สมมุติปิดบังวิมุตติ - หลวงปู่หลวง กตปุญโญ

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย aprin, 26 พฤศจิกายน 2009.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    สมมุติปิดบังวิมุตติ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ปุจฉา-วิสัชนาธรรม โดย หลวงปู่หลวง กตปุญโญ <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ศิษย์ : หลวงปู่เจ้าขา เวลาทำสมาธิ จุดที่มันจะลงนี่ มันอยู่ตรงกลางอก หรือเจ้าคะหลวงปู่<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หลวงปู่ : อืม กลางอก<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ศิษย์ : กำหนดลงไปตรงกลางอกเลย หรือเจ้าคะ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หลวงปู่ : อือ กำหนดรู้อยู่นี่ รู้ตรงนี้ รู้หน้าอก เพ่ง...รู้อยู่นั่นแหละ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ศิษย์ : ตรงกลางหรือตรงหัวใจเจ้าคะหลวงปู่<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หลวงปู่ : ตรงไหนก็ได้ ใจก็ได้ กลางก็ได้ กลางหน้าอก กินก็เป็นทุกข์ บ่ได้กินก็เป็นทุกข์ กินแล้วบ่ถ่ายก็เป็นทุกข์ ถ่ายแล้วบ่ได้กินก็เป็นทุกข์<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ศิษย์ : ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นน่ะเหรอเจ้าคะหลวงปู่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นี่ทุกข์ทั้งนั้นหรือเจ้าคะ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หลวงปู่ : นั่นแหล่ะ ทุกข์ใหม่เกิดขึ้นอีก<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ศิษย์ : อย่างนี้ สุข มันก็ไม่ใช่สิเจ้าคะหลวงปู่<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หลวงปู่ : บ่ใช่ดอก คือว่า ระหว่างทุกข์นั้นมันดับนั่นน่ะหาสุขน่ะ ที่จริงมันก็ไม่ใช่สุขหรอก คือทุกข์นั้นมันดับไปคราวหนึ่งเข้าใจว่ามันมีความสุขคราวเดียว ทุกข์ใหม่เกิดขึ้นอีก<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ศิษย์ : แต่คนหลงหรือเจ้าคะหลวงปู่ คนไม่รู้หรือเจ้าคะ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หลวงปู่ : คนไม่รู้ เพราะอวิชชามันครอบงำ จิตมันไปยินดี เพลินในกิเลสกาม มันก็เลยบ่เห็นทุกข์ หาว่าเป็นสุข ต้องรู้ตัวนั้น ละตัวนั้นก่อน มันจึงจะเห็นน่ะ
    ในหลวงเทศน์ กัณฑ์เทศน์ในหลวง เทศน์เมื่อกี้นี้ เพิ้นว่ายังไง ในหลวงว่าอย่างไร<o:p></o:p>

