สองพระอริยเจ้าสนทนาธรรม : หลวงพ่อทูล ขิปปัญโญ และ หลวงปู่ขาวอนาลโย

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย lepus, 19 มิถุนายน 2008.

  1. lepus

    lepus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,881
    เป็นเรื่องราวที่ผมได้คัดลอกมาจากบางส่วนของอัตโนประวัติของหลวงพ่อทูล ขิปปัญโญ ในช่วงหลังจากที่ท่านได้ขึ้นไปปฏิบัติธรรมทางภาคเหนือตามคำแนะนำของหลวงปู่ขาว อนาลโย และท่านได้รับผลแห่งการปฏิบัติจนถึงที่สุด คือความพ้นจากทุกข์ภัยในวัฏฏะสงสารโดยสิ้นเชิงแล้ว ท่านหลวงพ่อทูลจึงได้กลับมากราบหลวงปู่ขาวที่วัดถ้ำกลองเพลอีกครั้งหนึ่ง จึงทำให้เกิดเรื่องราวการสนทนาธรรมแห่งสองพระอริยเจ้าขึ้นดังที่ท่านจะได้อ่านกันนี้ หากท่านต้องการที่จะอ่านฉบับเต็ม ๆ แบบละเอียดก็สามารถหาอ่านได้จากหนังสืออัตโนประวัติพระอาจารย์พ่อทูล ขิปปัญโญ หนังสือเล่มนี้ผมว่าเป็นหนังสือที่มีคุณค่ามากเล่มหนึ่งเลยทีเดียว เพราะว่าเป็นอัตโนประวัติของพระอริยเจ้าสายหลวงปู่มั่น คำว่า อัติโนประวัตินี้ ก็คือหนังสือที่ท่านผู้เป็นเจ้าของประวัติเป็นผู้เล่าเรื่องเอง ในที่นี้คือหลวงพ่อทูลขิปปัญโญนั่นเอง หนังสือที่เป็นอัตโนประวัตินั้นนับว่าหาอ่านได้ยากยิ่ง เนื่องจากหลวงปู่ครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ท่านมักจะไม่ค่อยได้เขียนบันทึกเรื่องราวของท่านเอาไว้เป็นเรื่องเป็นราว ต่อเมื่อท่านได้ละสังขารไปแล้วจึงได้มีผู้ที่คิดรวบรวมเรียบเรียงขึ้นมาใหม่ในภายหลัง จึงไม่ได้เป็นสำนวนการเล่าของท่านโดยตรง เท่าที่ผมได้เคยอ่านมาในบรรดาประวัติพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่นนั้นที่เป็นอัติโนประวัติ เห็นจะมีเพียง อัติโนประวัติหลวงปู่เทศก์ เทศรังษี และที่เพิ่งได้อ่านก็อัตโนประวัติหลวงพ่อทูลนี่เองffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>

    ๏ ณวัดถ้ำกลองเพล

    เมื่อออกพรรษาแล้วก็กลับวัดถ้ำกองเพลได้คิดไว้แล้วว่า ถ้าหลวงปู่ขาวท่านถามเรื่องผลของการภาวนาก็จะเล่าถวายท่านไปแต่ถ้าท่านไม่ถาม ก็จะไม่ขอโอกาสเล่าถวายให้ท่านฟังเลย เมื่อไปถึงวัดเป็นเวลามืดค่ำราวๆ ประมาณ ๒ ทุ่ม จึงไม่ได้ขึ้นไปกราบท่านเช้าวันต่อมาก่อนออกบิณฑบาต ท่านหลวงปู่ก็ลงมาที่ศาลา จึงได้เข้าไปกราบท่านกราบยังไม่ทันเสร็จ ท่านก็รีบถามขึ้นมาว่า เป็นอย่างไร ทูล การภาวนาเล่าให้ฟังหน่อยซิ จึงเรียนท่านไปว่า ขอโอกาสหลวงปู่ ตอนเย็นวันนี้กระผมจะไปเล่าถวายให้หลวงปู่ฟังที่กุฏิครับ หลวงปู่ก็พยักหน้าแล้วก็ออกบิณฑบาตตามปกติ

