สมาธิขั้นสูงของธิเบต การทํามัมมี่ตนเอง !

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ธัชกร, 25 สิงหาคม 2009.

  1. ธัชกร

    ธัชกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,040
    [​IMG]ในปี ค.ศ.1975 (หรือ พ.ศ.2518 สามสิบปีก่อนนี้เอง) ณ หุบผาสปิติแห่งทิเบต อันเป็นพรมแดนระหว่างจีนกับอินเดีย ได้เกิดแผ่นดินถล่ม เจ้าหน้าที่อินเดียสองคนได้เข้าไปซ่อมแซมทางที่เสียหาย และบนเขาสูงลิ่วจากพื้นดินถึง 4,000 เมตรนั้น เขาก็ได้พบร่างของมัมมี่ชาวทิเบตฝังอยู่ เป็นมัมมี่ที่สมบูรณ์ในลักษณะนั่งสมาธิ ใกล้กันนั้นมีม้วนคัมภีร์โบราณอยู่ด้วย หากทว่าผุพังเปื่อยสลายก่อนที่จะทันได้เอาไปศึกษา ข้อมูลอันน่าจะเป็นประโยชน์มหาศาลจึงสูญสิ้นไปอย่างน่าเสียดาย
    มัมมี่ร่างนี้ได้รับการเก็บรักษาไว้ที่ หมู่บ้านทาโบ ซึ่งเป็นชุมชนโบราณมานานนับพันปี และโดดเดี่ยวห่างไกลความเจริญ วิถี ชีวิตของผู้คนเปลี่ยน แปลงไปจากเดิมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จะมีก็เพียงโบสถ์ใหม่หลังเล็กที่ชาวบ้านช่วยกันสร้างขึ้น เพื่อนำร่างมัมมี่มาไว้บูชา เพราะพวกเขาถือว่าการที่ร่างมัมมี่นี้ ไม่ผุพังไปตามกาลเวลา ก็ย่อมมีความศักดิ์สิทธิ์แน่นอน

    [​IMG]แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ที่มาที่ไปของร่างมัมมี่นี้ก็ตาม

