ร่วมทำบุญบูชา สำเร็จทิพย์สภาพมหาวงจรทวีโชตนาการ(ทิพย์โอสถส่องหน้าพระเจ้า) พ่ออาจารย์พล

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย คุรุปาละ, 12 ตุลาคม 2014.

  1. seaown เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,082
    ค่าพลัง:
    +984
    ผมได้แจ้งไปทาง ข้อความส่วนตัวแล้วนะครับผม(f)
     
  2. seaown เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,082
    ค่าพลัง:
    +984
    ถ้าเกินเวลาแล้ว มิเป็นไรครับผม ขอสละสิทธิ์ครับผม ขอบคุณครับ(f)
     
  3. คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,078
    ค่าพลัง:
    +16,619
    สวดมนต์

    อรุณสวัสดิ์ครับ

    ก็จะมาพูดคุยกันเช้าๆ หลายๆคนที่บูชาเครื่องมงคลไป เชื่ออย่างยิ่งว่าบางท่านก็สวดมนต์และไม่ได้สวดบ้าง แต่ที่ทำจนเป็นนิสัยและทำเป็นประจำผมก็เชื่อว่ามีอยู่หลายท่านจากที่ได้พูดคุยกันมา

    ถึงตรงนี้ต้องบอกอีกรอบว่าการสวดมนต์ภาวนานั้น เป็นสิ่งที่สมควรจะทำอย่างยิ่ง เมื่อจะห้อยพระเครื่องใดๆก็ตาม วันนี้ก็จะนำเรื่องแปลกๆจากพี่ชายท่านหนึ่งที่บูชาเครื่องมงคลไปและฝึกสวดมนต์จนเป็นนิสัยมาเล่าให้ฟังกัน

    ขอเกริ่นนำซักเล็กน้อยว่าเป็นบารมีของสมเด็จองค์ปฐม ทุกสิ่งนั้นเป็นไปด้วยพระพุทธานุภาพ พี่ท่านนี้จากที่ได้พูดคุยกันเป็นคนชอบของเสน่ห์ นิสัยเหมือนผมเลย แพ้ทางผู้หญิงใจอ่อนขี้สงสาร แต่ก็รักเรื่องเสน่ห์ หลังจากที่คุยกันมาและท่านได้บูชาขุนแผนตลอดจนตะกรุดต่างๆด้านเสน่ห์ไป พอมีประสบการณ์ก็จะนำมาบอกเล่าตลอด จนช่วงนั้นพ่ออาจารย์ท่านเปิดให้จองสมเด็จองค์ปฐมที่เป็นเหรียญหล่อ เราจึงแนะนำเค้าว่าให้ลองใช้ดู เพราะเท่าที่ดูเค้ายังขาดของที่เป็นสิริมงคลใหญ่เพราะที่ผ่านมาจะเช่าแต่ของเสน่ห์ไม่มีของเอาไว้เจริญสติปฎิบัติธรรมอะไรเลย ก็เป็นความหวังดีเลยแนะนำไป แต่บอกเค้าว่าต้องสวดมนต์ด้วยนะ เอาเสด็จพระใหญ่ไปนี่ต้องสวดมนต์ ต้องไหว้พระ ต้องหัดภาวนา

    ผ่านมากี่เดือนจำไม่ได้ จากวันนั้นถึงวันนี้ อยากจะให้เห็นจริงๆว่าพี่เค้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร จากคนที่ชอบและทำสิ่งเหมือนๆกัน ตอนนี้กลายเป็นแบบต้องเรียกว่าพ่อขาวไปเลย นี่อานุภาพของพระรัตนตรัย ของการสวดมนต์ภาวนา หากตั้งใจทำกันจริงๆเปลี่ยนคนให้เป็นคนได้

    พี่เค้าเล่าให้เราฟังว่าตอนเราแนะนำให้บูชาองค์ปฐมนั้น ก็ยังลังเลอยู่เพราะส่วนตัวก็มีของที่อื่นอยู่แล้วแต่เชื่อปากเราก็เลยเช่ามาบูชา หลังจากนั้นเค้าก็จะมาถามผมว่าผมชอบสวดมนต์บทไหน ดูเหมือนว่าพี่เค้าจะนำไปสวดตาม ผมก็แนะนำไปทั้งธารณปริตร มหาสมัยสูตร มหาเมตตาใหญ่ ชินบัญชร ชัยน้อย พาหุงมหากา เพราะบทพวกนี้เป็นบทที่ผมสวดทุกวัน บางที่มันจำได้หมดแล้วก็จะนำมาใช้สวดเวลาภาวนาบ้างเพราะสวดมาหลายปีก็เลยแนะนำกันไป

    ปรากฏว่าพี่เค้านำไปปริ้นแล้วก็นำมาสวดตาม เค้าเล่าว่าเค้าสวดถวายเสด็จพระใหญ่(องค์ปฐม) เนื่องจากท่านว่าตัวเองนั้นไม่รู้ไม่เห็นว่าองค์ปฐมมีจริงรึไม่หน้าตาเป็นอย่างไร เวลาสวดมนต์ก็จะพูดกับเสด็จพระใหญ่ที่บูชาไปอาราธนาท่านมานั่งฟังว่าจะสวดมนต์ถวาย พี่เค้าทำแบบนี้มาตลอดทุกวัน ผมนับถือน้ำใจเขาเพราะทีแรกบอกเขาว่าไม่ต้องสวดก็ได้บทมหาสมัยสูตร กับมหาเมตตาใหญ่เว้นไปก่อนเพราะมันยาวมาก และมหาสมัยสูตรหลายที่เค้าไม่ให้สวดในเรือนในบ้านแต่ผมเป็นคนหัวรั้น และพ่ออาจารย์ก็บอกว่าสวดได้ คงเพราะว่าเราเชิญเทวดากลับทุกครั้งหลังสวดเสร็จด้วย พอสวดแล้วมันก็ดีจริงๆก็เลยสวดมาตลอด บางวันเสียงไม่มีก็มาใช้เป็นบทภาวนาก็มี

    หลังจากอธิบายแล้วพอเค้าได้ยินว่ามันดีก็เลยเกิดคนหัวรั้นเหมือนผมขึ้นมาอีกคน เอาว่าสวดตามเราเป้ะเลย ถึงจะยาวแต่ก็ไม่บ่น นับถือน้ำใจและความพยายามของพี่เค้ามากจากคนไม่เคยสวดมนต์เลย มาเจองานแรกที่เราแนะนำไปถือว่าค่อนข้างหินทีเดียว

    หลังจากนั้นพี่เค้าว่า มักจะฝันเห็นว่าได้เถียง ได้พูดคุยกับพระสงฆ์แก่ๆ ได้ถกธรรมกับท่าน ทีแรกก็ไม่รู้ว่าเป็นใครเพราะไม่น่าจะใช่พระสงฆ์ยุคนี้ พี่เค้าว่าความคิดอ่านของตนนั้นที่เถียงท่านไปเวลาถามแรกๆผิดหมดเลย ที่สำคัญคือท่านดูมีอำนาจมากเหลือเกิน ทีแรกเขาไม่รู้ว่าพระที่ไหนจึงไปเถียง แต่พอคำพูดหลุดออกจากปากมองแววตาท่านเหมือนน้ำท่วมปากกลายเป็นพูดไม่ออก ต้องมาฟังท่านเทศน์ทุกคืน ตอนมาเล่าให้เราฟังเรายังตื่นเต้นเลย แล้วก็มีคำถามเกิดขึ้นว่าพระรูปใด คือเราก็ให้คำตอบเค้าไม่ได้

