วิชาลมปราณ กับ พลังกุณฑาลิณี

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย jaipet674, 28 พฤศจิกายน 2016.

  1. jaipet674

    jaipet674 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2016
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +49
    การฝึกพลังจักรวาล

    เพื่อนๆที่สนใจฝึกพลังจักรวาล อยากให้เปิดคอร์ทสอน แต่เนื่องจากไม่ค่อยมีเวลาตรงๆกัน เลยขอใช้วิธีสอนผ่านกระทู้นี้เลยแล้วกัน ฝึกไปทีละขั้น จากนั้นติดตรงไหนค่อยถามกันเข้ามานะครับ

    การฝึกพลังจักรวาล หรือ กุุลดาลินี หรือ พลังจักระ แล้วแต่จะเรียก แต่โดยรวมๆแล้วคือพลังที่มองไม่เห็น แต่สามารถรู้ถึงพลังนั้นได้ด้วยการสัมผัสพลังนั้นโดยตรง จริงๆแล้วมีวิธีในการฝึกและสะสมพลังนี้มากมากหลายสาย แล้วแต่ใครถนัดมาทางไหน ทั้งหมดล้วนต้องใช้จินตนาการและสมาธิจิตร่วมกับการหายใจทั้งสิ้น จนอาจเรียกได้ว่าต้องเริ่มหลอกตัวเองให้ได้ก่อน คือ การหายใจ
    เราจะมาเริ่มกันด้วยการหายใจตามจินตนาการก่อนแล้วกัน เพราะสำคัญที่สุด

    เริ่มแรกนั่งท่าทำสมาธิ คือ นั่งขัดสมาธิ ขาขวาทับขาซ้าย มือทั้งสองวางหงายที่หน้าขา

    นั่งตัวตรง หายใจสบายๆ ยาวๆ ผ่อนคลาย

    จากนั้นหลับตาลง หายใจเข้า ให้จินตนาการว่า ลมหายใจเข้าจากปลายจมูกวิ่งผ่านไปสู่ท้องน้อย
    (นึกให้เห็นภาพในมโนจิตว่าลมเป็นแสงสีขาว วิ่งไปตามการหายใจ)

    หายใจออกจากท้องน้อย ผ่านไปเรื่อยๆจนลมออกจากจมูก
    ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆจนเริ่มชำนาญ เป็นอันว่าเราเริ่มหายใจและจินตนาการเป็นแล้ว

    (ฝึกวันละ ๑๕-๓๐ นาที ๗ วันเป็นอย่างน้อย แต่ถ้าเคยฝึกสมาธิไม่ว่าสายไหนๆมา แค่ ๑๕นาทีครั้งเดียวก็เกินพอ)



    เมื่อเราเริ่มฝึกจินตนาการผสานการหายใจได้คล่องดีแล้ว เราจะเริ่มขั้นต่อไปคือ
    ต้องกระตุ้นจักระก่อน โดยการเปิดจักระ วิธีเปิดจักระมีมากมาย เช่น
    การใช้ซ้อมเสียงเคาะให้เกิดคลื่นความถี่เสียงและนำไปวางห่างจากจักระที่ต้องการ 2-3 นิ้ว
    หรือเปิดโดยผู้ที่มีพลังจักรวาลมากๆแล้วก็ได้ แต่ผมจะสอนให้ท่านเปิดจักระด้วยตัวเอง
    หลังจากที่ฝึกการจินตนาการผสานการหายใจแล้ว ท่านสามารถจะเปิดจักระได้ด้วยตัวเองดังนี้

    วิธีการเปิดจักระ

    1 ให้ใช้มือวางตามตำแหน่งของจักระที่ต้องการเปิด ห่างจากผิวกาย 3 นิ้ว
    2 หานใจช้าๆ ลึกๆ พร้อมทั้งหมุนมือตามเข็มนาฬิกาช้าๆ


    เมื่อเราเริ่มฝึกจินตนาการผสานการหายใจได้คล่องดีแล้ว เราจะเริ่มขั้นต่อไปคือ
    ต้องกระตุ้นจักระก่อน โดยการเปิดจักระ วิธีเปิดจักระมีมากมาย เช่น
    การใช้ซ้อมเสียงเคาะให้เกิดคลื่นความถี่เสียงและนำไปวางห่างจากจักระที่ต้องการ 2-3 นิ้ว
    หรือเปิดโดยผู้ที่มีพลังจักรวาลมากๆแล้วก็ได้ แต่ผมจะสอนให้ท่านเปิดจักระด้วยตัวเอง
    หลังจากที่ฝึกการจินตนาการผสานการหายใจแล้ว ท่านสามารถจะเปิดจักระได้ด้วยตัวเองดังนี้

    วิธีการเปิดจักระ

    1 ให้ใช้มือวางตามตำแหน่งของจักระที่ต้องการเปิด ห่างจากผิวกาย 3 นิ้ว

    2 หานใจช้าๆ ลึกๆ พร้อมทั้งหมุนมือตามเข็มนาฬิกาช้าๆ

    3 จิตกำหนดว่าจักระหมุนตามมือที่หมุน

    4 ดึงดูดพลังเข้าสู่จักระนั้นๆ เมื่อสูดลมหายใจเข้า

    5 หายใจออกยาวๆ ช้าๆ ให้จิตกำหนดพลังนั้นแพร่กระจายไปทั่วทุกเซลล์ของร่างกาย

    6 ทำเช่นนี้ทุกๆจักระ จักระละ 5-10 นาที จนครบทุกจักระ ทุกวัน

    7 เมื่อชำนาญแล้ว ให้หมุนจักระโดยกำหนดจิตสั่งให้หมุน โดยไม่ต้องใช้มือนำหมุน

    8 แล้วกำหนดให้พลังสีตามจักระ เช่น กำหนดแสงสีแดงเป็นพลังเข้าสู่จักระที่1

    9 จากนั้นกำหนดให้จักระหมุนด้วยจิตพลังเป็นสีแดง

    10 จักระอื่นๆ ก็เป็นสีตามสีของจักระนั้นๆ


    การกระตุ้นจักระนั้นเมื่อทำเริ่มชำนาญ ก็ให้หมุนให้เร็วขึ้น จนการหมุนไม่ขึ้นอยู่กับลมหายใจ
    เมื่อชำนาญแล้วจะต่อขั้นต่อไป บทเรียนนี้ใช้เวลาประมาณ 7-10 วัน
    อย่าลืมส่งการบ้านด้วยนะครับ

    วิชญาณัม

    อ้างอิง http://www.vichanum.net/board/forum.php?mod=viewthread&tid=1434
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2016
  2. jaipet674

    jaipet674 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2016
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +49
    จักระทั้ง 7


    ในร่างกายมนุษย์มีสิ่งมหัศจรรย์เหนือธรรมชาติซ่อนเร้นอยู่ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างพลังธรรมชาติ จิตวิญญาณและพลังเหนือธรรมชาติเข้าด้วยกัน และอยู่ภายใต้อำนาจของสมาธิ เราเรียกสิ่งมหัศจรรย์นี้ว่า “จักระ (Chakra)”
    จักระ (Chakra) เป็นภาษาสันสกฤต แปลว่า “กงล้อ” ซึ่งเป็นลักษณะของลำแสงที่แผ่ออกมาเป็นวงคล้ายกลีบดอกบัวมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 นิ้ว ลำแสงที่มีลักษณะคล้ายกลีบดอกบัวนี้จะหมุนอยู่ตลอดเวลาก่อให้เกิดสีสรรต่าง ๆ เหมือนประกายไฟ มีสีที่ต่างกันออกไป จักระในร่างกายมี 7 จุด ผู้ที่ผ่านการกระตุ้นจักระและฝึกสมาธิอย่างสม่ำเสมอจะทำให้จักระหมุนวนรับพลังจักรวาลที่อยู่รอบตัวเข้าสู่จักระทั้ง 7 และหากสามารถพัฒนาอำนาจจิตให้สูงขึ้นก็จะสามารถมองเห็นรูปร่าง แสง สี และการหมุนได้อย่างชัดเจน

    จักระทั้ง 7 มีดังต่อไปนี้

    จักระที่ 1 มูลธารจักระ (The Base Chakra)
    ตั้งอยู่ระหว่างอวัยวะสืบพันธุ์กับทวารหนัก เป็นพื้นฐานของพลังชีวิต มีหน้าที่ดูดซับพลังคุนดาลินี (Kundalini = งูไฟ หรือ Serpent Fire) จากโลก โดยปกติแล้วจักระนี้จะไม่มีการกระตุ้นอย่างเด็ดขาดเพราะอันตรายต่อระบบการทำงานของร่างกาย สีที่สัมพันธ์คือ สีแดง มี 4 เส้นแสง อัญมณีที่สัมพันธ์กับจักระที่ 1 คือ ทับทิม โกเมน

    จักระที่ 2 สวาธิษฐานจักระ (The Sacral Chakra)
    ตั้งอยู่ที่ปลายกระดูกสันหลังใต้ก้นกบ เป็นศูนย์กลางเกี่ยวกับพลังงานทางเพศและความเชื่อมั่นในตนเอง มีหน้าที่กระจายพลังที่ได้รับจากดวงอาทิตย์ ต่อมที่สัมพันธ์กับจักระนี้คือต่อมสืบพันธุ์ (Gonads Gland) สีที่สัมพันธ์คือ สีส้ม มี 6 เส้นแสง อัญมณีที่สัมพันธ์กับจักระที่ 2 คือ โกเมนสีส้ม คาร์เนเลี่ยนสีส้มแดง

    จักระที่ 3 มณีปุระจักระ (The Solar Plexus Chakra)
    ตั้งอยู่บริเวณสันหลังที่ตรงกับบั้นเอว มีความเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหารทั้งหมด ผลิตโลหิต เป็นศูนย์กลางของอารมณ์ดิบ ต่อมที่สัมพันธ์กับจักระนี้คือต่อมหมวกไต (Adrenal Gland) สีที่สัมพันธ์คือ สีเหลือง มี 10 เส้นแสง อัญมณีที่สัมพันธ์กับจักระที่ 3 คือ บุษราคัม ซิทริน

    จักระที่ 4 อนาหตะจักระ (The Heart Chakra)
    ตั้งอยู่กลางกระดูกสันหลังระดับที่ตรงกับหัวใจ เป็นศูนย์รวมของความรัก ความเมตตากรุณา ความเสียสละ การพัฒนาจิตใจ ต่อมที่สัมพันธ์กับจักระนี้คือ ต่อมไธมัส (Thymus Gland) สีที่สัมพันธ์คือ สีเขียว มี 12 เส้นแสง อัญมณีที่สัมพันธ์กับจักระที่ 4 คือ มรกต เพอริโด

    จักระที่ 5 วิสุทธิจักระ (The Throat Chakra)
    ตั้งอยู่ตรงกระดูกต้นคอ เป็นจักระที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ หอบหืด โรคที่เกี่ยวกับผิวหนัง ต่อมที่สัมพันธ์กับจักระนี้คือ ต่อมไทรอยด์ (Thyroid Gland) สีที่สัมพันธ์คือ สีน้ำเงิน มี 16 เส้นแสง อัญมณีที่สัมพันธ์กับจักระที่ 5 คือ ไพลิน เทอร์ควอยซ์ ลาปิสลาซูลิ อะคัวมารีน

    จักระที่ 6 อาชณะจักระ (The Third Eye Chakra)
    ตั้งอยู่กลางหน้าผาก เป็นจักระที่เปรียบเหมือนดวงตาของปัญญา เป็นจุดกำเนิดของญาณหยั่งรู้ เป็นตาที่ 3 เป็นพาหนะแห่งญาณวิเศษสำหรับการติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน ต่อมที่สัมพันธ์กับจักระนี้คือ ต่อมใต้สมอง (Pituitary Gland) สีที่สัมพันธ์คือ สีคราม มี 96 เส้นแสง อัญมณีที่สัมพันธ์กับจักระที่ 6 คือ อะมีธีสต์สีม่วงคราม โซดาไลต์

    จักระที่ 7 สหัสธารจักระ (The Crown Chakra)
    ตั้งอยู่กลางกระหม่อม เปรียบเป็นมงกุฎดอกบัว เป็นศูนย์ควบคุมทุกจักระในร่างกาย เป็นสถานที่รับพลังแห่งจักรวาลและกระจายไปทั่วร่างกาย ต่อมที่สัมพันธ์กับจักระนี้คือ ต่อมเม็ดสน (Pineal Gland) สีที่สัมพันธ์คือ สีม่วง มี 972 เส้นแสง อัญมณีที่สัมพันธ์กับจักระที่ 7 คือ อะมีธีสต์

