ร่วมทำบุญบูชา ตะกรุดมันตรามายาองค์พระกาลีสวนมหากำเนิด พ่ออาจารย์พล

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย คุรุปาละ, 12 ตุลาคม 2014.

  1. คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,317
    ค่าพลัง:
    +17,482
    ร่วมทำบุญบูชา เหรียญ"พ่อ"ตราล้างบาปเปลี่ยนวัฏฏปกาศิตพระหระสดาจารประทับวาสุกรีนาคราช(ฝังมหาภูติโลกันต์)

    แรกเริ่มนั้น พ่ออาจารย์ท่านตั้งใจเพียรใช้ผงวิเศษ ว่านยา ลบผงมหาคุณทั้งเก้าสาย เก้าวิชา เก็บไว้รอโอกาสสร้างเครื่องมงคลชั้นสูง ด้วยเป็นการลงผงมหาวิเศษเรียกสูตรชักยันต์เก้าชนิด มีคุณต่างๆกันไปก่อนจะนำมารวมเป็นผงโถหนึ่งนั้นเอง อันผงมหาคุณทั้งเก้าสายนั้นประกอบไปด้วย
    - ผงกันปีศาจ กันภูติผี สัมภเวสี อสุรกายทุกชนิด ผงนี้จะกันการทำร้ายจากมือมืด หรือสิ่งมีชีวิตที่มองไม่เห็นในจำพวกมิจฉาทิฏฐิทั้งหมด
    - ผงกันเดรัจฉาน ใช้กันสัตว์เดรัจฉานต่างๆอันจะเป็นอุบัติเหตุให้เกิดแก่ชีวิตด้วยการทำร้ายเรา เช่น ช้าง โค กระบือ เสือ สิงห์ต่างๆบรรดามี
    - ผงกันข่ม ใช้กันข่มจกผู้มีอำนาจมากกว่า รวมไปถึงการกลั่นแกล้งต่างๆให้ชีวิตเราวิบัติจากทั้งไสยศาสตร์ การกระทำมนุษย์และอานุภาพดวงดาวต่างๆ ท่านว่ากันข่มทั้งหมด ไม่ให้มีสิ่งแวดล้อมใดมาสะกด มาข่ม มากดหัวกดชีวิตเอาไว้
    - ผงกันศาสตราวุธ ท่านว่าผงตัวนี้ปืนผาหน้าไม้ ศาสตราวุธทั้งหลายเมื่อทำร้ายเรา จะไม่ปรากฏอันตรายแก่ชีวิต เอาตัวรอดได้ ไม่ตายด้วยศาสตราวุธทั้งปวง
    - ผงเข้าหาเจ้านาย ผงนี้ทำไว้สำหรับเวลาเข้าหาผู้ใหญ่ หรือจะสมาคมด้วยคนชั้นสูงก็ดี ผู้มีอายุมากกว่าก็ดี พูดอะไรไปเขาเชื่อหมด เขาเมตตาเราดุจลูกในไส้ เลือดในอก อุปมาดุจว่าแม้มีความผิดถึงที่ตายก็ยังฆ่าไม่ลง เอาไว้ใช้ในการงาน ในชีวิต จะทำอะไรคนเขาจะโอนอ่อนผ่อนปรนให้อย่างน่าประหลาด
    - ผงเรียกลาภ ผงนี้หาลาภดี ค้าง่ายขายคล่อง ทำอะไรได้ผลเกินตัว ได้กำไรสูงไม่มีขาดทุน ท่านว่าสูตรนี้จำเอาไว้ไม่มีขาดทุน จะเอาไปใช้ทางไหนก็เรื่องของเธอ
    - ผงค้าสำเภา อันนี้สำคัญ สำเร็จงานใหญ่ ได้จับธุรกิจใหญ่ ดึงดูดโชคลาภใหญ่หลวง เรียกว่าประสบความสำเร็จใหญ่ ไปอยู่ถิ่นใด จะจรไปไหนก็ได้ดีทุกที เป็นเอกทางมหาลาภอย่างที่สุด
    - ผงมหาเสน่ห์ ผงนี้ลงไว้ด้วยสูตรสาวสามหมู่บ้านกินน้ำบ่อเดียวกัน เป็นมหาเสน่ห์ถึงขนาดว่าภรรยาทั้งหลายอยู่รวมกันได้ไม่ตีกันถึงแม้ผู้หญิงจะถือคติเสียทองเท่าหัวไม่ยอมเสียผัวให้ใครก็ตาม นั่นคือรักและหลงจนลืมโกรธเป็นเสน่ห์ถึงปานนั้น
    - ผงอริพ่าย ผงนี้สำคัญที่สุด ลงยาก ท่านว่าลงไว้รับกับทุกสถานการณ์ ผงนี้อยู่ไหนทำอะไรก็ชนะเขาทั้งหมด ศัตรูพ่ายแพ้ แข่งยังไงแกล้งอย่างไรก็ไม่มีวันชนะ ทำร้ายเราไม่สำเร็จเลย ท่านว่าโลกต่อไปเบื้องหน้าจะยิ่งน่ากลัว จะหาคนที่อยู่โดยไม่มีศัตรูนั้นยาก ต่อไปนี่แค่เขม่นตากันก็เกลียดชังกันแล้ว เรียกว่าเกลียดกันดื้อๆ ท่านว่าผงนี้จึงสำคัญมากเพราะใช้รับได้ทุกสถานการณ์
    ผงมหาคุณสำคัญทั้งเก้าประการนี้ พ่ออาจารย์ท่านว่าทำยากมาก พอเอามารวมกันก็เสกเก็บไว้ยาวนานเพื่อจะทำเครื่องมงคลที่เหาะสมเสียครั้งหนึ่ง ปรากฏว่ามีคณะมาขอผงวิเศษไปสร้างพระเครื่อง ท่านพิจารณาแล้วว่าผงของเราก็มีอานุภาพมาก จึงเมตตาจะตักไปให้เขาซักช้อนหนึ่งผสมเป็นมวลสารทำพระเขา ท่านว่าไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใดก็ดี
    ตอนเปิดขวดนั้นเขาบ่นกันอุบว่าผงเข้าตา คงจะกระเด็นหรือมีแรงอัดอากาศในขวดอันนี้ก็ไม่ทราบ แต่เรื่องที่น่าแปลกก็คืออยู่ดีๆทุกคนพูดกันหมดในลักษณะที่เหมือนกัน นั่นคือมองเห็นฤาษี เทวดาต่างๆที่มาเฝ้ามาอารักขาพ่ออาจารย์ท่านจนร้องโวยวายและบอกกันต่อๆมาว่ามึงเห็นมั๊ย นั่นยักษ์เทวดา นั่นฤาษี นั่นเทพอะไร คุยกันจนพ่ออาจารย์ท่านระลึกได้ว่าจะปล่อยไปเช่นนี้ไม่ได้ จึงได้อธิษฐานจิตซัดน้ำมนต์ล้างตา ล้างอาถรรพ์วิชาออกไป ท่านว่าผงนี้สำคัญนะพอลองเอามาทาตาก็รู้ว่าสำคัญเลย อะไรที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ ไม่เคยมี เปิดหมด ให้รู้ ให้เห็น ให้ได้ ให้มี สำคัญตรงนี้ ท่านว่าจะเก็บไว้ก็เป็นอันตรายมองเห็นไปทั่วเช่นนี้คนเขาจะหาว่าบ้า ท่านจึงเทหมดทั้งขวดเพื่อทำผงอุดครูพระสยมองค์สำคัญชุดนี้ด้วยผงวิชามหาคุณทั้งเก้าประการนั่นเอง

    " มีของทำนองแบบลอยเคราะห์หรือรับบาปแทนตัวเองมั๊ย เนื่องจากบางเรื่องพระหรือเครื่องมงคลทางพุทธศาสนาก็ยังข้องแวะติดอยู่ในกฏของกรรม เกินกรรมไม่ได้ แล้วทีนี้ไอ้ตัวเคราะห์มันก็หนัก วิบากปรรมก็มาเต็มๆ เรียกว่าเอาแค่ผ่อนลงเล็กน้อยก็รู้ว่ผ่อน แต่ก้ยังเรียกว่าหนักจนไม่อยากอยู่ในสภาพนี้อยู่ดี " ....แน่นอนว่าถ้าถึงขนาดนั้นเครื่องมงคลทางพุทธย่อมไม่มี แต่พ่ออาจารย์ท่านว่าถ้าสายพระเวทย์ สายครูพระสยมนี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง พ่ออาจารย์ท่านยกครูพระสยมเป็นครูใหญ่และมักเรียกแทนท่านว่า"พ่อ" ท่านได้กล่าวถึงครูใหญ่หรือพ่ออยู่เนืองๆ ท่านกล่าวว่าครูพระสยมคือตัวแทนของมหากรุณาที่พร้อมจะเสียสละและรับความเจ็บปวดแทนสรรพชีวิตทั้งหลายด้วยความรักอันยิ่งใหญ่เพื่อให้ได้มาซึ่งสันติ ความสุข ความเจริญ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้สร้างมงคลศักดิ์สิทธิ์เฉพาะกาลชนิดหนึ่งขึ้นมา ด้วยเหตุที่ว่าเพื่อเป็นตัวแทนครู เป็นการระลึกถึงครู ให้บูชาครู อย่าดูถูกครู นึกถึงครูแล้วจะได้ดี หมดหนี้สินเป็นเศรษฐีมหาศาล มีความสุขในห้วงชีวิต ด้วยว่าครูนั้นจะรับความเจ็บปวด ความทุกข์ โทษ เคราะห์ภัย อุบาทว์ พิฆนะจัญไร หายนะ ท่านจะกลืนกินอัปมงคล อวมงคลทั้งหลายไว้ด้วยความรักอันใหญ่หลวง เพื่อสิริ เพื่อมงคล เพื่อสันติ เพื่อความสุข เพื่อความเจริญ ที่จะพึงบังเกิดมีในชีวิตของลูกน้อยนั่นเอง