    เค้าฝากถามพ่ออาจารย์ท่านไว้ ซึ่งท่านก็ยิ้มๆและบอกว่าให้จุดธูปอธิษฐานใจถามรูปนามไปเดี๋ยวรู้เอง เราก็เอามาแนะนำพี่เค้าผลปรากฏว่าได้คำตอบจริงๆ พี่เค้าว่าพระในฝันคือหลวงปู่เนียม วัดน้อย ท่านบอกกับพี่ว่าขรัวโตใช้ให้ฉันเป็นธุระมาสอนคุณ

    นี่คืออานุภาพของการสวดมนต์ถวายเสด็จพระใหญ่ ต้องบอกว่าผมไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่พี่คนนี้มีความพยายาม และมีกำลังใจสูงมากตั้งแต่แรกเลย ตั้งแต่เริ่มคือไม่เกียจคร้าน ถึงขนาดเจอบทยาวๆคนที่ไม่เคยสวดคงไม่กล้าจับกัน และคงอ้างเหมือนที่เราได้ยินบ่อยๆว่าไม่มีเวลา แต่เค้าไม่อ้าง ให้รอสวดตอนเที่ยงคืนเขาก็รอและทำมาทุกวัน คือมีความตั้งใจมีกำลังใจสูงมาก

    แต่เรื่องมันยังไม่หมดเท่านั้น เพราะพี่เค้าทำมาหลายเดือน จากคนที่นิยมชมชอบเรื่องเสน่ห์ พอนัดรับของกันพอเจอสาวๆสวยๆอันนี้คือเห็นกับตาว่าแกมองเหมือนไม่รู้สึกอะไร เออจริงๆ แปลกไปจากเมื่อก่อนที่ต้องใช้คำว่าเวลาเห็นสาวๆสวยๆเดินผ่านจะรุกรี้รุกรนมาสะกิดเราเลยทีเดียว แล้วจากที่เคยเช่าแต่ของเสน่ห์ก็เปลี่ยนมาถามหาสมเด็จองค์ปฐม ว่ามีรุ่นไหนอะไรเหลือบ้าง คือจะเช่าหมดเลย

    อดสงสัยไม่ได้เลยต้องถามกัน ว่ามีอะไรที่ผมควรรู้มั๊ย พี่เค้าว่าเค้าเห็นคนพวกนั้นเหมือนผลไม้มีรูปกายเหมือนเปลือกนอก เวลามองไปก็เห็นเลือดเนื้อเส้นเอ็นน้ำหนองสิ่งปฏิกูล จึงไม่สนใจอะไร คือคนมันไม่เคยเป็นนิสัยแบบนี้แล้วเปลี่นกระทันหันจนเรางงๆเหมือนกัน เลยถามว่าอะไรทำให้พี่คิดได้

    นี่ไงคำตอบอยู่ตรงนี้เลย พี่เค้าเล่าให้ผมฟังต่อว่า หลังจากที่เค้าเห็นหลวงปู่เนียมมาสอนขัดเกลาเค้านั้น เค้าก็เริ่มเชื่อเรื่องผีสางเทวดาพระอรหันต์ จนทำคือสวดมนต์ภาวนาต่อมาเรื่อยๆ เค้าฝันเห็นองค์พระที่บูชามาพูดกับเค้า ท่านจำแนกแจกแจงให้เค้าเห็นกายของมนุษย์ เวลาตาเค้ามองไปจากรูปที่สวยงามนั้นเหมือนเปลือกมันแตกออกกลายเป็นเส้นเอ็น กล้ามเนื้อ กองเลือด กองกระดูก จนสุดท้ายฝันเช่นนี้บ่อยๆติดๆกันและได้พบ ได้เข้าเฝ้าที่มาของเสียงที่สั่งสอนตน คือเสด็จพระใหญ่เนื้อธาตุกายสิทธิ์ที่เค้านำมากำภาวนาบูชาอยู่นี่เอง

    คือเค้าเล่าให้เราปิติตามไปด้วยเลย แล้วก็มาขอบคุณเราที่บอกว่าให้ลองใช้เวลาว่างที่จีบหญิงรอคุยโทรศัพท์ไปสวดมนต์แทนดูมั้ย แล้วเค้านำไปทำจริงๆจนตอนนี้มาเล่าให้เราฟังว่าชีวิตพี่ดี๊ดี ดีขึ้นทุกอย่างมีแต่เรื่องดีๆเข้ามา นี่คือกรณีที่เครื่องมงคลเปลี่ยนคนให้กลายเป็นคนได้จริงๆ ผมเชื่อว่าในมือหลายๆคนก็มีของดีถือครองกันอยู่ ก็อยู่ที่ว่าจะรู้จักใช้กันมั๊ย หลายๆครั้งผมบอกว่าใช้ได้ครอบจักรวาลนะ แล้วก็มีหลายๆคนที่มาเล่าถึงสิ่งที่เปลี่ยนแปลงหลังอาราธนาเครื่องมงคลมาสวดมนต์ภาวนา เชื่อเลยว่าไม่ใช่แค่ตัวของเค้าหรอกที่รู้สึกดี คนฟังก็ยังรู้สึกดี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,078
    ค่าพลัง:
    +16,619
    อาถรรพ์

    อรุณสวัสดิ์ครับ

    วันนี้ก็จะมาพูดคุยกันถึงเรื่องอาถรรพ์ เคยหรือไม่ที่จะมีของสะสมโบราณ หรือของที่ครอบครัวหรือญาติผู้ใหญ่ห้ามไปหยิบมาดูมาเล่น หรือนำมาใช้

    ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นอีกอุทาหรณ์หนึ่งที่ผมได้ขออนุญาติพี่ท่านนี้นำมาเล่า เนื่องจากเขาได้พบกับอาถรรพ์บางอย่างเกี่ยวข้องกับเทวรูปนั้น

    พี่เขาเล่าว่าแต่เดิมนั้น คุณพ่อของเขาได้นำเอาเทวรูปองค์หนึ่งซึ่งเป็นไม้แกะมาห่อผ้าขาวไว้แล้วจึงมัดด้วยเชือกหุ้มด้วยถุงพลาสติก ก่อนจะนำไปเก็บไว้ในกระป๋องนมใบใหญ่ปิดฝาสนิทอีกทีหนึ่ง ซึ่งกาลเวลาผ่านไป คุณพ่อของเขาก็ได้ถึงแก่กรรมลงไป ทำให้เทวรูปถูกทิ้งไว้เฉยๆแบบนั้น

    จนพี่เขาเริ่มสนใจเรื่องพระเครื่อง เครื่องรางของขลัง ก็เลยนึกไปถึงว่าบ้านตัวเองนั้นมีเทวรูปโบราณ จึงไปแกะและนำออกมาโดยลืมคิดไปว่าทำไม เพราะเหตุผลกลใดพ่อของตนถึงต้องนำเทวรูปไปเก็บไว้แบบนั้น