    เมื่อถึงตอนเย็นหลังจากที่พระเณรลงจากกุฏิหลวงปู่ไปหมดแล้วข้าพเจ้าก็ได้โอกาสอยู่กับหลวงปู่เพียงลำพัง จากนั้นก็ขอโอกาสเล่าถวายเกี่ยวกับผลของการปฏิบัติให้ท่านฟัง เมื่อเล่าถวายเสร็จแล้วหลวงปู่ท่านก็พูดว่า ผลของการปฏิบัติอย่างนี้ น้อยองค์นักที่จะเป็นไปได้ผมก็เป็นมาอย่างนี้เหมือนกัน ผลของการปฏิบัติที่เป็นของจริง ไม่ต้องพูดกันมากเมื่อพูดกันเพียงประโยคแรกก็รู้ความหมายทันทีทุกวันนี้มีผู้รู้ผลของการปฏิบัติน้อยมาก

    หลวงปู่ถามว่าบวชมาได้กี่ปีแล้วจึงรู้ผลอย่างนี้ ตอบว่า ขอโอกาส กระผมบวชมาได้ ๘ ปีหลวงปู่ก็ยิ้มๆ แล้วพูดว่าคงเป็นเพราะบารมีเก่าได้สร้างมาแล้วในชาติก่อนเป็นเหตุปัจจัย ไม่เช่นนั้นจะไม่รู้ผลของการปฏิบัติเร็วถึงขนาดนี้หรอก หลวงปู่ถามว่า ก่อนที่จะมีปัญญาเกิดขึ้นได้มีอะไรเป็นอุบายในการพิจารณา ก็ขอโอกาสต่อหลวงปู่แล้วก็เล่าถวายในเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญญา ได้เล่าเรื่องเครือกระพังโหมให้หลวงปู่ฟัง การเล่าเรื่องทั้งหมดนั้น ก็เหมือนกับที่ได้อธิบายมาแล้วทั้งหมด

    เมื่อเล่าถวายจบ หลวงปู่ก็ยิ้มๆ แล้วพูดขึ้นมาว่าเหตุและอุบายที่ทำให้เกิดปัญญา ดังที่ท่านได้เล่ามานี้ เหมือนกันกับเฮาแต่ต่างกันเพียงเป็นวัตถุคนละอย่างกัน จึงขอโอกาสถามหลวงปู่ว่าเหตุที่ทำให้เกิดอุบายปัญญาของหลวงปู่นั้น หลวงปู่มีอะไรเป็นเหตุเป็นอุบายครับผมจากนั้น หลวงปู่ก็ได้เล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาแล้วหลายสิบปีหลวงปู่เล่าให้ฟังอย่างละเอียดติดต่อกันเหมือนกับว่าประสบการณ์นั้นเพิ่งเกิดขึ้นเพียง ๒-๓ วันนี้เองกิริยาท่าทางการแสดงออก หลวงปู่จำได้อย่างแม่นยำทีเดียวหลวงปู่เล่าถึงเหตุที่ทำให้เกิดปัญญาในครั้งนั้นว่า

