจะไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ พูดตรงๆก็คือจะกลายเป็นศพอยู่ขณะหนึ่ง ไม่มีความรู้สึกนึกคิดเพราะอวัยวะภายในหลุดออกไปหมดแล้ว ร่างนั้นจะสงบนิ่งอยู่จนกว่าเขาจะกลับมาเข้าร่างเดิม นอกจากนี้ ในแถบมาเลเซียยังมีเรื่องของผีที่มีลักษณะคล้ายกระสือของไทยด้วย ผีกระสือของมาเลย์มีชื่อเรียกว่า "ฮันตูปินังกาลัน"

    มีเรื่องเล่าว่า ครอบครัวหนึ่งประกอบไปด้วย พ่อ แม่ ลูก วันหนึ่งในตอนกลางคืน ผู้เป็นพ่อได้ออกไปธุระข้างนอกบ้าน ผู้เป็นแม่ปิดประตูอยู่ในห้อง แล้วนางก็หยิบเอาขวดน้ำมันมนต์มาทารอบคอ สักพัก หัวกับตัวของนางก็แยกออกจากกันโดยมีตับไตไส้พุงห้อยติดออกมาด้วย เวลาที่ออกหากินจะเห็นเป็นแสงสีเหลือง และมีเสียงชู่วๆ ดังอยู่ตลอดเวลา เพื่อที่จะขับไล่สัตว์เล็กสัตว์น้อยที่จะเข้ามายุ่งกับพวงไส้ของนาง ผู้เป็นลูกได้แอบเห็นดังนั้นจึงลองเอาน้ำมันมนต์ของแม่มาลองทาดูบ้าง ขณะที่หัวกำลังจะแยกออกจากตัว เด็กน้อยเกิดกลัวจนร้องโวยวายออกมาว่า "ช่วยด้วย หัวของฉันกำลังจะหลุดออกจากตัวแล้ว" จนชาวบ้านละแวกนั้นได้ยินกันทั่ว แต่ไม่มีใครกล้าเยี่ยมหน้าเข้ามาให้ความช่วยเหลือ จนกระทั่งหัวของผู้เป็นแม่ลอยกลับมา เสียงร้องโวยวายก็เงียบลง หลังจากวันนั้น ครอบครัวนั้นก็ย้ายหนีไปจากที่นั่น และไม่มีใครได้พบเห็นอีกเลย เป็นที่น่าสังเกตว่าแสงของผีกระสือในแต่ละที่จะแตกต่างกัน อย่างฮันตูปินังกาลันของมาเลย์ว่าเป็นแสงสีเหลือง แต่ของไทยเรากลับว่าเป็นแสงสีเขียว เป็นต้น

    [​IMG]