    เทวรูปองค์นั้นเป็นเทวรูปที่แกะสลักจากไม้มีน้ำหนักเบาจนเกือบจะผุ พี่เขาคาดว่าน่าจะมีอายุหลายร้อยปีคงจะเป็นของตกทอดหรือพ่อเขาไปได้มาอย่างไรไม่ทราบ แต่เอาว่าเก่ามากสำหรับคนที่สนใจด้านสะสมของโบราณเช่นนี้จึงดูว่ามันมีค่ามากนั่นเอง

    เมื่อแกะออกมาแล้วพี่เค้าบอกว่าตัวเค้านั้นได้นำน้ำมันจันทร์มาเช็ดถูเนื้อไม้เพื่อจะบำรุงรักษาไว้ก่อนจะนำมาตั้งบูชาอีกทีหนึ่ง จะด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบไม่รู้ทำไมต้องแต่นำเทวรูปออกมาชีวิตที่มั่นคงก็เริ่มจะแย่ลง กิจการงานที่เริ่มไปได้ดีก็มีปัญหาสุมทับมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มมีปัญหาครอบครัว ปัญหาภายในบ้าน จนเวลาผ่านไปเหตุการณ์ต่างๆนั้นก็วิกฤติมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ จนพี่เค้านึกขึ้นได้ว่าน่าจะมาจากที่ตนไปเอาของที่พ่อปิดผนึกไว้ออกมาบูชา

    เมื่อคิดได้เช่นนี้จึงเริ่มคิดหาวิธีแก้ แต่จะแก้อย่างไร จนเค้าไปได้เบอร์มาจากเพื่อนของเขาที่บูชาของทางเวปพลังจิตนี่แหละ เค้าก็รีบโทรมาเล่าปัญหาให้เราฟัง จนถึงนัดกันนำเทวรูปมาให้เราฝากไปให้พ่ออาจารย์ท่านแก้ไข นัยน์ว่าจะทิ้งก็ทิ้งไม่ลงประมาณนั้น พอเราได้เห็น อันนี้ต้องบอกก่อนเลยว่าเพิ่งจะรู้เอาตอนนั้น ว่าเทวรูปๆที่พูดที่เล่ามาคือพระพรหม เป็นพระพรหมไม้แกะขนาดบูชาน้ำหนักเบาจริงๆลงสีฝุ่น เห็นแล้วว่ามันเก่าพอตัวอยู่ก็เลยรับมาแต่ไม่รู้ทำไมตอนจับถึงรู้สึกแขยงมือแปลกๆ

    หลังจากส่งให้ท่านแล้วจนผ่านไปคืนหนึ่ง ท่านก็ให้นำพระพรหมนี้ไปคืนกับเจ้าของ โดยพูดให้เราฟังว่าคนเรานั้นบางทีหนทางชีวิตมันก็ไม่ได้ราบเรียบเสมอไป เมื่อเจอกับชะตากรรมอะไรก็มักจะพาลไปโทษเอากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียเปล่า ซึ่งความเป็นจริงแล้วสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้นล้วนเป็นเหตุและผลที่สืบเนื่องมาจากการกระทำของตัวเองทั้งสิ้น เหมือนเหตุการณ์นี้ พระพรหมองค์นี้ก็เหมือนแพะรับบาปทางความคิด เนื่องจากเขาเอาออกมาในช่วงเวลาที่ประจวบเหมาะพอดี

    ผมจะแยกเล่าเป็นสองกรณีก็คือท่านว่าไม่ได้เกี่ยวกับอาถรรพ์ของพระพรหมองค์นี้เลยที่ทำให้ชีวิตพี่เขาแย่ลง เกี่ยวกับพฤติกรรมของเขาเองคำพูด ความคิด การกระทำเหล่านี้

    ส่วนอีกกรณีหนึ่งก็คือพระพรหมองค์นี้นั้นไม่มีญานของมหาพรหมอยู่ภายใน ถ้าเปรียบกับรังผึ้งหรือรังต่อก็คงต้องบอกว่าร้างรังไปแล้ว คือเคยมีแต่ปัจจุบันนั้นไม่มี พ่ออาจารย์ท่านว่านี่จึงเป็นโอกาศให้สิ่งที่มองไม่เห็นหลายๆอย่างไปสิงสู่เอาอยู่กับรูปพรหมนี้ ด้วยพรหมองค์ที่เคยรับผิดชอบอยู่ถอยออกไปตามวาระหน้าที่ของเขา

    ท่านบอกว่าท่านตรวจดูให้แล้ว ข้างในนั้นอาศัยกันอยู่หลายคนทีเดียว แต่เขาก็ค่อนข้างเป็นจิตวิญญาณที่ดี คือมาแล้วแต่ก็อาศัยสิงอยู่เฉยๆ ไม่ให้ทั้งคุณแล้วก็ไม่ให้ทั้งโทษ คงจะเป็นเหตุที่เจ้าของเดิมนั้นรู้ว่าพรหมองค์ที่เคยอยู่ท่านมาลาไป หรือมีจิตอื่นสิงสู่อยู่แทนเค้าจึงนำไปพันธนาการเก็บไว้เสียด้วยว่าไม่มีจิตมหาพรหมจึงไม่ต้องการบูาต่อ

    ท่านว่าท่านถามเขาอยู่ว่าทำไมไม่ให้คุณกับเจ้าของเรือนหรือผู้บูชา เขาก็บอกว่าไม่มีใครกำกับหรือไม่มีใครสั่งอะไรเขาก็ไม่รู้ว่าตนนั้นจะมีหน้าที่ต้องทำอะไร เมื่อได้ความเช่นนี้ท่านจึงให้นำส่งคืนไปเพราะพิจารณาแล้วว่าไม่ได้เป็นโทษ เมื่อไม่มีโทษก็ไม่ควรไปเบียดเบียนเขา แล้วก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งหรือก้าวก่ายอะไรไปมากกว่านี้ด้วยว่าจิตวิญญาณทั้งหลายนั้นก็มีกรรมแต่ละวาระของตนอยู่นั่นเอง

    ก็พอจะทำให้เราคิดได้ว่าของบางอย่างที่เราบูชากัน ที่เรียกกันว่ามีจิตนั้น บางครั้งก็มีจิตอยู่จริงๆนั่นแหละ เเต่เราจะไม่รู้ได้เลยว่าเป้นจิตของใคร หรือบางครั้งของที่มีจิตเหล่านี้ครูบาอาจารย์ท่านต่างๆนั้นเสกหรือกำกับเขามาดีหรือไม่ ให้หน้าที่เขาไว้หรือเปล่า ต้องบอกว่าถ้าไม่ได้กำกับหรือมีหน้าที่ให้เขาทำ แม้จะมีจิตเขาก็อยู่เฉยๆหรือวางเฉยนั่นเอง ยิ่งถ้าเป็นวิญญาณร้ายเห็นผิดเป็นชอบด้วยต่อให้ไม่มีใครกำกับก็จะพาลเกิดเรื่องร้ายมากกว่าดี