    ในบ่ายวันหนึ่งได้ลงไปสรงน้ำที่เชิงดอย เป็นเวลาที่ชาวนากำลังเก็บเกี่ยวข้าว เมื่อมองดูทุ่งนาก็ล้วนแต่มีข้าวแก่เหลืองเต็มไปหมด ในตอนนั้นน้ำก็ยังไม่ได้สรงในขณะที่ดูข้าวในนาเขาอยู่นั้น มีความคิดเกิดขึ้นที่ใจว่าเมล็ดข้าวนี้เกิดมาจากอะไร มีอะไรเป็นเหตุให้เมล็ดข้าวเกิดขึ้น ก็คิดตอบทันทีว่าเมล็ดข้าวเกิดขึ้นจากเมล็ดข้าวเอง เพราะเมล็ดข้าวนั้นมีเชื้อพาให้เกิดเมื่อคนเอาเมล็ดข้าวที่มีเชื้อนั้นไปหว่านลงบนพื้นดินเชื้อของเมล็ดข้าวนั้นก็เริ่มแตกตุ่มออกมาจากเมล็ดข้าวนั้น ทีแรกก็เป็นตุ่มขาวๆเล็กๆ มีรากหยั่งลงไปในพื้นดิน แล้วดูดเอาปุ๋ยต่างๆ จากพื้นดินมาเป็นอาหารต่อมาก็มีต้นข้าวเล็กๆ งอกออกมาจากเมล็ดข้าวนั้นหลายวันต่อมาก็งอกงามเหมือนกับต้นหญ้า เมื่อได้ประมาณ ๑ เดือน เขาก็ถอนขึ้นมาแยกออกไปปลูกในพื้นดินอีก ต้นข้าวก็ใหญ่ขึ้นแก่ขึ้นเมื่อโตเต็มที่แล้วก็ออกรวงเป็นเมล็ดข้าวเปลือกอ่อนๆ จากนั้นเมล็ดข้าวเปลือกอ่อนๆก็แก่ขึ้น มีเมล็ดข้าวสารเกิดขึ้นในเมล็ดข้าวเปลือกนั้นและมีเชื้อติดอยู่กับหัวเมล็ดข้าว เมื่อแก่แล้วชาวนาก็จะเก็บเอาเมล็ดข้าวที่มีเชื้อนั้นไว้ เพื่อจะไว้ใช้ทำพันธุ์ต่อไปเมล็ดข้าวที่จะได้เกิดขึ้นมาใหม่ ก็เหมือนกันกับเมล็ดข้าวเก่านี่เอง

    หลวงปู่อธิบายต่อไปว่า เมล็ดข้าวที่มีเชื้ออยู่นี้เมื่อไปตกอยู่กับพื้นดินที่ชุ่มเมื่อไรก็จะเกิดเป็นต้นขึ้นมาอีกแต่ถ้าแกะเอาเปลือกนอกมันออกทิ้งไปแล้วใช้เล็บมือแกะเอาหัวเชื้อที่เมล็ดข้าวออกทิ้งไปเสียเมล็ดข้าวที่เหลือถึงจะเอาไปหว่านลงในพื้นดินที่ชุ่มไปด้วยน้ำและปุ๋ยเมล็ดข้าวนั้นก็จะไม่เกิดเป็นต้นขึ้นมาอีกเลยหรือเอาเมล็ดข้าวเปลือกนั้นไปคั่วด้วยไปให้ร้อนไหม้เมื่อนำมาหว่านบนพื้นดินก็จะไม่เกิดอีกเช่นกันเพราะเชื้อในเมล็ดข้าวนั้นได้ถูกทำลายไปหมดแล้วจึงหมดเหตุหมดปัจจัยที่จะทำให้เมล็ดข้าวเกิดขึ้นมาได้อีกเมื่อพิจารณาเมล็ดข้าวเสร็จแล้วก็ โอปนยิโก น้อมเอาเมล็ดข้าวนั้นเข้ามาหากายและน้อมเข้ามาหาใจ แล้วใช้ปัญญาพิจารณาต่อไปว่าต้นข้าวทั้งหมดเหมือนกันกับร่างกายเรา เมล็ดข้าวนั้นเหมือนกันกับใจเราเชื้ออยู่ในหัวเมล็ดข้าวนั้นเหมือนกันกับกิเลส ตัณหา อวิชชาการใช้เล็บมือแกะหัวเชื้อที่อยู่ในเมล็ดข้าวทิ้งไปก็เหมือนกันกับได้ใช้สติปัญญากำจัดกิเลส ตัณหา อวิชชา ออกจากใจได้แล้วถ้าใจไม่มีเชื้อที่จะพาให้เกิดเป็นภพเป็นชาติอีก ร่างกายนี้จะมีมาจากที่ไหน

