+ วิญญาณและการเวียนว่ายตายเกิด +

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย พนมกุเลน, 28 กุมภาพันธ์ 2012.

  1. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    บทพิสูจน์ การเวียนว่ายตายเกิดและกฎแห่งกรรม

    โดย นายแพทย์อาจินต์ บุณยเกตุ คุยกับวิญญาณ


    [​IMG]

    ของ ด.ญ.พิมพวดี โหสกุล

    [​IMG]


    [​IMG]

    "ลูก แล้วพ่อต้องถูกผ่าสมองอีกไหมนี่ แล้วเมื่อไรจะหายจากโรคนี้"

    เป็นคำถามที่ผมถามออกมาดังๆ จากปาก ต่อหน้าภรรยาและพยาบาลพิเศษ ที่เฝ้าพยาบาลผม
    ในห้องผู้ป่วยที่ตึกวิบูลลักษณ์ โรงพยาบาลศิริราช เมื่อกลางปี พ.ศ. 2504
    โดยมีคุณใบ กล้าหาญ แห่งโรงพยาบาลสงฆ์ ไปนอนเป็นเพื่อนด้วย

    "พรุ่งนี้ สองโมงเช้า พ่อจะต้องถูกผ่าอีกครั้ง คราวนี้จะทารุณที่สุด"


    เป็นคำตอบของเด็กหญิงพิมพวดี โหสกุล ซึ่งถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. 2503
    และบิดาของหนูพิมพวดี(นายเสียง โหสกุล) ได้สร้างพลับพลาไว้เป็นอนุสรณ์แก่แม่หนู
    ที่วัดมกุฎกษัตริยาราม พลับพลาแรกทางขวามือ

    ซึ่งเมื่อก้าวเข้าไปในวัด บริเวณฌาปนสถาน คุณจะแลเห็นพลับพลานี้
    พร้อมทั้งรูปในกรอบหินอ่อน จารึกไว้ว่า เด็กหญิงพิมพวดี โหสกุล

    ไม่มีใครในห้องผู้ป่วย ที่ผมนอนอยู่ ได้ยิน นอกจากผมคนเดียว
    ผมจึงทวนคำพูดของแม่หนูออกมาดัง ๆ ว่า พรุ่งนี้ แปดโมงเช้าต้องผ่าอีก
    คราวนี้จะทารุณที่สุด

    ผมสนใจคำพูดของพิมพวดี ที่ไม่มีใครแลเห็นนอกจากผม
    ทั้งสองคนคอยฟัง และคอยจดจำคำพูด ด้วยความหวาดกลัวและงุนงง

    เรื่องเป็นอย่างไร เท็จจริงแค่ไหน ผมกำลังจะเล่าให้คุณฟัง ณ บัดนี้

    ผมเริ่มเรื่องว่า ผมได้ป่วยด้วยโรคปวดประสาทสมองเส้นที่ห้า
    (ประสาทสมองมีสิบสองคู่) ทางด้านขวา เริ่มเป็นมาตั้งแต่วัยรุ่น อายุราว ๆ 16-17 ปี
    ตอนนั้นพอดีเกิดสงครามอินโดจีน และก็เป็นเรื่องมาระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นๆหายๆ
    โดยมีอาการปวดประสาทด้านขวา ตั้งแต่เบ้าตาขึ้นไปถึงกลางกระหม่อม
    ปวดอยู่ซีกเดียว

    ตอนนั้นยังเป็นหนุ่มแน่นอายุยังน้อย อาการก็ไม่ทรมานรุนแรงมากนัก กินยาแก้ปวดแรงๆ หน่อยก็บรรเทาไปได้
    ได้ขอให้อาจารญ์ที่ศิริราชตรวจ ท่านก็บอกว่าสายตามีส่วนช่วยให้ปวดประสาทได้เพราะสายตาไม่ดี
    ผมก็เลยส่วมแว่นตามาตั้งแต่อายุยี่สิบปีจนบัดนี้

    สรุปว่า ผมป่วยด้วยโรคนี้มานานเป็นสิบๆ ปี ตอนที่เป็นนายแพทย์ผู้อำนวยการที่จังหวัดภูเก็ตก็เป็น
    ตอนที่ไปศึกษาต่อที่อเมริกาสามปีก็เป็นทั้งสามปี แพทย์ที่อเมริกาสามปีก็เป็นทั้งสามปี แพทย์ที่อเมริกาชวนผ่าตัด ผมก็ยอม
    พอจะผ่าตัดมันก็เกิดหายปวดเพราะมันเป็นๆหายๆ หมอที่นั่นเลยไม่กล้าผ่า

    ผมเป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงฆ์ อยู่ฝ่ายวิชาการ เกิดปวดมากอีกหนทนไม่ไหว
    ต้องเข้ารับการรักษาที่ศิริราชตอนนี้เอง

    โรคนี้ไม่รู้สาเหตุ แต่เดี๋ยวนี้ คุณหมอศิระ บุญยรัตเวฃ หัวหน้าศัลยกรรม โรงพยาบาลรามาธิบดี ผู้เชี่ยวชาญทางศัลยกรรมสมองและประสาท
    (ท่านผู้นี้เองที่รักษาผมหายขาด ด้วยการฉีดน้ำยาเข้าไปในสมอง ไปทำลายต้นตอของประสาทเส้นนี้ ให้หมดสภาพไปเลย)

    ท่านบอกว่าหนึ่งในสาเหตุของโรคนี้ ก็คือเส้นโลหิตในสมองเส้นหนึ่งไปเบียดเส้นประสาทสมองเส้นที่ห้านี้
    เมื่อเส้นโลหิตขยายตัวตามจังหวะการเต้นของหัวใจ มันก็จะเบียดกระตุ้นเส้นประสาทนี้ทุกที หนักๆ เข้าก็ระบมปวด

    อย่างนี้คนโบราณเรียกว่า ลมตะกัง หมอปัจจุบันเรียก ไมเกรน หรือ ติ๊ค เดอลารู หรือไทรเจมินัลนิวราลเจีย ซึ่งมันก็ชื่อเดียวกัน
    การรักษายากมาก

    ตอนปี พ.ศ. 2504 นั้น คุณหมอศิระยังไม่กลับจากการศึกษาต่อจากอังกฤษ
    ท่านกลับมาตอน พ.ศ. 2507 หรือราวๆ นั้น ท่านศาสตราจารญ์ น.พ.อุดม โปษกฤษณะ
    เป็นผู้รักษาผม , ศ.จ.น.พ. วิชัย บำรุงผล แห่งภาควิชาศัลยกรรม และศ.จ.น.พ.สมบัติ สุคนธพันธ์ ฝ่ายโรคทางยามาร่วมด้วย

    ทั้งสองท่านหลังนี้เป็นเพื่อนกัน ก็เลยตั้งใจมากเป็นพิเศษ แต่มันไม่หาย

    ผมได้ถูกรับตัวไว้เพื่อตรวจละเอียด และรักษาที่ตึกวิบูลลักษณ์ชั้นล่าง ห้องที่เท่าไรก็จำไม่ได้เสียแล้ว
    ได้รับการดูแลเยียวยารักษาอย่างดีจากครูบาอาจารย์และเพื่อนฝูง แต่อาการปวดประสาทก็รุนแรงมาก แทบจะผูกคอตายไปหลายหน

    คืนหนึ่งราวๆสองทุ่มเศษๆ โรคปวดประสาทมาเอาผมอีก ทีนี้ปวดดิ้นเลย
    พยาบาลให้กินยาฉีดยาตามแพทย์สั่งไว้ก็ไม่สงบ เมื่อเป็นเช่นนั้น

    ผมก็นอนหลับตาเอามือกุมขมับข้างที่ปวด แล้วภาวนาบริกรรมพุทโธๆๆ ทำอานาปาณสติไปเรื่อง ๆ ที่ผมทำแบบนี้ได้ ก็เพราะเมื่อปี พ.ศ. 2500
    ผมบวชพระที่วัดราชาธิวาสหนึ่งพรรษา วัดนี้เป็นวัดวิปัสสนากรรมฐาน ผมก็ได้รับการอบรมเรื่องนี้มาด้วย พอทำสมาธิวิปัสสนาสักครู่ อาการปวดก็สงบลง

    มันก็เป็นเช่นนี้ คือปวดสักพักแล้วก็บรรเทา พอสงบผมก็เลยสงบจิตทำสมาธิต่อ ประมาณ 3 ทุ่มเศษ ผมมองเห็นอะไรรางๆ

    ก็ลืมตาขึ้นมาพลางถามภรยาและพยาบาลพิเศษที่เฝ้าอยู่สองคนนี้ว่า "ใครมา"
    ได้รับคำตอบว่า "ดึกแล้ว ไม่มีใครมาหรอก"

    ผมก็หลับตาเข้าสมาธิต่อ พอสักครู่ก็เห็นชัด ขนาดลืมตามองก็เห็นชัด
    ว่ามีเด็กผู้หญิงรูปร่างอ้วนเหลือกำลัง อ้วนอย่างกับเป็นโรคชนิดหนึ่ง
    แต่หน้าตายังเด็กมายืนอยู่ข้างเตียง เธอแต่งตัวด้วยชุดของโรงพยาบาล

    เมื่อเห็นเช่นนี้ ผมก็เอ่ยปากออกถามว่า "หนู เป็นใคร มาทำไมที่นี่"
    ผมพูดออกมาดังๆ เพื่อให้สองคนนั้นได้ยิน..
    รวมทั้งคุณใบ กล้าหาญ ซึ่งรับราชการอยู่ที่โรงพยาบาลสงฆ์จนทุกวันนี้
    และไปเฝ้าผมอยู่ด้วย..

    ภรรยาจึงมาเขย่าแขนแล้วพูดว่า..
    "เธอๆ นี่อยู่นี่ๆๆ" ก็คงนึกว่าผมปวดมากจนเพ้อ..
    ผมก็บอกว่า "ไม่ได้เพ้อ หรือเสียสติอะไรหรอก แต่มีใครเห็นไหม หนูอ้วนมานั่งอยู่ข้างเตียงนี่"
    สองคนนั้นตอบว่า "ไม่มีใคร ดึกแล้ว.."

