หลวงปู่ผาง จิตตคุตโต วัดอุดมคงคาคีรีเขต (วัดดูน) จ.ขอนแก่น

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย aprin, 14 พฤษภาคม 2012.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    [​IMG]

    “ศีลมีมากหลายข้อ ไม่ต้องรักษาหมดทุกข้อดอก รักษาแต่ใจของเจ้าให้ดีอย่างเดียว กาย วาจา ก็จะดีไปด้วยกันนั่นแหละ”

    มาจังหวัดขอนแก่นทั้งที ถ้าไม่ได้มาเยี่ยมชม “วัดอุดมคงคาคีรีเขต” และกราบพระธาตุของ “หลวงปู่ผาง จิตตคุตโต” แล้วละก็ เห็นทีจะเสียเที่ยวแย่

    เพราะหนึ่งคือ "วัดอุดมคงคาคีรีเขต" เป็นวัดป่ากรรมฐานที่มีชื่อเสียงของจังหวัดขอนแก่น สองคือ"หลวงปู่ผาง จิตตคุตโต" อดีตเจ้าอาวาสของวัดนี้ ท่านเป็นพระป่ากรรมฐานองค์สำคัญของเมืองไทย ด้วยปฏิปทาของและวัตรปฏิบัติที่เข้มแข็ง ใจเด็ด ไม่ย่อท้อและพากเพียรในการปฏิบัติ ทำให้ท่านสามารถบรรลุถึงธรรมขั้นสูง
    นอกจากนี้วัตถุมงคลมากมายหลายรุ่นที่ท่านได้เมตตาโลกโดยการอธิษฐานจิตไว้ให้เพื่อเป็นอนุสติ เป็นธรรมรักษา ก็ล้วนมีประสบการณ์ให้เล่าขานกันจนมาถึงทุกวันนี้


    [​IMG]

    จากถนนหลวงสายมัญจาคีรี-ชัยภูมิและแยกเข้าวัดอีก ๑๒ กม. พวกเราเดินทางบนถนนที่ค่อนข้างคดเตี้ยวและชำรุดในบางช่วง อดคิดไม่ได้ครับว่าเมื่อสักห้าสิบกว่าปีที่ผ่านมา เขาว่าถนนเส้นที่เรากำลังสัญจรอยู่นี้ ไม่ได้มีสภาพเป็นถนนเลย

    การเดินทางเข้าและออกจากพื้นที่ลำบากมาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนต้องถือว่าลำบากมากที่สุด แต่ด้วยบารมีและวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลของหลวงปู่ ท่านจึงเป็นผู้นำชาวบ้านร่วมมือกับหน่วย กรป. กลาง สร้างถนนลงหินลูกรังกว้าง ๕ เมตรจนสำเร็จ (ในยุคนั้น)

    ดังนั้นสำหรับผู้ที่มาเยือนขอได้โปรดพึงระลึกไว้เสมอครับว่า การที่เราสามารถเข้าออกได้สะดวกสบาย ตลอดจนชาวไร่ชาวนาที่อยู่ภายในหมู่บ้านได้อาศัยเส้นทางนี้ในการสัญจรและขนส่งสินค้าเกษตร มีจุดกำเนิดมาจากบารมีของพระธุดงค์องค์หนึ่งที่เคยจำพรรษาอยู่ในวัดอุดมคงคาคีรีเขตแห่งนี้

    [​IMG]
    บนท้องฟ้าที่มีกลุ่มก้อนเมฆสีเทาลอยอยู่ต่ำๆ ก่อนที่จะโปรยสายฝนลงมายังพื้นดินพอให้เกิดความชุ่มฉ่ำ ความเร็วของรถที่ช้าลง ช่วยให้พวกเราได้มีโอกาสสัมผัสกับความงามของทัศนียภาพสองข้างทาง ที่มีทั้งทุ่งนาเขียวขจีสุดลูกหูลูกตาและสีเขียวบางๆ ของป่าดิบบนเทือกเขา เด็กน้อยวิ่งหลบฝนพร้อมกับโบกมือไหวๆ อยู่ข้างทาง

    ไม่นานนักภาพของช้างสองตัวที่ยืนอยู่บริเวณซุ้มประตูวัด ซึ่งมีที่มาจากนิมิตของหลวงปู่ผางคือ “พลายศรีโท”และพลายศรีทน” เป็นเครื่องหมายบอกให้รู้ว่า พวกเรากำลังเข้าสู่วัดอุดมคงคาคีรีเขต

    [​IMG]


