สาริกาเรียกทรัพย์ รุ่น 1, พระเครื่องแร่โคตรเศรษฐี แม่ชีประทุม โชติอนันต์ ฯลฯ

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Muang99, 17 กันยายน 2015.

  1. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,559
    พระเครื่องและวัตถุมงคลที่ให้เช่าบูชา รับประกันแท้ 100%

    ท่านที่สนใจเช่าบูชา ลงจองในกระทู้นี้ได้เลยครับ หรือติดต่อหาผมทางมือถือ หรือทาง PM ครับ

    ท่านที่ได้จองเอาไว้ เปิดโอกาสให้จองได้ประมาณ 5 วันครับ ถ้าเลยกำหนดแล้วไม่ได้โอนเงิน ก็ขออนุญาตยกเลิกสิทธิ์

    กรุณาช่วยค่าจัดส่ง 50 บาท

    บัญชีสำหรับโอนเงินนะครับ : ธนาคารกรุงเทพ หมายเลขบัญชี 129-5-235657 ชื่อบัญชี เมธา รุ่งพัฒนพันธ์

    ติดต่อหาผมได้ที่ มือถือ 081-2670895
    เมธา.

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2016
  2. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,559
    [​IMG]

    รายการที่ 1. พระรอดเชียงดาว รุ่นสร้างพระไตรรัตนะเทวสถาน ปลุกเสกโดยพระสุปฏิปันโน รุ่นพิเศษบรรจุพระธาตุพระสีวลี บูชาที่ 500 บาท (ปิดรายการให้สมาชิกท่านหนึ่งครับ)

    พระรอดเชียงดาว รุ่นพิเศษ บรรจุพระธาตุพระสีวลี องค์นี้ทันหลวงปู่สิมปลุกเสก

    พระรอดเชียงดาว (ศ.1) รุ่น1 อธิษฐานจิตโดยพระสุปฏิปันโน ฝังพระธาตุพระสีวลี พร้อมกล่องเดิมๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2015
  3. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,559
    [​IMG]

    ประวัติครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า (พระเจษฎา โชติปญฺโญ)

    ชาติกำเนิด

    ณ บ้านต๊ำน้ำล้อม ตำบลบ้านต๊ำ อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา มีสามีภรรยาคู่หนึ่งคือนายหน้อยแหน้น และนางบัวเขียว ใจลา ประกอบอาชีพทำนาและมีฐานะยากจนมาก ได้อยู่กินกันมาจนมีลูกสาว ๑ คน แต่เวลาผ่านไป ๑๐ ปียังไม่มีวี่แววว่าจะได้ลูกชายสักคน แม้ว่าจะมีการตั้งครรภ์ใหม่ก็มีเหตุต้องลงเลือดหรือแท้งไปถึง ๓ ครั้ง แต่ก็สังเกตดูว่าเป็นเด็กผู้ชายทุกครั้ง จึงได้ไปอธิษฐานกับองค์พระเจ้าตนหลวง ณ วัดศรีโคมคำ พระคู่บ้านคู่เมืองพะเยา ในคืนวันแปดเป็ง (วิสาขบูชา) พอตกกลางคืนนางบัวเขียวก็นิมิตว่า มีพญานาคตัวใหญ่ตัวหนึ่งเลื้อยออกมาจากใต้ฐานองค์พระเจ้าตนหลวง แล้วนำลูกแก้วลูกหนึ่งสวยงามแพรวพราวระยิบระยับ มีประกายงดงามประมาณค่ามิได้ ดุจดั่งลูกแก้วของพระเจ้าจักรพรรดิราชหรือลูกแก้ววิเศษของมหาเทพเบื้องบน โดยพญานาคนั้นได้คาบลูกแก้ววิเศษมาคายไว้ที่อุ้งมือขวานางบัวเขียวพร้อมกับกลิ่นหอมตลบอบอวนดั่งดอกไม้ในสวรรค์ หลังจากนั้นไม่นานนางบัวเขียวก็ตั้งท้องลูกคนที่ ๒ มีความรู้สึกอยากไปวัดไปวามากกว่าเดิม ชอบนั่งสวดมนต์ ทำสมาธิ เจริญภาวนาและทานมังสวิรัติประจำ ไม่อยากทานเนื้อสัตว์ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา จนถึงเวลาที่คลอดกุมารน้อยตรงกับวันอังคาร ที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๑๘ เวลา ๑๖.๐๙ น. ขณะนั้นฝนตกกระหน่ำครั้งใหญ่ฟ้าผ่า ฟ้าร้อง ดังกึกก้องปานว่าฟ้าจะถล่มแผ่นดินจะทลาย แผ่นดินไหว สั่นสะเทือนไปทั่ว เกิดเหตุการณ์ฟ้าผ่าที่ต้นไม้บริเวณข้างบ้านและแผ่นดินไหวจำนวน ๓ ครั้ง ในเวลาไล่เลี่ยกันไม่กี่นาทีก็เป็นเวลาที่กุมารน้อยคลอดออกมาจากครรภ์นางบัวเขียวผู้เป็นมารดา การเกิดของกุมารน้อยนี้น่าอัศจรรย์คือ นำเท้าออกมาก่อน พอเท้าออกมาถึงเข่า แผ่นดินไหวและฟ้าผ่าต้นไม้ข้างบ้านครั้งที่ ๑ พอลำตัวออกมาถึงบริเวณหน้าอก แผ่นดินไหวและฟ้าผ่าต้นไม้ข้างบ้านต้นเดิมครั้งที่ ๒ พอถึงเวลานำศีรษะออกมาแล้วนั้น แผ่นดินไหวและฟ้าผ่าต้นไม้ข้างบ้านต้นเดิมครั้งที่ ๓ แต่ฝนก็ยังตกกระหน่ำไม่หยุดจนคลอดทารกน้อยเสร็จเรียบร้อย สร้างความแปลกประหลาดใจให้กับหมอตำแยและญาติพี่น้องของผู้เป็นพ่อและแม่ราว ๒๗ หลังคาเรือนหรือประมาณ ๓๕ คน กล่าวโดยสรุปเกี่ยวกับปรากฏการณ์อัศจรรย์การให้กำเนิดกุมารน้อยนี้มีอยู่ ๙ ประการคือ

    ๑. คืนวันวิสาขบูชาก่อนที่จะปฏิสนธิในครรภ์ หลังจากอธิษฐานขอพรจากพระเจ้าตนหลวง นางบัวเขียวผู้เป็นมารดานิมิตว่า มีพญานาคตัวใหญ่เท่าต้นตาลเลื้อยออกมาจากใต้ฐานพระเจ้าตนหลวง แล้วคาบลูกแก้วอันงดงามรัศมีเปล่งปลั่งมากนักมาคายไว้ที่มือขวานางบัวเขียวพร้อมกลิ่นหอมตลบอบอวล และจะฝันซ้ำ ๆ กันทุกวันพระ
    ๒. ขณะกำเนิดนั้นกุมารน้อยเอาเท้าออกก่อนไม่เหมือนทารกอื่น
    ๓. บริเวณศีรษะมีเมือกบาง ๆ คล้ายกับหมวกอยู่ (เป็นวุ้นสีเขียวคล้ำใส ๆ)
    ๔. หลังจากล้างตัวและศีรษะแล้วที่ผมบาง ๆ ของกุมารน้อยมีคล้ายกับทองคำเปลวบาง ๆ ระยิบระยับติดอยู่เต็มไปหมด
    ๕. ขณะที่คลอดกุมารน้อยนั้นมีกลิ่นหอมมากดุจดั่งดอกไม้สวรรค์ไปทั่ว
    ๖. มีสายแห่หรือสายรกพันบริเวณคอของกุมารน้อย ๓ รอบคล้ายกับงูพันพระศอองค์พระศิวะเจ้า
    ๗. กุมารน้อยไม่ร้องไห้เหมือนทารกอื่น (หมอตำแยต้องตีก้นหลายครั้งเกรงว่าจะเป็นใบ้)
    ๘. เมื่อตัดสายรกสายสะดือแล้ว ปรากฏว่ามีลูกแก้วเม็ดเล็ก ๆ (ทางเหนือเรียกว่า คตแก้ว หรือแก้วโป่งข่าม ) อยู่บริเวณสายรกห่างจากสะดือของกุมารน้อย ๑ คืบ
    ๙. ขณะคลอดกุมารน้อยนั้นมีฝนตกหนัก ฟ้าผ่าต้นไม้ต้นเดิมและแผ่นดินไหวถึง ๓ ครั้ง (ฟ้าผ่าและแผ่นดินไหวพร้อมกัน)

    ในค่ำคืนนั้นหลังจากกุมารน้อยได้กำเนิดขึ้นมาได้ ๑ คืน ผู้เป็นบิดาคือนายแหน้น นิมิตว่า มี พ่อค้า นักธุรกิจ ต่าง ๆ ทั้งชาวไทย จีน ฝรั่ง ต่างชาติ ทหาร ตำรวจ นักการเมือง แต่ละท่านมียศสูง ๆ และร่ำรวยทั้งนั้น ต่างก็พากันล้อมกราบไหว้ลูกแก้ววิเศษ ซึ่งเมื่อมองดูด้านในของลูกแก้ววิเศษจะมีภาพพระพุทธรูปและครูบาเจ้าศรีวิชัยอยู่ภายใน โดยผู้คนเหล่านั้นที่มากราบไหว้ต่างก็มาพึ่งพาบุญบารมีของลูกแก้ววิเศษเพราะเชื่อว่าลูกแก้ววิเศษนั้นสามารถสร้างอานิสงส์ให้เขาเหล่านั้นร่ำรวย รุ่งเรือง มีฐานะดี โชคดียิ่งขึ้น และพ้นจากโรคภัยต่าง ๆ แล้วก็ตกใจตื่น หลังจากนั้นได้พิจารณาความฝันว่า “เอ แปลกนะ ต่อไปข้างหน้าลูกของเราจะต้องเป็นที่พึ่งพาของคนระดับต่าง ๆ พ่อค้า ประชาชน นักธุรกิจ ทหาร ตำรวจ ที่มียศสูง ๆ แน่นอน ประกอบกับคนที่ยังไม่รวยถ้าทำบุญบารมี ร่วมกันก็จะรวยยิ่งขึ้น”


    คำพยากรณ์ครั้งแรก

    เมื่อเวลาผ่านไป ๓ วัน ข่าวดังกล่าวทราบถึงครูบาเจ้าอินโต วัดบุญยืน พระเกจิอาจารย์ชื่อดังของจังหวัดพะเยา ได้เดินทางไปที่บ้านของกุมารน้อย พอไปถึงบ้านก็เอ่ยขึ้นทักพ่ออุ้ยปัน ผู้เป็นตาของกุมารน้อยว่า “ พ่ออุ้ยปัน มีหน่ออริยโพธิสัตว์มาเกิดแล้วเน้อ ชาติสุดท้ายของเปิ้นแล้ว เลี้ยงไว้ดี ๆ เจ้าหน่อแก้วฟ้าไจยา มาเกิดแล้ว ต่อไปปายหน้าเปิ้น จะก้ำจูสาสะนา (ศาสนา) โผด (โปรด) คนหื้ออยู่ดีมีสุข มีทรัพย์สมบัติมากนัก (อริยทรัพย์ ๗ ประการ) คนตังหลายที่มีบารมีร่วมเปิ้นก็จะมี ทรัพย์สมบัติมากนักเช่นกัน“ พร้อมกันนั้นครูบาเจ้าอินโต ก็ค่อย ๆ ผูกข้อมือรับขวัญทารกน้อยและทำนายไว้ว่า “กุมารน้อยผู้นี้ เป็นผู้มีบุญหนัก ศักดิ์ใหญ่กลับชาติมาเกิด เป็นขวัญปากครูบาเจ้าพระอริยะต๋นบุญล้านนา (ขวัญสัจจะวาจาศักดิ์สิทธิ์ของครูบาเจ้าศรีวิชัย) นำแก้วคู่บารมีมาโผด (โปรด) คนตังหลายต่อไปข้างหน้า เด็กน้อยผู้นี้จะเป็นกำลังของพระพุทธศาสนาที่สำคัญคนหนึ่งและสามารถที่จะโปรดมวลมนุษย์ให้พ้นทุกข์ มีความสุข ความร่ำรวยด้วยลูกแก้วนี้ และวาจาสิทธิ์ของกุมารน้อย ซึ่งก็ถือว่าเป็นชาติสุดท้ายของกุมารน้อยผู้นี้ก็ว่าได้” พร้อมกับตั้งชื่อให้ไว้ว่า “หน่อแก้วฟ้าไจยา” หมายถึง "แก้วมณีมงคลแห่งชัยชนะที่ฟ้าหรือสรวงสวรรค์ประทานมาเพื่อความสุขความเจริญ ร่ำรวย" และครูบาเจ้าอินโตยังตั้งอีกชื่อหนึ่งให้ว่า “เจ้าอริยทรัพย์” หมายถึง "ผู้มีทรัพย์มากมีทั้งทรัพย์สมบัติภายในและทรัพย์สมบัติภายนอก" นอกจากนั้นแล้วครูบาเจ้าอินโตยังได้เน้นกับพ่ออุ้ยปันและญาติพี่น้องทุกคนว่า “บารมีนี้มีเฉพาะผู้ที่มาจากอดีตชาติที่ได้พึ่งพาบารมีซึ่งกันและกัน ดังนั้นการทดสอบจิตของเจ้าหน่อแก้วฟ้าไจยา เช่นการลองขอความช่วยเหลือจากแต่ละบุคคลว่าเป็นเช่นไร เคยบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติร่วมกันหรือไม่ หรือถ้าผู้ใดให้ความเชื่อถือและช่วยเหลือเต็มที่กับเจ้าหน่อแก้วฟ้า ผู้นั้นคือผู้ที่มาจากอดีตชาติ เป็นผู้มีทรัพย์ทิพย์จากอดีตที่คอยช่วยเหลือกันมาก่อน เพราะถือว่าช่วยเหลือในชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเจ้าหน่อแก้วฟ้าไจยาแล้ว บุคคลผู้นั้นและครอบครัวของเขาก็จะเจริญรุ่งเรือง ร่ำรวยยิ่งๆ ขึ้นไป หน้าที่กิจการงานก็จะเจริญรุ่งเรือง เป็นผู้มีโชคชัยตลอด โรคภัยไข้เจ็บก็จักไม่เบียดเบียน โรคกรรมโรคเวรก็ย่อมเบาบางลง โดยเฉพาะผู้ให้ยานพาหนะและผู้ให้ทรัพย์เงินทองในการบำเพ็ญประโยชน์ร่วมกับ เจ้าหน่อแก้วฟ้าผู้นั้นไม่อดอยาก และคล่องตัวในกิจการงานต่างๆ มีแต่ได้กับได้อย่างเดียวเท่านั้น”


    ชีวิตวัยเยาว์

    แต่ภายหลังทางอำเภอให้ใช้ชื่อในใบทะเบียนบ้านว่า "เจษฎา" เพราะชื่อ หน่อแก้วฟ้าไจยา เป็นชื่อค่อนข้างโบราณและยาวเกินไป พร้อมกันนั้นอีก ๗ วัน ครูบาศรี วัดร่องไฮ ต.บ้านใหม่ พระเกจิอาจารย์ชื่อดังของพะเยาอีกรูปหนึ่ง ได้มาเยี่ยมและรับขวัญเป็นลูกบุญธรรมอีกคนหนึ่ง ก็ทำนายไว้เช่นเดียวกันกับครูบาเจ้าอินโต ว่า “กุมารน้อยผู้นี้เกิดมาชดใช้กรรมเก่าก่อน ต่อไปจะถูกใส่ความ ถูกกล่าวหาว่าร้ายต่าง ๆ นานา จากเจ้ากรรมนายเวรจากอดีตชาติมาในคราบผ้าเหลืองและชาวบ้าน ซึ่งเป็นญาติของพญาสวัสดิมาร จะมาทำลายความเพียร ความดี และบารมีเก่า แต่หากกุมารน้อยผ่านบททดสอบบารมีด้วยจิตใจอันแน่วแน่ได้ เจ้ากรรมนายเวร (ผู้ใส่ร้ายป้ายสี ดูถูกดูหมิ่น) ตลอดจนมารเหล่านั้นก็จะแพ้ภัยตนเอง ฉิบหายต่าง ๆ นานาประการ ตกนรกขุมอเวจี เพราะกุมารน้อยผู้นี้เกิดมาถือว่าเป็นชาติสุดท้ายแล้ว จะเป็นผู้ที่ให้พรคนทั้งหลายให้เจริญรุ่งเรืองโดยเฉพาะพ่อค้าแม่ขาย นักธุรกิจระดับต่าง ๆ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ นักการเมือง ระดับต่าง ๆ คนทุกชนชั้น เพราะกุมารน้อยผู้นี้จะเป็นผู้มีสัจจะวาจาสิทธิ์”


    จากสาเหตุนี้ทำให้พ่ออุ้ยปัน รักและทะนุถนอมเจ้าหน่อแก้วฟ้าเสมือน "ไข่ในหิน" โดยไม่ให้ใครแม้กระทั่งญาติพี่น้องมาเล่นด้วย หรือถูกเนื้อถูกตัวเพราะทราบดีว่าเป็นเด็กที่มีความพิเศษไม่เหมือนเด็กทั่วไป เดี๋ยวจะมีรอยราคิน รอยด่างพร้อย ส่วนฝ่ายบิดาและมารดาไม่อยากจะให้บวชเรียนเพราะทางบ้านมีฐานะยากจนและกลัวจะไม่ได้พึ่งแรง จึงไม่ค่อยอนุญาตให้เจ้าหน่อแก้วฟ้าไปไหว้พระที่วัดในหมู่บ้านเท่าไหร่ และก็กลัวว่าเจ้าหน่อแก้วฟ้าจะไปจำบทสวดมนต์ของพระสงฆ์ แต่ก็ไม่วายเมื่อมีงานศพหรืองานทำบุญบ้านใหม่ในหมู่บ้าน เจ้าหน่อแก้วฟ้ามักจะไปดูพระสงฆ์เวลาให้ศีล ให้พร แล้วกลับมาฝึกสวดไปเรื่อย ๆ ตามประสาเด็ก นอกจากนั้นแล้วยังนำวี (พัด) ที่เขานำมาพัดข้าวเปลือกหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว นำมาสวดมนต์ให้ศีลให้พรแล้วบอกว่าตนเองเป็นพระครูบาเจ้ามาเกิด เมื่อก่อนก็สวดมนต์อย่างนี้ปฏิบัติธรรมอย่างนี้

    โดยเล่าประวัติของตนเองเป็นเรื่องเป็นราวว่าตนคือครูบาเจ้าศรีวิชัยมาเกิด (จากการบอกเล่าของชาวบ้านญาติพี่น้อง ขณะนั้นเจ้าหน่อแก้วฟ้าอายุ ๔ ขวบ) ไฟฟ้าก็ยังไม่เข้าในหมู่บ้าน การสื่อสารต่าง ๆ ก็ยังไม่ถึง หนังสือก็ไม่มีให้อ่าน ทีวีไม่มีให้ดู หนังสือก็ยังไม่ทันได้เรียน แต่เจ้าหน่อแก้วฟ้าพูดเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนดั่งเทวดาสอนให้พูดอย่างนั้น จนครั้งหนึ่งน้าไก่ซึ่งเป็นญาติของเจ้าหน่อแก้วฟ้าซึ่งเดินทางมาจากประเทศสิงคโปร์ ก็แปลกใจว่าเด็กน้อยนี้พูดอะไรแปลก ๆ จะเป็นจริงหรือ เลยตัดสินใจพาเจ้าหน่อแก้วฟ้าไปที่วัดบ้านปาง อ.ลี้ จ.ลำพูน ซึ่งเป็นวัดของครูบาเจ้าศรีวิชัย และเป็นสถานที่ที่ เจ้าหน่อแก้วฟ้าพูดถึงบ่อย ๆ เมื่อเดินทางมาถึงเจ้าหน่อแก้วฟ้าไม่รีรอ รีบลงรถแล้วก็ทำตัวเองเหมือนดั่งไกด์นำเที่ยว บอกสถานที่ต่าง ๆ ได้ถูกต้องไม่ว่าจะเป็นสถานที่ป่วย หรือเดินจงกรม ฯลฯ และทักทาย เรียกชื่อ ผู้เฒ่าผู้แก่ ที่มาต้อนรับในวันนั้นได้ถูกต้อง โดยไม่รู้จักกันมาก่อน สร้างความ ประหลาดใจให้ญาติทั้งหลายยิ่งนัก และย้ำบ่อย ๆว่า “เราจะไม่เกิดอีกแล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย”


    เมื่ออายุได้ ๕ ขวบ ก็ได้เกิดวิบากกรรมมาตัดรอน โดยเจ้าหน่อแก้วฟ้าถูกรถมอเตอร์ไซค์ชนจนขาซ้ายหัก ซึ่งเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เพราะไม่มีเงินที่จะไปรักษาจากโรงพยาบาล ต้องใช้เวลานอนรักษาตัวแบบโบราณ ๗ เดือน ช่วงที่นอนรักษาตัวและฟักฟื้นก็ได้ร่ำเรียนวิชาอักษรล้านนา ตั๋วเมืองและคาถาอาคมเบื้องต้นจากพ่ออุ้ยปัน บัวเงิน ผู้เป็นตาและท่านเป็นลูกศิษย์ของครูบาเจ้าศรีวิชัย จนเจ้าหน่อแก้วฟ้าอ่านออกเขียนได้เป็นพื้นฐาน หลังจากนั้นเจ้าหน่อแก้วฟ้าได้เข้าศึกษาเล่าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ขณะนั้นอายุได้ ๗ ปี เวลาผ่านไปพออายุได้ ๘ ปี ช่วงที่ไปเรียนหนังสือหลังจากเลิกเรียนแล้ว เจ้าหน่อแก้วฟ้ามักจะไปนั่งสมาธิบริเวณป่าช้าหน้าโรงเรียนหรือวัดเก่าแก่บริเวณหัวนาที่มีซากปรักหักพังเพราะร่มเย็นและมีสมาธิดี นอกจากนั้นเจ้าหน่อแก้วฟ้ายังชอบปั้นพระพุทธรูปองค์เล็กองค์ใหญ่ แล้วชักชวนเพื่อน ๆ ไปไหว้และนั่งสมาธิ จากเหตุดังกล่าวนี้เป็นเหตุให้เพื่อนไม่ค่อยจะเล่นด้วยเพราะชอบอยู่กับป่าช้าและวัดเก่า ซึ่งคนทั่วไปไม่นิยมกัน และยังถูกกล่าวหาต่างๆ ว่าผีบ้าบ้าง ไม่เต็มบาทบ้าง หรือป่วยเป็นโรคจิตบ้าง ฯลฯ

    ต่อมาเจ้าหน่อแก้วฟ้ามีโอกาสพบพระธุดงค์รูปหนึ่งที่ป่าช้า ท่านนุ่งห่มจีวรสีกรักดำ อายุประมาณ ๗๐ กว่าปี หลังค่อมตัวเล็ก ท่านเมตตาสอนธรรมและวิธีการปฏิบัติธรรมให้ จนในที่สุดเจ้าหน่อแก้วฟ้าก็ชอบในการนั่งสมาธิภาวนามาตั้งแต่นั้น จนความทราบถึงผู้เป็นบิดาต้องดุด่าว่ากล่าวว่า “ทำไมทำตัวไม่เหมือนคนอื่นเขา ชอบไปแต่ป่าช้าและวัดเก่าแก่ คราวหลังถ้าไปอีกจะตีให้เจ็บตัวแน่” ด้วยฐานะทางบ้านยากจนมากแทบจะไม่มีอะไรจะกิน จำเป็นต้องทำมาหากินทุกอย่างโดยพี่สาวและพี่เขยต้องช่วยกันออกไปหาปลาหานกและพาเจ้าหน่อแก้วฟ้าไปด้วย แต่เจ้าหน่อแก้วฟ้ามักจะแอบปล่อยปลา และนกที่พี่สาวพี่เขยหามาได้เป็นประจำ จนถูกผู้เป็นบิดาดุด่าว่ากล่าวหลายครั้งหลายหน โดยครั้งสุดท้ายเจ้าหน่อแก้วฟ้าน้อยใจหนีออกจากบ้านไปพักบ้านญาติ นอกจากนั้นแล้วผู้เป็นบิดาชอบบังคับให้เจ้าหน่อแก้วฟ้ากินอาหารที่เป็นส่วนของสัตว์ต่าง ๆ แต่เจ้าหน่อแก้วฟ้าไม่ชอบเลยต้องกินข้าวพร้อมกับน้ำตาและรีบออกไปอาเจียนหลังบ้าน


    เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์

    พอจบชั้น ป.๖ ก็มีจิตคิดที่บวชทดแทนคุณบิดามารดา ซึ่งฝ่ายบิดามารดาไม่อยากจะให้บวชเพราะกลัวเจ้าหน่อแก้วฟ้าจะไม่ยอมสึกในภายหลัง แต่เจ้าหน่อแก้วฟ้าก็ได้บวชจนได้โดยมีครูบาสงบ วัดต๊ำน้ำล้อม เป็นพระอุปัชฌาย์ เนื่องจากพ่ออุ้ยนวล ทำดี (พี่ชายของยายและเป็นลูกศิษย์ครูบาเจ้าศรีวิชัยอีกคนหนึ่ง) ได้เสียชีวิต เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๓๑ เจ้าหน่อแก้วฟ้าจึงได้ขอทดแทนคุณ คือบวชจูงศพ แล้วก็ไม่คิดจะสึก แต่ทางบิดามารดาและญาติพี่น้อง ได้ขอให้เจ้าหน่อแก้วฟ้าสึกและมาบวชเณรตามประเพณีแบบเบ้าโบราณ จึงได้สึก ๑ วันแล้วทำพิธีขวัญนาคและบรรพชาเป็นสามเณร ในวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๓๑ โดยมีครูบาสงบ วัดต๊ำน้ำล้อม (ลูกศิษย์ครูบาแก้ว วัดปงสนุกใต้ จังหวัดลำปาง) เป็นพระอุปัชฌาย์ และเริ่มต้นร่ำเรียนนักธรรมชั้นตรี โท เอก และวิปัสสนากัมมัฏฐานจากครูบาอาจารย์ที่มีหลายท่าน เช่น

    หลวงปู่โง่น โสรโย วัดพระบาทเขารวก จ.พิจิตร
    หลวงปู่ดาบส สุมโน จ.เชียงราย
    ครูบาเจ้าปู่นริศ นรินฺโท ลานธรรมบารมีศรีปทุมแสงธรรมหนอ อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา สอนการปฏิบัติธรรมภาวนาชั้นสูง และคาถาอาคมต่าง ๆ จนหมดความรู้
    ครูบาศรี วัดร่องไฮ บ้านใหม่ จ.พะเยา สอนอักขรภาษาล้านนา และคาถายันต์ต่าง ๆ
    หลวงปู่ครูบาเจ้าดวงดี สุภทฺโท วัดท่าจำปี จ.เชียงใหม่ สอนคาถาอาคมและการปฏิบัติสมาธิ
    หลวงปู่หล้า ตาทิพย์ จ.เชียงใหม่ สอนคาถาอาคมและการใช้ทิพยญาณ การปฏิบัติธรรมชั้นสูง
    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย
    ครูบาเจ้ากลิ่นกู้ วัดข่วงเป่าชัย จ.ลำปาง สอนการนั่งทางใน
    ครูบาคำผาย วัดพระธาตุจอมไคร้ จ.พะเยา
    ครูบาเจ้าพรหมจักร จ.ลำพูน สอนการปฏิบัติสมาธิภาวนา และคาถาหลายอย่าง
    ครูบาเจ้าชัยยะวงศา วัดพระบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน สอนคาถาเรียกทรัพย์ เรียกเงิน
    ครูบาเจ้าคำอ้าย วัดทุ่งพร้าว อ.ดอกคำใต้ สอนคาถาอาคมต่าง ๆ
    ครูบาเจ้าน้อย วัดต๋อมใต้ จ.พะเยา สอนการปฏิบัติธรรมและคาถาอาคม
    ครูบาเจ้าเกษม เขมโก จ.ลำปาง สอนธรรมะเบื้องต้น
    ครูบาอ่อน วัดสนต้นหวีด จ.พะเยา
    หลวงปู่ฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี สอนการปฏิบัติสายมโนมยิทธิ
    หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ จ.นครปฐม สอนคาถาคงกระพัน และค้าขายดี
    ครูบาเจ้าบุญชุ่ม ญาณสํวโร ประเทศพม่า สอนการปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐาน
    ครูบาเจ้ามนตรี ธมฺมเมธี วัดพระธาตุสุโทน จ.แพร่ มีเมตตาสอนธรรมะ
    หลวงปู่ขาว พุทธรักขิตโต วัดป่าคูณคำวิปัสสนา จ.สกลนคร มีเมตตาถ่ายทอดความรู้ในการปฏิบัติภาวนา และคาถาอาคมต่างๆ จนหมดซึ่งท่านหลวงปู่ขาวบอกว่า "หมดแล้ว"
    หลวงปู่ดำ เขมโร วัดพระบาทเขาหินซ้อน จ.ฉะเชิงเทรา สอนการอธิษฐานจิตภาวนาให้สำเร็จ
    ครูบาแสงหล้า ประเทศสหภาพพม่า
    ครูบาเหนือชัย โฆสิโต (ขี่ม้าบิณฑบาตร) วัดถ้ำป่าอาชาทอง จ.เชียงราย


