สวดพระอภิธรรม ๗ คำภีร์ MP3 วัดระฆัง

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย SPARTANS, 7 สิงหาคม 2009.

  1. SPARTANS

    SPARTANS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    3,380
    ค่าพลัง:
    +2,987
    [​IMG]

    บทสวดพระอภิธรรม หรือสวดอภิธรรม 7 คำภีร์


    ป่วยก็หาย สวด 7 ปีร่างกายไม่เน่า หมดบุญก็ไปสวรรค์


    พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์คือพระธรรมในอภิธรรมปิฎกมีอยู่ทั้งสิ้น ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ อภิธรรม คือธรรมะขั้นสูง

    หัวใจของอภิธรรมจะกล่าวถึงเรื่องของ จิต เจตสิก รูป และนิพพาน สิ้นเนื้อความในพระไตรปิฎกนับ10000หน้า

    พระอภิธรรม 7 คัมภีร์ เป็นธรรม ที่พระพุทธเจ้าแสดงโปรดพุทธมารดา( ธรรมแทนค่าน้ำนม)เมื่อจบพระอภิธรรมเทศนา

    เทวดาและพรหม ๘๐๐,๐๐๐ โกฎิ ได้บรรลุธรรมและสันตุสิตเทพบุตร (พุทธมารดา) ได้สำเร็จ เป็นพระโสดาบันบุคคล

    พระอภิรรม 7 คำภีร์ นี้เองที่ค้างคาว 500 เกาะผนังถ้ำและงูเหลือมแก่
    ฟังในสมัยพระกัสปะสัมพุทธเจ้า ตายแล้วเกิดบนสวรรค์62กัปลงมาเกิดเป็นลูกชาวประมงทั้ง 500 บวชเป็นศิษย์พระสารีบุตรได้ฟังพระอภิธรรมอีกครั้งก็ลุอรหันต์ทั้ง 500 +อีก1 อเจลก(งูเหลือมแก่)

    พระ อภิธรรมปิฎกมีความสำคัญเปรียบเสมือนรากแก้ว พระวินัยปิฏกประหนึ่งลำต้น พระสุตตันตปิฎกเหมือน กิ่งก้านสาขา บรรดาปิฎกทั้ง ๓ นี้

    พระอภิธรรมจึงมีความสำคัญที่สุด เป็นความรู้ระดับสูง ที่ท่านเรียกว่า ปรมัตถธรรม

    สำหรับ อภิธรรมมาสมัยประจุบันพระท่านจะสวดบทพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ในงานศพ

    เพื่อเป็นบุญให้ผู้ตายด้วยประการหนึ่งแต่สืบค้นนับโบราณพระท่านสวดเจริญพุทธ มนต์พระอภิธรรมในงานมงคล


    ประโยชน์และอานิสงค์
    1.โบราณใช้เป็นคาถาปลุกเสกสีผึ้งในด้านเมตตามหาเสน่ห์
    2.หากสวดได้ 7 ปีเมือสิ้นชีวิตลงร่างจะไม่เน่าเปื่อย
    3.หากสวดให้ผู้ป่วยฟังจะหายป่วยได้เร็ว หากผู้ป่วยหมดบุญ(อายุ)จะไปสบาย
    4.พระเกจิอาจารย์ใช้สวดสะเดาะห์เคราะห์ ต่อดวงชะตาราศี
    5. ผูกเป็นหัวใจ ย่อว่า สัง วิ ธา ปุ กะ ยะ ปะ (หัวใจพระอภิธรรม)ซึ่งเป็นพระคาถาที่ป้องกันสิ่งอัปมงคลและภูตผีปีศาจ
    6.สวดสาธยายเทวดาชอบฟังหลวงปู่ชอบ ฐานสโม เป็นพระที่เทวดารักมากวัดป่าสัมมานุสรณ์ จ.เลย บอกว่า"มนต์บทนี้สวดในใจเทวดาก็มาฟัง"

    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.661223/[/MUSIC]​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 สิงหาคม 2009
  2. ไม้ขีด

    ไม้ขีด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,421
    ค่าพลัง:
    +3,023
    พระอภิธรรม 7 คัมภีร์
    (อ้างอิง:หนังสือมนต์พิธี วัดป่าหนองเเวงเเสงเพชร)