    หมายเหตุ เนื่องจากชื่อของแต่ละจักระเป็นภาษาสันสกฤต เมื่อนำมาสะกดเป็นภาษาอังกฤษแล้วอ่านเป็นภาษาไทยจึงมีความแตกต่างไปบ้างแล้วแต่ตำรา หากผู้อ่านไปศึกษาเพิ่มเติมจากหนังสือเล่มอื่นหรือไปเข้ารับการฝึกวิชาพลังจักรวาลหรือพลังกายทิพย์แล้วพบว่าเรียกชื่อจักระผิดเพี้ยนไปบ้าง ก็ขอให้เข้าใจว่าเป็นชื่อเดียวกัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. jaipet674

    jaipet674 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2016
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +49
    เปิดจักระ แบบที่ 2

    อ้างอิง

    http://powerprotectionss.blogspot.com/2010/08/blog-post.html


    เปิดจักระขั้นพื้นฐานด้วยตัวเอง

    ผู้ที่อยากเปิดจักระ ควรเป็นผู้ที่มีพื้นฐานในการทำสมาธิอานาปานสติมาก่อน
    เพราะทำให้เข้าขนิกสมาธิได้ง่าย

    ก่อนเปิดจักระ ควรอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด
    แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สวมใส่สบาย
    สวดมนต์ระลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัย

    กราบ9ครั้งระลึก
    3ครั้งแรก กราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่มีสิ้นสุดไม่มีประมาณระลึกว่าสรณะสูงสุดของข้าพเจ้า
    คือพระรัตนตรัย ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ที่เคารพตลอดกาลนาน
    กราบครั้งที่4 กราบพระปัจเจกพุทธเจ้า
    กราบครั้งที่5 ระลึกถึงพระมหาโพธิสัตว์ทั้งหลายและพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ไม่มีสิ้นสุดไม่มีประมาณ
    กราบครั้งที่6 ระลึกถึงคุณบิดา มารดา ทั้งที่ให้กำเนิด และที่ชุบเลี้ยงให้เติบใหญ่ ทุกๆท่านไม่มีสิ้นสุดไม่มีประมาณ

    กราบครั้งที่7 ระลึกถึงคุณอุปัชชาจารย์ ครูบาอาจารย์ ครูตำหรับตำรา ครูพักลักจำ ทุกๆท่านที่ประสิทธิประสาทวิชาให้ทั้งทางโลกและทางธรรม
    กราบครั้งที่8 ระลึกถึงคุณแห่งหรพมและเทพยดาทั้งหลาย ตั้งแต่อรูปพรหมไปถึงยมทูตทุกๆท่านไม่มีสิ้นสุดไม่มีประมาณ
    กราบครั้งที่9 ระลึกถึงคุณแห่งธรรมชาติทั้งหมด ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ นิพพาน

    ทำใจให้สงบ สบาย โปร่ง โล่ง นั่งตัวตรงดำรงสติ หรือยืนในอิริยาบทที่สบาย หรือนอนหงายในอิริยาบทที่สบาย
    สูดลมหายใจเข้าทางจมูกให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ กระดกลิ้นแตะที่เพดานปากด้านบนไว้ กักลมหายใจไว้ นับ1-5 ค่อยๆผ่อนลมหายใจออกให้ช้าๆและนานที่สุดจนหมดปอด
    ทำจนกว่ารู้สึกว่ามีพลังงานความร้อนปรากฏที่ท้องน้อย

    ค่อยๆระบายออกทางปาก

    เซฟรูปข้างบนไว้ใช้เปิดจักระ
    ลืมตามองรูปแบบสบายๆ
    ให้นึกภาพตัวเองซ้อนในรูปนั้นวาดมโนภาพถึงพระพุทธเจ้า หรือดวงอาทิตย์ก็ได้ ว่าแผ่รัศมีเป็นลำแสงพุ่งทะลุจักรที่7คือยอดกระหม่อมลงมา

    นึกมโนภาพว่าแสงนี้ทะลุลำตัวจากปลายศีรษะทะลุฝีเย็บ
    มองที่รูป มองจักระที่7 หลับตาให้ภาพเรากับรูปซ้อนกัน

    นึกว่าจักระเอ๋ย จงเปิดออกเถิด
    ไล่ตั้งแต่7-6-5-4-3-2 ยกเว้น1ไว้

    หากจักระถูกเปิดจะรู้สึกว่ามีพลังงานวนที่กระหม่อม เหมือนบนหัวมีอะไรมาไต่ๆ
    กระตุ้นจักรแบบนี้ทุกๆวันอย่างน้อยครั้งละ3นาที

    เมื่อพลังงานมาให้นึำว่าขอสิ่งดีๆที่เป็นมงคลจงมา
    ขอสิ่งต่างๆที่ไม่เป็นมงคล โรคภัยไข้เจ็บจงเปลื่ยนแปลงไปเป็นสิ่งดีๆ

    จบชั้นพื้นฐาน

    ฝึกเสร็จให้กราบ9ครั้งอีกครั้ง แผ่เมตตาไม่มีสื้นสุดไม่มีประมาณ ทั้ง31ภพ ไม่มีสิ้นสุดไม่มีประมาณ



    ( หมายเหตุ รูป ที่ใช้ประกอบการฝึกเปิดจักระ ได้

    แนบไฟล์ไว้ ข้างล่าง )
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Picture6.jpg
      Picture6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      260.3 KB
      เปิดดู:
      4,187
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2016
  4. jaipet674

    jaipet674 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2016
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +49
    การฝึกลมปราณ

    การฝึกลมปราณ เป็นการเน้นไปในทางบริหารลมหายใจเข้าออก โดยหายใจลึกๆช้าๆต่อเนื่องจนจิตสงบวิธีนี้เป็นพื้นฐานการสร้างกำลังภายใน เพื่อรักษาร่างกายให้แข็งแรง และรักษาโรคที่เกิดขึ้นกับร่างกายบางชนิดได้ก่อนฝึกลมปราณให้ใจเย็นๆนั่งลงหายใจตามปรกติก่อนสัก 1 หรือ 2 นาที ถ้าเหนื่อยมาจากงาน หรือเพิ่งเดินทางมาถึง ให้นั่งพักสักครู่ก่อน เพื่อให้ใจสงบพร้อมที่จะฝึกต่อไป จากนั้นให้เลือกท่าฝึกที่เหมาะสมกับสังขารของท่านในท่าใดท่าหนึ่งดยปกติคนเราจะหายใจช่วงสั้นและตื้น ไม่ได้ใช้ความสามารถของปอดที่สามารถขยายและหดอย่างเต็มที่ จึงทำให้ปอดไม่ได้หายใจเอาอากาศดีเข้าและขับอากาศเสียออกจากร่างกายอย่างเต็มที่ปอดจึงไม่สามารถฟอกโลหิตให้สดใสสมบูรณ์ดีเท่าที่ควรเป็น ผลคือทำให้ร่างกายเจ็บป่วยได้ง่ายการฝึก“ ลมปราณ”ต่อไปนี้จะช่วยป้องกันและรักษาท่านหายจากโรคภัยไข้เจ็บได้


    การฝึกลมปราณ ก็ต้องอาศัยการฝึกจิตให้สงบก่อน


    การฝึกนี้ไม่ต้องใจร้อนรีบเร่ง ไมฝืนสังขารและฝืนจิตใจ ทำใจสบายๆค่อยๆฝึก และฝึกจนจิตรวมเป็นหนึ่ง จึงจะเป็นพื้นฐานที่ดีของการฝึกลมปราณต่อไป

    1 ทำใจให้สงบแล้วค่อยๆหลับตาลง หุบปากแล้วใช้ปลายลิ้นค้ำดุนแต่เพียงเบาๆที่เพดาน
    2 หายใจตามปรกติวิสัยจนกว่าจะสงบ รวมจิตเป็นหนึ่งก่อน แล้วจึงหายใจเข้าค่อยๆลึกขึ้นด้วยวิธีถอนหายใจลึกๆเข้าๆจนสุดแรงดูดลม ลมหายใจนั้นจากหยาบให้ค่อยๆ ปรับให้ละเอียดมากขึ้น

    จากการหายใจตื้นให้ค่อยๆ ลึก จาการหายใจช่วงสั้นให้ค่อยๆเป็นช่วงยาวขึ้น ค่อยๆเพิ่มขึ้นที่ละขั้นอย่างช้าๆ ตามลำดับแล้วค่อยๆ ผลักดันนำส่งลมหายใจที่ดูดเข้ามานั้นให้ต่ำลงๆ จนกว่าจะเลยสะดือลงไป 3 นิ้ว เป็นตำแหน่งของจุด “ ตั้งช้าง”การนำล่องลมหายใจให้ต่ำนี้ ไม่ควรจงใจใช้แรงบีบเกร็งกล้ามเนื้อให้ดันลมหายใจต่ำลงไป แต่เป็นการทำงานที่เรียกว่าจิตสำนักว่าความรู้สึกของจิตใจไปจับที่กองลมจึงสมมุติว่าเป็นกองลมที่หายใจเข้านั้นเป็นกลุ่มลมสีขาวกำลังถูกนำผ่านรูจมูก ผ่านหลอดลมผ่านปอดแล้วผ่านช่องท้องและลงต่ำจนถึงท้องน้อย ซึ่งระยะเวลาที่ฝึกแล้วจะเกิดกลุ่มความร้อน ซื่งกลุ่มความร้อนนี้ใช้ระยะเวลาไม่เท่ากันทุกคน ต้องแล้วแต่ความสมบูรณ์ของสังขารและความพร้อมของจิตใจที่ได้ฝึกมาถูกต้อง เข้าหลักได้ดีเพียงใจก็จะเกิดผลเร็วเพียงนั้น บางท่านฝึกไปในทางจิตสงบ หลายท่านตั้งแต่เริ่มฝึกใหม่ๆ จนถึงขั้นจิตสงบ อาจจะไม่มีกลุ่มความร้อนนี้เกิดขึ้นก็ได้กลุ่มความร้องนี้ เราเรียกกันว่า“ กลุ่มกระแสกำลังภายใน”เป็นพลังงานที่เกิดจากการฝึก ลมปราณ กลุ่มความร้อนนี้เมื่อเกิดขึ้นใหม่ๆ อาจจะเกิดขึ้นชั่วครู่หนึ่งหรือเกิดความรู้สึกเพียงบางครั้งบางคราวของการฝึก

    แต่เมื่อใดที่เราจับจุดที่จะเกิดความสำเร็จนี้ได้แล้ว เมื่อคราวใดที่เกิด “กลุ่มความร้อน” นี้แล้ว ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งลุกจากที่ ไม่ตื่นเต้นดีใจ ไม่เสียใจที่เพิ่งจะสำเร็จ ทำใจสบายๆ วางตัวเป็นกลาง

    คงฝึกลมปราณธรรมดาต่อไปโดยไม่ต้องเพิ่มแรงบีบรัดกดดันหรือว่า เกร็งบีบประสาท ไม่ช้ากลุ่มความร้อนนั้นก็จะร้อนมากพอสมควรที่เรียกว่า“ไออุ่น” (แต่ไม่ใช่รู้สึกร้อนมากจนกระวนกระวาย)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2016
  5. jaipet674

    jaipet674 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2016
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +49
    วิธีนำส่ง”กลุ่มไออุ่น” ให้พัดพาโคจรไปทั่วร่างกาย

    “กลุ่มไออุ่น” นี้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว อาจจะมีโอกาสโคจรไปตามร่างกายเอง โดยเราไม่ต้องนำพาก็ได้ แต่เขียนไว้เป็นลักษณะแผนที่ การเดินทาง ของกลุ่มไออุ่น เพื่อว่าถ้าเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นที่ใดและจุดใดแล้ว ควรทำอย่างไรต่อไป จะได้ไม่ต้องตกใจ ถ้าประสบกับเหตุการณ์นั้นๆเมื่อเกิด “กลุ่มไออุ่น” ที่จุด“ตั้งช้าง” แล้วยังคงฝึกลมปราณไปปรกติ