    ความลึกลับของมัมมี่ทิเบตนี้ ทำให้นักโบราณคดี วิกเตอร์ แมร์ สนใจใคร่ศึกษา เขาจึงรวบรวมทีมงานราว 10 คนขึ้น และขออนุญาตทางการอินเดียเข้าไปดำเนินการ สำรวจร่างมัมมี่นี้อย่างละเอียด ซึ่งอินเดียก็โอเค แต่ให้เวลาเพียงแค่ 6 ชั่วโมง! ทั้งนี้เพราะเป็นบริเวณที่ต่อเนื่องกับเขตจีน ซึ่งมีกรณีพิพาทกันเนืองๆ
    ทีมงานของวิกเตอร์จึงต้องปฏิบัติการอย่างรวบรัดสุดๆ
    พวกเขาเดินทางระหกระเหินไต่เขาอันสูงลิ่ว ผ่านชะง่อนผาต่างๆซึ่งมีรอยเจาะเป็นถํ้า สำหรับภิกษุทิเบตใช้พำนักเรียกกันว่า ภูผาแห่งวิหาร กระทั่งในที่สุดก็ถึงหมู่บ้านทาโบ ทีมงานไม่รอช้า ขอเข้าพบหลวงพ่อสมภารผู้ดูแลโบสถ์ ซึ่งเก็บรักษามัมมี่ และจากการซักถาม ก็พบว่าท่านรู้ข้อมูลเกี่ยวกับมัมมี่น้อยมาก
    ดังนั้น วิกเตอร์จึงขออนุญาตศึกษาสภาพของมัมมี่กันเลย
    [​IMG]จากการชันสูตรเบื้องต้น มัมมี่ร่างนี้ก็คล้ายกับมัมมี่อียิปต์ คือมีวิธี การทำโดยควักเอาอวัยวะภายใน เช่น ลำไส้ออก แล้วยัดเกลือหรือยางไม้ไว้แทนที่ ซึ่งก็มีพระทิเบตองค์สำคัญๆ ได้รับการเก็บรักษาศพไว้ด้วย วิธีนี้ บางองค์ถึงกับแช่ลงในอ่างที่มีเนยเหลว โดยเฉพาะองค์ดาไล ลามะ นั้น กล่าวกันว่ามัมมี่ของท่านมีการปิดทองด้วย
    วัตถุประสงค์ของการทำมัมมี่ ก็ด้วยเหตุที่ถือกันว่า ลามะศักดิ์สูงนั้น ร่างของท่านศักดิ์สิทธิ์ การบูชาร่างของท่านย่อมนำมา ซึ่งสวัสดิมงคลนั่นเอง
    ถัดมาเป็นการสำรวจสภาพ ภายนอกของศพ พวกเขาพบว่าผิวหนังมีร่องรอย เสียหายหลายแห่ง และมีรากับ ตะไคร่ขึ้นเป็นคราบ ดวงตาข้างหนึ่งยังมีลูกตา ซึ่งหดเล็กอยู่ภายในเบ้า ส่วนดวงตาอีกข้างหนึ่งนั้น หนังตาหรี่ปิดครึ่งหนึ่ง และยังมีขนตาติดอยู่ ซึ่งนับเป็นสิ่งอัศจรรย์ยิ่ง
    [​IMG]อย่างไรก็ดี ไม่พบว่ามีการใช้สารเคมี ในการรักษาสภาพศพแต่อย่างใด และนี่เองที่ทำให้การชำรุด เสียหายไม่เท่ากันตลอดร่าง กระนั้นก็ยังจัดว่าสภาพศพส่วนใหญ่ดีมาก เนื้อและขนยังอยู่ครบ
    ที่รอบคอของมัมมี่และใต้ต้นขา ปรากฏวัตถุคล้ายแถบผ้าคล้องอยู่ มีร่องรอยถูกมอดแทะ ปัญหามีว่าแถบผ้านี้ใช้ใน วัตถุประสงค์อันใด? เกี่ยวข้องกับการตายของเขาหรือไม่ เพราะถ้าหากร่างนี้เหยียดขาออกไป มันจะรัดคอเขาแน่น
    ด้วยเหตุที่มีเวลาจำกัดมาก ทีมงานของวิกเตอร์จึงต้อง ใช้วิธีเก็บตัวอย่าง ที่จำเป็นจากร่างมัมมี่ เช่น เส้นผม แล้วนำกลับไปวิเคราะห์ ในห้องแล็บในเมือง
    จากนั้น พวกเขาได้พยายามหาความหมาย ของสภาพศพที่อยู่ในลักษณะนั่งตัวงอ ซึ่งไม่น่าจะสบายนัก การนั่งนานๆในลักษณะนี้จะทำให้ กระดูกสันหลังโค้ง และอาจเป็นสาเหตุของการตาย เขาคงจะนั่งสมาธิติดต่อกันนานมาก และแต่ละชั่วโมงก็ได้พรํ่าท่องมนต์ในพุทธศาสนา
    หรือว่าพระองค์นี้ได้ฝึกท่าโยคะ โดยอาศัยแถบผ้าเหนี่ยวรั้งร่างกายไว้ให้ดำรงอยู่ ในลักษณะดังกล่าวได้? ถ้ากระนั้นท่านอาจเป็นฤษี?
    ภายในเวลาเพียงหกชั่วโมง วิกเตอร์กับทีมงานของเขาเก็บ รวบรวมข้อมูลหลักฐานต่างๆไว้ อย่างรวดเร็ว แล้วลงจากหมู่บ้านทาโบ จากนั้นก็แยกย้ายกันนำข้อมูลไปวิเคราะห์
    มาร์กาเร็ต ค็อกซ์ นำเส้นผมของมัมมี่เดินทางไปกว่า 6,000 ไมล์ ยังมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด แล้วเอาเส้นผมนั้นเข้าเครื่อง เรดิโอคาร์บอน เพื่อหาอายุของมัมมี่ทันที
    ตัวอย่างเส้นผมหนักเพียง 8 มิลลิกรัม ถูกเผาในตู้อบ มันปล่อยรังสีไอโซโทป ของคาร์บอนและไนโตรเจน ออกมาในรูปแก๊ส อัตราส่วนระหว่างสองธาตุนี้ จะชี้ให้เห็นถึงโภชนาการของมัมมี่ตนนี้ และจากการที่เส้นผมนี้งอกขึ้นมาในช่วงสี่เดือนสุดท้ายของชีวิต มันพิสูจน์ได้ว่าผู้เป็นเจ้าของร่าง ได้อดอาหารในช่วงเวลาก่อนสิ้นชีพนานไม่น้อยกว่า 3 เดือน
