สัตว์เดรัจฉานที่เกิดมาตามกรรมเมื่อตายต้องใช้กรรมที่ทำในร่างเดรัจฉานหรือไม่

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Kra-Tai, 22 ตุลาคม 2011.

  1. Kra-Tai

    Kra-Tai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +7
    สัตว์เดรัจฉานที่เกิดมาตามกรรม เช่น เสือ ที่ไล่ล่าฆ่าสัตว์อื่นเพื่อเป็นอาหาร เมื่อตายไปแล้วต้องใช้กรรมที่ไปฆ่าสัตว์อื่นหรือไม่ แล้วถ้ายังต้องวนเวียนใช้กรรมอย่างนี้ แล้วกรรมของเสือจะหมดไปได้อย่างไร
     
  2. lionking2512

    lionking2512 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,525
    ค่าพลัง:
    +7,632
    ด้วย อโหสิกรรมในสัญญา
     
  3. Kra-Tai

    Kra-Tai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +7
    คือ....ก่อนที่จะมาเป็นเสือ ก็เคยถูกทำร้าย ไล่ล่า เมื่อมีสัญญาว่าจะต้องไปทำร้ายเขาตอบ จึงเกิดมาเป็นเสือ...ดังนั้น...กรรมของเสือในวันนี้..เมื่อตายไปแล้วก็ยังมีสัญญาต้องใช้กรรมเมื่อยังเป็นเสือ คือไปเกิดให้เขาฆ่า...หากว่าเสืออยากหลุดพ้นจากการวนเวียนของกรรมอย่างนี้ ก็ต้องอโหสิกรรม ที่เคยถูกฆ่า แล้วเสือก็จะเปลี่ยนภพภูมิที่ดีขึ้น.....ขอบคุณคำแนะนำสั้นๆ ที่ทำให้ข้าพเจ้ามองเห็นสัจธรรม
     
  4. lionking2512

    lionking2512 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,525
    ค่าพลัง:
    +7,632
    เพราะความไม่รู้เท่าทัน ( อวิชชา ) ในขันธ์ห้าคือ รูป เวทนา สังขาร สัญญา และวิญญาณ จึงทำให้เกิดวนเวียน เกิด ตาย ภพ ชาติ ไม่มีวันจบสิ้นไงครับ

    เพราะดังนี้จึงต้องดับอวิชชาด้วยปัญญาในไตรสิกขาไงครับ อันประกอบด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา
     
  5. naroksong

    naroksong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +1,135
    ต้องรับผลกรรมแน่นอนครับ สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งพาอาศัย จะทำกรรมอย่างใดไว้ก็จะได้รับผลแห่งกรรมนั้น

    เรื่องหมดกรรม จะไปพูดอะไรถึงสัตว์เดรัจฉาน คุณกับผมยังไม่หมดกรรมเลย555 ถ้าเสือจะให้กรรมหมดก็ต้องรอเกิดในสุคติภูมิ(ซึ่งเป็นไปได้ยากมาก)แล้วเจริญ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้บริบูรณ์ ผลกรรมที่สั่งสมมาในอดีตไม่มีประมาณจึงจะสงบดับลง

    “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษโยนทุ่นมีบ่วงตาเดียวไปในมหาสมุทร ทุ่นนั้นถูกลมตะวันออกพัดไปทางทิศตะวันตก ถูกลมตะวันตกพัดไปทางทิศตะวันออก ถูกลมเหนือพัดไปทางทิศใต้ ถูกลมใต้พัดไปทางทิศเหนือ มีเต่าตาบอดอยู่ในมหาสมุทรนั้น ล่วงไปร้อยปีจึงจะผุดขึ้นครั้งหนึ่ง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ? เต่าตาบอดตัวนั้น จะพึงเอาคอสวมเข้าที่ทุ่นมีบ่วงตาเดียวโน้นได้บ้างไหมหนอ ?

    “ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ข้อนั้นเป็นไปไม่ได้เลยพระพุทธเจ้าข้า..... ถ้าจะเป็นไปได้ในบางครั้งบางคราว ก็โดยล่วงระยะกาลนานแน่นอน

    “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เต่าตาบอดตัวนั้นจะพึงเอาคอสวมเข้าที่ทุ่นมีบ่วงตาเดียวโน้นได้ ยังจะเร็วกว่า เรากล่าวความเป็นมนุษย์ที่คนพาลผู้ไปสู่วินิบาต คราวหนึ่งแล้วจะพึงได้ ยังยากกว่านี้ นั่นเพราะเหตุไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะในตัวคนพาลนี้ ไม่มีความประพฤติธรรม ความประพฤติสงบ การทำกุศล การทำบุญ มีแต่การกินกันเอง การเบียดเบียนคนอ่อนแอ......"