    ปัจจุบันถึงแม้หลวงปู่ผางท่านจะได้มรณภาพไปนานแล้ว แต่ ณ สถานที่แห่งนี้ยังคงอบอวลไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์และความเป็นอดีตที่มีหลักฐานเหลือให้พวกเราได้เห็นถึงบารมี คุณธรรมและความเมตตาในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่และได้ตกทอดเป็นมรดกมาจนถึงยุคปัจจุบัน อย่างเช่น "กองก้อนหินที่วางเรียงซ้อนกันขึ้นเป็นรูปสัญญลักษณ์คล้ายสถูปเจดีย์" ที่เราเห็นอยู่มากมายในวัดแห่งนี้

    พวกเราหลายคนต่างตีความได้แตกต่างกันออกไป บางคนว่านี่คือการสร้างเจดีย์ขนาดเล็กเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาอย่างง่ายๆ ของชาวบ้านในท้องถิ่น ในขณะที่อีกหลายคนมองว่าเป็นที่เก็บอัฐิธาตุของบรรพบุรุษ

    [​IMG]

    สุดท้ายแล้วรุ่นพี่ผู้นำทางเฉลยว่าก้อนหินที่ถูกจัดวางเรียงซ้อนๆ กันอยู่นั้นคือ "ที่อยู่ของบรรดาสัตว์มีพิษ" เช่น งู ตะขาบ หรือสัตว์เล็กๆ เช่น กบ เขียด ฯลฯ

    เพราะในสมัยที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่บรรดาสัตว์ใหญ่เช่น ช้าง สัตว์ร้าย เช่น เสือ สัตว์มีพิษ เช่น งู และสัตว์เล็กๆ เช่น กบ ต่างมีให้เห็นและเดินกันขวักไขว่ โดยเฉพาะบรรดางูหลากประเภทที่เลื้อยพาเหรดแบบไม่กลัวคน

    หลวงปู่ผาง จิตตคุตโต วัดอุดมคงคาคีรีเขต (วัดดูน) จ.ขอนแก่น ตอน มีซือบ่ให้ปรากฏ มียศบ่ให้ลือชา มีตำราบ่ให้เฮียนยาก (๑) จากบล็อก โอเคเนชั่น oknation.net
     
  2. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ในการเทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด เมื่อ ๒ ตุลาคม ๒๕๓๔ "หลวงตามหาบัว ญาณสัมปัณโณ"(พระธรรมวิสุทธิมงคล) ได้พูดถึงหลวงปู่ผาง ความว่า..

    [​IMG]



    “หลวงพ่อผางที่อำเภอชนบท เก่งทางพวกงู พวกจระเข้ วัดผู้เฒ่าแต่ก่อน โถ งูชุมมากนะ เหมือนกับผู้เฒ่าเลี้ยงไว้ไม่ได้ผิดอะไรกันเลย งูเห่า งูจงอางนะไม่ใช่ธรรมดา มันป้วนเปี้ยนๆ อยู่กับคน"

    "คนไปไหนก็อยู่อย่างนี้ๆ คนก็เดินไปข้างๆ เรียกว่าหลีกกันไปเหมือนหลีกหมา ว่างั้นเถอะ มันมีอยู่ทั่วไป หลวงพ่อผางเป็นผู้ปกครองวัดนั้น มันเคารพหลวงพ่อผางมากนะ งูเหล่านี้กลัว เคารพแต่หลวงพ่อผาง”

    ว่ากันว่าทุกชื่อทุกสถานที่ไม่ว่าจะเป็นที่ใดล้วนมีประวัติความเป็นมา“วัดอุดมคงคาคีรีเขต” ก็เช่นกัน

    วัดอุดมคงคาคีรีเขต มีชื่อเดิมว่า “วัดดูน” ตั้งอยู่ในเขตของตำบลนางาม อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น คำว่า “ดูน” เป็นภาษาอีสานหมายถึงแหล่งน้ำนี้เป็นน้ำที่ผุดขึ้นเองตามธรรมชาติ

    ดังนั้น “วัดดูน” จึงเป็นชื่อที่มาจากลักษณะของสถานที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์และมีแหล่งน้ำที่ซึมไหลออกมาตลอดปีมิได้ขาดและด้วยความที่วัดดูนแห่งนี้ในอดีตเป็นโบราณสถานเก่าแก่ ชาวบ้านแถบนี้จึงเชื่อกันว่าเป็นสถานที่ลึกลับและศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีคนหรือพระรูปใดสามารถเข้าไปอยู่ได้