    ฉะนั้น เรื่องของใจและเรื่องกิเลส ตัณหา อวิชชาที่มีอยู่ในใจจึงเป็นสิ่งสำคัญ ต้องกำจัดให้หมดไปในชาตินี้ให้ได้เพื่อจะไม่ให้ภพชาติของเรายืดเยื้อในการไปเกิดใหม่อีกต่อไป ท่านผู้อ่านทั้งหลายในช่วงที่หลวงปู่เอาเมล็ดข้าวมาพิจารณาด้วยปัญญานี้เองจึงเป็นจุดเริ่มต้นของวิปัสสนาญาณที่ได้เกิดขึ้นแล้วถ้าดูเพียงผิวเผินก็เหมือนกับใช้ความคิดพิจารณาธรรมดาไม่แตกต่างกันกับความคิดพิจารณาของนักปฏิบัติทั่วๆ ไปแต่มีอีกอย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนกัน นั่นคือ กำลังของใจ กำลังของสติ กำลังของปัญญาและกำลังบารมี ที่มาบรรจบกันพอดี เรียกว่า บารมีที่อบรมสะสมมาแล้วในอดีตชาติทั้งหมดและบารมีที่หลวงปู่ได้ภาวนาปฏิบัติ สะสมอินทรีย์ที่แก่กล้ามาในชาตินี้ตลอดทั้งกำลังความเพียรอื่นใดที่หลวงปู่ได้บำเพ็ญมาแล้วทั้งอดีตและปัจจุบันเมื่อรวมตัวกันได้แล้วจึงได้เกิดกำลังขึ้น เรียกว่า กำลังของวิปัสสนาญาณ นั่นเองกำลังของวิปัสสนาญาณนี้จะประหารกิเลส ตัณหา อวิชชา ให้หมดไปจากใจทันทีเพราะกำลังของวิปัสสนาญาณนี้ เหนือกว่ากำลังของกิเลสตัณหาทั้งปวงกำลังของวิปัสสนาญาณนี้เอง จึงเป็นจุดเด่นเฉพาะตัวของผู้ที่จะได้บรรลุธรรม

    หลังจากนั้น หลวงปู่ก็ได้สรงน้ำและใช้กระบอกไม้ไผ่ตักเอาน้ำสะพายกลับมากุฏิทันที ในระหว่างที่เดินกลับนี้หลวงปู่ก็ใช้อิริยาบถเดินจงกรม โดยใช้ปัญญาพิจารณาในสัจธรรมอยู่ตลอดปัญญานี้จะมีความต่อเนื่องกันจากเมล็ดข้าวดังที่ได้อธิบายมาแล้วเพื่อเป็นอุบายสอนใจอยู่ตลอดเวลาพิจารณาด้วยปัญญาประกอบเหตุผลให้เป็นไปตามความเป็นจริง ให้ใจได้เห็นทุกข์ โทษ ภัยในชาติ คือ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ว่าไม่มีอะไรเป็นของของเราอยู่ตลอดเวลาปัญญาที่นำอุบายธรรมมาสอนใจนั้นห้าวหาญเด็ดเดี่ยวมากจะพิจารณาเรื่องใดก็รู้เห็นชัดเจนไปทั้งหมดอุบายปัญญาที่นำมาพิจารณานั้นก็เป็นอุบายเก่าๆ ที่เคยใช้มาแล้วทั้งหมดแต่ก่อนพิจารณาไม่ได้ผลเท่าที่ควร เพราะใจยังไม่ยอมรับความจริงในสิ่งนั้นๆแต่เมื่อวิปัสสนาญาณเกิดขึ้นที่ใจได้แล้วก็จะประหารกิเลสตัณหาอวิชชาที่มีอยู่ในใจให้หมดไป นั่นคือใจยอมรับตามความเป็นจริงทั้งหมด จะรู้เห็นในความเกิด แก่ เจ็บ และตาย ว่าเป็นทุกข์เป็นโทษ เป็นภัย ที่น่ากลัวไปเสียทั้งหมด ชาติคือ ความเกิดในอดีตที่ผ่านมาก็มีแต่ทุกข์ โทษ ภัย ในชาติปัจจุบันนี้ก็มีแต่ทุกข์ โทษ ภัยเต็มอยู่ในกายในใจทั้งหมด อนาคตที่จะไปเกิดในภพชาติต่อไป ก็จะมีแต่ทุกข์ โทษ ภัยเหมือนในชาติปัจจุบันนี้เอง ใจจึงมีความกลัวในการเกิดเป็นอย่างยิ่งและเบื่อหน่ายในธาตุขันธ์ที่จะไปเกิดเอาภพชาติอีกต่อไป ในตอนเย็นวันนั้นหลวงปู่เดินจงกรมใช้ปัญญาพิจารณาอยู่ตลอดเมื่อค่ำมืดหลวงปู่ก็ขึ้นไปภาวนาที่กุฏิต่อไป หลวงปู่เล่าว่าการขึ้นไปภาวนาที่กุฏินั้นใช้อุบายในการทำสมาธิเมื่อใช้สติกำหนดจิตนิดเดียวเท่านั้น ก็ลงสู่ความสงบเต็มที่