    พระสังคิณี (ธรรมที่เป็นกุศลกับอกุศล)

    กุสะลาธัมมา
    (ธรรมที่เป็นกุศลให้ผลเป็นสุขมีกามาวะจะระกุศลเป็นต้น)

    อะกุสะลาธัมมา
    (ธรรมที่เป็นอกุศลให้ผลเป็นทุกข์มีโลภมูลจิตเเปดเป็นต้น)

    อัพ์ยากะตาธัมมา
    (ธรรมที่เป็นอัพยากฤตเป็นจิตกลางๆมีอยู่มีผัสสะเจตนาเป็นต้น)

    กะตะเม ธัมมา กุสะลายัส์มิง สะมะเย
    (ในสมัยใด ธรรมที่เป็นกุศลให้ผลเป็นสุขย่อมบังเกิดขึ้นอย่างไรบ้าง)

    กามาวะจะรังกุสะลัง จิตตัง
    (จิตที่เป็นกุศลให้ผลเป็นสุขย่อมนำสัตว์ให้ไปเกิดในกามภพทั้งเจ็ดคือ มนุษย์ ๑ สวรรค์ ๖)

    อุปปันนังโหติ
    (ย่อมบังเกิดมีเเก่ปุถุชนผู้เป็นสามัญชน)

    โสมะนัสสะสะหะคะตัง
    (เป็นไปพร้อมกับจิตด้วยที่เป็นโสมนัสความสุขใจ)

    ญาณะสัมปะยุตตัง
    (ประกอบพร้อมด้วยญาณเครื่องรู้คือปัญญา)

    รูปารัมมะณัง วา
    (มีจิตยินดีในรูปมีรูปพระพุทธเจ้าเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง)

    สัทธารัมมะณังวา
    (มีจิตยินดีในเสียงมีเสียงท่านเเสดงพระสัทธรรมเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง)

    คันธารัมมะณัง วา
    (มีจิตยินดีในกลิ่นหอมเเล้วคิดถึงการกุศล มีพระพุทธบูชาเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง

    ระสารัมมะณัง วา
    (มีจิตยินดีในรสเครื่องบริโภคเเล้วก็ยินดีใคร่บริจาคเป็นทานเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง)

    โผฏฐัพพารัมมะณัง วา
    (มีจิตยินดีในของอันถูกต้องเเล้วก็คิดให้เป็นทานเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง)

    ธัมมารัมมะณังวา
    (มีจิตยินดีในที่เจริญพระสัทธรรมกรรมฐานมีพุทธานุสสติเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง)

    ยัง ยังวา ปะนารัพภะ
    (อีกอย่างหนึ่งความปรารภเเห่งจิตก็เกิดขึ้นในอารมณ์ใดๆ)

    ตัส์มิง สะมะเย ผัสโสโหติ
    (ความกระทบผัสสะเเห่งจิตจิตที่เป็นกุศลย่อมบังเกิดขึ้นในสมัยนั้น)

    อะวิกเขโปโหติ
    (อันว่าเอกัคคตาเจตสิกอันเเน่วเเน่ในสันดานก็ย่อมบังเกิดขึ้น)

    เย วา ปานะ ตัส์มิง สะมะเย
    (อีกอย่างหนึ่งธรรมทั้งหลายเหล่าใด ก็ย่อมบังเกิดขึ้นในกาลสมัยนั้น)

    อัญเญปิ อัตถิปะฏิจจะสะมุปปันนา
    (ธรรมทั้งหลายอาศัยซึ่งจิตทั้งหลายอื่นมีอยู่เเล้วอาศัยกันเเละกันเเล้ว บังเกิดมีขึ้นพร้อม)

    อะรูปิโนธัมมา
    (เป็นเเต่นามธรรมทั้งหลายไม่มีรูป)

    อิเม ธัมมา กุสะลา
    (ธรรมทั้งหลายเหล่านี้ชื่อว่าเป็นกุศลให้ผลเป็นสุข เเก่สัตว์ทั้งหลายเเล)