    สำหรับครูพระสยมรุ่นนี้เรียกว่าท่านตั้งใจทำวิชาเฉพาะ ตั้งใจเชิญเพื่อให้คนใช้ลอยเคราะห์และพ่ออาจารย์ท่านตั้งใจสร้างเพื่อการรับบาปแทนลูกๆเลยก็ว่าได้ ถึงขนาดมีคำพูดที่ว่า " พระรับบาปรึ ...พระที่จะคอยรับให้ทั้งร้อยแบบนั้นไม่มีหรอกคุณ แต่ถ้าพ่อน่ะมี พ่อพระสยมชุดเฉพาะนี่นะ"


    แต่เดิมนั้น พ่ออาจารย์ท่านเมื่อได้รับโองการครูให้ทำพระทางลอยเคราะห์นี้ ท่านก็ตั้งใจจะปั้นหุ่นครูพระสยมขึ้นมาซักรุ่น แต่พอทำไปแล้วก็ต้องหลอมใหม่เนื่องจากครูบอกว่าใช้ไม่ได้
    ท่านว่าใครไม่เป็นเราไม่รู้หรอกว่ามันยากตั้งแต่คิดจะเริ่ม ไอ้ทำของจะลอยเคราะห์ล้างบาปกรรมแบบนี้เริ่มมาก็ยากแล้ว เราปั้นถึงเก้าครั้งก็ต้องหลอมหุ่นเทียนทิ้งทั้งเก้าครั้ง เพราะองค์พระสยมบอกว่าใช้ไม่ได้แล้วกว่าจะปั้นเสร็จได้แต่ละครั้งก็ไม่ใช่ง่าย จนครั้งที่สิบท่านเมตตาจึงบอกใบ้ให้เราว่าให้ทำในปางที่ท่านดื่มพิษครากวนเกษียรสมุทรเพื่อรับเคราะห์ภัยไว้กับตัวเองแทนคนทั้งโลก แทนเทพเจ้าทั้งหลาย แทนสรรพชีวิตทั้งหมดในมหาจักรวาลเพื่ออานิสงค์แห่งการเกิดขึ้นครั้งนี้ ในรูปนี้ของเราจะได้รับเคราะห์ภัยและบาปอกุศลธรรมทั้งหลายแทนลูกๆที่บูชาไว้กับตัวเอง พ่ออาจารย์ท่านจึงได้แบบมาปั้นว่าควรทำอย่างไร แล้วก็ทำสำเร็จโดยโองการครูตรงกับที่ท่านยอมรับ พ่ออาจารย์ท่านว่ายากนะ ไม่ใช่สักแต่ว่าจะทำ แต่การทำให้ครูพระสยมท่านยอมรับนั้นไม่ใช่ของง่าย

    ทำไมต้องเป็นเหรียญ"พ่อ" พ่ออาจารย์ท่านกล่าวว่าครูพระสยมนั้น ได้มีโองการเฉพาะ ให้ทำวัตถุที่มีอานุภาพใช้ล้างบาป เปลี่ยนแปลงกฏมหาวัฏฏขึ้นมาเป็นการเฉพาะดยกำหนดรูปแบบให้ทำเป็นปางที่พระองค์ท่านทรงกลืนพิษอันมีอานุภาพร้ายแรงที่สุดในหมื่นจักรวาลอันเกิดแต่เกษียรสมุทรรวมกับพิษของพญาวาสุกรี พ่ออาจารย์ท่านว่าเหรียญนี้เมื่ออาราธนา ย่อมมีจุดหมายใหญ่อยู่ประการเดียวนั่นคือการรับเคราะห์ รับกรรม โดยพ่อนั้นจะกลืนทุกข์ กลืนวิบัติอาเพท ทำลายเคราะห์โศก ปิดที่ชีวิตที่มืดบอด กำจัดบาป ทำลายล้างบาป ประทานพรให้พ้นจากบาปและอกุศลกรรมต่างๆของลูกทั้งหมดทั้งสิ้น ด้วยว่าองค์พระสยม คือครูองค์เดียวที่สามารถรับและกำจัดบาปได้ ซ้ำยังพาและผลักดันให้ชีวิตดำเนินต่อไปในจุดที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของมหาวัฏจักร โดยปรับเปลี่ยนชีวิตที่หลุดพ้นจากบาปและอกุศลกรรมเสียใหม่

    ท่านว่าปกติแล้ว คนที่ใช้หรือมีอะไรดีๆเค้ามักจะไม่บอกกัน แต่วาระนี้ท่านจะเปิดให้รู้ให้เห็นถึงอานุภาพที่อยู่เหนือบาปทั้งหลายนั้น ว่าทำไมต้องเป็นองค์พ่อหรือครูพระสยมเท่านั้น และต้องเป็นเฉพาะปาง เฉพาะกาล เฉพาะวาระที่ท่านเปิดให้ด้วย พ่ออาจารย์ท่านว่าองค์พระศิวะหรือครูพระสยมนั้นมีตัวตนและคุณสมบัติที่เป็นดาวข่มและทำลายล้างบาปทั้งมวลโดยตรง คือ
    เป็นสดาจาร พ่อคือพระเป็นเจ้าที่มีการกระทำอันสูงสุด
    เป็นอกลมัย พ่อคือผู้ไร้บาป
    เป็นสรวปาปหร พ่อคือผู้ทำลายล้างบาปทั้งหลาย
    เป็นหระ พ่อคือผู้มีอำนาจกำจัดบาปทั้งหมด
    เป็นมุกันทะ พ่อสามารถประทานพรให้พ้นจากบาป
    เป็นตมิศรหา พ่อมีอำนาจทำลายความมืด
    เป็นโศกนาศัน พ่อมีอำนาจทำลายความโศก
    เป็นสรวารถปริวรตัก พ่อมีตัวเป็นตนต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง
    เป็นวิฆันนาคัน พ่อมีอำนาจทำลายอุปสรรคร้ายทั้งหมด


    ดังนั้นเพื่อจะเอาชนะกรรมลิขิต บาปเคราะห์ ดาวข่ม ตลอดจนอำนาจของพรหมลิขิต เทพลิขิตชะตา ตลอดจนมหาวัฏฏทั้งหลาย แล้วนำชีวิตออกไปสู่การเริ่มต้นใหม่ การเปลี่ยนแปลงโดยมีองค์พระศิวะหรือครูพระสยมเป็นต้นเหตุของทุกเรื่องทุกสิ่งทุกอย่าง พ่ออาจารย์จึงได้จัดหามวลสารธาตุกายสิทธิ์มาหลอมสร้างและเชิญครูขึ้นมา ลงพระเวทย์สวรรค์ เวทย์ดึกดำบรรพ์เฉพาะด้าน เฉพาะทางอันมีอานุภาพทางล้างบาปเคราะห์แบบที่ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน ก่อนจะเทผงมหาคุณวิเศษทั้งเก้าชนิดที่รวมตัวกันจนมีอานุภาพแปลกประหลาดเกิดขึ้นอุดฝังไว้ด้านหลัง

    อันเหรียญ"พ่อ"ตราล้างบาปเปลี่ยนวัฏฏปกาศิตพระหระสดาจารประทับวาสุกรีนาคราช นั้น พ่ออาจารย์ทำเป็นเศียรวาสุกรีนาคราชปรกเหนือพระเศียรครูขึ้นไป ท่านว่าวาสุกรีนาคราชนี้ก็คือสร้อยพระศอของครู นอกจากเป็นเทพเดรัจฉานแล้วยังเป็นอาวุธ เป็นมหาสังวาลย์ที่มีอานุภาพล้างโลกได้ชนิดหนึ่ง อันพญาอนันตนาคา พญาวาสุกรีนาคานั้นก็เปรียบดั่งบรรพบุรุษ เป็นดั่งเทพเจ้าของเผ่าพันธุ์นาคา พญาอนันต์นั้นก็อยู่กับพระวิษณูส่วนพญาวาสุกรีก็อยู่คู่องค์ศิวะ และเมื่อกวนเกษียรสมุทรครานั้น ก็ใช้พญาวาสุกรีนี่เองแทนเชือกชักวนภูเขามันทร พ่ออาจารย์ท่านว่าอันพญาวาสุกรีนั้น เป็นมหานาคดึกดำบรรพ์เช่นเดียวกับพญาอนันตนาคราช ซ้ำยังเป็นมหาราชาของหมู่นาคทั้งปวง พญาอนันต์นั้นมีฤทธิ์เป็นไฟประลัยกัลป์ แต่พญาวาสุกรีนั้นมีมหาพิษร้ายแรงที่สุดในหมู่นาคดึกดำบรรพ์ตลอดจนวงศ์วานนาคทั้งหลาย ด้วยว่าตนมีฤทธิ์มากเกินพี่น้องทั้งหมดแม้แต่พญาอนันตนาคราช ทำให้ถูกยกไว้ในตำแหน่งสูงสุดนั่นคือจอมกษัตริย์นาคาเมื่อพญาอนันต์ละทางโลกไปอยู่วิมานพระนารายณ์แล้ว พญาวาสุกรีก็เบื่อหน่ายทางโลก มีอุปนิสัยยินดีทางการภาวนาเจริญฌานสมาบัติ องค์ศิวะท่านจึงรับไว้เปรียบดั่งเป็นสัญลักษณ์ของพระองค์ พ่ออาจารย์ท่านว่ายุคนี้นาคหรือเทพเดรัจฉานจะขึ้นมารักษาและให้คุณกับมนุษย์ หนนี้เมื่อใครบูชาองค์ครูพระสยมโดยตรงนั้นก็จะได้พรจากพญาวาสุกรีมหานาคดึกดำบรรพ์จอมกษัตริย์นาคาไปในตัวด้วย ด้วยว่าพญานาคนั้นมีฤทธิ์มาก ให้คุณแก่ผู้บูชาให้มีชีวิตร่มเย็นเป็นสุข ทั้งยังเป็นเอกทางโภคสมบัติ ด้วยดูแลสมบัติต้นกำเนิดของโลกในแดนบาดาล พ่ออาจารย์ท่านว่าเอาท่านไปก็เหมือนเปิดดวงทางโชคลาภด้วย และท่านยังมีมหาพิษมีฤทธิ์ร้ายแรงจนองค์พระสยมท่านต้องรับไปอยู่ด้วยเป็นฤทธิ์เดชที่เทวดาตลอดจนสรรพชีวิตทั้งหลายกลัวเกรงกันมาก นั่นก็คือกลัวการดับสูญเพราะมหาพิษนั่นเอง พ่ออาจารย์ท่านว่าพญาวาสุกรีนี้เชิญยากนะ จะหานาคที่มีฤทธิ์มากจนครุฑอย่างพญาสุเรนทร์ทำอะไรไม่ได้ก็ต้องท่านวาสุกรีนี่แหละ รักความยุติธรรม รักสันโดษ แต่น้ำใจในคอในอกนั้นก็บู๊สุดๆเหมือนกัน ชนิดที่ว่าลองปกปักรักษาชีวิตใครแล้ว ก็จะไม่ยอมให้ผู้ใดมารังแกเขาได้ง่ายๆ