    หลวงปู่ว่านับแต่ปฏิบัติภาวนามาหลายปี เพิ่งรู้จักจิตสงบเป็นสมาธิในครั้งนี้เองแต่ก่อนจิตมีความสงบเหมือนกับสายฟ้าแลบแวบเดียวก็ถอนออกมาแล้วจึงใช้ปัญญาพิจารณาด้วยอุบายธรรมต่างๆ ตลอด แต่บัดนี้จิตมีความสงบหนักแน่นแน่วแน่มาก หลวงปู่จำคำสอนของหลวงปู่มั่นที่สอนไว้ว่า ขาวถ้าจิตมีความสงบถึงฐานของสมาธิแล้ว อย่าไปบังคับให้ถอนนะปล่อยให้อยู่ในความสงบนั้นไปจนจิตได้มีความอิ่มตัวในสมาธินั้นๆได้เวลาแล้วจิตก็จะถอนออกมาเอง เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิแล้วก็ให้ใช้ปัญญาพิจารณาต่อไป ในคืนนั้นหลวงปู่ข่าวได้ปฏิบัติตามโอวาทของหลวงปู่มั่นได้เป็นอย่างดี ในที่สุดหลวงปู่ขาวก็ได้ตัดกระแสวัฏจักรให้ขาดไปจากใจในคืนนั้นเอง

    ฉะนั้นวิปัสสนาญาณจึงเป็นญาณที่คมกล้า เป็นญาณที่มีกำลังเป็นญาณที่เกิดขึ้นเพื่อตัดกระแสของกิเลส ตัณหา อวิชชา โดยตรงเมื่อตัดกระแสของอาสวะกิเลสทั้งปวงหมดไปจากใจแล้ว วิปัสสนาญาณก็สลายไปไม่ได้ตั้งอยู่นาน และไม่มีวิปัสสนาญาณใดเกิดขึ้นมาอีกเป็นรอบสอง เพราะไม่มีกิเลสตัณหา อวิชชา เหลืออยู่ภายในใจอีกแล้ว

    หลวงปู่ขาวพูดว่าในเวลาจวนจะสว่างของคืนนั้น กิเลส ตัณหา อวิชชา ที่เป็นเจ้าครองหัวใจมานานกับวิปัสสนาญาณที่เกิดมาต่อสู้กันนั้น ถือว่าเป็นมหาสงครามเลยทีเดียว กิเลส ตัณหาอวิชชา ก็มีความเหนียวแน่นไม่ยอมหลุดออกไปจากใจและเกาะยึดติดที่ใจเอาไว้ไม่ยอมปล่อยวาง แต่ก็ทนต่อกำลังของวิปัสสนาญาณไม่ไหววิปัสสนาญาณจึงได้ฆ่ากิเลสให้ตายคายกิเลสออก สำรอกให้กิเลสหลุดจิตก็เข้าถึงวิมุตินิพพานในคืนนั้นแลเป็นอันว่าสงครามระหว่างกิเลสตัณหากับสติปัญญาที่ห้ำหั่นกันมาตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบันก็ได้สิ้นสุดลงในเวลาจวนสว่างของคืนนั้นเองหลังจากที่สนทนากับหลวงปู่จนได้เวลาอันสมควร ก็ต้องลาหลวงปู่กลับไปกุฏิหลวงปู่ได้สั่งว่า คืนต่อไปมาคุยธรรมะกันอีกนะ คุยกันยังไม่จบนับแต่เฮารู้ธรรมมานี่ก็หลายปี ยังไม่เคยสนทนาธรรมกับใครยาวถึงขนาดนี้เพราะไม่รู้ว่าจะพูดให้ใครฟัง เพราะไม่รู้ภาษากัน หลวงปู่พูดว่าในครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เคยได้พูดเรื่องธรรมกับอาจารย์มหาบัวแต่ก็ไม่ได้พูดกันนานเพราะไปในงานกิจนิมนต์ด้วยกัน จากนั้นมาก็เพิ่งมีท่านนี่แหละพาให้ผมได้พูดธรรมะอีก

