หญิงงามเมือง(โสเภณี)ผู้บรรลุธรรม./ทุกชีวิต มีสิทธิ์เข้าถึงธรรม

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 1 กุมภาพันธ์ 2016.

  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    24,143
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,225
    ค่าพลัง:
    +70,739
    [​IMG]









    ยิ่งศึกษาธรรมมะมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเห็นว่าพุทธศาสนานั้นเป็นศาสนาที่มีความเป็นประชาธิปไตยมากที่สุดมาตั้งแต่อดีต ไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหน ไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไร หรือว่าจะมั่งคั่งหรือว่าจะอยู่วรรณะใด ก็สามารที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมได้ แล้วก็จะได้ความเข้าใจทางปัญญาของธรรมะ ตาแต่สติปัญญาของแต่ละบุคคล โดยที่ไม่ได้แบ่งชนชั้นว่าวรรณะกษัตริย์จะสามารถบรรลุธรรมชั้นสูงได้เท่านั้น หรือคนรวยจะมีโอกาสที่จะบรรลุธรรมได้มากกว่าคนจน


    บางครั้งที่อ่านพระไตรปิฎก แม้นกระทั่งหญิงงามเมืองก็สามารถบรรลุขั้นโสดาปฏิผลได้ ซึ่งเป็นที่น่าประหลาดใจและอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่งว่า บางครั้งคนที่เคยผิด เมื่อกลับลำมาเข้าใจในธรรมะ ก็จะสามารถเดินอย่างสง่างามก่อนที่จะหมดอายุขัยได้ บรรลุธรรมขั้นโสดาบันได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นขั้นที่ต่ำที่สุด โสดาปฏิผลถือว่าเป็นขั้นต่ำสุด แต่ก็อีกไม่เกิน ๗ ชาติ ถ้าปฏิบัติอย่างเอกอุก็จะสามารถเข้าสู่พระนิพพานได้ ตามคำที่พระพุทธเจ้าทำนาย
    เพราะฉะนั้นจึงอยากจะให้นั่งฟังในสมาธิ แล้วก็อย่าคิดว่านี่เป็นการเล่านิยายชวนเชื่อ แต่มันเป็นอัตตะชีวประวัติของบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงในสมัยพุทธกาล ครั้งที่พระพุทธเจ้ายังดำรงพระชนม์ชีพอยู่ ซึ่งถูกบันทึกไว้ในพระไตรปิฏก
    ในสิ่งที่เราฟังในสมาธิจิตที่นิ่งสงบ ให้ตามดูตามฟัง สติคือการตามรู้ ขณะนี้ได้ยินเสียงก็คือตามฟัง นี่เรียกว่าขั้นฝึกสติ อย่าไปใส่ใจกับอาการปวด หรืออาการเมื่อยใดๆมากเกินไป ให้กำหนดจิตอยู่ที่การฟัง จะได้มีปัญญาจากการฟังธรรม



