วิชชา หยินหยาง “หงส์คู่มังกร”

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เฮ้งตงเอี๊ยง, 2 ตุลาคม 2009.

  1. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    การฝึกวิชชาทางจิตคู่กันที่เรียกว่า “วิชชาหยิน หยาง” คือ การฝึกวิชชาทางจิตที่มีความแตกต่างกันแบบตรงข้าม เป็นคู่ๆ มีหลายแบบ แล้วแต่ละคู่ว่าจะหยิบเอาวิชชาคู่ไหนที่ตรงกันข้ามกันมาฝึก เช่น การฝึกร้อนคู่เย็น, ขาวคู่ดำ, ฟ้าคู่ดิน, จันทร์คู่อาทิตย์ ฯลฯ เมื่อบุคคลตั้งใจจะฝึกวิชชาที่ได้รับการถ่ายทอดเป็นคู่ๆ ร่วมกันแล้ว ก็เริ่มเข้าสู่กระบวนการฝึก จนกว่าจะสำเร็จวิชชาคู่ หยินหยาง ต่อไป บทความนี้จะขอกล่าวถึงวิชชาหงส์คู่มังกร

    วิชชาหงส์คู่มังกรคืออะไร?
    คือวิชชาสำหรับผู้มีลมปราณแบบหงส์และมังกร การจะมีลมปราณแบบนั้นได้ ต้องพัฒนาจิตวิญญาณให้สูงขึ้นถึงโพธิสัตว์ทั้งคู่ก่อน จากนั้นเมื่อฝึกบำเพ็ญบารมีต่อไป จะได้สัตว์ทิพย์เป็นพาหนะทรง เช่น มังกรทอง, ม้าทิพย์, ช้างหกงา, สิงห์ทิพย์ ฯลฯ ซึ่งพวกเขาไม่มีกายสังขาร มีแต่กายทิพย์ ที่บรรจุลมปราณทิพย์ไว้ภายใน เมื่อเข้ามาสู่กายสังขารของมนุษย์ ก็จะเพิ่มลมปราณบางชนิดเข้าไปตามนั้น เช่น ถ้าผู้บำเพ็ญบารมีได้ม้าขาวเป็นพาหนะทรง ก็มีลมปราณแบบม้าขาว ขับดันให้มีพฤติกรรมและคุณสมบัติพิเศษแบบม้าขาว ถ้ามีสัตว์ทิพย์เป็นมังกร ก็มีลมปราณมังกร ดังนั้น ในการฝึกวิชาหงส์คู่มังกร จึงต้องบำเพ็ญบารมีให้ได้มังกรกับหงส์ก่อนคนละหนึ่งชนิด หรือฝึกในช่วงที่ก่อนจะได้ แล้วอาศัยความทุ่มเทจากการฝึกนั้น เป็นเครื่องนำพาหงส์และมังกรมาให้ (แม้ไม่มีมาก่อน ถ้าฝึกวิชชาด้วยทุ่มเทและศรัทธา สิ่งเหล่านี้ก็เข้ามาได้ไม่ยาก) ทำให้มีลมปราณพิเศษ ที่เรียกว่า “ลมปราณมังกร” และ “ลมปราณหงส์” ซึ่งลมปราณพวกนี้อยู่ในกายทิพย์หงส์และมังกร เหมือนร่างกายมนุษย์ที่ต้องมีเลือดลมหล่อเลี้ยงฉะนั้น กายทิพย์ก็มีลมปราณหล่อเลี้ยงเช่นกัน สำหรับนักวิทยาศาสตร์จะเรียกสิ่งนี้ว่า “ออร่าหรือพลังชีวิตนั่นเอง”

    หงส์ทิพย์และมังกรซึ่งเป็นจิตวิญญาณจะมีวิชชาประจำตัวของเขา แตกต่างกันออกไป ส่งผลต่อคุณสมบัติภายในที่แตกต่างกันออกไป เช่น หงส์ทิพย์มีพลังทำให้คนรักถึงขั้นหลงใหลอยากได้ครอบครองเพียงคนเดียวทีเดียว เนื่องจาก หงส์เป็นของหายาก เกิดยาก เทียบได้กับสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ของโลกอย่างหมีแพนด้าเลยทีเดียว ในโลกทิพย์หงส์มีจำนวนน้อยกว่าสัตว์เหล่าอื่น มนุษย์ที่ได้หงส์หรือมังกรมาครอง หากไม่ฝึกปรือวิชชาให้หงส์หรือมังกรก็จะขาดความสามารถ หรือสู้ตัวอื่นไม่ได้ การฝึกนั้นไม่ยาก เพียงปล่อยร่างกายนั้นให้หงส์หรือมังกรได้ใช้ชั่วคราวเพื่อการฝึกวิชชาของเขา เขาก็จะใช้ร่างนั้นเดินวิชชาไป เหมือนกับเจ้าของร่างถูกผีสิง ทว่า มีสติรู้ตัว และมีปัญญาเท่าทันตลอด

