หยดน้ำบนใบบัว (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) ตอนที่ 7 ก้าวเดินทางปัญญา

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย TupLuang, 11 กันยายน 2008.

  1. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    ตอนที่ 7 ก้าวเดินทางปัญญา


    เครื่องประกอบครบ

    ในช่วง 5 ปีที่ติดสมาธิอยู่นั้น ท่านกล่าวว่า ผลแห่งสมาธิธรรมของท่านในระยะนั้นมีความแน่นหนาพอตัวแล้ว ถ้าเป็นประเภทอาหารก็เรียกว่า มีทั้งผัก ทั้งเนื้อ ปลา เครื่องปรุงอะไรต่างๆ ครบหมดแล้ว จะทำเป็นแกงก็ได้ หุงต้มก็ได้ ทอดก็ได้ เป็นแต่เพียงว่าเอามาแช่ไว้เฉยๆ ยังไม่ยอมแกงเท่านั้นเอง เพราะท่านว่ามัวแต่มากินสมาธิว่าเป็นมรรคผลนิพพาน มัวมากินผักกินหญ้าด้วยเข้าใจว่าเป็นแกง ต่อเมื่อเริ่มก้าวเดินทางด้านปัญญา จึงเท่ากับเอาอาหารประเภทต่างๆ เหล่านั้นมาแกงกิน ดังนี้

    "...พอออกจากสมาธิ ด้วยอำนาจธรรมอันเผ็ดร้อนของท่านอาจารย์มั่นเข่นเอาอย่างหนัก จึงออกพิจารณา พอพิจารณาทางด้านปัญญาก็ไปได้อย่างคล่องตัวรวดเร็วเพราะสมาธิพร้อมแล้ว เหมือนกับเครื่องทัพสัมภาระที่จะมาปลูกบ้านสร้างเรือนนี้มีพร้อมแล้ว เป็นแต่เราไม่ประกอบให้เป็นบ้านเป็นเรือนเท่านั้น มันก็เป็นเศษไม้อยู่เปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร

    นี่สมาธิก็เป็นสมาธิอยู่อย่างนั้น เมื่อไม่นำมาประกอบให้เป็นสติปัญญามันก็หนุนอะไรไม่ได้ จึงต้องพิจารณาตามอย่างที่ท่านอาจารย์มั่นท่านเข่นเอา พอท่านเข่นเท่านั้นมันก็ออก พอออกเท่านั้น มันก็รู้เรื่องรู้ราว ฆ่ากิเลสตัวนั้นได้ ตัดกิเลสตัวนี้ได้โดยลำดับๆ เกิดความตื่นเนื้อตื่นตัวขึ้นมา

    "โธ่ ! เราอยู่ในสมาธิ เรานอนตายอยู่เฉยๆ มากี่ปีกี่เดือนแล้ว ไม่เห็นได้เรื่องได้ราวอะไร"

    คราวนี้ก็เร่งทางปัญญาใหม่ หมุนติ้วทั้งกลางวันกลางคืนไม่มีห้ามล้อบ้างเลย แต่ผมมันนิสัยโลดโผนน่ะ ถ้าไปแง่ไหนมันไปแง่เดียว พอดำเนินทางปัญญาแล้ว มันก็มาตำหนิสมาธิว่า

    "มานอนตายอยู่เปล่าๆ"

    ความจริงสมาธิก็เป็นเครื่องพักจิต ถ้าพอดีจริงๆ ก็เป็นอย่างนั้น นี่มันกลับมาตำหนิสมาธิว่ามานอนตายอยู่เปล่าๆ กี่ปีไม่เห็นเกิดปัญญา..."

    บ้าหลงสังขาร

    โดยปกติท่านอาจารย์มั่นจะพูดกับท่านแบบธรรมดาคล้ายพ่อแม่พูดกับลูก แต่หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับการภาวนาแล้ว จะไม่พูดแบบธรรมดาเลย แต่จะจริงจังเด็ดขาดและพูดอย่างคึกคักเต็มที่ ซึ่งถูกกับจริตนิสัยที่ผาดโผนจริงจังของท่านมาก คราวนี้ก็เช่นกัน หลังจากที่เพลินกับการพิจารณาทางด้านปัญญาถึงกับลืมหลับลืมนอน จนกระทั่งท่านอาจารย์มั่นต้องได้ใส่ปัญหาแก่ท่าน ดังนี้

    "...เวลามันออกทางด้านปัญญาแล้วนะ

    "โห ! มันพิจารณาทั้งวันทั้งคืน ไม่ได้หลับได้นอน นี่ก็ไม่ได้นอนมา 2 คืน 3 คืนแล้ว มันหมุนติ้วๆ เลย ทั้งวันเลย"

    "นั่นละ มันหลงสังขาร" ท่านอาจารย์มั่นว่า

    จึงโต้เหตุผลกับอาจารย์มั่นว่า

    "ไม่พิจารณามันก็ไม่รู้ ถ้าไม่พิจารณา มันก็ไม่รู้"

    "นั่นละ บ้าสังขาร บ้าหลงสังขาร..."