    คำพยากรณ์จากครูบาอาจารย์

    ขณะที่ศึกษาปฏิบัติธรรมกับพ่อแม่ครูบาอาจารย์ต่าง ๆ สามเณรเจ้าหน่อแก้วฟ้าก็ได้รับความอนุเคราะห์เมตตาสั่งสอน อบรมธรรม วิธีการปฏิบัติกัมมัฎฐานแต่ละรูปแบบ และถูกทดสอบภูมิธรรมมาเรื่อย ๆ นอกจากนั้นแล้วพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่มีญาณบารมีธรรมสูงได้กล่าวทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าให้สามเณรเจ้าหน่อแก้วฟ้าตรงกัน ๕ รูป คือ หลวงปู่ดาบส สุมโน หลวงปู่โง่น โสรโย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี หลวงปู่ฤาษีลิง และครูบาเจ้าดวงดี สุภัทโท ไว้ว่า "สามเณรเจ้าหน่อแก้วฟ้านี้ หากแม้นว่าไม่ต่ออายุไว้ในพระพุทธศาสนาแล้ว ก็จักมีอายุในธาตุขันธ์ (กายเนื้อ) จวบจนอายุได้ ๓๕ ปีก็ละจะสังขาร เพราะว่าเป็นชาติสุดท้ายของท่านแล้ว แต่สำหรับสานุศิษย์ที่ต้องการพึ่งบุญบารมีและเคารพศรัทธาในวัตรปฏิบัติของท่านแล้วไซร้ ก็จงอาราธนานิมนต์ให้ท่านอยู่ได้ปีต่อปี โดยให้จัดทำกฐินอานิสงส์ให้ท่านคิดเป็นเงินกหาปนะ ๒ กหาปนะครึ่ง (คิดเป็นเงินปัจจุบันประมาณ ๓๙๙ บาท) ต่อการต่ออายุ ๑ วัน ผู้ใดทำบุญต่ออายุให้ท่านได้แต่ละปีนั้น จักได้อานิสงส์อันยิ่งใหญ่ จะมีความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน การเงิน มีอายุมั่นยืนยาว สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ แคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งปวง มีความสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีไม่อดกลั้นอดอยาก"

    แต่ก็มีอีกวิธีหนึ่งก็คือสามเณรเจ้าหน่อแก้วฟ้าจะต้อง "เข้ากรรม" (ศิษย์มักจะเรียกว่า "นิโรธกรรม") ถือว่าเป็นการต่ออายุธาตุขันธ์ และเป็นการต่ออายุให้พระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป เพราะสามเณรเจ้าหน่อแก้วฟ้านั้น เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นตัวแทนของพุทธบริษัทที่จะต้องพัฒนาและนำพาพระพุทธศาสนาที่เริ่มต้นจากรากหญ้าให้เป็นรากแก้วที่แข็งแกร่ง เผยแพร่พระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองด้วยศาสนสถาน ศาสนวัตถุ ศาสนบุคคล ศาสนพิธี และศาสนธรรม เป็นหลักชัยของชาวพุทธผู้มีปัญญา ให้มีขวัญมีกำลังใจในการประพฤติปฏิบัติธรรมตามแนวของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาดีแล้วตั้งแต่ในอดีต ให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองคู่กับประเทศไทยและโลกทั้ง ๓ หรือหมื่นโลกธาตุตลอดกาลนาน

    บารมีธรรมบังเกิด

    จากความรู้ที่ครูบาอาจารย์เจ้าเมตตาสั่งสอนและชี้แนะมานี้ทำให้สามเณรเจ้าหน่อแก้วฟ้าสามารถปฏิบัติธรรมได้ในระดับที่ดีขึ้นตามลำดับและสามารถฝ่าฟันอุปสรรคในการปฏิบัติธรรมได้อย่างง่ายดาย ทำให้ท่านสามารถเริ่มสร้างบารมีธรรมตั้งแต่เป็นสามเณรน้อย ตามคำบอกเล่าของชาวบ้านหลายต่อหลายคนที่พบปาฏิหาริย์ เช่น เรื่องการย่นระยะทาง ซึ่งหากเป็นการเดินทางไปจังหวัดเชียงรายโดยทั่วไปแล้วจากพะเยา-เชียงราย วิ่งรถปกติจะใช้เวลาประมาณ ๒ ชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงตัวเมืองเชียงราย มีอยู่วันหนึ่งออกจากพะเยาสายไปหน่อยเวลาประมาณ ๐๘.๐๐ น. ต้องรีบไปงานมงคลที่ตัวเมืองเชียงราย ขณะนั้นเมื่อถึงทางตรงบริเวณ อ.แม่ใจ สามเณรเจ้าหน่อแก้วฟ้าก็บอกให้โชว์เฟอร์ขับรถช้าหน่อยแล้วหลับตาสักครู่ปรากฏว่า สร้างความแปลกประหลาดใจให้โชว์เฟอร์ยิ่งนักเพราะรถนั้นวิ่งมาถึงบริเวณห้าแยกพ่อขุนได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งถือว่าใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงกว่าทันเวลาที่ทำพิธีมงคลที่บ้านญาติธรรม จ.เชียงราย

    นอกจากนั้นแล้วเมื่อคราวสามเณรเจ้าหน่อแก้วฟ้าอายุ ๑๕ ปี เคยอธิษฐานจิตอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุให้เสด็จต่อหน้าสาธุชนเกือบร้อยคน ณ วัดเก่ากลางทุ่งนา สร้างปรากฏการณ์มหัศจรรย์ให้แก่ผู้พบเห็น และมีคนพบเห็นบ่อยครั้งกับการที่สามเณรเจ้าหน่อแก้วฟ้าไปไหนมาไหนรวดเร็วมาก เช่นการเดินจากที่หนึ่งไปสู่ที่หนึ่งได้เร็วเกินกว่าคนธรรมดาทั่วไปจะทำได้ จนชาวบ้านลือว่าสามเณรเจ้าหน่อแก้วฟ้าล่องหนได้ นอกจากนั้นแล้วสามเณรเจ้าหน่อแก้วฟ้ายังเคยทักเกี่ยวกับเรื่องลางสังหรณ์ได้อย่างแม่นยำ เช่น บอกว่าอีกไม่กี่นาทีรถจะชนคนนั้นคนนี้ก็เป็นจริงตามนั้น เรื่องการบิณฑบาตรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเพราะมีคนหลายคนเห็นว่าท่านบิณฑบาตพร้อม ๆ กันหลายที่คล้ายกับแยกร่างได้ แต่หากมีคนถามว่าท่านใช้ฤทธิ์หรือแยกร่างได้ใช่ไหม สามเณรเจ้าหน่อแก้วฟ้าก็จะตอบบ่ายเบี่ยงว่า “เข้าใจผิดมั้ง ถ้าแยกร่างได้จริงเราจะแยกร่างสร้างวัดช่วยกันหิ้วปูนสร้างวัดให้เสร็จละสิแล้วหัวเราะ” มีคนเห็นท่านเวลาอยู่ในวัดหรือเดินทางไปไหนเดี๋ยวก็หนุ่มเดี๋ยวก็แก่ สร้างความแปลกประหลาดใจยิ่งนัก มักมีคนมาถามว่าหลวงตาแก่ ๆ เมื่อกี้ไปไหนเสียล่ะ สามเณรเจ้าหน่อแก้วฟ้าก็จะตอบว่า “หลวงตาหรือ อ้อไปแล้ว”

    การทำพิธีกรรมล้านนาต่าง ๆ ของสามเณรเจ้าหน่อแก้วฟ้า เช่น เสริมสิริมงคล พลิกฟ้า พลิกแผ่นดิน ยันต์ดวงตาลปัตร พลิกดวง เสริมบารมี บูชาเทียน ๙ หน้า ๙ บารมี เทียนหนุนดวง ค้ำชะตา ให้กับพ่อค้าแม่ขาย นักธุรกิจ นักการเมือง ประชาชน ทหาร ตำรวจ ถ้าไม่ติดขัดกับวิบากกรรมเก่าของเขาเองก็จะสำเร็จตามนั้น จนเป็นที่กล่าวขาน แต่หากมีใครมาถามว่าวัตถุมงคลหรือยันต์ของสามเณรเจ้าหน่อแก้วฟ้าดีจริงหรือ สามเณรเจ้าหน่อแก้วฟ้าก็ตอบว่า "แล้วแต่บุญบารมีและศีลของแต่ละบุคคลห้ามงมงาย ถ้าทำดีก็ดี มีศีลพร้อมปฏิบัติตามหลักธรรมก็ย่อมได้ดีแน่นอน" สามเณรเจ้าหน่อแก้วฟ้ามักจะพูดหลีกเลี่ยงแบบนี้เสมอและมักจะเก็บตัว ไม่ค่อยอยากจะให้ใครมาหามากมายเพราะไม่มีเวลาได้ ปฏิบัติธรรมในสมัยนั้น

    ออกธุดงค์ครั้งแรก

    หลังจากนั้นก็ขอลาบิดามารดาออกธุดงค์เพียงลำพังรูปเดียว แต่ปรากฏว่าทางบิดามารดาและญาติไม่ยอม สามเณรเจ้าหน่อแก้วฟ้าเลยตัดสินใจหนีออกธุดงค์ตั้งแต่เป็นเณรอายุ ๑๖ ปี ธุดงค์ตั้งแต่พะเยา เชียงราย เมืองแพร่ เมืองน่าน แล้วก็หลงทางป่าเพราะยังไม่ชำนาญเส้นทาง แต่ก็ได้พบเจอครูบาอาจารย์สายวิปัสสนาหลายรูปไม่ว่าจะเป็นรูปที่ยังดำรงขันธ์หรือดับขันธ์ไปแล้ว ตลอดจจนสิงสาราสัตว์ต่าง ๆ เช่น ช้าง ผีพราย เปรต คนธรรม์ พญานาค ยักษ์ ชาวบังบด แม้กระทั่งหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ฯลฯ ก็เจอมาหมดแล้ว ไม่มีอะไรฉันบางครั้งก็ต้องฉัน ใบไม้แทน บางครั้งเทวดาสงสารก็ลงมาใส่บาตรบ้าง เดินทางด้วยเท้าเปล่าไปเรื่อย ๆ จนไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน มีอยู่วันหนึ่งเป็นไข้มาลาเรียอ่อนแรงมาก ตั้งสติกำหนดไปแล้วเจอทางออกสู่ถนนใหญ่บริเวณข้างป่า รอรถคันไหนก็ไม่มีที่จะผ่านมามีแต่ช้างเป็นฝูงจำนวนหลายเชือกเดินผ่านแทบจะหมดสติ สามเณรเจ้าหน่อแก้วฟ้าจึงอธิษฐานไว้ในใจว่า “กรรมใดหนอที่ทำให้ข้าพเจ้ามาตกที่นั่งลำบากเช่นนี้ แม้กระทั่งคนหรือรถยานพาหนะก็ยังไม่ ปรากฏมี หากแม้นว่าใครมีบุญบารมีอันยิ่งใหญ่ร่วมกันในอดีตชาติเคยเกื้อหนุนกันมาก่อน ที่เคยเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีร่ำรวยเงินทองมาจากอดีตชาติ ก็ขอให้มาพบเจอข้าพเจ้าแล้วพาข้าพเจ้าไปรักษาตัว รักษาธาตุขันธ์เพื่อให้กลับมาใช้ธาตุขันธ์นี้บำเพ็ญความดีบำเพ็ญบารมีในชาติสุดท้ายนี้ เพราะเราต้องเจอผู้อุปการะคุณผู้มีบุญเหล่านั้นเรื่อย ๆ ไป ผู้ใดให้ทรัพย์ เงินทอง และยานพาหนะแก่เราแล้ว เราจะนำไป สร้างประโยชน์คุณความดีบารมีอันยิ่งในชาติสุดท้ายนี้ ก็ขออานิสงส์บุญกุศลเก่าที่สั่งสมมาจงเกื้อหนุนให้เขาเหล่านั้นที่ค้ำชูข้าพเจ้าด้วยเงินทองในการสร้างวัดศาสนา ก็ขอให้เขารุ่งเรือง ร่ำรวย ร้อยเท่าพันทวีคูณ มีบารมีแคล้วคลาดปลอดภัยจากโรคภัยทั้งปวง มีความสุขตลอดกาลเทอญ”

    พลันขณะนั้นก็มีรถอีแต๋นคันเก่า ๆ คันหนึ่งซึ่งหาบอ้อยผ่านทางนี้พอดีก็อดสงสารสามเณรเจ้าหน่อแก้วฟ้าไม่ได้ เลยนำส่งโรงพยาบาลสุราษฏร์ธานีแล้วติดต่อกลับมาหาญาติที่พะเยา ญาติก็เลยนิมนต์สามเณรเจ้าหน่อแก้วฟ้ากลับมาที่พะเยา ภายหลังทราบข่าวว่าผู้ที่นำส่งสามเณรเจ้าหน่อแก้วฟ้ามาส่งที่โรงพยาบาลนั้นคือนายนิยะ มาโต๊ะ ถูกหวยรางวัลที่ ๑ จำนวน ๘ ใบ รวยเป็นเศรษฐี และมีความตั้งใจตามหาสามเณรเจ้าหน่อแก้วฟ้ามาโดยตลอด เมื่อได้พบกันแล้วนายนิยะ มาโต๊ะได้นำรถยนต์คันใหม่มาถวายสามเณรเจ้าหน่อแก้วฟ้า แต่สามเณรเจ้าหน่อแก้วฟ้ารับมอบแล้วก็มอบให้โรงพยาบาลไว้ใช้เป็นสมบัติของราชการ ต่อมาก็ทราบข่าวอีกว่ากิจการงานของนายนิยะ มาโต๊ะ ก็เจริญรุ่งเรือง ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีอีกคนหนึ่ง

    หลังจากสามเณรเจ้าหน่อแก้วฟ้ากลับจากธุดงค์แล้วใช้เวลาหลายเดือนพอสมควร ตอนนั้นอายุได้ ๑๗ ปี ผู้เป็นบิดาได้มอบสมบัติชิ้นสุดท้ายให้แก่สามเณรเจ้าหน่อแก้วฟ้าคือ หลวงพ่อโสธร ทองเหลือง ปี ๒๕๐๐ ให้ไว้กับตัวแทนผู้เป็นบิดาเพราะผู้เป็นบิดาจะอยู่ไม่ได้แล้วเป็นโรคน้ำท่วมปอดและมะเร็ง ปอด ผู้เป็นบิดาได้ขอร้องให้สามเณรเจ้าหน่อแก้วฟ้างดธุดงค์ ขอให้อยู่กับแม่และเรียนหนังสือต่อ ฝ่ายผู้เป็นมารดาก็ขอร้องเช่นกันและแล้วก็เกิดการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่เพราะผู้เป็นบิดาคือนายหน้อยแหน้น ใจลา ได้เสียชีวิตด้วยโรคน้ำท่วมปอดและมะเร็งปอดด้วยวัย ๕๐ ปี ในวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๓๗ สร้างความโศกเศร้าเสียใจให้แก่ทุกคนในครอบครัวและญาติทุกคนเป็นอย่างยิ่ง

    รับนิมนต์มาวัดเกษศรี

    ต่อจวบจนอายุครบอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ตรงกับวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๓๘ โดยมีครูบาสงบ วัดต๊ำน้ำล้อม เจ้าคณะตำบลบ้านต๊ำ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์อิ่นแก้ว รตนปญฺโญ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์บุญแทน กิตติปญฺโญ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ หลังจากอุปสมบทแล้วครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้าก็ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนและยึดถือการปฏิบัติธรรมโดยไม่ย่อหย่อน นอกจากนั้นครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้ายังได้ปฏิบัติศาสนกิจทางพระพุทธศาสนา บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม เผยแผ่ธรรมะของพระพุทธเจ้า สอนพระปริยัติธรรม และรับใช้ครูบาอาจารย์มาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๐ สาธุชนชาวบ้าน บ้านร้องและบ้านสีเสียด ทั้ง ๒ หมู่บ้านได้ขออาราธนานิมนต์ครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้ามาจำพรรษาและรักษาการเจ้าอาวาส ณ วัดเกษศรี (บ้านร้อง) โดยครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้าได้รับนิมนต์มาเพื่อร่วมสร้างป๋าระมี (บารมี) ตามแบบครูบาเจ้าศรีวิชัย เนื่องจากว่าในอดีตวัดเกษศรีเป็นวัดเก่าแก่ที่ชำรุดทรุดโทรมขาดการบูรณะมาช้านาน ถือว่าเป็นหน้าที่หลักของครูบาหน่อแก้วฟ้าที่จะต้องมาร่วมสร้างบารมีกับนักบุญร่วมชาติก่อนปางหลัง

    เมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๑ ถึง วันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๒ ที่ผ่านมา เป็นช่วงสิ้นปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า จึงได้ตัดสินใจเข้ากรรม (นิโรธกรรม) แบบแพลอยน้ำ มีกระต๊อบบนแพ ๑ หลัง กว้างยาวเมตรครึ่ง นั่งภาวนาอยู่ที่เดียวบนแพลอยน้ำ โดยเป็นการบำเพ็ญอุกฤษฎ์ ๙ อย่างคือ
    ๑. งดฉันอาหารทุกประเภท
    ๒. งดฉันน้ำทุกประเภท
    ๓. งดถ่ายหนัก (อุจจาระ)
    ๔. งดถ่ายเบา (ปัสสาวะ)
    ๕. งดลุกจากอาสนะ (ที่นั่ง)
    ๖. งดนอนหลับ ทั้งกลางวันและกลางคืน
    ๗. งดพูดจาด้วยการปิดวาจา
    ๘. อยู่ลำพังบนแพลอยกลางน้ำ
    ๙. ปฏิบัติกรรมฐานอย่างเดียว

    เพื่อเอาอานิสงส์นี้ถือเป็นการแก้เคราะห์กรรมเก่าให้เหล่าสาธุชนทั้งหลาย เปิดทรัพย์เปิดโชคชัย บารมีสุขให้สาธุชน ทั้งหลายมีความสุข ความเจริญ รุ่งเรือง ร่ำรวย แคล้วคลาดปลอดภัยจากภัยอันตรายใด ๆ อายุมั่นขวัญยืน ค้ำชูพระพุทธศาสนาให้เจริญ รุ่งเรืองยิ่ง ๆ ขึ้นไป ก็มีสาธุชนทั้งหลายมาจากทั่วสารทิศ ที่มาชมบารมีครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า และขอพรจากท่านครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า ทำให้ ท่านสาธุชนเหล่านั้นมีโชคมีชัย รวยและปลอดภัยจากโรคภัยกันถ้วนหน้า

    หลักชัยของพุทธศานิกชน

    เมื่อก่อนคนทั้งหลายก็ยังไม่มีความเชื่อมั่นในตัวครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า เพราะว่าเป็นหนุ่มตนน้อย หน้าตายังเป็นละอ่อนอยู่ ไม่น่าจะมีความสามารถอะไร จนบางคนวิพากษ์วิจารณ์ดูหมิ่น ดูถูก พูดจาถากถางว่าจะไปสักกี่น้ำ จะทำอะไรได้เพราะอายุยังน้อยอยู่จนเวลาผ่านไป ๕ เดือน ด้วยบารมีธรรมเก่าของครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า ก็ได้จัดตั้งกลุ่มเยาวชนคนรักษ์วัดกลองสะบัดชัยขึ้น เพื่อให้มีชัยชนะและความสำเร็จเหมือนชื่อหน่อแก้วฟ้าไจยา จนเยาวชนวัดเกษศรีมีชื่อเสียงโด่งดังข้ามจังหวัด ด้วยความสามารถและความสามัคคีของกลุ่มเยาวชนเองที่มีหลักชัยคือครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้านั่นเอง

    ปัจจุบันมีสาธุชนต่างที่ใกล้และที่ไกล ต่างบ้าน ต่างอำเภอ ต่างจังหวัด และต่างประเทศมากราบนมัสการ รวมถึงถวายปัจจัยและสิ่งของเพื่อสืบทอดพระศาสนาและเป็นการร่วมบุญบารมีกับครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้าอย่างไม่ขาดสาย ทำให้ในแต่ละวันครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้าแทบไม่มีเวลาพักผ่อน ด้วยเหตุที่ครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้าเป็นผู้เจริญในเมตตาและบารมีธรรม จึงปรารถนาที่จะโปรดและให้ความช่วยเหลือแก่สรรพสัตว์ทั้งหลายไม่ว่าจะยากดีมีจน เป็นใคร มาจากไหน หากเขาเหล่านั้นเป็นผู้ตกทุกข์ได้ยากและมีความตั้งใจที่จะขอบารมีจากท่าน ครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้าก็จะโปรดให้ความอนุเคราะห์อย่างไม่เลือกชนชั้นวรรณะ โดยไม่เห็นแก่ลาภสักการะที่มีสาธุชนนำมาถวายให้แต่อย่างใด ครูบาเจ้ามักจะกล่าวว่า “อาตมาเองเป็นครูบาตนเดียวที่ยากจนที่สุด แต่รวยน้ำใจมากที่สุด” หมายถึงว่าท่านนำลาภสักการะต่าง ๆ เหล่านั้นที่ได้รับจากสาธุชน นำไปสืบสานพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนและเพื่อช่วยเหลือสังคมในด้านสาธารณกุศลจนเป็นที่ประจักษ์ อาทิ

    ชี้แนะคนที่ขาดกำลังใจ หรือ ที่พึ่งทางใจ ให้มีที่ปรึกษาชี้แนะที่ถูกทาง สอดคล้องตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนา เพื่อให้ทางออกที่เหมาะสมและนำไปใช้แก้ไขปัญหาชีวิตประจำวัน
    สำหรับคนที่ต้องการความสุขสงบในจิตใจสามารถมาปรึกษาสนทนาธรรมและปฏิบัติธรรมตามความสามารถในสติปัญญาของตน
    สืบสานและเผยแผ่พิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาแบบล้านนา เพื่อเป็นการรักษาประเพณีอันดีงามและเป็นการสร้างคนดีในสังคมอีกทางหนึ่ง
    นำปัจจัยสมทบการก่อสร้าง ถาวรวัตถุภายใน วัดเกษศรี ให้มีความเจริญรุ่งเรืองถือว่าเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนาวัดเกษศรีให้เจริญถาวรคู่กับบ้านเมืองภูกามยาว
    นำปัจจัยสมทบกองทุนการศึกษาพระภิกษุสามเณรภายในวัดเกษศรี ให้หมู่คณะสงฆ์และสามเณรมีความรู้และความสามารถ เพื่อเป็นกำลังสำคัญของบ้านเมืองและพระศาสนาสืบไป
    นำปัจจัยสมทบค่าภัตตาหารเช้า-เพล แด่พระภิกษุสามเณร ภายในวัดเกษศรี ให้มีกำลังกาย กำลังใจในการประพฤติวัตร ปฏิบัติธรรมตามสติกำลัง เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง
    นำปัจจัยสมทบกองทุนคณะสงฆ์ในตำบล ตำบลใกล้เคียง ในอำเภอภูกามยาว และในจังหวัดพะเยาโดยจะถวายในวันปวารณาเข้าพรรษาในแต่ละปี และใช้จ่ายในกิจการงานพระพุทธศาสนาของวัดเกษศรี
    นำปัจจัยสมทบทุนการศึกษานักเรียนที่เรียนดี แต่ยากจนในโรงเรียน ต่างๆ ในดุลพินิจ เป็นการให้โอกาสคนที่เรียนดี มีวิชาติดตัว เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง
    ๙.นำปัจจัยสมทบเพื่อการสงเคราะห์ผู้ป่วย เด็กกำพร้า คนชรา และ คนยากจน ตามชนบทต่าง ๆ ให้บรรเทาความเดือดร้อน มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

    [​IMG]
    มารบ่มี บารมีบ่เกิด
    จากความตั้งใจอย่างมุ่งมั่นและแน่วแน่ของครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้าที่ได้ทำมาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหลายปี ทำให้ผู้ที่มิจฉาทิฎิและมีอคติด้วยความไม่รู้และความเข้าใจที่ถูกต้องในวัตรปฏิบัติและปฏิปทาของครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า จึงพยายามที่หาเหตุบ้าง กล่าวร้ายบ้าง ต่าง ๆ นานา แต่ครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า ไม่เคยนำมาใส่ใจเพราะท่านถือว่า “มารบ่มี บารมีบ่เกิด หรือศัตรูคือยาชูกำลัง” ดูอย่างครูบาเจ้าศรีวิชัย (ต๋นบุญแห่งล้านนา) ก็ยังเจอปัญหามาอย่างมากมายนานับประการ แต่ท่านก็สามารถฝ่าฝันฟันได้จนสำเร็จในที่สุดแม้ว่าจะใช้ระยะเวลาอย่างยาวนาน ถือว่าเป็นการบำเพ็ญบารมีชั้นสูงที่ทำได้ยากประการหนึ่ง

    ทุกวันนี้ครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้าไจยา ได้รับการยอมรับว่าเป็นครูบาหนุ่มนักปฏิบัติธรรมและนักพัฒนา อย่างแท้จริง ที่สร้างบารมีโดยการให้ทานและมีเมตตากับคนทุกเพศทุกวัยทุกชนชั้นวรรณะไม่เลือกยากดีมีจน หรือเลือกที่รักมักที่ชัง ถ้าใครมาหาท่านพบปะสนทนาธรรมกับท่าน ท่านก็ยิ้มแย้มแจ่มใสทักทายปราศรัยกัน ถ้าไม่ติดธุระหรือการงานใด ท่านก็มีเมตตาช่วยเหลือพูดคุยแนะนำ สนทนาธรรม แลกเปลี่ยนความคิดเห็น นอกจากนั้นแล้วครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้ายังได้นำพิธีกรรมสำคัญ ๆ ต่าง ๆ ของทางล้านนาที่กำลังจะสูญหายไปมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับพิธีกรรมต่าง ๆ และหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา และยังช่วยเหลือสาธุชนทั่วไปโดยเป็นยาใจหรือธรรมะโอสถแก่สาธุชนทั้งหลายให้ตั้งจิตตั้งใจ เป็นคนดี ละความชั่ว ทำจิตใจให้ผ่องใส เชื่อมั่นในตัวเอง ขยันหมั่นเพียร มีสติ พึ่งตนเอง มีศีลห้า ทำตนให้ เป็นประโยชน์ต่อสังคม ฯลฯ นี่คือหลักในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า อันเป็นการสร้างบุญบารมีอันยิ่งใหญ่ แม้ว่าครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้าจะเกิดชาติสุดท้ายแล้วก็ตาม ก็ขอฝากความดีนี้ไว้ในโลก นำสัตว์ทั้งหลายที่มีบารมีร่วมกันข้ามพ้นโอฆวัฏฏะสงสาร แม้นว่าเขาเหล่านั้นยังไม่หลุดพ้นก็ขอ ให้เขาเหล่านั้นที่มีบารมีกระทำร่วมกับครูบาเจ้า ขอให้มีความสุข ความเจริญ ความรุ่งเรือง ความร่ำรวย เป็นเจ้าคนนายคน มีรถมียาน พาหนะ มีความสะดวกคล่องแคล่วในการงาน การค้าการขาย แคล้วคลาดปลอดภัยจากโรคภัย ไข้เจ็บ มีอายุมั่นขวัญยืน ความไม่มี ความไม่ได้ ขออย่าให้เกิดกับคนทั้งหลายที่บำเพ็ญบารมีมาร่วมกับครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า ขอให้เขาเหล่านั้นพบพระพุทธศาสนาทุกชาติ ทุก ๆ ภพ ด้วยเทอญ

    ที่มา : ประวัติครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า (พระเจษฎา โชติปญฺโญ)

    Facebook : ลานธรรมฯ ครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า
     
  4. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,559
    [​IMG]

    รายการที่ 4. ผ้ายันต์บรมครู ครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า บูชาที่ 350 บาท (ราคาบูชาที่ลานธรรมฯ ในปัจจุบันคือที่ 399 บาท) ปิดรายการให้คุณลุงจิ๋วครับ

    พิธีกรรม

    จัดสร้างปี 2551 และได้นำให้พระครูบาอธิษฐานในการเข้านิโรธกรรมพระครูบาครั้งที่ 3-6 จัดเป็นวัตถุมงคลที่พระครูบาอธิษฐานจิตให้มากที่สุด

    ประวัติความเป็นมา

    เมื่อปี 2551 ผม(เจ้าของเวบลานธรรมฯ) ได้มีโอกาสพบพระครูบาที่วัดเกษศรีซึ่งเป็นการพบปะกันครั้งแรกตามนิมิตของ คุณน้าท่านหนึ่ง ซึ่งขณะนั้นท่านรับนิมนต์สาธุชาวบ้านบ้านร้องนำโดยพ่อใหญ่และคณะศรัทธาให้ ช่วยบูรณะวัดเกษศรี ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่คู่กับพื้นที่แต่เสนาสนะต่าง ๆ นั้นเสื่อมโทรมเป็นจำนวนมาก และการพบกันคราวนั้นก็นำมาซึ่งกำลังศรัทธาของผมและหมู่คณะที่ช่วยเหลือ กิจการงานพระครูบาเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

    โดยตัวยันต์ครูนี้พระครูบาท่านเล่าให้ผม ฟังว่า ท่านได้มาจากนิมิตจากการเข้านิโรธสมาบัติ (การเข้ากรรม) ครั้งที่ 3 ณ วัดสระหงษ์ อ.เมือง จ.ชัยภูมิ ตัวท่านได้จดจำอย่างแม่นยำ ซึ่งหลังจากการออกนิโรธกรรมในคราวนั้น ผมได้นำเรื่องนี้ไปเล่าให้คณะศรัทธาของผมนำโดยคุณพิสิษฐ์ โพธิ์นทีไทและคณะศรัทธาได้ทราบถึงเรื่องนี้ ซึ่งทุกคนมีความปิติและศรัทธา จึงให้ผมช่วยประสานพระครูบาถอดรูปแบบยันต์ออกมาเพื่อทำเป็นผ้ายันต์ถวายเป็นการส่วนตัว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กันยายน 2015
  5. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,559
    [​IMG]

    ประสบการณ์จริงตอน “18ล้อ เฉี่ยว!!!”