    [​IMG]
    (ดูน-น้ำที่ซึมไหลออกมาตลอดปี จนกลายเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่)

    ถึงบริเวณนี้จะเป็นพื้นที่อันตรายสำหรับชาวบ้าน แต่สำหรับพระป่ากรรมฐานอย่าง“พระอาจารย์มหาสีทน กาญจโน” วัดสมศรี (บ้านพระคือ) ตำบลในเมือง (พระลับ) อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น หนึ่งในกองทัพธรรมของพระป่าแห่งภาคอีสาน ลูกศิษย์ของหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม ฯลฯ แล้ว พื้นที่แบบนี้สำหรับท่าน ถือเป็นสัปปายะชั้นดีที่เหมาะสมสำหรับการปฏิบัติธรรม

    พระอาจารย์มหาสีทนเป็นพระป่ากรรมฐานที่มีวิชาอาคมครับ หลังจากท่านสอบเปรียญธรรม ๓ ประโยคได้ ท่านจึงออกเดินธุดงค์แสวงหาความสงบและเผยแผ่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า รวมถึงการสร้างวัดวาอารามและถาวรวัตถุต่างๆ ไว้ในพระพุทธศาสนาหลายแห่ง

    ประมาณว่าเมื่อท่านเดินธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ และพบว่าวัดไหนอยู่ในสภาพทรุดโทรม ท่านก็จะอยู่ช่วยบูรณะ ส่วนบางสถานที่หากท่านพิจารณาเห็นว่าที่นี่เหมาะสม ท่านก็จะสร้างวัดและถ่ายทอดวิชาอาคมต่างๆ ให้กับเจ้าอาวาสก่อนที่ท่านจะออกเดินธุดงค์ต่อไป

    [​IMG]

    (พระอาจารย์มหาสีทน กาญจโน)

    จนเมื่อท่านได้เดินธุดงค์มาถึงบริเวณเขตวัดดูนซึ่งตั้งอยู่ติดกับเชิงเขาภูผาแดงซึ่งเป็นทิวเขาที่ไม่มียอดเขาสูงและเทือกเขาภูเม็งซึ่งเป็นภูเขาใหญ่มียอดเขาสูงและกั้นแดนระหว่างอำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่นกับอำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ

    ท่านจึงได้หยุดเดินธุดงค์และทำการบูรณะเมื่อปี ๒๔๘๒ พร้อมกับได้เปลี่ยนชื่อจากวัดดูนมาเป็น “วัดอุดมคงคาคีรีเขต” มีความหมายว่าสถานที่แห่งนี้เป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์และมีภูเขาเป็นอาณาเขต

    ในระยะแรกที่พระอาจารย์มหาสีทนอยู่จำพรรษา สิ่งปลูกสร้างในวัดมีเพียงศาลาและกุฎิหลังคาแฝกเพียงหลังเดียวเท่านั้น ไม่มีใครทราบว่า เพราะเหตุใดพระอาจารย์มหาสีทนจึงมิได้ขยับขยายหรือเร่งรีบในการก่อสร้างเท่าใดนัก? ผิดกับวัดอื่นๆ ที่ท่านเคยสร้างมา

    ประหนึ่งเหมือนท่านจะรอคอยบางอย่าง....
     
  3. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ในการเทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด เมื่อ ๒ ตุลาคม ๒๕๓๔ "หลวงตามหาบัว ญาณสัมปัณโณ"(พระธรรมวิสุทธิมงคล) ได้พูดถึงหลวงปู่ผาง ความว่า..

    [​IMG]



    “หลวงพ่อผางที่อำเภอชนบท เก่งทางพวกงู พวกจระเข้ วัดผู้เฒ่าแต่ก่อน โถ งูชุมมากนะ เหมือนกับผู้เฒ่าเลี้ยงไว้ไม่ได้ผิดอะไรกันเลย งูเห่า งูจงอางนะไม่ใช่ธรรมดา มันป้วนเปี้ยนๆ อยู่กับคน"

    "คนไปไหนก็อยู่อย่างนี้ๆ คนก็เดินไปข้างๆ เรียกว่าหลีกกันไปเหมือนหลีกหมา ว่างั้นเถอะ มันมีอยู่ทั่วไป หลวงพ่อผางเป็นผู้ปกครองวัดนั้น มันเคารพหลวงพ่อผางมากนะ งูเหล่านี้กลัว เคารพแต่หลวงพ่อผาง”

