อมิตายุรธยานสูตร ระดับชั้นของพุทธเกษตรสุขาวดี บัว 9 ชั้น

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 25 มีนาคม 2007.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    152
    ค่าพลัง:
    +147,900
    ในอมิตายุรธยานสูตร มีความว่า ณ คราวหนึ่ง ขณะที่พระศากยมุนีพุทธเจ้าได้จำพรรษาอยู่ ณ กรุงราชคฤห์นั้น พระนางเจ้าเวเทหิ อัครมเหสีของพระเจ้าพิมพิสาร ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างทรงโทรมนัสเป็นอย่างยิ่งในการปิตุฆาต ของพระเจ้าอชาติศัตรูที่กระทำต่อพระเจ้าพิมพิสาร ภาวะจิตของพระนาง ณ ขณะนั้นเต็มไปด้วยความเบื่อหน่ายในการจะครองชีพอยู่ไปในโลก และ การจะเกิดเป็นมนุษย์ในโลกมนุษย์นี้อีก แต่อยากจะไปเกิด ณ โลกอื่นที่เป็นแดนสุขารมณ์ ด้วยเหตุนี้จึงเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้าศากยมุนีและ ปรารภความตั้งใจที่พระนาง มีอยู่ให้พระพุทธเจ้าได้ฟัง ดังนั้นพระศากยมุนีพระพุทธเจ้า จึงแสดงพุทธาภินิหารให้โลกธาตุอื่นๆ ทุกสารทิศมาปรากฎ ณ เบื้องหน้าคลองจักษุแห่งพระนาง และ ในที่สุดพระนางเวเทหิ ก็เลือกอยากจะไปเกิด ณ แดนสุขาวดีพุทธเกษตร และ กราบทูลขอให้องค์พระศาสดาศากยมุนีได้เทศนาแสดงวิธีปฏิบัติ เพื่อจะได้ไปเกิด ณ แดนสุขาวดีพุทธเกษตร ให้พระนางฟังด้วย ด้วยเหตุนี้จึงเกิดพระสูตรที่ชื่อ อมิตายุรธยานสูตร
    การตั้งจิตอธิษฐานขอไปเกิดที่ แดนสุขาวดีโลกธาตุ อาจไม่ใช่เรื่องยาก แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ตั้งจิตอธิษฐานแล้วจะได้ไปอุบัติ(เกิด) ในรูปแบบเดียวกัน คัมภีร์ อมิตายุรธยานสูตร ระบุไว้ชัดว่า แดนสุขาวดีพุทธเกษตรมีการจัดแบ่งระดับสัตว์ที่จะไปอุบัติ ตามคุณสมบัติ(กรรม) ที่ติดตัวออกเป็น 3 ระดับ นับได้ทั้งสิ้น 9 รูปแบบ ดังนี้

    ระดับแรก สำหรับผู้ที่มีจิตใจสูง มีจริตโน้มไปในทางโพธิสัตวยาน มีอยู่ 3 รูปแบบ ได้แก่

    รูปแบบที่หนึ่ง เป็นรูปแบบของบุคคลที่มีคุณสมบัติสามประการนี้ ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ นั่นคือ
    1.ผู้ซึ่งมีจิตกรุณา ไม่เบียดเบียนชีวิตอื่น ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตามบัญญัติของพระพุทธเจ้า
    2.ผู้ศึกษาและท่องพระสูตรมหายานฉบับต่างๆ
    3.ผู้บำเพ็ญตนอยู่ในอนุสสติหกอยู่เสมอ คือ ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า(พุทธานุสติ) ระลึกถึงคุณของพระธรรม(ธัมมานุสติ) ระลึกถึงคุณของพระสงฆ์(สังฆานุสติ) ระลึกถึงคุณของศีล(สีลานุสติ) ระลึกถึงคุณของทานที่ตนได้บริจาคไว้(จาคานุสติ) และระลึกถึงธรรมที่ทำให้บุคคลกลายเป็นเทวดา(เทวตานุสติ)
    บุคคลเหล่านี้สามารถอุบัติในแดนสุขาวดีได้ ถ้าเพียงกระทำกิจเหล่านี้สำเร็จอย่างน้อยภายใน 1 ถึง 7 วัน และอุทิศความดีงามทั้งหลายที่ตนได้กระทำมาเพื่อการอุบัติในแดนสุขาวดี ในขณะที่พวกเขาไกล้สิ้นใจ พระอมิตาภะ พระอัครสาวกทั้งสองคือพระอวโลกิเตศวรโพธิสตว์กับพระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ พร้อมด้วยเหล่าพระโพธิสัตว์ ภิกษุสาวก และเทวดานับร้อยพันจะเสด็จมารับด้วยพระองค์เอง พวกเขาจะนิมิตเห็นภาพของปราสาทที่สร้างขึ้นจากรัตนชาติทั้งเจ็ด พระอัครสาวกจะประทานบัลลังก์เพชรแก่พวกเขา ส่วนพระอมิตาภะจะฉายรัศมีอันวิจิตรไปทั่วร่างกายที่กำลังแตกดับของพวกเขา พระโพธิสัตว์ทั้งหลายจะกล่าวคำสรรเสริญคุณธรรมของพวกเขา เมื่อเห็นดังนั้น พวกเขาจะเกิดปิติเป็นอย่างยิ่ง และในบัดดลก็จะเห็นร่างของตนเองนั่งอยู่บนบัลลังก์เพชร ติดตามพระพุทธองค์ไปอุบัติยังสุขาวดี เมื่ออุบัติแล้วก็จะได้เห็นพระกายอันสมบูรณ์ของพระอมิตาภะ และ พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย จะได้เห็นพระแพพรรณรังสีส่องแสงสว่างเห็นป่ารัตนชาติ และได้ยินเสียงธรรมอันประเสริฐพร้อมที่จะบรรลุโพธิญาณได้ในทันที