    ผมสังเกตว่าสองคนนั่นเขยิบเข้ามาชิดๆ กัน ภรรยาผมก็ทำท่าจะสวดมนต์
    เห็นพนมมือไหวพระปลกๆ แต่ผมก็ยังข้องใจ
    เพราะหนูคนนั้นก็ยังนั่งอยู่อย่างสงบเสงี่ยม
    ผมก็เลยพูดออกมาดังๆ กับภรรยาและพยาบาลในห้องว่า "จะคุยกับหนูคนนี้นะ ช่วยจดๆ จำๆ ไว้ด้วย.."
    แล้วผมก็ถามด้วยเสียงออกจะดังๆ ว่า "หนูเป็นใคร มาทำไมในห้องนี้.."

    แม่หนูตอบว่า "..หนูเคยป่วยในห้องนี้และตายในห้องนี้ เมื่อประมาณสองปีมาแล้ว.."

    ภรรยาผมคอยฟังและคอยจด..

    "อ้อ หนูเคยมาป่วยที่ห้องนี้ และตายที่ห้องนี้..หนูป่วยเป็นอะไรตาย"

    "ป่วยด้วยโรคอ้วนตายค่ะ"
    ภรรยาและพยาบาลช่วยกันจดใหญ่

    "หนูเป็นลูกใครหลานใครจ๊ะ"

    "คุณตาหนูเป็นพระยาค่ะ ชื่อของท่านขึ้นต้นด้วย อ ลงท้ายด้วย สิริ"

    ผมทวนคำพูดของเธอดังๆ ให้ได้ยินทุกคน

    "งั้นหนูก็เป็นหลาน" ผมพยายามนึก สักครู่ก็นึกออกแล้วพูดออกมาว่า "หลานเจ้าคุณอัชราทรงสิริ ใช่ไหมล่ะ"
    หนูคนนั้นก็ตอบว่า "ใช่ค่ะ คุณอาเก่งมาก.."

    "แล้วพ่อหนูล่ะ"

    "คุณอา ไม่รู้จักหรอกค่ะ"

    ผมถามต่อไปว่า "หนูมีพี่น้องกี่คน"

    "มีสามคนค่ะ หนูเป็นผู้หญิงคนเดียว" ผมทวนคำพูดดังๆ ทุกคำ เพื่อให้ผู้ที่กำลังฟังได้ยินด้วย

    "หนูมานี่มีความประสงค์อะไรจ๊ะ"

    "หนูมีเพี่อนหนึ่งคน เขาเสียชีวิตเมื่อกลางปีกลายที่ตึกเด็ก เขาบอกว่า เขาเป็นลูกคุณอาเมื่อชาติก่อน
    เขาอยากจะมาหา และมาช่วยคุณอาให้หายป่วยจากโรคนี้ เขาให้หนูมาบอกคุณอาก่อนค่ะ.."


    จากนั้น แม่หนูคนนั้นก็หายไป หายวับไปเลย ผมก็ลุกขึ้นนั่ง เล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้ภรรยาและพยาบาลที่นั่งอยู่ด้วยฟัง
    พยาบาลคนนั้นเธอตื่นเต้นมาก พลางบอกกับผมว่า พรุ่งนี้เขาจะไปถามหัวหน้าตึก

    ขอค้นประวัติและขอทราบว่า ตึกนี้ห้องนี้ เมื่อประมาณปี 2502 มีเด็กหญิงถึงแก่กรรมที่ตึกนี้ห้องนี้หรือเปล่า
    เพราะเธอแปลกใจและสนใจที่ผมพูดกับแม่หนูคนนั้น เป็นเรื่องเป็นราวตั้งนาน

    จากนั้นผมก็เข้านอนไป โดยไม่ลืมภาวนาบริกรรมพุทโธๆๆ ไปด้วย

    ประมาณห้าทุ่มคืนเดียวกันนี้เอง ด้วยอาการปวดประสาทอย่างแรงได้ปลุกผมตื่นขึ้นมาอีก
    แต่สองคนที่อยู่ในห้องหลับไปแล้ว

    ตอนนี้เงียบสงัด แต่ผมนอนกุมขมับ กุมศีรษะด้านขวาอยู่คนเดียวด้วยความปวดที่ออกจะรุนแรงเอาการอยู่
    ผมก็ได้ยินเสียงแว่วๆ ที่หูว่า "เธอ พ่อเธอนอนอยู่นี่ยังไง.. เข้ามาสิ.."

    ผมลืมตาขึ้นมอง ก็ไม่เห็นอะไร แต่พอหลับตาก็ได้ยินเสียงพูดอีกว่า เข้ามาสิ มาเถอะ

    ผมลืมตาอีกที ทีนี้เห็นเด็กสองคนมายืนที่ข้างเตียงผม คนหนึ่งอ้วนปี๋ก็คนเก่า
    อีกคนหนึ่งอยู่ในวัยสิบสองขวบ หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู
    เธอเดินมายืนข้างเตียงผมแล้วพูดว่า "พ่อ หนูมาช่วยพ่อ.."

    ผมจึงเรียกภรรยาผมและพยาบาลให้ตื่น แล้วถามว่า
    "เห็นเด็กผู้หญิงสองคนตรงนี้ไหม.. เด็กๆ มายืนอยู่ที่นี่แน่ะ.."

    พยาบาลเปิดไฟในห้องนอนสว่างพรึ่บแล้วบอกว่า ไม่เห็นมีใครมาสักคนนี่คะ
    ผมก็ยืนยันว่า

    "มีซิ มีแม่หนูสองคนมาเยี่ยม แล้วมายืนอยู่ตรงนี้ นี่ยังไง.."

    พลางผมก็ยื่นมือออกชี้ที่ตัวเด็ก คุณใบ ยกเก้าอี้มา 2 ตัว ให้แขกที่เขามองไม่เห็น นั่งข้างเตียงทันที..

    ภรรยาผมกับพยาบาลตื่นขึ้นนั่ง ขยับตัวเข้ามาชิดกัน แล้วทั้งสองคนก็พนมมือ
    ทำท่าจะสวดมนต์อีกรอบ

    หนูอ้วนยืนอยู่สักครู่ก็ลาไป "คุณอาคะ หนูไปก่อนนะคะ"

    ว่าแล้วก็หายวับไปอีกที.. เหลือแต่แม่หนูคนเล็กคนเดียว

    ตอนนี้ เธอนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงนอนผม ข้อศอกสองข้างเท้าที่นอนยันคางไว้ แล้วถามว่า "พ่อปวดศีรษะมากหรือคะ"

    ผมตอบว่า "ตอนนี้ปวดมากจ้ะ"

    เธอก็ยื่นมือข้างหนึ่งมากุมหรือกดศีรษะด้านที่ปวดของผมไว้ แล้วบอกว่า "สักครู่จะทุเลา"
    ต่อจากนั้นสักพัก อาการปวดศีรษะก็สงบ

    ผมจึงถามเธอว่า "หนูเป็นใคร แล้วทำไมมาเรียกว่าพ่อ.."

    ตอนนี้สองคนนั้นเริ่มจดอีก

    "ชาติที่แล้วมา หนูเป็นลูกพ่อ.."

    ผมก็ทวนคำพูดของแม่หนูนั้นว่า "อ้อ....ชาติที่แล้วเป็นลูกของพ่อ.."

    ต่อไปนี้ เป็นคำสนทนาของผมกับเด็กหญิงผู้นั้น โดยผมถามดังๆ และทวนคำตอบดังๆ เช่นเคย

    "ชาติก่อนนี้หนูเป็นลูกผู้ชายหรือผู้หญิง"

    "เป็นผู้หญิงค่ะ"

    "หนูเป็นอะไรถึงตาย..ในชาติก่อนนั้น"

    "หนูไปเล่นน้ำแล้วไถลลื่น เลยตกแม่น้ำตาย.."

    "หนูตายที่ไหน.."

    "ตกน้ำตายที่ท่าโรงโม่"

    จึงถามเธอว่า "โรงโม่อยู่ที่ไหน"

    "ก็อยู่แถวๆ ท่าเตียนนี่แหละ..ไม่ไกลเท่าไร"

    "ตอนที่ตกน้ำตายอายุเท่าไหร่.."

    "ก็สิบกว่าขวบค่ะ"

    "ชาติก่อนนี้พ่อเป็นอะไร"

    "ชาติก่อนนี้พ่อรับราชการในรัชกาลที่ 3 เป็นผู้คุมนักโทษและราชมัล.."

    "ราชมัลเป็นอย่างไร พ่อไม่รู้จัก.."

    "ราชมัลเป็นผู้คุม เป็นคนลงโทษนักโทษ ทรมานนักโทษรวมทั้งประหารชีวิตนักโทษด้วย.."

    ผมได้ฟังแล้วตกใจมาก เพราะชาตินี้ผมไม่ชอบเบียดเบียนใคร ไม่ชอบการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอย่างใดทั้งสิ้น

    แล้วจึงถามแม่หนูนั้นว่า "ที่พ่อป่วยนี้ ป่วยมานานเป็นเพราะอะไร แล้วเมื่อไหร่จะหาย"

    เธอตอบผมว่า "ป่วยเพราะกรรมเก่า ที่ทำไว้แต่ชาติก่อน พ่อมีหน้าที่เกี่ยวกับนักโทษ ควบคุมลงโทษ ทรมานเขา กรรมก็ตามสนองในชาตินี้"

    ผมแย้งว่า "ก็เราทำตามหน้าที่ ลูกบอกว่าหน้าที่คือควบคุม ลงโทษ ทรมาน ถ้าเราไม่ทำเราก็ผิด.."