    คุณน้ากว้าง ภูนอก บ้านเลขที่ 41 หมู่ 4 ต.หนองมะนาว บ้านโจด อ.คง จ.นครราชสีมา เล่าถึงประสบการณ์รอดตายอย่างอัศจรรย์ของคุณพรรณี วิเศษโวหาร (หลานสาว) จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ว่า ในวันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม 2557 ประมาณ 11.00น. คุณพรรณีได้ขับรถยนต์ส่วนตัวไปส่งพี่สาวที่ บขส. ขากลับขับเลยจอหอมาได้ระยะหนึ่งซึ่งเวลานั้นขับอยู่เลนส์ขวา ขณะนั้นคุณพรรณีได้ยินเสียงรถชนกันดั่งสนั่นแต่มองไม่เห็นตัวรถและไม่คาดคิดว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นกับตัวเองในเวลานี้ เมื่อเสียงรถที่ดังเมื่อสักครู่คือเสียงของรถบรรทุกน้ำมัน18ล้อที่ชนเข้ากับรถปิกอัพคันหนึ่งที่คาดว่าน่าจะอยู่ไหล่ทางบริเวณใกล้ๆกัน รถน้ำมันได้หักหลบรถปิกอัพคันนั้นมาเลนส์ขวาและชนเข้าที่ล้อหลังด้านซ้ายรถคุณพรรณี โชคดีที่คนขับรถน้ำมันได้หักหลบเบี่ยงมาจึงทำให้ไม่ชนจังเข้ากลางคันไม่เช่นนั้นก็ไม่ทราบว่าอะไรจะเกิดขึ้น(หวาดเสียว) เมื่อคุณพรรณีได้สติจึงค่อยประคองรถขับมาจอดที่ไหล่ทางด้านซ้ายเพื่อดูเหตุการณ์ สำรวจตามร่างกายไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย ส่วนรถมีรอยยุบเล็กน้อยตรงบริเวณช่องเติมน้ำมัน แต่รถปิกอัพคันแรกที่ถูกชนนั้นห้องโดยสารยุบย่นมาถึงเบาะหน้าได้รับความเสียหายมาก

    อุบัติเหตุในครั้งนี้ย้ำเตือนใจให้ไม่ประมาทในชีวิต โดยส่วนตัวคุณพรรณีเป็นคนใจบุญมักทำบุญบ่อยๆตามวัดใกล้บ้าน เนื่องจากภาระการงานทางโลกแม้ไม่ค่อยมีเวลาแต่เมื่อทราบข่าวบุญก็ได้ฝากปัจจัยมาร่วมทำบุญอยู่เสมอๆ และยังได้ติดวัตถุมงคลของลานธรรมฯ ไว้ในรถ อาทิ ฝ้ายแดง สาลิกาเรียกทรัพย์ฯ และด้วยความศรัทธาในพระรัตนตรัยเป็นทุนเดิม รวมถึงบุญกุศลที่คุณพรรณีได้สั่งสมมา และยังไม่ถึงแก่อายุขัย มาประกอบกันจึงน่าจะเป็นเหตุทำให้ผ่านพ้นเรื่องราวร้ายๆที่อาจถึงแก่ชีวิตในครั้งนี้มาได้.... สาธุอนุโมทามิ

    ที่มา : ประสบการณ์จริงตอน “18ล้อ เฉี่ยว!!!”
     
  6. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,559
    [​IMG]

    ถ่ายทอดประสบการณ์จริง เรื่อง "ด้วยจิตศรัทธา"

    คุณณรงค์ บุญจันทร์ และครอบครัว อยู่บ้านเลขที่ ๒๔๒ ม.๔ บ้านห้วยเจริญราษฎร์ ต.บ้านห้วยเจริญราษฎร์ อ.แม่ใจ จ.พะเยา เปิดกิจการขายแคนตาลูปและผลไม้ตามฤดูกาล (ถ้าวิ่งรถมาจากเชียงราย เข้าสู่เขต อ.แม่ใจ แล้วเลยสะพานลอยแรก แล้วมองไปด้านซ้ายเจอร้านพอดี) อีกหนึ่งในครอบครัวผู้ใจบุญที่ได้สัมผัสกับบารมีธรรมแห่งองค์พระครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า คุณณรงค์ได้ถ่ายทอดเรื่องราวแห่งอานุภาพบุญในครั้งนี้ไว้ว่า เมื่อประมาณปลายปี ๒๕๕๖ ขณะที่สมาชิกทุกคนในครอบครัวต่างทำธุระกันอยู่ในบ้านซึ่งปลูกห่างถัดจากร้านที่ติดถนนออกไปไม่มาก ในช่วงหัวค่ำคุณณรงค์ได้นั่งขายของอยู่ที่หน้าร้านในตำแหน่งใกล้กับป้ายชื่อร้าน”แจ่มจันทร์”ซึ่งยึดติดไว้กับต้นไม้ใหญ่หน้าร้าน อยู่ๆก็มีรถเก๋งคันหนึ่งวิ่งเข้ามาพุ่งชนเข้ากับต้นไม้ใกล้ๆกับบริเวณที่คุณณรงค์นั่งอยู่พอดี ก่อนที่รถคันนั้นจะพุ่งกระเด็นออกไปนอกร้าน(สอบถามได้ความว่า มีรถอีกคันวิ่งเข้ามาตัดหน้ารถเก๋งเลยหักหลบมาชนเข้ากับต้นไม้หน้าร้าน) ตอนนั้นคุณณรงค์เล่าว่าตกใจมาก ทำอะไรไม่ถูกเลย คิดว่าคงไม่รอดแน่ๆ เมื่อครั้งที่มีโอกาสได้ติดตามองค์ครูบาพ่อและคณะศิษย์ไปที่ร้านแจ่มจันทร์ อ.แม่ใจ จ.พะเยา จึงทราบว่า ครอบครัวคุณณรงค์นั้นมีจิตศรัทธาอย่างแรงกล้า ที่ร้านได้แขวนภาพองค์ครูบาเจ้าไว้ที่หน้าร้าน นอกจากนี้แล้วก่อนที่คุณณรงค์จะออกจากบ้านในทุกครั้งก็ไม่ลืมที่จะกราบไหว้ระลึกถึงองค์ครูบาเจ้าที่หน้ารูปบูชา อาราธนาขอบารมีท่านคุ้มครอง และได้สวมแหวน ลูกปะคำ กำไลมือ ที่ครูบาพ่อเมตตาสวมให้ด้วยตนเองติดตัวไว้ตลอดเวลาเพื่อเสริมสร้างขวัญกำลังใจในการประกอบอาชีพดำเนินกิจการในทุกวัน นอกจากนี้แล้วครอบครัวท่านก็ไม่เคยพลาดงานบุญสำคัญของทางลานธรรม แม้จะอยู่ไกลถึง จ.พะเยา ก็ยังมีศรัทธาจัดรถพาคนมาร่วมงานบุญโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเสมอๆในทุกงานบุญใหญ่ สาธุ...
    คุณณรงค์และครอบครัวมีความเชื่อส่วนตัวว่า ที่ตนเองผ่านพ้นเหตุการณ์ในครั้งนี้มาได้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ บารมีธรรมแห่งองค์พระครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้าที่ปกปักคุ้มครองให้ตนแคล้วคลาดปลอดภัย และบุญกุศลที่ตนและครอบครัวได้ทำมา ครูบาพ่อเคยกล่าวไว้ว่า เมื่อเรามีความเคารพศรัทธาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อในบารมีธรรมของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ และด้วยบุญบารมีของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ พระรัตนตรัยและบุญของเราเองนั้น ประกอบกับเมื่อยังไม่ถึงแก่อายุขัย อำนาจพุทธคุณในวัตถุมงคลนั้นๆ ย่อมคุ้มครองปกปักรักษาผู้ประพฤติธรรมให้แคล้วคลาดรอดพ้นจากภัยอันตรายและอุปสรรคต่างๆทั้งหลายไปได้

    ที่มา : ถ่ายทอดประสบการณ์จริง เรื่อง "ด้วยจิตศรัทธา"
     
  7. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,559
    [​IMG]

    คุณวันชัย เหล่านพคุณดีเยี่ยม ภูมิลำเนาเดิมเป็นชาวกทม. ปัจจุบันย้ายมาตั้งถิ่นฐานประกอบอาชีพค้าขายอยู่ที่ อ.พิมาย บ้านเลขที่ 176 หมู่3 บ้านท่าแดง ต.สัมฤทธิ์ อ.พิมาย จ.นครราชสีมา ได้เล่าถึงอานุภาพผ้ายันต์บรมครูที่ได้บูชามา เมื่อครั้งที่องค์พระครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้าเมตตาเดินทางมาสวดเสริมบารมีสะเดาะเคราะห์สืบชะตาให้กับญาติโยมชาวพิมาย คุณวันชัยเล่าว่านับตั้งแต่ได้ผ้ายันต์บรมครูมาบูชาที่ร้าน รู้สึกได้ว่ากิจการการค้านั้นดีขึ้นอย่างมาก มีความเชื่อว่าน่าจะเกิดจากที่องค์พระครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้าท่านได้อธิษฐานบารมีพลังพุทธคุณบรรจุลงในผ้ายันต์บรมครูผืนนี้ จึงเกิดความปลื้มปีติใจและอนุญาตให้นำประสบการณ์นี้มาแบ่งปันให้กับญาติธรรมที่มีความศรัทธาในองค์พระครูบาเจ้าได้ร่วมอนุโมทนา

    องค์พระครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้าท่านเคยกล่าวไว้ว่าเมื่อได้บูชาวัตถุมงคลไปแล้ว ให้ทำใจเราให้เป็นมงคลด้วยพลังจึงจะช่วยหนุนส่งเสริมกัน แต่ถ้าใจลูกหลานญาติโยมไม่เป็นมงคลแล้ว ต่อให้วัตถุมงคลนั้นจะศักดิ์สิทธิ์ขนาดไหนก็ตาม ก็ไม่อาจช่วยอะไรเราได้ เพราะฉะนั้นต้องรักษาใจเราให้เป็นมงคลไว้เสมอ

    ที่มา : http://www.larndhamkruba.net/index.php?mo=5&page=7&qid=738765&limit_comment=20
     
  8. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,559
    [​IMG]

    รายการที่ 5. พระสมเด็จลอยฟ้า ครูบาเหนือชัย บูชาที่ 400 บาท (ใน 1 ถุงมี 3 องค์ ที่เวบอื่นแค่องค์เดียวก็ให้เช่าบูชาที่ 500 บาท รายการนี้สุดคุ้มครับ)

    พระสมเด็จลอยฟ้าพระครูบาเหนือชัย เล่าว่าได้นิมิตจากครูบาอาจารย์หลายองค์จึงมาสร้างองค์พระสมเด็จลอยฟ้า ได้ลักษณะกลมจากลูกแก้วหลวงปู่สด องค์พระได้มาจากองค์สมเด็จพุฒจารโต เก้ายอดสองข้างได้มาจากหลวงพ่อปาน ผึ้งน้อยได้มาจากครูผึ้ง(ครูคาถาเงินล้าน) คำว่า "สัมมาอะระหังสตางค์มา" ได้มาจากหลวงปู่แหวน (หลวงปู่แหวนบอกว่าสัมมาอะระหังใช้ได้พันช่อง) ยันต์ข้างหลังหัวใจเศษฐี เอามาจากหลวงพ่อฤาษีลิงดำ จึงมาเป็นองค์พระสมเด็จลอยฟ้า ทำมาจากเนื้อดินในถ้ำป่าอาชาทอง ชั้นที่ ๙ มาเผาเองในบาตรพระ ใส่ส้มป่อย(ของดีล้านนาทางแก้อาถรรพย์) ดอกดาวเรือง กาฝากไม้มงคล ทุกอย่างใส่ในบาตรเผารวมกันในหลุมที่ ท่านพระครูบาได้เตรียมเอง เผาเสร็จออกมาแช่น้ำพุทธมนต์ ๗ วัน ออกผึ่งลมอีก แล้วเอาเข้าไปอธิฐานจิตในถ้ำม้าอาชาทองอีก ๙ วัน จึงเสร็จพิธี รุ่นนี้ท่านพระครูบาเหนือชัยเสกเดี่ยว

    พุทธคุณ : ใช้ได้สารพัดนึก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2015
  9. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,559
    [​IMG]

    รายการที่ 6. เหรียญเจ้าสัว 5 แผ่นดิน หลวงปู่สุภา กันตสีโล รุ่นอายุยืน 118 ปี บูชาที่ 500 บาท (ปิดรายการครับ มีท่านหนึ่งรับไปบูชาแล้วครับ)

    ลักษณะเหรียญ
    ด้านหน้า
    หน้าเหรียญเป็นรูปพระพุทธอยู่ในซุ้มกระจัง ตามแบบต้นตำรับเหรียญหล่อโบราณเหรียญเจ้าสัวหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว แต่ได้แกะแม่พิมพ์ขึ้นมาใหม่ให้สวยงามเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของหลวงปู่สุภา

    ด้านหลัง
    บนสุดเป็นยันต์นะล้อมยันต์ประจำองค์ของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่าซึ่งเป็นอาจารย์ของหลวงปู่สุภา ต่อลงมาซ้าย ขวาเป็นยันต์จะนะยันต์ประจำองค์ของหลวงปู่สุภา กลางเหรียญเป็นรูปแมงมุมชักใยดักเงินดักทองดักความเจริญรุ่งเรือง ใต้แมงมุมเขียนคำว่าเจ้าสัว ๕ แผ่นดิน ๑๑๘ ปี โดยหลวงปู่สุภาได้สื่อความหมายว่า ใครมีไว้บูชาจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองมีทรัพย์สินเงินทองตลอดไปเหมือนคำว่าเจ้าสัว ๕ แผ่นดิน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2015
  10. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,559
    [​IMG]

    รายการที่ 7. เทพสาริกา ครูบากฤษณะ วัดป่ามหาวัน รุ่นปลดหนี้ ปี 47 บูชาที่ 1,000 บาท ลดเหลือ 800 บาท (ปิดรายการให้พี่นอกเวบ)

    เทพสาริกา รุ่นปลดหนี้ ครูบากฤษณะ อินทวันโณ วัดป่ามหาวัน นครราชสีมา พิธีมหาพุทธาภิเษกใหญ่ พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง 19 รูป ปี 2547 พร้อมกล่องเดิม หายากแล้วครับ

    เทพสาริกาคู่ ครูบากฤษณะ สุดยอดเทพเจ้าแห่งสาริกา

    เมตตา มหาเสน่ห์ เจรจา ค้าขายดี

    สาริกาคู่ท่านครูบากฤษณะ อินทวัณโณ เป็นเทพสาริกาสำนักที่ดังที่สุดในประเทศไทยเลยก็ว่าได้ วัตถุมงคลของท่านเป็นที่ต้องการของทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ ทั้ง มาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน ประเทศต่างๆที่นิยมในวัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง ประสบการณ์มากมายร่ำลือกันไม่รู้จบ ของท่านครูบาใช้ดีในเรื่อง ค้าขาย เจรจา ติดต่อการงาน การเงิน เป็นมหาเสน่ห์ชั้นสูง คราวคับขันสามารถคุ้มครองผู้บูชาให้แคล้วคลาดปลอดภัยได้ เพ้นต์สีสวยมาจากสำนัก พุทธคุณครบถ้วนทุกอย่าง เคยมีคนที่มีองค์ไปกราบท่านครูบาแล้วสามารถมองเห็นอดีตชาติของท่านครูบาได้บอกว่าท่านครูบาคือเทพกฤษณะนั่นเอง ในนิมิตรยังได้คุยกันว่า "เอ็งนี่ไม่ธรรมดาสามารถรับรู้ได้ด้วยว่าข้าคือใคร" เป็นคำกล่าวของท่านครูบากฤษณะที่พูดคุยกันในนิมิตรของคนที่มีองค์คนนั้น นอกจากเทพสาริกาคู่นั้นแล้ว ท่านครูบายังสร้างเทพจำแลงภมรที่รูปแบบสวยงามคล้ายๆกับผีเสื้อรูปแบบต่างๆนาๆ สีสันต่างๆที่สวยงาม งานชั้นครูออกมาอีกด้วย และต่างก็มีประสบการณ์มากมายเล่าไม่รู้จบ ทั้งเมตตา มหาเสน่ห์ ป้องกันอันตราย แคล้วคลาดมากมาย ทำให้มีลูกศิษย์อยู่ทั่วทุกหนแห่ง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เมื่อมีงานพุทธาภิเษกใหญ่ๆจะมีชื่อท่านเข้าร่วมพิธีอยู่ด้วยเสมอครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2015
  11. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,559
    [​IMG]


    [​IMG] [​IMG]

    รายการที่ 8. เหรียญมหาเศรษฐี (เนื้อทองทิพย์) หลวงปู่พวง ฐานวโร บูชาที่ 890 บาท ลดเหลือ 850 บาท (ปิดรายการครับ)

    เหรียญมหาเศรษฐี
    เหรียญรูปใข่ ที่ห้ามมองข้าม ให้ดูเหรียญทูลเกล้าหลวงพ่อทบปี ๑๘ ให้ดีต่อไปเหรียญมหาเศรษฐีเหรียญนี้จะมีค่ามากเช่นเดียวกัน ฉนวนโลหะที่นำมาสร้างเหรียญมหาเศรษฐีมีมากมายคงไม่ต้องบรรยายเพราะเยอะจัดหลวงปู่พวงทั้งจารทั้งเสกมาเป็นปีๆทั้งลูกศิษย์หามาเพิ่ม อาทิ

    แผ่นยันต์ ๑o๘ นะปัถมัง ๑๔ ในสายหลวงพ่อทบ
    ชนวนตะกรุดโทน หลวงพ่อทบ วัดชนแดน หลวงพ่ออ้วน วัดดงขุย หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ หลวงพ่อสี วัดถ้ำเขาบุญนาค หลวงพ่อเขียน สำนักขุนเณร หลวงพ่อพิธ วัดฆะมัง หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน หลวงพ่อทิม วัดระหารไร่ หลวงปู่พวง วัดน้ำพุ
    เหรียญทูลเกล้า หลวงพ่อทบ
    เหรียญ ๙๔ หลวงพ่อทบ
    เหรียญโดดร่มหลวงพ่อทบ
    เหรียญรุ่นแรก หลวงปู่พวง
    ชนวนมวลสารเหรียญหลวงปู่ละมัย สวนป่าสมุนไพร
    ชนวนมวลสารเหรียญหลวงปู่หมุน วัดบ้านจาน
    ชนวนมวลสารเหรียญหลวงปู่กาหลง เขี้ยวแก้ว
    ชนวนมวลสารเหรียญหลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่
    ทองคำ เงิน นาค
    เขี้ยวหนุมาน
    ผงแร่เหล็กปากรูปูภูเขา (แม่เหล็กดูด)
    ผงวิเศษ สายสมเด็จลุน (พี่พรหมณี, มอบให้)
    เหล็กไหลตาน้ำ
    เหล็กไหล เพลิง (เม็ด)
    แร่บางไผ่ แร่บางม่วง
    แร่พลวงเงิน พลวงทอง
    หินเกล็ดแก้วนาคา จะมีพรายปรอท
    ปรอทเจ้าป่า ได้มาจากฝั่งเขมร (พี่พรหมณี, มอบให้)
    ปรอทเพชร ปรอทชมพูนุช หลวงปู่ละมัย
    แร่จ้าวน้ำเงิน
    พลอยพระพุทธบาท เขาคิชกุฏจันทบุรี
    เกล็ดแก้วนาคา
    ข้าวสารหิน (- ผงข้าวสารหิน )
    เพชรหน้าทั่ง
    แร่เหล็กไหล ก้อนดิบ
    ตะปูสังฆวานร มาจากอยุธยา อายุกว่า ๑oo ปี
    พระบูชานาคปรก เป็นอยุธยายุคต้น เนื้อสำริดหล่อ อายุกว่า ๕oo ปี
    พระพุทธรูปปางมารวิชัยพระปางอุ้มบาตร
    พระกริ่งหลาย คณะอาจารย์
    รูปหล่อหลาย คณะอาจารย์
    พระกริ่งคันธราช
    พระอุปคุตเขมร เนื้อสำริดเงิน
    รูปองค์หล่อเต็มองค์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ปี ๒๕๑๒
    รูปองค์หล่อ หลาย คณะอาจารย์
    พระร่วงหลังรางปืน ปี ๑๕
    พระร่วง ยุทธหัตถี สุพรรณบุรี ปี ๒๕๑๕
    พระร่วงหลังรางปืน ปี ๑๕ วัดพระธาตุดอยสุเทพ
    มีดหมอ สาย นครสวรรค์ ๒ เล่ม
    ตะกรุดเปิดฟ้า สายวัดป่า จ.อุบลราชธานี
    ลูกปืน
    แผ่นตะกรุด ยันต์เกราะเพชร ทองเหลือง
    แผ่น ยันต์ ๑o๘ แผ่น (ปลุกเสกหลายวาระ)
    แผ่น ยันต์หลายพระเกจิ ที่มีการนำมาถวาย นับได้ ๑๖๘ แผ่น
    พระสิวลีอุ้มทรัพย์
    ห่วงเหรียญพระ หลาย คณะอาจารย์
    เหรียญ ๙๙๙ พระเกจิอาจารย์

    นำมหาชนวนมาหลอมรีดจนหลวงปู่พวงพูดว่า “กูไม่เสกก็ขลังแล้ว” หลวงปู่พวงได้อัญเชิญยันต์พระเจ้าห้าพระองค์สี่ทิศ นะ โม พุท ธา ยะ เป็นยอดยันต์แห่งตำนาน ตำหรับเก่าหลวงพ่อทบชนแดน มาลงหลังเหรียญมหาเศรษฐี ขอบารมีพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ กัปน์ ที่มีอำนาจมากบารมีสูงคลุมทั่วแสนโกฏจักรวาลช่วยคุ้มครองแก่ผู้ที่มีไว้บูชา ให้ใช้ดีทุกทาง รวยทุกทิศ ไปทางใหนมีแต่มิตร ศัตรูพินาศ หลวงปู่พวงบอกว่า เหรียญนี้มีดีนอกและดีในพุทธคุณคุ้มครองครอบจักรวาลครบทุกด้าน เมตตามหานิยม แคล้วคลาดป้องกันภัย มหาเสนห์ มหาอุด ไล่ภูติผีกันเสนียดจัญไร ด้วยอำนาจพุทธานุภาพสามารถสงเคราะห์ผู้สักการะในด้านต่างๆได้ตามความปรารถนา ในนิมิตรขณะทำการปลุกเสกใหญ่ หลวงพ่อทบท่านมาด้วย ท่านบอกว่า “ เหรียญเศรษฐีมีทุกอย่างครบเครื่องแล้ว” เมื่อปี 55 เหรียญรุ่นแรกหลวงปู่พวง ประสบการณ์ไม่ต้องพูด ถึงขวานฟันไม่เข้า รวยไม่รู้ตัว เจอกันมานักต่อนักแล้ว ราคาไปไกลเป็นสิบเท่าตัว ทุกวันนี้หายากยิ่งแทบไม่ต้องไปหากันแล้ว หาไม่เจอ รอบนี้หลวงปู่พวงตั้งใจสร้างเหรียญ รุ่นที่ ๒ ให้ชื่อว่า มหาเศรษฐี ห้ามพลาดโดยเด็ดขาด!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2016
  12. ลุงจิ๋ว

    ลุงจิ๋ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2008
    โพสต์:
    897
    ค่าพลัง:
    +990
    ขอจองรายการที่ 4 ผ้ายันต์ครับ เลือกของแถมรายการที่ 2 ลูกแก้วครับ
     
  13. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,559
    25B8%252581%2525E0%2525B8%2525A5%2525E0%2525B9%252588%2525E0%2525B8%2525AD%2525E0%2525B8%2525877.jpg

    5B8%252599%2525E0%2525B8%2525AB%2525E0%2525B8%252599%2525E0%2525B9%252589%2525E0%2525B8%2525B255.jpg