    ทีแรกนี้ท่านไม่เข้าใจคำว่า บ้าหลงสังขาร เพราะท่านอาจารย์มั่นก็ไม่ได้อธิบายถึงความหมายไว้ให้ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะท่านรู้ถึงอุปนิสัยของลูกศิษย์ว่าเป็นคนผาดโผน จึงได้ใส่ปัญหาแบบผาดโผนให้ ต่อเมื่อผ่านไปแล้ว ท่านจึงเข้าใจความหมายดังนี้

    "...ความหมายท่านว่า ถ้าจะพูดให้พอเหมาะนะคือ เราจะใช้ทางด้านแก้กิเลสก็ตาม เรื่องของมรรคก็ตาม เรื่องของสมุทัยก็ตาม จะต้องเอาสังขารนี้ออกใช้ แต่เวลานี้สังขารมันใช้จนเลยเถิด มันเกินประมาณ มันเป็นสมุทัย ให้ใช้พอเหมาะพอดีมันจึงเป็นมรรคฆ่ากิเลส นี่มันเลยเถิดแล้ว จึงไม่ได้หลับได้นอน

    เพราะงั้นท่านถึงบอก มันหลงสังขารคือสังขาร มรรคที่แก้กิเลสนี้ มันเป็นสมุทัยอยู่ในตัวของมันนั้น นี้เราไม่รู้นี่ ท่านเหนือกว่า ท่านรู้นี่ เราถึงได้เถียงกับท่าน

    "ถ้าไม่พิจารณามันก็ไม่รู้"

    "นั่นแหละมันหลงสังขาร บ้าหลงสังขาร"

    ขนาบเลย ทิ้งหมดเลยปัญหานี้ท่านไม่เอาไว้เลยนะ ท่านโยนทิ้งหมด ให้เราหาใหม่..."

    แบ่งพัก แบ่งสู้

    ถึงตอนนี้เมื่อท่านอาจารย์มั่นใส่ปัญหาให้ท่านได้ขบคิด ท่านจึงใคร่ครวญดูใหม่พบว่า

    "...จึงได้มายับยั้งชั่งตัว เวลามันไปเต็มเหนี่ยวของมันแล้วก็ลืมใต้จิต แล้วก็หลงสังขาร ก็เอาอันนั้นเข้ามาพิจารณาย้อนเข้ามา หักเอาไว้ เบรกเอาไว้ เบรกอย่างแรงเลย เมื่อมั่นไปเต็มเหนี่ยวแล้วมันเมื่อยมันเพลีย แต่จิตไม่ยอม สติปัญญาไม่ถอย รั้งเอาไว้ๆ ให้เข้าสู่สมาธิเพื่อความสงบพักงาน บีบบังคับให้เข้ามาๆ

    จนกระทั่งเอาคำบริกรรม พุทโธ มาบริกรรม พุทโธ พุทโธ...ให้มาอยู่กับ พุทโธ ไม่ให้มันออกไปทำงาน นี่มันจะเลยเถิดอีกให้มันรั้งเข้ามา ให้มันอยู่กับความสงบคือสมาธิของเรานั่นแหละ สมาธิมันเต็มภูมิอยู่แล้ว แต่ไม่ได้ใช้ เห็นว่าสมาธินี้เหมือนเรานอนตายว่างั้นเถอะ ติดสมาธินี้

    ทีนี้มันก็หมุนสติปัญญา ทีนี้มันจะเลยเถิดอีก รั้งเข้ามา ทีนี้เวลาจิตมันเข้าสู่ความสงบนะ แน่ว โอ้โห เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนาม สงบเย็น...แต่กระนั้นยังต้องบังคับไว้นะ ไม่งั้นมันพุ่งออกทำงานอีก งานมันยังเหนืออันนี้อีก ต้องบังคับไว้ แต่จับเงื่อนได้ว่า เมื่อเข้าพักสงบแล้ว มันมีกำลังวังชาแล้วออกไปทำงานได้ เหมือนกับเราทำการทำงานมามากแล้วเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เราก็มาพักผ่อนนอนหลับหรือรับประทานอาหารเสร็จแล้วก็มาพักผ่อนนอนหลับซะ

    ถึงจะเสียเวล่ำเวลาหน้าที่การงานไปในเวลานั้นก็ตาม แต่เสียไว้เพื่อสั่งสมกำลังในงานต่อไป อันนี้จิตของเรามันจะพุ่ง พุ่งเข้างานก็ตาม แต่การพักนี้เพื่อเป็นกำลังของจิตที่จะดำเนินงานต่อไป นี่มันถึงได้รู้ เวลาออกทางด้านปัญญานี่ โถ! ไม่มีในตำรา ว่างั้นเถอะ เราก็เรียนมาเหมือนกัน เพราะฉะนั้น จึงกล้าพูดได้...ตามต้อนกิเลส กิเลสประเภทไหนเป็นยังไง สติปัญญานี้เหนือกว่าๆ ตามต้อนกันทัน เผากันไปเรื่อยๆ มันเป็นเอง นั่นละที่มันเพลิน มันไม่ได้หลับได้นอน มันเพลินฆ่ากิเลส เพราะมันเห็นอภัยอย่างสุดหัวใจแล้ว ถึงขนาดที่ว่า

    "ยังไงกิเลสไม่ตาย เราต้องตาย"

    มวยคลุกวงใน

    เมื่อถึงขั้นนี้แล้ว ท่านว่ามันยิ่งเห็นโทษเห็นภัยของกิเลสอย่างหนัก ขณะเดียกวันก็เห็นคุณค่าของความหลุดพ้น มีน้ำหนักเท่าๆ กัน เมื่อเป็นเช่นนี้ การต่อสู้ห้ำหั่นระหว่างธรรมกับกิเลสจึงไม่มีวันที่จะยอมแพ้กันได้เลย ท่านเล่าอย่างถึงใจว่า