    แม่หนูก็ตอบว่า "ครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่ง รูปร่างอ้วนใหญ่สูงดำ ถูกฎีกาว่า ฆ่าชาวบ้านตาย ทำทารุณต่างๆ แก่ราษฎร ความจริงเขาไม่ได้ทำ
    แต่ชาวบ้านรวมหัวกันไปใส่ความเขา พระอัยการก็คุมตัวมาลงโทษ สอบถาม เขาไม่ได้ทำ เขาก็ไม่รับ


    ราชมัลก็คือพ่อ ได้ลงโทษเขา จับเขาเข้าขื่อเข้าคาตอกเล็บเขา แล้วเอาเครื่องมาบีบขมับเขา บีบขมับจนเขาสลบ เพราะความเจ็บปวด เขาก็ไม่รับว่าเป็นผู้ร้าย พ่อก็ลงโทษ บีบขมับเขาอีก เพื่อให้เขารับว่าเป็นสัตย์

    เขาก็ไม่รับ ในที่สุด เขาทนทรมานไม่ไหว เขาก็ขาดใจตาย ก่อนตาย เขาผูกใจพยาบาทอาฆาตไว้ว่า จะจองเวรไปทุกชาติจนกว่าจะหมดเวร..ตอนนี้กรรมมาตามทันอย่างเต็มที่แล้ว จึงได้ป่วยเช่นนี้"

    ผมทวนคำพูดของแม่หนูน้อยทุกอย่าง ภรรยาและพยาบาลนั่งจำและจดไว้ทุกคำพูด

    ผมจึงถามต่อไปว่า"เมื่อไหร่จะชดใช้กรรมนี้หมดเสียที"
    แม่หนูตอบว่า "พ่อทำไว้มาก ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว กรรมก็สลับกัน กรรมดีทำให้พ่อเกิดมาอย่างนี้ กรรมชั่วก็ตามมาสนองอย่างนี้"

    "แล้วเมื่อไหร่จะหมดบาปหมดกรรม"

    "อีกสี่ปี"แม่หนูตอบว่า "พ.ศ. 2508 พ่อถึงจะหมดกรรมนี้ แล้วถึงจะหายป่วย"

    ภรรยาผมนั่งฟังอยู่ตลอด ก็ขอให้ผมถามว่า "เมื่อชาติก่อนเธอเกิดเป็นอะไร"

    แม่หนูตอบว่า "คุณแม่เมื่อชาติก่อนนี้ เป็นแม่ชี ถือศีลกินเพลอยู่วัดใต้"

    ผมก็ไม่ทราบว่าวัดใต้ไหน

    แม่หนูก็บอกว่า เวลาปวดประสาทมากๆ ให้นึกถึงเธอ เธอจะมาช่วยให้เบาบางลง

    แล้วก็เอามือมากุมศีรษะข้างที่ปวดพลางก็พูดว่า "พรุ่งนี้ แปดนาฬิกา หมอจะเอาตัวไปผ่ากะโหลกศีรษะ.."

    ผมก็ย้ำว่า "พรุ่งนี้เช้าหรือ จะผ่ากะโหลกพ่อหรือ.."

    เธอก็พยักหน้ารับคำแล้วก็บอกว่า "หนูจะไปก่อนละ.."

    พยาบาลและภรรยาผมนั่งสงบอย่างบอกไม่ถูก และแล้วในที่สุด ก็ม่อยหลับไปทั้งสามคน

    รุ่งขึ้น เวลาประมาณ 8.00 น อาจารย์หมออุดมมาตรวจเยี่ยม ได้รับรายงานว่า

    เมื่อคืนนี้ปวดประสาทมาก ปวดจนดิ้นถึงสองครั้ง ท่านยืนคิดสักครู่แล้วจึงพูดว่า

    "แปดโมงเช้านี้ จะเอาตัวไปผ่าตัด ผ่าเอาปมประสาทที่ปวดออก"

    แล้วหันมาสั่งพยาบาลให้ไปบอกหัวหน้าตึกว่า "ให้เตรียมคนไข้รายนี้ไปผ่าตัด"

    ภรรยาและพยาบาลมองหน้ากัน ด้วยความงุนงงเต็มที เพราะไม่มีใครเชื่อว่าจะนำผมไปผ่าตัด ที่งงก็เพราะเมื่อคืนนี้

    ได้ยินผมพูดคนเดียว คือทวนคำพูดของแม่หนูว่า พรุ่งนี้ แปดนาฬิกา

    หมอจะเอาไปผ่าตัด ตอนนั้นก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง มาตอนนี้เชื่อแล้ว เชื่อไม่มีข้อสงสัย

    สักครู่พยาบาลก็เข้ามาในห้องผม จัดแจงโกนผม โกนคิ้วด้านขวาขึ้นไปถึงกลางศีรษะ

    แล้วทำความสะอาด ต่อจากนั้นก็ฉีดยาให้สลึมสลือ ก็ประเภทมอร์ฟีน

    จน 8.00 น. รถเข็นคนไข้ก็มาเทียบ เอาตัวผมนอนเปลเข็นไปห้องผ่าตัด

    โดยมีภรรยาผมเดินตามไปด้วย ผมเองตอนนั้นก็จะหลับมิหลับแหล่อยู่แล้ว

    และแล้วผมก็หมดสติไป เมื่อได้รับยาสลบที่ห้องผ่าตัด

    ผมมาทราบตอนหลังว่า ในวันรุ่งขึ้น คือวันที่ผมได้รับการผ่าตัดนั้น

    พยาบาลในห้องได้ไปคุยกันกับหัวหน้าตึก และคุยกันต่อๆ ไป

    ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ทุกคนมีอาการเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็แปลกใจทุกคน ที่ประหลาดใจมากก็คือ

    ในเมื่อผมเรียนจบจากศิริราชไปตั้งกว่าสิบปี จบแล้วออกไปเลย ไม่ทำงานอยู่ในนั้น

    เหตุไฉนจึงทราบเรื่องเด็กหญิงที่เป็นโรคอ้วน

    และเด็กหญิงถึงแก่กรรมที่เตียงที่ผมนอนป่วยในตึกวิบูลลักษณ์ และเธอตายในปีนั้นๆ

    ด้วยความสนใจพยาบาลหัวหน้าตึกได้ไปค้นประวัติ สืบประวัติของผู้ป่วยที่มาป่วยตึกนี้ในปี 2502 - 2503

    ค้นอยู่นานเพราะไม่ทราบชื่อผู้ป่วย และในที่สุดก็ค้นมาจนได้ว่า

    ได้มีเด็กหญิงหนึ่งคนป่วย และถึงแก่กรรมที่ห้องนี้ด้วยโรคอ้วนจริง

    ความประหลาดใจในหมู่คนที่รู้เรื่อง ก็ชักจะกลายเป็นความเชื่อขึ้นมาทีละน้อย ๆ

    แต่พอพยาบาลที่เฝ้าเธอบอกว่า เด็กมาหาคุณหมอ ที่บอกว่าเป็นลูกในชาติก่อน

    เมื่อคืนนี้มาบอกว่าจะถูกผ่าที่ศีรษะเช้าวันนี้ พอวันรุ่งขึ้นเช้า อาจารย์หมออุดมก็มาเอาตัวไปจริงๆ

    "แปลกนะเธอ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ.." พยาบาลสาวพึมพำกันทั้งตึก

    และจากตึกนี้ก็ไปตึกโน้น ไปจนทั่วโรงพยาบาลภายในไม่กี่วัน

    อาจารย์หมออุดม ท่านเคยรักษาโรคนี้ให้ผมมาสองสามครั้งแล้ว

    โดยฉีดยาเข้าไปในกะโหลกศีรษะ หมายจะให้ยาไปทำลายประสาทที่ปวดแต่ไม่ได้ผล

    มันเหมือนกับตีงูให้หลังหัก โรคนี้อาละวาดใหญ่ ที่ฉีดยาเข้าไปในศีรษะนี้ ประมาณสี่ครั้งในสองปี

    เมื่อฉีดยาไม่ได้ผล ท่านก็เลยผ่าลงไปในสมองตัดปมประสาทเสียเลย

    โดยเจาะกะโหลกศีรษะด้านขวาเหนือหูขึ้นมาหน่อย คงจะเหมือนกับชาติก่อนที่ไปบีบขมับเขาตามที่แม่หนูเธอว่า..

    เจาะแล้วเอากระดูกกะโหลกออกมา ขนาดราวๆ เหรียญสองสลึง ทำให้มีรูเกิดขึ้น

    จากนั้นก็เอามีด เอากรรไกร เข้าไปตัดเส้นประสาทเส้นที่ 5 แต่อาจารย์ท่านว่า..

    การผ่าตัดทำด้วยความยากลำบากมาก เพราะเรื้อรังมานาน ประกอบกับการได้รับการฉีดแอลกอฮอลล์เข้าไปหลายหน มันก็เกิดพังผืดขึ้น

    ผลการผ่าตัดไม่น่าพอใจเท่าไร แต่เชื่อว่าคงให้ผลไม่น้อย

    การผ่าตัดประสาทสมองนี้กินเวลาราว ๆ สี่ชั่วโมง เพราะความยากลำบากดังกล่าว

    พอราวๆ เที่ยง เขาก็เข็นรถกลับมาที่เดิม ในห้องมีแม่ผม ภรรยา พ่อตา แม่ยาย ซึ่งทั้งสองท่านนี้ มีศักดิ์เป็นลุงและเป็นป้าของผมด้วย

    ทุกคนก็คิดว่าผมคงตายไปแล้ว เพราะนานเหลือทนระหว่างที่คอยรับผมในห้องพยาบาล และภรรยาก็เล่าเรื่องทั้งหมดเมื่อคืนให้ทุกคนได้ฟัง

    ต่างก็รับฟังโดยไม่มีข้อสงสัยใด ๆ

    ค่ำนั้น ก็เกิดอาการปวดขึ้นมาอีก ทีนี้ปวดสองอย่างคือ ปวดเจ็บในสมองที่ผ่าตัด ปวดแผล มิหนำซ้ำ โรคปวดเดิมก็ไม่ทุเลา ทำให้เกิดทุกข์ทรมานกว่าเก่า

    มือทั้งสองก็กุมที่แผล กุมศีรษะร้องปวด ดิ้นไป และแล้วก็นึกได้..

    "หนู ช่วยพ่อด้วย"ผมตะโกนออกมาดังๆ

    ในห้องนั้นมีญาติพี่น้องมาเยี่ยมกันมากมาย ต่างก็ได้รับฟังเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด ทุกคนสงบ มีแต่ผมผู้เดียว ทุรนทุรายอยู่บนเตียง..