    ว่ากันว่าทุกชื่อทุกสถานที่ไม่ว่าจะเป็นที่ใดล้วนมีประวัติความเป็นมา“วัดอุดมคงคาคีรีเขต” ก็เช่นกัน

    วัดอุดมคงคาคีรีเขต มีชื่อเดิมว่า “วัดดูน” ตั้งอยู่ในเขตของตำบลนางาม อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น คำว่า “ดูน” เป็นภาษาอีสานหมายถึงแหล่งน้ำนี้เป็นน้ำที่ผุดขึ้นเองตามธรรมชาติ

    ดังนั้น “วัดดูน” จึงเป็นชื่อที่มาจากลักษณะของสถานที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์และมีแหล่งน้ำที่ซึมไหลออกมาตลอดปีมิได้ขาดและด้วยความที่วัดดูนแห่งนี้ในอดีตเป็นโบราณสถานเก่าแก่ ชาวบ้านแถบนี้จึงเชื่อกันว่าเป็นสถานที่ลึกลับและศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีคนหรือพระรูปใดสามารถเข้าไปอยู่ได้

    [​IMG]
    (ดูน-น้ำที่ซึมไหลออกมาตลอดปี จนกลายเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่)

    ถึงบริเวณนี้จะเป็นพื้นที่อันตรายสำหรับชาวบ้าน แต่สำหรับพระป่ากรรมฐานอย่าง“พระอาจารย์มหาสีทน กาญจโน” วัดสมศรี (บ้านพระคือ) ตำบลในเมือง (พระลับ) อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น หนึ่งในกองทัพธรรมของพระป่าแห่งภาคอีสาน ลูกศิษย์ของหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม ฯลฯ แล้ว พื้นที่แบบนี้สำหรับท่าน ถือเป็นสัปปายะชั้นดีที่เหมาะสมสำหรับการปฏิบัติธรรม

    พระอาจารย์มหาสีทนเป็นพระป่ากรรมฐานที่มีวิชาอาคมครับ หลังจากท่านสอบเปรียญธรรม ๓ ประโยคได้ ท่านจึงออกเดินธุดงค์แสวงหาความสงบและเผยแผ่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า รวมถึงการสร้างวัดวาอารามและถาวรวัตถุต่างๆ ไว้ในพระพุทธศาสนาหลายแห่ง

    ประมาณว่าเมื่อท่านเดินธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ และพบว่าวัดไหนอยู่ในสภาพทรุดโทรม ท่านก็จะอยู่ช่วยบูรณะ ส่วนบางสถานที่หากท่านพิจารณาเห็นว่าที่นี่เหมาะสม ท่านก็จะสร้างวัดและถ่ายทอดวิชาอาคมต่างๆ ให้กับเจ้าอาวาสก่อนที่ท่านจะออกเดินธุดงค์ต่อไป

    [​IMG]

    (พระอาจารย์มหาสีทน กาญจโน)

    จนเมื่อท่านได้เดินธุดงค์มาถึงบริเวณเขตวัดดูนซึ่งตั้งอยู่ติดกับเชิงเขาภูผาแดงซึ่งเป็นทิวเขาที่ไม่มียอดเขาสูงและเทือกเขาภูเม็งซึ่งเป็นภูเขาใหญ่มียอดเขาสูงและกั้นแดนระหว่างอำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่นกับอำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ

    ท่านจึงได้หยุดเดินธุดงค์และทำการบูรณะเมื่อปี ๒๔๘๒ พร้อมกับได้เปลี่ยนชื่อจากวัดดูนมาเป็น “วัดอุดมคงคาคีรีเขต” มีความหมายว่าสถานที่แห่งนี้เป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์และมีภูเขาเป็นอาณาเขต

    ในระยะแรกที่พระอาจารย์มหาสีทนอยู่จำพรรษา สิ่งปลูกสร้างในวัดมีเพียงศาลาและกุฎิหลังคาแฝกเพียงหลังเดียวเท่านั้น ไม่มีใครทราบว่า เพราะเหตุใดพระอาจารย์มหาสีทนจึงมิได้ขยับขยายหรือเร่งรีบในการก่อสร้างเท่าใดนัก? ผิดกับวัดอื่นๆ ที่ท่านเคยสร้างมา

    ประหนึ่งเหมือนท่านจะรอคอยบางอย่าง....
     
