สัมผัสที่ 6 (six sense) เรื่องธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Tboon, 20 มกราคม 2009.

  1. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    สัมผัสที่ 6 (six sense) ฟังดูเหมือนไม่ธรรมดา ใครมีซิกเซ็นส์เขาถือว่าคนนั้นมีความสามารถพิเศษไม่ธรรมดาเลย แต่ความเป็นจริงแล้ว สัมผัสที่ 6 ก็คือ อายตนะที่ 6 คือใจที่ทำหน้าที่รับรู้อารมณ์ เรียกว่า ธรรมารมณ์ อายตนะ แปลว่า เครื่องสืบต่อ มีอยู่ทั้งหมด 6 ทาง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจนี่เอง

    ในการเจริญสติ เราต้องรอบรู้ในกองสังขารที่มาจากการสัมผัสทั้ง 6 ช่องทางนี้ให้ละเอียดรอบด้าน กิเลสความหลงความปรุงแต่งไปในอดีต ในอนาคต สุขทุกข์ ล้วนมีจุดก่อกำเนิดเกิดเป็นอัตตาตัวตนมาจากการหลงไม่รู้เท่าทันในการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัสทางกายและทางใจนี้ทั้งสิ้น มีคำกล่าวว่า หากไม่รู้จักทุกข์จะวางทุกข์ได้อย่างไร หากไม่รู้จักสังขาร (ความปรุงแต่ง) จะวางสังขารได้อย่างไร

    หากจะตั้งหน้าตั้งตาวางอย่างเดียว อะไรเกิดขึ้น เกิดดับอย่างไรไม่รู้จักต้นตอของการเกิดการดับของกิเลสความอยากเหล่านั้น ก็ชื่อว่าเป็นการวางที่ไม่ประกอบด้วยปัญญาด้วยความเข้าใจอย่างถ่องแท้ อย่างสูงเราละจากโลกนี้ไป เราก็ไปได้แค่พรหมโลกเท่านั้นเอง ทั้งนี้เพราะว่า เรายังหลงอยู่ เรายังไม่เข้าใจว่าเขาเกิดเขาดับขึ้นมาให้เราวางได้อย่างไร เรามาวางกันที่ผลที่ปลายเหตุ ยังไม่รู้จักสมุทัยหรือเหตุแห่งทุกข์ได้อย่างแท้จริง ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระพุทธเจ้าทรงตรัสเหตุ และความดับไปแห่งเหตุแห่งธรรมนั้น นั้นหมายความว่า เราต้องรู้ที่ต้นตอและดับเหตุแห่งทุกข์ที่ต้นตอนั้นจึงจะดำเนินสู่หนทางแห่งมรรคมีองค์ 8 ได้อย่างแท้จริง

    อายตนะที่ 6 แท้จริงแล้วมีการทำงานอยู่ตลอดเวลา แต่เพราะความที่มันเป็นของที่ละเอียดมากเป็นนามธรรมนั้นเอง การจะรู้จักหน้าที่การทำงานของเขาอย่างแท้จริง จึงต้องอาศัยความสงบ มีสติสัมปชัญญะที่ต่อเนื่องและการรู้จักสังเกตจึงจะรับรู้และเข้าใจในหน้าที่ของเขาได้ นั่นหมายความว่า เราต้องรู้จักฝึกสติสัมปชัญญะ หรือฝึกความรู้สึกตัวที่ต่อเนื่องขึ้นมา อาศัยความตั้งมั่นจากความต่อเนื่องตรงนั้น ความจำสภาวะได้ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้น เราจึงจะได้เห็นได้สัมผัสสภาพที่เป็นธรรมารมณ์ที่แตกต่างออกไปจากเดิมนั้นได้อย่างชัดเจน

    การรับรู้ตรงนี้จึงกลายเป็นเรื่องปกติของผู้ฝึกเจริญสติสร้างความรู้สึกตัวจนชำนิชำนาญและรู้จักการสังเกตได้ดีแล้วนั่นเอง