    ชั่วอึดใจเดียว ก็ปรากฏร่างของเด็กหญิง ที่บอกว่าเคยเป็นลูกผมเมื่อชาติก่อน มานั่งอยู่ข้างเตียง

    ผมจึงถามว่า "มาแล้วหรือลูก .. ลูกช่วยพ่อที ตอนนี้ปวดเหลือทนแล้ว"

    แม่หนูก็เอามือมาวางที่ศีรษะ แล้วพูดว่า "เดี๋ยวจะทุเลา"ก็เป็นจริงอย่างว่า อาการปวดก็บรรเทาลง

    พยาบาลซึ่งถือเข็มฉีดยาจะฉีดให้ก็เลยไม่ต้องฉีด คุณใบก็ช่วยยกเก้าอี้ให้แขกที่แลไม่เห็นนั่งอย่างเคย..

    แม่หนูก็นั่งอยู่ข้างเตียง เอาศอกยันเตียงเอามือเท้าคางตามเดิม ผมก็ถามว่า "หนูอ้วน ไปไหนล่ะ"

    เธอตอบว่า "ไม่ได้มาวันนี้.."

    ทุกคนในห้องฟังผมโต้ตอบพูดคุยกับแม่หนู ผมถามต่อไปว่า "หนูชื่ออะไรจ๊ะ"

    เธอตอบว่า ก่อนที่จะตายนี้ "หนูชื่อพิมพวดี"

    "หนูเป็นอะไรตาย.."

    "เป็นไข้เลือดออกตายค่ะ"

    "ตายที่นี่หรือ.."

    "ตายที่ตึกเด็กค่ะ"

    "ตายเมื่อไรจ๊ะ"

    "เมื่อปี 2503 ค่ะ"

    "หนูมีพี่น้องกี่คน"

    "มีห้าคนค่ะ"

    "ผู้หญิง ผู้ชายกี่คน"

    "หนูเป็นหญิงคนเดียวค่ะ"

    "พ่อแม่ เสียใจมากไหม ที่หนูตายจากไป"

    "พ่อแม่เสียใจมาก เพราะหนูเป็นลูกผู้หญิงคนเดียว พ่อสร้างพลับพลาอุทิศส่วนกุศลให้หนูที่วัดมกุฎฯ
    เอาชื่อหนูไปตั้งชื่อพลับพลานี้


    มีรูปหนูแล้วมีคำจารึก มีศพของหนูฝังอยู่ในนี้ด้วยค่ะ พ่อดีขึ้นแล้ว หนูขอลาไปก่อน แล้วจะมาหาพ่ออีกจ๊ะ.."

    คำพูดทุกคำระหว่างแม่หนูพิมพวดีกับผม ทุกคนในห้องได้ยินได้ฟังและฟังอย่างตั้งอกตั้งใจจริง ๆ
    พยาบาลมาฉีดยาให้ผมอีก

    แล้วผมก็หลับไป จนเช้า โดยไม่มีอาการปวดรุนแรงมารบกวนอีกเลยในคืนนั้น
    เหมือนกับยังไม่สิ้นกรรมสิ้นเวร อาการของโรคที่สงบไปคืนหนึ่งนั้น

    พอรุ่งเช้าก็เอาอีก ปวดอีก ทุรนทุราย ร้องครวญครางอีก
    อาจารย์ท่านก็มาดูอาการทุกเช้าทุกวัน สั่งการรักษาทุกวัน เช้าสบายสายปวด
    กลางวันสบาย บ่ายปวดดิ้น

    หรือพอตอนเย็นสบายชื่นฉ่ำ พอค่ำก็ร้องคราง เป็นอย่างนี้อีกสามหรือสี่วัน ทุกครั้งที่ปวดผมจะนึกถึงหนูพิมพวดีทันที
    ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน

    ถ้าเป็นกลางวันก็จะได้ยินเสียงพูดว่า "พ่อ หนูมาแล้ว"

    แล้วเธอก็จะเอามือมาช่วยกุมที่ปวดจนผมทุเลา คำพูดที่ผมพูดคือ"มาแล้วหรือลูก.."

    ทุกคนที่มาเยี่ยมผม หรือมาอยู่ในห้องจะเงียบสงบ

    คอยฟังคำพูดของผมที่พูดกับวิญญาณในเรือนร่างของหนูพิมพ์ อย่างใจจดใจจ่อเหมือนนัดกัน

    ในเย็นวันหนึ่ง เย็นมากแล้ว ฯพณฯ ทวี บุณยเกตุ ซึ่งเป็นพี่ชายของผม

    [​IMG]

    ท่านไปเยี่ยมพร้อมด้วยบุตรชายของท่าน คุณวีระวัฒน์ บุณยเกตุ หรือที่ญาติๆ เรียกชื่อเล่นว่า บู๊ เป็นคนขับรถพาพี่ชายไปที่ศิริราช
    ท่านถึงอนิจกรรมไปแล้ว เหลือคุณวีระวัฒน์ ซึ่งเดี๋ยวนี้ดำรงตำแหน่งเป็นรองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
    คุณทวี เป็นประจักษ์พยานท่านหนึ่ง

    [​IMG]

    โดยในขณะนั้น อาการปวดของผมกำเริบอีก ปวดมากขึ้นๆ ผมก็นอนร้องเรียกหนูพิมพ์ให้มาช่วย
    คุณทวีท่านทราบเรื่องอยู่บ้างแล้ว จากปากคำของญาติๆ ท่านก็เลยนั่งอยู่

    ปกติท่านไปเยี่ยมผมบ่อยมาก แต่ไปนั่งไม่นาน เพราะท่านทนความสงสารในความทุกข์ทรมานของผมไม่ไหว

    เย็นนั้นท่านนั่งอยู่นานหน่อย พอดีผมปวดมาก แล้วร้องเรียกหนูพิมพ์ว่า "ลูกมาช่วยพ่อที"

    คุณทวีทราบเรื่องนี้จากญาติพี่น้องมาหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ท่านมาเห็นพอดี

    คือผมเรียกหนูพิมพ์ หนูพิมพ์ก็มา ผมก็ถามเธอว่า "ผ่าแล้ว ทำไมยังไม่หายอีก"

    หนูพิมพ์ตอบว่า "ยังไม่หาย ยังไม่หมดเวรกรรมที่ทำไว้.."

    แล้วเมื่อไรจะหาย เธอตอบว่า "ราวๆ อีกสี่ปี พ.ศ. 2508 นั่นแหละ"

    ผมถามดังๆ ต่อไปว่า "แล้วทำอย่างไรต่อไป"

    เธอตอบว่า "พรุ่งนี้ แปดโมงเช้า หมอจะเอาตัวไปผ่าอีก จะต้องผ่าอีกสองครั้ง รวมสี่ครั้งในคราวนี้.."

    ผมก็ทวนคำพูดของเธอแล้วร้องว่า "ต้องผ่าอีกสี่ครั้งเชียวรึ.."

    คุณทวีนั่งฟังอย่างสงบ ทุกคนเงียบและคอยฟัง ครู่ใหญ่ ๆ อาการปวดก็บรรเทา

    หนูพิมพ์จึงบอกกับผมว่า "หนูจะลาไปก่อน วันนี้รีบหน่อย เพราะจะไปรับกุศล ที่เขาอุทิศให้ ที่พลับพลาพิมพวดี.."

    ทุกคนได้ยินคำพูด ที่ผมทวนคำพูดของหนูพิมพ์ ผมจึงถามเธอว่า "เขาอุทิศส่วนกุศลให้เรื่องอะไร"

    เธอตอบว่า "เขาบำเพ็ญกุศลศพใครไม่รู้ คืนนี้ที่พลับพลา คนตายมีเหรียญ มีตรา มีสายสะพาย.."

    ผมก็ทวนคำพูดออกมาดังๆ คุณทวีที่นั่งอยู่ ก็อยากพิสูจน์ จึงให้วีระวัฒน์ ลูกชาย ขับรถยนต์ออกไปเดี๋ยวนั้น

    ไปดูซิว่า ที่พลับพลาพิมพวดีวัดมกุฏฯ มีการบำเพ็ญกุศลใคร ศพเหรียญตรา น่าจะรับพระราชทานเพลิง ที่สุสานหลวงวัดเทพศิรินทร์
    เพราะญาติหนูพิมพ์บอกว่า มีสายสะพาย

    คุณวีระวัฒน์ บุณยเกตุ จึงรับขับรถออกไปจากศิริราชทันที ไปที่วัดมกุฎฯ

    พอถึงพลับพลาพิมพวดี ก็เดินเข้าไปดูหน้าพลับพลา ปรากฏว่าเป็นความจริง คืนนั้น มีการนำศพออกมาจากสุสานมาบำเพ็ญกุศล
    พรุ่งนี้จะรับพระราชทานเพลิง เป็นศพของรองอธิบดีกรมเจ้าท่า ผมก็ลืมชื่อของท่านเสียแล้ว รูปถ่ายหน้าโกฐ เป็นรูปเต็มยศ
    มีเหรียญตรา มีสายสะพายจริง

    คุณวีระวัฒน์ จึงรีบขับรถมาเรียนคุณทวีว่า เป็นอย่างที่ผมทวนคำพูดของหนูพิมพ์ทุกประการ

    คุณทวีนั่งสงบ กล่าวออกมาคำเดียวว่า แปลก แต่จริง..

    ผมต้องเล่าย้อนไปนิดหน่อย คือตอนที่หนูพิมพ์ นั่งอยู่ข้างเตียงผม

    เอามือเท้าคางยันขอบเตียงอย่างเคย เธอพูดว่า "เสียดาย.."

    ผมถามว่า "เสียดายอะไร"

    เธอตอบว่า "แก้วระย้าโคมไฟที่พลับพลา คนที่ยกขาหยั่งวางพวงหรีด ทำขาหยั่ง ไปโดนโคมแก้วช่อระย้า ตกลงมาแตกหลายช่อ
    ทำให้ไม่สวย พ่อแม่ก็ไม่ทราบ

    อีกสองสามวัน คุณพ่อหนูชาตินี้จะมาเยี่ยมพ่อ พ่อช่วยบอกคุณพ่อหนู ให้ช่วยเปลี่ยนระย้าที่ตกลงมาแตกให้ที หนูไม่สบายใจ.."