    5B8%252599%2525E0%2525B8%2525AB%2525E0%2525B8%2525A5%2525E0%2525B8%2525B1%2525E0%2525B8%25258755.jpg

    รายการที่ 9. พระผงหลวงปู่ทิม วัดพระขาว รุ่นเสาร์ 5 ปี 2540 ฝังพลอยแดง บูชาที่ 2,000 บาท ลดเหลือ 1,500 บาท (ปิดรายการ)

    สุดยอดวัตถุมงคลแห่งปี พ.ศ. 2540 หลวงปู่ทิม พระครูสังวรสมณกิจ วัดพระขาว จ.พระนครศรีอยุธยา รุ่นเสาร์ 5 พ.ศ. 2540 ที่ระลึกในการสร้างอุโบสถ วัดอัมพุวราราม อ.สามโคก จ.ปทุมธานี

    หลวงปู่ทิม วัดพระขาว กระทำพิธีจุดเทียนชัย เนื่องในพิธีพุทธาภิเษก

    ปลุกเสกในวันเสาร์ที่ 26 เมษายน 2540 ตรงกับเสาร์ที่ 5 ของเดือน

    สภาพยังสวยสมบูรณ์ พร้อมกล่องเดิมๆ

    เวบอื่นแยกให้เช่าบูชาเป็นรายองค์ๆ ละ 500 บาท บางเวบก็ให้เช่าบูชาที่องค์ละ 1,500 บาท
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มกราคม 2018
  14. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,559
    [​IMG]

    ประวัติหลวงปู่ทิม อัตตสันโต วัดพระขาว "พระครูสังวรสมณกิจ"
    เมืองกรุงเก่าพระนครศรีอยุธยา มีพระเกจิอาจารย์เรืองนามอยู่ 3 รูปร่วมสมัยและเป็นสหธรรมิกกันประกอบด้วย หลวงปู่เมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา, หลวงปู่มี วัดมารวิชัย และหลวงปู่ทิม วัดพระขาว ซึ่งมีวัยวุฒิไล่เลี่ยกัน โดยเฉพาะด้านไสยเวทวิทยาคมก็เป็นเอกอุต่างกัน แต่ด้วยสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้ หลวงปู่เมี้ยน และหลวงปู่มี ละสังขารไปก่อน ภาระเจตนาบุญได้รับการสืบสานต่อโดยหลวงปู่ทิม พระเกจิอาจารย์แห่งวัดพระขาว จ.พระนครศรีอยุธยา พิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคล ล้วนแล้วแต่ต้องนิมนต์หลวงปู่ทิม เพื่อทำหน้าที่ประธานฝ่ายสงฆ์ จุดเทียนชัยหรือดับเทียนชัย แต่แล้วเมื่อช่วงเช้าวันที่ 22 มีนาคม 2552 คณะศิษย์ของหลวงปู่ทิม อัตตสันโต ต้องได้รับข่าวเศร้า เมื่อหลวงปู่ทิมหรือพระครูสังวรสมณกิจ ได้มรณภาพลงอย่างสงบ ขณะเข้ารับการรักษาอาการป่วย ณ โรงพยาบาลโรคทรวงอก อ.เมือง จ.นนทบุรี สิริอายุ 96 พรรษา 62

    ประวัติหลวงปู่ทิม วัดพระขาว
    อัตโนประวัติหลวงปู่ทิม มีนามเดิมว่า ทิม ชุ่มโชคดี เกิดวันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม 2456 ปีฉลู ที่ต.พระขาว อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายพร้อม และนางกิ่ม ชุ่มโชคดี เป็นบุตรคนที่ 5 ในจำนวนลูกทั้งหมด 6 คน
    คนแรก พี่ทอง ชุ่มโชคดี เป็นหญิง เสียชีวิตตั้งแต่เยาว์วัย
    คนที่ 2 พี่เทียบ ชุ่มโชคดี
    คนที่ 3 พี่ทัศน์ ชุ่มโชคดี เป็นผู้ใหญ่เก่า หมู่ 5 ต.พระขาว (เสียชีวิตแล้ว)
    คนที่ 4 พี่ทอด ชุ่มโชคดี
    คนที่ 5 หลวงปู่ทิม ชุ่มโชคดี มรณภาพ วันที่ 22 มีนาคม 2552
    คนที่ 6 นายสังวาลย์ ชุ่มโชคดี

    ช่วงวัยเยาว์ หลวงปู่ทิมได้ศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่วัดพิกุล จนถึงอายุ 13 ปี เมื่อจบ ป.4 จึงออกจากโรงเรียนมาช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพทำนา ก่อนจะถูกเกณฑ์เป็นทหาร ถูกส่งตัวไปปฏิบัติราชการสงครามฝรั่งเศส รวมทั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 กระทั่งปลดประจำการ หลวงปู่ทิมจึงได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2475 ณ วัดพิกุล อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมี หลวงพ่อปุ๋ย วัดขวิด เป็นพระอุปัชฌาย์, หลวงพ่อหลิ่ว วัดโพธิ์กบเจา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการหลิ่ว เจ้าอาวาสวัดพิกุล เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    แต่บวชอยู่ในบวรพระพุทธศาสนาได้เพียง 1 พรรษา ท่านได้ลาสิกขาแต่งงานมีครอบครัวและมีบุตร-ธิดา 4 คน
    หลังจากนั้น หลวงปู่ทิมท่านได้กลับมาอุปสมบทอีกครั้ง เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2491 ขณะอายุได้ 35 ปี ณ วัดพิกุล อ.บางบาล โดยมี พระครูอุดมสมาจารย์ (หลวงพ่อสังข์) วัดน้ำเต้า เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายา อัตตสันโต

    หลังอุปสมบท หลวงปู่ทิมได้อยู่จำพรรษาอยู่ที่วัดพิกุล อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา ในระหว่างที่หลวงปู่ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดพิกุลนั้นได้มีชาวบ้านนำเอาศพคนตายมาฝากไว้ในกุฏิถึง 2ศพด้วยกัน ทำให้เกิดมีแนวกรรมฐานด้วยตนเองอย่างถ่องแท้ พร้อมทั้งอาศัยหลักกรรมฐานด้วยตนเองอย่างถ่องแท้ พร้อมทั้งอาศัยหลักกรรมฐานที่ว่า สามัญในลักษณะ หมายความว่า ลักษณะที่เสมือนกันใน สังขารทั้งหลายทั้งปวง สิ่งนั้นก็คือ
    อนิจจัง ( ความไม่แน่นอนในสังขาร )
    ทุกข์ขัง (ความวุ่นวาย , ไม่สงบสุข ในสังขาร )
    อนัตตา (ความตาย , ไม่มีตัวตน )



    จากนั้นหลวงปู่ทิม ท่านได้ไปจำวัดอยู่ยังวัดน้ำเต้ากับอุปัชฌาย์ คือ หลวงพ่อสังข์ อยู่กับหลวงพ่อวัดน้ำเต้าประมาณ 1 เดือน ในระหว่างที่อยู่กับหลวงพ่อสังข์นั้น หลวงพ่อสังข์ได้ไต่ถามถึงความเป็นมาของการปฏิบัติกรรมฐานที่ผ่านๆ มาเมื่อหลวงพ่อสังข์ ทราบเรื่องแล้ว หลวงพ่อสังข์ก็กล่าวชมเชยว่า ใช้ได้ทั้งๆที่ยังไม่มีใครสอนหรือต่อให้มากอน พร้อมทั้งพูดเสริมขึ้นอีกว่า "ฉันบวชให้คุณฉันได้บุญหลาย" ต่อจากนั้น หลวงปู่ทิมก็ได้นั่งปุจฉา-วิสัชนาอยู่กับหลวงพ่อวัดน้ำเต้าอย่างใก้ลชิด และทราบซึ้งในธรรมะมาก นับว่าเป็นครั้งแรกที่หลวงปู่ท่านได้รับรู้แนวทางการเจริญธรรมกรรมฐานอย่าง จริงจังหลวงปู่ทิมมีเวลาอยู่เจริญกรรมฐานกับหลวงพ่อวัดน้ำเต้าอย่างใก้ลชิดเป็นเวลา 1 เดือนเต็ม


    ต่อมาหลวงปู่ทิมจึงย้ายมาจำพรรษายังวัดพระขาว ตั้งแต่ พ.ศ.2492 และขึ้นเป็นเจ้าอาวาส พ.ศ.2498 จวบจนปัจจุบัน
    ด้านการศึกษาพระปริยัติธรรม หลวงปู่ทิม วัดพระขาว สอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก เมื่อ พ.ศ.2500
    พ.ศ.2510 ได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าคณะตำบลน้ำเต้า ตำบลพระขาว พร้อมทั้งได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์
    พ.ศ.2512 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี ในราชทินนามที่ พระครูสังวรสมณกิจ
    พ.ศ.2520 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท ในราชทินนามเดิม

    ผลงานด้านการพัฒนา หลวงปู่ทิมท่านได้บูรณปฏิสังขรณ์สภาพของวัดที่เก่าแก่แต่เดิม ให้มั่นคงถาวรทั้งหมด
    ดังที่ได้เห็นทุกวัน ซึ่งเกิดจากบุญญาบารมีของหลวงปู่ทิม วัดพระขาวอย่างแท้จริง ซึ่งมีผลงานปรากฏดังนี้คือ หลวงปู่ทิม ปรับปรุงกุฏิทั้งหมด รวม 9 หลัง เมื่อปี พ.ศ.2499-2500 สร้างหอสวดมนต์ เมื่อปี 2501 เปลี่ยนกระเบื้องหลังคาพระอุโบสถจากกระเบื้องดินให้เป็นกระเบื้องเคลือบ ยกช่อฟ้าพระอุโบสถ ทำหน้าบันพระอุโบสถทำกำแพงรอบพระอุโบสถ ทำรั้วคอนกรีตเสริมเหล็กรอบๆ บริเวณวัดสร้างศาลาพักร้อนหน้าวัด สร้างฌาปนสถาน (เมรุเผาศพ)

    ปฏิสังขรณ์ศาลาการเปรียญ และสร้างศาลาเรียงพร้อมทั้งเปลี่ยนกระเบื้องศาลาทั้งหมด ทำห้องสุขาชาย-หญิง พร้อมห้องน้ำ สร้างถังน้ำคอนกรีตใหญ่และศาลา สร้างสะพานคอนกรีตจากกุฏิไปยังศาลาการเปรียญ เปลี่ยนกระเบื้องหลังคาพระอุโบสถ จากกระเบื้องเคลือบมาเป็นกระเบื้องลายเทพนม สร้างภาพเขียนฝาผนังในพระอุโบสถ เป็นภาพพุทธประวัติ และเรื่องราวของพระเวสสันดรชาดก หลวงปู่ทิม วัดพระขาว เป็นพระนักปฏิบัติ และชอบการปลีกวิเวกอยู่ในป่าช้า สมถะรักสันโดษ เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ไม่จับต้องปัจจัยเงินทอง มีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ มีความเมตตาต่อทุกคนที่ไปกราบไหว้โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ หรือคนรวยคนจน ท่านให้ความเสมอภาค การเข้ากราบไหว้ขอพร หลวงปู่ทิม วัดพระขาว ทุกคนมีโอกาสเหมือนกันหมด และจะได้รับแจกของดีจากมือท่านโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นพระเครื่องหรือเครื่องรางของขลัง อาทิ พระขุนแผน ปลาเงินปลาทอง ลูกอมชานหมาก ภาพถ่ายสี ขนาดพกติดตัวที่เลื่องลือกันว่ามีพุทธคุณด้านเมตตามหานิยมและโชคลาภสูง

    หลวงปู่ทิม วัดพระขาว โดดเด่นด้านวัตถุมงคลประเภทพระเครื่องและเครื่องรางของขลัง ท่านได้ศึกษาวิชาอาคมจากหลวงพ่อสังข์ พระอุปัชฌาย์, หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก, หลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ เป็นต้น จนมีความเชี่ยวชาญชำนาญในวิปัสสนากรรมฐาน และวิทยาคมต่างๆ หลวงปู่ทิม วัดพระขาวท่านมีปริศนาธรรม คำสอนอันทรงคุณค่า รวมทั้งการสร้างและเสกวัตถุมงคลจนเลื่องชื่อ เป็นที่ต้องการของนักสะสมและลูกศิษย์ลูกหา โดยเฉพาะ ลูกอมชานหมาก

    สำหรับวัตถุมงคลหลวงปู่ทิม วัดพระขาว พระกริ่ง พระขุนแผน สิงห์งาแกะหลวงปู่ทิม และเหรียญมีสร้างหลากรุ่นหลายปีมาก รุ่นที่หยิบยกมาเอ่ยถึงนี้ นับวันเริ่มหายากแล้ว พระกริ่งสร้างปี 2539 พระขุนแผนเคลือบ สร้างปี 2540 และเหรียญรูปเหมือน สร้างปี 2540 จัดสร้างถวายหลวงปู่ทิม สำหรับแจกฟรีให้กับบรรดาลูกศิษย์ลูกหา โดยนักธุรกิจใจบุญ "บุญมา บุญเลิศวณิชย์" ซึ่งขออนุญาตสร้างไว้ทั้งหมด 14 พิมพ์ด้วยกัน โดยเฉพาะ เหรียญรูปเหมือนหลวงปู่ทิม วัดพระขาว ห้วงนี้ลูกศิษย์ลูกหาสายตรงตามเก็บหมด ด้านหน้าเป็นรูปเหมือนหลวงปู่ทิมนั่งเต็มองค์ ด้านบนเขียนว่า พระครูสังวรสมณกิจ (หลวงปู่ทิม อตฺตสนฺโต) ด้านล่างเขียนว่า รุ่นแรก ส่วนด้านหลังส่วนบนเขียนว่า "แจกวันเกิดอายุ ๘๔-๑๕ ม.ค.๔๐ วัดพระขาว จ.พระนครศรีอยุธยา" ตรงกลางมียันต์ ด้านล่างเขียนว่า "รุ่นบุญรวยมา"

    ก่อนหลวงปู่ทิม วัดพระขาวท่านละสังขารยังเมตตาอธิษฐานจิตพระขุนแผนและพระนางพญา ให้วัดโล่ห์สุทธาวาส จ.อ่างทอง เปิดให้ประชาชนทั่วไปร่วมบุญบูชา เพื่อนำปัจจัยสมทบทุนสร้างอุโบสถวัดโล่ห์ฯ นอกจากนี้ ยังอธิษฐานจิตปลุกเสกวัตถุมงคลรุ่นสุดท้าย รุ่นที่ระลึกครบ 8 รอบ 96 ปี เพื่อนำรายได้บูรณะวัดพระขาว จ.พระนครศรีอยุธยา

    เครดิต : คอลัมน์ มงคลข่าวสด ที่มา...หนังสือพิมพ์ข่าวสด
     
  15. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,559
    เรื่องเล่านิดหน่อยเกี่ยวกับหลวงปู่ทิม วัดพระขาว

    สำหรับหลวงปู่ทิม วัดพระขาว อยุธยา เป็นพระเถระที่มีอายุยืนยาวถึง 96 ปี ท่านมรณภาพเมื่อปี 2552 หลวงปู่ทิม เข้าบวชเมื่อมีอายุได้ประมาณ 36 ปีโดยมีหลวงพ่อสังข์ วัดน้ำเต้า เป็นพระอุปัชฌาย์ และท่านเรียนวิชาส่วนใหญ่จากหลวงพ่อสังข์ นอกจากนี้ก็มีไปเรียนกับหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก เพราะวัดอยู่ไม่ไกลกันนัก ท่านมามีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันมากหลังปี 2530 หลังจากที่หลวงพ่อต่างๆเหล่านี้มรณภาพแล้ว ได้แก่ หลวงพ่อพรหม วัดขนอนเหนือ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก และหลวงพ่อหน่าย วัดบ้านแจ้ง นับตั้งแต่ปี 2536 ช่วงกระแสพระใหม่ ถือว่าหลวงปู่ทิม เป็นพระเกจิรุ่นใหม่ที่ได้รับความนิยมชั้นแนวหน้าของอยุธยาจนกระทั่งท่านมรณภาพเมื่อปีที่แล้ว หลวงปู่ทิม เป็นพระเถระที่น่าเคารพมากรูปหนึ่ง ท่านเป็นพระที่มีเมตตาสูง พูดไพเราะชวนฟัง ใครที่ได้เคยไปกราบคงทราบดี

    ผมได้เคยไปกราบท่านหลายครั้งตอนมีชีวิตอยู่ ในช่วงหลังปี 2536 ถ้าไปเที่ยวอยุธยา ก็จะแวะไปที่วัดท่านแบบไม่ตั้งใจ บางครั้งก็เจอหลวงปู่ แต่ส่วนใหญ่ท่านไม่ค่อยอยู่วัด มักจะมีกิจนิมนต์ข้างนอก และจะกลับมาจำวัดตอนเย็นๆเสมอ

    แน่นอนเมื่อไปถึงวัดท่าน ก็จะต้องหาเช่าวัตถุมงคลของท่านกลับบ้าน ผมจะเช่าแต่วัตถุมงคลที่มีจำหน่ายอยู่ข้างในที่ท่านพักรับแขก ผู้ดูแลจำหน่ายจะเป็นพระ ซึ่งปกติวัตถุมงคลในตู้นี้จะมีน้อย แต่มีความมั่นใจว่าเป็นของวัดหรือสร้างด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ราคาพระในตู้นี้ไม่แพง มีอยู่ครั้งหนึ่งผมได้เช่าเหรียญปรก ปี 43 ผมชอบมากครับออกได้สวยงาม ราคาถูกมากๆ ถ้าจำไม่ผิด 20 บาท ราคาวัดในตอนนั้น หลวงพี่ที่ดูแลตู้ก็ใจดีหยิบมาให้เลือกได้ตามใจชอบ ท่านยังแนะนำให้เก็บรุ่นนี้เพราะสร้างน้อย มีแต่เนื้อทองแดงอย่างเดียว เป็นพระของวัดสร้างเองแน่นอน เพราะให้เช่าแบบราคาถูกๆ ในตู้ตอนนั้นมีแต่พระรุ่นนี้ให้เช่า ผมเลยถามหลวงพี่ว่า ยังมีพระหลวงปู่ทิม รุ่นที่น่าเก็บอีกไหม ท่าน บอกว่ามีอีกรุ่นหนึ่งที่หลวงปู่ทำเป็นที่ระลึกคือเหรียญเยือนอินเดีย ออกปี 2543 แต่หลวงพี่บอกว่าหมดไปนานแล้วไม่มีในตู้ แต่ในใจคิดอยากได้เหรียญรุ่นนี้มากๆ ในขณะที่เลือกเหรียญปรกอยู่ บังเอิญสายตาเหลือบไปเห็นเหรียญที่ไม่เหมือนเหรียญปรกอยู่ในกองที่เลือกพระ แทบจะไม่น่าเชื่อพอหยิบเหรียญนี้ขึ้นมาดู แล้วถามหลวงพี่ว่าเหรียญรุ่นไหน หลวงพี่บอกว่าโยมโชคดีมาก อันนี้คือเหรียญเยือนอินเดีย รุ่นแรกของหลวงปู่ทิม ท่านบอกว่าหลวงปู่ทิม เป็นผู้ดำริทำเหรียญรุ่นนี้ เป็นเหรียญของวัดสร้างเองไม่มีนายทุนเข้ามายุ่ง ดังนั้นจึงมีเนื้อทองแดงแบบเดียว จำนวนสร้างไม่กี่พันองค์ หลังจากได้เหรียญรุ่นนี้มา ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมต้องจารึกไปอินเดียทุกปีในเวลาต่อมา เอาไว้มีโอกาสจะมาเล่าให้ฟัง มีเรื่องเด็ดๆตอนไปอินเดียเยอะครับ

    ปกติถ้าผมได้เจอหลวงปู่ทิม ท่านจะมอบลูกอมชานหมากมาให้เสมอ ถ้าท่านมีติดย่าม ผมเคยให้ลูกชายสมัยเด็กประมาณ 3-4 ขวบ ห้อยล็อกเก็ตหลวงปู่ทิม หลังชานหมาก ลูกผมตกบันไดตั้งแต่ชั้นบนลงมาข้างล่าง แต่ไม่เป็นไรคิดว่าหลวงปู่ทิม คงช่วยไว้เหมือนกัน อีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นประมาณปี51 ก่อนที่หลวงปู่ทิม จะมรณภาพไม่นาน ญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเป็นคนชอบทำบุญมากๆ แกบริจาคเงินให้ตามวัดเยอะครับตัวเลข 7 หลักขึ้นไปในแต่ละปี ญาติคนนี้ได้มาไหว้ที่วัดบางนมโค ขากลับแฟนผมชวนมาไหว้หลวงปู่ทิม บังเอิญหลวงปู่ทิม อยู่ที่วัดพอดี คำแรกที่หลวงปู่ทักท่านบอกว่า “เอ็งไปอยู่ไหนมาตั้งนาน ปานนี้ถึงมาหากู น่าจะมาก่อนหน้านี้ตั้งนานแล้ว จะได้มาช่วยกู” แฟนบอกว่าหลวงปู่ทิม พูดคุยเหมือนกับรู้จักญาติคนนี้มานาน แล้ว อีกไม่กี่เดือนก่อนหลวงปู่มรณภาพ ผมตั้งใจว่าจะเอารูปภาพพระพุทธเมตตา ใส่กรอบขนาดใหญ่ ซึ่งผมถือว่าศักดิ์สิทธิ์มากๆที่สุดเท่าที่เคยเจอมา ผมทำถวายวัดต่างๆไปหลายแห่งแล้วครับ เสียดายวันนั้นหลวงปู่ไม่อยู่ เลยไม่ได้ถวายท่าน พอมาทราบอีกที หลวงปู่ทิมก็มรณภาพไปแล้ว

    วัตถุมงคลหลวงปู่ ผมก็มีสะสมนิดหน่อยตั้งแต่ตอนท่านยังไม่ดังมาก และเช่าจากวัด เท่าที่ได้ยินประสบการณ์พระหลวงพ่อจะเน้นทางแคล้วคลาด เมตตา เป็นหลัก เรื่องเหนียวๆยังไม่เคยได้ยิน

    เครดิต : เรื่องเล่านิดหน่อยเกี่ยวกับหลวงปู่ทิม วัดพระขาว
     
  16. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,559
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    รายการที่ 10. พระหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ รุ่นศรัทธาบารมี ปี 2539 บูชาที่ 450 บาท (ปิดรายการ)

    สุดยอดมวลสาร ผงอังคารหลวงปู่ทิม ผงใบลาน หลวงปู่โต๊ะ ฯลฯ

    โดยมีพระสุปฏิปันโน สายอีสาน เจริญพระพุทธมนต์ และเจริญจิตภาวนาอธิษฐานจิต พระหลวงปู่เหรียญ “รุ่นศรัทธาบารมี” (ชุดพระของขวัญ 9 องค์) เมื่อวันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2539 เวลา 18.09 น. ณ พระอุโบสถวัดบรมนิวาส กรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย


    1. พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ) วัดอรัญญบรรพต จ.หนองคาย ประธานจุดเทียนชัย
    2. พระญาณทีปาจารย์ (หลวงปู่ท่อน ญาณธโร) วัดป่าศรีอภัยวัน จ.เลย
    3. หลวงปู่จันโสม กิตติกโร วัดป่าจันทรังษี (วัดป่านาสีดา) จ.อุดรธานี
    4. หลวงปู่จันทา ถาวโร วัดป่าเขาน้อย จ.พิจิตร
    5. พระสุทธิสารมุนี (หลวงปู่รักษ์) วัดป่าสำราญนิเวช จ.อำนาจเจริญ
    6. พระครูการุณยธรรมนิวาส (หลวงปู่หลวง กตปุญโญ) วัดป่าสำราญนิวาส จ.ลำปาง
    7. พระครูวิเวกวัฒนาทร (หลวงปู่บุญเพ็ง กัปปโก) วัดป่าวิเวกธรรม จ.ขอนแก่น
    8. พระครูวีรธรรมานุยุต (หลวงปู่พวง สุวีโร) วัดป่าปูลูสันติวัฒนา จ.อุดรธานี
    9. พระครูอุดมธรรมสุนทร (หลวงพ่อคำแปลง สุนทโร) วัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร
    10. พระครูอุดมสังวรคุณ (อาจารย์สนธิ์) วัดบรมนิวาส กรุงเทพมหานคร
    11. พระครูปลัดสุวัฑฒพรหมจริยคุณ วัดบรมนิวาส กรุงเทพมหานคร

    รายการมวลสารและวัตถุมงคลที่ประกอบเป็นองค์พระ รุ่น “ศรัทธาบารมี” มีดังนี้

    1. ผงอังคารหลวงปู่สิม พุทธาจาโร
    2. ผงอังคารหลวงปู่สาม อภิญจโน
    3. ผงอังคารหลวงปู่บัวพา ปัญญาภาโส
    4. ผงอังคารหลวงปู่หลุย จันทสาโร
    5. ผงอังคารหลวงปู่ครูบาพรหมา หรหมจักโก
    6. ผงอังคารหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จ.ระยอง
    7. ผงเสกหลวงปู่ฝั้น อาจาโร
    8. ผงเสกหลวงปู่แหวน สุจิณโณ
    9. ผงเสกหลวงปู่ครูบาธรรมชัย
    10. ผงเสกหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
    11. ผงเสก แป้งเสก และเกศา หลวงปู่หลวง กตปุญโญ
    12. เกศาหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
    13. เกศาหลวงปู่จันโสม กิตติกโร
    14. เกศาหลวงปู่แว่น ธนปาโล
    15. เกศาหลวงปู่เทียม วัดกษัตราฯ อยุธยา
    16. ผงว่าน 108 เจ้าคุณนรรัตน์ฯ วัดเทพศิรินทร์
    17. ผงใบลานไตรมาส หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี
    18. แป้งเสก หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
    19. แป้งเสก หลวงปู่ชอบ ฐานสโม
    20. ผงพระกรุวัดป่านาดุน ขอนแก่น
    21. เกสรดอกพิกุล,ดอกจำปา,ดอกจำปี,ดอกมะลิ,สาระภี,ดอกบัว,บุนนาค,ดอกคำไทย,ดอกกระดังงา
    22. ผงพุทธคุณ,แป้งเจิม,ทรายเสก หลวงปู่แช่ม วัดดอนยายหอม นครปฐม
    23. ผงพุทธคุณ,ผงยา หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ นครปฐม
    24. ผงพุทธคุณ หลวงพ่อฑูรย์ วัดโพธินิมิต
    25. ผงพุทธคุณ,ผงมหาราช หลวงพ่อแคล้ว วัดยมโลก กรุงเทพฯ
    26. ผงพุทธคุณ วัดเลา กรุงเทพฯ
    27. ผงกระเบี้องพระอุโบสถ วัดระฆังฯ วัดกัลยา กรุงเทพฯ
    28. ผงพระรุ่นต่าง ๆ วัดโพธิคุณ จ.ตาก
    29. ผงพุทธคุณ หลวงพ่อแพวัดพิกุลทอง สิงห์บุรี
    30. ใบโพธิ์พุทธคยา เสกวัดอินทรวิหาร กรุงเทพฯ
    31. ผงใบพลูดับเทียนชัยพิธีพุทธาภิเษก 17 พิธี
    32. ผงดอกบัวในอ่างน้ำพระพุทธมนต์ พิธีพุทธาภิเษก 49 พิธี
    33. ผงพุทธคุณ หลวงพ่อคูร วัดบ้านไร่
    34. แป้งเสก หลวงปู่บุดดา ถาวโร
    35. ผงพระครั่งพุทธาหลวงพ่อแผ่ว วัดโตนดหลวง เพชรบุรี
    36. ผงวัดปากน้ำรุ่น 5 , 6 ชำรุด 8 องค์
    37. ผงธูปกรรมฐานพระสุปฏิปันโน 63 องค์
    38. ผงธูปจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทุกภาคของประเทศไทย
    39. ผงเกสรดอกไม้ 108 ปลุกเสก 200 พิธี (ปลุกเสก 5 ปี)
    40. ผงพระชำรุดแตกหักวัดใหม่อมตรส
    41. ผงพุทธคุณ ผงพระชำรุด ไม่ทราบวัด จำนวนมาก

