"ร่างอวตารของสิ่งศักดิสิทธิ์" เช่น ร่างอวตารของพระกวนอิม, พระศรีอาร์ฯ ฯลฯ เป็นอย่างไร?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อู่หยาจื่อ, 22 สิงหาคม 2012.

  1. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    สวัสดีครับ วันนี้ เรามาคุยกันเรื่องง่ายๆ
    เล็กๆ คือ เรื่อง "ร่างอวตารของสิ่งศักดิ
    สิทธิ์" เช่น ร่างอวตารของพระศรีอาร์ฯ
    ท่านคงอยากทราบว่า เป็นใครกันบ้าง?
    และจะดูออกได้อย่างไร? เอาละ เรามา
    คุยกันง่ายๆ สบายๆ ในประเด็นนี้กันครับ
     
  2. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    "ภาคแบ่งฯ" กับ "ร่างอวตารฯ" จะมีการดำเนินในในวัฏฏะฯ ที่ต่างกัน


    อย่างแรกที่ท่านควรทราบและแยกแยะให้ได้ก่อนคือ "ภาคแบ่งฯ" และ
    "ร่างอวตาร" สองอย่างนี้ คล้ายกันมาก แต่ไม่เหมือนกันนะครับ มันต่าง
    กันอย่างไรละ? อย่างนี้ ภาคแบ่งฯ นี้ ถ้าแบ่งภาคมาจากองค์ใด ท่านจะ
    เดินตามรอยองค์นั้นเพื่อกลับสู่ "จิตเดิมแท้" ไม่เปลี่ยนแนวทางไปอย่าง
    อื่น เช่น ภาคแบ่งของพระเมตตรัยโพธิสัตว์ ถ้าแบ่งออกมาบำเพ็ญบารมี
    สมมุติแบ่งได้เป็น "เทพเต่ามังกร" เมื่อบำเพ็ญบารมีแล้ว ก็จะกลับคืนสู่
    สภาวะเดิม นั่นคือ การดำเนินไปของ "ภาคแบ่ง" ดังนั้น ท่านจะมี "องค์
    ต้นธาตุต้นธรรม" ที่แบ่งภาคท่านมาเป็น "ตัวตนในมิติที่สูงขึ้น" ซึ่งเป็น
    "ตัวตนที่สว่างไสว" อยู่เบื้องบนคอยชี้นำทาง ท่านจะมีรอยกรรมและจะ
    กระทำหน้าที่คล้ายกัน เดินตามรอยกันเลย ทว่า "ร่างอวตาร" นั้น จะไม่
    เป็นเช่นนั้น ร่างอวตารฯ จะเปลี่ยนวิธีการบำเพ็ญของตนไปตามแต่ว่าจะ
    "อวตารเป็นอะไร" ยกตัวอย่างเช่น พระศรีอาร์ฯ อาจอวตารมาเกิดเป็นผู้
    หญิงหนึ่งชาติ (ชาติเดียวเท่านั้น) ก็จะอวตารเป็นพระอวโลกิเตศวรก่อน
    แล้วมาเกิดเป็นผู้หญิง สมมุติว่าเป็น "บูเช็คเทียน" ก็แล้วกันนะ นี่ วิถีการ
    บำเพ็ญารมีก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ต่างกันออกไป อย่างนี้เรียกว่าอวตารฯ
     
  3. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    พระศรีอาร์ฯ อวตารเป็นพระรามเจ้า, พระรามเจ้าอวตารเป็นพระศรีอาร์ ?


    ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ สิ่งศักดิสิทธิ์และพระนิตยโพธิสัตว์ สามารถจะ

    อวตารเป็นอีกองค์ได้เช่น พระรามเจ้าอวตารเป็น "พระเมตตรัยโพธิสัตว์"
    ในขณะที่พระเมตตรัยโพธิสัตว์อวตารเป็น "พระรามเจ้า" อย่างนี้ ก็เป็น
    ไปได้ เพื่ออะไร เพื่อที่จะศึกษาแนวทางการบำเพ็ญบารมีของกันและกัน
    นั่นเอง ซึ่งมันก็คือ การแลกเปลี่ยนแนวทางการศึกษาเรียนรู้ในวัฏฏะฯ ที่
    ต่างมุมมองกันนั่นเอง ดังนั้น ท่านที่ติดตามพระเมตตรัยโพธิสัตว์ก็อาจจะ
    ได้บำเพ็ญบารมีร่วมกับ "พระรามเจ้า" ซึ่ง "อวตารเป็นพระเมตตรัย" ก็
    ได้ ทั้งนี้เนื่องจากผลแห่ง "การอวตาร" นั่นเอง ดังนั้น แม้แต่พระเมตตรัย
    เองก็อวตารเป็นพระโพธิสัตว์องค์อื่นๆ ได้ด้วย เช่น พระกษิติครรภ์อวตาร,
    พระสมันตรภัทรอวตาร, พระมัญชุศรีอวตาร ฯลฯ เป็นต้น แต่ "จิตเดิมแท้
    ของท่านมาจากพระเมตตรัยโพธิสัตว์" นั่นเอง หรือถ้าท่านต้องการ นาม
    แบบเต็มๆ ก็ควรจะเรียกว่า "พระเมตตรัยะ-กษิติครรภ์อวตาร" (พระเมต
    ตรัยะที่อวตารเป็นพระกษิติครรภ์ เป็นต้น) แต่ปกติจะไม่ตั้งนามอย่างนี้นะ
    ครับ อันนี้ เราตั้งกันเพื่อให้เข้าใจเรื่องอวตารเท่านั้นเอง ในความเป็นจริง
    ก็มีหลายท่านที่เป็นร่างอวตาร เช่น พระถังซัมจั๋ง นี่ก็ร่างอวตารของพระ
    "เมตตรัยโพธิสัตว์" ที่อวตารเป็นพระกษิติครรภ์อีกที เหมือนกับพระนาง
    บูเช็คเทียน ก็เป็นร่างอวตารของพระเมตตรัยโพธิสัตว์ ที่อวตารเป็น พระ
    อวโลกิเตศวรอีกที พอจะเข้าใจไหมครับ? เอาละ ต่อไปผมจะบอกวิธีจับ
    สังเกตุว่า "ร่างอวตาร" นั้น ท่านสวมรอยอวตารเป็นสิ่งศักดิสิทธิ์องค์อื่น
    แล้วเล่นละครไม่ค่อยเหมือน "องค์ต้นแบบ" อย่างไร? ในโพสต่อไปครับ
     
  4. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    "องค์ต้นแบบ" จะคงเดิม 100% แต่ "องค์อวตาร" จะแตกต่างไป ?


    ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ องค์อวตารจะไม่สามารถบำเพ็ญบารมีได้ดัง