    ๒ พระวิภังค์ (ขันธ์ ๕)ปัญจักขันธา
    (
    กองเเห่งธรรมชาติทั้งหลายมีห้าประการ)
    รูปักขันโธ
    (รูป ๒๘ มีมหาภูตรูป ๔ เป็นต้นเป็นกองอันหนึ่ง)

    เวทะนากขันโธ
    (ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขเเละเป็นทุกข์เป็นโสมนัสเเละโทมนัส เเละอุเบกขา เป็นกองอันหนึ่ง)

    สัญญาขันโธ
    (ความจำได้หมายรู้ ใน รูป เสียง กลิ่น รสโผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ อันบังเกิดในจิตเป็นกองอันหนึ่ง)

    สังขารักขันโธ
    (เจตสิกธรรม 50 ดวงเป็นเครื่องปรุงเเต่งจิตให้คิดอ่านไปต่างๆ มีบุญเจตสิกเป็นต้นที่ให้สัตว์บังเกิดเป็น กองอันหนึ่ง)

    วิญญาณักขันโธ
    (วิญญาณจิต ๘๙ ดวงโดยสังเขปเป็นเครื่องรู้เเจ้งวิเศษมีจักขุวิญญาณเป็นต้นเป็นกองอันหนี่ง)

    ตัตถะ กะตะโม รูปักขันโธ
    (กองเเห่งรูปในปัญจขันธ์ทั้งหลายนั้นเป็นอย่างไรบ้าง)

    ยังกิญจิรูปัง
    (รูปอันใดอันหนึ่ง)

    อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนัง
    (รูปที่เป็นอดีตอันก้าวล่วงไปเเล้วเเละรูปที่เป็นอนาคตอันยังไม่มาถึงเเละรูปที่เป็นปัจจุบันอยู่)

    อัฌฌัตตัง วา

    (
    เป็นรูปภายในหรือ)

    พะหิทธาวา
    (หรือว่าเป็นรูปภายนอก)

    โอฬาริกังวา
    (เป็นรูปอันหยาบหรือ)

    สุขุมังวา
    (หรือว่าเป็นรูปอันละเอียดสุขุม)

    หีนัง วา
    (เป็นรูปอันเลวทรามหรือ)

    ปะณีตังวา
    (หรือว่าเป็นรูปอันประณีตบรรจง)

    ยังทูเรวา
    (เป็นรูปในที่ไกลหรือ)

    สันติเกวา
    (หรือว่าเป็นรูปในที่ใกล้)

    ตะเทกัชฌังอะภิสัญญูหิต์วา
    (พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประมวลเข้ายิ่งเเล้วซึ่งรูปนั้นเป็นหมวดเดียวกัน)

    อะภิสังขิปิต์วา
    (พระผู้มีพระภาคเจ้าย่นย่อเข้ายิ่งเเล้ว)

    อะยังวุจจะติ รูปักขันโธ
    (กองเเห่งรูปธรรมอันนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่าเป็นรูปขันธ์เเล)


    ๓ พระธาตุกถา (การสงเคราะห์ธรรม)

    สังคะโห
    (พระพุทธองค์สงเคราะห์ซึ่งจิตเจตสิกรูปเข้าไปในขันธ์เป็นหมวด๑)

    อะสังคะโห
    (พระพุทธองค์ไม่ทรงสงเคราะห์ซึ่งรูปธรรมทั้งหลายเข้าในขันธ์เป็นหมวด๑)

    สังคะหิเตนะอะสังคะหิตัง
    (พระพุทธองค์ไม่สงเคราะห์ซึ่งจิตเจตสิกรูปด้วยธรรมอันสงเคราะห์เเล้ว)

    อะสังคะหิเตนะสังคะหิตัง
    (พระพุทธองค์สงเคราะห์ซึ่งจิตเจตสิกรูปด้วยธรรมอันมิได้สงเคราะห์)

    สังคะหิเตนะสังขะหิตัง
    (พระพุทธองค์สงเคราะห์ซึ่งจิตเจตสิกรูปด้วยธรรมอันนสงเคราะห์เเล้ว)

    อะสังคะหิเตนะอะสังคะหิตัง
    (พระพุทธองค์ไม่สงเคราะห์ซึ่งจิตเจตสิกรูปด้วยธรรมอันมิได้สงเคราะห์)