    รูปแบบที่สอง เป็นรูปแบบของบุคคลที่ไม่จำเป็นต้องศึกษาจดจำหรือ สวดพระสูตรมหายาน แต่พวกเขาก็เข้าใจความจริงที่แฝงอยู่ในคำสอนเหล่านั้น(บางแห่งเขียนว่าเป็นผู้แตกฉานในปรมัตถธรรม) เชื่อมั่นในความจริงนั้นโดยไม่พูดให้ร้ายหลักคำสอนมหายาน เชื่อมั่นในกฎแห่งกรรม และอุทิศคุณธรรมทั้งหลายที่ตนได้กระทำไว้เพื่อการมุ่งสู่สุขาวดีในขณะที่พวกเขาไกล้สิ้นใจ พระอมิตาภะ กับ พระอัครสาวกทั้งสองพร้อมด้วยบริวารติดตามอีกจำนวนนับไม่ถ้วน จะเสด็จมาประทานบัลลังก์ทองและกล่าวสรรเสริญพวกเขาว่าเป็นผู้ที่เข้าใจและมีศรัทธาในธรรม ดังนั้นจึงเสด็จมารับและเชื้อเชิญให้ไปอยู่ในสุขาวดี พวกเขาจะเห็นร่างของตนเองนั่งอยู่บนบัลลังก์ทอง และในบัดดลนั้นเองพวกเขาก็ได้ไปอุบัติอยู่ในทะเลสาบแห่งรัตนชาติทั้งเจ็ดที่สุขาวดี บัลลังก์ทองของพวกเขาจะกลายเป็นดอกบัวรัตนอันงดงาม และจะบานออกหลังจากที่พวกเขาอยู่ในนั้นนานหนึ่งคืน ร่างของพวกเขาจะกลายเป็นสีทอง มีดอกบัวรัตนรองรับอยู่ เมื่อพวกเขาลืมตาขึ้นก็จะได้เห็นพระอมิตาภะและ พระโพธิสัตว์ทั้งหลายกำลังฉายรัศมีมายังร่างของพวกเขา และจะได้ยินเสียงธรรมอันลึกซึ้ง หลังจากเจ็ดวันแห่งการฟังธรรม พวกเขาก็จะบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ

    รูปแบบที่สาม เป็นรูปแบบของบุคคลที่เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม ไม่จาบจ้วงคำสอนมหายาน ได้ปลูกฝังความคิดที่จะบรรลุโพธิญาณสูงสุดและ อุทิศคุณธรรมทั้งหลายที่ตนได้กระทำมาเพื่อการมุ่งสู่สุขาวดี ในขณะที่พวกเขากำลังสิ้นใจ พระอมิตาภะ พร้อมทั้งอัครสาวกทั้งสองและผู้ติดตามจำนวนมาก จะเสด็จมาประทานดอกบัวให้ พวกเขาจะนิมิตเห็นพระพุทธเจ้าจำนวน 500 พระองค์เสด็จมารับ จะเห็นตนเองนั่งอยู่บนดอกบัวทองนั้น ดอกบัวจะหุบปิดร่างของเขาไว้ และพาพวกเขาติดตามพระพุทธะทั้งหลายไปอุบัติในทะเลสาบรัตนะที่สุขาวดี หลังจาก 1 วัน และ 1 คืนที่นั่น ดอกบัวจะบานออก ภายใน 7 วันต่อมา พวกเขาจะได้เห็นพระกายของพระอมิตาภะแต่ไม่ชัดเจนนัก ต้องรอให้ถึงสัปดาห์ที่สี่จึงจะเห็นพระพุทธกายได้ชัดเจน จากนั้นพวกเขาก็จะได้ฟังธรรมอันประเสริฐ จะได้เดินทางไปสักการะพระพุทธเจ้าทั่วทุกสารทิศเพื่อเรียนรู้ธรรมเมื่อเวลาผ่านไปสามกัลป์เล็ก ก็จะได้เข้าสู่ภูมิธรรมแรกของพระโพธิสัตว์(มุทิตาภูมิ)


    ในรูปแบบที่สาม นี้มีคำอธิบายที่แตกต่างกันออกไป ข้อมูลบางแห่งระบุว่า พระอมิตาภะและพระมหาโพธิสัตว์ทั้งสองใช้อำนาจฌานเนรมิตดอกบัวทองในพระหัตถ์ให้กลายเป็นพระพุทธเจ้าจำนวน 500 พระองค์ มารับผู้มีคุณสมบัติข้างต้น เมื่ออุบัติแล้วจะใช้เวลา 1 วันเต็มดอกบัวจึงจะบานออก จากนั้นอีก 7 วันจะได้เฝ้าฟังธรรมจากพระอมิตาภะและพระอัครสาวกทั้งสอง ฟังอยู่ 37 วันก็จะบรรลุโพธิญาณ