    เช่น องค์ต้นแบบถึง 100% ได้เลย มันจะมี "ข้อแตกต่าง" เฉพาะตัว
    ของท่าน อันอาจเกิดจากบุญกรรมทำมา ไม่เหมือนกัน เบี่ยงเบนให้มัน
    มีวิถีทางที่ต่างออกไปครับ และเหตุนี้เอง ท่านจึงสามารถจับสังเกตุ ได้
    ว่า "องค์ไหนคือองค์อวตาร" เพราะมันมีพิรุจน์ ที่จับผิดได้ว่าแตกต่าง
    ไปจากองค์ต้นแบบ นั่นเอง เช่น พระอวโลกิเตศวร จะไม่มีวิสัยที่ทำตัว
    เสมอชายหรือเหนือกว่าชายแบบ "พระนางบูเช็คเทียน" เช่นนั้น นี่ละ
    ที่เราพอจับสังเกตุได้ว่า "องค์นี้เป็นองค์อวตาร" ไม่ใช่องค์ฯ ที่มาจาก
    องค์ต้นแบบจริงๆ หรือพระถังซัมจั๋งที่เผลอไปหลงเสน่ห์นางแมงมุมจน
    ไปให้สัจจะว่าจะแต่งงานด้วย ต่อมา ก็ผิดสัจจะไม่ยอมแต่งงานเพราะ
    รู้ว่านางเป็นปีศาจแมงมุม อันนี้ ก็เป็นพิรุจน์ที่เราจับได้ว่าไม่ใช่องค์พระ
    กษิติครรภ์องค์ต้นแบบนะครับ (องค์ต้นแบบจริงๆ ไม่หนีไป เพราะกลัว
    ปีศาจแบบนี้ แต่ท่านจะกล้าหาญและยอมเสี่ยงตายที่จะโปรดสัตว์ครับ)
    เอาละ ทีนี้ ในโลกของเรา มีทั้งองค์อวตารและภาคแบ่งฯ มาเกิดร่วมกัน
    ถ้าท่านต้องการ "เดินตามรอย" ดั้งเดิมที่ถูกต้อง ท่านก็ควรดูตัวอย่างที่
    ได้จาก "องค์ภาคแบ่ง" ดีกว่า เพราะองค์อวตารนั้น จะมีอะไรที่แตกต่าง
    ไป ดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ทว่า มันก็เป็นความจำเป็นอย่างหนึ่งของการ
    บำเพ็ญบารมี ก็เท่านั้นเอง ยิ่งไปกว่านั้น มันทำให้โลกเรานี้มีสีสันขึ้นมาก
    เลยทีเดียว ซึ่งผมจะได้เล่าต่อไปว่าเรื่องราวความวุ่นวายนั้นเป็นอย่างไร?
     
  5. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    แล้ว "ท่าน" ละ เป็นองค์อวตารขององค์ใด หรือองค์ภาคแบ่งฯ กันแน่ ?


    ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ
    "ตัวท่านเองละ" แบ่งภาคมาจากจิตเดิมแท้

    ขององค์ใด? หรือเป็น "ร่างอวตาร" ขององค์ใดบ้างไหม? เอาละ อย่า
    คิดว่าผมชวนคุณให้หลงตัวเองนะ แต่มันเป็นความจริงว่าในโลกนี้ คน
    เราทุกคน ก็มาจากสิ่งศักดิสิทธิ์กันทั้งนั้น แต่เราหลงลืม และไม่เคยคิด
    ที่จะ "ติดตามรากเหง้า-กำเนิดแห่งจิตวิญญาณ" ของตนเองเลย เรา
    จึงไม่เห็นคุณค่าและความสามารถของตนเอง เอาละ ผมยกประเด็นนี้
    ขึ้นมา ไม่ได้ต้องการให้คุณหลงตัวเองมากขึ้น แต่ต้องการให้คุณลอง
    "ค้นหาจุดกำเนิดของจิตวิญญาณของคุณเอง" ว่ามารากเหง้ามาจาก
    ท่านใด สิ่งศักดิสิทธิ์องค์ใด และท่านจะได้เดินตามรอยนั้นได้ถูกต้องไม่
    หลงทางไปทางมืด หรือทางมาร ไม่ทำตัวเหลวแหลก เหลวไหล เพราะ
    ท่านก็คือ "ตัวแทนของสิ่งศักดิสิทธิ์องค์หนึ่ง" เหมือนกัน (ท่านก็ควรที่
    จะทำตัวให้ดี เพื่อเป็นเกียรติ์แก่สิ่งศักดิสิทธิ์นั้นๆ ใช่ไหมครับ) เอาละ ที
    นี้เรามาติดตามหา "จุดกำเนิดของจิตวิญญาณของพวกเรากัน" ว่ามีที่
    มาจากที่ใด? ซึ่งมันไม่ยากเลย เพราะสิ่งศักดิสิทธิ์นั้นๆ จะส่งพลังลงมา
    นำทางเราอยู่ตลอด และถ้าเรามีจิตสัมผัสละเอียดหรือช่างสังเกตุสักนิด
    ก็จะทราบได้ว่า "ต้นกำเนดของพลังงานที่ส่งมานั้น มาจากท่านใด" เรา
    ก็จะเดินตามทางของท่านได้ไม่ยากเลยครับ เอาละ ท่านผู้อ่านท่านใด ที่
    สัมผัสได้บ้างแล้ว ก็ลองเล่าประสบการณ์มาแชร์ให้กันดูบ้าง ก็ได้นะครับ
     