    ภายในห้องแล็บ เถ้าจากเส้นผมถูกนำมายิงด้วยอนุภาคที่มีพลังงานสูง ทำให้อะตอมแตกตัวและพุ่งออกมาด้วยความเร็ว 50 ล้านไมล์ ต่อชั่วโมง มันพุ่งไปในแนวที่ควบคุมด้วยสนามแม่เหล็ก และแยกอะตอมของคาร์บอน 14 ออกมา สายอะตอมนี้จะผ่านเครื่องนับอะตอมแล้วปรากฏ ตัวเลขบนจอ ผลที่ได้คือ
    มัมมี่ตนนี้เสียชีวิตในปี ค.ศ.1475 หรือ 529 ปีมาแล้ว! ใกล้เคียงกับช่วงเวลาที่โคลัมบัสค้นพบอเมริกา
    งานถัดมาคือการวิเคราะห์หาสาเหตุการตายของเจ้าของร่างมัมมี่
    [​IMG]งานนี้ทำให้วิกเตอร์ แมร์ ต้องบินไปญี่ปุ่นเพื่อหาข้อมูล เกี่ยวกับมัมมี่ญี่ปุ่น ที่ชื่อว่า บูกาอิ ซึ่งอยู่ในลักษณะนั่งงอคล้ายกัน กับมัมมี่ทิเบต และมีสภาพสมบูรณ์ มีราขึ้นบริเวณคางและกราม แสดงถึงว่าไม่มีการใช้น้ำมันเชลแล็ก ในการรักษาสภาพ ไม่มีการใช้ สารเคมีช่วย ในการดองศพแต่อย่างใด
    ถ้ากระนั้น มัมมี่บูกาอิคงสภาพมัมมี่ได้ อย่างไร?
    พระภิกษุท้องถิ่นประจำวัด อธิบายให้วิก-เตอร์ฟังว่า ภิกษุมัมมี่เริ่มการอดอาหารนาน 3 ปี โดยฉันแต่เปลือกไม้และถั่ว จากนั้นจึงได้เข้าไปทำสมาธิอยู่ในหีบไม้นานถึง 60 วัน เมื่อเปิดหีบออกก็พบว่าท่านได้กลายสภาพเป็นมัมมี่ไปแล้ว
    เป็นการทำมัมมี่ด้วยตนเอง!
    จากการอดอาหารอันยาวนานของบูกาอิประกอบกับการทำสมาธิ ทำให้เกิดพลังจิตอันแรงกล้า อวัยวะและกล้ามเนื้อจะค่อยๆหดตัวลง จุลินทรีย์ในลำไส้ถูกทำลายไป เมื่อไม่มีแบคทีเรียเหลืออยู่ เนื้อหนังของศพจึงไม่ถูกกัดกิน และคงสภาพไว้ได้ แต่อายุของมัมมี่บูกาอินั้นเพียงแค่ 100 กว่าปี
    เป็นไปได้ไหมว่า มัมมี่ทิเบตเกิดขึ้นจากวิธีการนี้เช่นกัน
    เพื่อค้นหาความจริงให้ประจักษ์ วิกเตอร์ เดินทางกลับไปยังหมู่บ้านทาโบ ณ ที่นี้เป็นวัดของภิกษุมัมมี่ทิเบต วิกเตอร์เดินก้าวตามรอยเท้าที่ท่านเคยเหยียบย่ำ เพื่อหาข้อมูลได้อย่างใกล้ชิด หลังจากที่ได้สืบเสาะกับผู้คนท้องถิ่นแล้ววิกเตอร์ ก็สันนิษฐานสรุปได้ว่า
    ภิกษุมัมมี่ได้อุปสมบทเมื่ออายุราว 18 ครั้นแล้วก็ได้เกิดทุพภิกขภัย ชาวบ้านอดอยากไม่มีอะไรกิน ท่านจึงตัดสินใจสละชีพเพื่อ ช่วยเหลือชาวบ้าน ด้วยการเปลี่ยนร่างของท่าน ให้เป็นมัมมี่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับ ผู้คนกราบไหว้บูชา เป็นการสร้างขวัญกำลังใจ ที่กำลังถดถอยลง และพลังอำนาจจากบารมีครั้งนี้ อาจดลบันดาล ให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ขึ้นได้ ท่านจึงเริ่มทำสมาธิกำหนด ลมหายใจเข้าออก ในการนี้ท่านได้นำเอาแถบผ้า มาคล้องคอและโยงไว้ใต้น่อง เมื่อเหยียดน่องออก ผ้าก็จะรัดคอทีละนิด เพื่อลดปริมาณออกซิเจนที่หายใจเข้า ไป การอดอาหาร และลดออกซิเจนจะทำให้ ขบวนการเมตาบอลิซึ่มของร่างกายลดลง การใช้พลังงานในร่างกายก็จะมีเพียงน้อยนิด ร่างกายจะอยู่ในสภาพสงบนิ่ง เป็นการทำ สมาธิที่ลึกล้ำ จวบจนกระทั่งท่านได้หยุดการหายใจไปอย่างสิ้นเชิง
    การเสียสละชีพของท่าน
    ทว่า ท่านก็มิได้ปฏิบัติอย่างโดดเดี่ยวแต่เพียงผู้เดียวหรอก วิกเตอร์ได้ค้นพบข้อ เท็จจริงอีกว่า ในอดีตนั้นมีมัมมี่ทิเบตจำนวนนับร้อยปรากฏอยู่ทั่วบริเวณขุนเขาหิมาลัย แต่ในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรมของจีน ได้มีคำสั่งจากทางการให้ทำลายมัมมี่ทุกตนที่ค้นพบ ชนทิเบตเกรงว่าร่างมัมมี่อันศักดิ์สิทธิ์จะหมดสิ้นสูญไป จึงมีการทำสมาธิและอดอาหาร เพื่อสร้างมัมมี่ด้วยตนเองเกิดขึ้นเป็นอันมาก ซึ่งก็โดนทำลายไปจนแทบหมดสิ้นอีกเช่นเคย ยกเว้นแต่มัมมี่ที่ทาโบที่ยังคงอยู่ได้ เพราะเหตุว่าอยู่ ในเขตชายแดนของอินเดียนั่นเอง
     