    สรุปแล้ว สัมผัสที่ 6 ของเราทุกคนเขาทำงานของเขาอยู่ตลอดเวลาเป็นปกตินั่นแหละ เราเองต่างหากที่ไม่มีสติสัมปชัญญะพอที่จะไปรู้สึกรับรู้ตรงนั้นเองต่างหาก เราไม่ปกติเอง เพราะจิตเราไม่ตั้งมั่น สติเราไม่ต่อเนื่องพอ เราขาดการสังเกต ขาดการน้อมเข้ามาดูกายดูใจของตนเอง เรามีแต่หลงส่งจิตออกนอก หลงความคิดความปรุงแต่ง จินตนาการไปต่าง ๆ นานา ไม่มีเวลาให้กับจิตกับใจตัวเองจริง ๆ เลยสักที จนกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว แล้วเราก็กลับไปมองคนที่เขามีสติสัมปชัญญะ สามารถสัมผัสรับรู้ธรรมารมณ์เหล่านี้ได้อย่างต่อเนื่องเป็นปกติว่า เป็นคนที่มีความสามารถพิเศษ ไม่ธรรมดา หรือเป็นคนธรรมดาที่ไม่ธรรมดานั่นเอง
     
  2. chattrg

    chattrg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    4,337
    ค่าพลัง:
    +13,242
    ฝึกได้ไหม
     
  3. ทิพย์ศรัทธา

    ทิพย์ศรัทธา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +28
    เมื่อก่อนไม่เข้าใจ ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่เราเป็นนั้น แท้ที่จริงเราฝึกเองโดยไม่รู้ตัว
     
  4. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ได้ครับ ฝึกสติ หรือ ฝึกสร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่องก่อน ตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมาจนกระทั่งเข้านอน เช่น เผลอแล้วรู้ ๆ ๆ บ่อย ๆ ไม่ต้องเคร่งเครียดอะไร เอาเท่าที่จะระลึกได้ก่อน ใหม่ ๆ เราอาจจะต้องมีหลักยึดเกาะไว้ก่อน เช่น การอยู่กับลมหายใจ รู้ลมหายใจเข้าออก แต่ไม่ต้องเพ่งจ้องลมหายใจ แค่สัมผัสรับรู้ว่ามีลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกก็พอ หยาบกว่านั้น อาจะจะมารู้ที่การเคลื่อนไหวของเรา เผลอหลุดไปคิดฟุ้งซ่านเราก็กลับมาอยู่กับอิริยาบถของเราต่อไป คิดเรื่องงานคิดไป คิดนอกเรื่อง ฟุ้ง ขี้เกียจ เซ็ง เศร้า เบื่อ ท้อ หงุดหงิด เรารู้ทันว่าไม่ใช่เรื่องงานเราก็ตัดมันออกมาอยู่กับปัจจุบัน กับลมหายใจ กับอิริยาบถต่อไป ค่อย ๆ ทำไปไม่รีบร้อนหรือกระทำด้วยความอยากใด ๆ อีกหน่อยถ้าเราชำนาญมากขึ้น ๆ จริง ๆ แล้ว ไม่ต้องกำหนดลม เขาก็รู้ของเขาเอง สติเราจะรู้ทันความเผลอได้มากขึ้น ๆ นี่เป็นก้าวแรกของการเรียนรู้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2009
  5. ทิพย์ศรัทธา