    <TABLE class=" FCK__ShowTableBorders" border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center jQuery1292061928672="382"><TBODY jQuery1292061928672="383">
    กล่าวถึงพวกเปรตมากมายหลายจำพวก มีถิ่นฐานอยู่รอบเมืองราชคฤห์ หลางสมุทร เหนือเขา กลางเขา ที่มีปราสาทอยู่ก็มี ที่มีพาหนะยวดยานเที่ยวไปในอากาศก็มี เมื่อเดือนแรมเป็นเปรต เดือนขึ้นเป็นเทพยดา หรือกลับกันก็มี แฝงต้นไม้ใหญ่อยู่ หรืออยู่บนที่ราบก็มี เป็นพวกผีเสื้อ ผีในต้นไม้ก็มี เป็นพวกผีปีศาจซ่อนตนอยู่ในแผ่นดินก็มี มีอายุยืนต่างๆกัน ๑๐๐ ปี ๑,๐๐๐ ปี ตลอดถึงกัปกัลป์พุทธันดร ต้องทนอดอยากทุกข์ยากต่างๆ
    </TBODY></TABLE><TABLE class=" FCK__ShowTableBorders" border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center jQuery1292061928672="389"><TBODY jQuery1292061928672="390">
    ตัวงามดั่งทอง ปากเหม็นหนักหนา หนอนเต็มปาก บ่อนกินปากเจาะกินหน้าตา เพราะได้รักษาศีลเมื่อก่อนจึงมีตัวงาม ปากเหม็นหนอนบ่อนกินปาก เพระได้ติเตียนยุยงสงฆ์ให้ผิดกัน
    </TBODY></TABLE><TABLE class=" FCK__ShowTableBorders" border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center jQuery1292061928672="396"><TBODY jQuery1292061928672="397">
    แมลงตอมอยู่ทั่ว เจาะกินตนผอมหนักหนา หาเนื้อมิได้เลย เอ็นหนังพอกกระดูกอยู่ อดอยากหนักหนา กินเนื้อลูกตนเอง เพราะ เมื่อเป็นคนอยู่ หลอกให้ยาแท้งแก่หญิงมีครรภ์ และสบถว่า ถ้าให้ยาลูกตกก็ให้เป็นเปรตเหมือนอย่างนั้น
    </TBODY></TABLE><TABLE class=" FCK__ShowTableBorders" border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center jQuery1292061928672="403"><TBODY jQuery1292061928672="404">
    เห็นข้าวน้ำหยิบมาก็เป็นก้อนอาจม เป็นเลือดเป็นหนอง เห็นผ้าเอามาห่มก็กลายเป็นแผ่นเหล็กแดงไหม้ทั้งตัว เพราะเมื่ออยู่เป็นคน ขึ้งเคียดด่าทอสามี (หรือภรรยา) ผู้บริจาคทาน ให้ไปกินข้าวน้ำที่กลายเป็นอาจมเลือดหนอง ให้ใช้ผ้าผ่อนที่กลายเป็นเหล็กแดง

    </TBODY></TABLE><TABLE class=" FCK__ShowTableBorders" border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center jQuery1292061928672="411"><TBODY jQuery1292061928672="412">
    ผมหยาบตัวเหม็น อดอยากไม่มีข้าวสักเมล็ดน้ำสักหยาดเข้าท้อง เพราะเมื่อกำเนิดก่อนตระหนี่นัก ไม่มักทำบุญทาน ทั้งห้ามปรามผู้อื่นมิให้ทำ

    </TBODY></TABLE><TABLE class=" FCK__ShowTableBorders" border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center jQuery1292061928672="419"><TBODY jQuery1292061928672="420">
    เพราะเมื่อกำเนิดก่อนเอาข้าวลีบปนข้าวดีไปลวงขาย



    </TBODY></TABLE><TABLE class=" FCK__ShowTableBorders" border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center jQuery1292061928672="430"><TBODY jQuery1292061928672="431">
    เพราะเมื่อกำเนิดก่อนได้ตีศีรษะพ่อแม่ด้วยมือไม้หรือด้วยเชือก

    </TBODY></TABLE><TABLE class=" FCK__ShowTableBorders" border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center jQuery1292061928672="439"><TBODY jQuery1292061928672="440">
    ขูดเนื้อหนังของตนเองกิน เพราะลักเนื้อของผู้อื่นแล้วปฏิเสธ ด้วยสบถให้เป็นไปอย่างนั้น

    </TBODY></TABLE><TABLE class=" FCK__ShowTableBorders" border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center jQuery1292061928672="448"><TBODY jQuery1292061928672="449">

    ดูรายชื่อคัมภีร์ที่ค้นมาเรียบเรียงก็เห็นได้ว่าเก็บจากคัมภีร์สายเถรวาท หรือพระพุทธศาสนานิกายสายใต้ แสดงลักษณะทรมานต่างๆ และแสดงกรรมที่กระทำในชาติก่อนด้วย แต่ของบางจำพวกดูก็ไม่ค่อยเหมาะสม พระอาจารย์น่าจะเก็บเปรตมาจากที่ต่างๆ และแสดงกรรมกำกับไว้ แต่ก็มีลักษณะเป็นเปรตมากกว่าเปรตทางสายธิเบต เพราะทางนิกายสายใต้นี้มีลักษณะตรงกันอยู่อย่างหนึ่งว่า ทนทุกข์ทรมานด้วยตนเอง ตนเองเป็นผู้หิวกระหาย ถูกไฟไหม้ ถูกสัตว์บ่อนกัดกิน เป็นต้น มิได้เที่ยวไปทำร้ายใคร