    เรื่องเช่นนี้สำหรับคนที่ชอบของเก่าหรือของโบราณก็ควรระวังเอาไว้บ้างก็ดี บางครั้งก่อนจะทำอะไรก็คิดและพิจารณากันให้ดี ว่าเออนะ กรณีเช่นนี้ก็มี บางครั้งรูปพระรูปเทพที่เราบูชามา ญานข้างในก็ไม่จำเป็นต้องเป็นอะไรที่ตรงกับรูปเสมอไป จะไปขอไปบนบานสิ่งใดเขาก็ช่วยได้เพียงกำลังของเขา ร้ายกว่านั้นก็อาจจะเป็นสัมภเวสีผีไร้ญาตินั่นเอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. bambird69 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +87
    ได้รับตะกรุดแล้วนะครับ...ขอบคุณครับ
     
  6. อุทยัพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    3,564
    ค่าพลัง:
    +18,112
    ได้รับตะหรุดวิหคฟ้าสาริกาปากดี ตั้งแต่วันอาทิตย์แล้วครับแต่ลืมแจ้ง

    ขอบคุณครับ :cool:
     
  7. sakmalai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    504
    ค่าพลัง:
    +1,344
    ได้รับตะกรุดแล้วนะครับ...ขอบคุณครับ
     
  8. ปฏิภาณ บดส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +132
    ได้รับแล้วครับ
     
  9. sos1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2011
    โพสต์:
    467
    ค่าพลัง:
    +2,131
    ได้รับตะกรุดเรียบร้อยแล้วครับ ขอบคุณครับ
     
  10. runkey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,114
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ได้รับตะกรุดเรียบร้อยแล้วครับ ขอบคุณมากครับ
     
  11. คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,078
    ค่าพลัง:
    +16,619
    ฝนตกหนักใครขับรถก็ระวังถนนลื่นนะครับ

    วันนี้มีพี่ทหารท่านหนึ่งส่งภาพพรหมฤาษีนารทที่เลี่ยมห้อยคอมาให้ดู บอกว่าพ่อพรหมฤาษีดีนะมีประสบการณ์แล้ว เราก็เลยบอกว่าเล่าๆ พี่เค้าก็เล่าว่าเมื่อก่อนเคยไปจีบสาวในเฟสคนนึงเค้าไม่สนใจ ตอนนี้ไปจีบเขาใหม่คุยกันยาวเลย พอกำลังจะไปได้ดีกับคนนี้คนเก่าก็กลับมาคุยด้วยอีก พี่เขาว่าเค้าลำบากใจเลย ขนาดไม่เคยขอพ่อแค่สวดมนต์บูชาแล้วเอามาห้อยเฉยๆ:cool:(555+สาธุ สับรางให้ดีนะ # บูชาครู # ไม่ต้องขอเขาก็มา)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,078
    ค่าพลัง:
    +16,619
    หยั่งรู้

    อรุณสวัสดิ์ครับ

    เช้าๆนี้ก็มาพูดคุยกัน สำหรับเรื่องที่จะเอามาคุยกันวันนี้มันเป็นประสบการณ์แปลกๆของหลายๆคนที่บูชาเครื่องมงคลของพ่ออาจารย์พลท่านไป

    ซึ่งเรื่องแบบนี้ผมก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรเหมือนกัน ผมจะยกไว้เป็นเรื่องของจิต เป็นประสบการณ์พิเศษ ไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะเกิดขึ้นกับทุกคนรึเปล่า แต่ที่เล่ามาไลน์มาก็เกิน 10 คนนะว่าเจอว่ารู้เห็นแบบนี้ เชื่ออย่างยิ่งว่าคงมีทั้งที่ไม่เจอหรือเจอแล้วไม่ได้เล่าด้วย

    เรื่องที่พูดถึงนี้จะพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ จิตนั้นมักจะไปสัมผัสกับอนาคตตัวเองตลอด หลายๆคนบอกว่ามันแปลก คือพอเกิดเรื่องหรือได้โชค หรือเดินทางไปไหนเห็นอะไร รู้จักใคร มันรู้สึกเฉยๆเหมือนเจอเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วเรารู้เราเห็นมาแล้ว คล้ายๆกับว่ามีความทรงจำนั้นอยู่ในสมอง บางคนจิตดีกำลังใจดีก็มักจะวูบเห็นเป็นฉากๆ แล้วก็เจอเรื่องแบบเดียวกันกับที่เห็นเป้ะๆเลย ซึ่งทุกคนว่ามันแปลกเพราะไม่เคยเป็นมาเป็นหลังจากที่บูชาเครื่องมงคลไป

    กรณีนี้ผมเองก็เป็นบ่อยอยู่ แต่พูดกับใครเค้าก็คงไม่เชื่อเรา เหมือนเรื่องผี สมมติว่าเราเห็นผี เรามีความรู้สึกว่าที่ตรงนี้มีอาถรรพ์มีสิ่งไม่ดีอยู่ สมมตินะ เราก็ไม่สามารถจะไปบอกใครได้เลย เพราะบอกไปเค้าก็ไม่เชื่อและจะหาว่าเราบ้า แล้วผีหรือสิ่งอาถรรพ์เหล่านี้ก็ใช่ว่าจะเดินมาทักทายเราเสมอ เค้าจะมาให้เราเห็นต่อเมื่อตัวเค้าเองอยากสื่อสารกับเรา ผมว่ามันคล้ายกันนะการเห็นอนาคตกับการเห็นผี คิดว่าไม่ต่างกันเท่าไหร่ นั่นคือเอาไปพูดให้ใครฟังเขาก็ไม่เชื่อ

    คงเป็นด้วยบารมีครูบาอาจารย์ท่านเปิดให้เรารู้ เราเห็น ถ้าเหตุการณ์มันปกติก็เฉยๆไว้ ปล่อยมันไปไม่มีอะไร แต่ถ้าเป็นเรื่องร้ายแรงเราจะได้ระวังตัวเองกันได้ นี่ประโยชน์มันก็มีอยู่แค่นี้ จะหาประโยชน์มากกว่านี้ก็คงไม่มีเพราะมันเป็นเรื่องของใครของมัน ถึงรู้ก็ไม่ได้ทำให้ตัวเองดีขึ้น พ่ออาจารย์ท่านจึงสอนเสมอว่าให้ยึดติดอยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดไม่ต้องไปสนใจอดีตหรืออนาคต

    แล้วทีนี้ไอ้อนาคตที่วูบเห็นกันบ่อยๆนี่ ก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้ก็แล้วกันว่าจิตเรามีพัฒนามาในระดับนึงซึ่งมันก็ต้องพัฒนาต่อไป จนกว่ามันจะเป็นประโยชน์แก่คนหมู่มากได้

    ก็ไปนั่งเปิดกูเกิ้ลดูว่าไอ้ที่หลายๆท่านเจอมากันมันมีกรณีคล้ายๆอยู่ เรียกว่าเดจาวู หรือมีนิมิตร แต่ผมเชื่อว่าเป็นอำนาจจิตหรอฤทธิ์ทางใจเรามากกว่า ทั้งนี้มันก็เป็นข้อพิสูจน์อย่างนึงให้เราเห็นกันแล้วว่า เรื่องที่มันเหนือธรรมชาติมีอยู่จริงๆ