  2. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    แล้วหลวงพ่อของเราที่ไม่เน่าเปื่อย เราไม่เรียกว่ามัมมี่ ทำไมไม่มาศึกษา ไม่ต้องควักไส้ เครื่องในออกเลย ยังไม่เน่าเปื่อย สงสัยต้องเรียกมัมมี่ จึงจะน่าสนใจ........
     
  3. ธัชกร

    ธัชกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,040
    พระเกจิอาจารย์ที่ละสังขารแล้วไม่เน่าเปื่อยในประเทศไทย



    ครูบากองแก้ว วัดต้นยางหลวง จ. เชียงใหม่ >>>
    ครูบาขาวปี วัดพระพุทธบาทผาหนาม จ.ลำพูน>>
    ครูบาธรรมชัย วัดท่งหลวง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่>>
    ครูบาอินสม วัดทุ่งน้อย ต.บ้านโป่ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่>>
    หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม จ.ชัยนาท>>
    หลวงพ่อกัน วัดเขาแก้ว จ.นครสวรรค์>>
    หลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม จ.ระยอง>>
    หล่วงพ่อเกลื่อม ฐานิสสโดร วัดคคาวดี ต.ปากแพรก อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช>>
    หล่วงพ่อเกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ จ.ลำปาง>>
    หลวงพ่อเกษม วัดม่วงครับ จ.อ่างทอง>>
    หลวงพ่อแก้ว วัดโคกโดน อ.ควนขนุน จ.พัทลุง>>
    หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว จ.สุพรรณบุรี >>
    หล่วงพ่อเขียว วัดหรงบน อ.ปากพนัง จ.นครศรธรรมราช>>
    หลวงพ่อคง วัดเขาสมโภชน์ จ.ลพบุรี>>
    หลวงพ่อครื้น วัดสังโฆ จ.สุพรรณบุรี >>
    หล่วงพ่อคล้อย วัดถ้ำเขาเงิน อ.หลังสวน จ.ชุมพร>>
    หล่วงพ่อคล้าย วาจาศิษย์ วัดสวนขัน จ.นครศรีธรรมราช>>
    หล่วงพ่อคลิ้ง วัดถลุงทอง จ.นครศรีธรรมราช>>
    หล่วงพ่อคำคะนิง จุลมณี แห่งวัดถ้ำคูหาสวรรค์ ภาคอิสาน จังหวัด จ.อุบลราชธานี>>
    หล่วงพ่อคำมี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ อ.เมือง จ.ลพบุรี >>
    หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม นครปฐม แต่สงสัยว่าจะเผาไปแล้ว>>
    หลวงพ่อจ่าง วัดเขื่อนเพชร จ.เพชรบุรี>>
    หล่วงพ่อเจริญ วัดตาลานใต้ อ.ผักไห่ จ.อยุธยา>>
    หลวงพ่อเจริญ ติสสวัณโณ วัดเขาวงกต ต.สนามแจง อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี>>
    หล่วงพ่อแจ้ง วัดใหม่สุนทร จ. นครราชสีมา>>
    หล่วงพ่อใจ ฐิตธัมโม วัดหนองหญ้าปล้องใต้ ต.ไก่เส่า อ.หนองแซง จ.สระบุรี>>
    หลวงพ่อชื่น วัดถำ้เสือ จ.กาญจนบุรี>>
    หลวงพ่อซวง วัดชีปะขาว ต.พระงาม อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี>>
    หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ จ.เพชรบุรี>>
    หลวงพ่อแดง วัดคุณาราม(เขาโปะ) เกาะสมุย จ.สุราษฏร์ธานี>>
    หล่วงพ่อแดง วัดเชิงเขา จ. นราธิวาส>>
    หลวงพ่อแดง วัดทองดีประชาราม สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส>>
    หลวงพ่อตาบ วัดมะขามเรียง ดอนพุด จ.สระบุรี>>
    หล่วงพ่อตี๋ วัดหลวงราชาวาส จ.อุทัยธานี>>
    หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม>>
    หลวงพ่อทบ วัดช้างเผือก เพชบูรณ์>>
    หล่วงพ่อทรัพย์ วัดบ้านงิ้ว จ.ชลบุรี อ.พานทอง จ.ชลบุรี>>
    หลวงพ่อท้วม วัดเขาโบสถ์ อยู่ในโลงแก้ว>>
    หล่วงพ่อทอง วัดถ้ำทอง ต.ชอนเดื่อ อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ >>
    หล่วงพ่อทอง วัดทุ่งสามัคคีธรรม อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี>>
    หล่วงพ่อทอง วัดป่ากอ จ.สงขลา>>
    หล่วงพ่อทอง วัดราชโยธา แต่เผาท่านครับ กรุงเทพฯ>>
    หล่วงพ่อทองทิพย์ วัดป่าสีดาพระรามลักษณ์ จ.หนองคาย >>
    หลวงพ่อทองใบ วัดคลองมะดัน(วัดเดียวกับหลวงพ่อโหน่ง) อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี>>
    หลวงพ่อทองใบ วัดอบทม อำเภอวิเศษไชยชาญ จ.อ่างทอง>>
    หล่วงพ่อนพ ภูวริ วัดมหาพฤฒาราม กรุงเทพฯ>>
    หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา นครปฐม>>
    หล่วงพ่อน้อย วัดบ้านปง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่>>
    หลวงพ่อนารถ วัดศรีโลหะฯ จ.กาญจนบุรี>>
    หล่วงพ่อนำ วัดดอนศาลา จ.พัทลุง>>
    หลวงพ่อนิพนธ์ อัตถกาโม วัดจั่นเจริญศรี อ.สรรค์บุรี จ.ชัยนาท>>
    หล่วงพ่อนิล อิสสโร วัดครบุรี จ.นครราชสีมา>>
    หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี สมุทรสงคราม>>
    หลวงพ่อบุญมี วัดเขาสมอคอน จ.ลพบุรี>>
    หลวงพ่อบุญเหลือ วัดเขาตะกร้าทอง จ.ลพบุรี>>
    หล่วงพ่อบุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข อ.บางระจัน จ.สิงหบุรี>>
    หล่วงพ่อแบน วัดมโนธรรมการาม(วัดนางโน) จ.กาญจนบุรี>>
    หลวงพ่อใบ วัดอัมพวัน อ.สองพี่น้อง จ. สุพรรณบุรี >>
    หล่วงพ่อปัญญา คันธิโย วัดนาคตหลวง อ.แม่ทะ จ.ลำปาง>>
    หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ นครปฐม>>
    หลวงพ่อเปียกวัดนาสร้าง อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร>>
    หล่วงพ่อพรหม วัดช่องแค จ.นครสวรรค์>>
    หลวงพ่อพรหม วัดนาราเจริญสุข อ.เกาะสมุย จ.สุราษฏร์ธานี>>
    หล่วงพ่อพรหมมา สำนักสวนหินผานางคอย จ.อุบลราชธานี>>
    หลวงพ่อพัฒน์ นารโท วัดพัฒนาราม(ใหม่บ้านดอน) อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี >>
    หลวงพ่อพันธ์ วัดบางสะพาน อ.วังทอง จ.พิษณุโลก>>
    หลวงพ่อพุฒ วัดกลางบางพระ >>
    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสารวัล จ.นครราชสีมา>>
    หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม>>
    หล่วงพ่อเพิ่ม วัดกลางบางแก้ว นครปฐม>>
    หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี>>
    หล่วงพ่อโพธิ์แจ้ง วัดโพธิ์แมน กรุงเทพฯ>>
    หลวงพ่อเภา วัดเขาวงกต อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี>>
    หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ อ.สามชุก จ. สุพรรณบุรี>>
    หลวงพ่อมุ่ย วัดป่าระกำเหนือ จ.นครศรีธรรมราช>>
    หล่วงพ่อเมฆ วัดป่าขวางปางพระเลไลย์ อ.สิงหนคร จ.สงขลา>>
    หล่วงพ่อเมฆ วัดลำกระดาน นนทบุรี>>
    หลวงพ่อเม้ย วัดราชเมธีงกร ราชบุรี ไม่เน่า แต่เผ่า>>
    หลวงพ่อยวง วัดทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ >>
    หลวงพ่อยี วัดดงตาก้อนทอง จ.พิษณุโลก ไม่รู้เผาไปหรือยัง>>
    หล่วงพ่อเย็น วัดสระเปรียญ จ.ชัยนาท>>
    หลวงพ่อเริ่ม ปรโม วัดจุกกะเฌอ ศรีราชา จ.ชลบุรี>>
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี>>
    หลวงพ่อลี วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ>>
    หลวงพ่อวงศ์ วัดปริวาส กรุงเทพฯ>>
    หล่วงพ่อวงศ์ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน>>
    หลวงพ่อวัด ประชาโฆษิตาราม จ.สมุทรสาคร>>
    หล่วงพ่อสงฆ์ วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย จ.ชุมพร>>
    หลวงพ่อสง่า วัดหนองม่วง/วัดบ้านหม้อ>>
    หลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ กรุงเทพฯ>>
    หล่วงพ่อสด วัดโพธิ์แดงใต้ อยุธยา>>
    หลวงพ่อสมควร วัดถือน้ำ จ.นครสวรรค์>>
    หลวงพ่อสัมฤทธิ์ วัดถ้ำแฝด จ.กาญจนบุรี>>
    หลวงพ่อสาย วัดจันทร์เจริญสุข สมุทรสงคราม>>
    หลวงพ่อสาย วัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี>>
    หล่วงพ่อสาย วัดบางรักใหญ่ บางบัวทอง นนทบุรี>>
    หล่วงพ่อสาย วัดหนองสองห้อง จ.สมุทรสาคร >>
    หล่วงพ่อสิงห์ วัดแก้วโกรวาราม จังหวัดกระบี่>>
    หล่วงพ่อสี วัดถ้ำเขาบุนนาค อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ >>
    หล่วงพ่อสืบ อนุจาโร วัดกุฎีทอง ต.พิตเพียน อ.มหาราช จ.พระนครศรีอยุธยา >>
    หล่วงพ่อสุวัฒ วัดศรีทวีป จ.สุราษฏร์ธานี >>
    หล่วงพ่อเสน อาจารย์ของหลวงปู่ชื้น วัดญาณเสน อยุธยา นั่งมรณะที่ถ้ำสระบุรี ศพไม่เน่า พอนำศพท่านเผา เส้นผมกลายเป็นทองคำ >>
    หล่วงพ่อไสย์ วัดเทพเจริญ จ.ชุมพร>>
    หลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม นครปฐม>>
    หล่วงพ่อหมุน ฐิตสีโล วัดบ้านจาน จ.ศรีสะเกษ>>
    หลวงพ่อหยอด วัดแก้วเจริญ>>
    หล่วงพ่อหล้า ตาทิพย์ วัดป่าตึง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่>>
    หล่วงพ่อหิน อาโสโก วัดหนองนา อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี>>
    หล่วงพ่อเหมือน วัดคลองทรายใต้ จ.สระแก้ว>>
    หลวงพ่อแหวง วัดคึกคัก จังหวัดพังงา>>
    หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน อยุธยา แต่ลูกศิษย์ดันเผาครับ>>
    หล่วงพ่อโหพัฒน์ โรงเจชุ่นเทียนติ้ว หลังตลาดท่าเรือ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี>>
    หล่วงพ่ออิง อายุ118ปี สำนักปฏิบัติธรรมคงคำโคกทม จ.บุรีรัมย์>>
    หล่วงพ่ออิน อินโท วัดฟ้าหลั่ง - วัดทุ่งปุย อายุ 101 ปี จ.เชียงใหม่>>
    หลวงพ่ออินทร์ วัดเกาะหงส์ จ.นครสวรรค์>>
    หลวงพ่อแอ๋ว วัดหัวเมือง จังหวัดอุทัยธานี>>
    หลวงพ่อโอ๊ด วัดโกสินาราย อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี>>
    หลวงพ่ออุตตมะ (พระราชอุดมมงคล) อ.สังขละ จ.กาญจนบุรี>>