    สัปปะโยโค
    (เจตสิกธรรมทั้งหลายอันประกอบพร้อมกับจิต๕๕)

    วิปปะโยโค
    (เจตสิกธรรมทั้งหลายอันประกอบเเตกต่างกันกับจิต)

    สัมปะยุตเตนะวิปปะยุตตัง
    (ประกอบเจตสิกอันต่างกันด้วยเจตสิกอันประกอบพร้อมกันเป็นหมวดเดียว)

    วิปปะยุตเตนะสัมปะยุตตัง
    (ประกอบเจตสิกอันบังเกิดพร้อมกันด้วยเจตสิกอันต่างกันเป็นหมวดเดียว)

    อะสังคะหิตัง
    (พระพุทธองค์ไม่สงเคราะห์ซึ่งธรรมอันไม่ควรสงเคราะห์ให้ระคนกัน)<o></o>


    ๔ พระปุคคะละปัญญัติ (ว่าด้วยที่ตั้งของบุคคล)

    ฉะปัญญัตติโย
    (ธรรมชาติทั้งหลาย ๖อันบัณฑิตพึงเเต่งตั้งบัญญัติไว้)

    ขันธะปัญญัตติโย
    (กองเเห่งรูปเเละนามเป็นธรรมชาติอันบัณฑิตพึงเเต่งตั้งบัญญัติไว้)

    อายะตะนะปัญญัตติ
    (บ่อเกิดเเห่งตัณหาคือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจอันบัณฑิตพึงเเต่งตั้งบัญญัติไว้)

    ธาตุปัญญัตติ
    (ธาตุทั้ง๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลมเป็นธรรมชาติอันบัณฑิตพึงเเต่งตั้งบัญญัติไว้)

    สัจจะปัญญัตติ
    (ของจริงอย่างประเสริฐคือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคเป็นธรรมชาติอันบัณฑิตพึงเเต่งตั้งบัญญัติไว้)

    อินท์รียะปัญญัตติ
    (อินทรีย์๒๒เป็นธรรมชาติอันบัณฑิตพึงเเต่งตั้งบัญญัติไว้)

    ปุคคะละปัญญัตติ
    (บุคคลที่เป็นธรรมชาติอันบัณฑิตพึงเเต่งตั้งบัญญัติไว้)

    กิตตาวะตาปุคคะลานัง
    (เเห่งบุคคลทั้งหลายนี้มีกี่จำพวกเชียวหนอ)

    ปุคคะละปัญญัตติ
    (บุคคลที่เป็นธรรมชาติอันบัณฑิตพึงเเต่งตั้งบัญญัติไว้)

    สะมะยะวิมุตโต
    (พระอริยบุคคลผู้มีจิตพ้นวิเศษเป็นสมัยอยู่มีพระโสดาบันเป็นต้น)

    อะสะมะยะวิมุตโต
    (พระอริยบุคคลผู้มีจิตพ้นวิเศษไม่มีสมัยมีพระอรหันต์เป็นต้น)

    กุปปะธัมโม
    (ฌานที่เป็นเครื่องฆ่ากิเลสอันบุคคลได้เเล้วย่อมกำเริบสูญไป)

    อะกุปปะธัมโม
    (ฌานที่เป็นเครื่องเผากิเลสอันบุคคลได้เเล้วย่อมไม่กำเริบ)

    ปะริหานะธัมโม
    (ฌานที่เป็นเครื่องฆ่ากิเลสอันบุคคลได้สูงขึ้นไปเเล้วย่อมเสื่อมถอยลง)

    เจตะนาภัพโพ
    (ฌานที่เป็นเครื่องฆ่ากิเลสอันบุคคลได้เเล้วไม่สามารถที่จะรักษาไว้ในสันดาน)

    อะนุรักขะนาภัพโพ
    (ฌานที่เป็นเครื่องฆ่ากิเลสอันบุคคลได้เเล้วก็ตามรักษาไว้ในสันดาน)

    ปุถุชชะโน
    (บุคคลที่มีอาสวะเป็นเครื่องย้อมใจอันหนาเเน่นในสันดาน)

    โคตะระภู
    (บุคคลผู้เจริญในพระกรรมฐานตลอดขึ้นไปถึงโคตรภู)