    ดังนั้นคนที่ฝึกฝนปฏิบัติดีอยู่แล้วก็ควรทำให้ดียิ่งๆขึ้นไป ใครที่ยังขาดตกบกพร่องส่วนไหนก็ควรขวนขวายเพิ่มเติมเอาซะ เป็นกำลังใจดีๆที่เรารู้เองเห็นเอง อิ่มใจเอง เรียกว่าสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตน คนอื่นเค้าไม่มีโอกาสรู้เหมือนเรา

    การห้อยเครื่องมงคลที่บูชาไปแล้วนำไปสร้างบารมีต่อ เหมือนที่พ่ออาจารย์ท่านพูดว่าเครื่องมงคลท่านเป็นสายบุญหรือสายบารมี เราจะเห็นว่ามันได้อะไรมากกว่าที่พูดที่บอกคือเกินเลยไปเยอะ ไม่ใช่ว่าห้อยปุ้ปจะเป็นปั้ป แต่อยู่ดีๆมันจะเกิดขึ้นเองจนเราจับสังเกตุได้ เวลาอะไรมันเริ่มเกิดและเกิดขึ้นบ่อยๆเราก็จะรู้ตัวไปเอง

    หลายๆคนแซวว่าแปลก ทำไมเห็นแต่เรื่องกิจวัตรชีวิตประจำวันปกติ ไม่เห็นหวย เห็นเลขกันบ้าง คือถ้ามันเห็นได้ขนาดนั้นหลายๆท่านก็คงถูกหวยกันทุกงวด มันก็อยู่ที่แล้วแต่ดวงเรา ปู่ท่านครูบาอาจารย์ท่านทั้งหลายจะเมตตา จะเตือนอะไร จะให้เราเห็นอะไร คิดว่ามันเป็นปัจจัตตังแค่นี้ก็พอ

    อันนี้ก็นำมาพูดมาเล่ากันไว้ เวลาเกิดขึ้น หรือเวลาเริ่มรู้สึกตัวว่ามันเกิดขึ้นกับตัวเองแล้ว จะได้ไม่ต้องตื่นเต้นมากยิงคำถามกันมา เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่หลายๆคนเจอกันมาประจำจนเป็นเหมือนเรื่องปกตินั่นเอง

    สุดท้ายก็คำถามยอดฮิตเวลาบูชาเครื่องมงคลไปหลายๆท่านมักจะถามว่าใช้อย่างไร ที่จริงผมไม่อยากตอบรึไม่อยากให้ถามเลย อยากให้ลองเอาไปใช้กันจริงๆจังๆมากกว่า เพราะของบางอย่างมันดีครอบจักรวาล หากไม่รู้จะใช้อย่างไร ที่เป็นรูปพระก็นึกถึงพระพุทธเจ้าท่องนะโมสามจบให้เกียรติพระรัตนตรัย หากเป็นรูปเทพก็ง่ายๆเลยคือทำสมาธินึกถึงเทพองค์นั้นแล้วเรียกชื่อท่าน มันสั้นๆแค่นี้เองจริงๆ อยู่ที่จิตเราว่าจะสะดวกยังไงมากกว่า หลายๆคนที่ใช้เค้าไม่สนใจคาถากันเลย บางคนห้อยติดตัวติดคอจนขาดไม่ได้ วันไหนไม่ได้ใส่บอกเราว่าคอโล่งแปลกๆก็มี บางคนลืมสร้อยพระไว้ในบ้านรู้สึกใจไม่ดีต้องนั่งรถย้อนกลับไปเอาก็มี ก็เอาไปใช้เอาไปบูชากันจริงๆ โดยเฉพาะที่ให้เล่นเกมส์แจกกันไป ของพวกนั้นก็นำไปใช้กันได้ ก่อนถามคือลองใช้ด้วยตัวเองก่อนจะดีมากเลย เพราะรายละเอียดด่วนใหญ่ก็ลงไว้ให้ครบแล้ว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,078
    ค่าพลัง:
    +16,619
    อรุณสวัสดิ์นะครับ

    เมื่อวานก็มีมาเล่าให้ฟังกันอีกแล้ว บารมีพรหมฤาษีนารท ได้สดุดีคุณครูกันอีกรอบแต่เช้าเลย น้องคนนี้เป็นนักศึกษาได้บูชาไปแล้วนำมาใส่พานถวายผลไม้บายศรีหมากพลูให้ครูฤาษี เค้าว่าครูนารทของท่านแรงมากตอนปักธูปพานที่ใส่พรหมฤาษีนารทวางอยู่สั่นเลย

    หลังจากนำไปอาราธนา ก็เป็นเรื่องของหนุ่มๆสาวๆในมหาลัยเชื่อว่าหลายๆคนก็คงเคยผ่านจุดนี้มาเหมือนกัน แบบว่าเวลาเจอคนสวยๆหรือเด่นๆ เจอรุ่นพี่น่ารักๆก็จะประทับใจเขาขึ้นมา อันนี้ผมค่อนข้างเข้าใจความรู้สึก

    ทีนี้น้องเค้าเล่าว่าตัวเองได้แอบชอบรุ่นพี่คนหนึ่งอยู่ ไม่รู้เหมือนกันว่าเค้ามีแฟนรึยัง พูดง่ายๆคือไม่มีโอกาสแบบจะมานั่งคุยกันได้หรือทำความรู้จักกันเลย และที่สำคัญกว่านั้นคนที่ชอบและตามจีบเค้าก็มีเยอะเสียด้วย

    ทีแรกที่น้องเขาจองพรหมฤาษีนารทเข้ามานั้นเค้าก็ถามปรึกษาเราเรื่องนี้ แต่เราบอกว่าเออถ้ามันขนาดนั้นก็อยาไปสนเค้าเลย เอาคนที่เราคิดว่าเราจีบติดดีกว่า เพราะคำว่าชอบเนี่ย วันๆนึงคุณไปไหนมาไหนมากมายอาจจะเจอคนที่ชอบอีกได้เป็นสิบเป็นร้อยไม่จำเป้นต้องเป็นคนนี้ก็ได้ เพราะอยู่ในอารมณ์ที่ว่าชอบ มันยังไม่รู้จักยังไม่ใช่ความรัก เป็นเรื่องฉาบฉวย

    หลังจากนั้น ไม่รู้ว่าไปทำท่าไหน ฤทธิ์ของพรหมฤาษีนารทหรือผู้ส่งสาสน์ของพระผู้เป็นเจ้าถึงได้ออกมาแบบถึงรสถึงพริกถึงขิงขึ้นมา เริ่มจากเค้าโทรมาหาผมเล่าให้ผมฟังว่าปู่แรงมากเลยพี่ วันนี้พี่..เค้ายิ้มมองมาทางผมด้วย คืออารมณ์ของความรักเด็กๆที่เวลาคนที่เราแอบชอบเค้ายิ้มเค้ามองมาหาเรา แค่นั้นมันก็ชื่นใจแล้ว อันนี้ยังเข้าใจอารมณ์น้องเค้าอยู่

    หลังจากวันนั้นน้องเค้าก็เงียบไปสองสามวัน แล้วก็โทรมาหาเราใหม่ เล่าให้เราฟังว่า พี่กรไม่น่าเชื่อเลย ผมก็ยังไม่อยากเชื่อตัวเองเหมือนกัน น้องเค้าเล่าว่าวันนี้เค้านั่งกินข้าวอยู่ที่โรงอาหารคนเดียว อยู่ดีๆคุณพี่นางก็เดินถือชามก๋วยเต๊๋ยวมานั่งกินอยู่ฝั่งตรงข้าม โต๊ะตัวเดียวกัน นั่งมองหน้ากันกินข้าว