    ทำไมต้องฝึกวิชชา “หยิน-หยาง”หงส์คู่มังกร
    ผู้หญิงที่บำเพ็ญบารมีถึงจุดหนึ่งมักได้บารมีระดับพระโพธิสัตว์ มีกายทิพย์แบบอวโลกิเตศวร คือ เหมือนพระกวนอิม แต่ไม่ใช่องค์เดียวกัน เหมือนเทวดาที่เป็นนาคก็จะมีรูปร่างเหมือนๆ กันแต่ไม่ใช่ตนเดียวกัน พระโพธิสัตว์ที่มีกายแบบนี้ จะมีบารมีได้ขี่สัตว์พาหนะคู่บารมีคือ “มังกรดำ” ซึ่งมังกรดำ เกิดจากฮ่องเต้หรือพระราชาที่มีนิสัยดุร้าย โหดเหี้ยม ไม่ค่อยมีคุณธรรมนัก เมื่อตายแล้วก็ต้องมาเป็นสัตว์พาหนะทรงให้พระโพธิสัตว์เพื่อปรับ ปรุงตัวเองให้ดีขึ้น ทว่า เมื่อมังกรดำไปอยู่ในกายของผู้มีบารมีแบบอวโลกิเตศวรแล้ว มักมีวิสัยเก่าติดมามาก ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้ทันที ทำให้มีอาการแปลกๆ เช่น ดุร้าย, โมโหง่าย, หงุดหงิด, เกรี้ยวกราด, ควบคุมตัวเองไม่ได้ บางท่านในช่วงแรกๆ แทบจะเป็นบ้าเลยทีเดียว เพราะจิตจะยังควบคุมมังกรดำไม่ได้ บางครั้งก็ปะทะกันภายใน ทำให้เจ้าของร่างมีอาการป่วยเกิดขึ้นได้ จำต้องฝึกโปรดให้มังกรดำอยู่ในความเรียบร้อยและสามารถอาศัยร่วมกันในกายสังขารเดียวกันได้ มังกรดำบางตัวไปอาศัยในกายสังขารของสามีแทนก็มี เพื่อใช้ร่างนั้นออกไปทำการต่างๆ ที่ตนต้องการ ทำให้สามีภรรยาที่เคยดีต่อกันทะเลาะกันได้ มังกรดำยิ่งโตยิ่งมีฤทธิ์มาก เมื่อถึงจุดหนึ่ง หากมังกรดำอาระวาด จำต้องฆ่าทิ้ง ซึ่งผู้ที่จะลงมือได้ต้องระดับพระยูไล บารมีพระอวโลกิเตศวรยังไม่สามารถทำได้ แต่ยังมีวิธีดูแลมังกรดำที่ดีกว่านั้น คือ การใช้ “หงส์คุมมังกร” อยู่เหนือมังกร

    การควบคุมมังกรให้อยู่ในกรอบศีลธรรม

    วิธีที่หนึ่ง กินเจปรับคุมพฤติกรรม
    วิธีที่หนึ่งเป็นวิธีเก่าแก่ที่ใช้กันมานานตามพระกวนอิมผู้ครองมังกรดำ และถ่ายทอดมาทางอนุตรธรรม คือการควบคุมดูแลพฤติกรรมของมังกรดำ โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน ต้องกินอาหารไม่มาก ทีละน้อย เท่าที่พอหิว ไม่ควรเลี้ยงมังกรดำให้เคยชินกับการกินอาหารมากๆ จะยิ่งทำให้มังกรดำโตเร็วมากเกินไป และยิ่งกินอาหารจุขึ้น ต้องหาอาหารมาให้มากขึ้น หากไม่มีอาหารกิน มังกรดำก็จะเครียดมาก ทำให้เจ้าของร่างรู้สึกหงุดหงิด หรือเครียดได้โดยไม่มีสาเหตุ หาสาเหตุไม่ได้ ดังนั้น ผู้บำเพ็ญแบบเจ้าแม่กวนอิม จึงมักกินเจ แม้จะมีเหตุผลสารพัดประการที่อธิบายว่าการกินเจดี เพื่อโน้มน้าวใจให้กินเจ แต่เหตุผลที่สำคัญมากข้อหนึ่งคือ การฝึกร่างกายให้ไม่ฆ่าสัตว์ เพราะหากมังกรดำเข้ามาอยู่ร่วมในร่างกายหลังจากที่ผู้บำเพ็ญได้ถึงพระโพธิสัตว์แล้ว เขาก็จะกินตามกายสังขารนั้นๆ ถ้ากายสังขารกินเนื้อ เขาก็จะกินเนื้อตามไปด้วย และส่งผลให้ตอนกลางคืนที่เราหลับ มังกรดำจะออกไปหาวัวควายของชาวบ้านกิน และส่งผลให้วัวควายเหล่านั้นเป็นโรคระบาดตายได้ง่ายและมากขึ้น นอกจากนี้ มังกรดำของบางท่านยังน่ากลัวมาก เพราะเป็นมังกรกินคน หรือสูบพลังชีวิตจากมนุษย์ด้วยกัน เช่น กินมารที่แฝงเข้ามาอยู่ในกายคน