    พิธีใหญ่ และดีมาก เหมาะสำหรับเป็นของขวัญ และสะสมบูชา พร้อมกล่องเดิมๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2016
  17. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,559
    [​IMG]


    อัตตโนประวัติ หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ (พระสุธรรมคณาจารย์)

    นามเดิม เหรียญ นามสกุล ใจขาน เกิดเมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๔๕๕ ตรงกับวันพุธ ขึ้น ๒ ค่ำ เดือนยี่ ปีชวด ณ บ้านหม้อ ตำบลบ้านหม้อ อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย บิดาชื่อ ผา มารดาชื่อ พิมพา ปฐมวัยครอบครัวของข้าพเจ้ามีอาชีพทำนา ทำสวน เลี้ยงสัตว์ มีพี่น้องเกิดด้วยกัน ๗ คน ข้าพเจ้าเป็นคนที่ ๒ บรรดาพี่น้องผู้ที่เกิดร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๖ คนนั้น ได้ตายเสียตั้งแต่ยังเล็กทุกคน จึงไม่มีชื่อปรากฏอยู่ในที่นี้ ส่วนมารดานั้นได้ตายจากไปตั้งแต่ข้าพเจ้าอายุได้ ๑๐ ปี ครั้นอยู่ต่อมาไม่กี่เดือน บิดาก็ไปมีภรรยาใหม่ ข้าพเจ้าจึงได้อยู่กับคุณยายมาจนอายุได้ ๑๓ ปี และเรียนหนังสือไทยจบในปีนั้น ต่อจากนั้นจึงได้ไปอยู่กับบิดา มารดาใหม่นั้นมีลูกกับสามีคนก่อน ๕ คน ซึ่งบังเอิญสามีก็ตายไปในปีเดียวกันกับมารดาข้าพเจ้าเหมือนกัน ต่อมาได้มีลูกกับบิดาข้าพเจ้าอีก ๒ คน รวมทั้งข้าพเจ้าด้วยเป็น ๘ คนพอดี เมื่อข้าพเจ้ามาอยู่ด้วยก็ได้ทำการงานช่วยบิดามารดาร่วมกับพี่น้องทั้งหลายตลอดมา และเคารพนับถือกันฉันท์พี่น้องที่เกิดร่วมท้องเดียวกัน ไม่เคยมีการทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นอย่างรุนแรงจนถึงกับแตกสามัคคีกันเลย ข้าพเจ้านั้นมีนิสัยชอบทำการงาน และทำจริง ไม่ทำเหลาะแหละเหลวไหล ทำการงานอย่างใดก็ให้เสร็จไปอย่างนั้น ไม่ทอดทิ้งการงาน และไม่ชอบเอาเปรียบผู้อื่น ไม่ชอบทะเลาะกับใครๆ ถ้าจะมีเหตุให้ทะเลาะกันก็ต้องหาทางหลีกเลี่ยง และมีความอดทนต่อคำด่าว่าติเตียนต่างๆ ไม่ถือมั่นไว้ในใจ

    พูดถึงความรักแล้ว นับว่าข้าพเจ้ามีความรักมาก เช่น รักพ่อแม่ ลุงป้า น้าอา และผู้อื่นที่เกิดร่วมวงศ์ตระกูลเดียวกัน นอกจากนี้แล้ว ยังรักขยายออกไปถึงเพศตรงข้ามซึ่งอยู่ในวัยเดียวกันในทางชู้สาว และฝ่ายตรงข้ามก็รักข้าพเจ้าเช่นเดียวกัน โดยเข้าใจว่าเขาคงจะมองเห็นคุณธรรมอันมีอยู่ในใจของข้าพเจ้า คือ ความอดทนต่อความชั่วร้ายดังกล่าวมานั้นหนึ่ง และอดทนต่อหน้าที่การงานหนึ่ง เขาจึงได้มีความรักอย่างจริงใจต่อข้าพเจ้า

    จิตมีธรรม ปรารถนาออกบวช
    ในคราวนั้นข้าพเจ้าก็คิดว่าจะครองเรือนเช่นเดียวกับคนทั้งหลายที่เขาครองกันมาแล้วนั้น ครั้นเมื่ออายุย่างเข้า ๒๐ ปี เห็นจะเป็นด้วยบุญบารมีที่ข้าพเจ้าได้สร้างมาแต่ชาติก่อนมาดลจิตให้นึกถึงความทุกข์ในชีวิตอันเป็นปัจจุบัน โดยคิดเห็นว่าเกิดมาแล้วต้องทำการงาน และงานที่ทำนั้นก็ไม่รู้จักจบสิ้น เช่น ทำนา ทำปีนี้แล้วได้ข้าวใส่ยุ้งไว้รับประทานบ้าง ขายบ้าง ครั้นถึงปีใหม่มาข้าวในยุ้งก็จวนจะหมดแล้ว ต้องทำนาอีกต่อไปอย่างนี้ทุกปี จึงถามตัวเองว่าเมื่อไรจึงจะได้ยุติจากการทำนาทำสวนเล่า ตอบตนเองว่า ไม่มีทางยุติได้ถ้าไม่วางมือหนีไปบวชเสีย การทำนาทำสวนมีแต่ทุกข์ หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินและก็ไม่มีอะไรเป็นแก่นสารสักอย่างเดียว ตายแล้วก็ไม่ได้อะไรติดตัวไป มีแต่ทิ้งไว้ในโลกนี้ทั้งหมด และก็ได้ตั้งปัญหาถามตนเองต่อไปอีกว่า แล้วทำไมคนทั้งหลายจึงชอบใจกับความเป็นอยู่เช่นนี้นัก ตอบว่า เพราะคนทั้งหลายไม่ได้ใช้ปัญญาพิจารณาเหตุผลในเรื่องนี้ให้รู้เห็นโดยแจ่มแจ้งตามความเป็นจริง จึงไม่เบื่อหน่าย อนึ่ง สิ่งทั้งปวงในโลกนี้มิใช่ว่าจะอำนวยแต่ความทุกข์ให้เท่านั้น บางทีมันก็อำนวยความสุขให้เหมือนกัน ดังนั้น คนจึงติดมัน แต่บรรดานักปราชญ์ผู้มีปัญญาทั้งหลาย ท่านพิจารณาเห็นว่า มันเป็นความสุขชั่วคราวไม่ยั่งยืน ถ้าพิจารณาโดยสรุปแล้วก็เป็นทุกข์นั้นแหละมากกว่าความสุข อันความสุขที่ว่านี้ มันเป็นเพียงเหยื่อล่อให้ติดอยู่ในทุกข์เท่านั้น ไม่ใช่เป็นความสุขยั่งยืนแต่อย่างใด เพราะคนเราเกิดมาแล้วที่สุดก็ต้องตาย ร่างกายนี้เมื่อจิตละไปแล้วก็ต้องแตกสลายออกจากกัน ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย

    เมื่อพิจารณาถึงตอนนี้ปรากฏในใจว่า ร่างกายนี้แตกกระจายออกไปหมด เพ่งไปไหนก็เห็นแต่อากาศว่างไปหมดทั้งโลกอันนี้ปรากฏว่าไม่มีสัตว์ ไม่มีคนเลย ดังนั้นจึงเกิดความสังเวชสลดใจเป็นอย่างยิ่งว่า โอหนอโลกนี้ช่างไม่จิรังยั่งยืนจริงๆ ทำอย่างไรหนอเราจึงจะพ้นจากโลกนี้ไปได้ ตอบตนเองว่า มีแต่บวชเท่านั้นถึงจะพอมีหนทางพ้นได้

    ต่อจากนั้นจึงเกิดศรัทธาอยากบวชขึ้นมาในใจอย่างรุนแรงจนถึงกับเบื่อหน่ายต่อการงานทุกอย่าง จึงได้ขอลามารดาบิดาออกบวช บิดาขอร้องไว้ให้ช่วยทำยุ้งใส่ข้าวเสียก่อนจึงค่อยบวช เพราะยุ้งเก่าใช้มานานมันชำรุดมาก ตอบท่านว่าเห็นจะช่วยทำไม่ได้ดอก มือไม้อะไรอ่อนหมด ไม่สามารถจะทำงานต่อไปได้อีก ท่านเห็นว่าข้าพเจ้าอยากบวชอย่างรุนแรงมาก จึงได้อนุญาตให้ไปบวชตามประสงค์

    ออกบวช
    ข้าพเจ้าดีใจมาก ได้กราบลาท่านทั้งสองเข้าวัด เรียนครองบวชอยู่สิบห้าวันก็ได้บวชที่อุโบสถวัดบ้านหงษ์ทองอำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ในคราวนั้นเข้าบวชด้วยกันประมาณ ๘ รูป ซึ่งมี ท่านพระครูวาปีดิฐวัตร เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์พรหม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เมื่อบวชแล้วก็ได้กลับมาอยู่วัดโพธิ์ชัย บ้านหม้อ บวชเมื่อเดินมกราคม พ.ศ. ๒๔๗๕ อาจารย์วัดโพธิ์สอนให้ภาวนาอนุสสติ ๑๐ ข้าพเจ้าก็ท่องเอา แล้วก็บริกรรมในใจว่า พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ ไปจนถึง อุปสมานุสสติ จบแล้วตั้งใหม่เรื่อยไป รู้สึกว่าจิตสงบเบิกบานดีพอสมควร ไม่เฉพาะแต่นั่งสมาธิเท่านั้นที่บริกรรม แม้แต่ยืนเดินนอนก็บริกรรมเป็นอารมณ์ติดต่อกันไป

    พรรษาแรกจำพรรษา ณ วัดศรีสุมัง
    ครั้นถึงเดือนพฤษภาคมปีนั้นเอง ก็ได้ไปจำพรรษาที่วัดศรีสุมัง อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย เพื่อเรียนนักธรรมต่อไป เมื่อจำพรรษาอยู่ที่วัดศรีสุมังนั้น ข้าพเจ้าได้เรียนถามเรื่องการภาวนากับท่านอาจารย์บุญจันทร์ รองเจ้าอาวาส และได้เรียนท่านว่า ผมภาวนาอนุสสติ ๑๐ อยู่ทุกวันนี้ไม่ทราบว่าถูกหรือไม่ ท่านตอบว่า ถ้าให้ถูกตามหลักจริงๆ ก็คงไม่ถูก เพราะว่าการเจริญบริกรรมภาวนา ท่านสอนให้เลือกเอากรรมฐานบทใดบทหนึ่งที่ถูกกับจริตของตน แล้วบริกรรมแต่เฉพาะบทเดียวเท่านั้น จิตจึงจะสงบเป็นหนึ่งได้เร็ว ท่านได้แนะให้บริกรรมพุทโธเป็นอารมณ์ ข้าพเจ้าจึงได้บริกรรมพุทโธ ตั้งแต่นั้นมา ในพรรษานั้นมีทั้งเรียนนักธรรม และทั้งภาวนาไปพร้อมกัน ตอนกลางวันเข้าเรียนนักธรรม ตอนกลางคืนตั้งแต่ย่ำค่ำไปทำวัตรสวดมนต์ เสร็จแล้วก็นั่งท่องหนังสืออยู่ตามลานวัดไปจนถึงเที่ยงคืนจึงหยุดการท่องบ่นสาธยาย ต่อจากนั้นก็เข้าที่ไหว้พระส่วนตัว เสร็จแล้วก็นั่งขัดสมาธิ เอาขาขวาทับขาซ้าย เอามือขวาวางทับมือซ้าย ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า หลับตาแล้วอธิษฐานใจ นึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐ ด้วยความสัจนี้ขอให้จิตของข้าพเจ้าสงบลงเป็นหนึ่ง อย่าได้ฟุ้งซ่านไปทางอื่น ขอให้ข้าพเจ้ารู้แจ้งในธรรมที่ควรรู้ควรเห็น คือ อริยสัจสี่ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงไว้ดีแล้ว

    ครั้นอธิษฐานเสร็จแล้วก็บริกรรมแต่ "พุทโธ" อย่างเดียว ครั้งแรกพุทโธไม่ได้อยู่กับตัวเลย มันวิ่งไปไกลแสนไกล แต่สติก็ตามรู้ไปเสมอ และพยายามนึกพุทโธให้ใกล้ตัวเข้ามาโดยลำดับ ในที่สุดพุทโธก็เข้ามาอยู่ที่กายแล้วน้อมเข้าไปที่ใจ เมื่อพุทโธเข้าไปถึงที่ใจแล้ว ใจก็ค่อยสงบลงโดยลำดับ เมื่อรู้ว่าจิตสงบลงแล้วจึงจำวัดถึงเวลาตีสี่หัวรุ่ง เสียงระฆังดังขึ้นที่กุฏิเจ้าอาวาส พระเณรก็พาไปรวมกันทำวัตรเช้า เสร็จแล้วก็เลิกกันไป ตอนเช้าออกบิณฑบาต ฉันเช้าแล้วก็ดูหนังสือนักธรรม พอเที่ยงครึ่งก็ไปเรียนนักธรรมที่วัดอื่นซึ่งอยู่ใกล้กัน ค่ำลงก็ไปรวมกันทำวัตรสวดมนต์ในอุโบสถ หมุนเวียนกันไปอย่างนี้จนตลอดพรรษา และถึงเดือนธันวาคม ก็สอบนักธรรม เสร็จแล้วได้ลาเจ้าอาวาสกลับวัดเดิม คือวัดโพธิ์ชัย

    ในระหว่างนั้น โยมบิดาเอาหนังสือธรรมะมาถวายเล่มหนึ่ง เป็นหนังสือเกี่ยวกับการเจริญสมถะและวิปัสสนาของ พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม เป็นผู้เรียบเรียง เมื่อได้อ่านดูแล้วรู้สึกเกิดความสนใจขึ้น ในหนังสือเล่มนั้นท่านได้อธิบายเรื่อง สติปัฏฐานสี่ โดยเฉพาะเรื่อง กายานุปัสสนา

    ท่านได้แนะนำให้พิจารณาร่างกาย โดยให้เพ่งดูร่างกายนี้ แล้วแยกออกเป็นส่วนๆ เช่น ผม กองหนึ่ง ขน กองหนึ่ง เล็บ กองหนึ่ง ฟัน กองหนึ่ง หนัง กองหนึ่ง เป็นต้น จนถึงอาการสามสิบสอง เสร็จแล้วให้ถามตัวเองดูว่า ไหนที่ว่าตัวตนของเรานั้นอยู่ไหน นั่นก็กองผม นั่นก็กองขน เป็นต้น ในที่สุดตัวเราไม่มี เมื่อไฟเผาแล้วก็จะยังเหลือแต่เถ้ากับกระดูกเท่านั้น กำหนดเอากระดูกใส่ครกบดให้ละเอียดแล้วเอาซัดตามลม ลมพัดหายไปหมด แล้วสติก็รู้ได้ว่า ร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นของตนสักอย่างเดียว มีแต่เกิดแล้วดับไปดังปรากฏแล้วนั้น แล้วใครเป็นผู้รู้ว่าร่างกายเป็นอย่างนั้น ก็จิตนี้สิเป็นผู้รู้ เมื่อสติกลับมารู้จิต จิตก็จะรวมลงเป็นหนึ่ง แสดงว่าจิตปล่อยวางร่างกายได้ตามสภาพ จึงประคองจิตให้สงบอยู่ต่อไปนานเท่าที่จะอยู่นานได้ ในขณะนั้นจะมีความรู้สึกว่า กายก็เบาจิตก็เบา ไม่หนักหน่วงเลย เมื่อได้รับความรู้สึกเบากายเบาจิตเช่นนี้แล้ว ก็ควรจะไปอยู่ป่าจึงจะเหมาะสม

    พอดำริที่จะออกไปอยู่ป่าเท่านั้น มาร คือ กิเลส มันก็แสดงอาการขัดขวางไม่ให้ออกไปอยู่ป่าได้ ต่อจากนั้นจึงเกิดความรู้สึกนึกคิดขึ้นเป็นสองทาง ทางหนึ่งอยากสึกออกไปครองเรือน อีกทางหนึ่งอยากออกปฏิบัติเจริญสมถวิปัสสนาตามที่ตั้งใจไว้ พอตั้งใจจะออกป่า กิเลสก็มาสกัดไว้ไม่ให้ออกเป็นอยู่อย่างนี้ วันแล้วก็วันเล่า ไม่สามารถตัดสินใจลงทางใดทางหนึ่งได้ จึงตัดสินใจไม่ฉันข้าวหนึ่งวัน พอตกตอนค่ำลงเวลาประมาณสามทุ่ม ก็ห่มผ้าพาดสังฆาฏิแล้วทำวัตร เสร็จแล้วอธิษฐานในใจว่า "บัดนี้ข้าพเจ้าจะนั่งสมาธิภาวนาเพื่อพิจารณาตัดสินใจลงทางใดทางหนึ่งให้จงได้คือจะสึก หรือจะออกปฏิบัติ ถ้าหากข้าพเจ้าตัดสินใจลงทางหนึ่งทางใดไม่ได้ก็จะไม่ลุกจากที่นั่งนี้เลย"

    เมื่ออธิษฐานเสร็จก็นั่งขัดสมาธิ เพ่งจิตให้เข้าถึงความสงบ พอจิตสงบไปได้หน่อยเดียว นางตัณหาก็มากระซิบจิตนี้ให้สึกออกไปครองเรือนดีกว่าน่า ครั้นแล้วจิตก็ปรุงแต่งไปในเรื่องการครองเรือน คือต้องมีเมีย เมื่อมีเมียแล้วไม่นานก็ต้องมีลูก ก็ต้องแสวงหาข้าวของเงินทองมาเลี้ยงเมียเลี้ยงลูก ทีนี้การแสวงหาทรัพย์นั้น ไม่ใช่จะหาได้แต่โดยทางสุจริตเท่านั้นก็หาไม่ ต้องหาโดยทางทุจริตด้วย เช่น ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตบ้าง ฉ้อโกง หลอกลวงเอาทรัพย์ของคนอื่นมาเป็นของตนบ้าง เป็นต้น เหล่านี้ล้วนแต่เป็นบาปทั้งนั้น คนเราจะอยู่ในโลกนี้ไม่ถึงร้อยปีก็จะตาย ครั้นตายแล้วก็จะไปตกนรกอยู่นานแสนนานกว่าจะได้พ้น พอคิดมาถึงตรงนี้ จิตก็คลายความกระสันอยากสึกลง เพราะเชื่อว่านรกมีจริง ดังที่พระพุทธเจ้าได้แสดงไว้นั้น กลัวจะไปเสวยทุกข์อยู่ในนรกนานแสนนาน ครั้นสงบจิตไปได้หน่อยหนึ่ง มารก็มาเบียดเบียนอีกแล้ว จิตก็ฟุ้งซ่านไปตามอำนาจของมารนั้น กลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้ ไม่รู้ว่านานเท่าไร เพราะสมัยนั้นยังไม่มีนาฬิกาใช้ ความปวดเมื่อยแข้งขาก็เป็นไปอย่างแรง แต่เราเคารพต่อความสัจที่ตั้งเอาไว้ ถ้าตัดสินใจไม่ลงทางใดทางหนึ่งโดยเด็ดขาด ก็ไม่ลุกจากที่นั่งจริงๆ ตายเป็นตาย ในที่สุดก็ตัดสินใจลงทางไม่สึกแน่นอน ได้ถามตัวเองถึงสามครั้งก็ยืนยันอยู่อย่างนั้นทั้งสามครั้ง ต่อจากนั้นจึงคลายจากสมาธิ

    พอรุ่งเช้า ญาติโยมมาจังหันก็ได้ร่ำลาญาติโยมออกไปอยู่ป่า แล้วนับแต่นั้นไปก็ได้เตรียมบริขาร เช่น กลด มุ้ง เป็นต้น เสร็จแล้ว พ.ศ. ๒๔๗๕ เดือนสาม แรมสองค่ำ ก็ได้จากวัดโพธิ์ชัยไปอยู่ป่าที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "ผาชัน" ริมแม่น้ำโขง ซึ่งใกล้กับวัดที่ตั้งอยู่เดี๋ยวนี้ ออกไปอยู่ด้วยกันสองรูป พระรูปนั้นอยู่ป่าได้ ๗ วันเท่านั้นก็กลับวัดเดิม ทั้งนี้เพราะเกิดความกลัวขึ้นอย่างแรง เพราะเกิดนิมิตร้ายที่น่ากลัวขึ้น เพื่อนเล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนผมนั่งภาวนาอยู่ ทีแรกก็บริกรรมพุทโธเป็นอารมณ์ ครั้นไปๆ ก็เกิดความกลัวขึ้นมา จึงสาธยายเวทมนต์ที่เรียนมาแต่ก่อนนี้เพื่อป้องกันตัว ที่ไหนได้ ในขณะที่บริกรรมคาถาอยู่นั้น ก็ปรากฏเห็นเป็นกษัตริย์องค์หนึ่งถือดาบเล่มหนึ่งเดินเข้ามาหา แล้วถามว่ามาทำอะไรอยู่นี่ ผมก็ได้ตอบเขาว่า อาตมากำลังภาวนาอยู่ เขากล่าวว่า ภาวนาอะไรอย่างนี้ ทำให้ผู้อื่นเดือนร้อน ท่านไม่ต้องเจริญคาถาอันนั้นดอก ข้าพเจ้ารู้หมดแล้ว คาถาที่เจริญนั้นจงหนีไปเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่หนีจะเอาดาบเล่มนี้ฟันให้ขาดเป็นสองท่อนไปเลย ผมได้คิดว่าการสาธยายคาถานี้เห็นท่าจะไม่ได้ผล จึงหวนนึกถึงเมตตาและเจริญเมตตาว่า สัพเพสัตตา สุขิตาโหนตุ สัพเพสัตตา อเวราโหนตุฯ สัพเพสัตตา สัพพทุกขาปมุญจันตุ พอเจริญเมตตาไปเรื่อยๆ กษัตริย์องค์นั้นได้พูดขึ้นว่า ภาวนาอย่างนี้ถูกทาง จะอยู่ก็อยู่ไปเถิดไม่เป็นไร แต่ถึงกระนั้นเมื่อออกจากสมาธิแล้วก็ยังไม่หายกลัว "ผมเห็นท่าจะอยู่ไม่ได้ดอก จะกลับวัดเดิมแล้ว" ข้าพเจ้าชี้แจงให้ฟังเท่าไรเพื่อนก็ไม่เชื่อ โดยพูดว่า "ที่แล้วมาท่านสาธยายคาถามันไปกระทบกับจิตของภูมิเทวดา ซึ่งอาศัยอยู่ในสถานที่นี้เข้าจึงเป็นเช่นนั้น ถ้าท่านงดสาธยายมนต์เสีย ก็คงไม่มีนิมิตเช่นนั้นเกิดขึ้นอีก ผมเองภาวนาแต่พุทโธอย่างเดียว โดยมอบกายถวายตัวบูชาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ หมดทุกส่วนในกายอันนี้ ใครจะเอาไปชุบไปยำกินที่ไหนก็แล้วแต่ ไม่เห็นมีนิมิตร้ายอะไรเกิดขึ้นเลย จิตก็สงบเยือกเย็นดี นับว่าได้ผลคุ้มค่าที่เราสละความสุขจากวัดที่เคยอยู่มาอยู่ป่าเช่นนี้ ได้ชื่อว่าปฏิบัติตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าดำเนินมาเป็นตัวอย่างของชาวโลกทั้งหลาย" ในที่สุดพูดอย่างไรท่านก็ไม่ยอมอยู่ป่าต่อไป ได้กลับไปอยู่วัดตามเดิม ส่วนข้าพเจ้าได้พูดกับเพื่อนว่า "ผมเองไม่กลับไปอยู่วัดเดิมแล้ว อายชาวบ้านเขาเพราะได้ร่ำลาเขามาแล้ว ถ้าอยู่ไม่ได้ก็จะสึกอยู่ในป่านี้แหละ ถ้าอยู่ได้ผู้เดียวก็จะอยู่" เพราะตอนนั้นกำลังเกิดปีติในธรรมปฏิบัติ จิตกล้าหาญเต็มที่ไม่ได้กลัวอะไรทั้งหมด กลัวแต่กิเลสมันจะครอบงำเอาเท่านั้น จึงได้เร่งทำความเพียรโดยไม่ย่อท้อ

    เมื่อได้ความมั่นใจที่จะประพฤติพรหมจรรย์ต่อไปแล้ว จึงได้แสวงหาครูบาอาจารย์ผู้พอจะแนะนำได้ ครั้งแรกก็พบกับ พระอาจารย์กู่ ธมฺมทินโน บ้านเดิมของท่านอยู่ที่อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ท่านเที่ยวธุดงค์ขึ้นไปทางจังหวัดหนองคาย และได้ไปพักอยู่ที่วัดซึ่งข้าพเจ้าอยู่เดี๋ยวนี้เอง แต่คราวนั้นยังไม่ได้ก่อสร้างถาวรวัตถุอะไร เป็นแต่ทำกุฏิอยู่ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อได้พบท่านครั้งแรกก็มีความเลื่อมใสในปฏิปทาของท่าน จึงได้เรียนถามอุบายภาวนาสมาธิกับท่าน ท่านก็ได้อธิบายให้ฟังจนเข้าใจได้ดี แต่ก็ไม่ได้ติดตามท่านไปในที่อื่นเมื่อท่านย้ายไป เพราะมีอุปสรรคบางอย่าง

    ญัตติเป็นธรรมยุต
    ครั้นต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ ข้าพเจ้าได้พบกับ ท่านอาจารย์บุญมา ฐิตเปโต ซึ่งต่อมาท่านอยู่วัดสิริสาลวัน บ้านโนนทัน อำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี เดี๋ยวนี้ท่านมรณภาพไปแล้วโดยอุบัติเหตุเครื่องบินตก ท่านอาจารย์องค์นี้แหละ ได้พาข้าพเจ้าไปบวชเป็นพระธรรมยุตที่วัดโพธิสมภรณ์ อุดรธานี เมื่อบวชเป็นพระธรรมยุตแล้ว ท่านอาจารย์ถามว่า "คุณจะศึกษาเล่าเรียนปริยัติธรรม หรือว่าจะปฏิบัติวิปัสสนาธุระต่อไป" ตอบท่านว่า จะเอาทั้งสองอย่าง ส่วนการศึกษานั้นจะดูตามตำราเอา ท่านก็ยินดีด้วย

    พรรษาแรก จำพรรษาวัดป่าสาระวารี (พ.ศ. ๒๔๗๖)
    ในพรรษาแรก ปี พ.ศ. ๒๔๗๖ ได้จำพรรษาที่วัดป่าสาระวารี บ้านค้อ อำเภอผือ จังหวัดอุดรธานี ซึ่งที่นั้นพระอาจารย์มั่นเคยไปจำพรรษา ได้ตั้งใจทำความเพียรอย่างเต็มที่ รู้สึกว่าได้ความสงบใจมาก แต่การเจริญวิปัสสนายังไม่แก่กล้า ส่วนมากได้แต่สมถะ เมื่อออกพรรษาแล้วได้เที่ยวธุดงค์ขึ้นไปจังหวัดเลย ได้ไปพักวิเวกอยู่ที่ถ้ำผาปู่ และถ้ำผาบิ้ง รู้สึกว่าได้รับความสงบสงัดมาก

