ศพเชิงบันได

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 25 เมษายน 2006.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    คอลัมน์ ขนหัวลุก

    ใบหนาด

    "มหาสอน" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากบ้านหมี่

    เทศกาลสงกรานต์ปีนี้ผ่านไปแล้ว หวังว่ายอดผู้บาดเจ็บและล้มตายจากอุบัติเหตุทางถนน คงจะลดน้อยกว่าเป้า 506 คนนะครับ...ไม่ต้องรวมทางน้ำกับทางรถไฟให้แสลงใจก็ได้...อย่างที่สั่งสอนกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนั่นแหละ

    "คนฉลาดต้องรู้จักแกล้งโง่" กับ "รู้ทั้งรู้ก็ทำเป็นไม่รู้" เป็นวิธีดีที่สุด

    ยิ่งทำเป็นโกรธเกรี้ยว ดุดันว่ายอดคนเจ็บคนตายยังสูงอยู่ ถึงจะน้อยกว่าเป้าเถอะน่า ต่อไปต้องเข้มงวดทุกๆ ฝ่ายให้หนักขึ้นกว่าเดิมจน(แทบ) ไม่มีอุบัติเหตุ เพราะไม่อยากให้เกิดขึ้นแม้แต่รายเดียว...เหมือนกับต้องการให้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก แต่ทำไมถึงไม่ขึ้นก็ไม่ทราบ

    ถ้าพูดจาได้ขนาดนี้ คนทั่วบ้านทั่วเมืองก็ต้องชมเชยกัน จนถึงสรรเสริญเยินยอทั้งนั้น รวมทั้งนิยมและยกย่อง เคารพบูชาเป็นเทพเจ้า จนถึงอยากให้เป็นท่านผู้นำประเทศไปตลอดกาลนาน...ก็ท่านเป็นพระนารายณ์มาปราบยุค(เข็ญ) นี่นา!

    พูดถึงสงกรานต์แล้วก็นึกถึงถิ่นเกิดของผมที่อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี

    เมืองไทยเราส่วนมากเป็นสังคมเกษตรกรรมนะครับ เหมือนประเทศอื่นๆ ในย่านเอเชียอาคเนย์ สังคมอุตสาหกรรมมาคึกคักตูมตามเมื่อราว 20-30 ปีนี่เอง ผมเป็นเด็กสมัยก่อนที่ชาวบ้านยังเชื่อถือผีสางนางไม้ การทรงเจ้าเข้าผี โดยเฉพาะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ที่สืบทอดกันมาหลายชั่วคนแล้ว

    ตอนนั้นพูดถึงกรมอุตุฯ รับรองว่าไม่มีใครรู้จักแน่ แต่ต้องเรียกโก้ๆ ว่าเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้ว

    นั่นคือ ชาวบ้านจะคอยสังเกตแสงฟ้าแลบเป็นของสำคัญ แล้วทำนายทายทักปรากฏการณ์ทางธรรมชาติในช่วงเทศกาล "กำฟ้า" ว่าจะเป็นสัญญาณบอกเหตุดี-ร้าย อะไรบ้าง เช่น

    ถ้าฟ้าแลบในทางทิศตะวันออก บ้านเรือนจะมีความสุขสงบ พื้นดินอุดมสมบูรณ์

    ถ้าฟ้าแลบในทางทิศตะวันตก บ้านเมืองจะขัดสน ผู้คนอดอยาก

    ส่วนการทำนายฝนว่าจะตกหรือไม่ก็ให้ดูแสงตะวัน ถ้าเป็นสีเหลืองแล้ว วันนั้นอากาศจะร้อนมาก แต่ถ้าแสงตะวันเป็นสีแสด ก็จะมีฝนตกลงมามากมายจนชุ่มฉ่ำ

    ถ้าปีไหนสภาพอากาศแปรปรวน ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล เกิดความแห้งแล้ง พืนพันธุ์ธัญญาหารเสียหาย ผู้คนเดือดร้อนเพราะขาดน้ำกินน้ำใช้ ชาวบ้านก็จะจัดการ "แห่นางแมว" เพื่อขอฝน...คล้ายกับจังหวัดอื่นๆ ทั่วไป

    พิธีกรรมแห่นางแมวจะต้องมีการร้องเพลงขอฝนด้วย เท่าที่ผมจำได้สมัยเด็กๆ มีดังนี้ครับ

    "นางแมวเอย ขอฟ้าขอฝน

    ขอน้ำมนต์รดหัวแมวเม้า ได้ค่าจ้างค่ามาหามแมว

    ถ้าไม่ให้ข้าว ข้าวจะตายฝอย ไม่ให้กลอย กลอยจะตายนิ้ว

    แม่พึงเอย อย่าเฝ้าขายลูก ข้าวจะถูก ลูกน้อยจะแพง

    ตาแดงๆ ฝนเทลงมา ฝนเทลงมา"

    ต้องยอมรับนะครับว่ามีทั้งได้ผลและไม่ได้ผล บางทีแมวโดนแห่โดนน้ำสาดแทบตายแต่ฝนไม่ยักตก แต่บางทีกำลังแห่อยู่ดีๆ ฟ้าสว่างจ้ากลับมืดครึ้ม แล้วสายฝนก็ซักจั๊กๆ แทบลืมหูลืมตาไม่ขึ้น ขบวนแห่นางแมวแตกกระเจิงก็มี

    สิ่งสำคัญที่สุดคือศรัทธาและกำลังใจ ที่เขาเรียกว่าศรัทธาก่อให้เกิดพลังนั่นปะไร!