    ระดับสอง สำหรับบุคคลประเภทกลางๆ ผู้มีจริโน้มไปทางสาวกยาน มีอยู่ 3 รูปแบบได้แก่

    รูปแบบที่สี่ เป็นรูปแบบบุคคลที่รักษาศีลห้าและแปด มีความสำรวมในการบริโภค(ตรงนี้อาจมีนัยยะหมายถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์ด้วย) เป็นผู้ปฏิบัติตามข้อบัญญัติทางศีลธรรมไม่กระทำอนันตริยกรรม(กรรมหนักฝ่ายบาปอกุศล 5 อย่าง) ไม่สร้างปัญหาหรือเบียดเบียนชีวิตอื่นใด อีกทั้งอุทิศความดีงามทั้งหลายที่กระทำมาเพื่อมุ่งสู่สุขาวดี ขณะที่พวกเขาไกล้สิ้นใจ พระอมิตาภะพร้อมทั้งเหล่าภิกษุและบริวารจะปรากฎตรงหน้า จะทรงฉายรัศมีสีทอง พร้อมกับประทานคำสอนในเรื่องกฎไตรลักษณ์ ความปิติล้นพ้นจะบังเกิดแก่พวกเขา จะนิมิตเห็นตนเองคุกเข่าถวายความเคารพพระพุทธองค์อยู่บนดอกบัว ก่อนที่พวกเขาจะเงยศรีษะขึ้น ก็สามารถอุบัติอยู่ในแดนสุขาวดีแล้ว ต่อมาดอกบัวนั้นจะบานออกเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงธรรมบัญญัติในเรื่องอริยสัจสี่ จากนั้นพวกเขา จากนั้นพวกเขาจึงได้บรรลุอรหัตตผลในทันที จะเกิดปัญญาญาณ และมีอายตนะทั้งหกเหนือธรรมดา

    รูปแบบที่ห้า เป็นรูปแบบของบุคคลที่รักษาศีลแปดพร้อมกับสำรวมระวังในการบริโภคมาแล้วอย่างน้อย 1 วันกับ 1 คืน หรือไม่ก็เป็นพวกที่รักษาศีลสิบของสามเณรมาอย่างน้อย 1วันกับ 1 คืน หรือ ไม่ก็เป็นพวกทีรักษาศีลธรรมอันดี ไม่ทำลายเกียรติของตน ไม่ละเลยการปฏิบัติบูชาอย่างน้อย 1 วันกับ 1 คืนเช่นเดียวกัน และอุทิศกุศลที่ตนกระทำมาเพื่อมุ่งสู่สุขาวดี ขณะที่พวกเขาไกล้สิ้นใจ จะได้เห็นพระอมิตาภะพร้อมด้วยบริวารอยู่เบื้องหน้า จะทรงฉายรัศมีสีทองพร้อมกับประทานดอกบัวรัตนะให้ จากนั้นพวกเขาจะได้ยินเสียงร้องสรรเสริญพวกเขามาจากฟากฟ้า และเห็นตนเองนั่งอยู่บนดอกบัวที่ได้รับมานั้น ดอกบัวจะหุบรอบตัวเขา และพาไปอุบัติในทะเลสาบรัตนะที่สุขาวดี หลังจากนั้น 7 วันดอกบัวจะบานออก เขาจะตื่นขึ้นมาทำความเคารพพระพุทธองค์ และจะได้ยินเสียงธรรมอันทำให้ได้เข้าสู่กระแสแห่งนิพพาน(บรรลุโสดา) เมื่อเวลาล่วงไปครึ่งกัลป์ พวกเขาจะสามารถบรรลุอรหัตตผล กลายเป็นพระอรหันต์ได้ในที่สุด

    รูปแบบที่หก เป็นรูปแบบของกุลบุตรกุลธิดาที่มีความกตัญญู เลี้ยงดูผู้มีพระคุณ มีจิตใจเมตตากรุณาต่อโลก(บ้างก็ว่ารักษาศีลห้าเป็นนิจ) ขณะที่พวกเขาไกล้สิ้นใจ จะได้พบกับบัณฑิต(คนดี) มาบรรยายให้เห็นภาพดินแดนสุขาวดี ได้สดับเรื่องราวของปณิธาน 48 ข้อ ของพระธรรมกร(อดีตชาติของพระอมิตภะ) ในชั่วอึดใจหลังจากที่พวกเขาสิ้นใจ ก็จะไปอุบัติในแดนสุขาวดี จากนั้น 7 วันดอกบัวจึงจะบานออก พวกเขาจะได้พบกับพระอัครสาวกทั้งสอง คือ พระอวโลกิเตศวรและพระมหาสถามปราปต์ และจะได้เรียนธรรมะจากท่าน เมื่อเวลาล่วงไป 1 กัลป์เล็ก พวกเขาจะได้บรรลุอรหัตตผล

    ระดับสาม สำหรับบุคคลที่มีมิจฉาทิฐิ ประกอบอกุศลกรรมไว้ มี อยู่ 3 รูปแบบเช่นกัน ได้แก่