    ตั้งสมมุติฐานจินตนาการว่า“เมื่อฝึกลมปราณจนกระแสกำลังภายในทับถมเสริมเพิ่มเติมที่กลุ่มไออุ่นมากขึ้นๆ กลุ่มไออุ่นก็เพิ่มจำนวนหนาแน่นรวมเป็นกลุ่มใหญ่มากขึ้นหนักขึ้น ( ทั้งนี้เป็นพียงความรู้สึกเท่านั้น ไม่ใช่แสร้งออกแรงบีบรัดบังคับกล้ามเนื้อ )หลังจากนั้นจึงรวบรวมความสนใจเพื่อใช้เสริมความรู้สึกมากขึ้น จะมีอาการคล้ายๆกับกำลังถ่ายอุจจาระอยู่ และเมื่อฝึกไปๆอาจจะรู้สึกว่ากำลังจะถ่ายออกมาจริงๆ ขอให้อั้นกลั้นไว้ก่อนก่อนฝึกต่ออีกระยะหนึ่ง “กลุ่มไออุ่น” ก็จะไหลผ่านจุด “ผีเย็บ” (ตำแหน่งนี้อยู่ระหว่างช่องถ่ายเบากับทวารหนัก)มีข้อสังเกตุ คือ มีกลุ่มไออุ่นไหลผ่านต่อเนื่องหรือเหมือนมีกระแสกระแสไฟฟ้าไหลกระโดด ข้ามทวารหนัก อยู่ตลอดเวลาไปสู่จุด “ก้นกบ”

    (ตำแหน่งนี้อยู่ที่ปลายสุดของกระดูกสันหลัง) เมื่อกลุ่มไออุ่น รวมตัวจุดก้นกบแล้วก็จินตนาการต่อว่า นำกลุ่มไออุ่น ส่งต่อขึ้นไปกระดูกสันลัง (การนำส่งช่วงนี้ จะรู้สึกว่า มีอาการหดท้องทวารหนักขึ้นไป)กระแสกลุ่มไออุ่นก็จะผลักดันขึ้นสันลังเอง(โดยไม่ต้องแสร้งชักนำ) ระหว่างที่ไออุ่นยังเคลื่อนไหวโคจรไปสู่ทั่วร่างกายนั้น ก็ยังคงหายใจฝึกลมปราณเสริมทับถมให้กับจุด“ตั้งช้าง” ต่อไป เหมือนกับว่าเรากรองน้ำเติมที่กรวยอยู่ตลอดเวลา เป็นการผลักดันน้ำที่ไหลไปก่อนและน้ำ(กลุ่มไออุ่น)นั้น ก็จะไหลไปตามท่อ คือ ผ่านตามจุดต่างๆของร่างกาย
    “กลุ่มไออุ่น” ก็ไหลขึ้นตามกระดูกสันหลัง ผ่าน “จุดบั้นเอว” ผ่านขึ้นไปที่ “จุดคอพับ” (จุดนี้อยู่ระหว่างกระดูกสันหลังช่วงระหว่างกระดูกต้นคอต่อกับไหล่พอดี สังเกตได้จาก เวลาพับคอจะมีกระดูกนูนขึ้นมาตรงจุดนั้น)ขึ้นผ่าน “จุดท้ายทอย” (จุดที่กระดูกคอต่อกับกะโหลก)ขึ้นไปสู่จุดกระหม่อม ( ตรงกลางของหัวกะโหลกตำแหน่งนี้สังเกตุได้จากตอนที่เด็ดยังอ่อนๆอยู่ กลางกระหม่อมนั้น จะผุดขึ้นลงตามกระแสผลักดันของเลือดที่หัวใจสูบฉีดขึ้นมาหล่อเลี้ยงจุดนั้น)จากนั้น ก็จะเคลื่อนผ่านกระหม่อมมายัง “จุดหน้าผาก” (กึ่งกลางระหว่างคิ้ว) ลงสู่ “จุดลิ้นไก่” (จุดนี้อยู่รอยต่อระหว่างโคนลิ้นกับลิ้นไห่ที่เพดานปาก) และไหลผ่านลงมา “จุดกึ่งกลางของกระดูกหน้าอก” (อยู่กึ่งกลางของกระดูกไหปลาร้าหรือเรียกว่าใต้จุดคอหอย) ลงสู่จุดกลางอก (จุดผ่ากลางระหว่างหัวนมทั้งสองข้าง)ผ่านสะดือและลงสู่ “จุดตั้งช้าง” อีกครั้ง โคจรหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลาที่นั่งฝึกอยู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2016
  6. jaipet674

    jaipet674 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2016
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +49
    ยังมีอีกกระแสหนึ่ง เรียกว่า “กระแสขวาง” หรือเรียกว่า“ กระแสเข็มขัดรัดเอว” ฝึกลมปราณไปพักหนึ่งแล้วอาจจะเกิดกระแสขวางนี้ขึ้นมาเมื่อใดก็ได้ คือ เมื่อเริ่มมี “กลุ่มไออุ่น” นั้น บางครั้งไม่วิ่งขึ้นศีรษะ แต่กลับจะวิ่งเป็นแนวขวางบั้นเอว ควบรอบเป็นลักษณะเข็มขัด ซึ่งบางครั้งก็จะวิ่งอ้อมจากซ้ายไปขวา บางครั้งก็จะวิ่งจากขวาไปซ้ายอย่างมีระเบียบโดยประมาณวิ่งรอบครั้งละ 36 รอบ
    แต่เมื่อฝึกไปอีกระยะหนึ่ง กระแสไออุ่นก็จะกระจายไปทั่วถึงปลายเท้า ปลายมือ

    การเคลื่อนโคจรของไออุ่นนี้ อาจจะเคลื่อนโคจร ผ่านไปที่ละจุด และอาจจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งจึงสามารถผ่านอีกจุดหนึ่งจนถึงขั้นโคจรครบทุกจุดทั่วกาย

    ในระหว่างที่ “กลุ่มไออุ่น” จากลมปราณกำลังโคจรผ่านจุดต่างๆ ของร่างกายอยู่นั้น เกิดมีความจำเป็นต้องออกจากสมาธิในขณะที่ไออุ่นยังโคจรไม่ครบรอบใดรอบหนึ่ง ก็ ค่อยๆคลายออกสมาธิได้

    และเมื่อเสร็จธุระแล้ว ควรหาโอกาสฝึกต่ออีกนะรยะเวลาที่ใกล้เคียงได้ยิ่งดีซึ่งก็เท่ากับเริ่มต้นใหม่ เพื่อเดินลมปราณให้คล่องสะดวก

    ฝึกลมปราณที่ไหนก็ได้

    การฝึกลมปราณนี้ก็คล้ายกับการฝึกสมาธิ ซึ่งฝึกจนคล่องตัวแล้ว ขำนาญในการเจริญก็สามารถฝึกได้ในทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะนั่งรถเดินทางหรือยามที่ว่าง ต่างกันเพียงแต่ฝึกสมาธิทั่วไป ไม่ได้เน้นหนักให้หายใจลึก แต่ฝึกลมปราณ เน้นหนักให้กายใจลึกๆ ด้วยใจที่เป็นสมาธิพอมีจังหวะ 5-10 นาที เราก็สามารถเดินลมปราณ โดยไม่จำเป็นต้องหลับตาเพียงแต่ค่อยๆถอนหายใจให้ลึกตามแบบฝึกลมปราณด้วยสมาธิ อันจดจ่อกับลมหายใจเข้าออก

    เมื่อฝึกจนคล่องตัวแล้ว เวลาอากาศหนาวๆเราก็เดินลมปราณสักครู่หนึ่ง ก็จะเพิ่มความอบอุ่นในร่างกายขึ้น ทำให้ร่างกายแข็งแรงไม่เป็นหวัดได้ง่ายด้วย การฝึกลมปราณอยู่เสมอ ยังเป็นการรักษาโรคปวดเมื่อยตามเอ็นตามข้อ


    ที่มา: หนังสือคำสอนสมเด็จโต สมาธิ ทางสงบ ถอดจิต
    ผู้แต่ง : แสง อรุณกุศล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2016
  7. jaipet674

    jaipet674 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2016
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +49
    วิธีแก้ไขอาการที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างฝึกลมปราณและฝึกสมาธิ

    1. อาการเจ็บท้องน้อย แน่นหน้าอก
    ท่าน ที่ฝึกใหม่ๆนั้น ปฏิบัติแล้วรู้สึกว่าปวดเสียวหน้าอกเกร็งหน้าท้อง แต่พอผ่านพ้นการปฏิบัติ 3 ครั้งแล้วท่านจะรู้สึกว่าปฏิบัติแล้วโล่งอก ร่างกายสดชื่น
    ขณะเดียวกัน ระหว่างหายใจเข้าออกนั้น จิตใจรีบเร่งใช้แรงบีบประสาทเกร็งกล้ามเนื้อเบ่งอกอย่างแรง เมื่อหายใจเข้ารวมทั้งเกร็งกล้ามเนื้อท้องน้อยตึงอย่างกับหน้ากลองแล้ว จะเกิดอาการแน่นหน้าอกปวดชายโครงทั้งสองข้าง ศีรษะมึนชา เหน็ดเหนื่อยง่าย
    วิธี แก้ไข ขอให้ท่านผ่อนคลายการบีบเกร็งกล้ามเนื้อ หายใจตามปรกติสักครู่หนึ่ง ก็จะหายจากอาการปวด และรอจนกว่าหายจากอาการเครียดทางประสาทก่อนจึงปฏิบัติต่อไป

    ต้อง เข้าใจว่า การฝึกลมปราณนี้ มีพื้นฐานจากการฝึกสมาธิให้ใจสงบ และใช้กระแสความนึกคิดเป็นสื่อชักนำอากาศเข้าออกอย่างมีระเบียบ ไม่ได้ใช้แรง(กำลังคน ) ชักดึงลาก โดยมีสูตรว่า ใช้กระแสจิตแห่งความนึกคิดชักนำลมหายใจ โดยให้กระแสจิตแห่งความนึกคิด ผสม ผสานกลมกลืน ร่วมกับลมหายใจกรอกเติมสู่จุด “ ตั้งช้าง ”

    2. เหงื่อออก
    ระหว่าง ที่ฝึกสมาธิเริ่มเข้าสู่ความสงบ หรือ ระหว่างฝึกลมปราณ กระแส “ กลุ่มไออุ่น ” โคจรนั้นธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ในร่างกายได้ปรับจนเริ่มเสมอกันและจะขับเหงื่อออกมา หลายท่านจึงรู้สึกเหงื่อออก เริ่มตั้งแต่กระดูกสันหลังขึ้นไปจนถึงศีรษะ ถ้าฝึกจนครบรอบการโคจรการหมุนเวียนของลมปราณหลายรอบแล้ว จะมีเหงื่อออกท่วมทั่วตัวและในการฝึกจิตให้สงบ ก็อาจจะมีเหงื่อออกเหมือนกัน ร่างกายจะรู้สึกอบอุ่นสบาย มีไออุ่นระเหยออกรอบตัว จนรู้สึกตัวเบาเย็นสบาย นี้ เป็นการปรับธาตุจนสามารถขับโรคออกได้ เมื่อออกจากการฝึก ปฏิบัติจิตแล้ว ต้องเช็ดเหงื่อทั่วตัวให้แห้ง รอจนกว่าอุณหภูมิร่างกายปรับคืนสู่สภาพปรกติ กลมกลืนกับอากาศภายนอกก่อน จึงจะออกไปสัม

    3. เกิดอาการเคลื่อนไหวของร่างกาย
    บาง ท่านฝึกสมาธิถึงขั้นสงบจุดหนึ่ง จะเหมือนกับการฝึกลมปราณ เมื่อสงบถึงจุดอิ่มตัวจุดหนึ่งที่เรียกว่า “ท่ามกลางความสงบจะเกิดอาการเคลื่อนไหวท่ามกลางการเคลื่อนไหวยังมีจิตสงบที่ มีสมาธิ ” เลือดลมจะเดินผ่านจุดต่างๆตามเอ็น ตามข้อ ในร่างกายเกิดอาการเนื้อเต้น เอ็นกระตุก