    เฉพาะในยุคปัจจุบันนะครับ แล้วยังมีอีกนะครับที่ผมไม่ทราบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 สิงหาคม 2009
  4. ธัชกร

    ธัชกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,040
    มุมมองวิทยาศาสตร์ กับ "พระสังขารไม่เน่า"

    โดย ตวงศักดิ์ ชื่นสินธุ





    เรื่องราวดุจปาฏิหาริย์ที่ปรากฏทางหน้าหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับพระสงฆ์ที่มรณภาพแล้วร่างกายไม่เน่าเปื่อยสลายไปตามธรรมชาติ

    แต่กลับเป็นคล้าย "มัมมี่" คงสภาพร่างกายให้บรรดาสานุศิษย์และประชาชนที่เลื่อมใสศรัทธากราบไว้ต่อไปนั้นในเมืองไทยมีอยู่มากมาย

    นับแต่พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ พระดังๆ อาทิ หลวงพ่อพระราชพรหมยานเถระ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี, หลวงปู่วงศ์ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน, หลวงพ่อบุญเหลือ วัดเขาตะกร้าทอง จ.ลพบุรี, ครูบาธรรมชัย วัดทุ่งหลวง จ.เชียงใหม่, ครูบาขาวปี วัดพระพุทธบาทผาหนาม จ.ลำพูน, หลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุนนาค อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์, หลวงปู่พรหม วัดช่องแค จ.นครสวรรค์, หลวงปู่สงฆ์ วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย จ.ชุมพร, หลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ กทม., หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว จ.สุพรรณบุรี, หลวงพ่อเภา วัดเขาวงกต อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี ล่าสุดหลวงพ่ออุตตมะ (พระราชอุดมมงคล) อ.สังขละ จ.กาญจนบุรี

    ทั้งหมดที่เอ่ยนามมาข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพระเถระผู้ใหญ่ที่ละสังขารแล้วร่างกายไม่เน่าเปื่อย แต่หากจะนับตัวเลขกันจริงๆ แล้ว ยังมีอีกหลายรูป

    เรื่อง "ศพพระไม่เน่า" จึงกลายมาเป็นข้อปุจฉา-วิสัชนา กันอยู่อย่างไม่จบสิ้น เป็นเรื่องที่คนอยากรู้กระทั่งลงทุนไปศึกษากับเกจิดังๆ หลายรูปเพื่อหาข้อเท็จจริง

    ในบรรดาสานุศิษย์ของพระเกจิชื่อดัง *กิตติชัย เชาว์ชนพันธ์* เป็นคนหนึ่งที่คนในแวดวงพระรู้จักกันดี

    กิตติชัยเป็นเจ้าของบริษัทโฆษณาแห่งหนึ่ง ปัจจุบันอายุ 41 ปี เขาแนะนำตัวเองว่า เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อจ่าง วัดเขื่อนเพชร จังหวัดเพชรบุรี จบคณะวิทยาศาสตร์ เอกคณิตศาสตร์ มศว.ประสานมิตร ปี 2534

    กิตติชัยเล่าให้ฟังถึงการศึกษาเกี่ยวกับพระละสังขารแล้วไม่เน่า ว่าเริ่มสนใจเรื่องนี้เมื่อครั้งมีหนังสือพิมพ์ลงข่าวเกี่ยวกับคนถูกยิง เป็นเรื่องของสองผัวเมีย ที่มีปัญหาขัดแย้งเรื่องมรดกกัน สามีตายคาที่ แต่ภรรยาแม้จะถูกยิงด้วยกระสุนชนิดจะจะ แต่กระสุนปืนไม่ระคายผิว ทำให้เริ่มต้นศึกษาในเรื่องเหล่านี้

    พอเริ่มศึกษา ทำให้ได้ไปรู้จักครูบาอาจารย์หลวงพ่อหลายรูป แต่ละรูปเป็นเกจิชื่อดังทางด้านต่างๆ กันไป

    อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่น่าสังเกตในการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือ แต่ละรูปขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นต่างได้ฝึกสมาธิ ฝึกจิต นั่งวิปัสสนากรรมฐานแทบทั้งสิ้น

    "ผมอาจจะอธิบายแล้วฟังยากสักหน่อยสำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงนี้ แต่พูดแบบง่ายๆ ว่าจากการศึกษาของผมพบว่า เกจิอาจารย์ที่ฝึกนั่งสมาธิ ฝึกจิตทั้งหลายจะมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เกิดรังสีประเภทหนึ่งขึ้นในตัว

    "รังสีที่เกิดขึ้นนี้จะทำให้ผิวหนังร่างกายเปลี่ยนแปลงไป เรื่องนี้เป็นเรื่องของคนที่ปฏิบัติ เคยมีการวัดรังสีเหล่านี้แบบวิทยาศาสตร์ โดยมีเครื่องมือวัดเหมือนวัดรังสีออร่า ก็สามารถตรวจวัดได้ระดับหนึ่ง แต่ทีนี้คลื่นรังสีตัวนี้คืออะไร ยังตอบไม่ได้ในทางวิทยาศาสตร์ อาจจะแตกต่างไปจากแสงออร่าบ้าง คือความถี่น่าจะไม่เท่ากัน"

    กิตติชัยอธิบายต่อไปว่า ในร่างกายคนเราปกติจะมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาอยู่แล้ว ถ้าเอามือไปอังใกล้ๆ จะรู้สึกมีการคลายความร้อน รังสีตัวนี้เมื่อคนที่ฝึกกรรมฐานมาแล้ว จิตพัฒนาไปจนสามารถที่จะรวบรวมรังสีเหล่านี้ได้ และส่งออกไปข้างนอกได้ ก็คือส่งไปอาบวัตถุมงคลที่เราเรียกกันว่า "การปลุกเสก" นั่นเอง