    ทิพย์ศรัทธา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +28
    คุณ TBOON อธิบายได้ละเอียดและเข้าใจ จากเดิมคิดว่าชาติที่แล้วเราเคยปฏิบัติอะไรมาหรือเปล่า แต่พอมาฟังคุณอธิบายแล้วนึกย้อนเหตุการณ์ที่เราทำมาประจำ อย่างเช่นพ่อออกไปขายของกลับบ้านเวลาตีสอง-ตีสามของทุกวัน ด้วยรถพ่วงมอเตอร์ไซด์ เปิดประตูให้พ่อทุกครั้งโดยไม่ต้องเรียก เหมือนกับว่าในขณะนอนเรารู้สึกตัวตลอดเวลา เสียงรถมาไกลๆ เราก็รู้สึกแล้ว,หรือเวลาที่เรานอนหลับอยู่ มีขวดแก้ววางข้างๆ พ่อกลัวว่าเราจะพลิกตัวชนแตก พ่อจะเอื้อมมือจับขวด ทั้งที่เราหันหลังให้ แต่เรามีความรู้สึกว่าจะมีคนมาจับตัวเรา เราจะรู้สึกและพลิกตัวทันที,เมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่ผ่านมามีเรื่องเครียดๆ รบกวนอยู่ประจำเวลานอนไม่รู้จะทำยังไงไม่ให้เครียดเพราะกลัวว่าตัวเองจะเส้นเลือดในสมองแตก เพราะเวลาเครียดเหมือนกับมีเส้นอะไรขึงอยู่ตึงๆ ในหัว เหมือนอยากจะกรี๊ดออกมา ถ้ากรี๊ดออกมาก็คงจะบ้าไปเลย ก็เลยต้องบอกกับตัวเองว่านอนเฉยๆ ไม่คิดเรื่องอะไรเลย ทำแบบนี้ทุกครั้งที่เครียด วันนึงในขณะที่ทำลักษณะนี้แล้วเคลิ้มหลับไป รู้สึกเหมือนกับมีตัวเราอีกร่างหนึ่งลอยลักษณะนอน ขึ้นลงๆ ลักษณะนี้เขาเรียกว่าถอดจิตโดยบังเอิญหรือเปล่า
     
  6. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    อำนาจของสมาธิย่อมเกิดและเป็นไปได้มากมายหลากหลายแบบครับ ตรงที่คุณทิพย์ศรัทธาทำตอนนั้น ถ้าเดาไม่ผิด เป็นการเจริญสติควบคู่ไปกับการเอาสมถะเข้าข่มอย่างหนึ่ง ผมก็เคยเป็นแบบนี้ นอนไม่หลับเพราะคิดมากกลุ้มาก มีความรู้สึกว่าใจจะขาด สติจะแตกถ้าใครมาพูดกระโชกโฮกฮากตอนนั้นคิดว่า ต้องขาดผึงแน่ ๆ เลยใช้วิธี กำหนดว่า อยากหลับหนอ ๆ ๆ ๆ ๆ จนกระทั่งเริ่มทำท่าจะง่วง ก็กำหนดใหม่ว่า หลับหนอ ๆ ๆ ๆ ๆๆ จนกระทั่งหลับไปได้จริง ๆ ตื่นขึ้นจึงหาย แต่ก็ยังรู้สึกว่าเป็นคนพูดมากอยู่เกือบอาทิตย์ แต่ก็ดีและหายได้ในที่สุดครับ ทำให้เห็นคุณค่าของการมีสติสัมปชัญญะเลย
     
  7. ทิพย์ศรัทธา

    ทิพย์ศรัทธา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +28
    คนพูดเยอะจริงๆ ไม่น่าเครียดน่ะค่ะ เพราะได้ละบายออก ดูแล้วนอกจากจะชอบพูดน่าจะเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือธรรมะมากด้วย ดูจากที่คุณให้คำแนะนำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2009
  8. ทิพย์ศรัทธา

    ทิพย์ศรัทธา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +28
    จะเข้าไปตอบแบบคุณTBOON บ้างเข้าได้ด้วยวิธีไหนค่ะ
     
  9. ทิพย์ศรัทธา

    ทิพย์ศรัทธา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +28
    พิมพ์ข้อความแล้วส่งอย่างไรค่ะ กดตรงไหน
     
  10. ทิพย์ศรัทธา

    ทิพย์ศรัทธา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +28
    เข้าใจแล้วค่ะไม่ได้ใส่หัวข้อเรื่องเลยส่งไม่ได้
     
  11. wutipongk

    wutipongk สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +1
    GET เลย เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่แค่ความเชื่อ ไม่ใช่ความงมงาย เป็นความเป็นจริงทางธรรมชาติแท้ ๆ ตรงตามคัมภีร์ มหาสติปัฏฐานสูตร ขอบคุณมากครับ :)
     
  12. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    อนุโมทนาบุญกับคุณ Tboon ด้วยครับ สาธุ



    ส่วนรูปที่แนบมานี้เปรียบเทียบเป็นลักษณะของตัวรู้ เมื่อเข้าไปรู้ส่วนต่างๆของ อายตนะ จะมีลักษณะอย่างนี้หรือไม่อย่างไรครับ ?