  4. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    [​IMG]

    ๑๐ ปีต่อมา(๒๔๙๒) “หลวงปู่ผาง จิตตคุตโต” พระภิกษุวัย ๔๗ ปีได้ออกจากวัดป่าบรรลังค์ศิลาทิพย์และเดินธุดงค์มายังเขาภูผาแดง สมัยนั้นบนภูผาแดงแห่งนี้ยังเป็นป่าดงดิบ สัตว์ร้ายมีมาก ภูติผีปีศาจมีเยอะ

    ที่นั่นท่านได้พบ”ถ้ำกงเกวียน”ซึ่งเป็นถ้ำลึกลับอยู่บนภูผาแดง ไม่มีใครทราบว่าถ้ำแห่งนี้เมื่อเดินเข้าไปแล้วจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน
    หลวงปู่ผางได้ใช้ถ้ำแห่งนี้เป็นที่บำเพ็ญเพียรภาวนาและในเวลาต่อมาท่านได้ทราบจากนิมิตว่าที่นี่มีโครงกระดูกของท่านแต่อดีตชาติถูกฝังไว้ เพราะเมื่อชาติก่อนท่านได้ตายในขณะที่กำลังสร้างพระเจดีย์ พอตกมาถึงชาตินี้ด้วยจิตใจอันตั้งมั่นที่จะสร้างพระเจดีย์ทำให้ท่านมีความผูกพันจนเกิดเป็นนิมิตต่างๆ ดลใจให้ท่านมายังสถานที่แห่งนี้

    ด้วยความที่สมัยก่อนยังไม่ได้มีการกำหนดอาณาเขตของวัดและบริเวณแห่งนี้เป็นป่าดงดิบ ถ้ำกงเกวียนถึงแม้จะอยู่ห่างจากวัดอุดมคงคาคีรีเขตออกไปไม่ไกลมากนัก(ต่อมาหลวงปู่ผางได้สร้างเป็นเจดีย์เล็กๆ ครอบปากถ้ำเอาไว้ เรียกว่า พระเจดีย์ถ้ำกงเกวียน” ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของวัด)

    แต่ก็เหมือนว่าพระกรรมฐานทั้งสององค์นี้จะนั่งหันหลังให้กันเพราะต่างองค์ต่างนั่งภาวนาในที่ของตนเอง คือหลวงปู่ผางอยู่ในถ้ำบนเขา ส่วนพระอาจารย์มหาสีทนอยู่บริเวณเชิงเขา

    [​IMG]

    (พระเจดีย์ถ้ำกงเกวียน-ภาพในอดีต)
    จนวันหนึ่งธรรมะก็ได้จัดสรร...เมื่อหลวงปู่ผางได้เดินธุดงค์ต่อมาจนมาถึงวัดอุดมคงคาคีรีเขต หลังจากที่อริยสงฆ์ทั้งสององค์ได้พูดคุยกันอย่างถูกคอในฐานะศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกัน

    ถึงหลวงปู่ผางจะอายุมากกว่าพระอาจารย์มหาสีทนแต่ตามธรรมเนียมพระที่นับอาวุโสจากพรรษาที่บวช หลวงปู่ผางผู้มาเยือนจึงได้ก้มลงกราบพระอาจารย์มหาสีทนและขออยู่จำพรรษาที่วัดอุดมคงคาคีรีเขต

    ในที่สุดเหตุผลของการรอคอยก็ปรากฏ

    ทั้งนี้เพราะพระอาจารย์มหาสีทนท่านได้ทราบอนาคตเบื้องหน้าแล้วว่าต่อไปวัดอุดมคงคาคีรีเขตแห่งนี้ จะเจริญรุ่งเรืองขึ้นด้วยฝีมือและบารมีของผู้มาเยือน ดังนั้นเมื่อหลวงปู่ผางได้ถวายตัวเป็นศิษย์ ท่านจึงได้เมตตาแนะนำการปฏิบัติกรรมฐานพร้อมกับถ่ายทอดวิชาอาคมต่างๆ ให้หลวงปู่ผางจนหมดสิ้น

    ด้วยทุนบารมีเดิมที่มีอยู่ติดตัวมาตั้งแต่อดีตชาติ ทำให้ในเวลาไม่นานนักหลวงปู่ผางสามารถเรียนรู้และแตกฉานในสิ่งต่างๆ ที่พระอาจารย์มหาสีทนได้สอน และเมื่อพระอาจารย์มหาสีทนได้พิจารณาแล้วเห็นว่าหลวงปู่ผางสามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเองแล้ว ท่านจึงได้ขอลาและออกเดินธุดงค์ไปทางภาคเหนือและไม่ได้กลับมาวัดอุดมคงคาคีรีเขตอีกเลย