    ในสมัยพุทธกาล ในแคว้นลิจฉวีที่มีเมืองเวสาลีเป็นเมืองที่มั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ และทำการค้าอยู่กับกรุงราชคฤห์ซึ่งมีพระเจ้าพิมพิศาลเป็นผู้ครองเมือง พ่อค้าจากกรุงราชคฤห์ที่เข้าไปค้าขายอยู่ที่นครเวสาลี ต่างก็กล่าวลำลือกันว่า ในเมืองเวสาลีมีหญิงงามเมืองที่สวยงามเยอะมากเลย ทำให้การค้าที่เมืองเวสาลีคับคั่งไปด้วยพ่อค้ามากมาย คงจะเป็นเพราะว่าพ่อค้าเหล่านั้นอยากจะไปเห็นหญิงงามเมืองด้วย โดยเฉพาะหญิงงามเมืองที่ชื่ออัมพปาลี
    นางอัมพปาลีเป็นหญิงสาวที่สวยงาม ถ้าจัดประกวดประขันกันแล้ว นางก็คงเป็นนางงามประจำเมือง ในยุคนั้นนะอย่าเอามาเทียบกับในยุคนี้ เจ้าเมืองก็เลยแต่งตั้งให้นางเป็นหญิงงามประจำเมือง คือเป็นหญิงที่ใครที่มีทรัพย์ก็จะสามารถนำนางไปครองได้ ไปร่วมอภิรมย์ได้ครั้งละ ๕๐ กหาปณะ / กหาปณะเท่ากับ ๑ ตำลึง ๑ ตลึง เท่ากับ ๔ บาทของไทยในสมัยนั้น
    พ่อค้าต่างก็มาพูดคุยกันที่กรุงราชคฤห์ ปรึกษากับพระเจ้าพิมพิศาลในคราที่พระองค์ยังไม่ได้บรรลุโสอาบัน ยังไม่บรรลุธรรมขั้นสูงว่า กรุงราชคฤห์ก็น่าจะมีหญิงงามเมือง ที่จะเป็นสีเป็นสรรของเมือง เพื่อจะให้เป็นที่ล่ำลือให้คนเข้ามาเที่ยวเมืองของเรา น่าจะเป็นอย่างนั้นนะพระเจ้าข้า พระเจ้าพิมพิศาลเห็นดีเห็นงามด้วย กล่าวว่าถ้าพวกท่านเห็นดีเห็นงาม ก็ให้ไปคัดสรรสตรีที่สวยๆมา เพื่อที่จะได้แต่งตั้งให้เป็นหญิงงามเมืองประจำเมืองของเรา เป็นเสมือนหญิงกองกลาง แต่เราจะตั้งค่าตัวของนางให้แพงกว่าหญิงงามเมืองของเมืองเวสาลี คือจะต้องจ่าย ๑๐๐ กหาปณะถึงจะได้นางไปร่วมอภิรมย์ด้วย มันต้องเกทับเมืองเวสาลีกันหน่อย ที่เมืองเวสาลีเก็บครั้งละ ๕๐ กหาปณะ แต่ที่กรุงราชคฤห์นี่เก็บ ๑๐๐ กหาปณะเลย มากกว่าเท่าหนึ่งเลยนะ
    เมื่อคัดสรรกันเสร็จสิ้น ก็ได้นางสาลวดีซึ่งเป็นหญิงที่สวยงาม หน้าตาผิวพรรณหมดจดสวยงามดี ก็นำนางมาฝึกสอนให้ร้องรำทำเพลง ดีดสีตีเป่า เอาใจผู้ชาย เพราะว่าคืนหนึ่งต้องเสียถึง ๑๐๐ กหาปณะหรือ ๔๐๐ บาท ในสมัยกว่า๒, ๕๕๗ ปีที่ผ่านมา เพื่อที่จะได้นางไปร่วมอภิรมย์ ลองเทียบดูนะว่าถ้าเป็นสมัยนี้จะต้องเป็นเงินมากขนาดไหน ลองคิดดู
    ต่อมานางสาลวดีเกิดตั้งครรภ์ขึ้นโดยที่ไม่ได้ตั้งใจไม่ได้เจตนา เพราะไม่ใช่อยากจะมีท้อง แต่ไม่ได้มีการป้องกัน เพราะยุคนั้นคงยังไม่มีการคุมกำเนิดป้องกันการมีลูกกันเท่าไหร่ นางจึงต้องงดรับแขกช่วงหนึ่ง นางก็แอบไปคลอดลูกออกมา