    พรรษาที่ ๒ จำพรรษาวัดอรัญญวาสี (พ.ศ. ๒๔๗๗)
    พ.ศ. ๒๔๗๗ ได้จำพรรษาที่วัดอรัญญวาสี อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ซึ่งมี พระอาจารย์กู่ ธมฺมทินโน เป็นหัวหน้า และ พระอาจารย์บุญมา ฐิตเปโต เป็นรองฯ ในพรรษานี้ข้าพเจ้าตั้งใจทำความเพียรจริงๆ และได้สมาทานฉันอาหารเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คือเมื่อบิณฑบาตกลับมาแล้วเทข้าวและกับใส่กะละมังจนหมด แล้วก็หยิบเอาข้าวเจ้าใส่ฝ่ามือข้างขวา พอเต็มฝ่ามือแล้วเอาลงในบาตร แล้วก็ฉันและอิ่มก่อนเพื่อนทั้งหมด เพราะอาหารมีน้อยเดียว เสร็จแล้วนั่งคอยหมู่อยู่ไม่ได้ ลุกไปก่อน เพราะมีพระวินัยห้ามเอาไว้ เมื่อพระอาจารย์ฉันเสร็จแล้วก็รีบเอาบาตรของท่านไปล้าง ทำอย่างนั้นไปตลอดจนออกพรรษา แต่ก็ไม่ได้เจ็บป่วยไข้อะไรเลย เป็นแต่ร่างกายซูบผอมลงเท่านั้น เพราะอาหารน้อย แต่ก็ทำข้อวัตรปฏิบัติกับหมู่เพื่อนได้ตามปกติ ไม่มีบกพร่องแต่อย่างใด พูดถึงการทำความเพียรส่วนตัว ในพรรษานั้นได้ตั้งใจไว้ว่า ๑.จะไม่นอนกลางวัน ๒. เมื่อค่ำลงจะทำความเพียร คือเดินจงกรมบ้างนั่งสมาธิบ้าง ไปจนถึงสี่ทุ่มจึงจำวัด และก่อนเวลาจะจำวัดก็กำหนดในใจไว้ว่า เมื่อนอนหลับไปถึงตีสองแล้วจะตื่นลุกขึ้นทำความเพียรต่อไปจนสว่าง โดยทำนองนี้จนตลอดออกพรรษา เมื่อออกพรรษาแล้วก็เที่ยวธุดงค์ขึ้นไปทางจังหวัดเลยอีก คราวนี้ไปบำเพ็ญอยู่ที่ถ้ำผาบิ้งอีกเป็นครั้งที่สอง พอถึงเดือนหกก็เดินทางกลับมาเพื่อจำพรรษาที่วัดป่าบ้านค้อตามเดิม

    ในระหว่างเดินทางกลับจากจังหวัดเลยมาถึงเขตจังหวัดอุดรธานี กับเพื่อนภิกษุรูปหนึ่ง ได้มาพักอยู่ที่สำนักสงฆ์บ้านนาหมี่ อำเภอน้ำโสม จังหวัดอุดรธานี ในขณะนั้นไม่มีพระอยู่ ก็พอดีกับวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ซึ่งเป็นวันวิสาขบูชา บรรดาญาติโยมชาวบ้านนาหมี่ได้พากันนำดอกไม้ธูปเทียนมารวมกันที่ศาลาการเปรียญ เพื่อทำพิธีเวียนเทียนตามประเพณีนิยม และเป็นการระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐในโลก เพราะพระองค์ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน สามสมัยกาลนี้ตรงกัน ซึ่งไม่มีมนุษย์ใดในโลกจะมีเช่นนี้ เหตุนั้นนักปราชญ์ท่านจึงกล่าวว่า เป็นอัจฉริยบุคคลที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง

    เมื่อได้เวลาแล้ว ข้าพเจ้าและเพื่อนก็ขึ้นไปบนศาลาการเปรียญ พอกราบพระเสร็จนั่งลงเท่านั้น ชำเลืองตาไปดูญาติโยมที่มาจนเต็มศาลาน้อยนั้น ทันใดนั้นเหตุการณ์ที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นมันก็เกิดขึ้น กล่าวคือ ข้าพเจ้าเหลือบตาไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่ง นั่งอยู่ในท่ามกลางฝูงชนนั้น ทันทีก็เกิดความรักในหญิงสาวคนนั้นทันที อันความรักในครั้งนั้นนับว่ารุนแรงมาก ซึ่งไม่เคยมีมาแต่ก่อนเลยตั้งแต่บวชมา มันติดผิวหนังจนขนลุกซู่ซ่า แล้วตัดเนื้อเลยเข้าหัวใจ ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ อันกรรมฐานที่เจริญเห็นแจ้งมาแต่ถ้ำผาบิ้งไม่ทราบว่ามันหายหน้าไปไหนหมด มีแต่รักอย่างเดียวอยู่ในหัวใจเต็มไปหมด เข้าใจว่าหญิงสาวคนนั้นสวยงามน่ารักทุกส่วนสัด ทั้งที่ไม่เคยได้พบเห็นกันมาแต่ก่อนเลย นี้แหละอันความรักนี้ เขาจึงกล่าวกันว่าไม่มีพรหมแดน เมื่อทำพิธีเวียนเทียนเสร็จแล้วได้แสดงธรรม ๑ กัณฑ์ แล้วสนทนาปราศรัยกับญาติโยมผู้เฒ่าผู้แก่พอสมควรแล้วก็เลิกกันไป ปรากฏว่าคืนนั้นทั้งคืนนอนไม่หลับเลย คิดอยากจะสึกไปแต่งงานกับหญิงสาวคนนั้นอย่างเดียว แต่ก็สึกไม่ลง เพราะบางคราวก็นึกถึงกรรมฐานได้อยู่บ้าง

    พอรุ่งเช้าบิณฑบาตมาฉันแล้วก็ชวนเพื่อนองค์นั้นเดินทางมาสู่สำนักเดิม คือที่วัดอรัญญบรรพตนี้เอง และได้เล่าความในใจให้เพื่อนองค์นั้นฟังโดยตลอด และว่าถ้าขืนอยู่ในที่นั้นต่อไปอีก มีหวังได้สึกแน่ๆ ครั้นมาถึงที่พักเดิมแล้ว ต่อมาความรักและความรู้สึกนั้นก็หายไปหมด แต่แล้วก็มาก่อรักใหม่ขึ้นที่บ้านตัวเอง โดยคราวนี้เขานิมนต์ไปฉันภัตตาหารในบ้านที่บ้านหม้อ พอเหลือบไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่งก็ได้เรื่องเลย คือเกิดความรักขึ้นเหมือนคราวก่อนนั้นอีก ทั้งที่ไม่คุ้นเคยกันมาแต่ก่อนเลย ได้แต่รู้จักกันเท่านั้นเพราะเป็นคนบ้านเดียวกัน คราวนี้เลยฉันได้น้อยเต็มที นอนก็น้อยมาก จนถึงกับตัดสินใจจะไปลาอุปัชฌาย์สึก และก็เดินทางไปจริงๆ โดยไปกับเพื่อนองค์เดิมนั้นแหละ สมัยนั้นมีแต่เดินไปอย่างเดียว เพราะไม่มีรถขี่เหมือนสมัยนี้ เดินจากที่พักนั้นไปกว่าจะถึงอำเภอท่าบ่อก็ค่ำพอดี การเดินไปในวันนั้นไปได้ช้า ทั้งนี้เพราะอ่อนเพลียมากเนื่องจากฉันไม่ได้ และนอนไม่หลับมาหลายวัน จึงเป็นเหตุให้อ่อนเพลียอย่างมาก

    ในคืนนั้นเอง ได้พิจารณาเห็นความทุกข์ในโลกนี้อย่างมหันต์ทีเดียว จึงได้ปรารภกับตัวเองว่า เมื่อความทุกข์มันเป็นภัยใหญ่ของชีวิตดังนี้ ก็ไม่ทราบว่าจะสึกออกไปทำไม เมื่อบวชอยู่ก็ยังเป็นทุกข์ถึงขนาดนี้ ถ้าสึกออกไปมันจะไม่เป็นทุกข์ยิ่งไปกว่านี้หรือ เพราะความทุกข์ของผู้ครองเรือนนั้นมีร้อยแปดพันอย่าง พอปรารภกับตัวเองมาถึงตรงนี้ จิตก็คลายความกระสันอยากสึกลงทันที ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าไม่สึกละทีนี้ และในขณะนั้นอุปัชฌาย์ได้เดินทางไปอยู่ที่จังหวัดอุดรฯ จึงได้กลับมาโดยไม่ได้ติดตามไปเพื่อขอลาสึก

    พรรษาที่ ๓ จำพรรษาที่วัดป่าสาระวารี
    ต่อจากนั้นได้เดินทางไปจำพรรษาที่วัดป่าสาระวารี บ้านค้อ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี อีกเป็นครั้งที่สอง เป็นพรรษาที่ ๓ ในพรรษานี้ระหว่างต้นพรรษาได้ตั้งใจทำความเพียรอย่างเต็มที่ โดยปรารภความตายเป็นอารมณ์ ทั้งนี้เพราะจำพรรษาอยู่ในป่าช้า ก็นับว่าได้รับความเย็นใจพอสมควร พอย่างเข้าเดือน ๑๐ ได้ป่วยด้วยโรคเหน็บชาอย่างแรงถึงกับเดินไม่ได้ ออกพรรษาแล้วโยมบิดากับญาติพี่น้องได้ทราบเข้าจึงเอาเรือถ่อไปรับกลับมารักษาอยู่ ณ ที่ซึ่งเป็นวัดอรัญญบรรพตปัจจุบันนี้เอง (แต่ก่อนนั้นเป็นเพียงที่พักสงฆ์เท่านั้น) โดยล่องเรือมาตามลำน้ำโมงออกสู่แม่น้ำโขง แล้วถ่อขึ้นไปยังที่พักสงฆ์ดังกล่าว

    ขึ้นชื่อว่าโรคเหน็บชาแล้ว มันทนทุกข์ทรมานจริงๆ เพราะว่ามือเท้าเป็นง่อยหมดจนเดินไม่ได้ ขยับเขยื้อนไม่ได้เลย มือจะหยิบอาหารใส่ปากก็ไม่ได้ ต้องอาศัยผู้อื่นป้อนให้เหมือนเด็กแรกเกิด

    การเจริญภาวนาในระยะที่ป่วยอยู่นี้ ได้กำหนดเอาทุกข์เป็นอารมณ์ เพราะว่าโรคชนิดนี้กำเริบวันละหนึ่งครั้ง กำเริบทีไรใกล้ต่อความตายทุกที แต่แล้วเมื่อยังไม่ถึงเวลาตายมันก็ฟื้นคืนมาอีก มีอยู่วันหนึ่งจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันเพ็ญเดือน ๑๒ โรคได้กำเริบขึ้นเต็มที่ โดยลมพัดขึ้นเบื้องบนมาก พัดเอาเสลดขึ้นไปอุดช่องลมหายใจเข้าออกเสีย จิตถอนขึ้นมาอยู่ที่ต้นคอจวนจะตายอยู่เต็มทีแล้ว แต่ขณะนั้น มันเกิดความคิดขึ้นในใจว่า เออ วันนี้เป็นวันอุโบสถ ก่อนตายเราต้องสมาทานอุโบสถเสียก่อน ก็อธิษฐานว่า อชฺชเม อุโปสโถปัณณะระโส แปลว่า วันนี้เป็นวันอุโบสถที่ ๑๕ ค่ำของเรา เมื่ออธิษฐานอุโบสถแล้ว ใจมันวิตกไปถึงผ้าจีวรผืนหนึ่ง เขาถวายเมื่อวันออกพรรษา ตั้งใจว่าจะให้แก่สามเณรผู้อุปัฏฐากก็ยังไม่ได้ให้ ในขณะนั้นพูดไม่ได้แล้ว ขยับตัวก็ไม่ได้เลย แต่มันรู้ตัวขึ้นมาทันทีว่า เอ ทำไมจึงส่งจิตไปผูกพันกับสิ่งที่ไม่เป็นแก่นสารนั้นเล่า เมื่อเราตายแล้วเขาก็แจกกันเองแหละ ไม่ต้องห่วง จึงได้กำหนดวางอารมณ์อันนั้นเสีย และมานึกขึ้นได้ว่า ถึงอย่างไรก่อนตายเราต้องฉันยาเสียก่อนเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจึงตาย

    พอนึกขึ้นได้เท่านั้น บังเอิญแขนที่เป็นง่อยอยู่นั้นกลับมีกำลังแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม สามารถยกขวดน้ำยาที่วางอยู่ใกล้ตัวรินใส่แก้วจนเต็ม แล้วยกแก้วน้ำยาขึ้นใส่ปากดื่มลงไปจนหมดแก้ว น่าอัศจรรย์ เพราะตามธรรมดาแขนทั้งสองยกไม่ขึ้นเลย วันนั้นกลับสามารถช่วยตัวเองได้ เมื่อฉันยาเสร็จแล้วก็ตั้งสติสำรวมจิตว่าจะตายแล้ว พอกำหนดจิตลงไป ปรากฏว่ามีแสงเหมือนหิ่งห้อยแล่นลงไปสู่หทัยวัตถุ พอแสงนั้นวิ่งลงไปถึงหัวใจแล้ว ทันใดนั้นก็อาเจียนเสลดออกได้ประมาณเกือบครึ่งกระโถนแล้วก็หายใจได้ เป็นอันว่ารอดตายมาได้ด้วยอาการอย่างนี้ ต่อจากนั้นก็อ่อนเพลียมาก แต่ได้อุตส่าห์กำหนดจิต เตือนสติญาติโยมที่นั่งร้องไห้เฝ้าดูอาการอยู่นั้นชั่วขณะหนึ่งแล้วก็ตั้งสติ กำหนดจิตเพ่งลมหายใจเข้าออกอยู่เฉยๆ ไม่ได้พูดอะไร ในขณะนั้นเวลาประมาณทุ่มเศษ มีคนมาหาปลาอยู่เลียบฝั่งโขงแถวนั้นรู้ข่าวเข้า กลับไปถึงบ้านบอกชาวบ้านว่าข้าพเจ้าตายแล้ว ญาติพี่น้องชาวบ้านได้ยินข่าวก็ตกอกตกใจพากันออกมาเยี่ยมเป็นจำนวนมาก เมื่อเห็นข้าพเจ้ายังไม่ตายก็ดีใจ ต่อจากนั้นโรคก็ค่อยบรรเทาไปโดยลำดับทีละน้อย

    บัดนี้ ย้อนหลังคืนไปดูว่าโรคนี้หายได้ด้วยอาการอย่างไร เมื่อเริ่มป่วยลงนั้นก็มีผู้เอายามาให้ฉันหลายขนาน มันก็ไม่หาย เพียงแต่บรรเทาเท่านั้น ครั้นเมื่อมาอยู่วัดอรัญญบรรพตนี้แล้ว ในคืนวันหนึ่งได้เกิดความคิดขึ้นว่า โรคที่เกิดขึ้นครั้งนี้จะเป็นด้วยผลกรรมที่ตนทำมาแต่ชาติก่อนตามมาสนองหรืออย่างไรหนอ ทำไมจึงทรมานยิ่งนัก จะตายก็ไม่ตาย จะหายก็ไม่หาย และก็ไม่สามารถรู้ได้ในขณะนั้น จึงดำริในใจว่า "ข้าพเจ้ามาบวชในพุทธศาสนานี้ มุ่งแสวงหาทางพ้นทุกข์โดยตรง ไม่ได้มุ่งหวังลาภสักการะใดๆทั้งสิ้น ด้วยความสัตย์นี้หากอายุของข้าพเจ้าจะหมดลงในครั้งนี้แล้วไซร้ ก็ขอให้แตกดับไปโดยเร็วเถิด เพราะว่าได้รับทุกข์ทรมานมานานแล้ว หากว่าไม่ใช่เวรกรรมแต่หนหลังตามมาสนองแล้ว ถ้าข้าพเจ้ายังจะมีอายุต่อไปอีก ก็ขอให้มีผู้มาบอกข่าวหมอผู้จะรักษาโรคนี้ให้หายได้ ภายใน ๓ วัน หรือ ๗ วันด้วย"

    พอรุ่งเช้ามา เวลาประมาณเที่ยงวัน ก็มีญาติโยมผู้หญิงคนหนึ่งมาเยี่ยมและบอกข่าวให้ทราบว่า มีพระองค์หนึ่งเป็นหลวงพ่อ อยู่วัดบ้านใกล้กันนั้นเอง เป็นหมอยาสามารถรักษาโรคเหน็บชา รักษาให้คนผู้ป่วยด้วยโรคชนิดนี้หายมาแล้วหลายราย ควรจะไปนิมนต์ท่านมารักษาดูบ้าง พอได้ทราบเท่านั้น ก็นึกดีใจว่าโรคนี้จะหายได้แน่นอน ไม่ใช่โรคกรรมเวรอะไรตามมาสนอง ครั้นแล้วจึงบอกโยมบิดาเอาเรือล่องลงไปนิมนต์ท่านขึ้นมาตรวจรักษาดูบ้าง เมื่อท่านมาถึงตรวจดูอาการแล้วส่ายหัว บอกว่าโรคนี้หนักมากไม่สามารถจะรักษาได้ ข้าพเจ้าจึงพูดกับท่านว่า "ไม่เป็นไรดอกหลวงพ่อ นิมนต์รักษาไปเถิด ถ้าผมตายก็ขออโหสิกรรมให้หลวงพ่อ ไม่ต้องเป็นบาปกรรมอะไรทั้งสิ้น ขอให้คิดดู หากเห็นว่ายาขนานใดจะพอรักษาโรคนี้ให้หายได้ก็นิมนต์เถิดครับ" ต่อจากนั้นท่านจึงพิจารณาดูยาที่จะรักษาโรคนี้ ครั้นแล้วก็เรียกญาติโยมมาหาแล้วสั่งให้ไปเอายาสมุนไพรตามป่าและตามบ้านคน นำมาต้มเคี่ยวสามน้ำ เอาน้ำหนึ่งให้ลองฉันดู ญาติโยมก็รีบไปหายามาทันที และจัดการต้มเคี่ยวอยู่ทั้งคืนจนสว่างจึงเสร็จ แล้วเอามาให้ฉัน พอฉันลงไปแก้วหนึ่งเท่านั้นปรากฏว่ามีเสียงดังในท้องและพร้อมกับเบาหน้าอกทันที แต่ก่อนนี้แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวกเนื่องจากปอดบวม จึงได้รู้ว่ายาขนานนี้ถูกกับโรค ได้พยายามฉันยานั้นเรื่อยมาได้ประมาณเดือนหนึ่ง เกิดอาการคอแห้งไม่มีน้ำลาย เมื่อหมอมาเยี่ยมได้เล่าให้หมอฟังหมอจึงสั่งให้โยมไปเอาต้นอ่อนของไม้กะบกมาต้มให้ฉัน ที่ไหนได้พอฉันแล้วทำให้เสลดเหนียว ขากไม่ออกเลย เรื่องนี้แหละเป็นเหตุให้ลมตีเสลดขึ้นอุดช่องลมหายใจ เกือบจะตายไปดังกล่าวมาแล้ว ถ้าระลึกถึงยาไม่ได้ก็มีหวังตายแน่ตั้งแต่ครั้งนั้น คงไม่ได้มาเขียนชีวประวัติให้ท่านผู้สนใจได้อ่านกันอย่างนี้แล้ว

    พรรษาที่ ๔-๕ จำพรรษาที่วัดอรัญญบรรพต
    ในครั้งนั้นการภาวนาก็พอเป็นไปได้ แต่มีเรื่องที่แก้ไม่ตกอยู่เรื่องหนึ่ง คือเมื่อภาวนาทำจิตให้สงบลงไปแล้ว ก็พิจารณาขันธ์ห้าเป็นอารมณ์ จนเห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตามสภาพความเป็นจริง แล้วปล่อยวางไว้ตามสภาพ ในขณะนั้นรู้สึกว่าจิตสงบพร้อมกับความรู้เป็นอย่างดี คล้ายกับว่ากิเลสหมดไปแล้ว ครั้นอยู่ต่อไปเมื่อเวลามีเรื่องต่างๆมากระทบ เช่น ทางตา เป็นต้น ก็มีความรู้สึกผิดปกติไป จิตหวั่นไหวในอารมณ์นั้นๆอยู่บ้าง แต่ไม่รุนแรง อย่างไรก็ดี ถึงไม่รุนแรงแต่มันก็แสดงว่ากิเลสยังไม่หมดสิ้นไปโดยเด็ดขาด พยายามแก้อย่างไรก็ไม่ตก จึงนึกในใจว่าใครหนอจะช่วยแก้จิตให้ได้ ในขณะนั้นจึงนึกไปถึง พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ว่าจะสามารถแก้ข้อข้องใจต่างๆที่เกิดขึ้นนี้ได้ ทั้งที่ไม่เคยเห็นท่านมาก่อนเลย ได้ยินแต่กิตติศัพท์กิตติคุณของท่านเท่านั้น ว่าท่านเป็นผู้ปฏิบัติดี และเก่งทางอภิญญาด้วย จึงชวนกันกับเพื่อนภิกษุรูปหนึ่งที่อยู่ด้วยกัน เดินทางขึ้นไปหาท่านอาจารย์มั่น โดยลงเรือจากหลวงพระบางขึ้นไปอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย จากเชียงแสนเดินทางไปเรื่อยๆ ค่ำไหนนอนที่นั่น

    นิมิตถึงท่านพระอาจารย์มั่น และได้พบท่าน
    ในคืนวันหนึ่งเดินทางไปไม่ถึงหมู่บ้าน จึงนอนอยู่กลางป่าข้างทางเดิน ปรากฏว่าคืนนั้นเองได้นิมิตเห็นท่านอาจารย์มั่นปรากฏภาพท่านยืนอยู่ตรงหน้า ท่านยิ้มเฉยๆ ไม่ได้กล่าวพูดอะไรด้วย ข้าพเจ้ารู้สึกมีความปีติเป็นอย่างยิ่งที่ได้นิมิตเห็นท่านอาจารย์ผู้ทรงคุณประเสริฐ แม้จะเห็นภาพท่านเฉยๆ ไม่ได้พูดด้วยก็นับว่าเป็นมงคลอย่างยิ่ง รุ่งเช้าได้ปรารภขึ้นก็ปรากฏว่า เพื่อนภิกษุก็ได้นิมิตเห็นท่านอาจารย์เช่นเดียวกัน เมื่อซักถามถึงลักษณะที่ปรากฏ ก็ได้ความว่าเป็นอย่างเดียวกันจึงทำให้มั่นใจอย่างยิ่งว่า ท่านได้เมตตามาปรากฏให้เห็นและเราต้องได้พบท่านแน่นอน

    พบท่านอาจารย์มั่น พ.ศ. ๒๔๘๑
    ครั้นเมื่อเดินทางไปถึงจังหวัดเชียงใหม่ ได้ไปที่วัดเจดีย์หลวง หลวงตาเกต ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกของท่านอาจารย์มั่น ทราบว่าเราประสงค์จะไปพบท่านอาจารย์ ได้เมตตาพาไปพบท่านที่ป่าละเมาะใกล้ๆโรงเรียนแม่โจ้ อำเภอสันทราย ซึ่งเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก เพราะรูปร่างหน้าตาของท่านนั้นเหมือนกับที่ได้นิมิตเห็นทุกประการ เมื่อเข้าไปกราบไหว้ท่าน ท่านก็สนทนาปราศรัยด้วยเป็นอย่างดี เมื่อได้โอกาสจึงเรียนถามเรื่องภาวนาที่ทำมาแล้วนั้นว่าถูกหรือไม่ ท่านไม่ตอบว่าผิดหรือถูก ท่านกล่าวว่านักภาวนาทั้งหลายพากันติดความสุขที่เกิดจากสมาธิโดยส่วนเดียว เมื่อทำจิตให้สงบแล้วก็สำคัญว่าความสงบนั้นแหละเป็นความสุขอันยอดเยี่ยม จึงไม่ต้องการพิจารณาค้นคว้าหาความจริงของชีวิตแต่อย่างใด ท่านชักรูปเปรียบให้ฟังว่า ธรรมดาเขาทำนาทำสวน เขาไม่ได้ทำใส่บนอากาศเลย เขาทำใส่บนพื้นดินนี้แหละจึงได้รับผล ฉันใดโยคาวจรผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหลาย ควรพิจารณาร่างกายนี้แหละเป็นอารมณ์ จนเกิดนิพพิทาความเบื่อหน่ายในนามในรูปนี้ ด้วยอำนาจแห่งปัญญานั้นแหละ จึงจะเป็นทางหลุดพ้นได้ ไม่ควรติดอยู่ในความสงบโดยส่วนเดียว

    เมื่อท่านอาจารย์ให้โอวาทแล้ว จึงพิจารณาดูตัวเองในภายหลัง จึงได้รู้ว่าตนเองเพียงแต่เจริญสมถะเท่านั้น ไม่ได้เจริญวิปัสสนาเพื่อความรู้แจ้งในธรรมที่ควรรู้ควรเห็น คืออริยสัจสี่ ถึงเจริญปัญญาบ้างก็เป็นไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มากพอที่จะรู้แจ้งได้ ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงได้เร่งทำความเพียรให้ยิ่งไปกว่าเดิม

    ในคืนวันหนึ่งเมื่อเดินจงกรมตอนหัวค่ำแล้วก็เข้าที่ ทำวัตรสวดมนต์เสร็จแล้วก็อธิษฐานในใจว่า บัดนี้ข้าพเจ้าจะนั่งสมาธิภาวนาเพื่อทำใจให้สงบและเพื่อความรู้แจ้งเห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ควรเห็นดังกล่าวนั้น ถ้าหากว่าข้าพเจ้าทำจิตให้รู้ยิ่งเห็นจริงไม่ได้กว่าเดิม จะไม่ลุกจากที่นั่งนี้เป็นเด็ดขาด เมื่ออธิษฐานเสร็จแล้ว ก็เริ่มดำเนินภาวนาต่อไปโดยลำดับ ในขณะนั้น ก็ปรากฏนิมิตเห็นท่านอาจารย์มั่นจูงม้าอาชาไนยตัวหนึ่งมายืนต่อหน้าแล้วพูดว่า "นี้แหละคือม้าอาชาไนยอันประเสริฐ ท่านจงทำตัวให้เหมือนม้าอาชาไนยตัวนี้ คือธรรมดาม้าอาชาไนยเป็นม้าที่ฝึกง่ายและเข้มแข็งไม่อ่อนแอ ท่านจงดูนะ" ว่าแล้วท่านก็ก้าวขึ้นขี่บนหลังม้าอาชาไนยตัวนั้น ครั้นแล้วมันก็พาท่านวิ่งไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับลมพัดก็ปานกันหายวับไปจากสายตา ต่อจากนั้นก็ทวนกระแสจิตเข้ามาสู่ปัจจุบัน พิจารณาดูนิมิตนั้นได้ความรู้ความเข้าใจในธรรมได้อย่างปลอดโปร่งว่า ม้าอาชาไนยนั้นเปรียบเสมือนดวงปัญญา กิริยาที่วิ่งไปนั้นได้แก่ ปัญญา พิจารณาเห็นสังขารนามรูปนี้ว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตามสภาพความเป็นจริงอย่างรวดเร็ว ฉะนั้น ต่อจากนั้นก็พิจารณาดูธาตุสี่ขันธ์ห้าอย่างพิสดารกว้างขวาง จนเห็นแจ้งประจักษ์โดยประการทั้งปวง หมายความว่า ได้เห็นธาตุทั้งสี่ขันธ์ทั้งห้ายิ่งไปกว่าเดิม จึงได้ออกจากการนั่งสมาธินับว่านานพอได้

    วันต่อมาก็ได้กราบเรียนเรื่องความเป็นไปของจิตให้ท่านทราบ ท่านก็ชมว่าเก่ง อย่างนี้แหละจึงเรียกว่าเป็นผู้เห็นทุกข์ภัยในวัฏสงสารมีความต้องการอยากพ้นทุกข์จริงๆ และท่านก็ได้แนะนำอุบายเรื่องการเจริญวิปัสสนาให้ยิ่งขึ้นไป นับว่าได้ผลเกินความคุ้มค่าที่ได้เดินทางมาด้วยความเหนื่อยยากเพื่อไปหาท่าน