    </TBODY></TABLE><TABLE class=" FCK__ShowTableBorders" border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" align=center jQuery1292061928672="459"><TBODY jQuery1292061928672="460">
    มีลักษณะเป็น ปีศาจ หรือผีที่เที่ยวไปทำร้ายคน หรือสัตว์ดิรัจฉานอื่นๆด้วย แต่ทั้งสองสายก็มีลักษณะตรงกันอยู่ข้อหนึ่งว่า เปรตต่างจากสัตว์นรก นรกนั้นเป็นสถานทรมานที่มีอยู่ส่วนหนึ่ง เทียบอย่างคุกตะราง สัตว์นรกรวมอยู่ในคุกนรกนั้น ส่วนเปรตอยู่ในที่ต่างๆบนโลก เป็นที่จำกัดบ้าง ไม่จำกัดบ้าง เป็นพวกมีร่างกายพิกลพิการอดอยากยกแค้น ทนทุกข์ทรมานในลักษณะต่างๆ เทียบด้วยคนอดอยากอยากแค้นไม่สมประกอบ พิกลพิการ มีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งในที่ต่างๆ หรือเที่ยวเร่ร่อนไป ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
    </TBODY></TABLE>
    ผีพราย...ความหลอนใต้สายน้ำ
    รูปร่างมันจะเหมือนคนอยู่ในน้ำนานจนเนื้อเปื่อยซีด ตัวเขียวคล้ำ เนื้อตัวเป็นเมือกลื่น เหม็นเน่า

    ตอนเด็กๆ คุณคงเคยได้ยินพวกผู้ใหญ่บอกเอาไว้ใช่มั้ยล่ะครับว่าอย่าลงเล่นน้ำในตอนกลางคืน โดยเฉพาะแม่น้ำใหญ่หรือทะเล ทำไมถึงห้ามลงเล่นนะเหรอครับ...ถ้าลงไปเล่นน้ำในตอนกลางคืนก็จะโดนผีพรายดึงขาเอาไว้ไม่ให้ขึ้น แล้วมันก็จะลากคุณลงไปอยู่ด้วยจนคุณต้องจมน้ำตายนั่นแหละ

    แต่ถ้าเกิดวิเคราะห์ตามหลักความเป็นจริงแล้ว การเล่นน้ำในตอนกลางคืนนั้นอันตรายอยู่แล้ว การจะพลาดพลั้งเกิดเหตุไม่คาดฝันหรืออุบัติเหตุนั้นเป็นไปได้สูง พวกผู้หลักผู้ใหญ่ก็เลยห้ามไว้ก่อน ส่วนเรื่องผีพรายนั้นจะมีจริงหรือเปล่าก็อีกเรื่องหนึ่ง

    ผีพราย เป็นผีที่มีลักษณะเฉพาะคือตัวของมันจะมีเมือกคล้ายปลา แถมยังส่งกลิ่นเหม็นแบบตลบอบอวล เสมือนเป็นกลิ่นปลาเน่า หรือศพเน่า นอกจากกลิ่นอันรัญจวนแล้ว ตัวของมันจะมีลักษณะเป็นสีเขียวคล้า บ้างก็ว่ามีเกร็ด บ้างก็ว่าไม่มี

    อย่างในตำนานของฝรั่ง ตัวของพรายน้ำจะมีสีเขียว ลำตัวเต็มไปด้วยเกร็ดเหมือนปลา แต่ลักษณะรูปร่างจะเหมือนคน คือมีแขนขา ลำตัว ใบหน้าของมันจะมีลักษณะคล้ายปลากะโห้ หรือปลาบู่ของบ้านเรา ตามแขนและขาของมันจะมีครับ คล้ายครีบปลา เท้าของมันจะมีลักษณะเหมือนเท้ากบ