    ในคืนต่อมา เมื่อได้เวลาปลอดพระเณรแล้วก็ขึ้นไปที่กุฏิหาหลวงปู่เพื่อสนทนาธรรมกันต่อไป ในคืนนี้ หลวงปู่ได้ปรารภเรื่องอัตตาและอนัตตา หลวงปู่พูดว่า เรื่องอนัตตา ที่จะรู้เห็นได้ชัดนั้นก็เมื่อจิตได้ลงสู่มัคคสมังคีได้เต็มที่แล้ว เพราะมีความดับในตัวอัตตาทั้งหมดจึงไม่มีอะไรที่จะไปยึดติดต่อกันและกัน รูปไม่ใช่เรา เราไม่ใช่รูป รูปไม่มีในเราเราไม่มีในรูป เวทนาไม่ใช่เรา เราก็ไม่ใช่เวทนา เวทนาไม่มีในเรา เราก็ไม่มีในเวทนาสัญญาไม่ใช่เรา เราไม่ใช่สัญญา สัญญาไม่มีในเรา เราก็ไม่มีในสัญญา สังขารไม่ใช่เราเราไม่ใช่สังขาร สังขารไม่มีในเรา เราไม่มีในสังขาร วิญญาณไม่ใช่เราเราไม่ใช่วิญญาณ วิญญาณไม่มีในเรา เราไม่มีในวิญญาณ กาย เวทนา จิต ธรรมทุกอย่างก็ไม่เป็นสัตว์เป็นบุคคลตัวตนเราเขา รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็เป็นขันธ์ล้วนๆ ไม่มีอัตตา คือ กิเลสตัณหาแฝงอยู่ในขันธ์ ๕ นี้เลยจึงเป็นความว่างจากอัตตาไปทั้งหมด ไม่มีความหมายและไม่มีสาระอะไรเลยเหมือนกับเลขศูนย์ ถึงจะมาเรียงกันอยู่เป็นจำนวนมากก็ไม่มีความหมายอะไรแต่ถ้าหากมีเลข ๑ - ๒ - ๓.....นำหน้าเอาไว้ศูนย์ทั้งหมดนั้นก็จะมีความหมายขึ้นมาทันที

    หลวงปู่ได้เปรียบเทียบว่ามีเก้งตัวหนึ่งเข้าไปอยู่ในป่าละเมาะแห่งหนึ่ง มีคนหลายพันคนต่างก็เห็นเก้งตัวนั้นเข้าไปในป่าด้วยตาตัวเองทั้งหมด จากนั้น คนหลายพันคนนั้นก็โอบล้อมป่าละเมาะนั้นไว้แล้วเข้าแถวเรียงหน้ากระดานเข้าไปเพื่อจะจับเอาเก้งตัวนั้นให้ได้ต่างพากันค้นหาแทบจะเปิดดูใบไม้ใบหญ้าทั้งหมด แต่ก็ไม่พบเห็นเก้งตัวนั้นจึงพากันถากถางเอาต้นไม่ใบหญ้าออกหมด ให้พื้นดินเป็นที่เตียนโล่งและคนหลายพันคนเข้าไปยืนเต็มอยู่ในที่นั้นทั้งหมดไม่มีที่ว่างแม้แต่กระเบียดมือเดียว แต่ก็ยังไม่เห็นเก้งตัวนั้นเลย นี้ฉันใดที่เข้าใจว่า ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ เป็นอัตตาตัวตนมาแล้วก็ตามเมื่อวิปัสสนาญาณเกิดขึ้นและได้ทำลายตัวความเห็นที่เป็นอัตตาสิ้นไปแล้วจึงเป็นอนัตตา คือ ความสูญเปล่าจากสัตว์และบุคคลไปทันทีไม่มีสมมุติในอัตตาใดที่จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อไป