    "เมื่อพระอาจารย์ทั้งหลายมีการปฏิบัติตรงนี้บ่อยๆ รังสีที่ว่านี้ก็จะอาบไปทุกอณูเซลล์ของร่างกาย เวลาหมดลมหายใจสุดท้าย หรือเวลามรณภาพ ดับขันธ์ พระเกจิเหล่านี้จะกำหนดอารมณ์ของตนเข้าไปอยู่ในที่ตั้งของกรรมฐาน รังสีตัวนี้ก็จะแผ่ปกคลุมในอณูเซลล์ เป็นเหตุให้แบคทีเรียไม่สามารถเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อได้"

    ถ้าจะพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ได้หรือไม่ กิตติชัยบอกว่าต้องขอความร่วมมือจากนักวิทยาศาสตร์ให้มาช่วยศึกษาอีกที

    "แต่ถ้าจะพิสูจน์ในลักษณะของเหตุและผล หรือดูข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ในแง่ของความรู้ทางพระที่ศึกษา

    ผ่านมาแน่ชัดอยู่มากทีเดียวว่า พระที่ปฏิบัติกรรมฐาน จนมาถึงตรงที่ตั้งของรังสี ซึ่งเรียกว่ารังสีธาตุทั้ง 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ จะมีร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปหลายอย่าง เช่น ในตาดำจะมีวงแหวน จะไม่เหมือนกับคนที่ตาเป็นต้อ เพราะคนตาเป็นต้อจะเป็นสีฟ้าสีเดียวแล้วไม่สามารถเปลี่ยนสีได้ แต่คนที่ปฏิบัติตรงนี้วงแหวนในตาดำสามารถเปลี่ยนเป็นสีเทา สีไข่ไก่ได้ แล้วแต่อารมณ์ที่เขากำหนด"

    นอกจากนี้ หัวคิ้วจะเปลี่ยนไป เพราะเวลานั่งกรรมฐานเขาจะเอาตาเพ่ง แล้วมองกลับเข้าไปข้างใน ดังนั้นกล้ามเนื้อตาด้านบนจะหดเวลากลอกตาขึ้น เมื่อทำแบบนี้ตลอด คนที่แก่กรรมฐาน กล้ามเนื้อเหมือนจะยืดตัว ตาดำเหมือนจะลอยขึ้นตลอด และมีการยกกระบังลมที่เปลี่ยนไป นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์

    "พอถึงตอนมรณภาพหรือเสียชีวิต รังสีที่เกิดจากการฝึกปฏิบัติก็ยังอาบอณูเซลล์ร่างกายอยู่ จึงทำให้เซลล์ผิวหนังไม่เน่าเปื่อย มีพระนับร้อยองค์ที่เป็นแบบนี้

    "ตัวผมสนใจเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 2535 ติดตามมาตลอด ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงร่างกาย ไปถึงการปลุกเสก ด้วยความที่เราเป็นนักวิทยาศาสตร์ สมัยนั้นผมทำงานอยู่ที่บริษัท ซีเกต เทคโนโลยี ประเทศไทย เราเรียนจบวิทยาศาสตร์ ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ เบื้องต้นผมไปเห็นหลวงพ่อรูปหนึ่งที่ จ.นครสวรรค์ ท่านอยู่ในหีบแก้วร่างกายไม่เน่า แวบแรกคิดว่าเป็นหุ่นขี้ผึ้ง ก็ขึ้นไปเกาะโลงศพดู พวกลูกศิษย์เขาบอกกันว่ามีเล็บงอก ผมงอก ผมก็บอกว่าไม่แปลกหรอกถ้าไม่ใช่หุ่นขี้ผึ้ง เพราะถ้าผิวหนังแห้งผมก็ต้องโผล่ขึ้นมา แต่ต้องจนมุมเมื่อเขาบอกว่าโกนแล้วยังงอกขึ้นมาอีก ผมก็ไปเกาะโลง จ่อหน้ากับท่านเพื่อจะดู แล้วก็ยอมลงมาจุดธูปขอเป็นลูกศิษย์

    "จากนั้นเลยศึกษาเรื่องนี้อยู่นานมาก เดินทางพบพระเป็นพันรูปเพื่อศึกษาตรงนี้ บางรูปอยู่กับท่านตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ จนมรณภาพไปทีละรูป เอารูปท่านตั้งแต่หนุ่มมาดูจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของร่างกายเรื่อยๆ ที่อัศจรรย์กว่านั้น คือ ท่านซ่อนวงแหวนในตาดำได้

    "แม้แต่ไอน์สไตน์ก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนี้เลยนะ" เสียงกิตติชัยย้ำดังๆ เมื่อถูกมองว่าเป็นเรื่องของไสยศาสตร์

    "มันเป็นเรื่องที่วิทยาศาสตร์ยังไปไม่ถึง ซึ่งต้องการนักวิชาการทางฟิสิกส์เข้าไปค้นคว้าศึกษา คือวิทยาศาสตร์บางทีตอบได้ไม่หมดทุกเรื่อง บางเรื่องเรายังต้องเรียนรู้ต่อไปอีก"

    กิตติชัยบอกด้วยว่า เรื่องกรรมฐาน คือการนั่งฌาน ญี่ปุ่นเอาไปใช้เรียกว่า "เซน" วิธีนั่งฌานถ่ายทอดกันมายาวนาน โดยเฉพาะนิกายมหายาน จะกล่าวถึงเรื่องฌานค่อนข้างมาก ส่วนหินยาน (เถรวาท) เองก็กล่าวถึงโดยตลอด ไม่ว่าจะในพระอภิธรรม พระไตรปิฎก

    และเมื่ออธิบายเรื่องฌานในแบบวิทยาศาสตร์ ขั้นตอนการทำฌานก็เหมือนขั้นตอนที่หลอกล่อให้คนฝึกหัดสมาธิ เมื่อทำไปจนถึงระดับหนึ่งจะพบที่ตั้งของรังสีตัวนี้ ที่ขนานนามว่า "รังสีธาตุ" พอพบแล้วก็สามารถจะนำรังสีตัวนี้ส่งออกไปข้างนอกได้ ไปประจุไว้ในวัตถุได้ ที่เรียกกันว่าการปลุกเสก

    กิตติชัยบอกว่า เรื่องแบบนี้เป็นได้เฉพาะคน ใครที่ฝึกได้ทำได้ดีมากๆ ก็สามารถรวมพลังงานตรงนี้ได้มาก

    "แต่ถ้าถามว่า แล้วพลังงานนี้เมื่อประจุเข้าในวัตถุมงคลแล้วทำไมถึงไปส่งอิทธิปาฏิหาริย์ทำให้ยิงไม่เข้า ตรงนี้ผมก็ตอบไม่ได้.."

    ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้อีกอย่าง คือ พระที่สังขารไม่เน่า สังขารต้องค่อยๆ ดำ เช่น หลวงพ่อผล วัดเชิงหวาย สีผิวจะค่อยๆ เปลี่ยนจากสีเนื้อเป็นสีน้ำผึ้ง แล้วเป็นสีน้ำผึ้งเก่าแก่ แล้วแห้ง น้ำค่อยๆ ออก อาจารย์ดังๆ ที่ปฏิบัติถึงขั้นแล้วสังขารไม่เน่า มีทั่วทุกภาค แต่จังหวัดทางภาคใต้มีมากเป็นพิเศษ

    "เรื่องตายแล้วร่างกายไม่เน่า ไม่ใช่เรื่องแปลก อธิบายได้หมด แล้วก็ยังมีพระที่ร่างกายพร้อมจะไม่เน่าอยู่อีกเยอะแยะ และไม่ใช่แค่ประเทศไทย อย่างพระจีน พระญวน มรณภาพแล้วไม่เน่าก็มี นั่งสมาธิตายแข็งอยู่ทุกวันนี้ก็มี ที่ จ.ฉะเชิงเทรา วัดจีนประชาสโมสร ท่านนั่งฌานปฏิบัติแบบเดียวกัน อันนี้ไม่ใช่เรื่องอภินิหาร ที่ต่างประเทศก็มีการค้นคว้าเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัดออกมา"

    เรื่องพระสังขารไม่เน่าของพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แม้ว่าจะมีการพิสูจน์ว่าคนทั่วไปก็สามารถทำได้ และมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ แต่ตามความเชื่อของคนไทยแล้ว เมื่อมีข่าวพระสังขารไม่เน่า ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ เป็นอภินิหาร

    ดังนั้น แม้จะมีคำอธิบายระดับหนึ่งจากคนที่ศึกษาในเรื่องนี้ แต่คำตอบที่แน่นอนชัดเจนนั้นยังไม่มี เรื่องนี้ยังคงต้องการการศึกษาให้มากยิ่งขึ้นไปอีก และต้องขยายออกไปในวงกว้าง

    อ้างอิง http://palungjit.org/threads/มุมมองวิทยาศาสตร์กับพระสังขารไม่เน่า.72870/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 สิงหาคม 2009
  5. ธัชกร

    ธัชกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,040
    ฝรั่งทึ่ง"มัมมี่"ไทย ร่างอมตะ"หลวงพ่อแดง"

    มา โดย พนิดา สงวนเสรีวานิช หน้าประชาชาชื่น หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับวันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๕

    ในอดีตสิ่งที่สร้างความอัศจรรย์ใจเมื่อพูดถึง มัมมี่ อาจจะเป็นวิทยาการชั้นสูงของโลกตะวันตก แต่วันนี้เปลี่ยนไปแล้ว

    เอเชียก็มีมัมมี่เช่นกัน เป็นมัมมี่ที่น่าพิศวงยิ่งกว่า แตกต่างยิ่งนัก เพราะเป็นเรื่องของพลัง จิต เป็นศาสตร์แห่งโลกตะวันออกที่วิทยาศาสตร์ยังยากจะอธิบาย เช่น ร่างของ หลวงพ่อแดง ปิยสีโล แห่งวัดคุณาราม เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ที่หลังจากมรณภาพแล้ว ไม่ได้ผ่านกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง กลับไม่เน่าสลาย! ความน่าพิศวงดังกล่าวทำให้ รอน เบ็คเก็ต และ เจอรัลด์ คอนล็อก สองศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยควินนิเปก ในเมืองแฮมเดน มลรัฐคอนเนกติกัต


    ผู้ซึ่งนำเอาวิทยาการทางการแพทย์สมัยใหม่และความล้ำหน้าของเทคนิคต่างๆ มาไขเรื่องราวที่ถูกฝังไปพร้อมกับมัมมี่ทั่วโลก รีบรุดเข้าพิสูจน์ร่างที่ไม่เน่าของหลวงพ่อแดง ทางวัดเองก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยวางเงื่อนไขเพียงให้ขอขมาด้วยดอกไม้ ธูปเทียน ก่อนทำการพิสูจน์ และห้ามทำการใดๆ ให้ร่างของหลวงพ่อแดงเสียหาย ทั้งสองเริ่มกระบวนการพิสูจน์เมื่อสิงหาคมปีที่แล้ว โดยเอกซเรย์ส่วนของศีรษะและลำตัว เพื่อตรวจดูความสมบูรณ์ของอวัยวะภายใน นอกจากนี้ก็นำ endoscope คือท่อขนาดจิ๋ว มีความยืดหยุ่นสูง ส่วนปลายติดกล้องถ่ายวิดีโอขนาดเล็กมาก ใส่เข้าไปทางช่องระหว่างฟัน เพื่อสำรวจอวัยวะภายใน รอน อธิบายถึงกระบวนการเป็นมัมมี่ว่า "เวลาที่เราพูดถึงมัมมี่ เราจะพูดถึงแบคทีเรียตัวหนึ่งที่เป็นสาเหตุให้ร่างกายเน่าสลาย การทำมัมมี่จึงมักใช้วิธีการฆ่าแบคทีเรียตัวนี้ ทำให้ไม่มีตัวย่อยสลายเนื้อเยื่อ ร่างกายนั้นก็จะแห้งลงโดยธรรมชาติ แต่มัมมี่ที่อื่นที่เห็นมาจะต่างจากหลวงพ่อแดงซึ่งดูเหมือน จริง มาก หลังจากพิสูจน์แล้ว เราประหลาดใจมากเพราะทุกส่วนยังคงสภาพดีมากๆ ไม่ว่าจะเป็นผิวหนังที่เหมือนผิวคนที่ค่อยๆ แห้งไปแบบธรรมชาติ สมองก็หดตัวเพียง 20% ส่วนอวัยวะภายในเท่าที่เอกซเรย์พบว่ายังอยู่ครบ ไม่ว่าจะเป็นหัวใจ ปอด ตับ ฯลฯ เพียงแต่มันแห้งลง และหดตัวนิดหน่อย"