    รูปแบบที่เจ็ด เป็นรูปแบบของพวกที่กระทำกรรมชั่วไว้มากแต่ไม่เคยกล่าวร้ายต่อคำสอนมหายาน พวกเขาเป็นคนโง่และไม่มี หิริ(ละอายชั่ว) โอตัปปะ(เกรงกลัวบาป) แต่ขณะไกล้สิ้นใจ มีโอกาสได้พบบัณฑิต (คนดีหรือกัลยาณมิตร) ที่สวดสรรเสริญคำสอนมหายานหัวข้อหลักๆ ให้ฟัง เมื่อได้ยินชื่อพระสูตรต่างๆ เหล่านั้นแล้ว พวกเขาก็จะหลุดพ้นจากบาปหนักที่จะผูกพันให้อยู่ในสังสารวัฏนับได้ 1000 กัลป์ บัณฑิตผู้นั้นจะสอนให้เขากล่าวบูชาพระอมิตาภะ ด้วยการเปล่งวาจา "นโม อมิตาภะ" เมื่อเอ่ยพระนามแล้ว บาปกรรมอันที่จะผูกพันเขาของพวกเขาไว้ในสังสารวัฏจะหลุดออกนับได้ 50 ล้านกัลป์ เวลานั้นพระอมิตาภะจะสร้างภาพนิมิตของพระองค์ รวมทั้งภาพนิมิตของพระอัครสาวกทั้งสองไปรับเขา เขาจะเห็นรัศมีของพระอมิตาภะองค์นิมิตสาดส่องไปทั่วห้องก่อนสิ้นใจ จากนั้นเขาก็จะนั่งอยู่บนดอกบัวติดตามพระพุทธนิมิตไปอุบัติในทะเลสาบรัตนะที่สุขาวดีเช่นกัน ดอกบัวจะบานออกเมื่อเวลาล่วงไป 7 สัปดาห์ เขาจะได้เห็นพระอัครสาวกทั้งสองอยู่เบื้องหน้า สาดส่องพระฉัพพรรณรังสีและแสดงธรรมอันลึกซึ้ง ศรัทธาจะเกิดขึ้น เขาจะตั้งจิตปรารถนาขอบรรลุโพธิญาณสูงสุด เมื่อเวลาผ่านไป 10 กัลป์เล็ก เขาจะเกิดปัญญาและสามารถเข้าสู่ ภูมิธรรมแรกของพระโพธิสัตว์(นอกจากนั้น พวกที่มีโอกาสได้ยินชื่ของพระรัตนตรัย-พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็สามารถไปอุบัตินแดนสุขาวดีได้เช่นเดียวกัน)
    ในอีกด้านตำราของอาจารย์เสถียรระบุว่า บุคคลเหล่านี้ จะไปอุบัติในดอกบัวตูม ซึ่งต้องใช้เวลายาวนานถึง 77 วัน ดอกบัวจึงจะบานออก ข้อมูลนอกจากนี้ไม่มีอะไรแตกต่างกัน


    รูปแบบที่แปด เป็นรูปแบบของบุคคลที่ละเมิดศีลห้าศีลแปด ตลอดจนข้อบัญญัติทางศีลธรรมอื่นทั้งหมด พวกเขาโง่เขลาขนาดที่สามารถขโมยข้าวของสงฆ์(ไม่ว่าจะเป็นปัจเจกสงฆ์หรือ ชุมชนสงฆ์) พวกที่สั่งสอนธรรมผิดๆได้โดยไม่มีหิริโอตัปปะ ซ้ำยังยกย่องตนเองในการกระทำผิดๆ เหล่านั้น บุคคลเหล่านี้สมควรที่จะไปสู่อบายภูมิขระที่พวกเขาไกล้สิ้นใจ จะเห็นไฟนรกวิ่งเข้ามาหาในทุกทิศทุกทาง แต่ก็มีบัณฑิตใจกรุณามาแนะนำสั่งสอนให้เห็นคุณธรรมและบารมีของพระอมิตาภะ ท่านจะบรรยายให้เห็นพลังของพระพุทธองค์ ให้เห็นคุณธรรมของ ศีล สมาธิ ปัญญา และนิพพาน หลังจากได้ยิน พวกเขาจะหลุดพ้นจากบาปอันจะผูกพันเขาไว้ในสังสารวัฏนับได้ 80 ล้านกัลป์ ไฟนรกอันดุเดือดจะเปลี่ยนเป็นลมเย็นบริสุทธิ์ พัดโชยให้เห็นดอกไม้สวรรค์จำนวนมากมาย ในแต่ละดอกจะมีภาพนิมิตของพระพุทธเจ้า หรือ พระโพธิสัตว์ประทับอยู่เพื่อรอรับพวกเขา ในขณะนั้นเอง พวกเขาก็จะได้ไปอุบัติอยู่ในทะเลสาบรัตนะที่สุขาวดี หลังจากเวลาล่วงไป 6 กัลป์ ดอกบัวจึงจะบานออก จากนั้นพระอัครสาวกทั้งสองจะแสดงธรรมเกี่ยวกับพระสูตรมหายานอันลึกซึ้ง เมื่อได้ยินเสียงธรรม พวกเขาจะสามารถกำหนดจิต(แรก) ไปสู่ทางเพื่อบรรลุโพธิญาณสูงสุดได้(กล่าวโดยง่ายคือเกิดโพธิจิตกับบุคคลนั้น)