    ผีพรายของไทยก็มีลักษณะเหมือนคนเช่นกัน รูปร่างยังคงเค้าโครงแบบมนุษย์อยู่ แต่จะเหมือนคนอยู่ในน้ำนานจนเนื้อเปื่อยซีด ตัวของมันก็เป็นสีเขียวคล้าเหมือนกัน แต่จะออกอึมครึมหรือดำกว่า เนื้อตัวของมันก็มีลักษณะเป็นเมือกลื่นเช่นเดียวกัน ตัวของมันยังเปียกตลอดเวลาเพราะอยู่แต่ในน้ำ


    [​IMG][​IMG]




    ตามตำนานกล่าวว่าพวกผีพรายเกิดขึ้นจากบุคคลซึ่งตายกะทันหันมักจะเป็นการตายก่อนอายุขัย คือยัง



    ผีทหารโบราณ(ไทย-พม่า)
    [​IMG]
    คุยกับผีตัวที่ ๑๒ ผีทหารโบราณ


    กลับมาอีกครั้งกับเรื่องราวผีผี ที่หายไปก็เพราะต้องทำกิจกรรมหลายอย่างแต่ก็ยังไม่ลืมว่าจะต้องมาเล่าเรื่องราวดีดีสู่กันฟังอยู่สำหรับเรื่องราวที่จะนำมาเล่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี ๒๕๔๐ ที่จังหวัดหนึ่งทางภาคกลางของประเทศไทยเรื่องก็มีอยู่ว่าวันนั้นได้เดินทางไปที่อำเภอหนึ่งในจังหวัดนั้นบังเอิญต้องเดินทางไปในตอนกลางคืน คือออกจากกรุงเทพประมาณ เกือบ ๒ ทุ่มแล้วไปถึงก็ประมาณ ๔ ทุ่มกว่า ไปที่บ้านของเพื่อนและพักอยู่ที่บ้านของเพื่อนบ้านของเพื่อนเป็นบ้านเรือนไม้ แต่ไม่ใช่เรือนไทย เป็นเรือนไม้ที่เห็นกันทั่วไปตามชนบท ก็สบายๆเพราะเป็นคนชอบอะไรที่เป็นแบบชนบทบ้านนอกอยู่แล้ว ก็ไม่มีอะไรอยู่ได้ ได้บรรยากาศไปอีกแบบก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น อ่อ แต่จะว่าไม่คิดก็ไม่ได้ ก็คิดอยู่เหมือนกันแต่ไม่ได้หวั่นกลัวอะไร ไปถึงก็ทักทายญาติผู้ใหญ่ของเพื่อนจนสมควรแก่เวลา จึงแยกย้ายกันเพื่อทำกิจส่วนตัวและพักผ่อนนอนหลับในคืนนั้น เวลาก็ปาไปเกือบเที่ยงคืนหลังจากอาบน้ำเสร็จก็ไปกราบพระในห้องพระของบ้านเป็นการบอกกล่าวที่ทางเสียก่อนตามธรรมเนียมเพื่อความสบายใจ แล้วจึงเข้านอนก็นอนกันแบบง่ายๆคือทุกคนนอนด้วยกันบนบ้านคือมุ้งใครมุ้งมัน บ้านต่างจังหวัดอยู่กลางทุ่งนากลางดึกลมก็พัดค่อนข้างแรงเสียงลมพัดฝาบ้านดังเป็นระยะๆ เสียงเศษกิ่งไม้ใบไม้ตกกระทบหลังคาดังพอให้รู้สึกเหมือนมีอะไรมาเคาะหลังคาฟังแล้วก็ให้จินตนาการไปแต่สักพักก็ชินกับเสียงทั้งหลายแล้วก็หลับไป รู้สึกตัวอีกครั้งกลางดึกสงัดดูเวลาประมาณตี ๒ กว่าเห็นจะได้ รู้สึกว่าได้ยินเอะอะโวยวายดังมากเป็นเสียงของคนเยอะมากดังมาจากข้างนอกตัวบ้านอึกทึกครึกโครมดังกึกก้องเหมือนกำลังทำอะไรกันสักอย่างจากนั้นก็มีเสียงดังเหมือนโลหะกระทบกันดัง แกร็งๆๆ ดังมาจากหลายๆทิศทางมีเสียงร้องโหยหวล เสียงความเจ็บปวดปางตาย เสียงเหมือนโกรธแค้น หมายประหัดประหารกันให้ตายไปข้างหนึ่ง รุ้สึกว่ามึคนอยู่ที่นั่นเยอะมากเป็นร้อยเป็นพัน พอเริ่มตั้งใจฟังเสียงให้ชัดเจนมากขึ้นเริ่มจับใจความได้ว่า นั่นคือการรบกันในสงครามโบราณแน่ๆ ในขณะนั้นมองไปรอบตัวภายในบ้านยังเห็นทุกคนในบ้านนอนหลับสนิทไม่มีใครได้ยินอะไรเลย มีแต่ผู้เขียนเท่านั้นที่ได้ยินคนเดียว ขณะนั้นจึงกำหนดจิตเป็นสมาธิทั้งที่ยังนอนอยู่เพื่อดูให้แน่ใจว่ามันคืออะไรกันแน่ ภาพที่ปรากฏแก่สายในสมาธินั้น เป็นภาพของทหารโบราณ มีทั้งทหารไทยและทหารพม่ากำลังรบพุ่งกันอยู่ท่ามกลางสนามรบซึ่งบ้านหลังนี้ตั้งอยู่ตรงที่นั้นพอดี เห็นทหารกำลังรบกัน บ้างก็ถูกฟัน ถูกแทง ตายไปต่อหน้าต่อตา คนแล้วคนเล่า บางคนกำลังต่อสู้กันอยู่ตรงหน้าคร่อมตัวผู้เขียนอยู่ก็มี โดยไม่สนใจว่าผู้เขียนเห็นเขาอยู่ เลือดของคนที่โดนฟันยังสาดกระเซนมาตกใกล้ๆ ยิ่งกว่าในละครที่เคยดูเพราะมันเป็นของจริงที่ตายก็ตายจริง ที่แขนขาด ขาขาด ก็ขาดกันจริง ที่แผลเหวอะหวะก็ของจริง ที่คอขาดกระเด็นไปคนละทิศทางก็ของจริง นี่ถ้าเป็นคนขวัญอ่อนคงกลัวจนเป็นไข้หัวโกร๋นไปแล้ว หรืออาจอ๊วกแตกเพราะภาพน่าสยดสยองน่าสะอิดสะเอียนของการฆ่าฟันกันอย่างไม่มีความเมตตาปราณีต่อกัน ศพแล้วศพเล่าที่ตายไป จากสงครามแห่งเผ่าพันธุ์ ไม่มีความคิดว่าต่างฝ่ายก็ต่างเป็นมนุษย์ คิดแต่อย่างเดียวว่าแผ่นดินนี้เป็นของกู ต้องเป็นของกู ผู้เขียนนอนดูเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นด้วยความระทึกใจตลอดเวลาในการได้ดูนั้นไม่ได้มีใจคิดเข้าข้างใคร ไม่คิดว่าใครถูกใครผิดเลย เพียงแต่คิดว่า ทำไมคนเราถึงทำได้ขนาดนี้ แค่ความต้องการครอบครองอะไรๆที่ไม่ใช่ของตนแต่ตนอยากได้ ต้องลงมือทำสงครามประหัดประหารกันได้ขนาดนี้ คิดแล้วมันหดหู่ใจยิ่งนักแล้วสุดท้ายมันเป็นอย่างไร ก็ไม่เห็นมีใครเอาอะไรไปได้เลย สุดท้ายไม่ว่าฝ่ายใดแพ้ฝ่ายใดชนะก็ไม่พ้นต้องตายกันทั้งสิ้น วันนี้ผู้คนทั้งหมดที่ผู้เห็นในเหตุการณ์สงครามครั้งนี้บัดนี้ก็ไม่มีใครเหลือรอดอยู่เลยแม้แต่คนเดียวไม่ว่าจะเป็นฝ่ายแพ้หรือฝ่ายชนะ แม้ในขณะที่คิดนั้นเหตุการณ์การต่อสู้กันก็ยังไม่ยุติลง ยังคงดำเนินอยู่ต่อไป เสียงสนั่นหวั่นไหวของปืนใหญ่ก็ดังอยู่เป็นระลอก คงไม่จบไม่สิ้นแน่ เพราะบางครั้งเหมือนจะจบ ภาพที่เคยเห็นผ่านไปก็กลับมาปรากฏให้เห็นอีก คนเดิมทหารคนเดิม มารบมาฆ่ากันให้เห็นอีกแล้ว จึงตัดสินใจตะโกนถามคนเหล่านั้นออกไป ใครก็ได้ช่วยบอกทีว่านี่มันคืออะไรกัน เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ทำไมมันซ้ำไปซ้ำมาเหมือนเดิม มีทหารคนหนึ่งเดินถือดาบตรงเข้ามาหาผู้เขียน แล้วก็พูดขึ้นว่าทั้งหมดที่ท่านเห็นเป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในสมัยสงครามเก้าทัพ ครั้งนั้นทหารพม่ายกทัพมาตีถึงเก้าทาง ทางนี้ก็เป็นทางหนึ่งที่พวกพม่ายกมา แต่ช่างมันเถอะมันผ่านไปนานแล้ว