    “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนพาลนั้นแลถ้าจะมาสู่ความเป็นมนุษย์ในบางครั้งบางคราว ไม่วากาลไหน ๆ โดยล่วงระยะกาลนานย่อมเกิดในสกุลต่ำ..." (จากหนังสือพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์ ศึกษาเพิ่มเติมได้จาก http://www.84000.org/true/index.html )

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 ตุลาคม 2011
  6. Kra-Tai

    Kra-Tai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +7
    เพราะฉะนั้น เราผู้มีโอกาสในการสร้างบุญ บารมี อย่าได้พลาดต่อกิเลส หลงตกไปในอบายภูมิ เพราะเมื่อพลาดเป็นอย่างเสือแล้ว โอกาสที่จะมีปัญญา มองเห็นธรรมนั้นยากเหลือแสน จึงต้องติดอยู่ในห่วงกรรมนี้ไปอีกนานเท่านาน....
    แต่ข้าพเจ้ายังสงสัยอีกข้อหนึ่งเจ้าค่ะ คือ....ถ้าเสือตายไปก็ต้องไปรับโทษในนรก ดวงจิตของเสือก็ยังเป็นเสืออยู่หรือไม่ ยังมีอุปทานว่าตนเป็นเสืออยู่หรือไม่ หรือเป็นดวงจิตเช่นมนุษย์ที่ตายแล้วตกนรก หากว่าดวงจิตยังมีอุปทานว่าตนเป็นเสือจะฟังคำตัดสินโทษ เข้าใจไหมคะ หรือหากว่าดวงจิตเป็นเช่นเดียวกับมนุษย์ จะมีปัญญาสำนึกผิดต่อบาปไหมเจ้าคะ
    ขอท่านผู้รู้ช่วยตอบข้าพเจ้าด้วยเจ้าค่ะ
    .......รู้สึกสงสารสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย ยังต้องวนเวียนใช้กรรมต่อไปไม่มีจบสิ้น
    .......รู้สึกสงสารมนุษย์ทั้งหลาย ที่ยังหลงอยู่ในกิเลส
    .......รู้สึกสงสารตัวเอง ที่ยังขี้เกียจบำเพ็ญภาวนา (รู้ทั้งรู้แต่ก็ยังขี้เกียจ จะทำยังไงดีหนอ)
     
  7. naroksong

    naroksong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +1,135
    ตามที่ผมเข้าใจ

    จิตจะต้องอาศัยร่างกาย ไม่มีดวงจิตเดี่ยวๆลอยไปลอยมา
    เช่นในมิลินทปัญหา พระเจ้ามิลินถามพระนาคเสนว่าถ้าคนสองคนตายพร้อมกัน คนหนึ่งไปเกิดพรหมโลก อีกคนไปเกิดต่างเมือง ใครไปถึงก่อน ถึงหลัง? พระนาคเสนบอกไปถึงพร้อมกัน และไม่ปรากฎว่าจิตเดินทางไปทางไหน

    จริงๆ ไม่มีผู้พิพากษาในนรกหลอกครับ แต่คนที่ไปเฝ้าท่านยมนั้นยังไม่ตายนะ ผมเข้าใจว่าเป็นมโนมยิทธิ คือการเนรมิตกายอื่นนอกจากายนี้ด้วยอำนาจบุญ และท่านยมก็ไม่ได้ทำหน้าที่พิพากษาแต่ท่านเตือนให้ระลึกนึกถึงบุญกุศลที่เคยทำมาในอดีต ท่านจะส่งให้เราๆท่านๆไปที่ชอบๆ นั้นเอง 555

    จิตใจความรู้สึกนึกคิดก็เปลี่ยนไปตามกายใหม่
    เช่น วันนี้ ผมมีหมาอ้วนๆ ขนปุยๆ นิสัยปัญญาอ่อน ผมว่ามันน่ารักดี แต่ถ้าผมไปเกิดเป็นเสือ ผมคงว่ามันน่ากินดี 555