    "...มันก็พุ่งน่ะสิ มีแต่ว่าตายเท่านั้น เรื่องแพ้ไม่พูดเลย แพ้ก็ต้องแบกหามลงเปลไปเลย ที่จะให้ยกมือยอมแพ้นั้น ไม่มีซัดกันขนาดนั้น...ถ้าได้ลงทางจงกรมแล้ว มันไม่รู้จักหยุด ไม่ว่าเวล่ำเวลาร้อนหนาวมันไม่ได้สนใจ คือจิตมันอยู่ที่นี่ มันไม่ได้ออกนะ ออกไปตามดินฟ้าอากาศนี้ไม่ได้ ออกไปหาร่างกายนี้วันหนึ่งมันก็ไม่ได้ออก มันฟัดกันอยู่ภายในเหมือนนักมวยเข้าวงในว่างั้นเถอะนะ ใครจะไปสนใจเรื่องความเจ็บปวด มันไม่สนใจนะ

    อันนี้กิเลสมันเข้าวงในนะ ระหว่างธรรมกับกิเลสฟัดกันวงใน มันเป็นอย่างนี้หมุนติ้วๆ เดินจงกรมตั้งแต่ฉันอาหารเสร็จแล้ว จนกระทั่งถึวเวลาปัดกวาดตอนเย็นนะ มันเดินได้ยังไง คือมันไม่รู้เวล่ำเวลา

    จนกระทั่งเวลาหยุดจากทางจนงกรมแล้ว มองเห็นกาน้ำนี้มันจะตายเลย มันไม่ได้กินน้ำ โดดคว้ากาน้ำมารินนี้ กลืนนี่ โหกลืนไม่ทัน สำลัก กั๊กๆๆ เวลามันฟัดกันนี่ ไม่ได้สนใจกับสิ่งเหล่านี้นะ เวลาออกมาแล้วมาเห็นกาน้ำนี่สิ โอ้โห โดยใส่เลยเชียวนะ มันจะตาย แหมมันขนาดนั้นนะ

    เราไม่ถึงฝ่าเท้าแตกแต่ออกร้อน โอ้โหเหมือนไฟลนแหละ พอมาถึงที่พักถึงรู้นะ ตอนนั้นไม่รู้ แดดก็ไม่รู้ร้อน มันไม่สนใจกับแดดกับฝนอะไร แต่ไม่ได้เคยตากฝนเดินจงกรม แต่ตากแดดนี่เคยแล้ว เราเอาผ้าอาบน้ำมาพับครึ่ง แล้วก็มัดผูกบนศีรษะนี่ แล้วก็มาผูกใส่คางเหลือแต่ตา

    เดินจงกรมกลางแจ้งทีเดียว บนไร่ร้างสวนร้าวเขา เอากันอยู่นั่น ไม่มีร่มเลย ร่มไม่ร่มช่างหัวมัน ฟาดลงนั้นเลย ทำได้นะไม่สนใจช่างหัวมัน ฟาดลงนั้นเลย ทำได้นะ ไม่สนใจกับร้อนกับหนาวอะไรเลย เพราะอันนี้มันรุนแรงภายในใจ

    นี่...แล้วไม่ใช่เดินอยู่วันหนึ่งวันเดียว นั่นซี มันเป็นประจำของมันอย่างนั้น พอเข้าทางจงกรมแล้ว เท่านั้นแหละ ไม่มีเวล่ำเวลานาทีมายุ่งกวน มีแต่อันนี้ฟัดกันอยู่ภายใน หมุนติ้วๆ เราก็เดิน ก็เดินไปยังงั้นล่ะ แต่ทางนี้ทำงานอยู่ตลอดเวลา เดินสะเปะสะปะไปตามเรื่องของมัน ที่นี้เดินไม่หยุดสิวันนี้ก็เดิน วันหน้าก็เดิน เดินหลายวันต่อหลายวัน...

    ...เดินจงกรมไม่รู้จักหยุด...ไม่รู้ว่าเหนื่อยว่าอะไร เพราะมันหมุนติ้วๆ อยู่นี่ งานอยู่นี้ เดินไปบางทีเดินจงกรมนี้ โน่นเซซัดเข้าไปในป่าโน่น โครมครามในป่าโน่น เพราะจิตมันไม่ออก ตาก็มืดมัวไปหมดละซี มีแต่ขาก้าวไปๆ ก็เข้าไปโน่น แล้วออกมาอีกที เอาอีกอยู่งั้น คำว่าทำน้ำท่าอะไรๆ ไม่สนใจทั้งนั้นเมื่อถึงขั้นตะลุมบอนกัน..."

    มองดูคน...เนื้อหนังแดงโร่

    ย้อนกล่าวถึงอุบายวิธีพิจารณาด้านปัญญาที่ท่านดำเนินเป็นลำดับมานี้ ท่านเคยกล่าวไว้ในคราวอบรมพระเณรเสมอๆ เพราะเป็นสิ่งที่ท่านเน้นหนักมาก เฉพาะอย่างยิ่งแก่นักบวช จะได้รู้จักวิธีพิจารณาอันนำมาซึ่งความสงบร่มเย็นภายในใจ ดังนี้

    "...ก็เร่งทางด้านปัญญา เร่งทางกายนี้ก่อน ตอนอสุภะ นี่สำคัญอยู่มากนะ สำคัญมากจริงๆ พิจารณาอสุภะนี่มันคล่องแคล่งแกล้วกล้า มองดูอะไรทะลุไปหมด ไม่ว่าจะหญิงจะชายจะหนุ่มจะสาวขนาดไหน

    เอ้า พูดให้เต็มตามความจริงที่จิตมันกล้าหาญน่ะ ไม่ต้องให้มีผู้หญิงเฒ่าๆ แก่ๆ ละ ให้มีแต่หญิงสาวๆ เต็มอยู่ในชุมนุมนั้นน่ะ เราสามารถจะเดินบุกเข้าไปในที่นั่นได้ โดยไม่ให้มีราคะตัณหาอันใดแสดงขึ้นมาได้เลย นั่นความอาจหาญของจิตเพราะอสุภะ