    ภะยูปะระโต
    (บุคคลผู้เป็นปุถุชนย่อมมีความกลัวเป็นเบื้องหน้า)

    อะภะยูปะระโต
    (พระขีณาสะวะบุคคลผู้มีความกลัวอันสิ้นเเล้ว)

    ภัพพาคะมะโน
    (บุคคลผู้มีวาสนาอันเเรงกล้าสามารถจะได้มรรคเเละผลในชาตินั้น)

    อะภัพพาคะมะโน
    (บุคคลผู้มีวาสนาน้อยไม่สามารถจะได้มรรคเเละผลในชาตินั้น)

    นิยะโต
    (บุคคลผู้กระทำซึ่งปัญจอนันตริยกรรมมีปิตุฆาตเป็นต้นตายเเล้วไปตกนรกเป็นเเน่)

    อะนิยะโต
    (บุคคลผู้มีปฏิสนธิไม่เที่ยงย่อมเป็นไปตามยถากรรม)

    ปะฏิปันนะโก
    (บุคคลที่ปฏิบัติมั่นเหมาะในพระกรรมฐานเพื่อจะได้อริยมรรค)

    ผะเลฏฐิโต
    (บุคคลผู้ตั้งอยู่ในอริยผลมีพระโสดาปัตติผลเป็นต้นตามลำดับ)

    อะระหา
    (บุคคลผู้ตั้งอยู่ในพระอรหัตตผลเป็นผู้ควรเเล้ว เป็นผู้ไกลเเล้วจากกิเลส)

    อะระหัตตายะปะฏิปันโน
    (บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อจะให้ถึงพระอรหัตตผลเป็นผู้ควรเเล้วเป็นผู้ไกลเเล้วจากกิเลส)<o></o>

    ๕ พระกถาวัตถุ (ว่าด้วยความจริงเเท้)

    ปุคคะโล
    (มีคำถามว่าสัตว์ว่าบุคคลว่าหญิงว่าชาย)

    อุปะลัพภะติ
    (อันท่านควรรู้ด้วยปัญญาอันบังเกิดในสันดานของท่านเถิด)

    สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนาติ
    (โดยปรมัตถ์คืออรรถอันอุดมเป็นอรรถอันจริงเเท้มิได้เเปรผันดังนี้มีอยู่หรือ)

    อามันตา
    (มีคำเเก้ตอบว่าจริงสัตว์บุคคลหญิงชายมีอยู่)

    โย
    (มีคำถามว่าปรมัตถธรรมมีประการ ๕๗ มีขันธ์ ๕เป็นต้นทั้งหลายเหล่าใด)

    สัจฉิกัตโถปะระมัตโถ
    (เป็นปรมัตถ์คืออรรถอันอุดมเป็นอรรถอันจริงเเท้มิได้เเปรผัน)

    ตะโตโส
    (โดยมีปรมัตถธรรมมีประการ๕๗ มีขันธ์ ๕เป็นต้นเหล่านั้น)

    ปุคคะโล
    (ว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลเป็นหญิงเป็นชาย)

    อุปะลัพภะติ
    (อันท่านควรรู้ด้วยปัญญาอันบังเกิดในสันดานของท่าน)

    สัจฉิกัตตะปะระมัตเถนาติ
    (โดยปรมัตถ์คืออรรถอันอุดมเป็นอรรถจริงเเท้มิได้เเปรผันดังนี้มีอยู่หรือ)

    นะ เหวังวัตตัพเพ
    (มีคำเเก้ตอบว่า ประเภทของปรมัตถ์มีขันธ์ ๕ เป็นต้นเราไม่มีพึงกล่าวเชียวหนอ)

    อาชานาหินิคคะหัง
    (ผู้ถามกล่าวตอบว่า ท่านจงรับเสียเถิดซึ่งถ้อยคำอันท่านกล่าวเเล้วผิด)

    หัญจิปุคคะโล
    (ผิเเลว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลเป็นหญิงเป็นชาย)

    อุปะลัพพะติ
    (อันท่านควรรู้ด้วยปัญญาอันบังเกิดในสันดานของท่าน)

    สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนะ
    (โดยปรมัตถ์คืออรรถอันอุดมเป็นอรรถอันจริงเเท้มิได้เเปรผัน)