    พรรษาที่ ๖ จำพรรษาที่สวนผลไม้อำเภอพร้าว
    ในพรรษาที่ ๖ คิดว่าจะขอจำพรรษากับท่านอาจารย์มั่น บังเอิญท่านได้รับนิมนต์จากเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง ให้จำพรรษาที่วัด ที่วัดเจดีย์หลวงที่อยู่ไม่เพียงพอ ประกอบกับญาติโยมทางอำเภอพร้าวมาขอนิมนต์พระจากท่านอาจารย์มั่นไปจำพรรษาที่อำเภอพร้าว ท่านอาจารย์จึงแต่งให้พระสามรูปไปฉลองศรัทธาของเขา คือ พระอาจารย์เนียม พระอ่อนศรี และข้าพเจ้า เมื่อออกพรรษาแล้ว ญาติโยมอำเภอพร้าวจึงแต่งคนไปนิมนต์ท่านอาจารย์มั่นมาร่วมในงานทอดกฐิน ครั้นเสร็จงานกฐินแล้วไม่นาน ท่านอาจารย์ได้พาไปวิเวกอยู่บนเขาชื่อว่า ดอยพระเจ้า ในเขตอำเภอพร้าวนั้นเอง อยู่กัน ๖ รูป มีท่านอาจารย์มั่น ท่านอาจารย์เนียม พระอ่อนศรี ท่านอาจารย์บุญธรรม เป็นต้น ข้าพเจ้าไปอยู่บนยอดเขาชื่อว่าธาตุแม่โกนกับท่านอาจารย์เนียม เช้าขึ้นเดินลงมาบิณฑบาตเป็นระยะทางประมาณ ๒ กิโลเมตร การปฏิบัติธรรมอยู่บนเขานี้นับว่าได้ผลมาก เกิดปีติอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน

    พรรษาที่ ๗-๘ จำพรรษวัดสันต้นเปา
    พรรษาที่ ๗ จำพรรษาอยู่ที่สำนักสงฆ์อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เนื่องจากญาติโยมนิมนต์จำพรรษาอยู่กับท่านอาจารย์กู่ ธมฺมทินโน ซึ่งเคยเป็นอาจารย์มาแต่ก่อนและอาจารย์สิมด้วย จำอยู่ที่นั่น ๔ พรรษาอยู่ที่วัดสันต้นเปา เขตอำเภอสันกำแพง ห่างจากอำเภอ ๘ กิโลเมตร จำอยู่ ๓ ปี

    พรรษาที่ ๑๐ จำพรรษาสำนักสงฆ์แม่หนองหาร
    จากนั้นแล้วก็ไปจำพรรษาอยู่ที่สำนักสงฆ์แม่หนองหาร อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ๑ พรรษา ร่วมกับหลวงปู่ชอบ ฐานสโม

    ในพรรษานั้น หลวงปู่ชอบชวนไปเที่ยววิเวกที่ประเทศพม่า ท่านว่าท่านเคยไปมาแล้วครั้งหนึ่ง ที่นั่นมีถ้ำมีภูเขาเป็นที่เจริญสมณธรรมมาก ได้เรียนท่านว่า "กระผมขอพิจารณาดูก่อน ถ้าไม่ขัดข้องก็จะไป" ต่อจากนั้นก็เริ่มเข้าสมาธิ พิจารณาเรื่องที่จะไปพม่าดูว่าจะสะดวกหรือไม่ เมื่อพิจารณาดูไปทางพม่าปรากฏว่า "มืดมน" ไม่แจ่มใสในกระแสจิต เข้าสมาธิทีไรมีแต่มืดตื้อไม่ปลอดโปร่งเลย จึงรู้ได้ว่า ถ้าไปก็ไม่เป็นมงคล เห็นจะได้ไปประสบกับอุปสรรคอย่างร้ายแรง ครั้นวันต่อมาหลวงปู่ชอบถามว่า เป็นอย่างไรพิจารณาแล้วได้ความอย่างไรการไปวิเวกที่พม่า ข้าพเจ้าเรียนท่านว่า "ผมพิจารณาแล้วได้ความว่า การไปพม่าคราวนี้จะมีอุปสรรคไม่สะดวกแก่การบำเพ็ญสมณธรรม" ท่านพูดว่า "เมื่อผมพิจารณาปรากฏว่าสะดวกดี ไม่มีอะไรขัดข้อง" ข้าพเจ้าพูดว่า "ถ้าเช่นนั้นก็นิมนต์ท่านอาจารย์ไปเถิด สำหรับผมไม่ไปแล้ว" พอออกพรรษาแล้วท่านก็เดินทางไปพม่าจริงๆ โดยได้พระสองรูปกับพ่อขาวเฒ่าคนหนึ่งติดตามไป เมื่อไปถึงพม่าไม่นาน พระหนุ่มสองรูปกับพ่อขาวเฒ่าได้ลาท่านกลับเมืองไทย ตกลงว่าท่านต้องอยู่องค์เดียว และเมื่อออกพรรษาแล้วท่านก็กลับมาเมืองไทย มาจำพรรษาสำนักสงฆ์ บ้านห้วยน้ำริน อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ออกพรรษาแล้วข้าพเจ้าได้พบกับท่าน ได้เรียนถามถึงการไปอยู่พม่าคราวนั้นว่าเป็นอย่างไร ท่านได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า ได้พบกับทหารจีนที่เขายกเข้ามาพม่าเพื่อต้านทานกับญี่ปุ่น เพื่อไม่ให้ญี่ปุ่นล่วงล้ำเข้าไปในเขตจีน ในปี พ.ศ. ๒๔๘๒ ญี่ปุ่นได้ยกทัพเข้ามาเมืองไทยและส่งทหารเข้าไปในประเทศพม่า พวกจีนเขาถือว่าคนไทยเข้ากับญี่ปุ่น ดังนั้น เมื่อทหารจีนพบกับคนไทยอยู่ในพม่า เขาจะต้องจับเป็นเชลย ท่านอาจารย์เล่าว่าพวกไทยใหญ่ที่นับถือท่าน เขาพาท่านไปซ่อนอยู่ตามถ้ำ แล้วเขาไปถวายอาหารให้ท่านฉัน ไม่ให้ท่านไปบิณฑบาตกลัวทหารจะจับท่าน ท่านเล่าให้ฟังว่า ไปพักอยู่ที่ไหน ถ้าที่นั่นมีกองทหารจีนผ่านไป เวลานั่งภาวนาจะมีนิมิตปรากฏให้เห็น เมื่อปรากฏเช่นนั้นแล้วท่านก็ย้ายทันที แล้วปรากฏว่ามีกองทหารจีนผ่านมาทางนั้นจริงๆ เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง ต่อมาวันหนึ่งตอนเช้า ญาติโยมไทยใหญ่เขาพากันไปถวายอาหาร เขามีอาวุธติดตัวไปด้วย เวลานั้นท่านนั่งฉันอาหารอยู่หน้าถ้ำ พวกญาติโยมก็ยืนอารักขาอยู่โดยรอบ ปรากฏว่าเห็นทหารจีนหมู่หนึ่งเดินมาหาท่าน ห่างกันประมาณสามวา เขาก็หยุดยืนจ้องดูท่านอยู่เฉยๆ ไม่แสดงกิริยาอาการที่จะทำร้ายแต่อย่างใด ในขณะนั้นท่านก็นึกในใจว่า ชีวิตของเราเห็นจะมาจบลงในที่นี้แหละ ท่านก็สำรวมจิตอย่างมั่นคงแล้วก็ฉันข้าวไปเรื่อยๆ ทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ทหารเหล่านั้นจ้องดูท่านอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วก็เดินผ่านไปเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรแก่ท่าน ท่านก็นึกว่า เราพ้นภัยแล้วบัดนี้ ที่ไหนได้สักครู่หนึ่ง ทหารจีนอีกพวกหนึ่งก็เดินทางมาทางเดียวกันกับพวกก่อนนั้นแหละ แล้วก็มายืนจ้องดูท่านอีก ไม่พูดอะไรเพราะพูดขึ้นก็ไม่มีใครเข้าใจ ท่านก็วิตกเหมือนเดิมอีก เขาจ้องดูอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เดินผ่านไป และก็ไม่มีทหารหมู่อื่นมาอีก ภายหลังท่านคิดว่าถ้าขืนอยู่พม่านี้ต่อไป อาจจะถูกจับเป็นเชลยแน่นอน เพราะเหตุนั้นท่านจึงเดินทางกลับมาประเทศไทย พร้อมกับคนลาวคนหนึ่งซึ่งเขาไปทำงานป่าไม้อยู่กับชาวอังกฤษ เมื่ออังกฤษยกพม่าให้เป็นเอกราชแล้วเขาก็ยังอยู่ในพม่า ดังนั้น ท่านอาจารย์ชอบจึงได้เพื่อนเดินทางกลับเมืองไทย ท่านได้จำพรรษาสำนักสงฆ์ห้วยน้ำริน จังหวัดเชียงใหม่ ในพรรษานั้นท่านเป็นไข้ตลอดพรรษา ทั้งนี้ เพราะได้รับความบอบช้ำจากการเดินทางจากพม่ามาประเทศไทยในปีนั้น การพิจารณาเรื่องการเดินทางไปพม่าของข้าพเจ้านับว่าถูกต้อง ไม่เช่นนั้นแล้วข้าพเจ้าคงได้รับความลำบากเช่นเดียวกับท่านอาจารย์ชอบนั้นแล

    พรรษา ๑๑–๑๔ จำพรรษาสำนักสงฆ์ อำเภอสันกำแพง
    เมื่อออกพรรษาแล้วได้ไปเที่ยววิเวกในเขตอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ บังเอิญได้พบกับ หลวงปู่ชอบ และ หลวงปู่ขาว ได้พากันไปวิเวกตามเขาและถ้ำซึ่งอยู่ใกล้กับหมู่บ้าน พอบิณฑบาตถึงได้ เขาลูกนั้นมีถ้ำอยู่สองถ้ำ แต่เป็นถ้ำที่อยู่สูงจากตีนเขาขึ้นไปประมาณ ๑๕ วา ประกอบกับขึ้นชันมาก เวลาขึ้นต้องเอามือเหนี่ยวต้นไม้ขึ้นไป ข้าพเจ้ากับพระองค์หนึ่งขึ้นไปอยู่บนถ้ำ หลวงปู่ชอบกับหลวงปู่ขาวอยู่หัวเขาข้างล่าง ไปอยู่ที่นั่นรู้สึกภาวนาดีพอสมควร เพราะอากาศก็ดีและสงัดด้วย ส่วนชาวบ้านที่ใกล้เขาลูกนั้น เมื่อได้ทราบข่าวว่ามีพระกรรมฐานมาพักอยู่ในถ้ำและเขานั้น ก็พากันชื่นชมยินดี ชักชวนกันมาทำที่พักอาศัยให้ ส่วนน้ำใช้น้ำฉันเขาเอาไม้ไผ่มาทำเป็นรางต่อกันมาแต่ข้างเขา เอาน้ำที่ออกข้างเขานั้นให้ไหลตามรางมาไว้ที่หัวเขา นับว่าสะดวก แต่น้ำนั้นผสมกับหินปูน ต้องต้มให้เดือดแล้วปล่อยให้เย็น เมื่อตกตะกอนแล้วจึงกรองเอามาฉัน

    ครั้นอยู่ต่อมา พระที่อยู่ในบ้านเขาพากันสึกหมด คนในหมู่บ้านเจ็บป่วยลง กำนันตำบลนั้นเกิดความเห็นผิดขึ้นมาว่า พระกรรมฐานไปอยู่ในถ้ำนั้น ผีที่อยู่ในถ้ำนั้นกลัวพระกรรมฐานอยู่ไม่ได้จึงมารบกวนชาวบ้านให้เจ็บป่วย กำนันตำบลนั้นจึงเที่ยวประกาศห้ามไม่ให้ชาวบ้านที่หมู่บ้านซึ่งกำนันอยู่นั้นทำบุญตักบาตร วันหนึ่งเดินไปบิณฑบาตในหมู่บ้านนั้น ไม่มีใครใส่บาตรสักคนเดียว เมื่อไปบ้านอื่นซึ่งอยู่ใกล้กันจึงมีผู้ใส่บาตรให้ นี้แหละขึ้นชื่อว่าความเห็นผิด ความเชื่อผิด ทำให้คนเรากระทำแต่สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ เป็นไปเพื่อโทษโดยส่วนเดียว วันต่อมารางน้ำที่ชาวบ้านผู้ที่เขาเลื่อมใสต่อมาให้ใช้ยังที่พักถูกฟันเสียหายเป็นบางตอน ญาติโยมรู้เข้าเขาก็พากันไปซ่อมแซมให้ใช้ได้ตามเดิม ต่อมาหลวงปู่ขาวชวนข้าพเจ้าขึ้นไปวิเวกบนดอยแม้ว ส่วนหลวงปู่ชอบกับหลวงพ่อวงศ์ยังอยู่ที่เดิม เมื่อเดินทางขึ้นไปถึงบ้านแม้วแล้วก็ไปหาผู้ใหญ่บ้าน แนะนำให้เขารู้ว่า เราเป็นนักบวช คือเป็นพระในพระพุทธศาสนา ทั้งนี้ เพราะเขาไม่เคยเห็นพระมาก่อนสักคนเลย สำหรับการพูดจากันนั้น ผู้ชายเท่านั้นพอพูดรู้เรื่องกันบ้าง ส่วนผู้หญิงพูดไม่รู้เรื่องกันเลย โดยพูดกับเขาว่า พวกเรามานี้ไม่ได้มาหาเงินทองอะไร เรามาพักภาวนาหาความสงบทางจิตใจเท่านั้น หวังว่าคงไม่ขัดข้อง ผู้ใหญ่บ้านตอบว่าไม่ขัดข้อง ยินดีให้ความช่วยเหลือทุกอย่างที่พวกท่านต้องการ ถ้าเช่นนั้นก็ขอให้พาไปหาสถานที่พักในป่าบ้าง ที่ไหนเป็นที่สงัดและมีน้ำพอได้อาบและฉัน ผู้ใหญ่ก็เรียกลูกบ้านมา ๔-๕ คน แล้วพาไปหาที่พัก ทำที่พักถวายแล้วก็กลับกัน รุ่งเช้าไปบิณฑบาตเขาไม่ได้ทำอาหาร มีแต่หุงข้าวไว้เท่านั้น เขาก็เอาเนื้อหมูที่ลวกน้ำเกลือกันเน่าที่เก็บไว้มาใส่บาตรให้ ได้ชี้ให้โยมที่ติดตามไปรับแทนไม่ให้ใส่ในบาตร เมื่อบิณฑบาตเสร็จแล้วก็ให้โยมผู้ติดตามขอยืมหม้อกะทะขนาดเล็กของเขาไปสู่ที่พัก แล้วโยมก็จัดการทำให้สุกแล้วฉันกัน ในวันต่อไปชาวบ้านที่ไปจากข้างล่างแนะนำเขาจึงทำอาหารสุกใส่บาตรให้

    การบำเพ็ญภาวนารู้สึกว่าเป็นไปได้ดี อากาศก็เย็นสบายไม่ร้อนมาก ลมพัดอยู่เสมอ บำเพ็ญอยู่ได้ ๑๐ วัน หลวงปู่ขาวไม่ค่อยสบายผิดอากาศต้องกลับมาพักอยู่หัวเขาตามเดิม อยู่ต่อมาหลวงปู่ชอบชวนขึ้นไปอีก คราวนี้ไม่มีญาติโยมไปด้วย ต้องจ้างคนสองคนหาบบริขารขึ้นไปช่วย และประสงค์ให้เขาไปทำที่พักให้บนเขาสูงลูกหนึ่ง ซึ่งอยู่ข้างล่างมองเห็นอยู่คิดว่าจะวิเวกดี เดินทางไปวันยังค่ำถึงตีนเขาลูกนั้น ที่ตีนเขานั้นมีบ้านน้อยหลังหนึ่ง ได้สนทนากับเจ้าของบ้านและบอกความประสงค์ให้เขาทราบว่า เราต้องการจะไปพักภาวนาอยู่หลังเขาลูกนี้จะขัดข้องประการใด เขาตอบว่าอย่าไปเลยท่าน ผีดุมากที่เขาลูกนี้ ถามเขาว่า รู้ได้อย่างไรว่าผีดุ เขาบอกว่าพวกผู้ชายแม้วสามคนมาเที่ยวเขาลูกนี้เมื่อไม่กี่วันมานี้ ผีมันทำเอาตายไปสองคน อีกคนหนึ่งมาหาผมขอให้ผมไปพูดกับผี ให้ผมไปเจรจากับผีให้จึงไม่ตาย ข้าพเจ้าพูดว่าคนเหล่านั้นไปทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้เขาไม่พอใจกระมัง เขาพูดว่า แม้วเหล่านั้นเขางัดก้อนหินได้ตกลงในเหวลึกซึ่งอยู่ข้างหัวเขานั้นเอง ทำเอาเสียงดังสนั่นหวั่นไหวในบริเวณนั้นเอง แล้วก็พากันร้องเอิกเกริกแสดงความสนุกสนานเต็มที่ ข้าพเจ้าจึงว่า ก็เพราะเหตุนั้นจึงเกิดความวิบัติกัน เนื่องจากภูติผีปิศาจที่อาศัยอยู่ตามที่นั้นเขาชอบสงบ เมื่อใครไปทำวุ่นวายเขาไม่ชอบ และเขาถือว่าไปล่วงเกินเขาโดยไม่ยำเกรงจึงทำร้ายเอา สำหรับพวกอาตมาไปอยู่อย่างสงบคงไม่เป็นไรหรอก ขอให้โยมพาไปบ้างเถิด จะได้เป็นบุญกุศลของพวกโยมด้วย เขาตอบว่าถ้าพวกท่านไม่กลัวผมก็จะพาไป เขาก็พากันขึ้นไป พอถึงหลังเขาก็เกือบค่ำ วันรุ่งขึ้นก็ไปบิณฑบาตบ้านเดิมที่มาอยู่คราวก่อนนั้นแหละ แต่ระยะทางไกลมากประมาณสี่กิโลเมตรเห็นจะได้ คราวนี้ไม่ลำบากเพราะเขาเคยใส่บาตรแล้ว พอเป็นวันใหม่ก็ไป เมื่อกลับมาถึงที่พักก็ประมาณสามโมงเช้า โยมสองคนที่หาบของไปส่งนั้น เขาก็ช่วยทำกระท่อมให้รูปละหลัง ทำกันอยู่สามวันเสร็จแล้วก็กลับไปบ้าน ต่อจากนั้นก็ตั้งใจประกอบความเพียรกันเต็มที่ คืนวันหนึ่งนั่งสมาธิอยู่เกิดความรู้ขึ้นในจิตว่า "ระวังอย่าประมาท คืนนี้เสือใหญ่มา" เอนี่อะไรกัน ความคิดหลอกตัวเองหรืออย่างไร เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง แต่ก็นึกปลงสังขารลงว่า เอาเถิดเสือ จะกินก็กินเถิด เราถวายชีวิตบูชาพระรัตนตรัยแล้วจึงมาสู่สถานที่เช่นนี้ ถ้ากรรมเวรหากมีก็จะขอรับกรรมไปไม่ขัดข้อง ถ้าหากกรรมเวรไม่มีก็ขอให้ปลอดภัย คิดเท่านี้แล้วก็สงบจิตคอยฟังอยู่ว่าเสือมันจะมาทำอย่างไร นั่งสมาธิอยู่นานเท่านานก็เงียบ ไม่มีเสียงอะไรดังขึ้นเลย เหนื่อยมากก็จำวัดลงไป โดยคิดว่ามันจะเอาไปกินในเวลานอนหลับก็แล้วแต่มัน ต่อจากนั้นก็หลับไป พอตื่นขึ้นก็ลุกนั่งสมาธิฟังอยู่ก็ไม่ปรากฏว่ามีปฏิกริยาอะไรเกิดขึ้น พอสว่างก็ไปปฏิบัติท่านอาจารย์ชอบ และเรียนถามท่านว่า "ขอโอกาส เมื่อคืนนี้ท่านอาจารย์ได้เห็นอะไรบ้าง" ท่านตอบว่า "ได้สิ" พอภาวนาเสร็จแล้วก็จำวัด พอเคลิ้มไปเท่านั้นแหละก็ปรากฏว่ามีอุบาสกนุ่งขาวคนหนึ่งมาบอกว่า "คืนนี้เสือใหญ่มานะ ท่านอย่าประมาทนะ" พอทราบอย่างนั้นก็รีบลุกขึ้นนั่งสมาธิคอยฟังอยู่ว่ามันจะมาอย่างไรกัน นั่งอยู่ตั้งนานก็ไม่เห็นเสือมาสักทีก็จำวัดต่อไป ตื่นขึ้นนั่งสมาธิฟังอยู่ก็ไม่เห็นมันมาเลยไม่ทราบว่านิมิตมันจะหลอกเล่นหรืออย่างไร ข้าพเจ้าจึงเรียนท่านว่า "ผมก็ปรากฏเหมือนกัน แต่ก็ไม่เห็นมันไปหาเลย" เพื่อพิสูจน์ความจริงข้าพเจ้าก็เข้าไปในป่าหญ้าแฝกซึ่งล้อมรอบที่พักอยู่ ทันใดนั้นก็เห็นรอยเสือคุ้ยดินเป็นขุมๆ เป็นระยะไปในป่าหญ้าแฝกนั้นเอง จึงได้เรียนให้ท่านอาจารย์ทราบ ท่านเข้าไปดูท่านจึงว่า "แหมมันมานั่งเฝ้าพวกเราอยู่ตลอดคืนกระมัง แต่มันไม่สามารถจะทำอะไรกับเราได้" ครั้นแล้วก็พากันห่มผ้าไปบิณฑบาต พอเดินตามทางไปเห็นรอยของเสือใหญ่ปรากฏไปเรื่อยๆ พอลงเขาไปถึงลำธารปรากฏว่าน้ำในลำธารตรงข้ามยังขุ่นๆอยู่ จึงพูดว่ามันเพิ่งข้ามน้ำไปไม่นานนี่ บางทีอาจจะพบกันระหว่างทางนี้ก็ได้ ต่อจากนั้นก็ตั้งสติสำรวมจิตอย่างเต็มที่และก็ไม่ลืมเมตตา เจริญเมตตาไปเรื่อยๆ เจริญอย่างไร "คือนึกในใจว่า ขอให้สัตว์ทั้งหลายจงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรต่อกันและกันเลย จงมีความสุขรักษาตนให้พ้นจากภัยอันตรายเถิด" ดังนี้ พอเดินไปถึงป่าเหล่าแก่แห่งหนึ่ง เห็นรอยมันแวะเข้าไปในป่านั้น จึงพูดว่าแกจงไปเป็นสุขเถิด อย่ากลับไปหาเราอีกเน้อ ตั้งแต่วันนั้นมามันก็ไม่ไปหาเลย

    อยู่มาวันหนึ่ง ท่านอาจารย์ชอบเล่านิมิตให้ฟังว่า ภาวนาไปจิตสงบลงเกิดแสงสว่างพุ่งไปสู่ทางจงกรม ขณะนั้นปรากฏเห็นพญานาคตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมาที่หัวทางจงกรมนั้น ท่านถามพญานาคว่ามาจากไหน พญานาคตอบว่า "มาจากเชิงเขาลูกนี้ ข้าพเจ้าอยู่เชิงเขาลูกนี้แหละ ในเขาลูกนี้มีลำธารผ่านเชิงเขาออกมาแล้วไหลสู่ท้องนาของชาวบ้าน พวกท่านเดินทางมาก็คงได้ข้ามลำธารนี้มาหลายครั้งไม่ใช่หรือ" ท่านอาจารย์ถามว่า "ท่านชื่อว่าอย่างไร" พญานาคตอบว่า "ข้าพเจ้าชื่อเทพนาคา" ท่านอาจารย์เล่าว่าพญานาคเมื่อโผล่หัวขึ้นที่ทางจงกรมแล้วก็เอาหางพาดเขาอีกลูกหนึ่งให้ท่านดู รู้สึกว่าตัวยาวมาก ข้าพเจ้าถามว่า ลักษณะสีของพญานาคเป็นอย่างไร ท่านบอกว่าพญานาคนั้นมีหงอนสีแดงและมีแผงเหมือนกับของม้าเช่นนั้น และลำตัวเป็นเกล็ดสีดำเลื่อม แสดงตัวให้ดูอยู่ครู่หนึ่งก็จมลงไปที่เดิมนั้นเอง เรื่องพญานาคก็เป็นอันจบลงเท่านี้

    ต่อมาอีกสองวัน ข้าพเจ้านั่งสมาธิในคืนวันนั้นรู้สึกว่าปลอดโปร่งดีพอสมควร เมื่อออกจากสมาธิแล้วก็นอนตะแคงลงข้างขวาลงเป็นการเปลี่ยนอิริยาบถ และมีสติสัมปชัญญะให้ตั้งมั่นอยู่ภายในตามเดิม ในขณะนั้นกระแสจิตก็ผ่องใสดี ครั้นแล้วก็ปรากฏเหมือนมีเงามืดไหลเข้าสู่กระแสจิตที่ผ่องใสอยู่นั้นให้มืดเข้าทีละน้อย เหมือนก้อนเมฆไหลเข้าสู่ดวงจันทร์ฉะนั้น จึงดำริในใจว่า "เรื่องนี้เป็นเรื่องอะไรหนอ" ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไรในขณะนั้น จึงเกิดความรู้ขึ้นมาว่า ทุกสิ่งทุกอย่างคงไม่พ้นไปจากนามรูป จึงบริกรรมขึ้นในจิตว่า "นามรูปังอนิจจัง นามรูปังทุกขัง นามรูปังอนัตตา" พอบริกรรมเท่านั้นก็ปรากฏว่า กระแสจิตที่มืดอยู่นั้นค่อยสว่างออกทีละน้อยๆ เหมือนก้อนเมฆไหลออกจากพระจันทร์ฉะนั้น ต่อจากนั้นจึงเคลื่อนไหวร่างกายได้ ปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่เคยมีมาแต่ก่อนเลย เพิ่งปรากฏเป็นครั้งแรก จึงเลยไปนึกถึงเรื่องพญานาคที่ท่านอาจารย์ชอบนิมิตเห็น ชะรอยว่าพญานาคจะมาเยี่ยมหรืออย่างไรก็เป็นเรื่องที่รู้อยู่ไม่ได้นั้นเอง แต่ว่าถ้าโดยธรรมาธิษฐาน คือยกเอาธรรมเป็นที่ตั้งแล้วก็คงได้ความว่า เรื่องของอวิชชาตัณหาแล้วมันมีลักษณะมืดมน เมื่อมันครอบงำจิตจึงทำให้จิตมัวหมองไม่ผ่องใส แต่เมื่อเจริญวิปัสสนาให้เกิดขึ้นแล้ว ความมืดก็จะหายไป

    การบำเพ็ญสมณธรรมอยู่บนเขาลูกนั้นรู้สึกว่าได้ผลดีมาก ต่อจากนั้นมาก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีก จนวันเวลาผ่านไปได้ ๒๒ วัน ท่านอาจารย์ชอบเกิดไม่สบาย คือเจ็บเสียดมีลมในท้อง ไม่สามารถเดินบิณฑบาตได้เพราะมันไกลท่านจึงชวนกลับวัด ปีนั้นจำพรรษาที่สำนักสงฆ์อำเภอสันกำแพง การจำพรรษาอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่รวมแล้วได้ ๑๐ ปี