    วิธีที่สอง โปรดให้มังกรดำเป็นมังกรทอง
    วิธีที่สองเป็นวิธีของหลี่ปู้เหว่ย ซึ่งเป็นบิดาแท้ของจิ๋นซีฮ่องเต้ ซึ่งโปรดมังกรดำในกายของจิ๋นซีฮ่องเต้ให้เป็นมังกรทอง ซึ่งปกติ หากมังกรดำบำเพ็ญธรรมไปพร้อมกายสังขารด้วย พลังดำในกายจะลดลง และเมื่อได้รับพลังด้านดีแล้ว จะกลายเป็นสีทอง คือ แปลงสภาพเป็นมังกรทอง ทำให้เป็นคนที่แม้ดุแต่ก็มีคุณธรรม เหมือนจิ๋นซีฮ่องเต้ในช่วงแรก แต่ช่วงหลังมังกรทองของจิ๋นซีมีพลังดำครอบงำเข้าไป ทำให้มังกรทองเสื่อมเป็นมังกรดำ และกลายเป็นฮ่องเต้ที่โหดร้ายในที่สุด ตัวอย่างผู้ได้ครองมังกรทองอีกท่านหนึ่ง คือ เจงกีสข่าน เป็นผู้นำที่มีความเป็นผู้นำ มีคุณธรรม แต่ใช้ “สงครามเอาชนะคน” ทำให้คนตายมากมาย เพราะจิตดวงหนึ่งของเขาเป็น “อสูรมังกรทอง” นั่นเอง นี่คือ วิธีแรกที่จะทำให้มังกรดำไม่ทำร้ายผู้คนได้ และสามารถรับใช้งานพระโพธิสัตว์ร่วมกันต่อไปได้

    วิธีที่สาม ใช้หงส์คุมมังกร
    วิธีที่สามเป็นวิธีของ “บูเช็คเทียน” คือ การใช้ “หงส์เหนือมังกร” เพื่อคุมมังกรให้อยู่ในความสงบสุข ถ้าผู้ชายคนไหน มีจิตใจดุร้าย กายทิพย์ข้างในเป็นมังกรดำ จะต้องเลือกภรรยาที่มีกายทิพย์ข้างในเป็นหงส์เพื่อควบคุมพฤติกรรมตนเอง เรียกว่า “หงส์คู่มังกร” คือ ฝ่ายชายเป็นมังกร หญิงเป็นหงส์ แต่ถ้าฝ่ายหญิงได้บารมีถึงพระโพธิสัตว์ และทรง “มังกร” เป็นพาหนะแล้ว ฝ่ายชายต้องได้บารมีพระโพธิสัตว์แต่ทรง “หงส์” เป็นสัตว์ทิพย์คู่บารมีแทน กรณีนี้ จะกลายเป็นชายเป็นหงส์ หญิงเป็นมังกร คือ ชายอ่อนแอแต่จิตใจงดงามเรียกศรัทธาให้คนรักและสยบได้ แต่หญิงมีความดุเข้มและมีความสามารถทางการทหาร เช่นนี้ ก็จะสามารถไปด้วยกันได้ ฝ่ายหญิงทำงานเบื้องหลัง ซึ่งอาจใช้วิธีแบบนอกกฎหมาย เพราะเป็นวิถีของอสูรแต่ฝ่ายชายเรียบร้อยไร้ตำหนิงดงามน่าศรัทธา อย่างนี้ก็ครองคู่ยิ่งใหญ่ได้เหมือนกัน แบบนี้หาได้ยาก หงส์คู่มังกรนั้นเป็นของที่เกิดได้ยาก