    [​IMG]
    สำหรับหลวงปู่ผางผู้ซึ่งครั้งหนึ่งได้เคยมีนิมิตว่าตัวท่านได้ขี่ม้าขาวไปทางจังหวัดขอนแก่น หลังจากผ่านสถานที่ต่างๆ จนมาถึงอำเภอมัญจาคีรี ม้าขาวตัวนั้นก็หยุดเพื่อให้ลง ท่านจึงได้เข้ารับภาระก่อสร้างวัดอุดมคงคาคีรีเขตแห่งนี้ต่อจากพระอาจารย์มหาสีทน
    ซึ่งนอกเหนือไปจากการที่ท่านต้องรับภาระแทนพระอาจารย์มหาสีทนแล้ว นิมิตที่ม้าขาวได้นำท่านมายังมัญจาคีรีเพื่อที่จะก่อสร้างพระเจดีย์ที่ยังค้างจากชาติที่แล้ว ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หลวงปู่ผางตัดสินใจอยู่จำพรรษา ณ วัดแห่งนี้ตราบจนมรณภาพ
    จากประวัติของท่านมีบันทึกไว้ว่า หนุ่มเมืองอุบลฯที่มีชื่อเดิมว่า “ผาง ครองยุติ” บุตรชายคนสุดท้องในจำนวน ๓ คน ของคุณพ่อทัน ครองยุติและคุณแม่บัพพา ครองยุติ ได้ถือกำเนิดลืมตามาดูโลกเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๔๔๕ ณ บ้านกุดเกษียร ตำบลกุดเกษียร อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี

    ถึงแม้ว่าในวัยเด็กจะได้รับการศึกษาทางโลกแค่ชั้นประถม ๔ แต่คุณธรรมและความคิดสร้างสรรค์ของท่านกลับโตเกินวัย ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุในฝ่ายมหานิกายเมื่ออายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ณ. วัดเชื่องกลาง

    [​IMG]
    หลังจากที่บวชได้ครบ ๑ พรรษา ท่านได้ลาสิกขาออกมาประกอบอาชีพและสมรสตามประเพณีเมื่ออายุได้ ๒๓ ปีกับนางสาวจันดี สายเสมา คนบ้านแดงหม้อ อุบลราชธานีและอยู่ครองเรือนด้วยความผาสุขเป็นเวลานานถึง ๒๑ ปี โดยทั้งคู่ไม่มีทายาทไว้คอยสืบสกุลจนต้องไปขอบุตรจากญาติพี่น้องมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม
    ต่อมานายผางได้พิจารณาดูแล้วพบว่า

    "ชีวิตทั้งหลายที่เกิดมาล้วนแล้วแต่สับสนวุ่นวายแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นจนกลายมาเป็นความเดือดร้อนไม่มีที่สิ้นสุด"

    ด้วยประเด็นดังกล่าวทำให้นายผางมองเห็นถึงความไม่แน่นอนและความไม่มีแก่นสารอะไรในชีวิต

    อย่ากระนั้นเลยเพื่อเป็นหนทางเบื้องต้นไปสู่ความสงบ นายผางจึงได้ทำทานครั้งยิ่งใหญ่โดยการสละสมบัติต่างๆ แก่ผู้อื่นจนหมดสิ้น ไม่ว่าจะเป็น วัว ควาย ไร่ นา และบ้านเรือน

    จากนั้นชายวัย ๔๓ ปีจึงได้ชักชวนภรรยาหันหลังให้กับความวุ่นวายของโลก โดยภรรยาได้ออกบวชเป็นแม่ชี ส่วนตนเองได้เข้าพิธีอุปสมบทครั้งที่ ๒ เป็นพระภิกษุในฝ่ายมหานิกาย ณ วัดบ้านกุดเกษียร อำเภอเขื่อนใน จังหวัดอุบลราชธานี ได้รับนามฉายาว่า “จิตตคุตโต”

    ภายหลังจากอุปสมบทแล้วท่านได้เข้าอบรมพระกรรมฐานในสำนักวัดป่าวารินชำราบ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี โดยมี ”พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม” และ “พระอาจารย์มหาปิ่น ปัญญาพโล” พระอริยสงฆ์สองพี่น้องเป็นพระอาจารย์

    [​IMG]