    พรรษา ๑๕ พรรษา ๑๗–๑๘ จำพรรษาอำเภอเถิน จังหวัดลำปาง
    เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ข้าพเจ้าได้ธุดงค์มาทางจังหวัดลำปาง และจำพรรษาอยู่ที่สำนักสงฆ์อำเภอเถินสองพรรษา ในพรรษาแรกถูกเจ้าของถิ่นเขาขับไล่ให้หนีไปไม่ให้จำพรรษา แต่ญาติโยมผู้ที่นับถือเลื่อมใสเขาไม่ยอมให้หนี เพราะเขาได้นิมนต์ให้อยู่จำพรรษาที่นั้นแล้ว และเขาก็จัดเสนาสนะถวายอยู่ ข้าพเจ้ากับหมู่คณะได้รับนิมนต์เขาแล้ว ดังนั้นจึงไม่ควรหนีไปที่อื่น ในที่สุดก็ได้จำพรรษาที่สำนักสงฆ์แห่งนั้น ซึ่งผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้ถวายที่ดินสวนให้อยู่จำพรรษา ข้าพเจ้าจำพรรษาอยู่ที่สำนักนั้น ก็ได้แนะนำสั่งสอนญาติโยมชาวอำเภอเถินให้มีความเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ตลอดจนรู้จักแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้าพอสมควร ที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือ ได้พาโยมบิดาไปบวชเป็นพระภิกษุที่วัดเชตวัน อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง และอุปการะท่านมาโดยลำดับ ต่อมาเมื่อออกพรรษาแล้วในเดือนมกราคม ได้นำนาคไปบวชที่วัดเชตวัน และ ณ ที่วัดนี้เอง ได้พบกับ พระมหาถวัลย์ ฐิตังกูร ซึ่งเดินทางมาจากวัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อฝึกหัดเจริญสมถะและวิปัสสนา จึงได้ชวนกันไปเที่ยววิเวกที่จังหวัดเชียงรายโดยไปด้วยกันสามรูป ได้ไปพักภาวนาอยู่ตามโบราณสถานต่างๆที่อำเภอเชียงแสน ซึ่งแต่ก่อนเป็นเพียงตำบลเท่านั้น นับว่าได้ความสงบกายสงบใจพอสมควร

    พรรษาที่ ๑๖ จำพรรษาในจังหวัดเชียงใหม่
    ในพรรษานี้ได้จำพรรษาอยู่ที่บ้านว่างของคนอังกฤษที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งญาติโยมได้นิมนต์ไปจำพรรษาอยู่ เพื่อได้อบรมสั่งสอนแนวทางปฏิบัติธรรม ได้แนะนำสั่งสอนแก่ญาติโยมและบำเพ็ญสมณธรรม ณ ที่นั้นอยู่จนตลอดพรรษาได้ผลดี และมีความเจริญในธรรมอย่างดี

    ธุดงค์ประเทศลาว
    ครั้งอยู่ในที่นั้นพอสมควรแล้ว พระมหาถวัลย์ ฐิตังกูร ก็ขอร้องให้พาไปจังหวัดหลวงพระบาง ประเทศลาว เพราะไม่เคยเห็นมาแต่ก่อน จึงตกลงพาเพื่อนไปจังหวัดหลวงพระบาง การไปประเทศลาวครั้งนั้นนับว่าลำบากมาก เพราะประชาชนลาวกำลังรวมตัวกันขอเอกราชจากฝรั่งเศส เมื่อฝรั่งเศสไม่ยอมให้เอกราชจึงเกิดรบกันขึ้นทั่วไปในประเทศลาว โดยเฉพาะเลียบปากแม่น้ำโขง เขาตั้งด่านตรวจเรือขึ้นล่องตามลำน้ำโขงเป็นแห่งๆ บรรดาเรือที่ขึ้นก็ดี ล่องก็ดี ระหว่างเวียงจันทน์กับหลวงพระบาง เมื่อถึงด่านไหนก็ต้องจอดเรือที่ด่านนั้น บรรดาผู้โดยสารเรือต้องขึ้นไปแจ้งต่อเจ้าหน้าที่เขา และถ้าเป็นคนไทยต้องขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสจากที่ต้นทางเสียก่อน เมื่อได้รับใบอนุญาตแล้วจึงจะไปได้ ดังนั้นพวกเราจึงข้ามเรือไปขอใบอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศส แล้วจึงติดต่อขอโดยสารไปกับเรือพ่อค้า เขาก็ไม่ขัดข้อง โดยเสียค่าโดยสารให้เขาตามที่เขาเรียกเอา และได้มีเรือทหาร 2 ลำล่องติดตามให้อารักขาไปด้วย พวกเราพยายามนั่งสมาธิภาวนาอธิษฐานขออย่าให้มีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้นเลยในระหว่างทาง และก็ปลอดภัยจริงๆจนถึงนครเวียงจันทน์

    นิมิตเกี่ยวกับอนาคตของประเทศลาว
    เมื่อถึงนครเวียงจันทน์แล้ว ได้ไปพักอยู่วัดป่าแห่งหนึ่งในเขตนครเวียงจันทน์นั้นเอง ณ ที่นั้นได้พบกับ พระอาจารย์ผุย ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดนั้น ท่านอาจารย์ผุยรูปนี้ก็เป็นพระผู้ปฏิบัติสมถะและวิปัสสนาเหมือนกัน ครั้นอยู่ต่อมาท่านได้ชวนขึ้นไปวิเวกบนเขาซึ่งอยู่ด้านตะวันตกของนครเวียงจันทน์ ห่างจากนครเวียงจันทน์ประมาณ ๑๕ กิโลเมตร เขาเรียกว่า ด่านน้ำเกลี้ยง หลังเขาเป็นที่ราบและเป็นลานหินล้วนๆสะอาดดี ณ ที่นั้นแหละ ข้าพเจ้าภาวนาอธิษฐานในใจว่า ต่อไปในอนาคตนครเวียงจันทน์ประเทศลาว จะมีความสงบสุขหรือจะมีความไม่สงบอย่างไรก็ขอให้เกิดธรรมนิมิตอย่างใดอย่างหนึ่งด้วย เมื่อภาวนาแล้วก็นอนหลับไป ปรากฏเห็นดวงพระจันทร์ตกลงมาแต่ท้องฟ้า ตกลงมากลางนครเวียงจันทน์ เสียงดังเปรี้ยงเหมือนฟ้าผ่า ในขณะนั้นนึกในใจว่า อะไรหนอเกิดขึ้น

    ความรู้สึกในใจขณะนั้นว่า ฟ้าผ่าเมืองเวียงจันทน์แล้วเห็นจะย่อยยับไปแล้วกระมัง

    ทันใดนั้นปรากฏเห็นรถไฟขบวนหนึ่งวิ่งผ่านหน้าแล้วหยุดต่อหน้า ครั้นแล้วก็มีคนทั้งหญิงทั้งชายลงจากรถกรูกันมาหาข้าพเจ้าเป็นจำนวนมาก และแสดงการอาการเกรงกลัวกันระส่ำระสาย แล้วพากันนั่งลงกราบ ข้าพเจ้าจึงถามว่า พวกญาติโยมเป็นอย่างไรจึงกระสับกระส่ายกันอย่างนี้ เขาก็ตอบว่า ฟ้าผ่าเมืองเวียงจันทน์พังทลายหมดแล้ว พวกกระผมรอดตายมาได้นับว่าเป็นบุญอย่างมาก พวกกระผมจะมาขอพึ่งบารมีของท่านอาจารย์

    ข้าพเจ้าจึงตอบเขาว่า ถ้าเช่นนั้นก็ขอให้ญาติโยมตั้งใจสมาทานเอาซึ่งพระไตรสรณาคมน์ และศีล ๕ ประการเสีย ข้าพเจ้าจึงได้ประกาศพระไตรสรณาคมน์และศีล ๕ ให้แก่คนเหล่านั้น จบแล้วก็ได้ชี้แจงให้เขาฟังว่า พระไตรสรณาคมน์และศีล ๕ ประการนี้เป็นที่พึ่งอันประเสริฐของสัตว์โลกทั้งหลายขอให้ท่านทั้งหลายจงรักษาไว้ให้ดี อย่าประมาท และต่อไปนี้ให้พากันนั่งสมาธิเอาขาขวาทับขาซ้าย เอามือขวาทับมือซ้าย ตั้งกายให้ตรง หลับตาแล้วตั้งสติสำรวมจิตเข้าไปไว้ภายในแล้วบริกรรม "พุทโธ" ไปเรื่อยๆจนกว่าใจจะสงบ คนเหล่านั้นก็พากันนั่งสมาธิอยู่ได้ครู่หนึ่งจึงออกจากสมาธิแล้วพากันกราบลาขึ้นรถไฟเดินทางต่อไป

    พิจารณานิมิต
    ครั้นรู้สึกตื่นขึ้นก็พิจารณาดูนิมิตที่ปรากฏเห็นนั้น ได้ความว่า ต่อไปเบื้องหน้านี้ประเทศลาวจะหาความสงบได้ยาก ประชาชนจะระส่ำระสาย มีแต่ความหวาดกลัวภัยต่างๆอยู่เสมอ เมื่อกลับจากภูเขาลงมาพักที่วัดในเมืองเวียงจันทน์อีก ญาติโยมผู้มีความเลื่อมใสศรัทธาได้นิมนต์ให้อยู่จำพรรษาที่นครเวียงจันทน์นั้น ถ้าชอบอยู่ที่ไหนเขาก็จะสร้างถวายให้อยู่ที่นั้น ข้าพเจ้าไม่รับนิมนต์เขา เพราะพิจารณาเห็นแล้วว่าไม่เป็นมงคล จึงได้ข้ามแม่น้ำโขงมาสู่ประเทศไทยที่อำเภอท่าบ่อ

    ได้พบพระอาจารย์เทสก์ ที่อำเภอท่าบ่อ
    สาเหตุที่จะพบกับท่านอาจารย์เทสก์ เพราะท่านกลับจากจังหวัดพังงามาพักอยู่ที่นั้น ท่านได้เล่าให้ฟังว่า ท่านได้ไปจำพรรษาอยู่ที่พักสงบ ตำบลโคกกลอย อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา รู้สึกว่าประชาชนสนใจในทางธรรมปฏิบัติมากพอสมควร ถ้าหากมีพระผู้ใหญ่หลายองค์ไปช่วยกันเผยแพร่แนวทางปฏิบัติดังที่พวกเราทำมากันทางภาคอีสานนี้ก็จะเป็นประโยชน์แก่คนเหล่านั้นมาก เมื่อได้ฟังท่านอาจารย์ชี้แจงเหตุผลของการไปอยู่ภาคใต้ให้ฟังเช่นนั้น พิจารณาเห็นว่าจะเป็นประโยชน์จริง จึงตัดสินใจเดินทางลงไปภาคใต้โดยทางรถไฟบ้าง รถยนต์บ้าง และเรือยนต์บ้าง จนถึงภูเก็ต การเดินทางนี้ทั้งพระทั้งเณรรวมแล้ว ๘ รูปด้วยกัน

    เจอกับมรสุม
    เวลา ๒๒.๐๐ น. ( สี่ทุ่ม) เรือออกจากท่าอำเภอกันตัง วิ่งไปถึงปากอ่าวก็สว่างพอดี พอถึงปากอ่าวแล้วก็เจอกับมรสุมคือ คลื่นลมแรงกระทบกับเรืออย่างแรงจนเรือเอียงไปเอียงมาเหมือนมันจะคว่ำลงไปแต่มันก็ไม่คว่ำ ถึงเวลาฉันภัตตาหาร เขาก็เอาอาหารมาถวาย ในขณะฉันอยู่นั้น เรือถูกคลื่นกระทบเอาโคลงไปมาอย่างแรง ทำเอาถ้วยแกงคว่ำเหลือเพียงครึ่งถ้วย นับว่าขบขันมาก เมื่อฉันแล้วสักประมาณ ๒ ชม. พระเณรพากันเมาคลื่นอาเจียนกันออกหมด เหลือแต่ข้าพเจ้า และ อาจารย์คำพอง เท่านั้นที่ไม่เมาคลื่นและไม่อาเจียน เรือต้องต่อสู้กับมรสุมทั้งวันจนค่ำจึงค่อยสงบลง

    ธรรมะเกิดในขณะเรือฝ่าคลื่น
    ในขณะที่เรือวิ่งฝ่าคลื่นลมแรงอยู่นั้น ได้มองเห็นลูกคลื่นวิ่งมากระทบกับหัวเรือเข้าแล้วก็แตกกระจายไป แล้วไม่นานลูกอื่นก็กลิ้งมากระทบหัวเรืออีก แล้วก็แตกกระจายไปอีกอยู่เช่นนี้ตลอดทั้งวัน จึงเกิดความคิดเป็นธรรมขึ้นมา

    "เรือที่นายช่างต่อดีแล้วอย่างแข็งแรง เมื่อถูกคลื่นกระทบแล้วไม่เสียหายฉันใด จิตของบุคคลใดเมื่อฝึกฝนให้ดีแล้ว คลื่นของกิเลสกระทบเข้าย่อมไม่หวั่นไหวก็ฉันนั้น"

    อธิบายว่า เมื่อบุคคลใดฝึกจิตนี้ให้มั่นอยู่ในศีล อยู่ในสมาธิ อยู่ในปัญญาเต็มที่แล้ว ย่อมไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรมแปดประการฉันนั้น คือ เมื่อมีลาภ มียศ มีสรรเสริญ และมีความสุขกายสบายใจ ก็ไม่เพลิดเพลินมัวเมาในลาภ เป็นต้น และเสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกนินทา ถูกทุกข์ครอบงำกาย และจิตก็ไม่หวั่นไหว คือไม่เศร้าโศกเสียใจ ทั้งนี้เพราะมีปัญญาเห็นแจ้งตามเป็นจริงว่า สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นของไม่เที่ยงแท้แน่นอนอะไรเลย มีเกิดขึ้นแล้ว แปรปรวนแตกดับไปเป็นธรรมดา เหมือนกับเรือที่นายช่างต่อดีแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหวต่อคลื่นฉันนั้น

    พรรษาที่ ๑๙–๒๐ จำพรรษาสำนักสงฆ์อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา
    เมื่อขึ้นจากเรือไปถึงที่พักแล้ว ก็ได้พบกับ ท่านมหาปิ่น ชลิโต (พระครูวิโรจน์ธรรมาจารย์) ซึ่งท่านคอยต้อนรับอยู่แล้ว คือท่านเป็นผู้เดินธุดงค์ไปก่อนคณะของอาจารย์เทสก์ เทสรังสี แต่ในปีเดียวกันนั้นเอง ท่านองค์นี้กำเนิดอยู่ที่อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม พอไปถึงที่พักท่านก็นิมนต์ให้แสดงธรรมให้ญาติโยมซึ่งคอยต้อนรับอยู่ฟังทันที และก็ได้ยกเอาเรื่องคลื่นกระทบกันแสดงให้ญาติโยมฟังดังกล่าวแล้วนั้น ต่อจากนั้นก็ได้เดินทางไปสมทบกับท่านอาจารย์เทสก์ยังที่พักสงฆ์ ตำบลโคกกลอย อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา ซึ่งเป็นสถานที่ท่านจำพรรษาปีแรก พรรษาที่สองท่านอาจารย์เทสก์ไปจำพรรษาที่พักสงฆ์หลังศาลาจังหวัดภูเก็ต ซึ่งปัจจุบันนี้ได้ขออนุญาตสร้างเป็นวัดเรียบร้อยแล้ว โดยตั้งชื่อว่า วัดเจริญสมณกิจ และท่านมหาปิ่นก็ไปจำพรรษาร่วมกับท่านอาจารย์ด้วย ส่วนข้าพเจ้านั้น ท่านอาจารย์ให้ไปจำพรรษาที่พักสงฆ์ อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา ซึ่งเป็นสถานที่ท่านมหาปิ่น จำพรรษามาก่อนแล้ว

    ข้าพเจ้าจำพรรษาอยู่ที่นั้น ๒ พรรษา เมื่อออกพรรษาแล้วก็ได้ไปเจริญสมณธรรม ตามถ้ำตามภูเขาในเขตอำเภอเมืองพังงา เพราะว่าตัวเมืองพังงานั้นมีภูเขาล้อมรอบจึงมีถ้ำอยู่หลายแห่ง ญาติโยมก็ไปฟังเทศน์และฝึกหัดนั่งสมาธิภาวนากันมากพอสมควร

    เกี่ยวกับพระเจ้าหลักเมือง
    เมื่อใกล้จะเข้าพรรษา ญาติโยมผู้มีความเลื่อมใสได้นิมนต์ให้จำพรรษาอยู่ในเมืองพังงา ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังพักบำเพ็ญอยู่ที่ถ้ำหลักเมืองนั้น ที่หน้าถ้ำหลักเมืองมีศาลเจ้าอยู่ ชาวเมืองเขาเรียกว่า เจ้าพ่อหลักเมือง ทั้งชาวไทยและชาวจีนนับถือมากพากันไปไหว้บ่อยๆ ยิ่งกว่านั้นยังได้พาคนทรงไปทำพิธีเข้าทรงกันแล้วก็ขอบัตรขอเบอร์กัน ตลอดถึงฆ่าสัตว์ไปสังเวยเป็นประจำทุกปี เมื่อข้าพเจ้าเดินไปดูถ้ำนั้นวันแรก ก่อนจะเข้าถึงถ้ำ ต้องไปถึงศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเสียก่อน เข้าไปในศาลนั้นเห็นมีหินสองก้อนฝังดินอยู่ แต่พ้นดินอยู่ส่วนหนึ่ง ข้าพเจ้าสวมรองเท้าขึ้นไปเหยียบหิน ๒ ก้อนนั้นแล้วกล่าวว่า ได้ยินว่าเจ้าพ่อหลักเมืองมาอาศัยอยู่ที่นี่หรือ ท่านมาอยู่ที่นี่จริง ขอให้เจ้าพ่อคอยฟังธรรมะนะ อาตมาจะแสดงธรรมให้ญาติโยมฟังอยู่หน้าถ้ำนี่แหละ

    ครั้นแล้วก็เดินเข้าไปสำรวจดูในถ้ำ เห็นว่าพออยู่ได้ จึงให้ญาติโยมยกร้านคร่อมธารน้ำไหลในถ้ำนั้น เพราะในถ้ำนั้นมีธารน้ำไหลจากฟากเขาทางโน้นมาทะลุออกทางหน้าถ้ำทางนี้ แล้วไหลลงสู่คลองลงทะเลไป ข้าพเจ้าได้อาศัยบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ในถ้ำนั้นอยู่ ๒ เดือน ญาติโยมได้ยกศาลาน้อยหลังหนึ่งชั่วคราว พอได้นั่งฉันภัตตาหารและแสดงธรรม สำหรับญาติโยมนั้นเอาเสื่อปูลงบนพื้นดินแล้วนั่งกัน ต่อจากนั้นญาติโยมก็ติดต่อซื้อเอาสวนของคนหนึ่งซึ่งอยู่หลังโรงเรียนช่างไม้จัดทำเสนาสนะให้อยู่จำพรรษา มีพระจำพรรษาด้วยกัน ๕ รูป ในระหว่างพรรษามีญาติโยมไปฟังธรรมและนั่งสมาธิทุกคืนอย่างมากไม่เกิน ๓๐ คน

    ในวันอุโบสถวันหนึ่ง มีโยมผู้ชายคนหนึ่งซึ่งมาจำศีลอุโบสถอยู่ในวัด ได้ไปดูเขาทำพิธีเข้าทรงขอหวยกัน ทันทีที่เจ้าพ่อเข้าทรงคนแล้ว เขาก็ขอเบอร์กัน ทีนี้เจ้าพ่อในร่างคนทรงก็บอกว่า ต่อไปนี้ท่านทั้งหลายอย่ามาขอเบอร์จากเจ้าพ่ออีก เจ้าพ่อไม่ให้แล้วเพราะมันเป็นบาป และการฆ่าสัตว์มาสังเวยก็เป็นบาปเช่นเดียวกัน

    มีคนถามว่า แต่ก่อนเจ้าพ่อยังบอกลูกหลานอยู่ มาบัดนี้ทำไมจึงว่ามันเป็นบาป

    เจ้าพ่อตอบว่า แต่ก่อนเจ้าพ่อไม่รู้ว่ามันเป็นบาปอะไรเพราะไม่ได้ฟังธรรม เมื่อเจ้าพ่อได้ฟังธรรมจากพระกรรมฐานรูปหนึ่งที่มาแสดงอยู่หน้าถ้ำนี้ จึงได้รู้ว่ามันเป็นบาป และถ้าลูกหลานจะบวงสรวงเจ้าพ่อ ก็ให้เอาขนมบ้างผลไม้บ้างมาบวงสรวงเจ้าพ่อก็พอแล้ว ทุกวันนี้เจ้าพ่อจำศีลภาวนาอยู่เสมอ

    ตั้งแต่นั้นมาคนทั้งหลายก็ไม่ฆ่าสัตว์ไปบวงสรวง และไม่นำคนไปเข้าทรงขอเบอร์อีกต่อไป นับว่าได้ผลมากพอสมควรในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในครั้งนั้น

    พรรษาที่ ๒๑–๒๖ จำพรรษาวัดประชาสันติ
    ข้าพเจ้าบำเพ็ญศาสนกิจอยู่ในสำนักสงฆ์แห่งนั้นโดยลำดับมาจนขออนุญาตสร้างวัดได้สำเร็จ และตั้งชื่อว่า วัดประชาสันติ และอยู่วัดนั้นได้ ๖ ปี อยู่วัดสันติวราราม ๒ ปี รวมเป็น ๘ ปี ข้าพเจ้าได้จากวัดประชาสันติ จังหวัดพังงา ไปอยู่วัดอรัญญบรรพต ปัจจุบันนี้ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๒

    มูลเหตุของการมาอยู่วัดอรัญญบรรพต
    หลวงพ่อผา ปภากโร ซึ่งเป็นบิดาของข้าพเจ้า ได้ไปบวชอยู่กับข้าพเจ้า ในขณะนั้นท่านอายุได้ ๘๖ ปี พรรษาได้ ๑๗ พรรษา ตาของท่านมัวมากแทบจะมองอะไรไม่เห็น ท่านปรารภกับข้าพเจ้าว่า อยากจะให้พาไปเยี่ยมบ้าน ข้าพเจ้าหน่วงเหนี่ยวไว้ไม่อยากพาท่านไปบ้าน เพราะหนีจากบ้านมาแล้วจะห่วงบ้านทำไม เป็นนักบวชไม่ควรห่วงบ้าน ไม่ดี ท่านก็อ้อนวอนอยู่บ่อยๆอดสงสารท่านไม่ได้ก็เลยพาท่านกลับไปเยี่ยมบ้านและพาท่านมาพักอยู่วัดอรัญญบรรพตปัจจุบันนี้เอง ได้พาท่านมาลอกตาที่จังหวัดอุดรธานี พอมองเห็นอะไรได้บ้าง และได้อุปการะท่านมาโดยลำดับ จนถึง พ.ศ. ๒๕๑๙ ท่านจึงมรณภาพจากไปเมื่ออายุได้ ๙๓ ปี พรรษาได้ ๒๓ พรรษา
    นี้เป็นมูลเหตุหนึ่งที่ทำให้ได้มาอยู่วัดอรัญญบรรพต

    แต่ก่อนที่จะมาอยู่วัดอรัญญบรรพตนี้ ได้พาท่านจากเมืองเหนือไปอยู่ทางปักษ์ใต้ คือจังหวัดพังงา ที่วัดประชาสันติ อำเภอเมืองพังงาอยู่ที่นั้นได้ ๘ ปี จึงได้พาท่านมาอยู่วัดอรัญญบรรพต จนอวสานแห่งชีวิตของท่าน

    ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติต่อบิดาตามมงคลสูตร หมวด ๓ ที่ว่า "มาตาปิตุอุปัฏฐานัง" ท่านกล่าวว่าเป็นมงคลอันสูง ส่วนมารดานั้นไม่ได้อุปัฏฐาก เพราะท่านได้ล่วงลับไปตั้งแต่ข้าพเจ้ามีอายุได้ ๑๐ ปีเท่านั้น จึงน่าเสียดายมาก

    อีกมูลเหตุหนึ่ง ก็เพราะวัดนี้เป็นสถานสงบห่างไกลจากหมู่บ้านประมาณ ๒ กิโลเมตร เหมาะสำหรับบำเพ็ญสมถวิปัสสนา ทั้งอากาศก็ดี ทั้งมีโบราณสถานก็คือ เจดีย์เล็กองค์หนึ่งเป็นเครื่องหมายว่า สถานที่นี้เป็นสถานที่มีผู้มาบำเพ็ญเพียรทางจิตใจมาแล้วแต่อดีต หากไม่ทราบว่าแต่เมื่อไร เพราะไม่พบคำจารึกเป็นตัวหนังสือไว้เลย มีแต่เจดีย์เล็กๆองค์หนึ่งซึ่งชำรุดมากแล้วเป็นเครื่องหมายพอให้รู้เท่านั้น และบริเวณเจดีย์นั้นเวลานี้ได้รื้อออกแล้ว ได้สร้างศาลาการเปรียญแทนไว้ นับว่าเหมาะสำหรับผู้ที่แสวงหาความสงบทางจิตจะพึงไปพักผ่อนได้ตามประสงค์ เพราะเวลานี้ทางวัดได้จัดสร้างศาลาการเปรียญขึ้นหลังหนึ่ง ซึ่งกว้าง ๑๖ เมตร ยาว ๔๘ เมตร เพื่อต้อนรับพุทธศาสนิกชนผู้ใฝ่สันติดังกล่าวนั้น โดยสร้างที่บนหลังเขา ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของอุโบสถนั้นมีห้องน้ำตลอดจนน้ำไฟพร้อมบริบูรณ์ทุกอย่างไม่ขัดข้องแต่ประการใด

    เวลานี้อายุของข้าพเจ้าได้ ๗๘ ปี (๒๕๓๓) พรรษาได้ ๕๘ พรรษา ดังนั้นจึงขอจบอัตตโนประวัติไว้แต่เพียงเท่านี้

    พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
    (พระครูญาณปรีชา)
    วัดอรัญญบรรพต ตำบลบ้านหม้อ
    อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย

    เครดิต : อัตตโนประวัติ หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
     
  18. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,559
    ประสบการณ์ที่ได้ทำบุญกับหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

    เมื่อนานหลายปีมาแล้ว สมัยที่ผมทำงานชั่วคราว ที่บริษัทในเครือปตท. ในช่วงนั้นทางเจ้าหน้าที่บริษัทหรือกลุ่มชมรมในบริษัท ได้นิมนต์หลวงปู่เหรียญ มาแสดงธรรม ซึ่งเป็นครั้งหนึ่งและครั้งเดียวที่ผมได้ฟังธรรมเทศนาของหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ และก็ได้ทำบุญกับหลวงปู่เหรียญ จำนวน 100 บาท

    ในภายหลังผมมาสังเกตเอาเอง ก็พบว่าการที่ได้ทำบุญหรือศรัทธาครูบาอาจารย์รูปนั้น อาจจะส่งผลบางอย่างในอนาคต อาทิ เช่น การได้บูชาพระเครื่อง-วัตถุมงคล ที่จัดสร้างหรืออธิษฐานจิตโดยครูบาอาจารย์รูปนั้น, การได้พบผู้คนที่เป็นลูกศิษย์ครูอาจารย์เดียวกัน ผมคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

    ในสมัยอดีต ผมได้เคยทำบุญกับหลวงปู่ศรี มหาวีโร ก็ด้วยความบังเอิญ ในภายหลังก็มีโอกาสได้เช่าบูชาลูกแก้วจักรพรรดิและเหรียญทำน้ำมนต์ ที่อธิษฐานจิตโดยหลวงปู่ศรี มหาวีโร
     
  19. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,559
    รับทราบครับ

    คุณลุงจิ๋วจองรายการที่ 4 ผ้ายันต์บรมครู และแถมลูกแก้วสารพัดนึกให้ 1 ลูกครับ
     
  20. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,559
    [​IMG]

    รายการที่ 11. เหรียญพ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์ วัดสวนขัน ปี 2534 บูชาที่ 4,500 บาท

    เหรียญพ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์ รุ่นสร้างอุโบสถ์เฉลิมพระเกียรติ พุทธาภิเษก วัดสวนขัน จ.นครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2534

    ลักษณะเก่าตามสภาพ พร้อมกล่องเดิมๆ


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2016

แชร์หน้านี้

Loading...