    ข้าพเจ้าได้ถามหลวงปู่ว่า ขอโอกาสหลวงปู่ หลวงปู่ค้นหาอีเก้งอยู่ที่ไหนเดือนอะไร หลวงปู่บอกว่า อยู่ที่โหล่งขอด อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ในช่วงเดือนธันวาคม ปี พ.ศ. นั้น สัญญาอนิจจาเอาไปกินหมด ส่วนเวลาก็จวนจะสว่างรู้กันในอิริยาบถนั่งนั่นเอง หลังจากที่รู้แล้วเกิดความคิดถึงพระพุทธเจ้าความคิดถึงท่านครูบาอาจารย์มั่นอย่างมากทีเดียวทั้งนี้เพราะท่านมีบุญคุณต่อสานุศิษย์ทุกองค์ให้อุบายธรรมปฏิบัติอย่างทั่วถึงกันหมดเมื่อท่านเหล่านั้นภาวนาปฏิบัติได้ผลเป็นที่สุดแล้วก็นึกถึงบุญคุณของท่านที่ให้ธรรมะไว้แก่พวกเราทั้งหลายเฉพาะความคิดถึงพระพุทธเจ้านั้น ถึงพระองค์ได้ปรินิพพานไปแล้วแต่แนวทางปฏิบัติที่พระองค์ได้ทรงวางไว้ให้พวกเราทั้งหลายได้ปฏิบัติตามจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ในชาตินี้ได้ ก็เพราะพระมหากรุณาธิคุณพระปัญญาธิคุณ และพระบริสุทธิคุณของพระพุทธเจ้านั่นเอง

    หลวงปู่ได้ย้อนถามข้าพเจ้าบ้างว่า เมื่อรู้ธรรมขึ้นมาแล้วมีการเปรียบเทียบกับอะไร ตอบว่า ขอโอกาสหลวงปู่ เมื่อรู้ธรรมแล้ว ในขณะนั้นเหมือนกันกับเอาถ่านไฟที่ลุกแดงก้อนใหญ่ จุ่มลงในน้ำให้ท่วมแล้วปล่อยทิ้งไว้ให้นานแล้วเอาขึ้นมา ไฟนั้นก็จะดับสนิทไปทั้งหมดครับผม หลวงปู่ยิ้มๆ แล้วพูดว่า มีการเปรียบเทียบเหมือนกันกับเฮานี้ ถามหลวงปู่ต่อว่าในเมื่อหลวงปู่รู้ธรรมแล้ว คิดอยากจะสอนธรรมะให้ใครบ้างไหม หลวงปู่พูดว่าไม่คิดอยากสอนธรรมะให้ใครๆ เลย แต่เป็นในลักษณะนี้อยู่ประมาณ ๕ นาทีเท่านั้นเรื่องที่ไม่อยากสอนใครๆ นั้น มันเป็นเองโดยไม่ได้ตั้งใจไว้ส่วนกำลังใจในวันต่อมารู้สึกว่ามีกำลังมากถ้ามีกำลังกายประกอบกันได้ก็จะทำอะไรได้ทุกอย่าง