    เตนะ
    (โดยประการอันเรากล่าวเเล้วนั้น)

    วะตะเร
    (ดังเรากำหนดดูก่อนท่านผู้มีหน้าอันเจริญ)

    วัตตัพเพโย
    (ปรมัตถธรรมมีประการ ๕๗ มีขันธ์ ๕ เป็นต้นอันเราพึงกล่าว)

    สัจฉิกัตโตปะระมัตโถ
    (เป็นอรรถอันกระทำให้สว่างเเจ้งชัดเป็นอรรถอันอุดม)

    ตะโต โส
    (โดยปรมัยถธรรมมีประการ ๕๗มีขันธ์ ๕เป็นต้นเหล่านั้น)

    ปุคคะโล
    (ว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลเป็นหญิงเป็นชาย)

    อุปะลัพภะติ
    (อันท่านควรรู้ด้วยปัญญาอันบังเกิดในสันดานของท่าน)

    สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนาติ
    (โดยปรมัตถ์ถืออรรถอันอุดมเป็นอรรถจริงแท้มิได้เเปรผันดังนี้)

    มิจฉา
    (ท่านกล่าวในปัญหาเบื้องต้นกับปัญหาเบื้องปลายผิดกันไม่ตรงกัน)<o></o>

    ๖ พระยมก (ธรรมที่เป็นคู่)

    เยเกจิ
    (จิตเเละเจตสิกบางพวกทั้งหลายเหล่าใด)

    กุสะลาธัมมา
    (ธรรมที่เป็นกุศลให้ผลเป็นสุขอันบัณฑิตควรสะสมไว้)

    สัพเพเต
    (จิตเเละเจตสิกทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น)

    กุสะละมูลา
    (เป็นมูลเป็นที่ตั้งรากเหง้าเเห่งกุศลให้ผลเป็นสุข อันบัณฑิตควรสะสมไว้)

    เย วาปานะ
    (อีกอย่างหนึ่งจิตเเละเจตสิกทั้งหลายเหล่านั้น)

    กุสะลามูลา
    (เป็นมูลที่ตั้งมูลเหตุของรากเหง้าเเห่งกุศลให้ผลเป็นสุข อันบัณฑิตควรสะสมไว้)

    สัพเพ เตธัมมา
    (ธรรมคือจิตเเละเจตสิกทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น)

    กุสะลา
    (ชื่อว่าเป็นกุศลให้ผลเป็นสุขอันบัณฑิตควรสะสมไว้)

    เยเกจิ
    (จิตเเละเจตสิกบางพวกทั้งหลายเหล่าใด)

    กุสะลาธัมมา
    (เป็นธรรมเป็นกุศลให้ผลเป็นสุขอันบัณฑิตควรสะสมไว้)

    สัพเพเต
    (จิตเเละเจตสิกทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น)

    กุสะละมูเลนะเอกะมูลา
    (เป็นมูลอันหนึ่งด้วยเป็นมูลเป็นที่ตั้งเเห่งกุศลให้ผลเป็นสุขอันบัณฑิตควรสะสมไว้)

    สัพเพ เตธัมมา
    (ธรรมคือจิตเเละเจตสิกทั้งหลายทั้งปวง)

    กุสะลา
    (ชื่อว่าเป็นกุศลให้ผลเป็นสุขอันบัณฑิตควรสะสมไว้)<o></o>

    ๗ พระมหาปัฏฐาน (ว่าด้วยที่ตั้งใหญ่)

    เหตุปัจจะโย
    (ความไม่โลภไม่โกรธ ไม่หลง เป็นต้นเป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้เกิดในที่สุข)

    อารัมมะณะปัจจะโย
    (อารมณ์ยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด)

    อะธิปะติปัจจะโย
    (ธรรมที่ชื่อว่าอธิบดี๔ ประการ คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสาเป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด)

    อะนันตะระปัจจะโย
    (จิตอันกำหนดในวัตถุเเละรู้เเจ้งวิเศษในทวารทั้งเนื่องกันไม่มีระหว่างเป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด)

    สะมะนันตะระปัจจะโย
    (จิตอันกำหนดในวัตถุเเละรู้วิเศษในทวารทั้งพร้อมกันไม่มีระหว่างเป็นเครื่องเป็นปัจจัยให้บังเกิด)