    เหรียญหล่อพระหระสดาจาร เหรียญพ่อ หรือตราล้างบาปก็เรียกนี้ ด้านหลังนอกจากผงมหาคุณเก้าประการแล้ว ยังฝังของศักดิ์สิทธิสามอย่างคือ
    - ลูกอมผงห้ามจน ท่านว่าเหนือกว่าโภคทรัพย์ธรรมดาก็ต้องห้ามจนนี่แหละ เอามาฝังครูพระสยมดุจปกาศิตสาปไว้ว้าห้ามจน คือจนไม่ได้ และไม่มีวันจนนั่นเอง จนในที่นี้คือจนด้วยทรัพย์สิน จนด้วยปัญหาหนทางในการดำรงค์อยู่ การดำเนินชีวิต ท่านว่านี่คือห้ามไว้แล้วนะ ทางจนไม่เปิด เข้าไปไม่ได้ เช่นนั้นก็เหลืออยู่ทางเดียว นั่นคือสุข สมบัติ พิพัฒนมงคลทั้งหลาย ท่านว่าห้ามจนนี่ก็ปิดประตูทุกข์ไปแล้วอย่างหนึ่ง
    - พยนต์มหาภูติโลกันต์ ท่านใช้ผงยาดำมหากาฬที่ท่านเพียรทำโดยมีความนัยน์สำคัญซ่อนเร้นขึ้นมา พยนต์มหาภูติโลกันต์นี้ ท่านทำจากผงดำมหากาฬหรือจะเรียกพยนต์มหากาฬก็ได้ ท่านว่าพยนต์นี้เป็นทั้งยิดัม ทั้งธรรมบาล มีฤทธิ์มาก เป็นพยนต์เทพเจ้า แทนตัวของเทพมหากาฬทางทิเบต อันมหากาฬนี้นอกจากเป็นธรรมบาลแล้ว ยังปกครองดูแลสมบัติเบื้องล่างทั้งในโลกในบาดาลทั้งหมด มีพญานาคทั้งหลายเป็นบริวาร เป็นเทพแห่งโชคลาภและความมั่งคั่ง พ่ออาจารย์ท่านว่าพยนต์สำคัญอันมีชื่อมหากาฬจากผงมหากาฬนี้ ด้วยมีชื่อพ้องกับมหากาลนามของครูพระสยม ท่านจึงนำมาฝังไว้รวมกัน ให้รักษาตัวผู้ใช้และควบคุมดวงของโชคลาภความมั่งคั่งทั้งหลายให้มีเข้ามาเนืองๆ ท่านว่าพกไว้ไม่ต้องเลี้ยงต้องเซ่นเพราะเป็นเทพชั้นสูง อธิษฐานให้ท่านช่วยเปิดดวงเปิดทางให้เราก็พอ
    - ยาเทวีสิบสองนางหรือยานางสิบสอง
    พ่ออาจารย์ท่านนำแท่งยาสุระสะติ่ของเก่า ซึ่งหาได้ยาก เป็นยาเก่าที่ปรุงมาแต่โบราณของบูรพาจารย์พม่า ไม่ใช่ยาใหม่รึปรุงใหม่ที่มีขายแต่อย่างใดท่านว่าของใหม่นั้นทำอย่างไรก็เทียบของเก่าของโบราณไม่ได้ ท่านนำแท่งยามาฝนเอาผงนวดรวมกับสีผึ้งเทียวท่านพ่อท่อทาบแล้วปั้นเป็นเม็ดๆไว้ ท่านว่าลำพังยาสุระสะติ่นี่ก็เป็นปิยะสุดๆแล้ว รวมกับสีผึ้งเขียวนี่อีก ท่านพูดไปหัวเราะไป เราเองก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะเป็นปิยะขนาดไหน เอาว่าเทวดานางฟ้ายังหลงเท่านี้ก็พอ ยานี้ที่เรียกว่ายานางสิบสองก็เพราะทำจากยาสุระสะติ่ของเก่าของโบราณ ซึ่งนางสุระสะติ่นั้นก็คือพระแม่สุรัสวดีนั่นเอง เป็นครูใหญ่ทางสายวิชาพม่า ไทใหญ่ ที่เรียกนางสิบสองเพราะด้วยสายวิชานั้นเชื่อว่านางมีสิบสองปาง มีนางสุระสะติ่ทั้งหมดสิบสองคน จึงเป็นสิบสองกำลังของพระแม่แห่งภูมิปัญญาความรู้ที่จะช่วยและเกื้อกูลลูกที่ศรัทธา ท่านว่าพกไว้นะดี ยานี้สมองจะปลอดโปร่ง คิดอะไรก็ออกสมัยนี้เขาเรียกว่าเก็ท คือคิดออกแต่เรื่องดีๆ คิดแล้วทำชีวิตก็ยิ่งดี จะนำชีวิตไปสู่ความเจริญทางภูมิปัญญามีวิวัฒนาการด้านความคิดสติปัญญาแตกแขนงไปไม่รู้จบ ซ้ำยานี้อยู่กับใครนอกจากจะเป็นปิยะเป็นที่รักของมนุษย์เทวดาแล้ว คนผู้นั้นจะมีสิริ เป็นทั้งเสน่ห์และเดช อำนาจครบถ้วนไม่มีอะไรจะเปรียบอยู่ในตัวเอง ท่านว่าคิดเอานะทั้งเสน่ห์เดชะตบะอำนาจรวมอยู่พร้อมๆกัน เช่นนี้จะหามีที่ไหน เป็นอะไรที่น่ากลัวมากๆเพราะทั้งหลงทั้งกลัวทั้งเกรงใจเกิดขึ้นพร้อมกันหมดเลย

    คาถาบูชา
    โอม นะ มะ ศิ วา ยะ (สวดสั้นๆเพียงเท่านี้ก็ได้เช่นกัน)
    - เมื่อใดพบปัญหาหนัก หาทางออกไม่ได้ ชีวิตถึงคราวมืดบอก ให้ยกองค์เทวรูปพระหระสดาจารขึ้นจบหัว สวดอาราธนาดังนี้จนหลับไป ท่านว่ายิ่งทำมากๆชีวิตยิ่งดี ถ้าไม่มีปัญหาอะไรแล้วทำได้ก็ยิ่งจะเจอแต่สิ่งดีๆ

    โอม นาเคนทะระ หารายะ ตะริโลจะนายะ ภัสมางคะ ราคายะ มะเหศะวะรายะ นิตยายะ ศุทะธายะ ทิคัมพะรายะ ตัสไม นะการายะ นะมะศิวายะ มันทากินี สะลิละ จันทะนะ จะระจิตายะ นันทิศะวะระ ประมาถะ มะเหศะวะรายะ มันทาระปุษปะ พะหุปุษปะ สุปูชิตายะ ตัสไม มะการายะ นะมะศิวายะ ศิวายะ เคารีวัทนาพะชะวะ รินทะ สูระยายะ ทักษะ ธะวะระ นาศะกายะ ศรีนีละกัณทายะ วะรึษะ ธะวะชายะ ตัสไม ศิการายะ นะมะศิวายะ วะสิษฐะ กุมโภทะภะวะ เคาตะมารยะ มุนีนะทะระ เทวาระจิตะ เศขะรายะ จันทราระกะ ไวศะวานะระ โลจะนายะ ตัสไม วาการายะ นะมะศิวายะ ยักษะ สะวะรูปายะ ชะตาธะรายะ ปินากะ หัสตะตายะ สะนาตะนายะ ทิวะยายะ เทวายะ ทิคัมพะรายะ ตัสไม ยะการายะ นะมะศิวายะ

    * พ่ออาจารย์ท่านทำมงคลพระหระสดาจารไว้ทั้งหมดแปดองค์ และท่านต้องการเก็บไว้กับตัวองค์หนึ่ง ดังนั้นจึงมีให้ร่วมทำบุญเจ็ดองค์ สำหรับผู้ต้องการจะบูชาก็สั่งจองไว้ทาง PM พร้อมกับชื่อวันเดือนปีเกิด พ่ออาจารย์ท่านจะอธิษฐานฝากครูพระสยมให้ล้างบาปเปลี่ยนแปลงมหาวัฏฏของแต่ละคน ทั้งยังจะฝากฝังกับพยนต์เทพยิดัมให้ด้วย ท่านว่าใครพบเจอก็ถือว่าชีวิตนั้นท่านเปิดให้แล้ว รายได้ร่วมสมทบทุนบริจาคผ้าห่มและเสื้อกันหนาวแก่ชาวดอยและชาวเขาในโอกาสต่อไป


    ร่วมทำบุญบูชา เหรียญ"พ่อ"ตราล้างบาปเปลี่ยนวัฏฏปกาศิตพระหระสดาจารประทับวาสุกรีนาคราช(ฝังมหาภูติโลกันต์) บูชา 4,000 บาท