    มองดูคนมีแต่หนังห่อกระดูก มีแต่เนื้อแต่หนังแดงโร่ไปหมด มันเห็นความสวยความงามที่ไหน เพราะอำนาจของอสุภะมันแรง มองดูรูปไหนมันก็เป็นแบบนั้นหมด แล้วมันจะเอาความสวยงามมาจากไหนพอให้กำหนัดยินดี เพราะฉะนั้น มันจึงกล้าเดินบุก เอ้า ! ผู้หญิงสาวๆ สวยๆ นั้นแหละ บุกไปได้อย่างสบายเลยถึงครามมันกล้า เพราะเชื่อกำลังของตัวเอง

    แต่ความกล้านี้ก็ไม่ถูกกับจุดที่จิตอิ่มตัวในขั้นกามราคะ จึงได้ตระหนักตัวเองเมื่อจิตผ่านไปแล้ว ความกล้านี้มันก็บ้าอันหนึ่งเหมือนกัน แต่ตอนที่ดำเนินก็เรียกว่าถูกในการดำเนิน เพราะต้องดำเนินอย่างนั้น เหมือนการตำหนิอาหารในเวลาอิ่มแล้วนั่นแล จะผิดหรือถูกก็เข้าในทำนองนี้

    การพิจารณาอสุภะอสุภัง พิจารณาไปจนกระทั่งว่าราคะนี้ไม่ปรากฏเลย ค่อยหมดไปๆ และหมดไปเอาเฉยๆ ไม่ได้บอกเหตุบอกผล บอกกาลบอกเวลาบอกสถานที่ บอกความแน่ใจเลยว่า ราคะความกำหนัดยินดีในรูปหญิงรูปชายนี้ได้หมดไปแล้ว ตั้งแต่ขณะนั้น เวลานั้น สถานที่นั้น ไม่บอก จึงต้องมาวินิจฉัยกันอีก ความหมดไปๆ เฉยๆ นี้ไม่เอา คือจิตมันไม่ยอมรับ

    ถ้าหมดตรงไหนก็ต้องบอกว่าหมดให้รู้ชัดว่า หมดเพราะเหตุนั้น หมดในขณะนั้น หมดในสถานที่นั้น ต้องบอกเป็นขณะให้รู้ซิ ฉะนั้น จิตต้องย้อนกลับมาพิจารณาหาอุบาย วิธีต่างๆ เพื่อแก้ไขกันอีก เมื่อหมดจริงๆ มันทำไมไม่ปรากฏชัดว่าหมดไป ในขณะนั้นขณะนี้นะ

    พอมองเห็นรูป มันทะลุไปเลย เป็นเนื้อเป็นกระดูกไปหมดในร่างกายนั่น ไม่เป็นหญิงสวยหญิงงาม คนสวยคนงามเลย เพราะอำนาจของอสุภะมีกำลังแรง เห็นเป็นกองกระดูกไปหมด มันจะเอาอะไรไปกำหนัดยินดีเล่าในเวลาจิตเป็นเช่นนั้น ทีนี้ก็หาอุบายพลิกใหม่ว่า

    "ราคะนี้มันสิ้นไปจนไม่มีอะไรเหลือนั้น มันสิ้นในขณะใดด้วยอุบายใด ? ทำไมไม่แสดงบอกให้ชัดเจน"

    จึงพิจารณาพลิกใหม่ คราวนี้เอาสุภะเข้ามาบังคับ พลิกอันที่ว่าอสุภะที่มีแต่ร่างกระดูกนั้นออก เอาหนังหุ้มห่อให้สวยให้งาม นี่เราบังคับนะ ไม่งั้นมันทะลุไปทางอสุภะทันที เพราะมันชำนาญนี่ จึงบังคับให้หนังหุ้มกระดูกให้สวยให้งาม แล้วนำเข้ามาติดแนบกับตัวเอง นี่วิธีการพิจารณาของเรา เดินจงกรมก็ให้ความสวยความงามรูปอันนั้นน่ะติดแนบกับตัว ติดกับตัวไปมาอยู่อย่างนั้น

    "เอ้า มันจะกินเวลานานสักเท่าไร ? หากยังมีอยู่มันจะต้องแสดงขึ้นมา หากไม่มีก็ให้รู้ว่าไม่มี..."

     
  2. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    เหมือนว่าหมดกามราคะ

    หลังจากเอาวิธีการนี้มาปฏิบัติได้ 4 วันเต็มๆ ก็ไม่แสดงความกำหนัดยินดีขึ้นมาแต่อย่างใด ถึงจุดนี้ท่านกล่าวว่า

    "...ทั้งๆ ที่รูปนี้สวยงามที่สุดมันก็ไม่แสดง มันคอยแต่จะหยั่งเข้าหนังห่อกระดูก แต่เราบังคับไว้ให้จิตอยู่ที่ผิวหนังนี่ พอถึงคืนที่ 4 น้ำตาร่วงออกมา บอกว่า "ยอมแล้วไม่เอา" คือมันไม่ยินดีนะ มันบอกว่า

    "ยอมแล้ว"

    ด้านทดสอบก็ว่า "ยอมอะไร ถ้ายอมว่าสิ้น ก็ให้รู้ว่าสิ้นซิ ยอมอย่างนี้ ไม่เอา ยอมชนิดนี้ ยอมมีเล่ห์เหลี่ยม เราไม่เอา"

    กำหนดไป กำหนดทุกแง่ทุกมุมนะ แง่ไหนมุมใดที่มันจะเกิดความกำหนัดยินดี เพื่อจะรู้ว่าความกำหนัดยินดีมันจะขึ้นขณะใด เราจะจับเอาตัวแสดงออกมานั้นเป็นเครื่องพิจารณาถอดถอนต่อไป พอดึกเข้าไปๆ กำหนดเข้าไปๆ แต่ไม่กำหนดพิจารณาอสุภะนะ ตอนนั้นพิจารณาแต่สุภะอย่างเดียวเท่านั้น 4 วันเต็มๆ เพราะจะหาอุบายทดสอบหาความจริงมันให้ได้