    น้องเค้าว่าผมงงมากว่าเค้ามาได้ไงเพราะปกติพี่เค้าจะไปไหนกับเพื่อนตลอด แต่นี่คือมานั่งกินคนเดียว พอกินๆไปเค้าก็พูดออกมาว่า อ้าวน้องพี่ขอโทษพี่ไม่เห็นว่ามีคนนั่งอยู่จริงๆ(คนทั้งคนนั่งกินข้าวไม่เห็นได้ไง)แล้วหลังจากนั้นจุดเริ่มต้นของการสนทนาก็เกิดขึ้น เพราะพี่เขาจำได้ว่าเด็กคนนี้คือน้องในคณะประมาณนี้นะที่เค้าเล่าให้เราฟัง ทำให้เค้ารู้ว่าพี่คนนี้ยังโสด พักอยู่หอใกล้ๆมหาลัย ได้พูดคุยกันขอไลน์กันและที่สำคัญ น้องเค้าเล่าให้ผมฟังว่า พี่เค้าดูยิ้มอายๆตลอด ปกติหน้าเค้าจะนิ่งมาก แต่นี่ถามอะไรไปตอบหมด จนน้องเค้าเผลอคิดไปว่าต้องชอบเค้าแน่เลย เราก็ขำก้ากเลยว่าทำไมคิดเข้าข้างตัวเองได้ขนาดนี้ หลังจากนั้นก็คุยกันน้องเค้าก็แคปไลน์ส่งมาให้ผมดูว่าฟินมาก คือเราดูก็ว่าคุยกันหวานกะหนุงกะหนิงดี

    ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเหมือนบุพเพอาละวาด ไม่รู้ ไม่คิดว่าจะรู้จักกันได้ แต่ก็ได้รู้จักได้พูดคุยกัน เหมือนที่บอกไว้เสมอสำหรับคนที่บูชาพรหมฤาษีนารทว่าไม่ต้องขอใช้ชีวิตไปตามปกติ ถ้ามี เดี๋ยวมาเอง

    เรื่องก็ยังไม่จบนะ เด็กคนนี้ไม่ใช่ได้แต่เรื่องเสน่ห์ เพราะงวดก่อนเค้าว่าเค้ากำพ่อปู่ลองหยิบหวยก็ได้ชื่นใจไปอีกถูกรางวัลที่สี่ เค้าว่าไม่เคยถูกหวยมาก่อนในชีวิต ก็นำมาเล่าสู่กันฟังบูชาคุณครู อาถรรพ์แห่งองค์พรหมฤาษีนารท ซึ่งตัวผมเองก็คิดว่าครูนารทนี่แรงมากเพราะมีเรื่องเล่าส่งมาให้เราไม่ขาดเลย เรียกว่าคนที่บูชาไปยิ้มได้ ใช้แล้วมีความสุขเราก็แอบยินดีไปด้วย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,078
    ค่าพลัง:
    +16,619
    ร่วมเล่นเกมส์ แจกตะกรุดนะถุงเงิน (มีกินไม่รู้สิ้น)

    จะมาเกริ่นคร่าวๆก่อน เกี่ยวกับตะกรุดนี้ ซึ่งพ่ออาจารย์ท่านบอกว่าเดิมเป็นวิชาสำคัญเป็นนะตัวสำคัญที่พระเกจิอาจารย์แต่โบราณนิยมเล่น นิยมใช้กันในการสงเคราะห์ให้ศิษยานุศิษย์มีฐานะดีขึ้น มีความเจริญรุ่งเรือง ท่านว่าพุทธคุณก็สมด้วยชื่อตะกรุดนั่นเอง คือมีกินไม่รู้สิ้น เต็มเปี่ยมไปด้วยความสะดวกสบายมีพร้อมทั้งลาภ ยศ ศฤงคาร

    แต่ในปัจจุบันนั้น ก็ไม่ค่อยได้เห็นจะมีใครทำกัน ด้วยเกรงว่าวิชาจะสูญไป ประกอบกับเหตุผลกลใดก็ไม่ทราบ เมื่อมีเวลาว่าง ท่านจะค่อยๆนั่งชักยันต์และปลุกเสกตะกรุดนะถุงเงิน(มีกินไม่รู้สิ้น)นี้เก็บไว้

    เพื่อให้เหมาะกับสภาพการณ์ปัจจุบัน ก็ถือเป็นโอกาศดีที่เราจะได้ร่วมเล่นเกมส์กันแจกตะกรุดวิชานี้กันไปเลย ซึ่งก็จะใช้กติกาเดิมโดยจะกำหนดให้เล่นกันสองวัน คือวันนี้และวันพรุ่งนี้ หมดเวลาตอนหกโมงเย็นวันพรุ่งนี้

    สำหรับเกมส์ที่จะให้เล่นกันคราวนี้ ก็เป็นเกมส์ง่ายๆและได้ประโยชน์สาระความรู้กันมาก ก็มาช่วยกันทำถวายเป็นพระราชกุศลแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ไม่มีอะไรมากมายเลย พอดีไปเห็นเด็กๆที่ครูเค้าชอบสั่งงานสั่งการบ้านให้หาให้ค้นคว้าเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของในหลวงมาเสนอกัน ตรงนี้ถือว่าได้ประโยชน์นะเพราะคนค้นต้องได้อ่าน ดังนั้นเราจะมาพูดคุยกันถึงโครงการในพระราชดำริกัน ซึ่งต้องถือว่าโครงการทั้งหลายเหล่านี้มีเป็นร้อยโครงการ ล้วนแต่เป็นโครงการที่มีประโยชน์ทั้งสิ้น

    ผู้ที่ร่วมเล่นเกมส์นั้น ก็ให้บอกเล่าถึงโครงการในพระราชดำริต่างๆว่าในหลวงของพวกเรานั้น พระองค์ท่านวางทฤษฏีไว้อย่างไร แล้วเราทั้งหลายนำทฤษฏีเหล่านั้นมาประกอบการณ์ให้เกิดผลประโยชน์กับสถานการณ์ในชีวิตตัวเองอย่างไรบ้าง หากยังไม่เคยก็คิดจะลองจะทำอย่างไร ซึ่งโครงการณ์ในพระราชดำรินั้นมีมากมาย ยกตัวอย่างเช่น เศรษษกิจพอเพียง หญ้าแฟก แก้มลิง ฝนหลวง ไปค้นหาเอาเป็นสาระความรู้มาเผยแพร่กัน จะได้อ่านได้ซึมซับพระมหากรุณาธิคุณไปด้วย ว่าในหลวงนั้นท่านหวังดีกับประชาชนเช่นเราๆกันอย่างไร

    ก็เริ่มเกมส์กันได้เลย รายละเอียดตะกรุดจะพูดถึงอีกทีหลังจบเกมส์นะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 008.jpg
      ขนาดไฟล์:
      49.3 KB
      เปิดดู:
      53
  15. อรหโตพุทโธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2015
    โพสต์:
    498
    ค่าพลัง:
    +1,017
    ก็ยกเล่าถึง ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดฉะเชิงเทรา

    พระองค์มีพระราชประสงค์
    เพื่อยกระดับรายได้ของเกษตรกรในบริเวณลุ่มน้ำห้วยเจ็กและห้วยน้ำโจน ซึ่งอยู่ในเขตตำบลเขาหินซ้อนและตำบลเกาะขนุน มีพื้นที่ปริมาณ 56,000 ไร่ มีรายได้พอเพียงต่อการยังชีพ คือ ประมาณ 20,000 บาทต่อครอบครัวต่อปี และจะใช้พื้นที่เป็นพื้นที่พัฒนาตัวอย่าง เพื่อให้ศึกษาแนวทางการพัฒนาท้องที่อื่นๆต่อไป

    โดยใช้การเกษตรทฤษฎีใหม่และการเกษตรผสมผสาน
    ทำให้เราสามารถปลูกพืชได้หลายชนิด ทั้งพืชท้องถิ่นและพืชเศรษฐกิจ ที่สามารถปลูกไว้เพื่อกินเอง และเหลือก็นำไปขายเพื่อยังชีพเลี้ยงครอบครัวได้ครับ

    เราก็สามารถนำมาปรับใช้กับตัวเอง กับพื้นที่ที่บ้านเรา ในด้านการทำการเกษตรเพื่อไว้กินเองที่บ้านได้ เลยครับ สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ดีมากเลยครับ
     
  16. พรหมภาระตะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +514
    โครงการช่างหัวมัน
    “โครงการชั่งหัวมันตามพระราชดำริ” จ.เพชรบุรี ก็เป็นอีกหนึ่งโครงการที่ทรงมีพระราชดำริให้ตั้งขึ้น เพื่อเป็นศูนย์รวมพืชเศรษฐกิจของ อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี โดยเลือกพันธุ์พืชท้องถิ่นที่ดีที่สุดเข้ามาปลูก แล้วให้ภาครัฐและชาวบ้านช่วยกันดูแล

    เดิมนั้น พื้นที่ในแถบนี้เป็นดินลูกรัง แห้งแล้ง และเป็นพื้นที่ปลูกไม้ยูคาลิปตัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อซื้อที่ดินในแถบนี้จากชาวบ้าน เนื้อที่ประมาณ 250 ไร่ จากนั้นทรงโปรดเกล้าฯ ให้กองงานส่วนพระองค์ สำนักพระราชวัง เข้าพัฒนาพื้นที่เพื่อจัดทำเป็นโครงการทดลองด้านเกษตร และทรงมีรับสั่งว่าเมื่อทำเสร็จจะเสด็จไปทอดพระเนตรโครงการด้วยพระองค์เอง
    สำหรับชื่อของโครงการ “ชั่งหัวมัน” นี้ เกิดขึ้นจากเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จไปประทับที่พระราชวังไกลกังวล มีชาวบ้านนำมันเทศซึ่งเป็นพืชที่ปลูกอยู่ในท้องถิ่นมาถวาย เมื่อต้องเสด็จกลับกรุงเทพฯ เลยรับสั่งให้เจ้าหน้าที่นำหัวมันเทศนั้นไปวางบนตาชั่งในห้องทรงงาน และเมื่อเสด็จกลับมาหัวหินทรงพบว่ามันเทศหัวนั้นแตกใบออกมา จึงมีรับสั่งให้นำหัวมันเทศนั้นไปปลูกใส่กระถางไว้ในวังไกลกังวล แล้วมีพระราชดำรัสให้จัดหาพื้นที่เพื่อทดลองปลูกมันเทศซึ่งเป็นพืชที่สามารถปลูกขึ้นได้ทุกที่ แม้ว่าจะวางตั้งทิ้งไว้บนตาชั่งนั่นเอง
    ด้วยพื้นที่ใน อ.ท่ายาง เดิมนั้นแห้งแล้ง เมื่อได้ทดลองปลูกมันเทศก็ปรากฏว่าสามารถปลูกขึ้นได้ หลังจากนั้นก็ยังมีการพัฒนาพื้นที่ มีการปรับปรุงระบบน้ำที่อ่างเก็บน้ำหนองเสือเพื่อใช้ในโครงการ ส่วนพื้นที่ภายในโครงการก็จัดสรรเป็นแปลงต่างๆ โดยเน้นปลูกพืชเศรษฐกิจในพื้นที่ เช่น สับปะรด มะนาว มะพร้าว รวมถึงมันเทศด้วย

    นอกเหนือจากพืชเศรษฐกิจในพื้นที่ ก็ยังมีการปลูกไม้ผล พืชไร่ และพืชผักต่างๆ อาทิ แก้วมังกร ชมพู่เพชร กล้วย ฟักทอง อ้อย กะเพรา โหระพา พริก มะเขือเทศราชินี ผักหวานบ้าน ฯลฯ มีแปลงปลูกข้าว ทั้งข้าวเจ้าและข้าวเหนียว ปลูกยางพารา โดยทั้งหมดนี้จะเน้นไม่ให้มีการใช้สารเคมี หรือหากต้องใช้ก็ต้องมีในปริมาณที่น้อยที่สุด
     
  17. leobia Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2016
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +66
    ขอร่วมกิจกรรมครับ
    ขอยกตัวอย่างโครงการที่อยู่ในจังหวัดบ้านเกิดนะครับ

    - โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อ พัฒนาพื้นที่พรุในจังหวัดนราธิวาส

    ด้วยพื้นที่จำนวนมากในจังหวัดนราธิวาส เป็นที่ลุ่มต่ำมีน้ำขังตลอดปี ดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ซึ่งมีเนื้อที่ ทั้งหมดประมาณ 300,000 ไร่ กสิกรจำนวนมากไม่มีที่ทำกิน แม้เมื่อระบายน้ำออกหมดแล้วยังยากที่จะใช้ประโยชน์ทางการเกษตรให้ได้ผล ทั้งนี้เนื่องจากดินมีสารไพไรท์ทำให้เกิดกรดกำมะถัน เมื่อดินแห้งทำให้ดินเปรี้ยว ควรปรับปรุงดินให้ดีขึ้น ดังนั้นจึงเห็นสมควรที่จะมีการปรับปรุงพัฒนาโดยให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเข้ามาดำเนินการศึกษา และพัฒนาพื้นที่พรุร่วมกันแบบผสมผสาน และนำผลสำเร็จของโครงการไปเป็นแบบอย่างในการที่จะพัฒนาพื้นที่พรุในโอกาสต่อไป

    สาเหตุของการเกิดดินเปรี้ยว
    ดินเปรี้ยวเกิดจากการทับถ่มของตะกอนนํ้ากร่อยซึ่งเป็นบริเวณที่เคยได้รับอิทธิพลจากนํ้าทะเลท่วมถึงมาก่อน เช่นบริเวณที่เคยเป็นป่าชายเลนและบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่นํ้าใหญ่ๆ โดยจุลลินทรีย์ในดินจะเปลี่ยนสารประกอบพวกกำมะถันในนํ้าทะเลให้เป็นแร่ไพไรท์ซึ่งเป็นสารประกอบของเหล็กและกำมะถันสะสมอยู่ในสภาพนํ้าขังต่อมาเมื่อฝั่งทะเลยื่นออกไปเรื่อยๆและถ้ามีการระบายนํ้าออกไปจนทำให้ดินแห้งก็จะเกิด การเปลี่ยนแปลงทางเคมีแร่ไพไรท์จะถูกเปลี่ยนแปลงไปในที่สุดจะได้กรดกำมะถันซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ดินเป็นกรดจัด ซึ่งไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก พืชพลจะแคระแกร็น