     
  2. คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,317
    ค่าพลัง:
    +17,482
    ใครจะฝากคำถามอะไรก็ PM ไว้นะครับ
     
  3. คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,317
    ค่าพลัง:
    +17,482
    ตอบ PM ครบนะครับ พอดีเมื่อเช้ามีเรื่องมาเล่าเพิ่งจะได้เปิดอ่านไปเพราะยุ่งๆทั้งวัน ก็เดี๋ยวจะยกมาพูดคุยกันวันพรุ่งนี้อีกที :)
     
  4. คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,317
    ค่าพลัง:
    +17,482
    อรุณสวัสดิ์ครับ

    วันนี้เด๋ยวส่งของแล้วมาติดตามเรื่องพูดคุยกันนะ
     
  5. คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,317
    ค่าพลัง:
    +17,482
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่ภาคภูมิ EU 0503 7761 1 TH

    พี่ศิระ EU 0503 7762 5 TH

    พี่วิชัย EU 0503 7763 9 TH
     
  6. คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,317
    ค่าพลัง:
    +17,482
    พูดคุยยามเย็น
    ว่าจะลงเมื่อวานแต่ก็ต้องขอข้ามมาวันนี้แทน เพราะเมื่อวานกระแสองค์ครูพระสยมแรงจริงๆ นั่งชั่งใจว่าถ้าเล่าหรือนำมาพูดคุย คงยิ่งเหมือนเทน้ำมันรดกองไฟ

    เกี่ยวกับพลังองค์พ่อ หรือพลังงานพิเศษที่จะทำลายล้างพลังขั้วลบด้านลบต่างๆนั้น ต้องยอมรับว่าครูพระสยมเป็นของจริง ที่กล่าวทั้งนี้ไม่ได้เกินเลยแต่อย่างใด แต่พ่ออาจาย์ท่านก็บอกว่านี่ก็ไม่ใช่คติพุทธเช่นกัน หากแต่เป็นศาสตร์ของเทวะวิทยา เป็นศาสตร์และพลังที่เอาไว้ใช้กับคำว่าปาฏิหาริย์


    ตั้งแต่เริ่มลงรูปและเรื่องราวครูพระสยม ปกติผมจะไม่เปิดรูปเครื่องมงคลซักเท่าไหร่จนกว่าจะเปิดให้จอง ก็มีหนนี้ที่ลงรูปโชว์ไปแต่แรกไม่รู้อารมณ์ไหนเหมือนกัน พอดีกับมีนักท่องเวปพลังจิตที่เป็นศิษย์กรรมฐานวัดท่าซุงได้มาเห็น แล้วก็เกิดเรื่องราวให้นำมาเล่านี้ขึ้น

    พี่ท่านนี้เล่ามาทางข้อความว่าได้เจออะไรดีๆแล้วทิ้งเบอร์ไว้บอกว่าถ้าอยากรู้ละเอียดๆให้เราโทรหาเค้า เราก็อยากรู้เนาะเลยโทรไปแล้วแนะนำตัว พี่เค้าก็เริ่มเล่า เค้าว่าตัวเค้าไม่รู้จักครูพระสยม หลวงพ่อท่านไม่เคยสอน แต่ว่าพอมาเห็นรูปองค์พระที่หล่อมีพญานาคปรกนั้นก็เหมือนตกอยู่ในภวังค์ พี่เค้าว่าไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ พี่นั่งจ้องรูปนี้เกือบสองชั่วโมงมองจนภาพติดตาแล้วก็เข้าฌานสี่ไปตามลำดับอย่างอัตโนมัติทันที

    ตกกลางคืนพี่เค้าว่าเค้าฝันมีนิมิตตอนใกล้รุ่ง เห็นเป็นธาตุแสงมากมายมารวมตัวกันเป็นรูปร่างมนุษย์ ก่อนจะมีลักษณะโปร่งใส เป็นมวลมหาพลังงานที่ยิ่งใหญ่พี่เค้าว่าพอๆกับเรานั่งดูภาพการเกิดดาราจักรทีเดียว พี่เค้าเล่าพร้อมบรรยายไปว่าเค้ารู้ทันทีว่าครูพระสยมคือพลังงานของพระธรรม เป็นพลังงานธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่ก่อรูปขึ้นเป็นจิตรู้เป็นเทพเจ้านี่เอง ไม่ใช่เทพเจ้าที่มีกำเนิดเหมือนจิตวิญญาณตายแล้วเกิดทั่วไป พอร่างแสงนั้นรวมตัวแล้วก็ได้เดินมาเอื้อมมือชักบริเวณศรีษะพี่เค้าแล้วสะบัดทิ้งไป ในทางที่มือของท่านเหวี่ยงไปนั้นพี่เค้าว่ามองตามไป เห็นเป็นอสุรกายตัวดำๆแดงๆน่าขยะแขยง แค่คิดว่ามันออกมาจากตัวเราก็น่ากลัวแล้ว ตอนนั้นก็รู้ทันทีว่านั่นคือนามธรรมของสิ่งที่ไม่ดีในตัวเรา พี่เค้าว่าไม่รู้ว่าเป็นอะไรเหมือนกันแต่แน่ใจว่าไม่ใช่คุณไสยอะไรแน่ๆ อาจจะเป็นตัวบาปหรือเจ้ากรรมนายเวรก็เป็นได้ แล้วก็มีแสงสว่างกระจายออกมาจากองค์ท่านพุ่งใส่สิ่งนั้นดูดกลืนเข้าไปในตัวท่านเอง

    พี่เค้าก็เล่าไว้คร่าวๆเขาว่าพอมาอ่านรายการจองอีกทีจึงรีบจองเลย เขาว่าทีนี้รู้เลยว่าท่านกลืนกินและช่วยเหลือคนอย่างไร พี่เค้าว่าครูพระสยมมีอะไรที่เหนือและทำอะไรที่เป็นไปไม่ได้ให้เกิดขึ้นได้แบบเป็นความสามารถเฉพาะของท่านจริงๆโดยเฉพาะการกลืนกินบาปเคราะห์และสิ่งประหลาดเหล่านี้ แต่คงเพราะพี่ไม่ได้มีศรัทธาในครูท่านแต่แรก เลยไม่มีโอกาสเห็นรูปนิรมิตรของท่าน ท่านจึงมาให้เห็นแค่ธาตุแสงเป็นญาณธาตุอากาศแบบนั้น

    * ก็นำมาเล่าไว้ ฟังหูไว้หู เป็นเรื่องและประสบการณ์ของแรงครู ที่เกิดขึ้นกับผู้ใฝ่ภาวนาและใช้ชีวิตปฏิบัติกรรมฐานมาทั้งชีวิต สำหรับใครที่ศรัทธาก็ขอให้ครูท่านอวยพรและรักษากันนะครับ พ่อพระสยมท่านไม่เคยทิ้งศิษย์แน่นอน... ศิวายา นะมะฮา


     
  7. คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,317
    ค่าพลัง:
    +17,482
    พูดคุยยามเช้า

    อรุณสวัสดิ์ครับ วันนี้ก็จะมาลงความรู้ให้เรื่อยๆ หลายๆคนคงเคยได้ยินเกี่ยวกับพระฉัพพรรณรังสีในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากันมาบ้าง ก็ทีนี้อันพุทธรังสีนั้นมีความพิเศษอย่างไรและแผ่ออกมาน่าอัศจรรย์เพียงใด ก็มีบทความซึ่งบรรยายไว้ดีมาก จะยกมาให้อ่านกัน


    พระฉัพพรรณรังสีที่แผ่จากพระกายพระพุทธเจ้า
    หมวดที่ ๑ - พระพุทธสรีระ
    "พระฉัพพรรณรังสีที่แผ่จากพระกายพระพุทธเจ้า"

    ฉัพพรรณรังสี คือแสงสว่างที่พวยพุ่งออกจากจุดกลางเป็นรัศมี ๖ ประการ ซึ่งเปล่งออกจากพระสรีรกายของพระพุทธเจ้า คือ

    ๑. นีละ เขียวเหมือนดอกอัญชัน
    ๒. ปีตะ เหลืองเหมือนหรดาลทอง
    ๓. โลหิตตะ ขาวเหมือนแผ่นเงิน
    ๕. มัญเชฏฐะ สีหงสบาทเหมือนดอกเซ่งหรือหงอนไก่
    ๖. ปภัสสระ เลื่อมพรายเหมือนแก้วผลึก

    สีทั้ง ๖ นี้ไม่ได้พุ่งออกเป็นสี ๆ ดังที่แยกไว้นี้ แต่แผ่ออกมาพร้อมกันในหนังสือปฐมสมโพธิกถา ฉบับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส กล่าวถึงพระฉัพพรรณรังสีที่แผ่ซ่านออกจากพระกายพระพุทธเจ้า ไว้ดังนี้