    นางสาลวดีคลอดลูกออกมาครานั้นเป็นเด็กผู้ชายหน้าตาดี แต่ตามกติกาของหญิงงามเมือง ถ้าคลอดลูกออกมาเป็นเด็กผู้ชายจะต้องเอาไปทิ้ง เอาไปฆ่าทิ้งเสียไม่เลี้ยงเพราะเลี้ยงลูกไม่ได้ แต่ถ้าคลอดลูกออกมาเป็นเด็กผู้หญิงก็จะเลี้ยงเอาไว้ เพื่อให้สืบเผ่าพันธุ์เป็นหญิงงามเมืองเหมือนกับแม่ นี่เป็นประเพณีที่เกิดขึ้นจริงๆนะ
    นางจึงเอาเด็กผู้ชายที่คลอดออกมาไปทิ้งไว้ เด็กผู้ชายคนนี้ถูกนำใส่กระด้งไปทิ้งไว้ให้ฝูงกาจิกกิน แต่ก็แปลกที่ฝูงกากลับไม่จิกกิน จนกระทั่งพระอภัยผู้เป็นบุตรของพระเจ้าพิมพิศาล ผู้ซึ่งมีพระมเหสีหลายพระองค์ ผ่านไปพบเข้าจึงรอดตายเพราะพระอภัยสั่งให้พวกอำมาตย์เก็บเด็กผู้นี้เอาไปเลี้ยงในวัง เลี้ยงโดยใช้แม่นมนางสนมที่มีบุตรให้นม จนกระทั้งโต และ ซึ่งต่อมาก็เติบโตเป็นหมอชีวกโกมารภัจจ์ ให้ศึกษาด้านแพทย์แผนโบราณ ยาแผนโบราณ ซึ่งหมอชีวกโกมารภัจจ์มีความเชี่ยวชาญมากในเรื่องสมุนไพรยาแผนโบราณ จนกระทั่งได้เป็นหมอประจำตัวของพระพุทธเจ้า
    หลังจากคลอดลูกชายแล้ว นางสาลวดีก็รับแขกเป็นปกติอีก ก็เกิดตั้งครรภ์โดยที่ไม่ได้เต็มใจอีกเป็นครั้งที่ ๒ ซึ่งนางเองก็ไม่ได้คิดจะให้ท้อง เพราะถ้าท้องก็ต้องหยุดรับแขกไปจนกว่าจะคลอด แต่คราวนี้นางคลอดลูกออกมาเป็นเด็กผู้หญิงที่มีหน้าตาสวยงามมาก ได้ดั่งใจนางสารวดีจริงๆ
    นางก็ประคบประหงมเด็กหญิงคนนี้เป็นอย่างดี หญิงผู้นี้ก็คือน้องสาวของท่านชีวกโกมารภัจจ์นั่นเอง นางสารวดีมีลูกแค่เพียงสองคนเท่านั้น เด็กหญิงผู้นี้ถูกขนานนามว่า สิริมา นางสิริมาเป็นหญิงสาวที่สวยงามมาก ผิวผ่องดั่งทองคำ หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ผมดำขลับ ปากได้รูปงามราวกับกระจับ สวยอย่างไม่มีที่ติเลย
    นางสาลวดีก็ฝึกสอนนางสิริมาผู้เป็นลูกสาวว่า ให้พูดเพราะๆนะลูก ลูกสวยกว่าแม่เยอะ แล้วก็ให้นางสิริมาเริ่มรับแขกตั้งแต่อายุยังน้อย โดยตั้งค่าตัวถึง ๑,๐๐๐ กหาปณะ นับเป็นสิบเท่าของค่าตัวแม่เลย นางสิริมาเป็นหญิงงามเมืองที่มีค่าตัวแพงที่สุด คนที่จะมาร่วมอภิรมย์กับนางได้ต้องใช้เงินมหาศาล ก็คงจะต้องไม่ใช่คนจนๆ คงจะต้องเป็นระดับอภิมหาเศรษฐี เชื้อพระวงศ์ ล้วนต้องเป็นคนรวยๆทั้งสิ้น
    ครั้งหนึ่งนางสิริมาเคยรับค่าตัวถึง ๑๕, ๐๐๐ กหาปณะเพื่อที่จะไปอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งเป็นเวลา ๑๕ วัน ถ้าใครเคยฟังเรื่องของนางอุตราเทวี ซึ่งเคยแสดงธรรมให้ฟังไปแล้ว คงต้องรู้จักนางอุตราผู้นี้