    <o:p> </o:p>
    ศิษย์ : ลูกไม่ได้ฟังเลยเจ้าคะ ลูกกำหนดลมหายใจอย่างเดียว<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หลวงปู่ : ในหลวงว่า... คนไทยเรา อย่าไปถือว่า พวกนั้น บ้านนั้น จังหวัดนั้น พวกนั้น พวกนี้ ให้ถือว่า พวกเดียวกัน พี่น้องกัน บ่ใช่ภาคเหนือ บ่ใช่ภาคใต้ ให้เป็นพี่น้องเดียวกันหมด เสมอกัน อย่างเดียวกัน พี่น้องด้วยกันหมด<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ศิษย์ : แท้จริงก็เป็นธาตุสี่หมดเลยนะเจ้าคะหลวงปู่<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หลวงปู่ : อืม เหมือนกันแหล่ะ มันบ่ได้พิจารณา ความยึด ความถือของโลกน่ะ ติดสมมุติล่ะ ติดสมมุติแล้วก็หลงสมมุติ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ศิษย์ : แล้วทำอย่างไร จึงจะลอกสมมุตินี่ได้ล่ะเจ้าคะหลวงปู่<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หลวงปู่ : ทำลายล่ะ ทำลายสมมุติ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ศิษย์ : ทำลายอย่างไรเจ้าคะหลวงปู่<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หลวงปู่ : มันสมมุติว่าตา ก็เจาะตาออก<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ศิษย์ : ควักตาออกหรือเจ้าค่ะ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หลวงปู่ : อืม สมมุติว่าหูก็ตัดหูออก นี่คือทำลายสมมุติ
    เขาเรียกว่าแยก แยกธาตุ
    แยกธาตุ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม พิจารณาออกเป็นธาตุ ทำลายสมมุติแยกออก ธาตุดินมีอะไร ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อาการ ๓๒ น่ะ แยกออกไป ผมมาจากไหน ผมก็มาจากธาตุดิน ไปไหนอีก ปล่อยลงดินอีก มาจากธาตุดินกลับลงสู่ดินอีก พระพุทธเจ้าว่า เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป ท่านว่า พิจารณาธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่อัตตา เขาเรียกว่าแยก ทำลายตรงไหนว่าตาก็เจาะตาออก ตรงไหนว่าหู ก็ตัดหูออก กำหนดเอาพุทโธน่ะทำงาน มีหนังก็ลอกหนังออก เอาเนื้อออก มาถึงร่างกระดูกละบัดนี้ ถึงร่างกระดูก ภาวนาจับร่างกระดูกน่ะ สมาธิมั่น ... พิจารณาจับร่างกระดูกจนจิตมั่นคงน่ะ พิจารณาไป พิจารณาร่างกระดูกกระจัดกระจายเป็นชิ้นเป็นท่อน กระจัดกระจายไป บ่มีตนมีตัวอนัตตาล่ะบัดนี้ พิจารณาบ่มีตัวตน... นึก...วิปัสสนึกน่ะ ใช้วิปัสสนึกน่ะ นึก... พิจารณากลับไปกลับมา ทำงาน ถ้าพิจารณาอยู่มันก็สงบล่ะ มันอยู่นิ่งก็ตาม ไม่นิ่งก็ตาม แต่มันทำงานอยู่ นั่นแปลว่าเป็นสมาธิอยู่ในตัว ปัญญาอยู่ในตัว ดีกว่ามันนิ่งเฉยๆ บ่มีทำงาน นิ่งเฉยๆ ไม่ได้ทำงาน ไม่ได้ประโยชน์ ถ้าพิจารณา มันนิ่งอยู่ในกายพิจารณาร่างกาย รู้อยู่นี่ละ จิตบ่ฟุ้งซ่านไปที่อื่นน่ะ มีประโยชน์มาก นิ่งอยู่เฉยๆ ได้ประโยชน์น้อยเดียว ครูบาอาจารย์ท่านว่า จิตไปนิ่งอยู่เฉยๆ สามชั่วโมงน่ะ จิตมารู้พิจารณา ร่างกายสังขารห้านาทีมีประโยชน์มากกว่า มันจะได้ทำลายสมมุติ จิตมันหลงสมมุติ นั่นแหละ ติดสมมุติ...ทำลายสมมุติ... สมมุติปิดบังวิมุตติ เมื่อทำลายแล้ว พิจารณาแล้วก็เป็นวิมุตติ จิตหลุดพ้น ปล่อยวางได้<o:p></o:p>

    สมมุติปิด บังวิมุตติ
    งามบังผี ดีบังจริง
    งามปิดบังผี ดีปิดบังจริง
    รักชังปิดบัง หนทางไปสวรรค์ นิพพาน<o:p></o:p>

    พระพุทธเจ้าท่านว่า "อวิชชาก็หมายถึง สมมุตินั่นแหล่ะ" พอพิจารณาละสมมุติแล้วก็เป็นวิชชา พิจารณาตายน่ะ ถ้าไม่เห็นตายก็ปล่อยวางไม่ได้ พิจารณาตาย บ่เห็นตาย มันประมาทเพราะบ่เห็นตาย ถ้าเห็นตายแล้วบ่ประมาทล่ะ จิตมันบ่สงบก็เพราะบ่เห็นตาย ถ้ามันเห็นตาย มันก็สงบ ถึงจุดมุ่งหมายล่ะ ไล่ขันธ์ ๕ แหล่ะ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ วิญญาณก็บ่เที่ยงเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน สัญญาก็เหมือนกัน สังขาร วิญญาณ ไล่อยู่นั่นแหละ จนมันคล่องแคล่วชำนาญ พิจารณาลงสู่ความตาย มันบ่ ลงตาย จิตมันไม่สงบน่ะ ไม่มีที่ยึดน่ะ ปล่อยวางได้ ต้องใช้สัญญาก่อนล่ะ ใช้สมมุติ อาศัยวิมุตติ เห็นวิมุตติ รู้วิมุตติ พิจารณาทำลายสมมุตินั่นล่ะ
    ทำลายสมมุติ ทำลายสมมุติ ทำลายสมมุติ ละสมมุติก็คือรู้นั่นแหละ พิจารณาสมมุติไปเรื่อยๆ แต่ว่าส่วนมาก มันไปสุข สงบ แล้วก็บ่ได้พิจารณา ติดอยู่ในสุขน่ะ ปัญญามันบ่เกิด ถ้าสงบ... นิ่งแล้วก็พิจารณา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แตกตายร่างกาย รู้เห็นแจ้ง<o:p></o:p>

    "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"<o:p></o:p>
     

แชร์หน้านี้

Loading...