    ผมทวนคำพูดนี้ให้ทุกคนได้ยิน ทั้งคุณทวีด้วย ก่อนที่คุณวีระวัฒน์จะกลับมาจากวัด มารายงานเรื่องศพที่พลับพลานั้น

    คุณทวีและบุตรชาย กลับไปด้วยความประหลาดใจว่า ผมนอนเจ็บอยู่ที่เตียงตั้งสิบกว่าวัน ทำไมรู้เรื่อง ที่จะเผาศพรองอธิบดีกรมเจ้าท่า
    และศพตั้งบำเพ็ญกุศลที่พลับพลาพิมพวดี..วิญญาณคงมาบอกจริงๆ

    วิญญาณมีจริงหรือ คนตายแล้วยังวนเวียนอยู่หรือ อะไรที่มาพูดกับน้องชาย ผมว่าท่านคงนั่งคิดนอนคิดไปนาน

    คืนนั้น ผมปวดอีกครั้งหนึ่ง พอเช้า อาจารย์หมออุดมก็มาเยี่ยมเช่นเคย พอทราบว่ายังปวดอีก ท่านก็ยืนอยู่ครู่ใหญ่ แล้วหันมาสั่งพยาบาลว่า
    ไปบอกหัวหน้าตึก ให้เตรียมคนไข้นี้ไปห้องผ่าตัดอีกที เช้าวันนี้ก่อนแปด น.

    ผมตะลึง ภรรยาและพยาบาลงง ทุกคนในตึกนั้น เมื่อทราบคำสั่งก็ประหลาดใจ เพราะพยาบาลที่เฝ้า เธอเล่าให้เพื่อนๆ ฟังตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้วว่า
    เช้านี้ ผมจะต้องถูกผ่าอีก เพราะหนูพิมพ์บอกล่วงหน้าไว้

    แล้วผมก็ถูกนำไปห้องผ่าตัด ดมยาสลบ ผ่าตัดดึงเอารากประสาทเส้นนี้ออก โดยพยายามดึงเอาออกให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้

    ราวๆ เกือบเที่ยง ก็กลับมาที่ห้องนอนที่ตึกพัก โดยสลบมาบนรถเปลตามเคย

    พอฟื้นมา อาการปวดเจ็บแผลก็มาแทน แต่อันนี้ ระงับได้ด้วยการฉีดยา
    พยาบาลมาฉีดยาระงับปวดให้เป็นระยะๆ พอค่ำลง ก็สงบ ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง เข้ามาเยี่ยมกันมากมายตามเคย

    ที่มาเยี่ยมจริงๆ ก็มี ที่อยากรู้เรื่องวิญญาณของเด็กที่มาช่วยผมก็มี

    พอสักสามทุ่มคืนนั้น หนูพิมพ์ก็มาอีกตามเคย เธอเอามือมาวางที่ขมับผม ปวดทั้งแปลผ่าตัด และที่ปวดอยู่เดิม ทำอย่างไรมันก็ไม่หาย
    ผมนอนทนเอา ภาวนาบริกรรมไปจนหลับไปในทีสุด แล้วเธอก็กลับไปเมื่อผมสงบ

    ข่าวลือจากปากต่อปาก ไปไกลยิ่งกว่าประชาสัมพันธ์ทางสื่อมวลชน และก็แน่นอนข่าวนั้น ก็ย่อมต้องมากกว่าความเป็นจริง

    จนวันหนึ่ง คุณชิต สุวรรรปัทม์ เคยเป็นพยาบาลอาวุโส ที่สายนัดดาคลีนิคของท่าน น.พ.ม.ล.เต่อ สนิทวงศ์
    ซึ่งผมเคยทำงานอยู่กับท่านเมื่อ พ.ศ. 2493 ถึง 2495 ก็สามสิบแปดปีมาแล้ว

    เป็นคนชอบพอกัน ในสมัยที่ทำงานอยู่ด้วยกัน เธอมาเยี่ยม แล้วมาบอกกับผมว่า จะมีคนมาพบมาหา และมาคุยเรื่องหนูพิมพ์

    ผมก็บอกเธอว่า ก็มีอย่างที่พยาบาล และภรรยาผมได้ยินได้ฟัง ก็เท่านั้น ไม่มีอะไรมากกว่านั้น
    คุณชิต นี่ถึงแก่กรรมไปเมื่ออายุราวๆ 70 ปี เมื่อ 4-5 ปีมานี่

    ถัดต่อมาอีกวัน หรือสองวัน เย็นๆ มีชายหญิงคู่หนึ่ง ซึ่งผมไม่รู้จักกันมาก่อน มาขอเยี่ยม ดูเหมือนจะเป็นเวลาประมาณ 18-19 น.

    ขณะนั้น ผมอาการดีขึ้นนิดหน่อย ไม่ใช่กำลังปวดประสาท

    สองท่าน ก็มานั่งสนทนาด้วย แล้วก็เลียบเคียงเข้ามาถามเรื่องหนูพิมพ์ ผมก็สรุปให้ท่านฟังนิดๆ หน่อยๆ มีภรรยาและพยาบาล
    ที่เฝ้าคอยเสริมให้แจ่มชัดขึ้น

    สองท่านนี้ เอาพวงมาลัยดอกมะลิพวงใหญ่ๆ มาแขวนให้ผมที่หัวนอน เตียงในห้อง เผอิญจุดธูปหอมบูชาพระ กลิ่นผสมกันหอมพิกุล
    ทำท่าจะเป็นวัด หรือศาลเจ้าไหหลำไปโน่น

    สักครู่ใหญ่ คุณผู้ชายที่มาด้วย ก็ขออนุญาตเอารูปถ่ายเด็กๆ ผู้หญิงราวๆ สักสามสิบใบเห็นจะได้ มาวางเรียงๆ กันบนที่นอน
    ผมชักสงสัย ท่านจะมาทำพิธีปัดรังควาน หรือทำพิธีแขกที่เรียกว่า อิศวระกุมารี

    คือเอาเด็กๆ พรหมจรรย์มาบูชาพระอิศวร บนบานศาลกล่าว ให้ผมหายป่วยไข้หรืออย่างไร

    แต่ไม่ใช่ พอท่านค่อยๆ เอารูปถ่ายขนาดสักสองนิ้วบ้าง สามนิ้วบ้าง มาวางเรียงเต็มหน้าเตียง ที่ผมนอนอยู่

    เรียบร้อยแล้ว ท่านก็ถามว่า คุณหมอช่วยชี้ซิครับ ว่าคนที่มาหาคุยกับคุณหมอ แล้วบอกว่าชาติก่อน เป็นลูกสาวคุณหมอ
    และชาตินี้เกิดมาเป็นลูกสาวผมน่ะ คนไหน ในรูปถ่ายที่นำมาเรียงอยู่นี่

    ผมลุกขึ้นนั่ง แล้วหยิบแว่นตามาสวม ดูไปทีละรูปๆ ดูไม่นานนัก โดยวิธีหยิบรูปที่ไม่ใช่หนูพิมพ์ ออกมากองไว้พวกหนึ่ง
    หยิบออกมากองทีละใบๆ เหลือใบสุดท้าย ทิ้งไว้บนเตียงหนึ่งใบ

    แล้วก็หยิบรูปนี้ขึ้นชู พลางบอกว่า "หนูคนนี้แหละครับ ที่มาหาผมทุกวัน.."

    ทั้งสองท่านที่มาเยี่ยม หุบรอยยิ้มที่มุมปาก คุณผู้หญิงร้องไห้โฮใหญ่

    คุณผู้ชายเช็ดน้ำตาแล้วบอกว่า "ใช่แล้วครับ รูปนี้คือรูปถ่าย หนูพิมพวดีลูกสาวผม ถ่ายในเครื่องแบบนักเรียน
    ส่วนรูปอื่นๆ นั้นเป็นรูปเพื่อนๆ ของหนูพิมพ์.."

    ห้าหกชีวิต ในห้องพักคนไข้ ที่ผมนอนป่วยอยู่ เงียบหมด แทบไม่ได้มีแม้แต่เสียงลมหายใจ
    ต่างคนต่างก็เขยิบเข้ามาดูรูปหนูพิมพ์ ที่วางอยู่บนเตียง ซึ่งตอนนี้อยู่ในมือผม

    พอบรรยากาศเริ่มคลี่คลาย ในทางปกติขึ้นแล้ว ท่านที่มาเยี่ยมก็บอกว่า

    "ผมทราบจากคุณชิต ก็เลยมาถือโอกาสเยี่ยม และสอบถามถึงลูกสาวผม..ทุกวันนี้ ผมก็ยังระลึกถึงหนูพิมพ์
    อยู่เสมอ แกเป็นเด็กที่น่ารักน่าเอ็นดูมาก


    ท่านั่งประจำของแก ก็คือท่านั่งเท้าคางเอาข้อศอกยันพื้นไว้ อย่างที่คุณหมอพูดจริงๆ ผมชื่อ เสียง โหสกุล ครับ

    ผมมีกิจการส่วนตัว ค้าขายเครื่องอะไหล่รถยนต์ทุกชนิด ที่เป็นตึกสามชั้น อยู่ตรงสามแยกสะพานนพวงศ์
    ทิศใต้ของโรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ นี่เองครับ.."

    [​IMG]

    ผมก็ถามคุณเสียงว่า "คุณเสียงมีบุตรธิดากี่คน"
    คุณเสียงก็บอก ซึ่งผมจำไม่ได้ว่าสามหรือสี่คน แต่ที่แน่ๆ มีธิดาคนเดียว คือหนูพิมพ์นี่

    เธอป่วยด้วยไข้เลือดออก เสียชีวิตที่ตึกเด็ก โรงพยาบาลศิริราฃ ประมาณปี พ.ศ. 2503 จริง
    ส่วนเรื่องเด็กหญิงคนอ้วนๆ ที่ตายด้วยโรคอ้วนนั้นไม่ทราบเรื่อง..