    วิธีที่สี่ ปราบแล้วโปรดให้เกิดใหม่
    วิธีที่สี่ คือ การปราบให้ยอมสยบแล้วบำเพ็ญธรรมต่อในกายสังขารมนุษย์จนกายทิพย์มังกรสลายกลายเป็นกายทิพย์ใหม่ที่ดีกว่า (ตายแล้วเกิดใหม่แบบโอปปาติกะ) เช่น จากมังกรดำพอสำนึกผิดแล้ว หมดกรรมแล้ว กายทิพย์สลาย เกิดใหม่เป็นกายนารายก็ได้ นี่คือ วิธีการปราบแล้วโปรด ทำให้มังกรสำนึกแต่เขาจะต้องยอมตายสลายกายทิพย์มังกรไป เพื่อเกิดใหม่เป็นเวไนยสัตว์ที่ดีกว่าเก่า ซึ่งเป็นวิธีสุดท้ายที่จะใช้เพราะทำให้สูญเสียมังกรซึ่งเป็นสัตว์พาหนะทรงไป ต้องเปลี่ยนพาหนะทรงเป็นมังกรตัวใหม่ เริ่มเลี้ยงใหม่

    การบำเพ็ญหงส์คู่มังกร
    ฝ่ายหญิงเมื่อปฏิบัติตนเป็นหญิงที่ดีแล้ว เช่น กตัญญูต่อพ่อแม่, รักสามีและลูกอย่างที่ยอใสละตนเองแทนได้ ก็สามารถได้กายทิพย์ “อวโลกิเตศวร” ได้ เมื่อต้องเข้ายุ่งเกี่ยวกับทางการเมือง, การทหาร, วงการนักเลงและผู้มีอิทธิพลแล้ว ก็จะได้อสูรมังกรดำมาเอง เพราะกรรมและบารมีที่ทำนั้น อันนี้ได้กันมาก ไม่ยาก แต่ฝ่ายชายที่จะบำเพ็ญให้ได้ถึงพระโพธิสัตว์และขี่หงส์ได้นั้นยากมาก ควรต้องบำเพ็ญกายทิพย์แบบกษิติครรภ์หรือแบบเมตตรัยมาก่อน คือ ต้องเคยลุ่มหลงรักผู้หญิงจนหัวปักหัวปำ ละทิ้งได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ยอมสละได้ทุกสิ่ง แม้กระทั่งชีวิตตน หรือยอมสละหญิงที่ตนรักไปให้ชายอื่นเชยชม หรือใจกว้างยอมรับ ยอมให้อภัยภรรยาที่มีชู้ได้ ก็จะบำเพ็ญขึ้นกายเมตตรัยได้ เมื่อได้กายนี้แล้ว บำเพ็ญต่อ คือ มั่นคงต่อคนรักหนึ่งเดียวเท่านั้น แม้จะมีสนมมากมายเท่าใดก็ตาม ก็จะได้ “หงส์ทอง” มาเป็นสัตว์พาหนะทรง ในยามนี้ฝ่ายชายจะอ่อนโยนมาก ก็จะสามารถคุมมังกรดำที่อยู่ในกายของฝ่ายหญิงได้ ตัวอย่าง หลี่ปู้เหว่ยพ่อของจิ๋นซีฮ่องเต้ วางแผนยอมให้ภรรยาตนเองแก่ฮ่องเต้ โดยฮ่องเต้ไม่รู้ว่านางมีท้องลูกของหลี่ปู้เหว่ย หลี่ปู้เหว่ย จึงสำเร็จกายเมตตรัย ขี่หงส์ทอง ส่วนภรรยาได้กายอวโลกิเตศวร ขี่มังกรดำ ทั้งคู่ร่วมกันวางแผนให้จิ๋นซีฮ่องเต้ลูกของตนเป็นใหญ่ ซึ่งก็ทำได้สำเร็จ หงส์คู่มังกรนั้น นอกจากจะเป็นเป็นคู่รักที่มีรักแท้ต่อกันแล้ว ยังประสบความสำเร็จทางการเมืองอย่างสูงอีกด้วย ทว่า ชายหญิงทั้งคู่นี้ต้องยอมเสียสละและใจกว้างมาก คือ ฝ่ายชายยอมให้ภรรยาของตนแก่ชายอื่น ฝ่ายหญิงยอมแต่งงานเพื่ออำนาจทางการเมือง แต่จิตใจกลับภักดีแต่สามีเก่าของตน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก ในบางกรณี หงส์คู่มังกร ก็สามารถเกิดได้ในพระราชาที่ได้บารมีทรงมังกรดำ และขุนนางที่ภักดียอมจำนนและมีบารมีทรงหงส์ทอง อย่างนี้ นับว่าเป็นที่สุดของการได้เป็นพระราชา คือ การได้ครอบครองทั้งหงส์และมังกรคู่กัน