    สะหะชาตะปัจจะโย
    (จิตเเละเจตสิกอันบังเกิดกับดับพร้อมเป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด)

    อัญญะมัญญะปัจจะโย
    (จิตเเละเจตสิกค้ำชูซึ่งกันเเละกันเป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด)

    นิสสะยะปัจจะโย
    (จิตเเละเจตสิกอาศัยซึ่งกันเเละกันเป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด)

    อุปะนิสสะยะปัจจะโย
    (จิตเเละเจตสิกอันเข้าไปใกล้อาศัยซึ่งกันเเละกันเป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด)

    ปุเรชาตะปัจจะโย
    (อารมณ์๕ มีรูปเป็นต้นมากระทบซึ่งจักษุเป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด)

    ปัจฉาชาตะปัจจะโย
    (จิตเเละเจตสิกที่บังเกิดภายหลังรูปเป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด)

    อาเสวะนะปัจจะโย
    (ชะวะนะจิตที่เเล่นไปส้องเสพซึ่งอารมณ์ต่อกันเป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด)

    กัมมะปัจจะโย
    (บุญบาปอันบุคคลกระทำเเล้วเป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิดในที่ดีหรือชั่ว)

    วิปากะปัจจะโย
    (เเละวิเศษเเห่งกรรมอันบุคคลกระทำเเล้วเป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิดในที่ดีที่ชั่ว)

    อาหาระปัจจะโย
    (อาหาร๔ มีผัสสาหารเป็นต้นเป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด)

    อินท์รียะปัจจะโย
    (ธรรมชาติที่เป็นใหญ่ใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด)

    ฌานะปัจจะโย
    (ธรรมชาติเครื่องฆ่ากิเลสเป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิดในรูปพรหม)

    มัคคะปัจจะโย
    (อัฏฐังคิกะมรรคทั้ง๘ มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้นเป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิดในโลกอุดร)

    สัมปะยุตตะปัจจะโย
    (จิตเเละเจตสิกอันบังเกิดสัมปยุตพร้อมในอารมณ์เดียวกันเป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด)

    วิปปะยุตตะปัจจะโ

    (รูปธรรมนามธรรมอันเเยกเเตกต่างมิได้ระคนกันเป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด)

    อัตถิปัจจะโย
    (รูปธรรมนามธรรมที่ยังไม่ดับเป็นปัจจัยซึ่งกันเเละกันเป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด)

    นัตถิปัจจะโย
    (จิตเเละเจตสิกที่ดับเเล้วเป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิดจิตเเละเจตสิกในปัจจุบัน)

    วิคะตะปัจจะโย
    (จิตเเละเจตสิกที่เเยกต่างกันเป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิดจิตเเละเจตสิกในปัจจุบัน)

    อะวิคะตะปัจจะโย
    (จิตเเละเจตสิกที่ดับเเละมิได้ต่างกันเป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิดจิตเเละเจตสิกในปัจจุบัน)<o></o>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 สิงหาคม 2009
  3. Ga_t

    Ga_t เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +867
    ขอ อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้อย่างยิ่งครับ

    ชอบฟังมากครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2009
  4. บุญญสิกขา

    บุญญสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,863
    ค่าพลัง:
    +14,471
    พระธรรมขั้นสูง กล่าวถึง จิต เจตสิก รุป และพระนิพพาน

    [​IMG]

    อนุโมทนา คุณ SPATON ค่ะ
    กำลังใฝ่ใจ ใคร่ศึกษาอยู่
    เมื่อทราบคุณค่าความหมาย
    เดี๋ยวนี้ไปฟังสวดพระอภิธรรม จะเพลิดเพลินนอบน้อม
    สาธุธรรมค่ะ​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กุมภาพันธ์ 2010
  5. titapoonyo

    titapoonyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,133
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +12,769
    ขออนุโมทนากับท่านเจ้าของกระทู้ด้วยครับ ค้นมาเจอเพราะตั้งใจว่าจะสวดทุกวันเพื่อสร้างปรมัตถบารมีครับ สาธุๆๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...