    ผมก็ถามคุณเสียงว่า มีอะไรเกี่ยวกับหนูพิมพ์อีกไหม ผมอยากทราบ

    คุณเสียงก็พูดว่า เช้าวันหนึ่ง พระภิกษุสงฆ์ห้ารูปจากวัดเทพศิรินทร์นี่เอง
    ได้เดินไปที่ร้านเสรีวัฒนามีตาลปัตรทุกองค์ และมีลูกศิษย์ ตามไปด้วยสองสามคน

    พอพระท่านเดินทางไปถึง ก็ก้าวเข้าไปในร้าน ลูกศิษย์ก็ร้องบอกว่า
    พระมาแล้วครับ คุณเสียงก็งง จึงถามว่ามาเรื่องอะไร..

    พระรูปหนึ่งในคณะ ก็พูดว่า ที่เมื่อเย็นวานนี้ ให้เด็กผู้หญิงไปนิมนต์พระมารับสังฆทานห้ารูป
    นิมนต์ให้มาที่นี่ คุณเสียงก็พูดว่า ไม่เคยให้เด็กคนไหนไปนิมนต์

    พอดีพระองค์หนึ่ง เหลือบไปเห็นรูปถ่ายของหนูพิมพ์ที่ติดไว้ข้างฝา ท่านก็ชี้ว่า
    หนูคนนี้แหละ ที่ไปนิมนต์อาตมา นั่งอยู่ด้วยกันสามองค์ ได้ยินชัดทั้งสามองค์ ส่วนสององค์นั้น อาตมานิมนต์มาให้ครบห้าองค์ ตามที่แม่หนูบอก..

    คุณเสียงตะลึง และงงเป็นที่สุด จะไม่เชื่อก็ไม่ได้ และเผอิญวันนี้ เป็นวันที่ถึงแก่กรรมของหนูพิมพ์
    พ่อแม่จะทำบุญใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลไปให้อยู่แล้ว

    ฉะนั้น ก็เลยเปลี่ยนเป็นทำสังฆทาน ตามที่หนูพิมพ์ปรากฏร่างไปนิมนต์พระมา ให้เสียเลย

    ก็แปลก วิญญาณในเรือนร่างของหนูพิมพ์ ไปนิมนต์พระมาทำสังฆทาน ให้กับตนในวันตายของตนเอง

    คุณเสียงถามต่อไปว่า ตอนนี้หนูพิมพ์อยู่ที่ไหน

    ผมก็บอกท่านว่า หนูพิมพ์ยังอยู่แถวๆ นี้ และมาเยี่ยมผมเกือบทุกคืน โดยมาก็ไม่เว้น แต่บางทีก็มากลางวัน ..

    ผมก็เลยบอกคุณเสียงว่า หนูพิมพ์บ่นว่า คนถือขาหยั่งที่วางพวงหรีด
    เอาขาหยั่งไปเกี่ยวกับระย้า ที่โคมไฟ กลางพลับพลาพิมพวดี ตกลงมาแตกหลายอัน

    พ่อเธอไม่รู้ เลยไม่มีใครไปทำให้ดีเหมือนเก่า เธอเสียดายมาก ผมก็นอนอยู่บนเตียงนี้ มากว่าสิบวันแล้ว
    แล้วก็ไม่เคยไปนั่งในพลับพลาที่ว่านี้

    หากจะไปงานศพที่วัดใด ผมก็มักจะนั่งข้างนอกศาลา เพราะข้างนอกเย็นดี ได้รับลม
    แล้วผมจะรู้ได้อย่างไรว่า ในกลางพลับพลานั้น มีโคมไฟระย้าห้อยอยู่
    แล้วเดี๋ยวนี้ ปลายล่างของโคมไฟ ตกลงมาแตกหลายอัน..

    คุณเสียง จึงให้คนขับรถ ขับบึ่งไปดูโคมไฟว่า เป็นจริงอย่างที่ผมพูดหรือไม่

    คนรถกลับมาในตอนหลัง ก็มาเรียนคุณเสียงว่า "ระย้าที่ห้อยโคมไฟ ขาดไปหลายอัน สงสัยจะตกลงมาแตก"
    ท่านจึงสั่งว่า พรุ่งนี้ให้รับช่างไฟไปดู แล้วจัดการเปลี่ยนใหม่ให้เรียบร้อย..

    คุณเสียงและภรรยา นั่งอยู่อีกสักพักก็ลากลับ ก่อนจะกลับได้ถามผมว่า

    "หนูพิมพ์พูดหรือเปล่าว่า วิญญาณของเธอจะไปไหนต่อ"

    ผมก็บอกว่า "อีกไม่ช้า หนูพิมพ์จะไปเกิด และทีนี้ จะเกิดเป็นผู้ชาย"

    เธอเคยคุยกับผมว่าอย่างนั้น

    พอได้ยินคำนี้ ภรรยาคุณเสียงยกมือไหว้พึมพำๆ ว่า "เกิดชาติใดฉันใด ขอให้เกิดเป็นลูกแม่ อีกนะลูก"

    ก่อนจากกัน ทั้งสองท่านได้ออกปากเชิญผมว่า ถ้าผมหายเมื่อไร จะเชิญผมและภรรยาไปบ้าน ไปรับประทาานอาหารที่บ้านสักครั้ง
    บ้านท่านอยู่ถนนสุขุมวิท จะเป็นซอยนานาใต้หรืออย่างไรผมก็จำไม่ได้เสียแล้ว

    และเมื่อผมหายป่วยในคราวนั้น กลับบ้านแล้ว ผมก็ได้ไปบ้านท่านตามคำเชิญ
    โดยมีญาติมิตรของท่าน มาดูหน้าตาผม และฟังเรื่องนี้อีก

    เมื่อตอนจะจากกันในคืนนั้น ที่ศิริราช ผมได้ออกปาก ขอรูปถ่ายของหนูพิมพ์ไว้
    เพื่อจะได้ดู และอุทิศส่วนกุศลให้เธอ เวลาผมสวดมนต์และทำบุญทำกุศล
    ซึ่งผมก็ปฏิบัติดังนี้ มาเป็นเวลากว่ายี่สิบเจ็ดปีแล้ว

    ซึ่งท่านก็ได้กรุณา มอบใบใหญ่ขนาดโปสการ์ด ให้ผมไว้หนึ่งใบ

    เห็นจะเป็นเพราะวันนั้น ไม่ได้พักผ่อน และสนทนาพาทีกันมาก
    พอค่ำลง อาการปวดก็มาเยือนอีก คราวนี้ ปวดบริเวณเหนือคิ้วทางขวามากที่สุด

    แล้วก็เลย ลามปามไป ปวดตั้งแต่ขมับขึ้นไปถึงกลางกระหม่อม มันทั้งแสบทั้งปวด เหมือนเอาไฟมาอังปวดอยู่นาน

    ผมนึกถึงหนูพิมพ์ไป พยายามเข้าสมาธิไป มันก็ไม่ทุเลา

    หนูพิมพ์มาเมื่อไรก็ไม่ทราบ พอรู้ว่าเธอมาก็พูดว่า "มาแล้วหรือลูก.."

    สองคนที่เฝ้าอยู่ก็นั่งฟังอย่างเคย คราวนี้ มีพยาบาลเวรที่ตึก มาฟังด้วย

    ผมถามว่า "เมื่อไรจะหาย หรือหมดเวรหมดกรรมเสียที มันทรมานจริงๆ "

    หนูพิมพ์บอกว่า "อีกสี่ปี ถึงพบหมอที่รักษาให้หายขาดได้ เมื่อนั้น ก็หมดเวร แล้วก็จะมีความสุขตลอดไป เพราะกุศลกรรม ตามมาสนองแล้ว.."

    ผมถามต่อไปว่า"แล้วจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ในตอนนี้ เพราะตอนนี้ ก็ปวดมากอีก"

    เธอก็ตอบว่าพรุ่งนี้ "พ่อจะถูกผ่าตัดอีก คราวนี้ จะเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับงวดนี้ และจะเป็นการผ่าตัด ที่ทารุณที่สุดในชีวิตของพ่อ.."

    ผมทวนคำพูดของเขาอีกว่า "พรุ่งนี้ พ่อจะต้องถูกผ่าอีกหรือ แล้วจะทารุณที่สุดด้วยหรือ.."

    ทุกคนในห้องเงียบ ทุกคน มีแต่ความเวทนาสงสาร ภรรยาผมนั้น เชื่อสนิท ถึงกับน้ำตาไหลด้วยความรันทดใจ

    ผมนั่งเอาศีรษะกดไว้ที่ขอบเตียง บางที ก็อยากจะเอากระแทก ลงไปที่เหล็กหัวเตียง เพราะความปวด

    จิตใจตอนนี้แหละ จะอดทนไม่ได้ พยาบาลฉีดยาให้หลับ ตามที่หมอเวรสั่ง ก็หลับไป พอตื่นก็ปวดอีก แทบตลอดคืน

    ผมนึกเบื่อตัวเอง แทนอาจารย์ที่ท่านตั้งใจรักษา อยากจะให้ตายๆ เสียรู้แล้วรู้รอดไป จะได้ไม่ทรมาน
    แต่มันยังไม่หมดวิบากกรรม ก็ต้องทนอยู่ต่อไป

    รุ่งเช้า 7 น. อาจารย์ท่านก็มาเยี่ยมอีกตามเคย พอได้รับรายงานจากพยาบาล
    ท่านก็ยืนนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ แล้วหันมาพูดกับผมว่า

    "เดี๋ยวแปดโมงเช้า เอาไปผ่าอีกครั้ง ทีนี้ เลาะประสามฝอยให้หมดทั้งแถบ มันคงจะไม่มีอะไรมาปวดอีกแล้ว.."

    แล้วท่านก็หันไปสั่งพยาบาลอย่างเคย

    ทุกคนนิ่ง นิ่งด้วยความเวทนา นิ่งด้วยความประหลาดใจ และเชื่อมือว่า ทุกครั้งที่หนูพิมพ์มาบอก เป็นต้องไม่มีผิด จะไม่เชื่อก็ไม่ได้

    ข่าวก็ออกจากปากนี้ ไปปากโน้น ไปปากนั้น ตามเคย ว่าวิญญาณหนูพิมพ์ มาบอกล่วงหน้าทุกที ว่าจะผ่าเมื่อไหร่ แล้วก็จริงทุกที..