    ในประวัติศาสตร์จีน ยุคสามก๊ก เหล่าปราชญ์เต๋า, นักพรตเต๋า ก็ได้กล่าวปริศนาธรรมทิ้งไว้ให้เหล่านักการเมืองและนักปฏิวัติที่จะสร้างก๊กใหม่แทนที่ก๊กเก่าที่จะล่มสลายนั้นว่า “มังกรฮกหลงคู่หงส์ทอง” คือ ใครคิดจะเป็นใหญ่ในใต้หล้ามีบารมีล้นฟ้ารวบรวมแผ่นดินได้จะต้องได้ครอบครอง “หงส์คู่มังกร” โดยพวกเขาล้วนทราบกันดีว่าใครได้บารมีทรงหงส์และมังกร ในที่นี้ มังกรฮกหลง คือ มังกรที่หลับใหลในตำนาน และจะตื่นขึ้นผงาดและเป็นใหญ่ในใต้หล้า ก็คือ ขงเบ้ง ที่เก็บตัวบำเพ็ญมีเต่ามังกรในกาย และเมื่อเก็บตัวสั่งสมวิชชาความรู้ถึงจุดหนึ่งแล้ว เต่ามังกรนั้นจะบรรลุเป็น “มังกรฟ้า” มีปีกโบยบินได้ ที่เรียกว่ามังกรฮกหลงนั่นเอง ไม่ใช่มังกรเผ่าปกติ และเพราะผ่าเหล่าจึงต้องเก็บตัวเพื่อไม่ให้ถูกจัดการก่อน ทว่า ขงเบ้งบำเพ็ญมังกรฮกหลงไม่สำเร็จ เพราะเพื่อนที่ไปทำงานให้เล่าปี่นั้น ได้พาเล่าปี่มาหาเขาก่อนเวลา ทำให้แผนการพลาดไปในที่สุด อนึ่ง ถ้าได้ครองมังกรฟ้าเพียงตัวเดียวก็เหนือกว่ามังกรทองหนึ่งตัว ได้ครองมังกรทองหนึ่งตัวเทียบเท่าหงส์คู่มังกรดำ ดังนั้น การได้ครองหงส์จึงไม่เท่าได้ครองมังกร โดยเฉพาะมังกรทอง และมังกรฟ้า (ฮกหลง) การได้ครองมังกรดำนั้นไม่ยาก คนมากมายที่มีจิตใจดีงามมักได้กายอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์กันมาก และครอบครองมังกรดำกันได้ไม่ยาก แต่การที่ได้มังกรดำแล้ว จะใช้อะไรคุมมังกรดำ ถ้าไม่มีหงส์ทอง อันนี้ยากมาระดับหนึ่ง และยิ่งการได้ครองมังกรทองแล้วยิ่งยากยิ่งขึ้น ส่วนการได้ครองมังกรฟ้านั้นยิ่งยากไปใหญ่

    ในบทความนี้ จึงขอเสนอเพียงการบำเพ็ญธรรมคู่ประสานหยินหยาง ประสานชายหญิงที่ปรารถนาโปรดสัตว์คู่กัน หญิงได้อวโลกิเตศวรครองมังกรดำ ชายได้บรรลุเซียนแต่บารมีสูงถึงขั้นมีกายโพธิสัตว์ (ไม่ใช่บรรลุเซียนแล้วมีกายแค่เซียน) ก็จะทรงหงส์ควบคุมมังกรดำได้นั้น ต้องบำเพ็ญธรรมคู่กัน หญิงต้องยอมเสียสละความสุข ชีวิตรักส่วนตัวเพื่อผู้อื่นได้ ชายต้องแสวงหาสัจธรรมด้วยตนเอง และบรรลุเองแบบเซียน แล้วจับคู่กันร่วมมือกัน ประสานใจกันเป็นหนึ่ง กิจที่จะโปรดสัตว์ก็จะสำเร็จ ไม่มีใครเทียบได้ นอกจากจะมีผู้ที่ได้ครองมังกรทอง หรือมังกรฟ้า ที่เหนือขึ้นไป ซึ่งก็ไม่แน่เหมือนกันว่าการประสานหยินหยางนั้น อาจได้อานุภาพสูงยิ่งกว่ามังกรทองเดี่ยวๆ หรือมังกรฟ้าตัวเดียวก็อาจเป็นได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...