  6. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    องค์อวตารของพระยูไลจะสำเร็จ "พุทธะ" ได้ในชาติเดียวที่เกิดนั้นเลย


    ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ สำหรับองค์อวตารของพระยูไล จะสามารถได้
    "พุทธะ" ได้ชาติเดียวที่มาเกิดนั้นเลย ถ้าตั้งใจปฏิบัติธรรมให้ดี แต่ถ้าไม่
    ตั้งใจให้ดี หรือมีสิ่งอื่นดึงให้ออกนอกทางไป ก็จะไม่ได้พุทธะในชาตินั้นๆ
    ทว่า จะมีอะไรมากมายมาน้อมนำดึงไปให้ "ปฏิบัติอย่างยิ่งยวด" เพื่อให้
    ได้พุทธะในชาตินั้นๆ เลย ทำให้ "ร่างอวตารของพระยูไล" จะได้รับวิบาก
    กรรม หรือต้องทำกิจอะไร มากกว่าคนทั่วไปได้ เพื่อเร่งให้ได้ถึง "พุทธะ"
    ในชาติเดียว นั่นเอง ทีนี้ "พุทธะ" หรือพระยูไล ก็มีหลายแบบ เช่น พุทธะ
    ที่มาจากตำแหน่ง "ดาวเทพนพเคราะห์ทั้ง 7" ก็อย่างหนึ่ง พุทธะบำเพ็ญ
    ทาง "ไภษัชยคุรุพุทธะ" ก็แบบหนึ่ง (แบบนี้ จะไม่ถือบัญชีบุญ-กรรม แต่
    จะถือหม้อยา "ธรรมโอสถ" แทน) พุทธะที่บำเพ็ญทาง "พระอมิตาภะ" ก็
    อย่างหนึ่ง แล้วยังมีพุทธะในแบบอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ พระยูไลเอง
    ก็อาจจะ "อวตารเป็นยูไลองค์อื่น" ก็ได้เช่น พระยูไลไภษัชฯ อาจจะอวตาร
    เป็นพระยูไลแห่งดาวเทพนพเคราะห์ ก็ได้ อนึ่ง ท่านควรทราบด้วยว่าการที่
    สิ่งศักดิสิทธิ์จะอวตารเป็นสิ่งศักดิสิทธิ์องค์อื่นได้นั้น ท่านก็ต้องมีบารมีมาก
    พอที่จะเข้าถึงสิ่งที่ท่านอวตารนั้นๆ ไม่ใช่ว่าพระโพธิสัตว์จะอวตารเป็นพระ
    ยูไลได้ (เพราะบารมีต่ำกว่า) เราจะไม่เรียกว่าการอวตาร ถ้าพระโพธิสัตว์
    สำเร็จพุทธะ เราจะเรียกว่าการบำเพ็ญบารมีถึงพุทธะ แต่ไม่เรียกว่าอวตาร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 สิงหาคม 2012
  7. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    พระกวนอิม ก็คือ "องค์อวตารของพระอมิตาภะพุทธเจ้า" แห่งสุขาวดี