    “ ท่านที่ฝึกแนวสมาธิเพื่อจิต” จะเกิดอาการโยกซ้าย โยกขวา หรือ โยกหน้า โยกหลัง การหายใจก็จะแรงขึ้นและหยาบ ขอให้ท่านทำใจสบายๆตามอาการไปเรื่อยๆ แล้วหลังจากเกิดอาการประมาณ 15-30 ครั้ง หรือนานกว่านี้ อาการก็จะหายไปเอง แต่ถ้าท่านเบื่อหน่ายกับอาการเขย่าเช่นนี้ ขอให้ท่านพิจารณาจนรู้ถ่องแท้กับอาการนี้ ว่ามีอาการกระทำอย่างไรแล้วจึงเริ่มสะกดตัวให้อยู่ในท่าปรกติได้ด้วยการใช้ สติค่อยๆ ควบคุมลมหายใจให้สงบละเอียดลงมาอาการโยกย้ายของร่างกายก็จะหยุดลงได้

    “ ท่านที่ฝึกแนวลมปราณ ” นั้น จากการที่นำส่งกระแสพลังลมปราณทับถมเติมที่จุด “ ตั้งช้าง ” ตลอดเวลา จึงเป็นการเพิ่มแรงกระตุ้นให้ร่างกายเคลื่อนไหวมากขึ้น บางครั้งสั่นโยกรุนแรงถึงกับกางแขนออกว่าเป็นท่ามวยจีนแบบต่างๆอย่างมี ระเบียบ การเคลื่อนไหวจะสัมพันธ์ กับลมหายใจที่เข้าออก ซึ่งการเคลื่อนไหวเองโดยที่เราไม่ได้จงใจหรือแกล้งให้ร่ายรำ การเคลื่อนไหวอย่างนี้จะเป็นอยู่ประมาณ 36 วัน อาจจะมีเสียงกระดูกลั่นไปทั่วร่างกาย แล้วร่างกายก็จะค่อยๆกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง เวลานั้น จะรู้สึกว่า ตัวเบา เหมือนนกพร้อมที่จะบิน และเมื่อเดินทางจะก้าวไวคล่องเหมือนวิ่งอย่างไม่เหนื่อย

    ในระหว่าง เกิดการเคลื่อนไหวอยู่นั้น ไม่ต้องตกใจ ยังคงทำใจให้สงบ (สำหรับฝึกแนวจิตสงบ ) และยังคงนำส่งพลังลมหายใจเข้าสู่จุด “ ตั้งช้าง ” ต่อไป ที่เรียกว่า ท่ามกลางการเคลื่อนไหวยังมีสมาธิอยู่

    อาการ เคลื่อนไหวนี้ เกิดขึ้นเมื่อใดหรือว่าจะหยุดเมื่อใด หรือว่าเคลื่อนไหวท่าใดนั้น จะเกิดไม่เหมือนกันทุกคน แต่เขียนไว้เพื่อเตือนสติไม่ให้ตกใจถ้ามีอาการอย่างนี้เกิดขึ้น

    หลัง จากเกิดอาการเคลื่อนไหวสั่นโยกแล้ว จิตใจจะไม่ค่อยปรกติ คือ ใจสั่นหายใจแรง ควรที่จะเข้าสมาธิปรับจิตใจสบายแล้ว จึงค่อยคลายออกจากสมาธิจะได้ไม่สะเทือนกายทิพย์

    4. รักษาอาการช้ำใน
    บาง ท่านที่เคยพลัดตกหกล้ม หรือถูกตีช้ำในที่ใดที่หนึ่ง เลือดก็จะคั่งค้างเป็นก้อนอยู่ที่จุดนั้น เวลาอากาศเปลี่ยนแปลงจะมีอาการเจ็บปวดมากตรงจุดนั้น (คนหนุ่มสาวอาการอาจจะยังไม่กำเริบส่วนมากจะมาเป็นตอนที่มีอายุมากขึ้น หรือว่าสังขารเสื่อมลง ) แต่เมื่อฝึกลมปราณเดินทั่วผ่านไปยังจุดที่ช้ำในนั้น ก็จะพยายามทำลายเลือดคั่งค้างก้อนนั้น จึงเกิดอาการปวดมากกว่าเก่าอยู่พักหนึ่ง เป็นการพยายามเดินผ่านของลมปราณ และแล้ว เมื่อผ่านไปได้ ก็จะเป็นการรักษาให้ท่านหายขาดจากโรคช้ำใน

    5. เกิดอาการตัวพองโตและเบาอยากจะลอย
    เมื่อ ฝึกสมาธิหรือฝึกลมปราณจนจิตสงบ อาจจะมีความรู้สึกว่า ตัวเองกำลังพองโตๆ มากขึ้น จนตัวโต ยันตึก และกำลังพองจนเกือบจะระเบิดออก หรือบางทีรู้สึกว่า ตัวเองเบาอย่างไร้น้ำหนัก กำลังลอยขึ้นจากที่นั่งจนร่างอยู่ไม่ติดที่ และจะลอยออกไปนอกบ้าน ขอให้ท่านทำใจสบายๆ ไม่ต้องตกใจ เพราะที่จริงแล้วร่างท่านไม่ได้พอง ไม่ได้ลอยเลย เพียงแต่ว่า ภาวะนั้น จิตเริ่มสงบ และธาตุทั้ง 4 เริ่มปรับตัวจนรวมตัวเสมอกัน ลมหายใจก็จะละเอียดเหมือนไม่ปรากฏ จิตของท่านได้ตกภวังค์สติไม่อยู่กับตัว ตามระลึกไม่ทันกับความสงบนั้น สติคลายออกจากสมาธิชั่วแวบหนึ่งไม่ได้จับอยู่กับตัว จึงเกิดอาการอุปาทานรู้สึกเป็นอาการเหล่านี้ได้
    6. วิธีปรับถ่ายเทธาตุไฟให้หายปวดหัวตัวร้อนเป็นไข้
    บาง ท่านรู้สึกว่า หัวแม่มือที่จรดชนกันอยู่นั้นร้อนมากจนรู้สึกว่าคล้ายจะลุกเป็นไฟ และ ศีรษะก็ร้อน ประสาทตึงเครียด ปวดขมับ แม้ว่าจะพยายามปลงตกข่มเวทนาว่า กายนี้สักแต่กาย จะเจ็บจะปวดก็เรื่องของกายจิตใจไม่เจ็บปวด ไม่สนใจ ด้วยขันติ ความอดทนอย่างเต็มที่แล้ว อาการธาตุไฟยังคงกำเริบโชติช่วงร้อนไปทั่วสรรพางค์กาย ยังปวดหัวไม่หายแทบจะระเบิดอยู่ให้ปฏิบัติตามวิธีแก้อาการดังนี้

    วิธีแก้ไข

    ค่อยๆ ถอยออกจากสมาธิอย่างช้าๆ และคลายความนึกคิด ที่รวมจิตใจ ให้เป็นหนึ่ง ที่ตั้งความรู้สึกอยู่ที่ศีรษะนั้นออก เรียกว่า

    “ ไม่คิดอะไรอีกที่จะรวมจิต ” แล้วค่อยๆลืมตาขึ้นมองราดต่ำลงที่พื้น หายใจให้สบายๆตามปรกติก่อน แล้วค่อยๆถอนหายใจลึกๆช้าๆ และคลายมือที่ซ้อนกันนั้นออกมากุมที่หัวเข่าทั้งสองข้าง พอหายใจเข้า ก็เอาจิตใจไปจับที่กองลมที่ดูดเข้ามาแล้วผลัก แผ่ซ่านคลายออก ไปทั่วทั้งตัวพร้อมกับลมหายใจที่ปล่อยออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเน้นหนักในการคลายออกทางฝ่ามื้อทั้งสองข้าง ก็จะรู้สึกว่า “ มีลมร้อนวิ่งออกทางปลายนิ้ว ”

    นี่คือ “ การคลายธาตุไฟออกจากร่างกาย ”

    ปฏิบัติอย่างนี้ประมาณ 15-30 นาที ก็หายปวดหัว และตัวไม่ร้อนเป็นไข้อีก

    7. อาการคัน
    ระหว่าง ฝึก เมื่อธาตุปรับตัวหรือปรับจนเริ่มจะเสมอนั้น จะมีอาการคันเหมือนแมลงตอมหรือปลาตอด สร้างความรำคา_รบกวนสมาธิ ท่านไม่ต้องกลัว และไม่สนใจอาการนั้น สักประเดี๋ยวก็จะหายไปเอง

    8. เกิดอาการท้องเสีย
    บาง ท่านที่ฝึกลมปราณแล้ว อาจจะมีอาการท้องเสีย ท้องร่วง ให้ย้ายความสนใจจากที่จุด “ ตั้งช้าง ” เคลื่อนย้ายลงไปที่ปลายหัวแม่เท้าข้างใดข้างหนึ่ง เมื่อดึงความสนใจไปที่หัวแม่เท้าแล้ว อาการท้องเสียก็จะหายได้

    ทั้ง นี้ด้วยเหตุว่า การตั้งจุดอยู่ที่จุด “ ตั้งช้าง ” นั้นบางท่านเกิดการบีบรัดทางประสาทรู้สึกว่า เครียดหรือว่าเป็นการบีบรัดลำไส้มากไป เมื่อย้ายความสนใจไปที่จุดอื่นเสีย ก็ทำให้อาการท้องเสียหายได้

    9. อาการกลืนน้ำลาย
    ระหว่าง ฝึกสมาธิหรือว่าฝึกลมปราณใหม่ๆ ที่จิตยังไม่สงบ อาจจะมีน้ำลายออกมามากพอสมควร ควรที่จะค่อยๆ กลืนเข้าไปอย่างช้าๆ ไม่ต้องบ้วนทิ้ง เพื่อจะได้ช่วยเป็นน้ำย่อยอาหารด้วย และเมื่อจิตสงบแล้วจะรู้สึกว่า น้ำลายนั้นไม่ไหลออกมาอีก จนเราไม่ต้องคอยพะวงกลืนน้ำลาย แต่พอจิตคลายออกจากสมาธิเมื่อใด น้ำลายก็จะเริ่มไหลท่วมทั่วปากอีก

    ที่มา: หนังสือคำสอนสมเด็จโต สมาธิ ทางสงบ ถอดจิต
    ผู้แต่ง : แสง อรุณกุศล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2016
  8. jaipet674

    jaipet674 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2016
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +49
    เกริ่น เรื่อง พลังกุณฑาลิณี

    อ้างอิง http://ampolc.ucoz.com/webpage/guntalenee.html

    ด้วยอาการ ลมปราณเดินนี้ จะต้องทำการสลายลมปราณเหล่านี้ ด้วยการหยุดนิ่ง จับกับลมหายใจโดยการทำ อานาปาณสติที่ บริเวณท้องน้อย หรือ หน้าอก ไม่เอามารวมที่ใดๆ บริเวณใบหน้าเด็ดขาด เมื่อนิ่งมากพอ ลมจะคลายตัวตามจุดต่างๆ ด้วยการเรอ การสำลักลม บริเวณคอหอย ลูกกระเดือก หัวใจ ปอด ตับ อวัยวะๆต่างๆ ที่ลมเข้าไปเกาะอยู่หากการเรอ หรือสำลักลมยังสดุดอยู่ หรือ อึดอัด อาจมาจากความต้องการอากาศที่บริสุทธิ์ มากกว่าเดิม เมื่อลมเหล่านี้หมดแล้ว กายและจิต จึงจะสามารถมั่นคงได้
    แท้จริงแล้ว พลังกุลฑาลิณี มีหน้าที่โดยธรรมชาติ เหตุที่มีพลังนี้ เพราะธรรมชาติมี "เหตุผล" ในการสร้างมันขึ้นมาให้อยู่ในกายเรา มันมีหน้าที่ "ถ่ายลมปราณเพื่อสืบพันธุ์" และมันจะตื่นตัวทุกครั้ง ที่มีการเสพกาม จนถึง "จุดสุดยอด" (มันคือ สปาสซั่ม(Spasm ภาวะหลังเกิดการกระตุกสมองพยายามคลายตัว) นั่นเอง ถ้ามีมากเกินไป และถ้าคงไว้ มากเกินไป จะเกินผลเสียร้ายแรง ทำให้บ้า ได้)

    กุลฑาลิณี ปกติ แล้ว จะตื่นขึ้นแล้วไหลออกจากจักระที่หนึ่งบริเวณ อวัยวะเพศด้านหน้า พร้อมกับการหลั่งน้ำกาม (ในกรณีเพชายจะให้) ดังนั้น เมื่อเสพกามจึงเหนื่อยอ่อนแรงมาก ราวกับเผาพลาญอาหาร ไปมากมายทีเดียว