    นางอุตตราเทวีเป็นผู้ที่มีความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้ามาก นางฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า นางจะอธิษฐานองค์อุโบสถในฤดูกาลเข้าพรรษา ทุกครั้งที่นางถือศีลนางก็จะเตรียมข้าวปลาอาหารไปเลี้ยงพระเสมอๆ สามีของนางนั้นเป็นผู้ที่ไม่ได้มีความเลื่อมใสในพุทธศาสนา เรียกว่าเป็นคนนอกรีต เป็นบุตรของท่านสุมนะเศรษฐี ซึ่งเป็นเศรษฐีใหญ่ร่ำรวยมาก
    ครั้นถึงฤดูกาลเข้าพรรษา นางอุตตราก็ขออนุญาตสามีเพื่อที่จะรักษาองค์อุโบสถศีล แต่สามีของนางไม่อนุญาต นางอุตตราจึงส่งข่าวไปยังบิดามารดาว่า สามีของนางไม่อนุญาตให้อธิษฐานองค์อุโบสถ ขอให้ส่งทรัพย์ ๑๕, ๐๐๐ กหาปณะมาให้นางด้วย
    เมื่อนางอุตตราได้รับทรัพย์มา นางจึงนำไปจ้างนางสิริมาหญิงงามเมืองให้มาทำหน้าที่ดูแลปรนนิบัติสามีแทนนาง เป็นเวลา ๑๕ วัน ซึ่งนางสิริมาก็ยินยอม และสามีของนางอุตตราก็พอใจยอมให้นางอุตตราอธิษฐานองค์อุโบสถ
    นางอุตตราจึงรักษาองค์อุโบสถ นางพร้อมด้วยบริวารตระเตรียมอาหารอย่างดีถวายพระทุกวัน จนเมื่อถึงวันสุดท้ายขณะที่นางและบริวารกำลังตระเตรียมอาหาร เคี่ยวเนยใสอยู่นั้น สามีของนางอุตตราพร้อมด้วยนางสิริมาได้ออกมายืนดูนางอุตตราและบริวารเคี่ยวเนยใสอยู่ สามีของนางอุตตรายิ้มเยาะนางอุตตราด้วยคิดว่านางอุตตราชอบทำงานที่สกปรก ในขณะที่นางอุตตราเองก็นึกสมเพชสามีที่มีแต่ความประมาท นางจึงยิ้มด้วยความสมเพช
    นางสิริมาเห็นสามีภรรยาต่างก็ยิ้มแย้ม เข้าใจผิดคิดว่ายิ้มแย้มให้แก่กัน นางสิริมาเกิดความโกรธด้วยความหึงหวง โดยที่ลืมคิดว่านางเองเป็นเพียงหญิงงามเมืองที่เขาว่าจ้างมาทำหน้าที่บำรุงบำเรอสามีของนางอุตตราเพียงชั่วคราวเท่านั้น
    นางสิริมาจึงแล่นลงเรือนไปเพื่อที่จะไปทำร้ายนางอุตตรา แต่นางอุตตราเป็นผู้หญิงที่รักษาศีล นางเห็นนางสิริมาจะเข้ามาทำร้ายนาง นางก็เข้าฌานและแผ่เมตตาให้นางสิริมา ด้วยคิดว่านางสิริมาเป็นผู้มีคุณแก่นาง ที่มาทำหน้าที่ภรรยาแทนนาง นางจึงมีโอกาสได้อธิษฐานองค์อุโบสถ ขณะที่นางอุตตรากำลังเข้าฌานแผ่เมตตาให้นางสิริมาอยู่นั้น นางสิริมาตรงเข้าเอากระบวยตักน้ำมันที่เดือดอยู่นั้นเทราดลงไปบนหัวของนางอุตตรา ด้วยศีลบารมีของนางทำให้น้ำมันที่ร้อนนั้นไม่สามารถทำอันตรายนางอุตตราได้
    พวกข้าทาสของนางอุตตราเห็นดังนั้นก็รุมกันทุบตีนางสิริมา แต่นางอุตราก็ห้ามไว้และบอกว่าอย่าทำร้ายนาง จากนั้นนางอุตตราก็พานางสิริมาไปเข้าเฝ้าฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า