    ต่อไปที่ท่านควรทราบ คือ พระยูไลบนสุขาวดี ได้อวตารพระองค์เองลง
    มาทำหน้าที่ในระดับที่ล่างลง มากมาย เช่น ระดับเทพ, ระดับโพธิสัตว์
    เพื่อให้ปวงสัตว์สามารถเอื้อมถึงท่านได้ หรือแม้แต่พระโพธิสัตว์บางองค์
    เช่น พระศรีอาริยเมตตรัย ที่จะมาโปรดสัตว์ในยุค "ยากเข็ญ - ซึ่งสัตว์มี
    บุญน้อย-กรรมมาก" นี้ ท่านยังต้องอวตารลงมาเป็น "พระกษิติครรภ์" ก็
    มี เพื่อให้ท่านสามารถโปรดสัตว์ที่มาจากนรกได้ (มนุษย์โลกในยุคนี้จะมี
    ที่มาจากสัตว์เบื้องล่าง จากอบายภูมิสี่) นี่คือวิธีที่ "ท่านที่มีบุญบารมีมาก
    จะใช้เอื้อมลงมาโปรดสัตว์" ท่านจึงต้อง "อวตารลงมา" อยู่ในระดับที่ต่ำ
    กว่าบุญบารมีเต็มของท่าน นอกจากนี้ ท่านก็ควรทราบว่าพระโพธิสัตว์ที่มี
    บุญบารมีพอเหมาะ พอควรกับสัตว์โลกยุคปัจจุบัน คือ พระโพธิสัตว์ในรูป
    กายแห่ง "อวโลกิเตศวร" สำหรับพระโพธิสัตว์ที่อยู่ในรูปกายอื่นจะมีบุญ
    บารมีสูงเกินไป สัตว์โลกจะเอื้อมไม่ถึง ดังนั้น ท่านไม่ต้องแปลกใจ ถ้าเรา
    จะได้ยิน ได้ฟัง ได้รับรู้เรื่องราวของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ที่มากกว่า
    พระโพธิสัตว์องค์อื่นๆ และเพราะเหตุนี้ นี่เอง "พระยูไลอมิตาภะ" จึงต้อง
    แบ่งภาคแล้วอวตารมาเป็น "พระกวนอิม" ซึ่งมีรูปกายแบบอวโลกิเตศวร
    และเพราะเหตุนี้ พระโพธิสัตว์รูปกายอื่น จึงไม่ค่อยมีบทบาทโดดเด่นท่าม
    กลางหมู่สัตว์เท่าใด และเพราะเหตุนี้ ด้วยเหมือนกันที่ "องค์ดาไลลามะ"
    จะนับว่าเป็นองค์แทนของ "พระอวโลกิเตศวร" ในขณะที่ "ปันเชนลามะ"
    ซึ่งเป็นองค์แทนของ "พระยูไล" กลับมีอำนาจน้อยกว่าและอยู่อย่างลับๆ
    มูลเหตุนี้ท่านพอจะเข้าใจหรือไม่? ที่ไม่เลือกองค์แทนของพระยูไล (ปัน
    เชนลามะ) ให้มีอำนาจกว่าองค์แทนของพระอวโลกิเตศวร (ดาไลลามะ)
     
  8. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีมากจะอยู่เบื้องหลังพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีน้อย ?