    รูปแบบที่เก้า เป็นรูปแบบของพวกที่กระทำชั่วหนักและมาก รวมถึงพวกที่กระทำอนันตริยกรรม สมควรที่จะตกไปสู่อบายภูมิเพื่อทนทุกข์ที่ตนก่อนับนับหลายๆ กัลป์ แต่ขณะไกล้สิ้นใจได้มีโอกาสพบกับบัณฑิตผู้มาปลอบโยนและสอนธรรมให้ โดยสอนให้พวกเขาระลึกถึงพระอมิตาภะ แต่เพราะถูกรบกวนด้วยวิบากแห่งทุกข์ที่ทำไว้ ทำให้พวกเขาไม่สามารถระลึกถึงพระพุทธองค์ได้ บัณฑิตจึงสอนให้พวกเขาเอ่ย พระนามของพระอมิตาภะ ให้พวกเขาท่อง"นโม อมิตาภะ" จนครบ 10 ครั้งด้วยจิตที่สงบ ด้วยการเอ่ยพระนามซ้ำๆ เช่นนั้น จะช่วยลบล้างบาปที่จะผูกพันพวกเขาไว้ในสังสารวัฏนับได้ 80 ล้านกัลป์ เขาจะเห็นดอกบัวทองปรากฎอยู่เบื้องหน้าในเวลาตาย และจะได้ไปอุบัติอยู่ในสุขาวดี ดอกบัวจะบานออกเมื่อเวลาผ่านไป 12 มหากัลป์ จากนั้นพระอัครสาวกทั้งสองจะสอนให้พวกเขาเข้าใจภาวะที่แท้ของธรรมชาติทั้งหลาย รวมทั้งข้อปฏิบัติที่จะลบล้างบาป เมื่อได้ยินธรรม พวกเขาจะเกิดปิติและมุ่งความคิดสู่พระโพธิญาณ
    ในอีกด้านหนึ่ง อาจารย์เสถียรชี้ว่า บุคคลเหล่านี้จะได้รับฟังธรรมจาก พระมหาโพธิสัตว์ จำนวน 7 ท่าน คือ พระอวโลกิเตศวร พระมหาสถามปราปต์ พระกษิติครรภ์ พระศรีอาริยเมตไตรย พระมัญชุศรี พระสมันตภัทร และ พระวัชรปราณี จนบังเกิดโพธิจิตกับบุคคลนั้น ข้อมูลนอกจากนั้นไม่มีอะไรแตกต่างกัน

    จุลสุขาวดีวยูหสูตร หรือ อมิตายุสูตร เป็นพระสูตรที่บรรยายเรื่องราวของ สุขาวดีโลกธาตุ ไว้โดยละเอียด น่าชื่นชมประทับใจเป็นอย่างยิ่งดังจะแจกแจงรายละเอียดโดยลำดับดังนี้

    "ข้าพเจ้า(พระอานนท์อรหันต์เจ้า) ได้เคยสดับฟังมาดังนี้ คราวหนึ่ง สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าศากยมุนีประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร กรุงสาวัตถี ท่ามกลางหมู่อริยสงฆ์หมู่ใหญ่โดยประมาณ 1500 องค์ อาทิเช่น พระสารีบุตรเถรเจ้า พระมหาโมคคัลลานะ พระมหากัสปะ พระมหากัจจายะนะ พระอนิรุทเถร อีกทั้งพระมหาโพธิสัตต์ และ พระโพธิสัตต์จำนวนมาก อาทิเช่น พระมัญชุศรีมหาโพธิสัตต์ พระอชิตะมหาโพธิสัตต์ พระอารยะอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตต์(พระแม่กวนอิม) และพรั่งพร้อมไปด้วย ปวงเทพยดาอีกจำนวนนับแสนนยุตะ(นยุตะเป็นหลักนับอย่างหนึ่ง คือ 100 โกฏิเป็น 1 อยุตะ 100 อยุตะเป็น 1 นยุตะ ดังนั้นคำว่าแสนนยุตะก็คือตัวเลข 1 อยู่ข้างหน้า และต่อท้ายเลข 1 ด้วยเลข 0 จำนวน 22 ตัว จำนวน 10,000,000,000,000,000,000,000 นั่นเอง)" มีอาทิเช่น ท้าวสักกะเทวราช(พระอินทร์) ท่านท้าวสหัมบดีพรหม

    ณ ลำดับนั้นเอง องค์พระศากยมุนีพุทธเจ้าได้กล่าวความแก่พระสารีบุตรอรหันต์เจ้าว่า มีความว่า ดูก่อนสารีบุตร ทางทิศตะวันตก ซึ่งนับเป็นระยะทาง ห่างจากที่พระองค์ท่านประทับอยู่นี้จำนวน 100,000 โกฏิพุทธเกษตร มีพุทธเกษตรอีกแห่งหนึ่งชื่อว่า "สุขาวดี" เป็นพุทธเกษตรที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอมิตาภะทรงประทับอยู่ และ ณ บัดนี้ก็กำลังแสดงธรรมอยู่ด้วยเช่นกัน ดูก่อน สารีบุตร ไฉนพุทธเกษตรแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า "สุขาวดี"เล่า? ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะบรรดาปวงสัตว์ในพุทธเกษตรแห่งนี้ ไม่มีความทุกกายทุกใจใดๆ อยู่เลย มีแต่ความสุขอย่างเหลือประมาณ เหตุนี้แลพุทธเกษตรแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า "สุขาวดีพุทธเกษตร" อนึ่งสารีบุตร ในสุขาวดีพุทธเกษตรนี้ ประดับประดาแวดล้อมไปด้วยภูเขาแก้ว 7 ลูก อันเป็นประดุจกำแพงแก้ว 7 ชั้น มีต้นตาลขึ้นเป็นแนวอยู่อีก 7 แถว มีตาข่ายกระดึงทองโยงใยให้ถึงกัน และ อาณาบริเวณโดยทั่วไปนั้นล้วนรายรอบเกลื่อน กลาดไปด้วยแก้วมณีอันมีค่า 7 ประการ ด้วยเหตุนี้เองจึงได้ชื่อว่า สุขาวดีพุทธเกษตร อนึ่ง ในสุขาวดีพุทธเกษตรนี้ ยังมีสระโบกหรดี ซึ่งประดับประดาด้วยรัตนอันมีค่ายิ่งอยู่จำนวน 7 สระ สระน้ำทั้ง 7 แห่ง เป็นสระที่ประดับรัตนชาติอันมีค่ายิ่งทั้ง 7 อย่างคือ ทอง เงิน ไพฑูรย์ ผลึก ทับทิม บุศราคัม และมรกต สระโบกหรดีทั้ง 7 เปี่ยมไปด้วย อัษฎางคิกวรีคือมีองค์คุณ 8 ประการ ครบถ้วนคือ 1.มีท่าสำหรับการขึ้น-ลงสระที่ราบเรียบ 2.ระดับน้ำลึกพอที่กาจะก้มลงกินน้ำได้ 3.ท่าขึ้น-ลงนับรายระยับด้วยทรายทอง 4.แต่ละสระมีบันได 4 บันไดโดยรอบทั้ง 4 ทิศ 5.ท่าขึ้น-ลงล้วนประดับประดาด้วยแก้วมณีอันมีค่าทั้ง 7 อย่าง 6.บริเวณรอบๆสระน้ำทั้ง 7 มีต้นไม้แก้ว 7 ประการ ออกดอกออกผลอย่างงดงามน่าดูเป็นที่ชื่นตาชื่นใจเป็นอย่างยิ่ง 7.ในสระทั้ง 7 แห่งมีดอกบัวต่างพันธุ์ต่างสีสันขึ้นอยู่เต็มทุกสระมีทั้งดอกสีเขียว เหลืองแดง ขาว ๙ล๙ และดอกบัวต่างพันธุ์ต่างวรรณะนี้เมื่อได้เบ่งบานเต็มที่จะมีสัณฐานใหญ่เท่ากงเกวียนที่เดียว