ข้ามาเพื่อจะบอกท่านว่าทั้งหมดนี้ที่ท่านเห็นมันเป็นวิบากกรรมที่พวกข้าบางคนยังต้องรับหรือชดใช้กรรมกันอยู่ในสภาพนี้บางส่วนก็ได้ไปเกิดในที่ใหม่แล้วบางส่วนยังวนเวียนอยู่แต่ทั้งหมดที่ท่านเห็นมันเป็นภาพอดีตที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง อดีตจะเป็นภาพที่ทรงตัวของมันเองอยู่เสมอจะเป็นอยู่อย่างนั้นปรากฏอยู่อย่างนั้นตราบนานเท่านานแม้ผู้อยู่ในอดีตนั้นจะได้เวียนว่ายไปสู่ภพภูมิใหม่แล้วก็ตามแต่ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหลายจะยังอยู่ ดังนั้นผู้ที่มีกำลังจิตที่เรียกว่าฌาณก็ดี หรือบางคนหลับฝันไปก็ดีจะสามารถเห็นอดีตที่ผ่านมาแล้วได้เพราะภาพอดีตเหล่านั้นยังคงอยู่ ว่าไงท่านพอเข้าใจหรือเปล่า ทหารคนนั้นย้อนถามความเข้าใจ อ่อ ก็พอเข้าใจอยู่บ้าง ว่าภาพทั้งหมดเป็นภาพอดีตที่จะยังคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาคือแม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไรก็ตามภาพที่เห็นนี้จะเหมือนเดิมยังเป็นภาพเดิมอยู่เสมอแม้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นจะเวียนว่ายไปแล้วก็ตาม ใช่หรือเปล่า ผู้เขียนตอบไป เออ ใช่แล้วอ้าวแล้วพวกที่ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิดจะทำอย่างไร จะต้องอยู่สภาพแห่งสงครามการรบราฆ่าฟันอย่างนี้ไปเรื่อยๆหรือ ผู้เขียนถามต่อ เปล่า ไม่ใช่ สงครามมันจบไปแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่คือภาพแห่งสงครามที่ไม่มีวันหายไป ภาพแห่งสงครามจะอยู่ตราบนานเท่านานบันทึกอยู่ในกาลเวลาไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปได้แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตามเหมือนตอนนี้ ๒๐๐ กว่าปีล่วงไปแล้วภาพแห่งสงครามนี้ก็ยังอยู่และจะอยู่ต่อไปเหมือนกับเรื่องอื่นๆ แต่อีกสิ่งที่เหลือคือ จิตวิญญาณที่ยังไม่สามารถไปผุดไปเกิดเพราะยังไม่หมดกรรม หรือยังไม่ถึงวาระก็ต้องเร่ร่อนอยู่แถวนี้ไปเรื่อยๆรอเวลาจนกว่าจะถึงเวลาของตัวเอง ว่าจะได้ไปผุดไปเกิดที่ไหนตามแต่เวรกรรมบุญบาปที่ทำกันมา พวกนี้แหละน่าสงสาร จะไปก็ไม่ได้ครั้นจะอยู่ก็เคว้งคว้างลำบากต้องรอขอส่วนบุญเขาไปเรื่อย ที่ไปแล้วจะสวรรค์ก็ดี นรกก็ดี หรือไปเกิดเป็นมนุษย์ เปรต อสูรกาย หรือสัตว์เดรัจฉานก็ดี พวกนี้ถือว่ามีที่หมายมีที่อยู่แน่นอนในภพในภูมิของตน จะลำบากก็ลำบากในภพภูมิของตน ไม่ต้องเร่ร่อนมีอาหารตามมีตามได้ของตน ผิดกับพวกวิญญาณเร่ร่อนที่ยังหวังอะไรไม่ได้ อยู่ก็ต้องอยู่ที่เก่า ภาพที่เห็นก็ภาพเก่า อาหารไม่ต้องพูดถึงแทบไม่มีให้กินกันเลย ที่เรียกกันทั่วไปว่าสัมภเวสีนั่นแหละอ้าว แล้วท่านหล่ะเป็นอะไร ผู้เขียนถามไป