    (พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม-“พระญาณวิศิษฎ์สมิทธิวีราจารย์”)
    พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม (พระญาณวิศิษฎ์สมิทธิวีราจารย์) ท่านเป็นศิษย์ต้นองค์สำคัญของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และเป็น"หนึ่งในสามพระบูรพาจารย์สายกรรมฐานที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาล" (หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นและหลวงปู่สิงห์)
    ดังนั้นการที่หลวงปู่ผางได้มีโอกาสเข้าอบรมศึกษากับท่าน จึงเปรียบเสมือนมือกระบี่ได้รับกระบี่คู่ใจไว้ใช้สำหรับห้ำหั่นกับบรรดาเหล่ากิเลสมารต่างๆ ได้อย่างมั่นใจ และเพื่อความสะดวกในการประกอบสังฆกรรมร่วมกับหมู่คณะ หลวงปู่ผางจึงได้ญัตติใหม่ในสังกัดธรรมยุติกนิกาย ณ วัดบ้านโนน อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี

    หลังจากได้ศึกษาจนมีความรู้ความชำนาญดีแล้ว หลวงปู่ผางจึงได้ออกธุดงค์ปฏิบัติธรรมตามลำพังไปยังสถานที่ต่างๆ จนมาพบกับ “หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต” และ “หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล”

    ซึ่งเมื่อท่านได้รับโอวาทอุบายธรรมที่เป็นธรรมอันแท้จริงประกอบกับการภาวนาจนจิตสงบพบกับความอัศจรรย์ของธรรม ทำให้ท่านเกิดความเลื่อมใสศรัทธาและอยู่เข้าอบรมกับหลวงปู่มั่น ที่วัดป่าบ้านหนองผือ (วัดป่าภูริทัตตถิราวาส) บ้านหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร

    จนกระทั่งคืนหนึ่งท่านได้มีนิมิตว่า

    “ได้ขี่ม้าขาวไปทางจังหวัดขอนแก่น ผ่านสถานที่ต่างๆ จนมาถึงอำเภอมัญจาคีรี ม้าขาวจึงได้หยุดให้ท่านลง”

    รุ่งขึ้นตอนเช้าท่านจึงได้เข้าไปกราบลาหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตและหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ออกเดินธุดงค์ไปตามนิมิตทันที โดยก่อนจากลาหลวงปู่มั่นได้ให้โอวาทกับท่านว่า

    “ให้เที่ยวไปองค์เดียว อยู่คนเดียวและตายคนเดียว”

    [​IMG]
    ว่ากันว่าชีวิตของคนเรานั้นมีทั้ง “ความทุกข์และความสุข”
    ด้วยมาตรฐานของการเป็นพระป่ากรรมฐานได้ถูกกำหนดมาแล้วว่า นอกเหนือไปจาก “พระวินัย” ที่เป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินชีวิตแล้ว

    การภาวนา ฝึกฝนปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและออกปลีกวิเวกโดยการออกเดินธุดงค์เพื่อไปเผชิญโลกภายนอกที่มีทั้งความทุกข์และความสุข จะทำให้พระป่ากรรมฐานทุกองค์เติบโตและหยัดยืนได้อย่างแข็งแกร่ง

    “เพราะความทุกข์จะสอนและเป็นบทเรียนเพื่อคอยเตือนให้ได้แก้ไขและจดจำ ความสุขจะเป็นกำลังใจยามอ่อนแอท้อแท้และเป็นความทรงจำที่ดีงาม”

    ท่านเล่าว่าเมื่อออกจากหลวงปู่มั่นแล้ว ท่านได้ออกเดินธุดงค์ไปในป่าเขาเขตจังหวัดเพชรบูรณ์ตามลำพังเพียงผู้เดียวอยู่หลายปี ท่านว่าในสมัยนั้นเพชรบูรณ์ยังคงเป็นถิ่นทุรกันดาร บางครั้งท่านก็เดินทลงทางอยู่กลางป่าหลายวัน ค่ำไหนนอนนั่น บางวันข้าวก็ไม่ได้ฉัน

    ท่านว่าถึงท่านจะเหนื่อยเมื่อยล้า มันก็เป็นแค่ทางกายเท่านั้น แต่ในใจท่านไม่เคยคิดที่จะย่อท้อเลย เพราะท่านได้ตั้งปณิธานแล้วว่าแม้จะยากลำบากขนาดไหนก็ต้องทำให้สำเร็จ

    หนักเข้าๆ แม้แต่น้ำก็ไม่มีฉัน ท่านจึงต้องฉันน้ำปัสสาวะของตัวเองเพื่อให้สังขารดำรงอยู่ได้ จนสุดท้ายแม้แต่น้ำปัสสาวะของตัวเองก็ไม่มีให้ฉัน และตกอยู่ในสภาพของร่างกายขาดน้ำอย่างรุนแรง ทำให้ท่านต้องอดทนต่อทุกขเวทนาอย่างมาก