    พอราวๆ แปดนาฬิกา รถเข็นคันนั้นก็มาอีก คราวนี้พยาบาลไม่ฉีดยาให้ก่อนผ่าตัด

    ผมถามพยาบาลก็ได้รับคำตอบว่า คราวนี้อาจารย์จะผ่าสด ๆ ดิบ ๆ

    ไม่ใช้ยาฉีดไม่ใช้ยาชาใดๆ ทั้งสิ้น ผมก็ขึ้นรถนอนเปลไปกับเขา

    พอถึงห้องผ่าตัด อาจารย์ท่านก็บอกว่า "ไม่รู้ประสาทฝอยเส้นไหนเสีย มันถึงปวด ถ้าให้ยาสลบยาชาแล้ว มันก็เหมือนถอนฟัน เลยไม่ซี่ไหนปวด เพราะฉะนั้น คราวนี้ ผ่าโดยไม่ใช้ยาสลบเลยขอให้ทนเอง.."

    ผมก็นึกว่ากรรม กรรมแน่แท้ เพราะแม้แต่สัตวแพทย์ เขาจะทำการผ่าตัดสัตว์ เขายังใช้ยาระงับความรู้สึก ระงับความเจ็บปวด
    นี่ผมเป็นคนแท้ๆ ยังโดนแบบนี้

    ว่าแล้ว ท่านก็เอามีดกรีดลงไป โคนคิ้วขวาของผม กรีดตลอดแนว ยาวตั้งแต่ห้วคิ้วขวาเรื่อยไป ผมสะดุ้งสุดตัว ความเจ็บปวดร้องคราวญคราง

    อาจารย์ท่านก็บอกว่าเจ็บก็ร้องไป ตำรวจไม่จับหรอก แล้วท่านก็ผ่าไป เอาคีมจับเส้นประสาททีละเส้น พอเส้นประสาทถูกคีมคีบ มันก็ปวดถึงหัวใจ

    ผมร้องออกมา ดังกว่าวัวกว่าควาย ที่กำลังถูกเชือด เพราะการผ่าแบบนี้ เวลาดึงประสาททีไร ก็สะดุ้งจนตัวลอย

    พยาบาลห้องผ่าตัด ก็กดตัวไว้ ทั้งๆ ที่พันธนาการไว้อย่างเหนียวแน่น

    ผมถูกผ่าไปดึงประสาทไป ร้องจนสุดเสียงไป เพราะความเจ็บปวดและความปวด ทนทุกข์ทรมานอย่างนั้น กว่าชั่วโมง

    อาจารย์ท่าน พยายามดึงประสาทฝอย ออกให้มากที่สุด แต่ก็ยาก เพราะมันติดกันนุงนัง เหมือนวุ้นเส้นที่เราเอามายำกิน

    ผมร้องโอดครวญดังที่สุดในชีวิต เจ็บที่สุดในชีวิต ปวดที่สุดในชีวิต ทารุณที่สุดในชีวิต เหมือนกับหนูพิมพ์บอกไว้ไม่มีผิด

    และสุดท้ายผมก็สลบไปเอง เพราะความเจ็บปวด มารู้สึกตัว เมื่อพบว่า ตัวมาอยู่ในห้องนอน มีสายน้ำเกลือรุงรัง

    มีสายยาง ที่จมูกที่ปากพร้อมมูล ความปวดน่ะยังไม่หาย แม้จะหยุดผ่าตัดแล้ว แต่ความปวดระบม มันสุดแสนจะทนทาน

    จนต้องร้องและครางออกมาดังๆ ไม่รู้ว่ากี่ชั่วโมงต่อกี่ชั่วโมง

    ค่ำนั้น ก็ยิ่งปวดแผล ปวดระบมประสาท ปวดระบมสมอง เมื่อยไปทั้งตัว อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมถูกฉีดยาระงับปวด ยานอนหลับ
    ก็หลับไป ทั้งสายยางต่างๆ

    จนตื่นอีกที ก็ดึกโข เห็นจะราวๆ สองยามหรือกว่า..

    จำได้ว่า วันที่ถูกผ่าตัดวิบาก ชดใช้กรรมนั้น เป็นวันพุธ ที่จำได้ ก็เพราะ อาจารย์ท่านบอกว่า วันพฤหัสพรุ่งนี้ไม่ว่าง ท่านติดประชุมแต่เช้า
    ผ่าเสียวันพุธ วันนี้แหละ

    พอตื่นขึ้นมาดังกล่าว ก็พบภรรยา พยาบาลพิเศษที่นั่งเฝ้าอยู่ ผมถามทั้งสองคนนั้นว่า "นี่ยังไม่ตายอีกหรือ มันทารุณที่สุดแล้ว.."
    สองคนนั้น น้ำตาไหลเพราะความสงสาร

    แล้วผมก็หลับตาลง ภาวนาพุทโธๆ ระงับเวทนา พอหลับตาสักครู่ หนูพิมพ์ก็มาหา
    เอามือกุมตรงที่ผ่าตัด และตรงที่ปวด ผมก็ถามว่า "พ่อหมดเวรหรือยัง"

    เธอตอบว่า "พ่อชดใช้กรรม ตามที่เขาอาฆาตไว้มากแล้ว ต่อไปนี้จะค่อยๆ ดีขึ้น.."

    ผมถามต่ออีกว่า "พ่อจะถูกผ่าตัดอีกไหม.."

    เธอตอบว่า "ไม่มีแล้ว"

    "แล้วจะปวดอีกไหม โรคปวดประสาทนี้น่ะ"

    เธอตอบว่า "ยังมี แต่ไม่ทารุณมากนัก มีอีกสี่ปี"

    "แล้วจะให้พ่อทำอย่างไรต่อไป.."

    "ทำบุญอุทิศส่วนกุศล ให้เขาไปเรื่อยๆ ขออโหสิเขาเสีย ภาวนา แล้วส่งใจไปแผ่กุศลให้เขาเสมอๆ นะพ่อนะ"หนูพิมพ์ตอบ

    "พ่อจะกลับบ้านได้เมื่อไร.."

    "วันอาทิตย์นี้แหละจ้ะ..พ่อ.."

    ผมถามต่อไปว่า "ถ้ามันยังไม่หาย จะกลับยังไง"

    เธอก็ตอบว่า "ก็ยังมีกรรมเบาๆ หลงเหลืออยู่ ถึงจะเป็น ก็ยังไม่รุนแรงเท่าคราวนี้จ้ะ"

    "เวลาพ่อกลับบ้านแล้ว พ่อจะนั่งเรียกให้ลูกไปหา จะไปได้ไหม"

    "หนูจำต้องลาไปก่อนแล้ว คราวนี้ หนูจะเกิดเป็นผู้ชายจ้ะ แล้วตอนนี้ ลูกก็เข้าบ้านพ่อไม่ได้ เจ้าที่เจ้าทางห้ามจ๊ะ" เธอตอบ

    ภรรยาผมและพยาบาล เฝ้าฟังอย่างเคย

    "หนูลาพ่อเลยนะ และทีนี้ ไม่มีอีกแล้วจ้ะพ่อ พ่ออย่าลืมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขา เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายนะพ่อนะ.." เสียงหนูพิมพ์แว่วๆ แต่ชัดเจนติดมาจนบัดนี้

    และก็เป็นจริงอย่างว่า หนูพิมพ์ ไม่ปรากฏกายให้เห็นอีกเลย อาการปวดผม ก็บรรเทาลง

    แต่แม้จะไม่หายขาด ก็ยังดีกว่าเดิม ผมนอนอยู่อีกสามวัน ถึงวันเสาร์ตอนเช้า อาจารย์อุดม ก็มาเยี่ยมอีก ท่านไม่เคยหยุดงานเลย แม้วันหยุดราชการ
    ผมรายงานว่า อาการปวดเบาไปเยอะ แต่ก็ยังมีอยู่ ไม่หายขาด อาจารย์ก็บอกว่า

    "เรายังเข้าไปทำลาย ศูนย์ประสาทของมันไม่ได้ เมื่อไหร่ ทำลายได้หมด เมื่อนั้น จะหายขาด
    พรุ่งนี้วันอาทิตย์ จะกลับบ้านก่อนก็ได้ พักฟื้นต่อไป เผื่อมีอะไรต่อไปค่อยว่ากันใหม่.."

    ผมลุกขึ้น นั่งกราบท่านในความกรุณา แล้วท่านก็จากไป

    ผมดีใจ ที่จะได้กลับบ้านในเช้าวันพรุ่งนี้ ทั้งๆ ที่แผลผ่าตัดต่างๆ ยังไม่หาย

    ท่านบอกว่า "ทำแผลเอง เอาไหมออกเองก็แล้วกัน เป็นหมออยู่กับตัวนี่"

    คืนนั้น ผมนอนหลับได้ดีมาก อาการปวดประสาทที่รบกวนนิดหน่อย
    ตอนที่หลับก็หลับสนิท ไม่มีอะไรมาพ้องพานในใจ ผมก็เข้าสมาธิต่อไปเรื่อยๆ เมื่อรู้สึกตัว

    เช้าวันอาทิตย์ ผมถวายบังคมลาสมเด็จพระราชบิดา ลาพยาบาล แพทย์ที่ช่วยเหลือ
    ก่อนกลับ ผมถือรูปหนูพิมพ์ไว้ในมือ แล้วสั่งให้รถ แวะไปที่วัดมกุฏกาติรยารามก่อน

    [​IMG]

    เพื่อไปดูพลับพลาพิมพวดี ไปดูรูปหนูพิมพ์ผู้มีพระคุณ

    ผมลงจากรถ เดินไปที่พลับพลาพิมพวดี แต่ขณะนั้น มีประตูเหล็กปิดอยู่

    ผมได้แต่ยืนข้างนอก ตาก็จ้องดูรูปหนูพิมพ์ ที่ผนังพลับพลา โดยมีภรรยาผม คอยดูอยู่ด้วย

    [​IMG]

    ผมยกมือขึ้น อุทิศส่วนกุศลให้เธอ และบอกเธอว่า จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้
    และเมื่อสวดมนต์แล้ว จะอุทิศส่วนกุศลให้เธอทุกวัน จนกว่าผมจะตายไป
    และขอให้ได้พบกัน เป็นพ่อลูกกันทุกชาติๆ ..