    หลวงปู่ถามว่าท่านมีกำลังใจไหม ตอบว่า ขอโอกาส มีมากจริงๆเหมือนกับว่าจะแบกหามต้นไม่ใหญ่ได้ทั้งต้นทีเดียวเพราะความรู้ที่บริสุทธิ์นี้มีความละเอียดลึกซึ้งมากส่วนธรรมะที่อยู่ในตำรานั้นเหมือนกับว่าหยาบไปเพราะปริยัติทั้งหมดนั้นเป็นสมมุติบัญญัติปริยัติเหมือนกันกับน้ำกะทิมะพร้าวที่ยังไม่ได้ต้มเคี่ยวส่วนความบริสุทธิ์นั้นเหมือนกันกับน้ำมันมะพร้าวที่ต้มเคี่ยวออกมาแล้วความรู้ในปริยัติยังอยู่ในสมมุติ เป็นตำราที่ศึกษาแนวทางหรือกำลังเดินทางส่วนความรู้ที่บริสุทธิ์นั้น เหมือนกันกับไปถึงที่สุดของจุดหมายปลายทางได้แล้วการสนทนาธรรมกับหลวงปู่นั้น หลังจากที่เล่าผลของการปฏิบัติถวายหลวงปู่แล้ว

    หลวงปู่ก็พูดว่า เมื่อจิตมีความบริสุทธิ์เต็มที่แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือไม่อยากสอนธรรมะให้กับใครๆ ความคิดถึงพระพุทธเจ้าและมีกำลังใจเกิดขึ้นนั้น ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นไม่นาน ประมาณ ๗ วัน ต่อจากนั้นก็ค่อยๆเลือนๆ ไปวันละนิดๆ อีกประมาณ ๗ วันก็กลับเป็นปกติส่วนความรู้อันบริสุทธิ์นั้นไม่ได้เสื่อมไปด้วยความบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นแล้วในวันนั้น ก็ยังมีความบริสุทธิ์อยู่เหมือนเดิมไม่มีความเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด จึงเป็น ญาณทัสสนวิสุทธิ อยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ทำอะไร และอยู่ในอิริยาบถใด ความบริสุทธิ์ก็เป็นความบริสุทธิ์ไม่ติดอยู่กับสมมุติใดๆ ในโลก ทุกองค์เมื่อทำกิจภายในส่วนตัวเสร็จสิ้นไปแล้วจึงเป็น กตํ กรณียํ ไม่มีความคิดหาอุบายธรรมใดๆ มาปฏิบัติให้หลุดพ้นไปอีกเลยทุกองค์ต้องเป็นอย่างนี้ เว้นไว้แต่จะไม่พูดให้ใครฟังเท่านั้น ถึงจะพูดให้ใครฟังความบริสุทธิ์นั้นก็ไม่มีความเสื่อมไปแต่อย่างใดข้อสำคัญคืออย่าพูดให้ผู้ที่ไม่รู้ภาษาฟังก็แล้วกัน

    เมื่อเล่าผลของการปฏิบัติถวายให้หลวงปู่ฟังแล้ว จากนั้นก็สนทนากันแบบย้อนหลังกันเล่น ๆ เท่านั้น หลวงปู่ถามว่า ในสถานที่ที่ได้รู้ธรรมนั้นได้พิจารณาดูไหมว่าในที่นั้นเราเคยเกี่ยวข้องอะไรบ้าง จึงขอโอกาสหลวงปู่ว่าในที่นั้น กระผมเคยได้เป็นหมามาตายอยู่ที่นั้นมาแล้ว หลวงปู่ก็หัวเราะข้าพเจ้าก็ได้ถามหลวงปู่คืนไปว่า ขอโอกาส ที่หลวงปู่ได้รู้ธรรมที่โหล่งขอดนั้นมีความเกี่ยวข้องในที่แห่งนั้นอย่างไรบ้าง หลวงปู่บอกว่าแต่ก่อนเฮาเคยเป็นอีเก้งอาศัยอยู่ในที่นั้นมาแล้วและได้แก่เฒ่าตายอยู่ในที่แห่งนั้น หลวงปู่ถามอย่างนี้เพื่อหยั่งเชิงดูว่าจะรู้เรื่องความเป็นมาของตัวเองหรือไม่ เมื่อตอบหลวงปู่ไปได้ หลวงปู่ก็เข้าใจ<O:p></O:p>
     

แชร์หน้านี้

Loading...