    พอสัก 3-4 ทุ่มล่วงไปแล้ว ในคืนที่ 4 มันก็มีลักษณะยุบยับเป็นลักษณะเหมือนจะกำหนัดในรูปสวยๆ งามๆ ที่เรากำหนดติดแนบกับตัวเป็นประจำในระยะนั้น มันมีลักษณะยุบยับชอบกล สติทันนะ เพราะสติมีอยู่ตลอดเวลานี่ พอมีอาการยุบยับก็กำหนดเสริมขึ้นเรื่อยๆ

    "นั่นมันมีลักษณะยุบยับเห็นไหม จับเจ้าตัวโจรหลบซ่อนได้แล้วที่นี่ นั่นเห็นไหม มันสิ้นยังไง ถ้าสิ้นทำไมจึงต้องเป็นอย่างนี้"

    กำหนดขึ้นๆ คือ คำว่า ยุบยับนั้นเป็นแต่เพียงอาการของจิต แสดงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ทำอวัยวะให้ไหวนะ มันเป็นอยู่ภายในจิต พอเสริมเข้าๆ มันก็แสดงอาการยุบยับๆ ให้เป็นที่แน่ใจว่า

    "เอ้อ นี่มันยังไม่หมด เมื่อยังไม่หมดจะปฏิบัติยังไง ?"

    ทีนี้ ต้องปฏิบัติด้วยอุบายใหม่โดยวิธีสับเปลี่ยนกัน ทั้งนี้เพราะทางไม่เคยเดิน สิ่งไม่เคยรู้ จึงลำบากต่อการปฏิบัติอยู่มาก พอเรากำหนดไปทางอสุภะนี้ สุภะมันดับพึบเดียวนะ มันดับเร็วที่สุดเพราะความชำนาญทางอสุภะมาแล้ว

    พอกำหนดอสุภะมันเป็นกองกระดูกไปหมดทันที ต้องกำหนดสุภะ ความสวยงามขึ้นมาแทนที่ สับเปลี่ยนกันอยู่นั้น นี่ก็เป็นเวลานานเพราะหนทางไม่เคยเดิน มันไม่เข้าใจก็ต้องทดสอบด้วยวิธีการต่างๆ จนเป็นที่แน่ใจ จึงจะตัดสินใจลงทางใดทางหนึ่งได้ที่นี้..."

    ตื่นเงาตัวเอง

    หลังจากได้ลองทดสอบกำหนดอสุภะและสุภะสลับสับเปลี่ยนกันไปมาอยู่นั้น วาระสุดท้ายที่จะทำให้ท่านได้รู้ความจริงก็คือ

    "เวลาจะได้ความจริง ก็นั่งกำหนดอสุภะไว้ตรงหน้า จิตกำหนดอสุภะไว้ให้ตั้งอยู่อย่างนั้น ไม่ให้เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด คือตั้งให้คงที่ของมันอยู่อย่างนั้นละ จะเป็นหนังห่อกระดูกหรือว่าหนังออกหมดเหลือแต่กระดูกก็ให้มันรู้อยู่ตรงหน้านั้น แล้วจิตเพ่งดูด้วยความมีสติจดจ่อ อยากรู้อยากเห็นความจริงจากอสุภะนั้นว่า

    เอ้า ! มันจะไปไหนมาไหน กองอสุภะกองนี้จะเคลื่อนหรือเปลี่ยนตัวไปไหนมาไหน คือเพ่งยังไงมันก็อยู่อย่างนั้นละ เพราะความชำนาญของจิต ไม่ให้ทำลายมันก็ไม่ทำ เราบังคับไม่ให้มันทำลาย ถ้ากำหนดทำลายมันก็ทำลายให้พังทลายไปในทันทีนะ เพราะความเร็วของปัญญา แต่นี่เราไม่ให้ทำลายให้ตั้งอยู่ตรงหน้านั้นเพื่อการฝึกซ้อมทดสอบกัน หาความจริงอันเป็นที่แน่ใจ

    พอกำหนดเข้าไปๆ อสุภะที่ตั้งอยู่ตรงหน้านั้นมันถูกจิตกลืนเข้ามาๆ อมเข้ามาๆ หาจิตนี้ สุดท้ายเลยรู้เห็นว่าเป็นจิตเสียเอง เป็นตัวอสุภะนั้นน่ะ จิตตัวไปกำหนดว่าอสุภะนั้นน่ะมันกลืนเข้ามาๆ เลยมาที่ตัวจิตเสียเองไปเป็น สุภะ และ อสุภะ หลอกตัวเอง จิตก็ปล่อยผลัวะทันที ปล่อยอสุภะข้างนอกว่าเข้าใจแล้วที่นี่ เพราะมันขาดจากกัน มันต้องอย่างนี้ซิ

    นี่มันเป็นเรื่องของจิตต่างหาก ไปวาดภาพหลอกตัวเอง ตื่นเงาตัวเอง อันนั้น เขาไม่ใช่ราคะ อันนั้นไม่ใช่โทสะ ไม่ใช่โมหะ ตัวจิตนี้ต่างหากเป็นตัวราคะ โทสะ โมหะ ทีนี้พอจิตรู้เรื่องนี้ชัดเจนแล้ว จิตก็ถอนตัวจากอันนั้นมาสู่ภายใน พอจิตแย็บออกไป มันก็รู้ว่าตัวนี้ออกไปแสดงต่างหาก ทีนี้ภาพอสุภะนั้นมันก็เลยมาปรากฏอยู่ภายในจิตโดยเฉพาะ

    กำหนดอยู่ภายในพิจารณาอยู่ภายในจิต ทีนี้มันไม่เป็นความกำหนัดอย่างนั้นน่ะซิ มันผิดกันมาก เรื่องความกำหนัดแบบโลกๆ มันหมดไปแล้ว มันเข้าใจชัดว่า มันต้องขาดจากกันอย่างนี้ คือมันตัดสินกันแล้วเข้าใจแล้ว ทีนี้ก็มาเป็นภาพปรากฏอยู่ภายในจิต ก็กำหนดอยู่ภายในนั้น พอกำหนดอยู่ภายใน มันก็ทราบชัดอีกว่า ภาพภายในนี้ก็เกิดจากจิต มันดับ มันก็ดับไปที่นี่ มันไมดับไปที่ไหน

    พอกำหนดขึ้นมันดับไป พอกำหนดไม่นานมันก็ดับไป ต่อไปมันก็เหมือนฟ้าแลบนั่นเอง พอกำหนดพั้บขึ้นมาเป็นภาพก็ดับไปพร้อมๆ กัน เลยจะขยายให้เป็น สุภะ อสุภะ อะไรไม่ได้ เพราะความรวดเร็วของความเกิดดับ พอปรากฏขึ้นพั้บ ก็ดับพร้อมๆ

    ต่อจากนั้นนิมิตภายในจิตก็หมดไป จิตก็กลายเป็นจิตว่างไปเลย ส่วนอสุภะภายนอกนั้นหมดปัญหาไปก่อนหน้านี้แล้ว เข้าใจแล้วตั้งแต่ขณะที่มันกลืนตัวเข้ามาสู่จิต มันก็ปล่อยอสุภะข้างนอกทันทีเลย รูป เสียง กลิ่น รส อะไรข้างนอกมันปล่อยไปหมด เพราะอันนี้ไปหลอกต่างหากนี่ เมื่อเข้าใจตัวนี้ชัดแล้ว อันนั้นไม่มีปัญหาอะไร มันเข้าใจทันทีและปล่อยวางภายนอกโดยสิ้นเชิง..."

    อัศจรรย์จิต

    ท่านเล่าถึงความอัศจรรย์ของจิตที่เกิดขึ้นในขณะนั้นต่อไปว่า

    "...หลังจากภาพกายในดับไปหมดแล้วจิตก็ว่าง ว่างหมดทีนี้ กำหนดดูอะไรก็ว่างหมด มองดูต้นไม้ภูเขาตึกรามบ้านช่อง เห็นเป็นเพียงรางๆ เป็นเงาๆ แต่ส่วนใหญ่คือจิตนี้มันทะลุไปหมด ว่างไปหมด แม้แต่มองดูร่างกายตัวเอง มันก็เห็นแต่พอเป็นเงาๆ ส่วนจิตแท้มันทะลุไปหมด ว่างไปหมด ถึงกับออกอุทานในใจว่า

    "โอ้โฮ ! จิตนี้ว่างถึงขนาดนี้เชียวนา ว่างตลอดเวลา ไม่มีอะไรเข้าผ่านในจิตเลย"

    ถึงมันจะว่างอย่างนั้นมันก็ปรุงภาพเป็นเครื่องฝึกซ้อมอยู่เหมือนกัน เราจะปรุงภาพใดก็แล้วแต่เถอะ เป็นเครื่องฝึกซ้อมจิตใจให้มีความว่างช่ำชองเข้าไป จนกระทั่งแย็บเดียวว่างๆ พอปรุงขึ้นแย็บมันก็ว่างพร้อมๆ ไปหมด

    ตอนนี้แหละ ตอนที่จิตว่างเต็มที่ความรู้อันนี้จะเด่นเต็มที่ที่นี่ คือ รูปก็ดี เวทนาก็ดี สัญญาก็ดี สังขารก็ดี วิญญาณก็ดี มันรู้รอบหมดแล้ว แล้วปล่อยของมันหมด ไม่มีอะไรเหลือ เหลือแต่ความรู้เดียว มันมีความปฏิพัทธ์ มันมีความสัมผัสสัมพันธ์อ้อยอิ่งอยู่อย่างละเอียดสุขุมมาก ยากจะอธิบายให้ตรงกับความจริงได้ มันมีความดูดดื่มอยู่กับความรู้อันนี้อย่างเดียว

    พออาการใดๆ เกิดขึ้นพั้บมันก็ดับพร้อม มันดูอยู่นี่ สติปัญญาขั้นนี้ ถ้าครั้งพุทธกาลเรียกว่า มหาสติมหาปัญญา แต่สมัยทุกวันนี้ เราไม่อาจเอื้อมพูด เราพูดว่า สติปัญญาอัตโนมัติ ก็พอตัวแล้วกับที่เราใช้อยู่ มันเหมาะสมกันอยู่แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องให้ชื่อให้นามสูงยิ่งไปกว่านั้น มันก็ไม่พ้นจากความจริงซึ่งเป็นอยู่นี้เลย จิตดวงนี้ถึงได้เด่น ความเด่นอันนี้มันทำให้สว่างไปหมด..."