    ตัวอย่างการแก้ปัญหาดินเปรี้ยว
    การใส่วัสดุลดความเป็นกรดของดินเช่นปูนขาวปูนมาร์ลเปลือกหอยเผาหินปูนบดนอกจากจะช่วยลดความเป็นกรดของดินแล้วยังมีผลต่อเนื่องในการลดปริมาณสารเป็นพิษที่ละลายออกมามากเกินไปจนเป็นอันตรายต่อพืชอีกด้วยในทางปฏิบัตินิยมใช้ปูนมาร์ลเพราะมีราคาถูกที่สุดและใส่เพียงครั้งเดียวก็สามารถแก้ความเป็นกรดของดินได้นาน3-5ปี

    สรุป เราสามารถนำความรู้จากโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ มาปรับใช้และแก้ปัญหา ในกรณีที่พื้นที่เพาะปลูกอยู่ใกล้กับน้ำเค็มทำให้เกิดน้ำกร่อยซึ่งเป็นสาเหตุดินเปรี้ยว

    Credit: https://th.wikipedia.org/wiki
    สวนเกษตรผสมผสาน นครปฐม ให้คำปรึกษาการทำเกษตรปลอดสาร เกษตรอินทรีย์ : Inspired by LnwShop.com
     
  18. chattrg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    4,337
    ค่าพลัง:
    +13,239

    ขอร่วมกิจกรรม ครับ

    ในพระราชดำริ ในหลวง
    ผมชอบที่สุด คือ คำว่า พอเพียง ครับ

    แต่
    หลายคนมาแปรเจตนาหระองค์ท่านไปว่า
    พอเพียง คือ สันโดษ
    จะทำให้ เศรษฐกิจ ชะงัก
    ผมเลยต้องอธิบายว่า
    พอเพียง สั้นๆ คือ ให้สมตัว

    เช่น คุณมีโรงงาน พันล้าน มีลูกน้อง พันคน
    คำว่า พอเพียงคุณ ต้องมากกว่าผม
    ที่ เป็นแค่ พนักงานธรรมดา

    ไม่ใช่โลภ แบบ ในตลาดมี 100 เราจะเอาทั้ง 100
    ไม่แบ่งคนอื่น....

    ถ้า ทุกคนในสังคมเรา รู้จักและ เข้าใจ คำว่า
    พอเพียง
    เรา จะมีความสุข ทั้งบทบาท ผู้ให้ และ ผู้รับ ครับ

    มีหลายชุมชน(เล็กๆ) ที่ ผู้นำยึดกลัพระราชดำรินี้
    แล้ว มีความสุข ชุมชนสงบ มีแบ่งปัน....

    ...............................................................
    องค์ในหลวงท่านให้ในคำสอน
    ให้รู้ก่อนพอเพียงเลี่ยงอิจฉา
    ทำพอเหมาะได้พอดีมีราคา
    รู้คุณค่าประชาชีมีสุขครัน

     
  19. po_ood เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +1,035
    ขอร่วมกิจกรรมครับ

    โครงการบำบัดน้ำเสียบึงมักกะสันอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
    หลักการบำบัดน้ำเสียโดยการกรองน้ำเสียด้วยผักตบชวา (Filtration) ตามแนวทฤษฎีการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ "บึงมักกะสัน" กล่าวคือ ให้มีการทดลองใช้ผักตบชวา ซึ่งเป็นวัชพืชที่ต้องการกำจัดอยู่แล้วนี้ มาทำหน้าที่ดูดซับความโสโครก รวมทั้งสารพิษจากน้ำเน่าเสีย โดยทรงเน้นให้ทำ การปรับปรุง อย่างประหยัด และไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ริมบึง

    การนำแนวทฤษฎีมาใช้ในชีวิตประจำวัน ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ทำให้มองโลกในแง่ที่ดีขึ้น ทุกปัญหามีหนทางออกเสมอ และของทุกอย่างในโลกมีคุณค่าในตัวมันเองเสมอ

    ข้อมูลจาก โครงการ บำบัดน้ำเสียบึงมักกะสัน
     
  20. techapunyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    896
    ค่าพลัง:
    +1,730
    โครงการเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริ
    “คำว่าพอเพียง มีความหมายอีกอย่างหนึ่ง กว้างออกไปอีก ไม่ได้หมายความถึงการมีพอสำหรับใช้เองเท่านั้น แต่มีความหมายว่าพอมีพอกิน พอมีพอกินนี้มีความหมายว่า มีกินมีอยู่ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่หรูหราก็ได้ แต่ว่าพอ แม้
    บางอย่างอาจจะดูฟุ่มเฟือย แต่ถ้าทำให้มีความสุข ถ้าทำได้ก็สมควรที่จะทำ ผลิตอะไรมีพอที่จะใช้ไม่ต้องไปขอซื้อคนอื่น อยู่ได้ด้วยตัวเอง คนเราถ้าพอในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าทุกประเทศมีความคิดอันนี้ไม่ใช่เศรษฐกิจ มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข”

    จากแนวพระราชดำริ เศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวทางที่ให้ประชาชนดำเนินตามวิถีแห่งการดำรงชีพที่สมบูรณ์ ศานติสุข โดยมีธรรมะเป็นเครื่องกำกับ และใจตนเป็นที่สำคัญ ซึ่งก็คือ วิถีชีวิตไทย ที่ยึดเส้นทางสายกลางของความพอดี ในหลักของการพึ่งพาตนเอง 5 ประการ คือ

    • ความพอดีด้านจิตใจ : เข้มแข็ง พึ่งตนเองได้ มีจิตสำนึกที่ดี เอื้ออาทร ประณีประนอม คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวม

    • ความพอดีด้านสังคม : มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน สร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน รู้จักผนึกกำลัง และที่สำคัญมีกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดจากฐานรากที่มั่นคงและแข็งแรง

    • ความพอดีด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม : รู้จักใช้และจัดการอย่างฉลาดและรอบคอบ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนสูงสุด ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในประเทศ เพื่อพัฒนาประเทศให้มั่นคงเป็นขั้นเป็นตอนไป

    • ความพอดีด้านเทคโนโลยี : รู้จักใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมให้สอดคล้องกับความต้องการและควร

    พัฒนาเทคโนโลยีจากภูมิปัญญาชาวบ้านของเราเอง และสอดคล้องเป็นประโยชน์ต่อสภาพแวดล้อมของเราเอง

    • ความพอดีด้านเศรษฐกิจ : เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ดำรงชีวิตอย่างพอสมควร พออยู่ พอกินตามอัตภาพ และฐานะของตนเอง

    การนำมาปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวัน ย่อมทำให้เรามีความเป็นอยู่ดีขึ้น พออยู่ พอกิน พอใช้...
     

แชร์หน้านี้