    "ในลำดับนั้น พระฉัพพรรณรังสีก็โอภาสแผ่ออกจากพระสริรกาย อันว่านิลประภาก็เขียวสดเสมอด้วยสีแห่งดอกอัญชัน มิฉะนั้นดุจพื้นแห่งเมฆแลดอกนิลุบลแลปีกแห่งแมลงภู่ ผุดออกจากอังคาพยพในที่อันเขียวแล่นไปจับเอาราวป่า แลพระรัศมีที่เหลืองนั้นมีครุวนา ดุจสีหรดารทองแลดอกกรรณิการ์แลกาญจนปัฏอันแผ่ไว้ พระรัศมีออกจากพระสริรประเทศในที่อันเหลืองแล้ว แล่นไปสู่ทิศานุทิศต่าง ๆ พระรัศมีที่แดงอย่างพาลทิพากรแลแก้วประพาฬ แลกุมุทปทุมกุสุมชาติ โอภาสออกจากพระสริรอินทรีย์ในที่อันแดงแล้วแล่นฉวัดเฉวียนไปในประเทศที่ทั้งปวง พระรัศมีมีที่ขาวก็ขาวดุจดวงรัชนิกร แลแก้วมณี แลสีสังข์ แลแผ่นเงิน แลดวงดาวพกาพฤกษ์ พุ่งออกจากพระสริรประเทศในที่อันขาวแล้วแล่นไปในทิศโดยรอบ พระรัศมีหงสสิบาทก็พิลาสเล่ห์ดุจสีดอกเซ่ง แลดอกชบา แลดอกหงอนไก่ออกจากรัชกายรุ่งเรืองจำรัส พระรัศมีประภัสสรประภาครุนาดุจสีแก้วพลึกแลแก้วไพฑูริย์เลื่อมประพระฉัพพรรณรังสีทั้ง ๖ ประการแผ่ไพศาลแวดล้อมไปโดยรอบพระสกลกายยินทรีย์ กำหนดที่ ๑๒ ศอก โดยประมาณ อันว่าศศิสุริยประภาแลดาราก็วิกลวิการอันแสง เศร้าสีดุจหิ่งห้อยเหือดสิ้นสูญ มิได้จำรูญไพโรจโชติชัชวาล"

    รัศมีเฉกเช่นฉัพพรรณรังสีนี้มีเฉพาะพระพุทธเจ้าและเทวดาเท่านั้น นอกจากนี้ก็เกิดแต่ธรรมชาติเช่นสีรุ้งที่เรียกกันเป็นสามัญว่ารุ้งกินน้ำ หรือ พระจันทร์ พระอาทิตย์ทรงกลด ที่ออกจากเทวดานั้นจะเห็นได้ดังที่พรรณนาไว้ในพระสูตรต่าง ๆ ในเวลาที่เทวดามาเฝ้าพระพุทธเจ้าดังนี้

    มีเทวดาตนหนึ่งมีรัศมีสว่างจ้าเข้ามายังพระเชตวัน ทำพระเชตวันให้สว่างไสวไปทั่วบริเวณ เข้าเผ้าพระทุทธเจ้าที่ประทับความสว่างของรัศมีนั้น ไม่เหมือนแสงเดือนแสงตะวัน หรือไม่เหมือนแสงไฟ เป็นแสงสว่างที่เสมอกันทั้งหมด และเป็นแสงสว่างที่ไม่มีเงาเหมือนแสงอื่นเป็นแสงที่แผ่ไปติดอยู่ทั่วบริเวณ

    มีข้อความในปฐมสมโพธกถา ปริเฉทที่ ๑๓ ธรรมจักรปริวรรตว่าดังนี้

    "ฝ่ายอุปกาชีวเดินมาโดยทุราคมวิถีทางไกล หว่าง คยาประเทศเขตเมืองราชคฤห์กับมหาโพธิญาณ ติดต่อกัน แลเห็นไพสณฑ์สถานอันโอฬารไพโรจน์พรรณราย ด้วยข่ายฉัพพรรณรังสีโสณิวิลาส ปรากฏโดยทิวาทัศนาการทั้งพสุธารแลอากาศโอภาสด้วยพระรัศมีมีพรรณแห่งละ ๖ อย่าง ทั่วทั้งทิศล่างและทิศบน มาสัมผัสกายตนประหลาดมหัศจรรย์ไม่เคยได้พบเห็นเป็นเช่นนี้มาแต่ก่อน ถ้าจะเป็นเพลิง ไฉนกายอาตมาจึงไม่ร้อนกระวนกระวายแม้จะเป็นน้ำ ไฉนกายอาตมาจะไม่ชุ่มชื้นเย็นนี่จะเป็นสิ่งอันใดยิ่งสงสัยสนเท่ห์จิต จึงเพ่งพิศไปข้างโน้นข้างนี้ ก็เห็นองค์พระผู้ทรงสวัสดิ์ภาคย์เสด็จบทจรมา รุ่งเรืองด้วยพระสิดิฉันธมหาหว่างติสสุระ ลักษณะแลพระพยามประภาโอภาสเบื้องบน พระสุริย ก็ช่วงโชติด้วยพระเกตุมาลา ครุนาดุจทองทั้งแท่งประดับด้วยฉัพพรรณรังสี รังสีแสงไพโรจน์จำรัส"


     
  8. คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,317
    ค่าพลัง:
    +17,482
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่ปกรณ์เกียรติ EU 0505 7854 2 TH

    พี่พชร EU 0505 7855 6 TH
     
  9. คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,317
    ค่าพลัง:
    +17,482
    ใครจะฝากคำถามอะไรก็ PM ไว้นะครับ
     
  10. คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,317
    ค่าพลัง:
    +17,482
    พรุ่งนี้มาติดตามพูดคุยกันนะครับ ;)
     
  11. คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,317
    ค่าพลัง:
    +17,482
    พูดคุยยามเช้า

    อรุณสวัสดิ์ครับ
    วันนี้ก็มาพูดคุยกันต่อนะครับ หลายๆคนไปวัดฟังพระสวดมนต์กันมาก็คงเคยได้ยินผ่านหูกันมาแล้วบ้างเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า 28 พระองค์ ซึ่งปรากฏนามในอาฏานาฏิยปริตร ที่มีการกล่าวถึงนามพระพุทธเจ้า ซึ่งแต่ละพระองค์ก็จะอยู่ในกัปต่างๆ เกิดร่วมกัปต่างๆกันดังต่อไปนี้ ในที่นี้ก็จะขอยกบทความที่จำแนกไว้แล้วมาประกอบ เพื่อให้อ่านทำความเข้าใจเป็นความรู้กันนะครับ บางกัปนั้นก็มีพระพุทธเจ้าอุบัติเพียงพระองค์เดียว แต่บางกัปเช่นปัจจุบันหรือภัทรกัปก็มีมากกว่าหนึ่ง

    "พระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ ในพระคัมภีร์ชั้นอรรถกถา"

    ในคัมภีร์ชั้นอรรถกถาแสดงย้อนหลังพระนามของพระพุทธเจ้ารวมกัน ถึง ๒๘ พระองค์ ซึ่งมักอ้างในบทสวดหรือในการประกอบพิธีหลายอย่างมีดังนี้

    ๑. พระตัณหังกร
    ๒. พระเมธังกร
    ๓. พระสรณังกร
    ๔. พระทีปังกร
    (รวม ๔ พระองค์อุบัติในกัปหนึ่ง)

    ๕. พระโกณฑัญญะ (เพียงพระองค์เดียวอุบัติในกัปหนึ่ง)

    ๖. พระสุมังคละ
    ๗. พระสุมนะ
    ๘. พระเรวตะ
    ๙. พระโสภิตะ
    (รวม ๔ พระองค์อุบัติในกัปหนึ่ง)

    ๑๐. พระอโนมทัสสี
    ๑๑. พระปทุมะ
    ๑๒. พระนารทะ
    (รวม ๓ พระองค์อุบัติในกัปหนึ่ง)

    ๑๓. พระปทุมุตตระ (เพียงพระองค์เดียวอุบัติในกัปหนึ่ง)

    ๑๔. พระสุเมธะ
    ๑๕. พระสุชาตะ
    (รวม ๒ พระองค์อุบัติในกัปหนึ่ง)

    ๑๖. พระปิยทัสสี
    ๑๗. พระอัตถทัสสี
    ๑๘. พระธรรมทัสสี
    (รวม ๓ พระองค์อุบัติในกัปหนึ่ง)

    ๑๙. พระสิทธัตถะ (เพียงพระองค์เดียวอุบัติในกัปหนึ่ง)

    ๒๐. พระติสสะ
    ๒๑. พระปุสสะ
    (รวม 2 พระองค์อุบัติในกัปหนึ่ง)

    ๒๒. พระวิปัสสี (เพียงพระองค์เดียวอุบัติในกัปหนึ่ง)

    ๒๓. พระสิขี
    ๒๔. พระเวสสภู
    (รวม 2 พระองค์อุบัติในกัปหนึ่ง)

    ๒๕. พระกกุสันธะ
    ๒๖. พระโกนาคมนะ
    ๒๗. พระกัสสปะ
    ๒๘. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของเราทั้งหลาย
    (รวม ๔ พระองค์อุบัติแล้วในกัปนี้)


    อนึ่ง ในกัปนี้เอง จักอุบัติขึ้นในอนาคตอีกหนึ่งพระองค์ คือ "พระเมตเตยยะ" หรือ "พระศรีอารยเมตไตรย" แต่มักเรียกกันว่า "พระศรีอารย์" ซึ่งจะอุบัติขึ้นหลังจากสิ้นศาสนา พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันแล้ว ในกาลนั้นมนุษย์ มีอายุยืน ๘๐,๐๐๐ ปี

    จะเห็นได้ว่าใน ๑๑ กัปที่ผ่านมาไม่มีกัปใดที่มีพระพุทธเจ้าเกิน ๔ พระองค์ แต่ในกัปปัจจุบันนี้ (คือกัปที่ ๑๒ นับจากพระพุทธเจ้าองค์แรก คือ พระตัณหังกร) จะมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นถึง ๕ พระองค์ รวมทั้งพระศรีอารย์ จึงเรียกว่า "ภัททกัป" หรือ ภัทรกัป" แปลว่า กัปเจริญ

     
  12. คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,317
    ค่าพลัง:
    +17,482
    ฝาก PM ไว้นะครับถ้าใครจะปรึกษาหรือส่งคำถาม เดี๋ยวเย็นนี้มาติดตามพูดคุยกัน
     
  13. คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,317
    ค่าพลัง:
    +17,482
    มีถามกันเข้ามาเกี่ยวกับตะกรุด ก็เอาไว้นำมาพูดคุยกันวันพรุ่งนี้นะครับ ติดตามๆ:)
     
  14. คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,317
    ค่าพลัง:
    +17,482
    ก่อนนอนอย่าลืมสวดมนต์ทำสมาธิเจริญสติและแผ่เมตตากันนะครับ;)
     