    อนึ่งสารีบุตร ในสุขาวดีพุทธเกษตรนี้มีเครื่องทิพยดุริยางค์บรรเลงอยุ่เป็นนิจ พื้นดินปูลาดดารดาษไปด้วยทองเป็นสุวรรณปฐพี มีฝนมณฑาทิพย์หล่นส่งกลิ่นหอมอบอวลวันละ 6 ครั้ง กลางคืน 3 ครั้ง กลางวัน 3 ครั้ง ยามรุ่งอรุณทุกวัน ผู้อยู่บนสุขาวดีจะพากันเก็บดอกมณฑาทิพย์เหล่านั้นบรรจุเต็มในภาชนะตนแล้วนำไปถวายแก่พระพุทธเจ้า นับด้วยแสนโกฏิพุทธเกษตร ทั้งยังสามารถจะกลับคืนมายังสุขาวดีได้โดยรวดเร็วเพียงเทียบได้ก่อนเวลาอาหารคราวหนึ่งเท่านั้นเอง และหลังจากทุกคนได้กระทำภัตตกิจของตนแล้วเสร็จในทุกวัน เขาเหล่านั้นก็จะพร้อมใจกันทำทิวาวิหาร(จงกลมตอนกลางวัน) อยู่โดยเสมอๆ อนึ่งในสุขาวดีพุทธเกษตรนี้ ยังมีนานาวิหคชาติมากมายต่างร้องประสานเสียงประกาศธรรมะอันว่าด้วยเรื่อง อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 และ อริยมรรค 8 และ หัวข้อธรรมอื่นๆ อีกมากมาย(ธรรมที่ว่าด้วยอินทรย์ 5 ก็คือธรรมที่สอนให้ระงับควบคุมอินทรีย์ทั้ง 5 อย่างคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่ว่าด้วยพละ 5 ก็คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา ธรรมที่มีชื่อว่า โพชฌงค์ 7 ก็คือ สติ ธัมวิจัย วิริยะ ปิติ ปัสสัทธิ สมาธิและอุเบกขา อริยมรรค 8 ก็คือสัมมาทิฏฐิ(การเห็นชอบ) สัมมาสังกัปปะ(การดำริชอบ) สัมมาวาจา(การเจรจาชอบ) สัมมากัมมันตะ(การประกอบการงานชอบ) สัมมาอาชีวะ(การทำงานเลี้ยงชีพชอบ) สัมมาวายามะ(การมีความเพียรพยายามโดยชอบ) สัมมาสติ(มีการรำลึกอยู่โดยชอบเสมอ) และ สัมมาสมาธิ(มีใจที่ตั้งมั่นแน่วแน่โดยเหมาะสม)) และผู้ที่อาศัยอยู่ ณ แดนสุขาวดีได้ยินเสียงประกาศธรรมของบรรดาสกุณาชาติเหล่านั้นแล้วย่อมส่งผลให้ใจของพวกเขาเบิกบาน คารวะนอบน้อมต่อระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระสงฆ์เจ้ายิ่งขึ้นไป ดูก่อนสารีบุตร ขอให้เธออย่าได้สำคัญผิดไปว่าสกุณาชาติทั้งหลายนั้นต้องเกิดอยุ่ในฐานะภูมิเดรัจฉานที่ต่ำต้อยเลย เพราะในแดนสุขาวดีนี้ ไม่มีผู้มีบาปกรรมมหันต์เช่นที่ว่านั้นเลยและแม้แต่คำว่า นรกภูมิ เดรัจฉานภูมิ ยมราชภูมิ ก็ไม่มีอยู่ ซ้ำยังไม่เคยมีใคร ณ แดนสุขาวดีเคยได้ยินได้รู้จักกับชื่อของอบายภูมิต่างๆ เหล่านี้เลยบรรดาสกุณาชาติเหล่านั้นเกิดมีได้ก็เพราะการ เนรมิตขึ้นขององค์พระอมิตภะพุทธเจ้า เพื่อวัตถุประสงค์ให้ประกาศธรรมะเท่านั้นเอง มิใช่สัตว์เดรัจฉานในความหมายของผู้ก่อกรรมหนักจึงต้องมารับผลกรรมของตนเอง ตามความเข้าใจทั่วๆ ไปของมนุษย์ก็หาไม่ อนึ่ง ข่ายกระดึงทอง ซึ่งรายรอบเชื่อมโยงต้นตาลทั้ง 7 แถวเข้ากับกำแพงแก้ว 7 ชั้น รอบสุขาวดีพุทธเกษตรนั้น เมื่อยามที่มีสายลมพัดพามากระทบเข้า ก็จะเป็นเสียงดนตรีที่ไพเราะจับใจ ดุจทิพยดนตรีแห่งสรวงสวรรค์ของวงมโหรีนับแสนวง ก็มิปานได้ และกระแสเสียงแห่งดนตรีธรรมชาตินี้ เมื่อผู้ใดก้ตามได้สดับเสียงเข้าแล้ว เขาย่อมบังเกิดพุทธานุสติ ธรรมนุสติ และสังฆานุสติขึ้นโดยทันทีเสมอๆ ดูก่อน พุทธเกษตรที่ชื่อว่าสุขาวดีนี้ ย่อมมีเครืองประดับอันวิเศษยิ่ง