    ผมขอจบเรื่องนี้ ด้วยความเชื่อที่ว่า

    [​IMG]

    "จิตและวิญญาณ นั้นมีจริง เพราะผมได้ประสบกับตัวเองมาแล้ว ดังที่เล่าให้ท่านได้ฟังนี้"
     
  2. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    สาธุครับ อ่านจนจบ ทำให้เชื่่อในกฏของกรรม

    การเวียนว่ายตายเกิด ถ้าชาติก่อนมีจริง แสดงว่า

    ชาติหน้าย่อมมีอยู่จริง เปรียบเหมือนเมื่อวานมันมี

    อยู่ของมันจริง และพรุ่งนี้ก็ย่อมมี การทำบาปบุญ

    ย่อมได้รับผลของมัน สุดแต่ช้าเร็วเท่านั้น

    โมทนากับ จขกท ด้วยครับ ที่นำมาเผยแพร่
     
  3. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    การเวียนว่ายตายเกิด

    [​IMG]

    กลับชาติมาเกิดกับพ่อแม่เดิม


    เป็นเรื่องของเด็กหญิงมิ่งขวัญ หรือปัง วัย 10 ขวบ เป็นลูกของคุณบรรจง ชาญธนานันท์ ซึ่งเสียชีวิตพร้อมกับพี่เลี้ยงชื่อละม่อม จากอุบัติเหตุรถชนในวันที่ 6 พฤษภาคม 2521หลังจากนั้นคุณบรรจงได้พบกับป้าละม่อม ในลักษณะคล้ายคนนอนหลับ

    แล้วฝันไปว่า จะนำน้องปังมาส่งคืนให้มาเกิดใหม่ ในปีหน้า

    ก่อนน้องปังมาเกิดใหม่ ได้มีการติดต่อกับเด็ก โดยเด็กให้สังเกตรอยตำหนิ (ปานแดง) ที่แขน ที่คอ และลำตัว คืนหนึ่งคุณบรรจงได้ฝันถึงป้าละม่อมอีกครั้ง โดยครั้งนี้ป้าละม่อม ได้พาไปดู สวรรค์ และนรก เหตุการณ์ ที่พบเห็นทั้งหมด คุณบรรจงเชื่อว่าไม่ใช่อุปาทานแต่เป็นการไปเห็นด้วยจิตวิญญาณ
    <O:p

    ภายหลังภรรยาคุณบรรจงตั้งครรภ์ และคลอดบุตรเป็นเพศหญิง ในปีถัดมาโดยเป็นวันและเดือนเดียวกับที่น้องปังเสียชีวิต คุณบรรจงและภรรยาได้ตรวจตามร่างกายของทารก ก็พบว่ามีตำหนิตรงตามที่น้องปังเคยบอกทุกอย่าง
    <O:p

    ครูบัวไขระลึกชาติ<O:p</O:p
    ปี พ.ศ.2500 นายคำรณ ชูมาลัยวงศ์ กับนางสมคิด ภรรยา อยู่บ้านหมู่ 1 ตำบลทับคล้อ อำเภอตะพานหิน จ.พิจิตร ได้ให้กำเนิดลูกชายชื่อ เด็กชายชนัย ซึ่งมีรอยแผลเป็นสองแห่งตรงท้ายทอยแห่งหนึ่งกับหน้าผากอีกแห่งหนึ่ง รอยแผลเป็นที่หน้าผากใหญ่กว่าตรงท้ายทอย แผลเป็นทั้งสองแห่งอยู่ในตำแหน่งเป็นแนวตรงกัน
    <O:p

    จนกระทั่งเด็กชายชนัย อายุได้ 3 ขวบกว่า ได้บอกว่าชาติก่อนเขาชื่อบัวไขเป็นครูสอนนักเรียนแล้วถูกยิงตาย แล้วขอให้พาไปหาพ่อแม่เดิม ชื่อ นายเขียน กับ นางยอง พร้อมกับชี้ทางกลับบ้านเมื่อชาติที่แล้วได้อย่างชัดเจน
    <O:p

    เมื่อถึงบ้านก็เข้าไปกราบ นายเขียนกับนางยอง แล้วเรียกว่าพ่อแม่ ทั้งๆ ที่มีญาติอายุไล่เลี่ยกัน นั่งอยู่อีกหลายคน อีกทั้งรอยแผลเป็นของเด็กชายชนัย ก็ตรงกับรอยแผลของครูบัวไข ที่ถูกยิงจากข้างหลัง นายเขียนกับนางยอง ได้ทำการทดสอบโดยให้นำสิ่งของส่วนตัวของครูบัวไข มารวมกับสิ่งอื่นๆ เด็กชายชนัยก็เลือกหยิบได้ถูกต้องทุกอย่าง สามารถระบุและบอกชื่อภรรยาครูบัวไข อีกทั้งยังบอกเหตุการณ์ในเช้าวันที่ก่อนจะถูกยิงตายได้อย่างละเอียด เด็กชายชนัยยังบอกว่าก่อนมาเกิดใหม่ได้ถูกทำโทษและมีคนสองคนคุมตัวมาส่ง
    <O:p

    งูเหลือมเกิดเป็นคน<O:p</O:p
    ปี พ.ศ.2498นางหนูพุก กับ นายตา อยู่ตำบลหนองแซง อ.เลิงนกทา จ.อุบลราชธานี ได้ให้กำเนิดลูกชายชื่อ เด็กชายบัวลอย แต่เด็กมีลักษณะประหลาดคือผิวหนังทั้งตัวเป็นลายตารางสีแดงพาดตัดกันเหมือนขนมเปียก เมื่อเติบโตขึ้นสีแดงนั้นได้เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้ม คล้ายเกล็ดงูเหลือม เมื่อเด็กชายบัวลอย อายุได้ 3 ขวบกว่า วันหนึ่งที่วัดโพธาราม ได้จัดงานบุญประจำปีขึ้น นายตาได้ไปเที่ยวงานพร้อมทั้งนำบัวลอยไปเที่ยวเล่นด้วย

    ขณะที่กำลังวิ่งเล่นอยู่นั้น พอบัวลอยเห็นชายสูงอายุคนหนึ่ง ก็หยุดเล่น มองดูด้วยสายตาโกรธแค้น แล้ววิ่งเข้าไปกระตุกชายผ้านุ่งชายผู้นั้น ตะโกนด้วยเสียงดังว่า เฒ่าเหี่ยวใจร้าย ชายสูงอายุนั้น ก็ชื่อ เหี่ยว จริงๆด้วย

    นายตา รู้จักคุ้นเคยกับเฒ่าเหี่ยวจึงเข้าไปขอโทษและดึงบัวลอยออกมา เมื่อมาถึงบ้านเรียกมาสอบถามได้เล่าให้พ่อฟังว่า ชาติก่อนเขาเคยเกิดเป็นกวางตัวเมีย พออายุได้ 15 ปี ก็ถูกพรานยิงตายที่ภูหินปูน หลังจากตายแล้วไปเกิดเป็นงูเหลือมตัวเมียที่ถ้ำอ่างน้ำจาง และต่อมาถูกฆ่าตายด้วยพรานชื่อเหี่ยว สำหรับเรื่องนี้เมื่อเริ่มต้นเป็นการพูดเล่าต่อๆกัน


    จนกระทั่งในเวลาต่อมา ข่าวนี้กระจายไปในวงกว้าง ได้มีคณะของพระมหาถวัลย์ วัดทุ่งศรีเมือง จ.อุบลราชธานี เดินทางมาพิสูจน์และสัมภาษณ์สอบถามผู้เกี่ยวข้องในเหตุการณ์หลายครั้ง ในระหว่างปี พ.ศ.2511 และได้พิมพ์หนังสือออกเผยแพร่เดือนพฤษภาคม 2511ซึ่งคำให้การของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ต่างสอดคล้องกับคำบอกเล่าของเด็กชายบัวลอยในเหตุการณ์วันที่พรานเหี่ยวและพวกได้ฆ่างูเหลือมใหญ่ที่อ่างน้ำจาง


    เรียบเรียงโดยนายไปล่
    <O:pที่มา: ตายแล้วเกิดคนระลึกชาติ</O:p>
    <O:pโดย นที ลานโพธิ์</O:p
    <O:pสำนักพิมพ์เครือเถา</O:p
    <O:p</O:p
    <O:pwww.jaisabuy.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538602320&Ntype=6</O:p

    [​IMG]</O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กุมภาพันธ์ 2012
  4. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    [​IMG]


    Artist: คุณพัชรินทร์ บุรีจิตตินันท์ และคุณวิทวัส สุนทรวิเนตร์

    Album: เสียงธรรมจากศูนย์พุทธศรัทธา


    [​IMG]


    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>ไฟล์แนบข้อความ</LEGEND><TABLE border=0 cellSpacing=3 cellPadding=0><TBODY><TR><TD width=20><INPUT id=ecxplay_70516 value=attachment.php?attachmentid=70516 CHECKED type=radio>ฟัง</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>19-2-2555-เฉียดนรก.mp3 (13.04 MB, 4619 views)</TD></TR></TBODY></TABLE></FIELDSET>

    เรื่องจริงของจิตวิญญาณ ที่ถูกนำไปยังแดนนรกภูมิ จากรายการตีสิบ

    [​IMG]

    เชิญแวะอ่านธรรมะของหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง ที่

    เฟสบุ๊ค ศูนย์พุทธศรัทธา
    และร่วมกันแบ่งปันธรรมะของหลวงพ่อฯ ไปยังกระดานของท่านเพื่อเป็นธรรมทาน

    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่www.tangnipparn.com
    [FONT=border=]ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา[/FONT]

    [FONT=border=][​IMG][/FONT]

    [MUSIC]http://audio.palungjit.org/attachment.php?attachmentid=70516[/MUSIC]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กุมภาพันธ์ 2012

แชร์หน้านี้

Loading...