    พระพุทธองค์ทรงชื่นชมนางอุตตรา
    พร้อมกับตรัสสรรเสริญนางอุตตราว่าสมแล้วที่เป็นศิษย์แห่งตถาคต


    พึงชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ
    พึงชนะคนไม่ดีด้วยความดี
    พึงชนะคนตระหนี่ด้วยการให้
    พึงชนะคนพูดเท็จด้วยคำจริง


    เมื่อนางสิริมาได้ฟังธรรมของพระพุทธองค์ดังนั้น นางก็บรรลุโสดาบัน


    จากนั้นนางก็ได้ปาวราณาตน ขอนิมนต์พระภิกษุสงฆ์ ๘ รูปเข้าไปรับบาตรที่บ้านของนางทุกวัน นางสิริมาเป็นผู้ที่มีทรัพย์มากมีบ้านหลังใหญ่โต มีข้าทาสบริวารมาก
    นางสิริมาสั่งเหล่าบริวารของนางว่า นี่พวกหล่อนให้เตรียมนมเนยอย่างดี นมสด ข้าวยาคู อาหารขบเคี้ยวอย่างดีอย่างประณีตทุกอย่าง ถวายพระคุณเจ้าให้เต็มบาตรทั้ง ๘ รูป
    อาหารที่นางสิริมาถวายพระสงฆ์แต่ละรูปนั้นสามารถนำมาให้พระสามถึงสี่รูปฉันได้อิ่ม นางจะทำบุญใส่บาตรจนเต็มบาตรทุกครั้ง ถวายปัจจัย ถวายเครื่องไทยธรรม ล้วนแต่อย่างดีอย่างประณีตทั้งสิ้น
    ชื่อเสียงของการทำบุญและความงามของนางสิริมาเป็นที่เลื่องลือกระฉ่อนไปทั่วทั้งวัดเชตะวัน พระภิกษุที่อยู่ไกลๆไปอีก ๓ โยชน์ยังได้ยินชื่อเสียงความงามของนาง
    วันหนึ่ง พระภิกษุที่ได้รับบิณบาตรที่บ้านนางสิริมา กลับมาเล่าให้เพื่อนภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งฟัง ภิกษุหนุ่มรูปนั้นถามภิกษุที่เข้าไปรับบาตรที่บ้านนางสิริมาว่า “อาหารบ้านนางเลิศเลอขนาดไหนหรือท่าน” ภิกษุรูปนั้นตอบว่า “ โอ้โฮท่าน อาหารของเขาดีจริงๆ ดีทุกอย่างและยังใส่เสียจนเต็มบาตร ฉันกันได้ถึงสามี่รูปก็ยังไม่หมดเลย อิ่มหนำสำราญ แต่เรื่องภัตตาหารนั้นยังเป็นเรื่องรองกว่าความงามของนางนั้น สวยสุดยอดจริงๆผู้หญิงคนนี้ เป็นบุญตาที่ได้เห็นนางจริงๆ” นี่ขนาดพระนะยังคงมีกิเลสอยู่ ภิกษุหนุ่มผู้ใคร่รู้ก็ถามว่า “จริงหรือ นางงามขนาดนั้นเชียวหรือ” ภิกษุองค์ที่เคยเข้าไปรับบาตรจากนางสิริมาก็ยืนยันว่า “สวยมาก สวยราวกับนางฟ้าลงมาจุติเลย ถ้าท่านได้เห็น นี่ท่านพรรษาเท่าไหร่แล้ว บวชมากี่พรรษาแล้ว” พอลำดับให้กันฟังแล้ว ภิกษุรูปนั้นก็กล่าวว่า “อ้อ พรุ่งนี้ท่านเข้าไปรับบาตรได้เลย แปดรูป ท่านเป็นหัวหน้านำไปได้เลย แล้วอย่าลืมมาบอกด้วยนะว่านางสวยขนาดไหน” ภิกษุหนุ่มรูปนั้นดีใจจนเนื้อเต้น ดูนะว่าแม้แต่พระก็ยังติดอยู่ในกามคุณเหมือนกัน แต่เผอิญในเย็นวันนั้นนั้น นางสิริมาเกิดล้มป่วยลง เป็นอาการป่วยที่เป็นหนักมาก หนาวสั่นสะท้านไปทั้งตัวเลย เรียกว่าถึงเวลากาล (อ่านว่า กา ละ ) กิริยา คือความตายนั่นเอง
    แต่นางเพียงใกล้จะตายนะยังไม่ตาย นางจึงเปลื้องอาภรณ์ที่งดงามออก สรวมใส่เพียงเสื้อผ้าธรรมดาๆเท่านั้น เพราะนางไม่สามารถที่จะแต่งองค์ทรงเครื่องได้ ได้แต่ใส่เสื้อผ้าเบาๆเพื่อให้สบายตัวเท่านั้น แล้วนางก็สั่งให้บริวารของนางเตรียมอาหารถวายพระภิกษุสงฆ์ในวันพรุ่งนี้ด้วยนะ นางกล่าวว่าถึงแม้ว่านางจะไม่สบาย แต่นางก็ยังคงทำบุญอยู่เหมือนเดิมนะ เหล่าบริวารก็รับคำว่า “ได้ค่ะแม่เจ้า” เขาเรียกกันแบบนั้นนะ
    พอรุ่งเช้าภิกษุหนุ่มก็เตรียมบาตรและนำภิกษุอีก ๗ รูป รวมเป็นทั้งสิ้น ๘ รูป เดินทางไปยังบ้านของนางสิริมา แต่ก็ไม่เห็นนางสิริมาออกมาต้อนรับ มีเพียงบริวารของนางที่จัดข้าวยาคู นม เนย อาหารขบเคี้ยวอย่างประณีต นำมาถวายพระสงฆ์อย่างอิ่มหนำสำราญ แล้วยังใส่ลงในบาตรอีกจนเต็ม
    ครานั้นนางสิริมาให้บริวารพยุงนางออกมาเพื่อที่จะมารับพรจากพระภิกษุ ร่างกายของนางก็สั่นสะท้าน หนาวสั่นไปทั้งร่าง ภิกษุหนุ่มรูปนี้ให้พรนางอย่างสติไม่อยู่กับตัวเลย เพราะในใจมัวแต่ครุ่นคิดว่า อุวะแม่เจ้า นี่ขนาดว่านางป่วยและไม่ได้แต่งองค์ทรงเครื่องอะไรมากมายเลย นางยังงามถึงปานนี้ นี่ถ้าหายป่วยแล้วนางจะงามสักปานใด
    เพียงแค่ภิกษุรูปนั้นเห็นนาง จิตก็เกิดความกระสัน ราคะกิเลสตัณหากำเริบขึ้นในฉับพลัน เดินกลับไปยังวัดเชตะวัน แล้วก็นอนคลุมโปง ไม่ฉันอาหารใดๆอีกเลย พระที่อยู่ด้วยกันก็ถามว่า “เป็นอะไรไปท่าน” ภิกษุหนุ่มรูปนี้เกิดความละอายนะแต่ไม่สามารถหักห้ามความกำหนัดแห่งราคะได้ กิเลสมันฟูฟ่องเสียแล้ว เฝ้าแต่นึกถึงแต่หน้าของนางสิริมา
    ในวันนั้นนั่งเอง นางสิริมาก็ถึงแก่กาลกิริยา คือหมดอายุขัยหรือตายนั่นเอง แต่ภิกษุหนุ่มรูปนี้ไม่รู้ว่านางสิริมาตายเสียแล้ว เลยยังคงวาดภาพนางอยู่ในความคิดคำนึง ข้าวปลาอาหารไม่แตะต้องไม่ฉันเลย