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF4398.JPG
      DSCF4398.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.3 MB
      เปิดดู:
      87
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2009
  13. nan2009

    nan2009 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +6
    ขอสวัสดี ทุกคนน่ะค่ะ

    เราเป็นอึกคนที่มีชอบเกี่ยวกับ สัมผัสที่ 6 จริง ๆๆน่ะ

    เพราะว่า เราเคยฝันเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ อะน่ะ

    จึงรู้สึกว่าชอบอะค่ะ
     
  14. pol47

    pol47 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +14
    ขอบคุณครับที่ให้ความรู้เพิ่มเติม
     
  15. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    แยกให้ออก อะไรคือจิตสำนึก อะไรคือจิตใต้สำนึก
    สัมผัสที่ 6 มาจากส่วนไหนกันแน่หนอ
     
  16. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    แค่รู้ครับ รู้ว่าจิตใจมีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จากเมื่อกี๊ใจยังนิ่งเป็นกลางอยู่ แล้วจู่ ๆ ใจก็เกิดเปลี่ยนแปลง ร้อนบ้าง เย็นบ้าง หนักบ้าง เบาบ้างตามแต่สิ่งที่มากระทบนั้น แล้วส่งผลมาถึงกาย เช่นทำให้ระบบการหายใจเปลี่ยนแปลงไป โล่งโปร่งขึ้น หรือเริ่มแน่นอึดอัด เป็นต้น ปัจจัยพวกนี้มีความละเอียดอ่อน ถ้าเรารู้ไม่ทันการกระทบสัมผัสของอายตนะที่ 6 นี้ บางทีจิตของเราสัมผัสความโกรธ ความขุ่นเคื่อง ความทุกข์ใจ แล้วเราก็จะหลงคิดว่ามันเป็นเรา ที่โกรธ เราที่ขุ่นใจ แล้วเราก็อินก็ยึดมั่นกับสภาวะตรงนั้น ความคิดอะไร ๆ ที่มันออกมาตอนนั้นก็เลยเป็นไปตามความรู้สึกอารมณ์ที่ยึดนั้นเอง

    อย่างเช่น สมมุติว่า เรากับเพื่อนเรารู้สึกขัดใจกันด้วยเรื่องเล็กน้อย เพื่อนเราเขาเป็นคนโทสะจริต โทสะแรง อารมณ์เขาแรง พลังของความโกรธมันมี มันร้อน มันมากระทบใจเรา เรารู้ไม่ทัน เราก็อินคิดว่าเป็นเราโกรธ (กระบวนการพวกนี้ไวมาก ถึงต้องฝึกสติให้ต่อเนื่อง) แล้วเราก็สวนกลับด้วยความรู้สึกอย่างเดียวกัน เรื่องมันก็เลยบานปลาย ทั้ง ๆ ที่เรื่องมันแค่นิดเดียว แต่กลายเป็นไม่ยอมกัน เพราะจิตมันเกิดอาการอินตรงนั้นไปแล้ว ขาดความเป็นกลางไปแล้ว มันคิดอะไรออกมาก็อยู่บนฐานของความโกรธเสียหมด

    ต่อเมื่อเวลาผ่านไป จิตใจเราสงบเยือกเย็นลง อาจจะหลายนาที หลายชั่วโมง หรือต้องนอนหลับวันรุ่งขึ้นตื่นมาถึงจะคลาย พอกลับมาย้อนคิดถึงเรื่องที่ทะเลาะกันตอนจิตปกตินี้ความคิดเรากลับเปลี่ยนไป อาจจะคิดว่าไม่น่าเลยก็ได้ นั่นแหละ จิตใจของคนเรามันมีอิทธิพลต่อการคิดการตัดสินใจของเรามาก เราจึงต้องหันมาทำความรู้จักจิตใจ และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจิตใจให้รอบด้าน เราต้องฝึกจนกระทั่งสามารถที่จะควบคุมไม่ให้จิตที่เกิดอารมณ์พวกนั้นมันเข้ามามีอิทธิพลต่อความคิดของเราได้ ถ้าจะคิดให้คิดด้วยสติไม่ใช่ด้วยอารมณ์