เห็นปานฉะนี้แล ดูก่อนสารีบุตร เธอเคยนึกบ้างหรือไม่ว่าเหตุไฉนพระพุทธเจ้าองค์นั้นจึงมีพระนามว่า "อมิตาภะ" หรือ "อมิตายุ" เล่า! ดูก่อน สารีบุตร อันว่ารัศมีของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นย่อมสาดส่องสว่างไสวอย่างสุดประมาณไปทั่วทุกทิศทั้งปวง เหตุนี้เองพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นจึงทรงพระนามว่า "พระอมิตภะพุทธเจ้า" อนึ่งสารีบุตร พระชนมายุแห่งพระองค์ท่าน พร้อมด้วยปวงบริวารของพระองค์ท่านทุกๆ พระองค์ด้วย ล้วนมีอายุยืนยาวไม่มีกำหนดขีดคั่น กล่าวคือดำรงอยู่ชั่วกัลปาวสาร เหตุนี้เอง พระพุทธเจ้าองค์นั้นจึงมีพระนามว่า "พระอมิตายุพุทธเจ้า" ดูก่อนสารีบุตร จำเดิมแต่เมื่ออมิตาภะพุทธเจ้าได้บรรลุโพธิญาณมาจนบัดนี้ (นับจำนวนเวลา 10 กัลป์ ก่อนการบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณขององค์พระศากยมุนีพุทธเจ้า คำว่า "กัลป์" หนึ่งเทียบง่ายๆ ตามคำบอกเล่าอธิบายขององค์พระศากยมุนีพุทธเจ้า ว่าเทียบได้ดัง การนำผ้าหรือแพรพรรณเนื้อละเอียดอ่อนนุ่มลูบไล้บนพื้นของภูเขาลูกย่อมๆ ลูกหนึ่งและก็ลูบไล้ไปเรื่อยๆ จนการลูบไล้ครั้งสุดท้ายของผ้านั้นสัมผัสพื้นดินในระดับที่คนยืนอยู่ คือภูเขาลูกนั้นหายไปหรือสึกกร่อนไปเพราะการลูบไล้ของผ้าหรือแพรพรรณผืนั้นเอง ระยะเวลาทั้งหมดนี้แหละ เรียกว่า "กัลป์" )
    พระองค์ท่านมีสาวกเป็นพระอรหันต์ พระโพธิสัตต์ พระมหาโพธิสัตต์ มากมายจนสุดจะประมาณนับได้ ดูก่อนสารีบุตร สุขาวดีพุทธเกษตรนี้ย่อมมีเครื่องประดับอันวิเศษยิ่งเห็นปานฉะนี้แล อนึ่ง สารีบุตร ชนทั้งปวงที่อยู่ณ แดนสุขาวดีพุทธเกษตรนี้ ล้วนเป็นพระโพธิสัตต์ผู้บริสุทธิ์ ไม่ต้องกลับมาเกิดในโลกอื่นอีก และเกี่ยวเนื่องเพียงชาติเดียวเท่านั้น ทั้งยังจะได้ตรัสรูธรรมแน่นนอนมิแปรผันดูก่อน สารีบุตร ปุถุชนผู้ใดได้สดับเรื่องราวของพุทธเกษตรสุขาวดีแล้ว ควรที่จะได้ตั้งความปรารถนา ที่จะได้ไปเกิด ณ แดนสุขาวดีพุทธเกษตรโดยแน่แท้เสียเพื่อจะได้เป็นผู้มีโอกาสรู้จักและสนทนาวิสาสะกับผู้มีบุญทั้งปวงดังกล่าวแล้วนี้ได้ ดูก่อนสารีบุตร โดยมูลเหตุและกุศลเพียงเล็กน้อย ย่อมเป็นกำลังปัจจัยไม่เพียงพอเลยที่จะทำให้ผู้บำเพ็ญได้ไปเกิด ณ แดนสุขาวดีพุทธเกษตรได้ สารีบุตร! สาธุชนหญิงชาย ถ้าหากได้เคยสดับเรื่องราวของพระอมิตาภะพุทธเจ้าแล้ว และจดจำพระนามใส่ใจตนไว้โดยไม่หลงลืมแม้เพียงวันหนึ่ง สองวัน สามวัน สี่วัน ห้าวัน หกวัน หรือ เจ็ดวันแล้ว ถ้าเมื่อถึงกาละที่ผู้นั้นไกล้มรณะเขาจะมีโอกาสได้เห็นองค์พระอมิตาภะพุทธเจ้า ท่ามกลางการแวดล้อมด้วยบริวารอันทรงศักดิ์ของพระองค์ท่าน และเมื่อเขาได้ถึงกาลมรณะแล้ว ก็จะได้ไปเกิด ณ แดนสุขาวดีพุทธเกษตรของ พระอมิตาภะพุทธเจ้า สารบุตรเมื่อตถาคต(ศากยมุนีพุทธเจ้า) มองเห็นประโยชน์มหาศาลดังนี้ จึงกล่าวว่าทุกคนที่ได้มีโอกาสสดับพระธรรมเทศนานี้ (จุลสุขาวดีวยุหสูตร) แล้วจักได้สาธยายมนต์บทนี้ ขอให้ไปบังเกิดในดินแดนบรมสุขแห่งนั้นต่อจงทุกคนเถิด