    ฝ่ายพระเจ้าพิมพิศาลเมื่อทราบถึงการตายของนางสิริมา พระองค์ก็ทรงแจ้งข่าวการเสียชีวิตของนางสิริมามาทูลพระพุทธเจ้าว่า “พระพุทธองค์พระเจ้าข้า นางสิริมาถึงแก่กาลเสียแล้วพระเจ้าข้า” พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยข่ายพระฌานว่าภิกษุหนุ่มสาวกของพระพุทธองค์รูปหนึ่ง เกิดกิเลสฟูฟ่องด้วยความงามของนางสิริมา พระพุทธองค์จึงทรงตรัสบอกแก่พระเจ้าพิมพิศาลว่า “เก็บศพของนางไว้ที่ป่าช้าผีดิบ ยังไม่ต้องเผานะ อย่าให้กา อย่าให้สัตว์ทั้งหลายไปจิกกินซากศพของนาง ปล่อยทิ้งศพเอาไว้ให้เน่าอย่างนั้น อีก ๔ วันตถาคตจะไปเยี่ยมศพของนาง”


    ครั้นพอครบกำหนดเวลา ๔ วัน พระพุทธเจ้าทรงให้พระเจ้าพิมพิศาลบอกข้าราชบริพารให้เป่าประกาศไปยังผู้คนชาวนครราชคฤห์ทั้งหมดว่า ยกเว้นเด็กและหญิงชราให้อยู่บ้าน นอกนั้นให้ออกมาที่ป่าช้าผีดิบ รวมทั้งพระสงฆ์ด้วย พระพุทธองค์จะทรงเสด็จไปเยี่ยมศพนางสิริมาที่ป่าช้าผีดิบ
    ภิกษุหนุ่มรูปนี้พอได้ยินเช่นนั้นก็หูผึ่งเลย รำพึงว่าพระพุทธองค์จะทรงไปเยี่ยมนางสิริมาเหรอ จากภิกษุที่ป่วยอยู่นั้น ท่านลุกขึ้นทันที เทอาหารที่เน่าบูดขึ้นราอยู่ในบาตรทิ้ง นุ่งห่มจีวรเรียบร้อยแล้วก็เดินตัวปลิวไปยังป่าช้าผีดิบทันที
    พอไปถึงยังป่าช้าผีดิบ สิ่งที่เห็นคือ ซากศพของนางสิริมานั้นมีน้ำเหลืองน้ำหนองไหลเยิ้มออกมาทั่วทั้ง ๙ ทวารอันประกอบด้วย ตา ๒ หู ๒ จมูก ๒ ปาก ๑ ช่องปัสสาวะ ๑ ช่องอุจจาระ ๑ รวมทั้งสิ้น ๙ ทวารที่ธรรมชาติเจาะมาให้ อันเป็นที่ส่งออกสิ่งปฏิกูลของเสียทั้งหลายออกมาจากร่างกาย คนเรานี่ถ้าลองไม่ได้อาบน้ำสักสองสามวันดูสิ เหม็นเน่า ยิ่งถ้าทิ้งเอาไว้สักอาทิตย์หนึ่งก็เน่าแล้ว เหม็นไปหมดทั้งตัว

    เพราะฉะนั้นเมื่อศพของนางสิริมาถูกทิ้งไว้ได้ ๔ วันจึงมีสภาพอย่างที่กล่าวมาแล้ว พระพุทธเจ้าทรงตรัสถามพระเจ้าพิมพิศาลว่าศพนี้เป็นศพของผู้ใด พระเจ้าพิมพิศาลทูลตอบพระพุทธองค์ว่า “ศพนางสิริมาหญิงงามเมืองพระเจ้าข้า”พระพุทธองค์ทรงตรัสต่อไปว่า “นางเคยมีราคาค่าตัวเท่าไหร่หรือ” “พันกหาปณะพระเจ้าข้า”พระเจ้าพิมพิศาลกราบทูล พระพุทธองค์ทรงตรัสให้พระเจ้าพิมพิศาลประกาศออกไปว่าใครต้องการนางบ้าง เงียบ ไม่มีเสียงตอบจากฝูงชนที่รายล้อมอยู่มากมายนั้น รวมถึงภิกษุสงฆ์หนุ่มก็เงียบ
    พระเจ้าพิมพิศาลประกาศต่อไปว่า ๕๐๐ กหาปณะ ใครต้องการนางบ้าง เงียบอีกเช่นเคย พระเจ้าพิมพิศาลประกาศลดราคานางลงไปเรื่อยๆ ๒๐๐ กหาปณะ ๑๐๐ กหาปณะ ๑๐ กหาปณะ ๕ กหาปณะ ๑ กหาปณะ ๑ มาสก น้อยลงไปเรื่อยๆ ๑ กากณึกอันมีค่าน้อยที่สุด เท่ากับ ๑ สตางค์ ก็ยังคงเงียบอยู่เช่นเดิม
    เมื่อครั้งนางยังมีชีวิตอยู่นั้นชายหนุ่มน้อยใหญ่ต่างแย่งชิงตัวนาง ยอมจ่ายถึง ๑, ๐๐๐ กหาปณะเพื่อที่จะได้ร่วมอภิรมย์กับนาง แต่พอนางนางตายไปได้เพียง ๔ วัน ค่าตัวของนางเพียง ๑ กากณึกก็ยังไม่มีใครเอาเลย เข้าใจหรือยังว่ารูป (กายเนื้อ) อาศัยอยู่ได้เพียงแค่ระยะหนึ่งเท่านั้น สุดท้ายก็ต้องแตกกายทำลายขันธ์ไปเป็นธรรมดา มัวหลงอะไรอยู่กับรูป

    พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงธรรมเลย นี่คือการปลงอสุภะที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล จากนั้นภิกษุหนุ่มผู้หลงติดในความงามของนางสิริมาก็ได้บรรลุโสดาบัน เข้าใจกระจ่างแจ้งว่าตนมัวไปหลงกายเนื้ออยู่ได้อย่างไร พอตายไปละสังขารไปก็มีแต่เลือดหนองเน่านองไปหมด
    นี่คือสิ่งที่ต้องการที่จะเล่าให้ฟังว่า พวกเราทุกคนก็ต้องทำกาลเช่นเดียวกับนางสิริมาทั้งสิ้นเช่นกัน อย่ามัวแต่หลง อย่ามัวแต่เข้าใจว่ากายนี้เป็นของเรา ทรัพย์นี้เป็นของเรา ทุกๆสิ่งเป็นของเรา ไม่มีอะไรเป็นของเราจริงเลยนะเป็นเพียงสิ่งสมมติเท่านั้น มีเพียงแต่บุญกับบาปที่จะหาบกันไป