    หลักเกณฑ์อันใหญ่หลวง

    หลังจากที่จิตลงอยู่นานเป็นชั่วโมงๆ แล้วจึงค่อยถอนขึ้นมา เมื่อท่านกำหนดดูต้นไม้ ภูเขา กุฏิ ศาลา กลับไม่เห็นเลย ว่างไปหมด ตามองเห็นวัตถุพอเป็นรางๆ เงาๆ ส่วนใหญ่ของจิตมันทะลุไปหมดว่างไปหมดจนน่าอัศจรรย์ จากนั้นท่านก็นำเรื่องนี้ไปเล่าถวานท่านอาจารย์มั่น ท่านก็พูดร้องขึ้นทันทีอย่างขึงขังตึงตังว่า

    "เอ้อ ! ถูกต้องแล้ว เหมาะแล้ว ได้หลักพยานแล้ว ได้หลักได้เกณฑ์แล้ว อย่างนี้ละ...ผมเป็นที่ถ้ำสาริกา เป็นอย่างท่านมหานี่ละ เอาเลยได้การ"

    จากนั้นท่านอาจารย์มั่นเมตตาเล่าถึงความอัศจรรย์ของจิตที่เกิดขึ้นที่ถ้ำสาริกา นครนายก ให้ท่านฟังภายในห้องบนกุฏิที่วัดหนองผือ ท่านนำมาเล่า ดังนี้

    "...ท่านอยู่ถ้ำสาริกา นั่นเวลาท่านได้รับความทุกข์นะ นี่ละ คนเราเวลาจนตรอก จนมุมจริงๆ ช่วยตัวเองได้นะ ปัญญามาเองของท่านก็เหมือนกัน ท่านเป็นโรคท้อง ยานี้ก็เคยบำบัดกันได้เป็นระยะๆ ไป ท่านว่า แล้วไปอยู่ในถ้ำสาริกา ก็เป็นยาสมุนไพรมีอยู่ตามที่ท่านพัก เขาก็บอกแล้วก่อนที่ท่านจะขึ้นไปว่า "พระตาย 4 องค์แล้วถ้ำนี้"

    เขาจึงถามว่า "นี่ท่านจะตายองค์ที่ 5 เหรอ ?" เขาบอกท่านไม่ฟัง ท่านบอกให้เขาพาไปส่งขึ้นถ้ำสาริกา "นี่ท่านจะตายองค์ที่ 5 เหรอ ?" เขาว่าอย่างนั้น

    "โอ๊ย ที่ไหนก็ไม่ว่าแหละ" ท่านว่าอย่างนั้น "ขอไปดู ควรอยู่ก็อยู่" นั่นฟังซิ ท่านพูดถ่อมตนของท่าน "ควรอยู่ก็อยู่ ควรลงก็ลง ให้ไปดูเสียก่อน" ทางจิตท่านไม่ได้เป็นอย่างนั้น ท่านเล่าให้ฟัง "ที่ไหนมันไม่ตายน่ะ" ท่านว่าอย่างนั้นทีเดียวนะ

    "ถ้ำหรือไม่ถ้ำ มันก็ตายทั้งนั้นนี่นะ ป่าช้ามีอยู่ทั่วไป" นั่นในใจของท่าน แต่เวลาพูดออกมา "เข้าไปดูเสียก่อน มันควรอยู่ก็อยู่ ไม่ควรอยู่ก็ลงเสีย" ท่านว่าอย่างนั้น

    พอขึ้นไปแล้วโรคก็กำเริบใหญ่เลย "นี่ เรานี่จะเป็นองค์ที่ 5 จริงๆ เหรอ ?" ท่านก็ว่าอย่างนั้น "เอ้า 5 ก็ 5" ท่านไม่ได้ถอย "เอ้า 5 ก็ 5" ว่างั้นเลย เอายาอะไรมาฉันก็ไม่มีน้ำยาเลยแหละ สุดท้ายท่านบอกว่ายากำอยู่นี้ปาเข้าป่า

    "มันเป็นอะไร เอ้า ! เป็นก็เป็น ตายก็ตาย"

    ยาที่กำนี้เอามาต้มแล้วปาเข้าป่าเลย ทิ้งหมดเข้าในถ้ำเลย ถ้ำเล็กๆ เราไปดูหมดแหละ ที่ท่านบอกตรงไหน ไปดู ทีนี้เวลามันเอาจริงๆ มันก็หนักจริงๆ หนักก็ฟัดกันเลย...ทุกขเวทนา เอากันเต็มเหนี่ยว

    "เอ้า เป็นก็เป็น ตายก็ตาย เอาสนามรบนี่เป็นป่าช้า สนามรบกับความทุกข์ ความทรมาน กับกิเลสตัณหาที่เกิดความฟุ้งซ่านวุ่นวายต่างๆ ขึ้นในนั้น ฟัดกันในนั้นเลย

    "เอ้า เป็นก็เป็น ตายก็ตาย"

    พอได้ที่มันก็พรึบเลย พอลงได้จังหวะแล้วพรึบทันที ดับหมดเลยโลกธาตุ สว่างจ้าไปหมดเลย ไม่มีอะไรปิดบังลี้ลับ สว่างจ้าไปหมดเลย

    ที่เราพูดถึงเรื่องผีใหญ่ที่มันจะมาตีท่าน อย่างนั้นแล้วเห็นไหมล่ะ แบกเหมือนท่อนเหล็กจะมาตีท่าน ดังที่เขียนในหนังสือประวัติท่านอาจารย์มั่น นี่ละความจริง ปีพรรษา 22 ท่านได้หลักเกณฑ์ ไม่หวั่นไหวตรงนั้นนะ ทั้งๆ ที่กิเลสมีอยู่นะ แต่ว่าหลักธรรมนี้เข้าสู่ใจแล้ว ไม่หวั่นไหวเลย เชื่อแน่ต่อมรรคผลนิพพาน กล้าหาญตั้งแต่นั้นมาไปได้หลักเกณฑ์อันใหญ่หลวงที่ถ้ำสาริกา..."