  15. คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,317
    ค่าพลัง:
    +17,482
    พูดคุยยามเช้า

    อรุณสวัสดิ์นะครับ เช้านี้ก็จะยกบทความเรื่องของอาจารย์ปู่หรือครูสมเด็จมาพูดคุยกัน

    การศึกษาวิปัสสนาธุระและมายาศาสตร์ของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ

    การศึกษาวิปัสสนาธุระและมายาศาสตร์ของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ นั้น สันนิษฐานว่าท่านจะได้เล่าเรียนในหลายสำนัก ด้วยในสมัยนั้น (โดยเฉพาะในรัชกาลที่ ๒) การศึกษาวิปัสสนาธุระเจริญแพร่หลายนัก มีครูอาจารย์ผู้ทรงเกียรติคุณอยู่มากดังกล่าวแล้ว
    แต่ที่ทราบเป็นแน่นอนนั้นว่า ในชั้นเดิมท่านได้เล่าเรียนในสำนักเจ้าคุณอรัญญิก (แก้ว) วัดอินทรวิหาร
    และในสำนักเจ้าคุณบวรวิริยะเถระ (อยู่) วัดสังเวชวิศยาราม

    และดูเหมือนจะได้เล่าเรียนจนมีความรู้เชี่ยวชาญแต่เมื่อยังเป็นสามเณร ด้วยปรากฏว่า
    เมื่อเป็นสามเณรนั้น ครั้งหนึ่งท่านได้เอาปูนเต้าเล็ก ๆ ไปถวายเจ้าคุณบวรฯ ๑ เต้า กับถวายพระในวัดนั้นองค์ละ ๑ เต้า เวลานั้นไม่มีใครสนใจ มีพระองค์หนึ่งเก็บปูนนั้นไว้ แล้วปั้นเป็นลูกกลม ๆ สัก ๓-๔ ลูก ภายหลังกลายเป็นลูกอมศักดิ์สิทธิ์เลื่องลือกันขึ้นดังนี้

    ต่อมาในภายหลัง ได้เข้าศึกษามายาศาสตร์ต่อที่สำนักพระอาจารย์แสง จังหวัดลพบุรีอีกองค์หนึ่ง พระราชนิพนธ์สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ในคราวเสด็จประพาศมณฑลอยุธยาเมื่อปีขาล พ.ศ. ๒๔๒๑ ความตอนหนึ่งว่า
    "....ขรัวแสง คนทั้งปวงนับถือกันว่าเป็นผู้มีวิชา เดิมตั้งแต่เมืองลพบุรีเข้าลงไปเพลที่กรุงเทพฯ ได้ เป็นคนกว้างขวาง เจ้านายขุนนางรู้จักหมด ได้สร้างพระเจดีย์สูงไว้องค์หนึ่งที่วัดมณีชลขันธ์
    (คือวัดเกาะ ซึ่งเจ้าพระยายมราช (เฉย) ต้นสกุล ยมาภัย สร้าง)
    ตัวไม่ได้อยู่ที่วัดนี้ หน้าเข้าพรรษาไปจำพรรษาอยู่ที่วัดอื่น ถ้าถึงออกพรรษาแล้วมาปลูกโรงอยู่ริมพระเจดีย์ ๒ องค์นี้ ซึ่งก่อเองคนเดียวไม่ยอมให้คนอื่นช่วย ราษฎรที่นับถือพากันช่วยเรี่ยไรอิฐปูน และพระเจดีย์องค์นี้เจ้าของจะทำแล้วเสร็จตลอดไป หรือจะทิ้งผู้อื่นช่วย เมื่อตายแล้ว ไม้ได้ถามดู ของเธอก็สูงดีอยู่.....


    พระอาจารย์องค์สำคัญที่สุดของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ คือ สมเด็จพระสังฆราช "ไก่เถื่อน (สุก)
    สมเด็จพระสังฆราช (สุก) พระองค์นี้ เดิมอยู่วัดท่าหอย ริมคลองคูจาม ในแขวงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (ดูพระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๑) เมื่อรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงอาราธนามาตั้งเป็นพระราชาคณะที่พระญาณสังวร

    ด้วยทรงเห็นว่าเป็นผู้มีชื่อเสียงในทางวิปัสสนาธุระเป็นที่นับถือของชนทั้งหลาย ถึงกับกล่าวกันว่า ทรงไว้ซึ่งเมตตาพรหมวิหารแก่กล้าถึงกับสามารถเลี้ยงไก่เถื่อน ให้เชื่องได้เหมือนไก่บ้าน ทำนองเดียวกับที่สรรเสริญพระสุวรรณสาม โพธิสัตว์ในเรื่อ'ชาดก
    ต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมเด็จพระสังฆราช ในรัชกาลที่ ๒ เมื่อพ.ศ. ๒๓๖๓
    คนทั้งหลายจึงพากันถวายพระฉายานามว่า "พระสังฆราชไก่เถื่อน" และได้เสด็จมาประทับ ณ วัดมหาธาตุเพียง ๑ ปี ก็สิ้นพระชนม์ทรงพระชันษาได้ ๙๐ เมื่อถวายพระเพลิงศพแล้ว โปรดฯ ให้ปั้นรูปบรรจุอัฎฐิไว้ในกุฏีหลังหนึ่ง ด้านหน้าพระอุโบสถ

    อนึ่งในตอนที่ถูกอาราธนามาจากวัดท่าหอยนั้น ท่านขออยู่วัดอรัญญิก จึงโปรดให้อยู่วัดพลับ แล้วสร้างพระอารามหลวงเพิ่มเติมออกมาอีก และเจ้านายที่ทรงผนวชในรัชกาลที่ ๑ นั้น ต้องไปศึกษาวิปัสสนาธุระในสำนักสมเด็จพระสังฆราช (ขณะที่ทรงเป็นพระญาณสังวร)
    พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ ก็ดี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ก็ดี
    ตลอดจนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ก็ดี ล้วนเคยศึกษาวิปัสสนาธุระมาจากสมเด็จพระญาณสังวร (สุก) ทั้งนั้น

    อัจฉริยภาพในการสร้างพระสมเด็จฯนั้น เข้าใจว่า
    เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้รับการศึกษามาจากพระอาจารย์พระองค์นี้
    กล่าวคือ พระวัดพลับของสมเด็จพระสังฆราช(สุก)นี้ สร้างตอนดำรงสมณศักดิ์เป็นพระญาณสังวร ครองวัดพลับ
    (วัดนี้อยู่ในคลองบางกอกใหญ่ ฝั่งเหนือ จังหวัดธนบุรี เป็นวัดโบราณมีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ตัววัดเดิมอยู่ทางด้านริม เดี๋ยวนี้ค่อนไปทางตะวันตก )

    เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงอาราธนา พระอาจารย์สุก (สังฆราชไก่เถื่อน) มาจากวัดหอย จังหวัดพระนาคศรีอยุธยานั้น ท่านขออยู่วัดอรัญญิก จึงโปรดให้อยู่วัดพลับแล้วสร้างพระอารามหลวงเพิ่มเติมขยายออกมาอีก
    สมเด็จพรพระญาณสังวรนี้ ทรงเป็นพระอาจารย์ทางคันถธุระและวิปัสสนาธุระเจ้านายมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ เป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ ก็ดี ล้วนเคยศึกษาวิปัสสนาธุระ ในสำนักสมเด็จพระญาณสังวร (สุก) ทั้งนั้นที่วัดนี้ยังมีตำหนักจันทร์ ซึ่งเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ เมื่อทรงผนวช


    นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ยังโปรดให้ซ่อมพระอาราม แล้วพระราชทานเปลี่ยนนามวัดเสียใหม่ว่า "วัดราชสิทธาราม" ถึงในรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ โปรดให้สร้างพระเจดีย์ ทรงเครื่องไว้ข้างหน้าพระอาราม ๒ องค์
    องค์หนึ่งนามว่า "พระศิราลพเจดีย์" พระเจดีย์องค์นี้ทรงอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ
    อีกองค์หนึ่ง ทรงขนานนามว่า "พระศิราจุมพฎเจดีย์" (พระเจดีย์พระองค์นี้ทรงสร้างเป็นส่วนพระองค์เอง ทั้งนี้เพื่อเป็นที่ระลึกว่า ได้เคยมาทรงศึกษาพระวิปัสสนา ในสำนักสมเด็จพระญาณสังวร (สุก) )


    เมื่อพิเคราะห์ดูแล้วจะเห็นได้ว่า มีลักษณะของเนื้อ
    เหมือนเนื้อของพระสมเด็จฯ (ของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ) ที่สุด
    แต่พระวัดพลับมีอายุในการสร้างสูงกว่าพระสมเด็จฯ
    ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า เจ้าพระคุณสมเด็จฯ เอาแบบอย่างส่วนผสมผสานมาดัดแปลง
    และยิ่งพระสมเด็จฯพิมพ์ทรงหลังเบี้ยด้วยแล้วก็ยิ่งสังเกตได้ว่า ดัดแปลงเค้าแบบมาจากพระวัดพลับทีเดียว

    อนึ่ง การทรงไว้ซึ่งความเมตตากรุณา อันเป็นที่รักแห่งมนุษย์และสัตว์เดรัจฉานนั้นเจ้าพระคุณสมเด็จฯ มีคุณลักษณะคล้ายคลึงสมเด็จพระสังฆราชพระอาจารย์พระองค์นี้มาก
    เข้าใจว่าเจ้าพระคุณสมเด็จฯ มีความเลื่อมใสและเจริญรอยตามพระอาจารย์แทบทุกอย่าง
    นอกจากนี้ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ จะได้ศึกษาวิปัสสนาธุระมายาศาสตร์มาเป็นเวลาช้านานอย่างไรไม่ปรากฏ ปรากฏ
    แต่ว่าท่านได้ศึกษาจนมีความรู้ความชำนาญ ทั้งในคันถธุระ,วิปัสสนาธุระ และมายาศาสตร์
    กับมีคุณวุฒิอย่างอื่นประกอบกันเป็นอันมาก ท่านจึงเป็นผู้ทรงคุณวิเศษเป็นมหัศจรรย์ยิ่งนัก
    นับได้ว่าเป็นวิสามัญบุรุษ หรืออัจฉริยบุคคลที่หาได้ยากที่สุดในโลกคนหนึ่ง
    ความที่กล่าวข้อนี้มีมูลความจริง ที่จะพิสูจน์ได้ จากเรื่องราวในชีวประวัติของท่านซึ่งจะบรรยายต่อไปข้างหน้า