    สุดท้ายที่ท่านควรทราบ คือ ในยุคยากเข็ญ ที่ปวงสัตว์มีกรรมมาก-บุญ

    น้อยนี้ พวกเขาจะเอื้อมถึงได้แต่พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีน้อย คือ ท่านที่มี
    รูปกายเป็น "อวโลกิเตศวร" เท่านั้น น้อยคนนักที่จะเอื้อมได้ถึงท่านที่มี
    บุญบารมีมากกว่านี้ ดังนั้น ท่านไม่ต้องแปลกใจถ้า "ผู้หญิง" กลายเป็น
    "ผู้นำประเทศ" ทั้งๆ ที่มีผู้ชายที่มีความสามารถสูงกว่า มากมาย แต่ว่า
    คนก็ไม่เลือกเขา หรือทำไมผู้หญิงจึงมีตำแหน่งสำคัญมากขึ้น มีอำนาจ
    มากขึ้นในโลกยุคสมัยนี้ นั่นแหละ ยุคนี้ มนุษย์ทั้งหลาย เอื้อมได้เท่านั้น
    ไม่อาจเอื้อมพระโพธิสัตว์ที่มีบุญบารมีมากกว่านั้นได้และท่านใดที่ได้ทำ
    บารมี "มากเกินเอื้อมแล้ว" ปวงสัตว์ก็ไม่อาจเอื้อมเอาท่านกลับมาได้อีก
    ท่านก็อาจจะต้องจรออกไปนอกประเทศ ทั้งๆ ที่คนมากมายร้องหาให้มา
    ท่านก็ไม่อาจกลับมาได้ เพราะอะไร? เพราะท่านสร้างบารมีมากเกินกว่า
    ที่พวกเขาจะเอื้อมถึงได้ ไปแล้ว! ดังนั้น ท่านเหล่านี้ จึงต้องกลายมาเป็น
    "ผู้มีอำนาจที่อยู่เบื้องหลัง" ผู้นำหญิงทั้งหลายแทน ทว่าผู้ชายหลายคน
    ที่มีบารมีเป็น "อวโลกิเตศวร" ก็มีมาก ท่านจะสังเกตุเห็นได้ว่าผู้ชายเจ้า
    สำอางค์ หน้าขาวใส ตี๋ๆ จีนๆ แต่งตัวดีๆ ทั้งหลาย (ซึ่งเป็นลักษณะของ
    อวโลกิเตศวร) มักจะได้มีอำนาจ มีบทบาทในทางโลกมากขึ้นเรื่อยๆ แต่
    ผู้ชายที่มีความสามารถสูงๆ เก่งมากๆ บารมีล้นเกินไป จะไม่ได้เข้ามาถึง
    จุดนี้ได้เลย ทว่า แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีอำนาจหรือตำแหน่งใดๆ เหตุไฉน?
    พวกเขาจึงมี "อิทธิพล" ต่อสังคมโลกนี้ อย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ ได้เล่า?


    ขอพลังแห่งสิ่งศักดิสิทธิ์ทั้งหลาย จงปลุกเหล่าร่างอวตารให้ตื่นขึ้น สวัสดี
     
  9. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    22 ส.ค. 2555


    "เสียงจากร่างอวตาร"
    รับสื่อสารโดย


    瑠璃王
     
  10. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    ถ้าพระนารายณ์ลงมาเกิดในยุคนี้
    ท่านจะไม่นับเป็น "ปาง" เพราะ
    พระพุทธเจ้า ท่านนั่งตำแหน่งใน
    "ปางที่ 9" อยู่แล้ว ดังนั้น ท่านก็
    จะได้แต่ "อวตาร" เท่านั้นคือ จะ
    อวตารเพื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปใน
    แบบอื่น ก็ได้ เช่น เป็นโพธิสัตว์ฯ
    ไปก็ได้ อันนี้ เราเรียกว่า "อวตาร"


    ดังนั้น พระนารายณ์ในยุคนี้ จะไม่
    มีปางอื่น (นอกจากปางพระพุทธเจ้า)
    จะมีได้ก็แต่ "ร่างอวตาร" เท่านั้น ซึ่ง
    "จะมีรูปลักษณ์ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว"
     
  11. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    [​IMG]


    ปาง "กัลกี" ยังไม่ถึงเวลามานะครับ
     
  12. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=93lCKDCg7io]เพลงเย้ยยุทธจักร - YouTube[/ame]


    เนื้อหาแปลแล้ว ดีมากนะครับ
     
  13. อู่หยาจื่อ

    อู่หยาจื่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    4,333
    ค่าพลัง:
    +3,829
    ความพยายาม ที่ว่างสูญ
    ชัยชนะที่ ไร้ค่า
    เกียรติยศ ที่ยกขึ้นเอง
    นี่แหละ สิ่งที่ควรเยาะเย้ย


    จิบชาไร้รส กรุ่นกลิ่นสุขาวดี
    ร่ำรำพันกลอน เคล้าเพลงพิณ
    บรรเลงประสาน ดุจละครชีวิต
    เยาะเย้ย "โลกที่จอมปลอม"
     
  14. มินาโก๊จัง

    มินาโก๊จัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,004
    ค่าพลัง:
    +138
    รูปแบบของพระโพธิสัตว์มีหลากหลายรูปแบบน่ะ