    เมื่อเพศชายถ่ายลมปราณกุลฑาลิณีแล้ว มันก็เข้าสู่ร่างเพศหญิง

    ผู้หญิงเมื่อถึง "จุดสุดยอด" ผมไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เพราะไม่สามารถฝึก "กุณฑาลิณี" แบบเพศหญิงได้ เนื่องจากมี อวัยวะเพศชนิดเดียว แต่เคยได้ยินเหมือนกันว่า มีเพศหญิงบางคน ดูดพลังกุณฑาลิณีจากชายที่เธอมีเพศสัมพันธ์ด้วย

    จริงๆ แล้ว จะดูดหรือปล่อยพลังกุณฑาลิณีระหว่างมีเพสัมพันธ์ก็ได้ แต่การกำหนดจิต "ดูดกุณฑาลิณี" สำหรับเพศชายแล้ว จะก่อให้เกิด อาการเป็น "เกย์" อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และจำต้องอาศัยเพศชาย ด้วยกันในการกระตุ้นพลังกุณฑาลิณีลักษณะนั้น

    ส่วนเพศหญิง หากฝึกกุลฑาลิณีโดยไม่อาจควบคุมพลังนี้ได้ จะทำตัว เหมือนโสเภณีได้ในที่สุด (หากฝึกด้วยวิธีใช้ หญิง ชาย กระตุ้นแบบนี้) ดังนั้น การฝึกกุลฑาลิณีด้วยการใช้เพศสัมพันธ์กระตุ้นพลัง จึงมีปัญหา มากมาย ปกติจะใช้วิธีอื่นกระต้น

    ในทิเบต พระลามะ จะกระตุ้น "กุณฑาลิณีชาย" ด้วยการเข้าไปอยู่ในที่ หนาวมาก พระลามะบางรูปนั่งสมาธิในน้ำ ในหิมะ เพื่อกระตุ้นกุลฑาลิณี พลังกุณฑาลิณีก็จะกลายเป็นพลังร้อนและอุ่นคลายหนาวได้

    อย่าลืมว่า "กุณฑาลิณี" คือ งูสองตัว งูตัวหนึ่งเป็น "งูเพศชาย" ส่วน งูอีกตัวหนึ่งเป็น "งูเพศหญิง" ดังนั้น คนที่ฝึกกุลฑาลิณี สำหรับเพศ ชายและหญิงแล้ว จะพบว่าแตกต่างกัน เพราะงู (เป็นสัญญลักษณ์) นี้มีอยู่ด้วยกันสองตัว

    การควบคุม "งูสองตัวนี้" ก็ต่างกัน

    กุณฑาลิณีตื่นขึ้นทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ถึง "จุดสุดยอด"

    กุณฑาลิณีอยู่ในร่างกาย เพราะธรรมชาติสร้างมาให้มีหน้าที่หนึ่งอย่างนี้ คือการสืบพันธุ์ พลังลมปราณจากเจ็ดจักระในร่างกาย มีหน้าที่ต่างกัน กุณฑาลิณีตื่นขึ้นทุกครั้งเมื่อถึงจุดสุดยอด

    แต่ก่อนจะตื่นขึ้นอย่างเต็มที่ มันจะค่อยๆ ปลดปล่อยพลังออกมาทีละน้อย โดยไม่เราไม่รู้ตัวก่อน ในช่วงที่มีเพศสัมพันธุ์ หากไม่ถึง "จุดสุดยอด" แล้ว เพศหญิงจะมีพลังกุลฑาลิณีค้างอยู่ในสมอง ทำให้เป็นคนหงุดหงิดไม่รู้สาเหตุ สามีก็จะรู้สึกว่าทำไมภรรยาตนเองขี้หงุดหงิด (เธอคงไม่กล้าบอกสามีหรอกนะ ว่าสามีไม่ทำให้เธอถึงจุดสุดยอดได้ เป็นเหตุให้เธอหงุดหงิดอย่างไม่มีสาเหตุ)

    เพราะกุลฑาลิณีค้างอยู่บางส่วนไม่มากนักที่สมอง เหมือนคนอารมณ์ค้าง เมื่อมีเพศสัมพันธ์แล้วอารมณ์ค้างแบบนี้บ่อยๆ "จะเสียสุขภาพทั้งกายและจิต"

    ดังนั้น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่เข้าใจพลังกุณฑาลิณีจึงเป็นผลเสียต่อร่างกาย และจิตใจอย่างมากมาย โดยที่เราไม่รู้ตัว ว่าทำไมหนอ เราจึงขี้หงุดหงิด เรา มักมากในกาม (ฝ่ายชายที่ควบคุมกุณฑาลิณีไม่ได้) ฯลฯ

    ชายที่ปลดปล่อยกุณฑาลิณีแล้วควบคุมกุณฑาลิณีไม่ได้ จะประสบปัญหา การมักมากในกาม จิตจะอยากได้ อยากเอามา เพราะจิตสูญเสียพลังนี้ไป ขณะร่วมเพศทุกครั้ง โดยที่ตนไม่รู้ตัว จิตจึงอยากได้เอามาเป็นเจ้าของ แล้วควบคุมอารมณ์เพศตนเองไม่ได้ เป็น "คาสโนว่า" และมีปัญหาด้าน สุขภาพร่างกายและจิตใจในภายหลังอย่างยิ่งยวด

    กุลฑาลิณีตื่นเต็มที่ออกทางจักระหนึ่งด้านหน้าเมื่อหลั่งน้ำกามทุกครั้ง ทำให้เพศชายสูญเสียพลังมากมาย ในกลุ่มชายรักร่วมเพศบางคน ได้ กระตุ้นกุณฑาลิณีแบบเพศหญิงขึ้นมา แล้วดูดซับพลังกุณฑาลิณีของ อีกฝ่ายเข้าตัว ทำให้มีอารมณ์และบุคคลิกแปรปรวน เหมือน "ผู้หญิง"

    กุณฑาลิณีดันขึ้นจักระที่เจ็ด (สมอง) ทุกครั้งที่มีการสะกดกลั้นการหลั่งน้ำกาม

    ในเพศชาย หากมีการสะกัดกั้นการหลั่งน้ำกาม เมื่อถึงจุดสุดยอดแล้วกลั้นไว้ กุณฑาลิณีจะตื่นขึ้นเต็มที่ แล้วแทนที่จะออกทางจักระหนึ่งด้านหน้า (penis) กลับไหลย้อนขึ้นบนหัว ผู้ชายที่ทำการกลั้นแบบนี้จะรู้สึกได้ทันที ว่ามีอะไร บางอย่างที่มารวมที่ penis แล้วขึ้นไปที่หัวของตน บางครั้งเขาจะรู้สึก "มึน" เล็กน้อย จากนั้น เมื่อเขากลั้นไว้หลายๆ รอบ จะมึนหนักขึ้น มากขึ้นๆๆๆ

    จนปวดหัวแบบโดนบีบแทบจะระเบิด เหมือนโดนอะไรชอนใชทั้งหัว แทบจะเป็นบ้า

    นี่คือ "กุลฑาลิณี" ถูกดันขึ้นไปที่หัวโดยที่เจ้าตัวอาจไม่รู้ตัว ทำมากๆ สมองก็จะเสื่อม ความจำจะเสื่อม และจะลืมๆ เบลอๆ ดังนี้ ผู้ชายที่กลั้นน้ำกาม ไว้เมื่อถึงจุดสุดยอด แต่ไม่เรียนรู้เรื่องการปลดปล่อยพลังกุลฑาลิณีจะมีปัญหา เช่นนี้ทุกราย (ผมก็เป็นมาแล้ว) เรียกว่ามีเพศสัมพันธ์มากไปหรือเปล่าจนเอ๋อ

    ตราบเมื่อกุณฑาลิณีปลดปล่อยออกได้ทางใดทางหนึ่ง ความปวดจะหายไป กล่าวคือ หายกุณฑาลิณีตีย้อนขึ้นหัวแล้วออกไม่ได้ เมื่อถึงจุดสุดยอดก็จะไหล ย้อนกลับไปออกทางจักระหนึ่งด้านหน้าเองโดยธรรมชาติ (ทาง penis)

    แต่หากผู้ฝึกกุณฑาลิณีเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น และทะลวงจักระที่เจ็ดให้เปิดออกด้วย กุณฑาลิณีแล้ว จะส่งผลให้การฝึกลมปราณสายอื่นๆ ง่ายดายยิ่งขึ้น ไม่ติดขัด ไม่ต้องนั่งทะลวงชีพจรเส้นเล็กเส้นน้อยเป็น ๑๐ ปีแบบวิธีของเต๋า

    เมื่อกุณฑาลิณีออกทางจักระที่เจ็ดได้ ยามถึงจุดสุดยอด "อวัยวะเพศจะหดตัว" นี่คือ อาการของการฝึก "กุณฑาลิณีแบบเพศชาย" ด้วยการใช้หยินหยางกระตุ้น

    การฝึกกุลฑาลิณีจนสามารถควบคุมพลังได้

    ระยะแรกจะมีปัญหามาก ทั้งร่างกายและจิตใจ ระยะต่อมาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ราวกับว่าเราแก่ขึ้นๆๆๆ จนอายุ ๕๐ ไป ๖๐ ปี ทั้งด้านความคิด จิตใจ อารมณ์ และการมองโลก หน้าตาบางครั้งก็ตกใจว่าทำไม ตนเองดูแก่ลง (แต่ไม่ได้มีรอยเหี่ยวย่น มีหนวดจนดูเหมือนแก่)

    จากนั้น เมื่อกุลฑาลิณีถูกปลดปล่อยทะลวงได้แล้ว จะเหมือน "ตายแล้วเกิดใหม่" จะรู้สึกกระชุ่มกระชวย เหมือนได้ร่างใหม่ เหมือนเฒ่าทารก ที่กลายเป็นเด็ก เหมือนเป็นเด็กแรกเกิดอีกครั้ง จะมีความสุขแบบ เด็กๆ มองโลกง่ายๆ ใสซื่อแบบเด็กๆ

    และเกิดสิ่งใหม่ๆ ที่ดีขึ้นกับร่างกายและจิตใจมากมาย

    ข้อควรระวังในการฝึกกุลฑาลิณี

    ๑. หากเพศชายฝึกกุณฑาลิณีแบบหญิง จะกลายเป็น "เกย์" จำต้องฝึก กระตุ้น "งูให้ตรงเพศ" อย่าลืมว่า "กุณฑาลิณีคืองูสองตัว" แต่ต้องเลือก ใช้ให้เป็น เหมาะสมกับเพศของตน ฝึกผิดก็กลายเป็นขันที แบบ "ตงฟางปุ๊ป้าย"

    ๒. เพศหญิงหากฝึกกุณฑาลิณีด้วยการใช้หญิงหยาง หากมีคู่ฝึกหยินหยาง (คู่นอนหรือคู่รักที่ฝึกกุณฑาลิณีเหมือนกันและรักกันชั่วชีวิต) ก็ไม่มีปัญหา แต่หากอีกฝ่าย (ฝ่ายชาย) ไม่ฝึกด้วยแล้วตนเองฝึกไม่ทันสำเร็จ จะกลายเป็น "วิชชามาร" คือ "วิชชาโสเภณี" กลายเป็นหญิงที่มักมากในกาม แล้วดูดพลัง กุณฑาลิณีจากชายไม่เลือกหน้า จึงไม่ควรฝึกกุลฑาลิณีด้วยวิธีนี้ อันตรายมาก

    ๓. หากฝึกไปไม่ถึงสุดยอด แล้วค้างอยู่ช่วงใดช่วงหนึ่ง กุลฑาลิณีจะทำให้ ร่างกายจิตใจเปลี่ยนไป กลายเป็น "เฒ่าทารก" ได้ คือ มันไม่ย้อนกลับไป สู่รากฐาน ไม่เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ไม่กลับสู่ความใสซื่อบริสุทธิ์เป็นเด็ก อีกคราว สภาพของเฒ่าทารก จะมีจิตใจแปรปรวนเดี๋ยวเหมือนเด็กเดี๋ยวเหมือน แก่ ทั้งร่างกายและจิตใจ จนกว่าจะพ้นระยะนี้ไป คือ ฝึกสำเร็จเท่านั้นจึงหายได้

    ๔. หากฝึกช่วงเด็กเกินไป จะเหมือนกักอายุและการเติบโตของตนเอง เหมือน "วิชชากุมาร" เป็นเด็กไปตลอดเวลา คนอื่นเห็นเราเขาคิดว่าเราอายุต่ำกว่าจริง ประมาณ ๑๐ ปี จึงไม่ควรฝึกในวัยเด็กมากจนเกินไป เพราะกุณฑาลิณีควบคุมชีวิต การเติบโตของร่างกายและจิตใจทั้งหมด จึงอันตรายมากหากฝึกไม่สำเร็จ

    เมื่อฝึกกุณฑาลิณีสำเร็จแล้วควรทำอย่างไร?