    ในขณะเดียวกัน ก็ต้องฝึกที่จะไม่ให้ความคิด (โดยเฉพาะที่เป็นอกุศลด้วยแล้ว) มันสามารถเข้าไปป่วนถึงจิตถึงใจเราได้ง่าย ๆ เช่นกัน ถ้าเราฝึกให้มีสติรู้เท่าทันความคิด และไม่ยอมจมแช่ลงไปในความคิดได้บ่อย ๆ เผลอจมแช่ลงไปแล้ว ทุกข์แล้ว หงุดหงิดแล้ว เซ็ง ท้อแล้วก็รีบถอนตัวออกมาอยู่กับปัจจุบัน ไม่อาลัยอาวรณ์กับความเมามันพวกนั้นได้บ่อย ๆ เสมอ ๆ อีกหน่อยสติเราดีขึ้น ต่อเนื่องขึ้น กำลังใจในการละการฝืนความเมามันในการจมแช่ตรงนี้เรามีมากแล้ว จิตเราก็จะนิ่งขึ้น ๆ เป็นกลางต่อสภาวธรรมมากขึ้น เราก็จะได้เห็นความจริงในเรื่องที่เราชอบไปหลงจมแช่กับความคิดความอินพวกนั้นได้อย่างชัดเจน ปัญญาก็จะเกิดกับเราเอง เราก็จะสามารถเข้าถึงความเป็นกลางได้อย่างแท้จริง

    ถึงตอนนั้นแล้วสติเขาก็จะทำงานของเขาเอง จะไปสัมผัสอะไร เขาก็รับรู้และเป็นกลางได้ หากจะหลงพอเขารู้เขาก็กลับมาไว ไม่หลงนาน เราก็ตั้งหน้าศึกษาเรียนรู้ส่วนที่มันละเอียดลึกซึ้งต่อไป ยังไงก็อย่าไปสับสนกับเรื่องตาทิพย์ หูทิพย์อะไรนั่นนะ มันคนละส่วนกัน ตาทิพย์นั้นคือการใช้ฤทธิ์ทางใจอย่างหนึ่ง จริง ๆ สังเกตให้ดี ๆ มันต้องออกแรงนิดนึง แต่การสัมผัสแบบนี้ไม่ได้ออกแรงออะไร เพราะมันเป็นหน้าที่โดยธรรมชาติของเขาที่จะรับรู้ได้ เหมือนลมพัดถูกกายเรานี้ เราก็ไม่ได้ออกแรงอะไรเพื่อจะรับรู้เช่นกันครับ

    เริ่มยาวแล้ว พอก่อนนะ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2009
  17. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    ระวังเตรียมตัวเตรียมใจเผื่อไว้บ้างก็ดีนะ..
    รู้ไม๊ทำไมคนที่ชอบฝึกแนวอภิญญาส่วนใหญ่จะไปติดที่ตัวอัตตา
    เหลือเพียงส่วนน้อยที่ได้ดวงเห็นธรรม แต่คนยังติดที่เหลือก็ยังไปเกิดไปตายอีกหลายรอบ
    และในแต่การเกิดอยู่ ตายอยู่นั้นก็ติดที่ อัตตา อยู่อีก..
     
  18. azalia

    azalia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    626
    ค่าพลัง:
    +579
    สัมผัสที่ 6 (six sense) คล้ายกับเหมือนอภิญญาเก่าที่ติดตัวมาหรือเปล่าคะ ?
    เหมือนๆกับญาณหยั่งรู้ที่ยังไม่ได้พัฒนาแบบนี้ค่ะ
     
  19. บุคคลไปทั่ว

    บุคคลไปทั่ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2009
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +106
    สัมผัสที่ 6 หรือจะเรียกอะไรก็แล้วแต่ ในส่วนตัวคิดว่า มันเป็นศักยภาพธรรมดาของจิต การพอกพูนของกิเลสต่างหากที่เป็นเรื่องมหัศจรรย์
    คุณทีโบนกล่าวได้ถูกต้องแล้วมันทำงานตลอดเวลา และการที่จะน้อมใจไปรับรู้คนผู้นั้นต้องวางใจในวาระจิตของตนได้อย่างแน่ใจเสียก่อน ว่าสามารถที่จะเท่าทันการปรุงแต่งของตนเองหรือเปล่า ทำให้ข้อมูลที่ได้รับมีความแม่นยำขึ้นนั่นเอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...