    เช่นรูปแบบของ "อวโลกิเตศวร" คือรูปแบบที่มีบารมีน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับรูปแบบอื่นๆ แต่จะเน้นหนักที่ "ความเมตตา" เพราะฉะนั้น จึงไปเกิดเป็นผู้หญิงกันมาก เพื่อที่จะเน้นในด้านการบำเพ็ญในเรื่องของความเมตตา

    แล้วความเมตตามันก็มีหลากหลายรูปแบบ ความเมตตาที่บริสุทธิ์ก็มี ความเมตตาที่มาพร้อมกับ "กามราคะ แบบ คู่รัก" ก็มี ฯลฯ
     
  15. มินาโก๊จัง

    มินาโก๊จัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,004
    ค่าพลัง:
    +138
    ตรงแดงๆน่ะ ความเมตตาที่มาพร้อมกับความรักที่เจือไปด้วยกิเลสกาม ก็อย่างที่บอก ทำไมผู้ชายเดี๋ยวนี้ ถึงได้เป็นเกย์กันเยอะ เจ้าสำอางค์กันเยอะ ปากแดงๆ ขาวตี๋ และมีความกตัญญูต่อพ่อแม่ อย่างนี้เป็นต้น

    อีกประการ เพราะเหตุนี้ เราจึงเป็น เกย์ หรือ กะเทย ในยุคนี้กันเยอะ เกย์และหรือกะเทยบางคน จิตวิญญาณข้างในอาจจะได้ถึงขึ้น "อวโลกิเตศวร" เพราะมีความเข้าใจในความรัก ความเมตตา และความกตัญญูต่อบุพการี เป็นต้น

    มันไม่ใช่อะไรหรอก มันเป็นแค่กุศโลบายในการฉุดช่วยสรรพสัตว์ หรือที่เรียกว่า "กิเลสโพธิน่ะ"

    ซึ่งความเมตตาที่เรียกกันว่า "ความรักที่บริสุทธิ์ มันเป็นความรักในอีกระดับนึง อีกมิิตินึง ที่สูงขึ้นไปน่ะ"

    ซึ่งถ้าพูดถึง "พระอวโลกิเตศวร" ก็มักจะไปพูดถึง "เจ้าแม่กวนอิม" นี่มันคนละเรื่องกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2012
  16. มินาโก๊จัง

    มินาโก๊จัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,004
    ค่าพลัง:
    +138
    แต่ที่กำลังพูดถึงนี่ก็คือ "พระโพธิสัตว์ในรูปแบบของอวโลกิเตศวร" ซึ่ง คุณๆ ก็สามารถอัพเกรดได้ถึงขั้นนี้
     
  17. มินาโก๊จัง

    มินาโก๊จัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,004
    ค่าพลัง:
    +138
    ในอีกมิตินึง ของจิตวิญญาณของอวโลกิเตศวร ที่อยู่ใน "สังขารของผู้ชาย"

    ทำไมถึง "เจ้าสำอางค์ ขาวๆตี๋ๆ ชอบแต่งเนื้อแต่งตัว"

    เพราะมันเป็นกุศโลบายนึงในการที่พระโพธิสัตว์ใช้ "กาม" ในการฉุดช่วย หรือจูนติดกับสรรพสัตว์

    หรือที่เรียกกันว่า "กิเลสโพธิ" นั่นเอง

    หรือก็คือการ "ลงมาระคนคลุกเคล้ากับสรรพสัตว์ ของพระโพธิสัตว์ เพื่อให้มีบุญกรรม ติดกับสรรพสัตว์ จะได้เป็นการฉุดช่วยกันนั่นเอง"
     
  18. มินาโก๊จัง

    มินาโก๊จัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,004
    ค่าพลัง:
    +138
    เหมือนตัวสำเนา ซึ่งจะมีตัวจริง ซึ่งมีความเป๊ะ ความเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่

    แต่พอถ่ายสำเนาไปเรื่อยๆ มันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆอ่าา
     

แชร์หน้านี้

Loading...