    <iframe width="1" height="1" src="https://www.youtube.com/embed/iwbmEGYBKkE?&autoplay=1&rel=0" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 ธันวาคม 2016
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    24,143
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,225
    ค่าพลัง:
    +70,739
    ผู้อธิษฐานโพธิญาณฯ ไม่ควรตำหนิ หรือว่าใครด้วยจิตอคติ หรือ ว่าด้วยกิเลส


    เพราะ ผู้สร้างบารมี ต้องเกิดมาเป็นคน ถี่มาก เพื่อใช้โอกาสในโลกและภพสาม
    แล้วต้องมาพบพวกเค้าอีกแน่นอน จะเป้นการสร้างอุปสรรคที่ไม่จำเป็นให้กับตน
    และทำลายโอกาสช่วยชีวิตอื่น

    สิ่งที่ชีวิตอื่น กำลังเป็น กำลังปรากฏให้เราเห็น อาจเป็นแค่ช่วงหนึ่งของชีวิตเค้า
    ที่ต้องรับเศษวิบากกรรม

    เมื่อพวกเค้าพ้นวิบากกรรมอันเป็นอกุศล แล้วอาจได้รับเสวยผลมหากุศลกรรมที่เคยทำได้ทันที แล้วพ้นจากความเป็นสัตว์โลกธรรมดา

    ...ดังนั้น อย่าสร้างโอกาสที่ไม่ดี ที่ได้ก่อมโนกรรม วจีกรรม กายกรรม ต่อกันและกันเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 กุมภาพันธ์ 2016
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    24,143
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,225
    ค่าพลัง:
    +70,739
    <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/PSPamB1GwrA?rel=0" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  4. Sirius Galaxy

    Sirius Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,132
    ค่าพลัง:
    +2,559
    ขออภัย และขอโทษ หากจะกล่าวหาว่าผมเลือกปฏิบัติ
    เพราะผมอธิฐาน ในยุคสมัยผม ที่ผมได้ลงมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ในยุคสมัยผมนั้น ในโลกธาตุสมัยผมนั้น จะมีความพิเศษอยู่หลายอย่าง
    และหนึ่งในความพิเศษนั้นคือ ในยุคสมัยผม จะไม่มีหญิงโสเภณี จะไม่มีการค้าประเวณี
    จะไม่มีการข่มขืนกระชำเรา
    .
    ผู้คนทั้งหลาย หญิงชายทั้งหลาย จะรักเดียวใจเดียว ผัวเดียวเมียเดียว รักในคู่ครองของตน
    จะไม่ล่วงละเมิดคู่ครองคนอื่น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2016
  5. Sirius Galaxy

    Sirius Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,132
    ค่าพลัง:
    +2,559
    เรียน เจ้าของกระทู้ ท่านนักรบเงา
    ขอความอนุเคราะห์ ช่วยลงลิงค์ ของบทเพลงธรรมะ ที่ได้เปิดแทรกไว้ในกระทู้ เป็นบทเพลงธรรมะ เสียงผู้หญิงร้อง
    ขอบคุณครับ
     
  6. noway

    noway เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2012
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +3,970
    หากเป็นสมัยเกิดในยุคที่ผู้คนถือศีล5 เป็นปกติ ก็คงเป็นอย่างที่ท่านว่า
    เช่นในอนาคต ยุคพระศรีอาริย์

    แต่หากเป็นพระพุทธเจ้าแบบปัญญาธิกะ ด้วยความรู้อันน้อยนิดของผม
    ผมคาดว่าหากปรารถนา พระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ บารมี 4 อสงขัย
    ก็คงมาเกิดในยุคที่มนุษย์อายุขัยสั้น มีคนดี คนเลวปะปะกัน


    หากปรารถนา วิริยะธิกะอยู่แล้ว ก็คงเป็นไปเช่นนั้น ตามที่ท่านอธิษฐานไว้
     
  7. Sirius Galaxy

    Sirius Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,132
    ค่าพลัง:
    +2,559