    * แล้วเดี๋ยวมาพูดคุยเรื่องตะกรุดที่ถามกันเข้ามาต่อรอบเย็นนะ ติดตามๆ;)

     
  16. คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,317
    ค่าพลัง:
    +17,482
    แจ้งการส่ง EMS
    พี่ ฐิติวัช RR 2528 5085 6 TH
     
  17. คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,317
    ค่าพลัง:
    +17,482
    "กุญแจมีไว้ทำอะไร ก็ไอ้สิ่งที่ติดอยู่ เปิดไม่ออก เข้าไม่ได้ ปิดตาย ถูกซ่อน ถูกบัง ถูกผนึก ถูกกั้น ถูกกักไว้ กุญแจมันก็มีไว้ไข หงายสิ่งที่คว่ำ เปิดสิ่งที่ปิดนั่นไงล่ะ"

    ......ด้วยอมตะวาจาของพ่ออาจารย์ท่าน พรุ่งนี้ห้ามพลาด มาติดตามกันว่ากุญแจนั้นมีไว้ทำอะไร;)

     
  18. คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,317
    ค่าพลัง:
    +17,482
    อรุณสวัสดิ์ครับ วันนี้ติดตามกันนะ ห้ามพลาด;)
     
  19. คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,317
    ค่าพลัง:
    +17,482
    ร่วมทำบุญบูชา ตะกรุดไขรหัสกุญแจไสยศาสตร์พระธรรมบันดาล

    "กุญแจมีไว้ทำอะไร ก็ไอ้สิ่งที่ติดอยู่ เปิดไม่ออก เข้าไม่ได้ ปิดตาย ถูกซ่อน ถูกบัง ถูกผนึก ถูกกั้น ถูกกักไว้ กุญแจมันก็มีไว้ไข หงายสิ่งที่คว่ำ เปิดสิ่งที่ปิดนั่นไงล่ะ"


    พ่ออาจารย์ท่านกล่าวถึง"ตะกรุดไขรหัสกุญแจไสยศาสตร์พระธรรมบันดาล"ไว้ ว่าเป็นตะกรุดยุคเก่าของท่าน เป็นตะกรุดที่ไม่ใคร่จะสวยงามนักเพราะทั้งทุบทั้งรีดดูบี้ๆบุบๆแต่ขลังยิ่งนัก


    วิชานี้พ่ออาจารย์ท่านตั้งใจลงอย่างมากด้วยเป็นวิชาเก่าแก่ซึ่งท่านได้มาแต่สมเด็จพระสังฆราชสุกไก่เถื่อน ประทานให้โดยเฉพาะอย่างแท้จริง ท่านว่าทำยากนะแต่เรามีวิธีทำให้สำเร็จได้ แต่ก็ตลกดีเพราะตะกรุดนี้คนทำไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ทำ


    ท่านบอกว่าตะกรุดนี้อย่าไปบรรยายเขามาก ให้พูดคร่าวๆถ้าเขามีบุญพึงรู้พึงเห็น ก็จะเข้าใจเอง พ่ออาจารย์ท่านเรียกขานองค์พระสังฆราชสุกไก่เถื่อนว่าอาจารย์ปู่ ด้วยท่านเป็นพระอาจารย์ในบรมครูสมเด็จ ท่านพูดถึงอาจารย์ปู่อยู่บ่อยๆว่าท่านมีเมตตาเป็นเลิศยิ่งนัก ทรงคุณธรรมพรหมวิหารชนิดที่ยากจะหาใครมาเปรียบเสมือนได้ เกี่ยวกับวิชาทำตะกรุดนี้ก็เป็นด้วยภูมิความรู้และวิปัสสนาธุระที่ยิ่งใหญ่ของท่าน ทำให้ญาณทัศนะของท่านกว้างอย่างมาก วิชาทั้งหลายก็ดุจใบไม้ประดับยอดมหาพฤกษาที่ท่านเลือกจะปลิดจะเด็ดมาให้ใช้ซักใบตามความเหมาะสม


    ในห้วงชีวิตมนุษย์อันดุจว่ายอยู่ในทะเลใหญ่นั้น ไม่เพียงแต่ต้องออกแรงว่ายทวนคลื่นฝ่าฟันไป ในบางจังหวะก็อาจเจอทั้งคลื่นลมซ้ำเติม บางโอกาสก็อาจเจอขอนไม้เจอที่ที่เกาะหรือยึดรั้งพอบรรเทาความเหนื่อยความล้าได้ ท่านว่าอาจารย์ปู่นั้นได้เคยคุยและปรารภเรื่องนี้กับท่าน ซึ่งแต่แรกท่านก็เข้าใจว่ามันเกี่ยวข้องด้วยกุศลและอกุศลกรรมตลอดจนกรรมบันดาลทั้งหลาย แต่องค์บรมครูนั้นท่านว่ามันก็ไม่จริงเสมอไป เพราะทุกสิ่งขึ้นอยู่ด้วยโอกาสและจังหวะชีวิต ที่เธอเคยถามว่าทำไมคนชั่วเขาได้ดีล่ะ ทำไมบางคนมองยังไงเพ่งยังไงก็ไมเห็นกรรมอันเป็นกุศลใดๆจะส่งผลได้ ศาสนาก็ไม่นับถือถึงได้ดี เจริญขึ้นๆไม่ตกต่ำลง ท่านว่ามันก็เป็นด้วยวิสัยของโลกอย่างนึง สิ่งนี้เรียกว่าโอกาสและจังหวะที่ดีของบทละครชีวิตนั่นเอง


    ตะกรุดไขรหัสกุญแจไสยศาสตร์พระธรรมบันดาลนั้น วิชานี้บรมครูหรืออาจารย์ปู่ท่านให้ไว้ เพื่อเป็นตัวช่วยเหลือสำหรับคนที่ไม่มี ไม่เจอ ไอ้สิ่งที่เรียกว่าโอกาส และไม่เคยรู้สึกว่าชีวิตตัวเองมีจังหวะหรือทางรอดที่ดี ท่านว่าตะกรุดนี้สำคัญนะเปรียบดั่งกุญแจที่ไขชีวิตอันปิดตายของคนด้วยอำนาจของมายาศาสตร์และไสยศาสตร์ ให้ชีวิตได้เจอโอกาสและจังหวะที่ดีซ้ำยังหนุนด้วยวิชาธรรม เป็นตัวธรรมที่จะบันดาลให้สำเร็จในกิจธุระต่างๆ ท่านว่าไขออกแล้วแค่พบเจอ เอาไม่ได้ ทำไม่สำเร็จมันก็สิ้นประโยชน์ แต่สิ่งนี้ไขออกแล้วยังต้องเอาได้และทำสำเร็จด้วย ซึ่งเป็นอานุภาพแห่งพระอัครธรรมอันยิ่งใหญ่ เป็นไปตามกาล ตามธรรมชาตินั่นเอง


    ตัววิชานี้ พ่ออาจารย์ท่านเมตตานำมาลงเป็นตะกรุดเต็มสูตรขนาดแผ่นใหญ่ๆ ทั้งพับทั้งรีดก่อนม้วนเพื่อให้มีขนาดเล็กที่สุดเหมาะแก่การใช้งาน เป็นตะกรุดเปลือยๆดูไม่น่าสนใจอะไรแต่ก็มีอานุภาพที่ตะกรุดสวยๆหรือตะกรุดชนิดอื่นไม่มี ดั่งที่ท่านว่ามันเป็นของเฉพาะ "เฉพาะคนที่เห็นโอกาสเท่านั้น"


    ท่านว่าตะกรุดนี้เราทำไว้ไม่ได้มากมีทั้งหมดแค่หกดอก เป็นวิชาอาจารย์ปู่ แรกเริ่มเดิมทีนั้นก็ตั้งใจจะทำไว้ใช้เองและให้กับคนที่เขาเดือดร้อน หากแต่พอทำเสร็จครูท่านกลับบอกว่าคนทำห้ามใช้ ท่านก็เลยเชิญครูทั้งอาจารย์ปู่ทั้งครูสมเด็จมาเสกเก็บไว้เรื่อยๆ