ข้ายังจัดเป็นพวกสัมภเวสีอยู่เหมือนกันเพราะตายก่อนเวลาอันควรอ้าวแต่นี่มันผ่านมาตั้งนานแล้วนะท่าน แล้วทำไมยังไม่ได้ไปเกิด” “ไม่เกี่ยวกัน ก็ข้ามันดันตายก่อนเวลา เลยต้องรอรอบเวลาที่จะมาถึงแล้วรู้มั้ยว่าตัวเองจะได้ไปไหนถ้าเวลามาถึงผู้เขียนถาม ก็ต้องสวรรค์อย่างแน่นอนทหารคนนั้นตอบ ทำไมท่านถึงมั่นใจอ้าวก็ตอนยังมีชีวิตที่ไม่เกิดสงครามผมทำบุญทำทานประจำ ถือศีล และยังไปช่วยพระสร้างโบสถ์สร้างวิหารอยู่เป็นประจำ ส่วนบาปกรรมก็ไม่ได้ทำเลย จะว่าไม่ทำเลยก็ไม่ใช่ ทำบ้างเล็กๆน้อยๆก็สุรากับเพื่อนฝูงนั่นแหละ แต่ก็ไม่เคยก่อความเดือดร้อนให้ใครนะเพราะเป็นทหารต้องมีระเบียบมีวินัยของทหาร ฮ่าฮ่าฮ่า เขาพูดพลางหัวเราะไปพลาง แต่จากนี้อีกไม่นานข้าก็จะได้ไปเกิดแล้วหล่ะ ท่านไม่ต้องห่วง เขาพูดต่อ ผู้เขียนนิ่งฟังอยู่สักครู่แล้วจึงถามต่อไปว่า แล้วทำไมต้องให้ข้าเห็นทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีตนี้จริงแล้วไม่มีใครอยากให้ใครเห็นหรือไม่อยากให้ใครเห็นหรอกนะ เพราะทุกอย่างมันก็เป็นของมันอยู่อย่างนี้มานานแล้ว ที่ท่านเห็นก็เพราะตัวท่านเอง จิตของท่านมีพลัง ใจท่านบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ท่านจะเห็นได้ ท่านเองก็คงรู้อยู่แก่ใจข้าคงไม่ต้องพูดมากไปกว่านี้ เอาหล่ะคิดว่าที่เราคุยกันมาก็คงพอสมควรแก่เวลาแล้ว เห็นทีข้าต้องไปยังภพของข้าแล้วหล่ะนะ อ่อ อีกเรื่องหนึ่ง ขอให้ท่านหมั่นแผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายให้มากๆ ให้เป็นประจำ พวกเรา หรือพวกข้าที่อยู่ในภพที่มีแต่ดวงจิต ที่มนุษย์เรียกว่าวิญญาณ หรือ ผี นั่นแหละ สามารถรับพลังเมตตานั้นได้ไม่ว่าจะอยู่ภพไหนก็ตาม ตั้งแต่สวรรค์ยันพรหมโลก ถึงโลกุตตรภูมิด้วยซ้ำ รับได้ทั่วถึงกันหมด เมือ่ดวงจิตทั้งหลายได้รับพลังที่ดีนั้นแล้วก็จะพากันกล่าว สาธุการ ด้วยกันทั้งสิ้น ผู้ที่แผ่ไปนั้นก็จะได้รับผลแห่งบุญบารมีที่แผ่เมตตาไปนั้นโดยปริยาย จำเอาไว้นะ นี่เป็นอีกวิธีที่สร้างบุญที่ง่ายและได้รวดเร็วที่สุดวิธีหนึ่ง ข้าคงต้องไปแล้ว ท่านจงตั้งใจสร้างสมคุณงามความดีต่อไปนะ จำไว้อะไรที่ท่านทำไม่ว่าดีหรือชั่วก็จะได้แก่ตัวท่านเอง ท่านเป็นคนดี ท่านคงเข้าใจทุกอย่างที่ข้าพูด ข้าไปหล่ะ ผู้เขียนยังไม่ทันที่จะได้พูดถามอะไรต่อ หรือกล่าวคำร่ำลาต่อผีทหารโบราณผู้นั้น เขาก็ได้หายวับไปกับตา ผู้เขียนจึงแผ่เมตตาให้กับผีทหารโบราณตนนั้น และนึกขอบคุณในทุกๆเรื่องที่ได้สนทนาปราศัยให้ผู้เขียนได้มีความรู้และความเข้าใจในวิถีแห่งจิตวิญญาณมากขึ้น มันไม่ได้จบลงตรงคำว่าตาย มันเป็นแค่จุดเริ่มต้นแห่งการผจญภัยในภพใหม่ ที่ถูกกำหนดด้วยอำนาจบุญและบาปของจิตวิญญาณดวงนั้นๆ
    รบกัน