    ประเพณีหรือความเชื่อถือบางอย่างก็ทำให้น่าขนหัวลุกเช่นกัน

    เช่นในพิธีงานศพ เมื่อมีการตายผิดปกติ คือโดนฆ่า โดนงูกัด รวมทั้งฆ่าตัวตาย เรียกว่าตายโหง ทางบ้านผมจะต้องฝังศพไว้ก่อน 3 ปี จากนั้นจึงจะขุดศพขึ้นมาเผาเพราะเชื่อกันว่าภายใน 3 ปีนั้นผู้ตายย่อมไปเกิดใหม่แล้วแน่นอน

    ถ้าขุดศพขึ้นมาเผาก่อน วิญญาณอาจจะยังไม่ไปผุดไปเกิด อาจจะมาคร่าวิญญาณญาติสนิทมิตรสหายไปสู่ปรโลกด้วยก็เป็นได้

    การตายถือว่าเป็นเรื่องใหญ่นะครับ! ในกรณีที่เจ็บไข้ได้ป่วยตาย ถือว่าเสียชีวิตตามธรรมชาติ ชาวบ้านจะมาช่วยกันคนละไม้ละมือ ตั้งแต่การเหลาไม้ทำโลง มาช่วยกันแบกหามโลงศพไปศาลาวัด...มีเคล็ดว่าเมื่อศพพ้นบ้านแล้ว เจ้าบ้านจะต้องยกบันไดขึ้นทันที...เพื่อไม่ให้ผีกลับขึ้นบ้านได้เด็ดขาด

    บันไดพาดไว้กับนอกชานนะครับ เคลื่อนย้ายได้สะดวก ตกค่ำก็ยกบันไดขึ้นบ้านแทบทั้งนั้น ป้องกันขโมยขโจรกับสัตว์ร้ายขึ้นบ้านได้ง่ายๆ

    ผู้คนในหมู่บ้านจะมาช่วยงานศพกันอย่างพร้อมเพรียง แถมไม่ได้มาตัวเปล่า แต่จะนำอาหารและผลไม้ต่างๆ ติดมือมาด้วย หลายๆ คนก็มานอนเฝ้าศพกันเต็มศาลา เรียกว่า "เป็นเพื่อนผี" หรือ "เฝ้าผี"

    จนกระทั่งวันเผา ชาวบ้านก็จะถือไม้กันคนละท่อนมาช่วยก่อกองไฟ เรียกกันว่า "ไปเผาผี...." (แล้วเอ่ยชื่อผู้ตาย) ต่อมาผมเคยเห็นคล้ายๆ กันที่ อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม...เชื่อว่าคงมีประเพณีเช่นนี้อีกหลายๆ จังหวัด

    เคล็ดขัดยอกเรื่องหามศพลงจากบ้าน ท่านว่าห้ามวางโลงกับพื้นก่อนถึงจุดหมายเด็ดขาด แม้จะเปลี่ยนคนหามก็ห้ามวางโลงกับพื้นก่อน เพราะเชื่อว่าถ้าหยุดลงเช่นนั้นจะทำให้ผีมีกำลัง แล้วไม่ไปไหน อาจจะสิงสู่คอยหลอกหลอนให้เดือดร้อนกันทั้งหมู่บ้านก็เป็นได้ สั่งสอนกันนักหนาว่า "อย่าพาผีเซา" หรือ "อย่าพาผีหยุด" นั่นเอง

    ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนเคยมีเพื่อนบ้านไปช่วยหามศพ "ตาม้วน" ลงจากบ้านแล้วพลัดตกบันได เดชะบุญที่โลงไม่แตก แต่ก็ทำให้โลงผีกระทบพื้นไปแล้ว....ไม่ว่าใครๆ ที่มองเห็นก็หน้าตาซีดเซียว หวาดกลัวไปตามๆ กัน

    ตอนค่ำๆ มีชาวบ้านหลายคนเห็นตาม้วนนั่งกอดเข่าสูบยาแดงวาบๆ ที่เชิงบันได วิ่งกระเจิงไปตามๆ กัน...แกคงขุ่นเคืองคนหามศพซุ่มซามมากกว่านะครับ!
     

แชร์หน้านี้

Loading...