    [​IMG]

    “จะตายทั้งทีก็อย่าให้ร่างกายเน่าเสียเปล่า ปักกลดนั่งภาวนากลางทางเสือทางช้างผ่านนี่แหละ พลบค่ำเลือกได้ที่เหมาะๆ แห่งหนึ่ง จึงได้ปักกลดพักภาวนา"

    "คราวนี้เป็นคราวที่เราจนตรอกจนมุมแล้วหลงทางกลางป่ากลางดงคนเดียว ไม่มีใครช่วย คงต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่แน่ๆ เอาละตายก็ตาย นั่งภาวนาสละตายอยู่ตรงนี้แหละ”

    ท่านว่าพอคิดได้ดังนั้นจึงภาวนาตายๆๆๆ ตั้งมรณานุสติ ระลึกถึงความตายเป็นอารมณ์จนจิตสงบนิ่งตั้งมั่นเป็นสมาธิ ร่างกายหายหมดเหลือแต่ผู้รู้สว่างไสวอยู่อันเดียว

    ในระหว่างนั้นท่านมีความรู้สึกเหมือนว่าได้มีสัตว์มาวิ่งชนกลดอยู่ถึงสามครั้ง แต่ท่านก็ไม่ได้ตกใจกลัวแต่ประการใด ครั้นพอท่านเปิดกลดออกไปดูก็เห็นเสือโคร่งใหญ่ยืนจ้องหน้ามายังท่าน

    ท่านว่าไหนๆ ก็จะถึงที่ตายแล้ว จะตายทั้งทีร่างกายนี้จะได้ไมต้องเน่าเปื่อยผุพังเสียเปล่าๆ ให้เสือมาเก็บศพก็ดีเหมือนกัน ว่าแล้วท่านจึงได้เก็บบริขารทั้งหมดและเดินไปหาเสือโดยไม่มีความสะทกสะท้านกับความตายแต่ประการใด

    [​IMG]
    “ฮิบมากนมา เฮามาให้กินแล้ว กินให้หมดเด้อ อย่าให้เหลือซาก มันสิเหน่าเหม็นถิ่มซื่อๆ”

    ท่านว่าเรื่องนี้มันแปลกแต่จริง เพราะพอเสือเห็นท่านเดินเข้าไปหา มันกลับถอยหลังกรูดๆ หันหลังให้แล้ววิ่งไปข้างหน้า หันกลับมองมาที่ท่านอีกครั้งก่อนที่จะตะกายดินแล้วกระโจนเข้าป่าหนีไป
    จะว่าไปแล้วตลอดเส้นทางการเดินธุดงค์ของท่าน ล้วนต้องผจญกับวิญญาณร้ายและสัตว์ป่าอยู่บ่อยครั้ง แต่ท่านก็สามารถผ่านพ้นอุปสรรค์นั้นมาได้ด้วยเมตตา ปัญญาและสติ

    จนในที่สุดท่านก็เดินธุดงค์มาจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าบรรลังค์ทิพย์ อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่นอยู่หลายปี ก่อนที่จะออกธุดงค์ต่อมายังเขาภูผาแดงและวัดอุดมคงคาคีรีเขตในที่สุด

    ที่นั่นท่านจึงได้พบกับ ”พระอาจารย์มหาสีทน กาญจโน” ยอดมือกระบี่สายพระป่ากรรมฐานที่จำพรรษาอยู่รอหลวงปู่ผาง จิตตคุตโต ณ วัดอุดมคงคาคีรีเขตแห่งนี้มาเป็นเวลานับสิบปีแล้ว

    [​IMG]

    ขอขอบพระคุณ เอกสารอ้างอิง บันทึกประวัติและปฎิปทาของหลวงปู่ผาง จิตตคุตโต

    หลวงปู่ผาง จิตตคุตโต วัดอุดมคงคาคีรีเขต (วัดดูน) จ.ขอนแก่น ตอน มีซือบ่ให้ปรากฏ มียศบ่ให้ลือชา มีตำราบ่ให้เฮียนยาก (๑) จากบล็อก โอเคเนชั่น oknation.net
     
  5. วรภาษณ์

    วรภาษณ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    70
    ค่าพลัง:
    +28
    อนุโมทนาครับ
    โดยส่วนตัวก็เคารพหลวงพ่อท่านอยู่แล้วครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...