    เมื่อทะลวงเจ็ดจักระด้วยกุลฑาลิณีสำเร็จแล้ว จะเข้าใจตนเอง เข้าใจชีวิต เข้าใจเรื่องกามมากขึ้น และเป็นอิสระจากกาม (มีก็ได้ไม่มีก็ได้ แต่ขอโสดดีก่า) ปกติ การเคลื่อน "พลังกุณฑาลิณี" แต่ละครั้ง ยากในการกระตุ้น เพราะบางคน ต้องเข้าไปนั่งในที่หนาวมากๆ มันจึงจะตื่น บางคนต้องดูภาพโป๊มากมายก่าย กอง (เพราะเริ่มไม่รู้สึกกะกามแล้ว) ดังนั้น เมื่อฝึกสำเร็จแล้ว บางท่านกลับ เรียกใช้ยากเหมือนเดิม แต่ทะลวง และควบคุมง่าย นอกจากนี้ ยังยากตอนเก็บ กลับคืนจักระที่หนึ่ง หรือ ยากในการระบายออกทางจักระเจ็ดอีกด้วย หากมีการ คั่งค้างของพลัง จะเกิดปัญหากับร่างกายและจิตใจมากมาย

    ดังนี้ เมื่อฝึกพลังนี้เร็จแล้ว ไม่จำเป็นต้องเดินลมปราณกุลฑาลิณีอีก

    ให้เดินลมปราณสายอื่นๆ แทนจะดี และปลอดภัยกว่า เรียกว่าได้ปลดปล่อย สำเร็จแล้ว ทะลวงสำเร็จแล้ว กรุยทางแล้ว เปิดให้ฝึกพลังปราณสายอื่นต่อไป

    ให้ต่อวิชชาลมปราณไปสายอื่น เช่น

    ๑. ต่อกุณฑาลิณีด้วยพลังจักรวาล

    เมื่อเปิดจักระได้หมด ทะลวงได้หมด เปิดรับพลังจักระวาลทางจักระเจ็ด แล้วให้ไหลลงมาอาบร่าง จะได้ผลดีกว่าใช้พลังกุณฑาลิณีมากมายนัก ปลอดภัย คุ้มครองปกป้องเรา รักษาเรา ทั้งร่างกายและจิตใจ

    ๒. ต่อกุณฑาลิณีด้วยพลังปราณหยินหยาง ฟ้า-ดิน

    กุณฑาลิณีที่ฝึกด้วยการกระตุ้นอารมณ์เพศนี้ จัดเป็น "หยิน หยาง" ในตัว อยู่แล้ว เมื่อเปิดจักระในร่างกายได้ทั้งหมด ก็ต่อด้วยปราณสายเต๋าขั้นสูง ไปเลย ไม่ต้องใช้ของเดิมอีก เพราะผ่านด่านแล้ว ให้ดึงลมปราณ "หยิน" จากพื้นดิน (นั่งบนพื้นที่เย็นๆ) จินตนาการ ดึงดูดพลังเย็นนั้น เข้าร่างกาย จากท่อนล่างขึ้นท่อนบน แล้วพุ่งเป็นน้ำพุ ให้ย้อนลงมาอาบร่าง (ขาย้อน ลงมาเป็นปราณ "หยาง")

    หรือต่อด้วยวิชชาลมปราณธรรมจักรก็ได้

    เคล็ดพลังจักรวาล (กุณฑาลิณีต่อจักรวาล)

    สำหรับผู้ที่ฝึกผ่านกุณฑาลิณีแล้ว จักระต่างๆ ก็ง่ายดายขึ้น จึงไม่ต้องนับ จากศูนย์ใหม่ ต่อพลังจักรวาลด้วยเคล็ดลัดสั้นง่าย

    คือ นั่งสมาธิกำหนดจิตว่ามีพลังบริสุทธิ์ไหลอาบทั้งร่าง จากจักระที่เจ็ด ลงมาทั่วทั้งตัว ไล่มาตามร่างกายส่วนต่างๆ ตามลำดับ อาศัยจักระต่างๆ ทั้งเจ็ดจักระเป็นจุด "ธงชัย" ที่มาร์กไว้ เวลากำหนดจิต เลื่อนดวงจิตลงมา

    ที่สำคัญมาก คือ "จิตต้องบริสุทธิ์ใสซื่อไร้กิเลส" ตลอดเวลา จะสามารถสัมผัสพลังจักรวาลที่บริสุทธิ์ได้ ชัดขึ้น แรกๆ จะแยกแยะไม่ออก หลังๆ หากได้รับพลังจักรวาลที่บริสุทธิ์ชัดเจน จะกำหนดอารมณ์จับปราณ พลังจักรวาลได้ง่ายขึ้น แยกแยะปราณดีปราณเสียได้ และเลือกรับแต่พลัง จักรวาลที่บริสุทธิ์ ไม่เอาปราณด้านลบเข้าตัว

    นั่งสมาธิท่าโยคะ แล้วกำหนดจิตระลึกถึงความบริสุทธิ์ดีงาม ให้เหมือนน้ำทิพย์ชะโลมร่างกายจากจักระเจ็ดลงมาจักระหนึ่ง หลายๆ รอบจะผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ สุขภาพกาย และจิตดีขึ้นมากมาย

    เคล็ดพลังธรรมจักร (กุณฑาลิณีต่อธรรมจักร)

    สำหรับผู้ได้กุณฑาลิณีสำเร็จแล้ว และแยกแยะพลังจักรวาล นำพลัง จักรวาลด้านดีมาสู่ร่างได้แล้ว ก็เข้าสู่ การควบคุมลมปราณอย่างเต็มที่ การควบคุมลมปราณที่ถูกต้อง สอดคล้องกับธรรมชาติ คือ การเคลื่อน เป็น "วงกลม" นี่คือ เคล็ดวิชชาลมปราณที่สอดคล้องกับลมปราณไทเก็ก เนื่องจากปรามาจารย์ด้านลมปราณสายต่างๆ ค้นพบสิ่งเดียวกัน

    คือ ลมปราณจะหมุนสอดคล้องกับจักรวาล คือ หมุนวนรอบตัวเอง เหมือน โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ โลกหมุนรอบตัวเอง อิเล็คตรอนหมุนรอบนิวเคลียส

    จะฝึกหมุน "จักร" เรียกว่า "ปราณธรรมจักร" (ในสายวิชชาพลังจักรวาลก็ หมุนปราณแบบนี้เช่นกัน) หมุนเป็นวงกลม หลายๆ รอบ ลมปราณจะตื่นตัวขึ้น แล้วแสดงพลังอย่างรุนแรง ทำให้ร่างกาย เวลาเข้าสมาธิ หมุนไปทั้งร่าง เรียกว่า "สมาธิหมุน" เมื่อเข้าสู่สมาธิหมุนแล้ว ลมปราณที่ตื่นขึ้น หากไม่มี การควบคุม ไม่มีการเก็บเข้าที่ ไม่มีการใช้หรือปลดปล่อยให้หมด

    ลมปราณธรรมจักรจะค้างในร่างกาย

    แล้วเกิดการหมุนโดยไม่ตั้งใจ เช่น พระอาจารย์รัตน์ ได้วิชชานี้ฟื้นคืน เมื่อเดินไปอยู่ดีๆ ก็รู้สึกหมุนขึ้นมาเฉยๆ จนต้องนั่งลงเข้าสมาธิอยู่ หลายครั้ง นี่เพราะลมปราณธรรมจักรไม่ได้รับการปลดปล่อย หรือเก็บ เข้าที่ หลังจากที่ได้รับการปลุกให้ตื่นแล้ว

    ดังนี้ ผู้ฝึกสมาธิหมุน จึงมักเกิดการหมุนวนนอกเวลาสมาธิได้เสมอ ต้องระวัง

    มีผู้รู้ท่านหนึ่ง แนะนำว่า ในเวลาใดก็ตามที่รู้สึกอ่อนเพลีย หรือถูกพลังแฝง หรือถูกกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งจากสิ่งใดๆ ก็ตามที่ได้ดูดพลังจากตัวเราไป

    หรือถูกเจ้ากรรมนายเวรรุมดูดพลังไปด้วยเหตุใดๆ ก็ตาม ในขณะที่ถูกดูดขับพลังงานไปเมื่อใดที่รู้ตัวว่ากำลังจะหมดพลัง มีความอ่อนล้าแล้ว โดยตัวเราจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม ทุกคนจะมีพลังเพิ่มได้มาก ขึ้น โดยให้ทำดังนี้

    1. นั่งในท่าสบาย หรือนั่งขัดสมาธิก็ได้ โดยให้มือทั้งสองประสานสอดนิ้วมือเข้า หากัน อุ้งมือไม่ติดกัน หงายมือ เหมือนรองรับน้ำใส่อุ้งมือ โดยหายใจเข้าออก ยาวๆ ลึกๆ เข้าออกทางจมูก แล้วให้ลมหายใจเข้า วิ่งเข้าที่จมูก แล้ววิ่งไปที่จักระ 6 – 7 – 5 – 4 – 3 – 2 และไปหยุดที่จักระ 1 แช่นิ่งสักครู่ ที่จักระ 1 จากนั้น หายใจออกทางจมูก หรือทางปากก็ได้ ยาวๆ พยายามให้ลมหายใจเข้า ออกนาทีละเพียง 5 - 6 ครั้งก็พอ โดยทำ 3 ครั้งติดกัน

    2. ท่าที่สองเรียกว่า ท่าโอริง มือซ้าย - ใช้นิ้วชี้แตะนิ้วโป้ง ส่วนอีก 3 นิ้วเหยียดตรง หลังมือวางไว้ที่ขาซ้าย มือขวา - คว่ำบริเวณหน้าขา ข้างขวา การหายใจเข้า – ออก ให้หายใจเหมือนวิธีแรก

    3. ในกรณีมีปัญหาที่พลังปั่นป่วน ต้องการปลดปล่อยพลัง มือขวา - นิ้วชี้แตะโป้ง อีก 3 นิ้วเหยียดตรง หลังมือวางแตะที่ขาขวา มือซ้าย - คว่ำบริเวณหน้าขา ข้างซ้าย การหายใจเข้า – ออก ให้หายใจเหมือนวิธีแรก เคล็ดการเพิ่มพลัง และการนั่งสมาธิ สารชมรมศาสนาและการกุศล เรื่องที่ 462...เคล็ดการเพิ่มพลัง และการนั่งสมาธิ หน้า 2 จาก 2 มงคล กริชติทายาวุธ ประธานชมรมศาสนาและการกุศล