    "ถ้าพระเมตตรัย และพระรามเจ้า ไม่ต้องการสมมุติพิเศษมากเกินไป ก็เป็นพระพุทธเจ้าก่อนตถาคตไปนานแล้ว เพราะพระโพธิสัตว์ทั้ง ๒ ท่าน ได้รับคำพยากรณ์มาก่อนตถาคต ๑๒ อสงไขย"
    .
    ลูกศิษย์บันทึกเล่ม 3 (ตอน 4) ส.อ.เสริมชัย
    .
    .
    จากข้อความนี้ สามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์เชิงคณิตศาสตร์ อาจกล่าวได้ว่า...
    .
    1. ว่ากันว่า พระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ สร้างบารมีมานานมากมายนับไม่ถ้วน แต่วิริยาธิกะนั้น กลับนานกว่า
    .
    2. ว่ากันว่า พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ก่อน เขาถือเป็นพ่อ เป็นพี่ หรือเป็นรุ่นพี่ ของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ทีหลัง แต่ก็ไม่แน่เสมอไป ถ้าพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ก่อนนั้นเป็นปัญญาธิกะ ก็จะเกรงใจพระพุทธเจ้าวิริยาธิกะที่ตรัสรู้ภายหลัง
    .
    3. อาจกล่าวได้ว่า พระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ เปรียบเหมือนหลักสูตรเร่งรัด เรียนเร็ว จบเร็ว ซึ่งแน่นอน ต้องเรียนยาก และเรียนหนัก ดังนั้น พุทธภูมิท่านใดที่ชอบเร็วๆ ชอบบารมีเต็มไวๆ เพื่อจะได้เป็นพุทธเจ้าเร็วๆ ก็ควรเลือกปัญญาธิกะ แต่ในความเป็นจริงกลับมีผู้สำเร็จปัญญาธิกะน้อย ก็เพราะเรียนยาก เรียนหนัก
    .
    4. จากข้อมูล ของลูกศิษย์บันทึกที่ยกมา วิริยาธิกะทั้งหลายที่ได้รับพยากรณ์แล้วนั้น แต่ถ้าหากว่ามี ปัญญาธิกะโผล่ขึ้นมาและได้รับพยากรณ์ ก็จะแซงหน้าโพธิสัตว์วิริยาธิกะรุ่นพี่ มีการจัดเรียงลำดับใหม่ มีการลัดคิว เพื่อให้ปัญญาธิกะลงมาตรัส กลายเป็นพระพุทธเจ้ารุ่นพี่ ทั้งที่ก่อนหน้านั้น เป็นพระโพธิสัตว์รุ่นน้อง
    .
    เป็นการวิเคราะห์เชิงวิชาการ หาได้เป็นปรามาสอย่างใดไม่
    พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ล้วนเกื้อกูล สนับสนุน สงเคราะห์ ช่วยเหลือกันมาตลอด ล้วนเกิดมาพบปะพบเจอกัน บางองค์ได้รับพยากรณ์ทีหลังแต่ก็กลับเป็นพระพุทธเจ้าก่อน บางองค์ก็ลา หรือบางองค์ได้รับพยากรณ์มาก่อนนานแสนนานก็มาลาในพระพุทธเจ้าที่ได้รับพยากรณ์ทีหลังก็มี
    .
    เขาจึงว่าพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ล้วนเป็นพี่น้องกัน แต่เนื่องด้วยเหตุปัยจัยแห่งโลกธาตุนี้ ในยุคสมัยที่มนุษย์ทั้งหลายมีอายุขัย 100 ปี และปัจจุบันเหลือ 15 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่โลกเสื่อมจากศีลธรรม หรือเป็นช่วงขาลง ที่เขาเรียกว่า ไขลง ก็ย่อมมีการกระทบกระทั่งกันบ้างของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เพราะวัฒนธรรมและค่านิยมของโลกธาตุยุคนี้ เช่น มีการแผ่ขยายอำนาจบารมี มีการล่าอาณานิคม มีการแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของประเทศนั้นๆ มีการทำสงครามรบราฆ่าฟัน มีการแก่งแย่งอำนาจชิงบัลลังก์ มีการแต่งตั้งตนเป็นศาสดา เป็นลัทธิใหม่ มีการก่อตั้งลัทธิการเมืองการปกครองนำมาซึ่งความขัดแย้งทางการเมืองการปกครอง
     
  8. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ท่านปรารถนาแบบไหนก็ได้ ตามสบาย
    แบบพุทธโคดม ใช้เวลาผ่านนิตยโพธิสัตว์เพียง 24 องค์
    ก็สำเร็จโพธิญาณ(ไม่นับตอนเป็น อนิยตโพธิสัตว์)

    แบบพระศรีอารย์ ใช้เวลาผ่านนิตยโพธิสัตว์มาแล้ว
    ประมาณ440,000 กว่าองค์ จะสำเร็จในพุทธกาลหน้า..

    ปรารถนาอะไรก็ดูความสามารถตัวเอง
    เด๋วจะเป็นแบบ พยามาร
    ปรารถนาขนหมู่สัตว์ไปให้หมดก่อน
    จะไปองค์สุดท้าย

    โดนกิเลสโพธิสัตว์หลอกเอาเต็มๆ...

    ปรารถนาอะไรก็ได้ อย่าปรารถนาเป็นองค์สุดท้ายก็แล้วกัน
    เพราะโพธิสัตว์องค์สุดท้ายไม่มี...
     
  9. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ถ้าพระสัมมาสัมโพธิญาณ พยากรณ์ใครเป็นนิยตโพธิสัตว์แล้ว

    ไม่มีใครลาได้ มุงหน้าเป็นพระพุทธเจ้าอย่างเดียว

    เป็นหนึ่ง ไม่เป็นสอง

    เพราะพยากรณ์ตามเหตุ ไม่ใช้เดาเอา...หรือยกเมฆ..
     

แชร์หน้านี้

Loading...