    " จนท่านได้มีโอกาสไปเชียงใหม่เพื่อจะทำธุระและไปต่อที่เพชรบูรณ์เก็บหาว่านยา ด้วยว่าแรงเหวี่ยงของโลกนั้นน่าอัศจรรย์ ทำให้ท่านได้พบเจอกับพ่อค้าคนหนึ่ง และคนๆนั้นทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนก็ได้มานั่งปรับทุกข์กับท่าน คล้ายอยากจะหาคนระบายพอมาเจอคนไม่รู้จักแล้วคุยถูกคอเกิดอาการเลื่อมใสก็อยากจะเล่า ท่านว่าเราก็ฟังเขา คนๆนี้ไม่รู้จะทำงานทำการอะไร ก็เขาว่ามันไม่รู้จริงๆจะให้ทำอย่างไร เมื่อไม่รู้ก็ไปเป็นพ่อค้าขายพระอยู่ที่ตลาดทิพย์เนตร ทำๆไปก็ไม่รุ่ง ทำแล้วไม่รวยแถมยังมีแต่คนด่าคนตามล่าอีก เพราะไม่เชี่ยวชาญเผลอเอาของปลอมไปขายคนใหญ่คนโต ก็มานั่งปรับทุกข์กับท่านว่าไม่เอาแล้วทางนี้ ผมจะทำอาชีพอะไร จะทำงานอะไรดี ท่านมองแล้วก็ให้เกิดธรรมสังเวช แต่การดำรงชีวิตของคนนั้นจะมานั่งกินกาแฟทำตัวลอยไปลอยมาไม่มีหลักเสวยบุญเก่าก็ไม่ได้ เมื่อพิจารณาแล้วท่านนึกถึงตะกรุดนี้ขึ้นมาทันทีว่าก่อนมาครูท่านเตือนให้พกไปเสกที่เชียงใหม่ด้วย ตามวิสัยของท่านที่ชอบหาป่า หาเขา หาดอยที่เงียบสงบ มีพลังธรรมชาติยิ่งใหญ่ เหมาะแก่การชุมนุมเทพเทวาครูบาอาจารย์เพื่ออธิษฐานเครื่องมงคลเสมอมา ท่านจึงมอบตะกรุดให้พ่อค้าพระเครื่องนี้ทำบุญบูชาไปดอกนึงพร้อมกับย้ำเตือนเขาว่า หากเกิดนิมิตใดก็ดี หรือมีความรู้สึกอย่างไรก็ดีให้เชื่อตัวเอง นั่นไม่ใช่สิ่งเหลวไหล ไม่ใช่เรื่องไร้สาระ เมื่อพบกับตะกรุดนี้โอกาสได้เกิดขึ้นแล้ว ประตูได้เปิดออกแล้ว

    .......ล่วงเลยไปเกือบสองปี พ่อค้าพระท่านนี้ก็ได้ติดต่อพ่อค้าพระคนนี้ก็ได้ติดต่อกลับมา พ่ออาจารย์ท่านว่าเขาเชื่อเรา เขาเล่าว่าพอได้ตะกรุดไปตกกลางคืนนอนฝัน เหมือนไปนั่งกินกาแฟพูดคุยกับผู้ชายแก่ๆเป็นใครก็ไม่รู้เกี่ยวกับชีวิตตนเองเหมือนคุยกะพ่ออาจารย์ บุคคลลึกลับนั้นได้พูดได้สอนเขาว่าให้หาฐานลูกค้าจากคนรู้จักอย่างไร ให้ประกอบอาชีพอะไร อยู่ดีๆก็มานั่งบรรยายอย่างละเอียดพร้อมทั้งบอกว่าต้องทำทีละขั้นแบบไหนๆ เขาว่าแปลกจริงๆ ซึ่งตรงนี้พ่ออาจารย์ท่านว่าก็ประตูนั้นเปิดแล้ว อานุภาพแรงธรรมก็บันดาลให้เป็นไปแบบที่ควรจะเป็น ภายในสองปีจากพ่อค้าพระที่ล่มจมไปแล้วกลายเป็นคนมีธุรกิจประสบความสำเร็จในการขายอาหารเกี่ยวกับยามีบริษัทต่างชาติสนใจอยากซื้ออยากร่วมทุน ปัจจุบันนี้ยังเพิ่งไปเปิดโรงงานน้ำแข็งเพิ่ม เรียกว่าพอไขออก พอประตูเปิดทำอะไรก็รุ่ง ท่านว่านั่นเขาว่าเขาทำตามความรู้สึกพาไป อานุภาพตะกรุดเขาน่าอัศจรรย์ถึงเพียงนี้ เช่นนั้นเราถึงรู้ว่าเพราะเราไม่ได้เอาดีทางโลกครูถึงห้ามใช้ "


    กุญแจมีไว้ทำอะไร ก็ไอ้สิ่งที่ติดอยู่ เปิดไม่ออก เข้าไม่ได้ ปิดตาย ถูกซ่อน ถูกบัง ถูกผนึก ถูกกั้น ถูกกักไว้ กุญแจมันก็มีไว้ไข หงายสิ่งที่คว่ำ เปิดสิ่งที่ปิดนั่นไงล่ะ ตะกรุดนี้ก็เป็นดุจเครื่องมือที่จะใช้เปิด ทำให้สิ่งที่ปิดไว้ล็อคไว้ด้วยความตั้งใจหรือการกระทำหรือกฏของกรรมใดๆก็ดีหลุดออกมา ทำให้คลายให้หลุด ให้เห็นสิ่งที่เผยออก แย้มออก พ่ออาจารย์ท่านว่าในห้วงชีวิตคนนั้นคลื่นลมมันมาก แต่หากอาราธนาตะกรุดนี้ไป เราขออย่างเดียว นั่นคือตัวรู้ที่ผุดขึ้นในความคิด ในจิตวิญญาณของตนเองนั้น จงเชื่อและกระทำเถิด เชื่อมั่นในจิตสำนึกและพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เข้ามาดลบันดาลจิตใจและชีวิตตนเอง เพราะ ช่อง ทาง โอกาส ทุกสิ่งได้เปิดขึ้นแล้ว


    อันตะกรุดดุจกุญแจที่ใช้ไขชีวิตให้เปิดหนทางอันปิดตายนั้น ท่านว่าคนนั้นมีรหัสกรรมต่างเพศต่างเผ่าพันธุ์กันไป มีความผันผวนด้วยกระแสคลื่นลมต่างกัน มีหนทางให้เดินต่างกัน ดังนั้นทางรอดและวิธีแก้ไขย่อมต่างกัน ขอเพียงเชื่อใจ เชื่อความรู้สึก เชื่อครู ถึงแม้จะมองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้ หากแต่เคารพและศรัทธาแล้วครูย่อมไม่ไปไหนหรืออยู่ห่างไกล ท่านย่อมแฝงอยู่ในความคิดและจิตวิญญาณของเรา เมื่อจังหวะ ช่วงเวลาที่เหมาะที่ควรมาถึง ท่านก็จะเปิดเผยทางเดินของชีวิตให้กับเรา


    พ่ออาจารย์ท่านว่าหากหมั่นไหว้หรือศรัทธาและกล้าที่จะทำจะเปลี่ยนชีวิตตนแล้วทุกอย่างไม่ใช่เรื่องยากเลย ท่านว่าตะกรุดนี้เป็นของเฉพาะกาล เฉพาะโอกาส ท่านทำไว้เท่านี้ ทำครั้งเดียวและจะไม่ทำอีก ด้วยว่าห้วงกรรมของสัตว์นั้น โดยปกติแล้วโอกาสและจังหวะล้วนขึ้นอยู่กับวาสนา ท่านว่าเราเข้าไปอุ้มเขาไว้ไม่ได้ทั้งโลกหรอก ด้วยบุญสัมพันธ์เป็นปฐมก็มีคนเพียงหยิบมือเล็กๆที่พอจะให้วิชาและครูบาอาจารย์ท่านช่วยท่านหยิบยื่นโอกาสให้


    คาถาบูชา

    ปทุมะยะถา โภกะนุทังสุคันธัง ปาโตสิยา ผุลละมะ วิคะตะคันธัง อังคีระสัง ปัสสะวิโรจะมานัง คัภปันตะมาทะทิจจะ วันตะลิกเขติ

    พ่ออาจารย์ท่านว่าผู้มีปัญญา รู้สิ่งที่ติดขัดคั่นขวางย่อมรู้เองเห็นเอง เพราะโอกาสนั้นไม่ได้เป็นของทุกคน ตะกรุดนี้ท่านว่าพูดมากไม่ได้เพราะมันเกินกรรม เป็นตัวช่วยเครื่องไขเครื่องนำออกอย่างวิเศษ ดุจกุญแจที่จะช่วยให้เราผ่านสิ่งที่ปิดกั้นไปอย่างง่ายดาย สิ่งเหล่านี้บางคนติดอยู่ทั้งชีวิต บางคนต้องใช้ความพยายามใช้แรงอย่างมากเพื่อที่จะแง้มจะเปิด ท่านว่าก็นั่นแหละ ตรงๆนี่คือกุญแจไขประตูมหาวัฏจักรก็ไม่ผิด ไม่ใช่ของใครก็ได้ แต่ผู้เป็นเจ้าของจะพึงรู้พึงเห็นค่าด้วยตัวเอง มันใช้ได้มาก ใช้ผ่าใช้ฝ่าไปได้ทุกปัญหาไม่ใช่เฉพาะวันเวลาหนึ่งๆ เพราะชีวิตคนนั้นล้วนต้องการโอกาสและทางออกในทุกๆวัน ยิ่งพัฒนาปัญหาก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นให้ลับคมสติปัญญาเป็นเงาตามตัว


    ท่านพูดอย่างง่ายว่า ถ้าใครพร้อมที่จะเปิดโอกาส เปิดประตูชีวิตตัวเองก็ค่อยมาเอาไป


    * ตะกรุดนี้มีให้บูชาทั้งหมดห้าดอก พ่ออาจารย์ท่านว่าของดีไม่จำเป็นต้องสวยแต่ต้องเอาให้ขลัง เปิดจองเฉพาะทาง PM สำหรับคนที่จะบูชาให้แจ้งชื่อนามสกุลมาด้วย พ่ออาจารย์ท่านจะนำผงจักรพรรดิ์อธิษฐาน เมตตาใส่ไว้ให้ในตะกรุดทุกดอกก่อนจะอุดปิดตะกรุดเพื่อหนุนเสริมกำลังวาสนาบารมีของคนใช้ ด้วยกำลังพระจักรพรรดิราชอันยิ่งใหญ่นั่นเอง รายได้สมทบทุนเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มแก่ชนเผ่าน้อยยากไร้ด้อยโอกาสในลำดับต่อไป


    ร่วมทำบุญบูชา ตะกรุดไขรหัสกุญแจไสยศาสตร์พระธรรมบันดาล บูชา 4,000 บาท


     
  20. คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,317
    ค่าพลัง:
    +17,482
    แจ้งการส่ง EMS
    พี่เอกชัย EU 0504 8731 1 TH
     

แชร์หน้านี้