    4. วิธีนั่งสมาธิที่ต้องการเพิ่มพลัง มือทั้งสองต้องประสานกัน จะต้องให้นิ้วมืออื่นๆ สอดกัน โดยให้ นิ้วโป้งชนกัน (นิ้วโป้ง เป็นธาตุไฟ เป็นธาตุที่ช่วยก่อให้มีฤทธิ์เร็ว หรือเรียกพลังกลับคืน ได้เร็ว เป็นเตโชกสิณอึกรูปแบบหนึ่ง การฝึกปรือในสายนี้ จะมีความร้อนเกิดขึ้น อารมณ์ อาจร้อนมากขึ้น อาจฉุนเฉียว โกรธง่ายขึ้น ก็ไม่ต้องวิตกกังวล เพราะเป็นผลทีมักจะ ติดตามมาเป็นปกติ) ภาพรวมการหมุน จักระของเรา ตรงจักระ ๑ หมุนดีแล้วแต่ว่าอาจร้อนเล็กน้อย จักระที่ท้องก็หมุนๆวันอยู่ภายใน ส่วนตรงหน้าอกก็เรื่องหมุน แต่ความรู้สึกเบาๆไม่ชัดเหมือนที่ท้อง ตรงหน้าฝากก็เริ่มรู้สึก ชินแล้วและวงขยายของหน้าฝากก็ขยายกว้างมากขึ้นเลยหน้าตา เราได้แล้วจะยังคงมีที่ชาๆหน่อยก็บริเวณริมผีปากบนแค่นั้น โดยรวมๆก็ถือว่าไม่มีอะไรครับ.. ส่วนหลักการทั้งหมดรวมๆเป็นหลักการค่อนดีครับ สามารถ ใช้ได้ปกติทั่วไปครับ...แต่ถ้าจะให้ได้ผลดีแบบเห็นความ แตกต่างชัดเจนนะครับ..ในหลักการที่ ๑ ที่นำมานั้นให้เปลี่ยน ระบบหายใจผ่านแนวแกนของกระดูกสันหลังด้วยครับ.. โดยให้หายใจเข้าก่อนจนท้องพอง แล้วดันลมหายใจผ่านจักระ ๑ ย้อนมาตามแนวกระดูกสันหลังจนขึ้นจักระ ๗ ก่อนแล้วค่อยออกจมูกครับ .. ส่วนวิธีการที่ ๒ และ ๓ ถ้าทำแล้ว ต่อไปกลัวจะเกิดเหตุการอย่างนั้น ขึ้นอีก ให้หงายมือทั้งสองข้างบนหน้าตัก โดยที่ข้างหนึ่งให้นิ้วกลางมาแตะ นิ้วโป้ และมืออีกข้างหนึ่งให้นิ้วนาง มาแตะที่นิ้วโป้..วิธีการนี้ก็จะเป็นการ รับและถ่ายเทพลังงานส่วนเกินต่างๆออกจากร่างกายได้อัตโนมัติเช่นกันครับ.. ส่วนวิธีการที่ ๔ นั้นส่วนตัวไม่แนะนำให้ทำนะครับ...เพราะว่ามันจะไปกระตุ้น ให้จิตเกิดการหมุนตัวแล้วไปสร้างประจุไฟฟ้าจนเกิดความร้อน เป็นผลทำให้เกิดพลังงานคล้ายๆกสิณไฟภาคบังคับให้เกิดขึ้นมา ซึ่งเป็นพลังงานที่ไม่ได้เกิดจากการที่ตัวจิตได้ฝึกฝนจนจิตมีกำลัง จิตและสร้างขึ้นมาเป็นพลังงานกสิณได้จริงๆครับ ซึ่งในอนาคตแล้วจะส่งผลร้ายมากกว่าผลดีครับ..เพราะทำนานๆเข้า จะไปปิดกั้นเรื่องการสร้างเมตตาที่ออกจากจิตเราด้วยครับ. ให้เปลี่ยนเป็นหงายฝ่ามือออกทั้งสองข้าง และทำให้เวลาที่มีพระอาทิตย์ขึ้น แล้วภานา โฮม มีณี ปัทเม ฮูม แรกจะจิ๊ดๆที่ผ่ามือก่อน พอชำนาญจะเกิด ลมหมุนบนฝ่ามือได้ และพอชำนาญมากกว่านี้ ก็จะสามารถดึงพลังงาน จากพระอาทิตย์ตรงนี้ ให้มาล้างจักระที่ ๗ ถึง จักระที่ ๑ ได้เองก็จะลด อาการปั่นปวนของจักระที่เกิดในกรณีที่ ๓ ที่น้องนิวนำมาลงได้เองครับ. และเป็นการเสริมเรื่องรักษาร่างกาย ของเราได้โดยตรงและเสริมภูมิป้องกันจากการถูกพลังงานภายนอก ต่างๆที่มารบกวนเราได้ด้วยครับ..ถ้าทำตอนกลางคือที่มีพระจันทร์ ก็จะเสริมเรื่องสมาธิและเสริมเรื่องการรักษาสภาพจิตใจให้สงบแล้วขึ้น ซึ่งไม่ว่าตอนไหนให้เราหยุดถ้ารู้สึกว่าร้อนแสดงว่าเพียงพอแล้ว ซึ่งถ้าเราทำได้ตรงนี้ข้อดีคือ จะใช้เป็นเครื่องตรวจสอบระดับเมตตาในจิตเราได้ด้วยครับ.. และขอฝากคำเตือนไว้เป็นข้อคิดสะกิดใจเล็กน้อยครับ เสือเฒ่ามีวิชาชอบแปลงตัวเป็นฤาษีหรือไม่ก็นักพรตหรือชีประขาว แต่พอเราหลงกลไปแล้ว ก็จะกลายเป็นเสือและจับเรากินครับ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2016
  9. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,087
    ค่าพลัง:
    +3,394
    เหมือนโดนสกัดจุดอะครับที่ต้นคอ ปวดมากทุกข์มากเลย ทนมา 10 ปีแล้ว แก้ไงก็ไม่หาย
    ลมปราณมันวิ่งขึ้นหัวไปช่วยไม่ได้ เป็นไมเกรน ความจำติดๆ ขัดๆ สงสัยได้เป็นเฒ่าทารกแน่เลย
     
  10. jaipet674

    jaipet674 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2016
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +49
    พลังกุณฑาลิณี อาจจะดันขึ้นหัวครับ

    ระดับแรก มึนๆเบลอ แล้วจะปวดหัว หนักๆเข้าอาจจะความจำเสื่อม

    ให้ เปิดจักระ ครับ ตั้งแต่จักระที่ 7- 2 ครับ

    โดยเฉพาะจักระ ที่ 7 เมื่อเปิดจักระ แล้ว อาจจะเดินลมปราณ ช่วยด้วยก็ได้

    เดินลมปราณ ช่วยไล่พลังงานที่ตกค้างออกไปตามจักระจุดต่างๆ

    แล้วพลัง กุณฑาลิณี จะออก ทางจักระที่ 7

    เพราะฉะนั้น ถ้าจักระที่ 7 ไม่เปิดก้จะปวดหัว ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2016
  11. jaipet674

    jaipet674 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2016
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +49
    การฝึกลมปราณ ร่วมกับพลังกุณฑาลิณี ห้ามมีเพศสัมพันธ์

    ห้ามช่วยเหลือตัวเอง

    เพราะการสูญเสียน้ำกาม เท่ากับ การสูญเสียพลังชีวิตไป


    ถ้ามีอารมณ์ทางเพศ ให้ทำอย่างไร

    กล่าวคือ ให้อดทน อดกลั้นเอาไว้

    เมื่ออารมณ์ทางเพศ ปรากฎขึ้นมา จักระที่ 1 ก็จะถูกเปิดออก

    แล้วหมุน ด้วยตัวของมันเอง พลังทางเพศ เรียกว่า พลังกุณฑาลิณี

    ก็จะกำเนิดขึ้นมา เมื่อ เราอดทน อดกลั้นเอาไว้ ไม่ยอม

    ปลดปล่อย พลังกุณฑาลิณี จะพุ่ง ขึ้น จากจักระที่ 1 -7

    และออกจากร่างกาย ทางจักระที่ 7

    ถ้าจักระที่ 7 ไม่เปิดออก จะเป็นเช่นไร

    1. จะมึนหัว

    2. ปวดหัว เหมือนโดนบีบ เหมือนโดนอะไรชอนใชทั้งหัว จนเป็นบ้า

    3. สมองจะเสื่อม ความจำจะเสื่อม จะลืมๆเบลอ

    จึงจำเป้นที่จะต้อง เปิดจักระที่ 7- 2


    แต่การที่พลัง กุณฑาลิณี ถูกปลดปล่อยออกมาทาง จักระที่ 7 ทำให้เราสูญเสียพลังทางเพศด้วย

    ทำให้ เกิดการผิดเพศ

    ผู้ชายจะขาดธาตุ หยาง จะเป็นตุ๊ด

    ผู้หญิงจะขาดธาตุ หยิน จะเป็นทอม

    จำเป็นต้อง ฝึกพลังสุริยัน จันทรา เพื่อเสริมธาตุในร่างกายของตน

    ผู้หญิง เสริมพลังธาตุหยิน ด้วย พลังจันทรา

    ผู้ชาย เสริมพลังธาตุหยาง ด้วย พลังสุริยัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2016
  12. jaipet674

    jaipet674 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2016
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +49
    วิธีรับพลังจากธรรมชาติเบื้องต้น


    1. วิธีรับพลังพระอาทิตย์ ( พลังสุริยันต์ :: ธาตุหยาง)

    มี 2 วิธีการ คือ

    - ยืนหรือนั่ง แล้วกำหนดจิตจินตนาการถึงพลังความร้อนจากพระอาทิตย์เป็นลำแสงสีขาวนวลมาที่จักระ 7 ผ่านทุกส่วนของร่างกาย เพื่อให้ความอบอุ่นกับร่างกายหรือสลายโรคหรือสลายไขมันที่อยู่ในเส้นเลือดให้สะอาด สลายไขมันใต้ผิวหนังทำให้มีรูปร่างสมส่วน

    - ยืนหงายฝ่ามือทั้งสอง เพื่อรับพลังจากพระอาทิตย์ใช้ในการบำบัดรักษา โดยกำหนดจิตให้พลังพระอาทิตย์มาที่ฝ่ามือทั้งสองข้างจนรู้สึกที่มือหรือนิ้วสั่น เพราะมีพลังงานแล้ว

    2. รับพลังพระจันทร์ ( พลังจันทรา :: พลังธาตุหยิน)

    วิธีการคือ วันที่พระจันทร์เต็มดวง นั่งในที่มองเห็นพระจันทร์ชัดเจน หลับตาจินตนาการเห็นพระจันทร์ได้ชัดเจน กำหนดจิตว่า พลังงานจากพระจันทร์ได้พุ่งมาที่ศรีษะ จักระ 7ผ่านจักระต่างๆ กระจายไปตามต่อมไร้ท่อทั่วร่างกาย หรือจะกำหนดจิตอาบแสงจันทร์เพื่อทำให้ผิวสวยและสมองดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2016
  13. jaipet674

    jaipet674 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2016
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +49
    ไฟล์ หนังสือ ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. blackbutler

    blackbutler สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    คือฝึกโคจรลมปราณมาสักพักแล้วเมื่อก่อนพอรวมลมปราณไว้ที่ท้องน้อยแล้วปราณจะไหลไปสู่กระดูกก้นกบจะรู้สึกถึงถึงลมร้อนแล่นไปทางเส้นกลางหลัง(เส้นตูม่าย)ไปถึงจุดกลางศรีษะ(ไป๋ฮุ่ย)แล้วหักลงมาที่ท้องน้อยซึ่งก็เป็นแบบนั้นมาตลอดแต่ตอนนี้ไม่รู้ทำไมลมปราณมันไม่ยอมไหลไปเส้นกลางหลัง(เส้นตูม่าย)ค่ะมันยังไหลครบวงจรแบบเดิมแต่แบ่งเป็นสองซีกซ้ายขวาอ่ะค่ะรู้สึกว่าเส้นตูม่ายมันว่างๆเวลาโคจรลมปราณรู้สึกเหมื่อนตัวถูกแบ่งเป็นสองซีกใครรู้วิธีแก้ไขมั้ยค่ะขอคำชี้แนะหน่อยค่ะ
     
  15. ขง

    ขง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +676
    ถาม : เรื่องการฝึกลมปราณ

    ตอบ : เวลาเราหายใจจะมีพลังขุมหนึ่งวิ่งจากจุดศูนย์ที่สะดือขึ้นมาที่คอหอย แต่เราอย่าให้พลังนั้นขึ้นมา ใช้วิธีกดกำลังนั้นลง พอลงต่ำกว่าจุดศูนย์แล้ว เราต้องทำอาการเหมือนกับการกลั้นปัสสาวะ กำลังขุมนั้นจะวิ่งผ่านสะพานดินไปที่กระดูกสันหลัง วิ่งแนบแนวกระดูกสันหลังเป็น ๒ สาย ถึงท้ายทอย ไปที่ศีรษะ แล้วลงมาทางด้านหน้า ผ่านตา ๒ ข้าง ลงมา แล้วก็รวมกันไปที่คอหอยกลับลงไปที่จุดศูนย์อีกครั้งหนึ่ง พอช่วงหายใจใหม่เราก็ดันลงไปอีก ทำอาการเหมือนเดิม ให้หมุนรอบไปเรื่อยๆ

    ถาม : ต้องสัมพันธ์กับลมหายใจไหมคะ ?