    ถ้าเสือตายไป ไปเป็นสัตว์นรก มันก็คงไม่มีเวลาไปคิดอะไรหลอกครับเพราะนรกมีแต่เรื่องตื่นเต้น ไว้วันว่างๆ อาจสำนึกได้บ้างมั่ง 555

    ------------------------------------------------------------------
    ผมขอเล่าเรื่องสัตว์นรก 4 ตนให้นะครับ จะได้รู้ความเป็นอยู่ของสัตว์นรก

    เรื่องย่อๆ คือ พระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นกษัตริย์ที่อุปถัมภ์พระพุทธศาสนา ถึงแม้จะรู้จักมักคุ้นกับพระพุทธเจ้า แต่ท่านก็ยังประมาทอยู่ วันหนึ่ง ท่านเห็นเมียชาวบ้านหน้าตางดงามจึงคิดฉุดมาเป็นพระสนม คืนหนึ่งในขณะบรรทมท่านคิดหาทางฆ่าบุรุษผู้เป็นสามีของหญิงนั้น ด้วยบุญกุศลที่ท่านสั่งสมมาแล้วจึงเกิดเสียงประหลาดโหยหวนขึ้นในพระราชวัง ดังนี้ ทุ. สะ. นะ. โส.

    เพราะเหตุนี้ท่านจึงไปเฝ้าพระพุทธเจ้าว่าเสียงประหลาดเกิดขึ้นจากเหตุใด? พระพุทธเจ้าจึงเล่าว่า ในอดีตมีลูกเศรษฐี 4 คน ไม่ทำมาหากิน เที่ยวฉุดลูกผิดเมียเขาไปทั่ว ตายไปเกิดในอเวจีแล้วมาเกิดในโลหกุมภีนรก(น่าจะหมายถึงกระทะทองแดงนะ) ถูกวิบากกรรมกดให้จมลงในโลกหกุมภี 30000 ปี และใช้เวลาลอยขึ้น 30000 ปี เมื่อโผล่ขึ้นมาพร้อมกันจึงต้องการจะปรับทุกข์กันแต่พูดได้ตนล่ะคำก็จมลงไปใหม่

    ท จาก ทุชฺชีวิตมชีวิมฺหา เยสนฺโน น ททามฺห เส
    วิชฺชมาเนสุ โภเคสุ ทีปํ นากมฺห อตฺตโนติ ฯ
    เราทั้งหลายเหล่าใด เมื่อโภคะทั้งหลายมีอยู่ ไม่ได้ถวายทาน,
    ไม่ได้ทำที่พึ่งแก่ตน, พวกเราเหล่านั้น จัดว่ามีชีวิตอยู่ชั่วช้าแล้ว.

    สะ จาก ฏฺฐี วสฺสสหสฺสานิ ปริปุณฺณานิ สพฺพโส
    นิรเย ปจฺจมานานํ กทา อนฺโต ภวิสฺสติ
    เมื่อเราทั้งหลาย ถูกไฟไหม้อยู่ในนรกครบ ๖ หมื่นปี
    โดยประการทั้งปวง, เมื่อไร ที่สุดจักปรากฏ?

    นะ จาก ตฺถิ อนฺโต กุโต อนฺโต น อนฺโต ปฏิทิสฺสติ
    ตทา หิ ปกตํ ปาปํ มม ตุยฺหญฺจ มาริสา ฯ
    ผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ที่สุดย่อมไม่มี, ที่สุดจักมีแต่ที่ไหน?
    ที่สุดจะไม่ปรากฏ. เพราะว่ากรรมชั่ว อันเราและท่าน
    ได้กระทำไว้แล้วในกาลนั้น.

    โส. โสหํ นูน อิโต คนฺตฺวา โยนึ ลทฺธาน มานุสึ
    วทญฺญู สีลสมฺปนฺโน กาหามิ กุสลํ พหุนฺติ ฯ
    เรานั้นไปจากที่นี่แล้ว ได้กำเนิดเป็นมนุษย์ จักเป็นผู้รู้
    ถ้อยคำที่ยาจกกล่าว ถึงพร้อมด้วยศีล ทำกุศลให้มากแน่.
    (ยาจก ถึงพร้อมด้วยศีล หมายถึง ฤาษีผู้แสวงคุณวิเศษในปางก่อน แต่สัตว์นรกนี้คิดว่าเหมือนขอทานทั่วๆ ไป )

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 ตุลาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...