    ลักษณะการหดตัวของผิวหนังนี่เองที่ใช้อธิบายว่าทำไม มัมมี่บางร่างไม่เพียงไม่เน่าสลาย แต่เส้นผมและเล็บก็ยาวขึ้นด้วย รวมทั้งลักษณะของปากที่เมื่อนานไปปากที่เคยปิดสนิท กลับค่อยๆ เผยอออก ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยควินนิเปกรอนอธิบายอีกว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปถึงสาเหตุของการไม่เน่าสลายของหลวงพ่อแดงได้ เพราะทำได้เพียงเอกซเรย์และส่องกล้อง ถ้าได้เส้นผมหรือชิ้นอวัยวะไปพิสูจน์ตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์จะทราบผลแน่นอน แต่เท่าที่สันนิษฐานเบื้องต้นคาดว่าเป็นเพราะการอดอาหารอดน้ำนานถึง 15 วัน ทำให้แบคทีเรียที่ย่อยสลายเนื้อเยื่อตายหมด "ตามหลักการแล้วเชื่อว่าก่อนที่หลวงพ่อแดงจะมรณภาพน่าจะได้ดื่ม น้ำเกลือ เข้าไป ทำให้กระบวนการดังกล่าวเสร็จสิ้นลงโดยสมบูรณ์" กระนั้นก็ไม่มีผู้ยืนยันว่าก่อนมรณภาพ หลวงพ่อแดงได้ดื่มน้ำเกลือหรือไม่ หรืออาจจะเป็นเพราะไอจากน้ำทะเลช่วยให้กระบวนการดังกล่าวสมบูรณ์ลง! ที่น่าสนใจก็คือ ทั้งรอนและเจอรัลด์เชื่อว่า การทำสมาธิ ทำให้ร่างของหลวงพ่อแดงไม่เน่าสลาย เมื่อปีกลายที่นักวิทยาศาสตร์ทั้งสองเข้ามาพิสูจน์ร่างของหลวงพ่อแดง ทั้งคู่ได้มีโอกาสฝึกนั่งสมาธิ และพบว่าการกำหนดลมหายใจเข้า-ออกช่วยผ่อนคลายกล้ายเนื้อ ทำให้ร่างกายรู้สึกสบายขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ จึงเชื่อว่าถ้าได้ฝึกสมาธิบ่อยๆ จะสามารถบังคับกายเนื้อได้ เจอรัลด์บอกว่า "ผมเชื่อว่าการนั่งสมาธิทำให้ร่ายกายของหลวงพ่อแดงไม่เน่าสลาย ก็เหมือนกับการฝังเข็มที่เมื่อ 30 ปีก่อนเราก็ไม่เชื่อว่าจะรักษาโรคได้ ผมกลับไปอเมริกา


    ได้ทดลองใช้การทำสมาธิกับคนป่วยโรคหืดหอบ ปรากฏว่ารักษาหาย" เหล่านี้เป็นการยืนยันความต่างของศาสตร์แห่งตะวันตกและตะวันออก ขณะที่มัมมี่อียิปต์จะชำระล้าง กาย ผู้ตายให้สะอาดหมดจด เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่โลกหน้า ฝั่งตะวันออก เช่น ทิเบต ญี่ปุ่น เวียดนาม ซึ่งพบมัมมี่ในลักษณะหลวงพ่อแดง จะชำระ จิต ใจให้บริสุทธิ์เพื่อเข้าสู่นิพพาน ความเร้นลับของศาสตร์แห่งตะวันออกเช่นนี้เองที่ตะวันตกกำลังให้ความสนใจยิ่ง ประวัติหลวงพ่อแดง พระครูสมถกิตติคุณ(หลวงพ่อแดง ปิยสีโล) เป็นบุตรหลวงพิทักษ์ และนางน้อยหีต สง่าราษฎร์ เกิดที่บ้านตะพ้อ หมู่ที่ 5 ต.หน้าเมือง อ.เกาะสมุย เดิมชื่อ แดง สีชั้น อุปสมบทเมื่ออายุ 20 ปีเป็นพระภิกษุ 2 พรรษา ต่อมาสมรสกับนางเขียว ทองทิพย์ มีบุตรธิดารวม 6 คน บวชครั้งที่ 2 เมื่ออายุ 50 ปีพอดี โดยมีพระครูทีปาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสำเร็จ เป็นพระอุปัชฌาย์



    ได้ขึ้นไปปฏิบัติสมถกัมมัฏฐานบนถ้ำยายที่เชิงเขาหมาแหงน โดยมีพระครูประยูรธรรมโสภิตเป็นอาจารย์ จำพรรษาอยู่ 2 ปีจึงย้ายไปอยู่กับหลวงพ่อแดง ติสโส ที่สำนักสงฆ์หัวแหลมสอ ปีเศษจึงกลับมาพัฒนาวัดศิลางูอยู่ 4-5 ปี ปฏิบัติสมถกัมมัฏฐานอยู่ 3-4 ปี ก่อนจะย้ายเข้ากรุงเทพฯ ฝากตัวเป็นศิษย์กับท่านเจ้าคุณพระพิมลธรรม ฝึกจิตกระทั่งสามารถนั่งสมาธิกำหนดจิตได้นานถึง 15 วัน โดยไม่เคลื่อนไหวร่างกาย รวมอยู่ในสมณเพศ 29 ปี 8 เดือน มรณภาพเมื่อ 6 พ.ค.2516 สิริอายุได้ 79 ปี 8 เดือน ลูกศิษย์และลูกหลานนำร่างที่ไม่เน่าเปื่อยของท่านบรรจุในท่านั่งตามประสงค์ ประดิษฐานไว้บนศาลาที่วัดคุณาราม (เขาโป๊ะ) เรื่องราวของการพิสูจน์ร่างที่ไม่เน่าสลายของหลวงพ่อแดง จะเผยแพร่ในเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก แชนแนล(ยูบีซี ช่อง 42) เริ่ม 20 พฤษภาคมนี้ เวลา 20.00 น.
     
  6. WeeWee'

    WeeWee' เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    123
    ค่าพลัง:
    +595
    ว่าแต่ว่านะ สมาธิขั้นสูงจนทำหม่ามี๊ได้เนี่ย ชงกาแฟได้ป่ะครับ
     
  7. WeeWee'

    WeeWee' เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    123
    ค่าพลัง:
    +595
    คิดว่าจะไปชงกาแฟซักแก้ว แล้วเดินไปชงกาแฟ สำเร็จได้ด้วยใจ ทั้งรูปธรรม และนามธรรม จบกระบวนการในทันที
     
  8. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,649
    อย่างนี้ต้องลองดูเองนะครับ......ผมว่าน่าจะเป็นไปได้......
     

แชร์หน้านี้

Loading...