    ตอบ : ไม่ใช่..คนละจังหวะกัน บางคนถ้าหากว่าทำได้นี่เพียงชั่วลมหายใจเดียว ก็สามารถหมุนวนได้ ๒๐ - ๓๐ รอบ อย่าไปเร่ง เราค่อยๆ ทำไป ชั่วลมหายใจทำได้ครึ่งรอบอะไรเราก็เอาแค่นั้น แต่ให้ซ้อมไว้บ่อยๆ

    จากสะดือพอลงต่ำกว่าจุดศูนย์แล้วทำอาการเหมือนเรากลั้นปัสสาวะ จะทำให้กำลังวิ่งผ่านไปที่กระดูกก้นกบด้านหลัง แล้วจะผ่านสันหลังขึ้นมาวิ่งเป็นเส้นคู่ขึ้นมา พอผ่านโหนกแก้มลงมาก็จะเริ่มรวมเป็นสายเดียว กลับลงทางด้านหน้าสู่จุดศูนย์เหมือนเดิม พอเลิกทำ ให้หายใจลึกๆ ดึงพลังกลับไปรวมที่จุดศูนย์ทุกครั้ง

    ถาม : (ไม่ได้ยิน)

    ตอบ : อยู่ที่เราว่าเราปรับเข้าตัวเราได้หรือเปล่า ถ้าปรับเข้ากับตัวเราได้แล้ว เราหมั่นทบทวนฝึกก็จะแข็งแกร่งขึ้นไปเอง

    ถาม : (ไม่ได้ยิน)

    ตอบ : ใช้การภาวนาแทน ถ้าเราภาวนาจนกระทั่งอารมณ์ใจทรงตัว ถึงระดับรู้ลมหายใจด้วยตัวเองไม่ต้องไปบังคับ โรคพวกนี้จะหายหมด จริงๆ แล้วกำลังไม่สูงมาก ประมาณปฐมฌานละเอียด เพียงแต่ว่าตอนที่เราภาวนา ให้จดจ่ออยู่ที่ลมหายใจเฉยๆ จะเป็นฌานหรือไม่ เป็นสมาธิหรือไม่ ไม่ต้องไปสนใจ แต่ถ้าหากว่าอารมณ์ใจทรงตัวถึงขนาดนั้น จะรู้ลมเองโดยอัตโนมัติ รู้คำภาวนาโดยอัตโนมัติ เราไม่ต้องบังคับก็รู้ เราแค่เอาสติประคองไว้ ถ้าทำอย่างนั้นได้โรคเครียดทุกอย่างจะหายหมด


    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕



    ที่มา : www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3194&page=6
     
  16. ขง

    ขง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +676
    ขออภัย คุณใจเพชร 674 เขาลืมรหัสผ่าน เข้าไม่ได้


    -- คือความเข้าใจ คือว่า ทางเดินจักระ หรือ พลังงาน

    หรือของจีนที่ใช้เดินลมปราณ มันมี อยู่ สามเส้น หรือ 3 ท่อ

    ถือว่าปกติ ครับ มี ถามตอบหลวงพี่เล็ก วัดท่าขนุน อยู่แล้ว


    -- สำหรับผม ไม่สนใจนะ ว่าจะ ไหลไป กี่ท่อ เพราะมันเหมือน

    มีท่อพลังงาน อยู่ 3 ท่อ อยู่แล้ว ขอให้มันไหล ครบรอบ ก็แล้วกัน


    -- ถ้าหากว่า ฝึก มีเพศสัมพันธ์ ได้ไหม ขอตอบว่าได้ครับ

    มีวิธีฝึกสำหรับกลั้น น้ำกามโดยเฉพาะ แต่ถ้าโพสไป กลัวว่า 18+ ครับ

    เลยไม่โพส
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2017
  17. ขง

    ขง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +676
    แล้วศึกษาต่อ เรื่องไซบอล การดึงพลังงาน ความร้อน กับ ความเย็น ( พระอาทิตย์ กับ พระจันทร์)


    วิธีการสร้างลูกบอลพลังจิต (ไซบอล)ตามวิธีของ Peebrain

    1. กำหนดตำแหน่งว่า จะสร้างพลังที่ไหน เช่น ที่มือทั้งสองข้าง ที่ตาที่สามระหว่างคิ้ว หรือ ในสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง เช่น เมืองจีน


    targets.gif

    ตำแหน่งที่คนส่วนใหญ่จะนิยมเลือก หรือ นิยมฝึกกัน คือ ที่มือทั้งสองข้าง

    การวางตำแหน่งมือที่นิยมทำกัน จะมี 3 แบบใหญ่ๆ ดังภาพ


    hands.gif

    คุณสามารถที่จะเลือกท่ามือของคุณเอง หรือ จะเลือกจากภาพทั้งสามดังกล่าวกได้ จากนั้นเราจะไปสุ่ขั้นที่สองกัน
    ขั้นตอนที่สอง คือ การเลือกแหล่งกำเนิดพลังงาน
    คุณสามารถเลือกแหล่งกำเนิดพลังงานจากที่ไหนก็ได้ เช่น พระอาทิตย์ พระจันทร์ โลก หรือ แม้แต่จากตัวคุณเอง
    เพียงแต่ถ้าคุณเลือกแหล่งพลังงานจากตัวคุณเอง จะทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยเร็ว


    source.gif

    หากคุณต้องการพลังงานที่มีความร้อน อาจเลือกแหล่งพลังงานจากดวงอาทิตย์
    หากคุณต้องการพลังงานที่มีความเย็น อาจเลือกแหล่งพลังงานจากดวงจันทร์
    หากคุณไม่สนใจอุณหภูมิ อาจเลือกพลังงานจากโลก
    สิ่งต่างๆเหล่านี้เพียงแค่ โดยใช้หลักการจากความนึกคิดเท่านั้น
    ขั้นตอนที่สาม การดึงพลังงานจากต้นกำเนิดพลังงาน

    ขั้นตอนการดึงพลังงานเป็นขั้นตอนที่ไม่ซับซ้อน เพียงแค่คุณใช้ความนึกคิด กำหนดจิตสร้างมโนภาพว่า พลังงานกำลังไหลจากต้นกำเนิดพลังงานมาล้อมรอบตัวคุณ หรือ เข้ามาในตัวคุณ
    บางคนอาจหลับตากำหนดภาพ บางคนอาจไม่หลับตา คุณอาจจะลองทั้งสองแบบคือทั้งหลับตาและไม่หลับตา แล้วดดูว่าแบบไหนเหมาะกับคุณมากที่สุด เช่น
    คุณอาจหลับตานึกถึงภาพว่า

    drawing.gif

    1. คุณกำลังยืนอยู่บนโลก โลกกลมๆ มีศูนย์กลางพลังงานที่ตรงกลางโลก


    2. จากนั้นพลังงานจากศูนย์กลางโลกไหลออกมาที่ผิวโลก ผ่านผืนดินตรงมาที่เท้าของคุณ

    3. พลังงาน ไหลเข้ามาที่ปลายเท้าคุณ และเข้าสู่ร่างกายของคุณผ่านทางเท้า

    วิธีการดึงพลังงานนั้น ไม่มีขีดจำกัด คุณสามารถจินตนาการตามที่คุณต้องการ เรามาลองดูตัวอย่างเพิ่มเติมกันต่อไป เช่น


    * กำหนดภาพว่า แหล่งพลังงานเสมือนมีช่องเสียบไฟฟ้า และตัวคุณเสมือนมีปลั๊กเสียบเข้าไป เหมือนการเสียบสายเครื่องใช้ไฟฟ้า แล้วดึงพลังงานจากแหล่งกำเนิดพลังงาน


    * กำหนดภาพว่า แหล่งพลังงานอยู่เหนือตัวเรา แล้วพลังงานไหลลงมาเหมือนน้ำตก ไหลเข้าสู่ตัวเรา


    * กำหนดภาพว่า แหล่งพลังงานอยู่เหนือตัวเรา คล้ายกับก้อนเมฆ แล้วเกิดแสงพุ่งออกมา เข้ามาสู่ตัวเรา


    * กำหนดภาพว่า แหล่งพลังงานกำลังส่งพลังงานก้อนใหญ่ให้คุณ และคุณกินพลังงานนั้นเข้าไป



    สรุปคือ คุณสามารถกำหนดภาพตามรูปแบบที่คุณถนัดและเหมาะสม ให้สามารถดึงพลังงานจากสิ่งนั้นได้ และได้รับพลังงานในรูปแบบต่อเนื่อง ซึ่งหากชำนาญอาจใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที หรือ หากยังไม่ชำนาญอาจใช้เวลาหลายนาทีเพื่อให้รู้สึกว่าได้รับพลังงานจากแหล่งต้นกำเนิดอย่างต่อเนื่อง


    ขั้นตอนที่สี่ การสร้างบอลพลังจิต PSI ball

    เรายังคงพลังงานจากแหล่งกำเนิดอย่างต่อเนื่อง สร้างความรู้สึก ชักนำพลังงานที่เข้ามาสู่ร่างกายนั้น ให้ไปในตำแหน่งที่เรากำหนดไว้ตั้งแต่ขั้นตอนแรก เช่น ที่ระหว่างมือทั้งสองข้าง โดยกำหนดภาพให้พลังงานนั้นรวมตัวกันเป็นก้อนกลม

    handsani.gif


    พยายามใช้ระบบประสาทสัมผัสต่างๆประกอบกับภาพที่เราสร้างขึ้น เช่น รู้สึกถึงการไหลของพลังงานผ่านไปตามส่วนต่างๆของร่างกายไหลไปที่มือทั้งสองข้าง หรือ อาจจะสัมผัสถึงเสียง เป็นขั้นตอนเริ่มต้นในการฝึกการรับสัมผัสของพลังงาน




    ขั้นตอนที่ห้า คือ การเพิ่มพลังงานให้บอลพลังจิต

    การเพิ่มพลังงานให้บอลพลังจิตนั้นมีสองวิธี คือ



    1. การเพิ่มขนาดของบอลพลังจิต โดยยังคงความหนาแน่นเท่าเดิม
    grow.gif


    2. การเพิ่มความหนาแน่นของพลังงาน ( ขนาดเท่าเดิมแต่หนาแน่นขึ้น )


    dense.gif

    ทั้งสองวิธีนั้น สามารถทำได้โดยการกำหนดภาพตามปกติ คือ กำหนดภาพให้บอลพลังจิตขยายใหญ่ขึ้น หรือ กำหนดภาพให้บอลพลังจิตหนาแน่นขึ้น




    เมื่อคุณทำมาถึงขั้นที่ห้า เท่ากับคุณได้สำเร็จขั้นต้นของการฝึกพลังจิตแบบหนึ่ง

    ที่มา http://dhavavimut.blogspot.com/2012/01/peebrain.html
     
  18. ขง

    ขง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +676
    วลา รวบรวม พลังงาน พระอาทิตย์ ( สุริยัน) หรือ พระจันทร์ ( จันทรา) ได้แล้ว

    ขั้นตอนแรก ให้รวบรวม พลังลมปราณไว้ที่ท้องน้อยก่อน

    ในขณะที่ รวบรวมลมปราณที่ท้องน้อย ให้ชักนำไซบอล จากที่มือ

    ลงไปท้องน้อยด้วย เมื่อพลังงานไซบอลลงไปที่ ท้องน้อย ผนวกกันกับ

    ที่ รวบรวมลมปราณได้พอสมควรแล้ว จึงโคจรพลังงานสุริยัน / จันทรา

    พร้อมๆกันกับลมปราณ ตามวงโคจรของลมปราณ


    ถ้าร้อน มาก ก็ใช้ พลังจันทราช่วย จันทรา จะดึงมาได้เฉพาะตอนกลางคืน

    ที่มีพระจันทร์บนท้องฟ้า


    ถ้าเย็นมาก ใช้ พลังสุริยันช่วย สุริยัน จะดึงมาได้เฉพาะตอนกลางวัน

    ที่มีพระอาทิตย์บนท้องฟ้า


    ลักษณะนี้ คล้ายๆกับ ปรับสมดุลในร่างกาย แบบเดียวกับไทย ที่ใช้ธาตุ 4
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2017

แชร์หน้านี้

Loading...