    เมื่อท่านได้เล่าถวายท่านอาจารย์มั่นแล้ว ท่านรู้สึกว่าจิตใจพองขึ้น และยิ่งท่านอาจารย์มั่นเมตตาเล่าเรื่องของท่านเองดังกล่าวเป็นสักขีพยานอันเป็นเอกด้วยแล้ว ใจของท่านก็ยิ่งพองขึ้นด้วยความปีติยินดี จากนั้นจึงเร่งภาวนาอย่างเต็มที่ด้วยตั้งใจจะให้ได้ผลอัศจรรย์ดังเดิม

    ท่านภาวนาอย่างหนักอยู่ 2-3 วัน ก็ไม่ปรากฏผลว่าจะเป็นเช่นเดิมแต่อย่างใด จึงได้ขึ้นกราบเรียนถามท่านอาจารย์อีกครั้งหนึ่ง ท่านเลยขนาบเอาเสียอย่างหนักว่า

    "มันจะเป็นบ้านะท่าน ผมไม่ได้สอนให้คนเป็นบ้า มันเป็นมันก็เป็นหนเดียวเท่านั้น ผมก็เป็นหนเดียวเท่านั้นแหละ ผมไม่เห็นเป็นบ้า นี่มาเป็นบ้าอะไรอีก ไม่ได้สอนคนให้เป็นบ้านี่นะ

    มันเป็นแล้วก็ผ่านไปแล้ว ไปยุ่งกับมันทำไม พิจารณาในหลักปัจจุบันซิ มันจะเป็นอะไรก็ให้เป็นขึ้นในหลักปัจจุบัน ท่านรู้นั้น ท่านรู้ในหลักปัจจุบันใช่ไหม นี้ไปคว้าหาที่ไหนอีก"

    การพิจารณาอริยสัจ

    กล่าวโดยสรุปถึงวิธีการพิจารณาอริยสัจ ท่านกล่าวไว้ ดังนี้

    "...ปัญญานี้มีหลายขั้น ตั้งแต่ขั้นอสุภะอสุภัง ไปโดยลำดับจนกระทั่งถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งส่วนหยาบ ส่วนกลาง ส่วนละเอียด ปัญญาจะเดินตลอดทั่วถึงไปหมดเช่น รูปขันธ์ ที่เห็นว่าเป็นของสวยงามน่ารัก ใคร่ชอบใจน่ากำหนัดยินดี นี่เป็นความสำคัญของกิเลสที่เสี้ยมสอนมาแต่กาลไหนๆ ทำสัตว์โลกให้ตื่นให้หลงอยู่ไม่มีวันอิ่มพอ...

    ปัญญาจึงต้องสอดแทรกเข้าไปตรงนั้น แก้ความที่ว่าสวยงาม มันสวยงามยังไง ดูให้เห็น...แต่เวลาพิจารณาเข้าไปที่ไหนๆ ที่ว่าสวยงาม ไม่มีปรากฏ มีแต่สุภะอสุภังเต็มเนื้อเต็มตัว ทำไมจะทนต่อความจริงได้ ต้องยอมรับว่าหาความสวยงามไม่มีในสกนธ์กาย นี้...

    เมื่อเลื่อนจากรูปขันธ์นี้ไปแล้วมักจะพิจารณาเป็น ไตรลักษณ์ เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่เกี่ยวกับเรื่อง สุภะ-อสุภะ ซึ่งมีเฉพาะเรื่องของกายนี้เท่านั้นที่สำคัญมั่นหมายไปต่างๆ จึงต้องแก้ความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นของสวยงามนั้น ด้วยการพิจารณาอสุภะ อสุภัง

    พอขั้นนี้สมบูรณ์ภายในจิตใจ คือ ประจักษ์กับปัญญาอย่างชัดเจนแล้ว ย่อมปล่อยวางทั้งสุภะคือความสำคัญว่าสวยว่างามด้วย ทั้งอสุภะที่สำคัญว่าไม่สวยไม่งามด้วย ไม่สนใจไม่ยึดในเงื่อนใดเงื่อนหนึ่ง พอตัวในการพิจารณาแล้วผ่านไปในท่ามกลางแห่งความพอดีของตัวเองนั่น ท่านเรียกว่า ปัญญา ผ่านไป นั้นแล้วไปพิจารณาอะไร ก็เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั่นขันธ์ละเอียด...เรียกว่า นามขันธ์

    นามขันธ์ นี่พิจารณาด้วยไตรลักษณ์คือ อนิจจัง ก็ตาม ทุกขัง ก็ตาม อนัตตาก็ตาม ขอให้มีความถนัดชัดภายในจิตใจ ถนัดใจ แน่ใจในอาการใด ชอบในอนิจจังก็ดี ในทุกขังก็ดี ในอนัตตาก็ดี พิจารณาอันนั้นส่วนใดส่วนหนึ่งได้ หากวิ่งถึงกันหมด

    เพราะธรรมเหล่านี้เกี่ยวโยงกัน นี่เรียกว่า ปัญญา หยั่งทราบตามความเป็นจริงในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้แล้ว ย่อมปล่อยวางเช่นเดียวกันกับรูป คือรูปกายของเรานี้ แล้วก็เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้งห้านี้เป็นอาการอันหนึ่งของจิตเท่านั้น ไม่ใช่จิต

    นักภาวนาจะทราบเองโดยไม่ต้องสงสัย...นี่ทราบได้อย่างชัดเจนและปล่อยวางได้ตามเป็นจริง ลงได้ตามเป็นจริงของมัน..."


    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=8856
     
  3. wara43

    wara43 ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2006
    โพสต์:
    9,108
    ค่าพลัง:
    +16,130
    [​IMG]ขอกราบโมทนาสาธุครับ สาธุ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...