    [​IMG]

    [​IMG]

    ภาพขุนพันธ์ ตำรวจจอมขมังเวทย์ที่เคยเป็นข่าว

    <EMBED height=42 type=application/x-mplayer2 pluginspage=http://www.microsoft.com/isapi/redir.dll?prd=windows&sbp=mediaplayer&ar=Media&sba=Plugin& width=200 src=http://www2.asis.co.th/pongpon98988/ghost.mp3 autostart="true" loop="true" controller="true" bgcolor="#FF9900" jQuery1292061928672="633"></EMBED jQuery1292061928672="634">




    [​IMG]


    </TD></TR></TBODY></TABLE>​


    รูป ตำนานผีไทย...ทีบางคนยังไม่รู้
     
  2. hot25714

    hot25714 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +11
    เเหม เพลง วังเวงจัง กลัวอ่ะ
     
  3. น้ำดี1

    น้ำดี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    13,402
    ค่าพลัง:
    +43,438
    น่ากลัวจัง..................
     
  4. Maxx

    Maxx Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2006
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +96
    ผีกระสือ น่ากลัวสุดละ มาเป็นไส้
     
  5. supahron_lee

    supahron_lee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +94
    อ่านกระทู้ คุณ Lukhgai ตอนสี่ทุ่ม ไอ้ผมก็โหลดหน้ามาอ่านได้สักพัก คงคิดว่าพอทำใจอ่านได้ไม่มีอะไร แต่พอ Media Player ทำงานเท่านั้น เอา หูฟังออกแทบไม่ทัน หลอนสันหลังวูบวาบ เสียงหลังกะเสียงเพลงนี่แหละ
    แหม.... ยกให้สิบกระโหลกเลยครับ
     
  6. pr!mpr!e

    pr!mpr!e เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2010
    โพสต์:
    371
    ค่าพลัง:
    +145
    ขอบคุณสำหรับเรื่องราค่ะะน่ากลัวมากๆ
     
  7. tamikooh

    tamikooh สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +14
    เปิดเพลงได้วังเวงมากเลยครับ
     
  8. faveur

    faveur เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    316
    ค่าพลัง:
    +2,298
    ขอบคุณที่นำมาให้อ่านค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...