    สารีบุตร ตถาคตได้แสดงธรรมสรรเสริญสุขาวดีพุทธเกษตร ขององค์พระอมิตาภะพุทธเจ้า ณ บัดนี้ฉันใด ก็ยังมีพระพุทธเจ้าทั้งปวงในทิศตะวันออกอาทิเช่น พระพุทธอักโษภยะ พระพุทธานรุประภาส พระพุทธมัญชุโฆษ กับปวงพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ คำนวนได้ดุจเม็ดทรายในคงคามหานที ทั้งนี้ต่างองค์ต่างก็กำลังเผยแพร่พระสัทธรรมในเรื่องนี้อยู่ด้วยเช่นกัน โดยกล่าวว่า "ปุถุชนทั้งหลาย จงเชื่อฟังธรรมบรรยายนี้ อันเป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงเห็นชอบแล้วและมีคุณประโยชน์มหาศาลเกินกว่าจะประมาณได้(อจินไตย) ทั้งยังเป็น ธรรมะที่ได้รับการอารักขาคุ้มครองแล้วจากรพพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ จงทุกคนด้วยเถิด"

    สารีบุตร ยังมีพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ ในทิศใต้เช่น พระพุทธจันทรสูรยประทีป พระพุทธยสประภา พระพุทธมหารุจิสกันธ พระพุทธเนรุประทีป พระพุทธอนันตวีริยะ กับพระพุทธเจ้าทั้งปวงอีกจำนวนมากมาคำนวณได้ดุจเม็ดทรายคงคามหานที ทั้งนี้ต่างองค์ต่างก็กำลังเผยแพร่พระสัทธรรมในเรื่องนี้อยู่ด้วยเช่นกัน โดยกล่าวว่า "ปุถุชนทั้งหลาย จงเชื่อฟังธรรมบรรยายนี้ อันเป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงเห็นว่าดีแล้วชอบแล้ว และได้ประทานการอารักขาคุ้มครองแล้วจากองค์พระพุทธเจ้าทั้งปวงอยู่แล้ว"

    สารีบุตร ยังมีพระพุทธเจ้าอื่นๆ ในทิศเหนือ เช่น พระพุทธอรจิสกันธ พระพุทธวิศวานรนิรโทษ พระพุทธทุษปรทัส พระพุทธอาทิตยสมภพ พระพุทธชาลินีปรภ กับ พระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ อีกเป็นเอนก คำนวนได้ดุจเม็ดทรายคงคามหานที ทั้งนี้ต่างองค์ต่างก็กำลังเผยแพร่พระสัทธรรมในเรื่องนี้อยู่ด้วยเช่นกัน โดยกล่าวว่า "ปุถุชนทั้งหลาย จงเชื่อฟังธรรมบรรยายนี้ อันเป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงเห็นว่าดีและประทานอารักขาคุ้มครองไว้แล้วด้วยกันทุกคนเถิด"

    สารีบุตร ยังมีพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ ในทิศเบื้องล่าง เช่น พระพุทธสิงหะ พระพุทธยะสะ พระพุทธยะสะปราภะวะ พระพุทธธรรม พระพุทธธรรมธว้ช พระพุทธธรรมกร กับ พระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ อีกเป็นเอนก คำนวนได้ดุจเม็ดทรายคงคามหานที ทั้งนี้ต่างองค์ต่างก็กำลังเผยแพร่พระสัทธรรมในเรื่องนี้อยู่ด้วยเช่นกัน โดยกล่าวว่า "ปุถุชนทั้งหลาย จงเชื่อฟังธรรมบรรยายนี้ อันเป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงเห็นว่าดีและประทานอารักขาคุ้มครองไว้แล้วด้วยกันทุกคนเถิด"

    สารีบุตร ยังมีพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ ในทิศเบื้องบนเช่น พระพุทธพรหมโฆษ พระพุทธนักขัตรราช พระพุทธคันโชตตมะ พระพุทธคันธประภาศ พระพุทธมหารจิสกันธ พระพุทธรัตนกุสุม พระพุทธสัมปุษปิคาตะระ พระพุทธสาเลนทรราช พระพุทธรัตโนปละศรี พระพุทธสวารถทิศ พระพุทธสุเมรุกัลป กับ พระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ อีกเป็นเอนก คำนวนได้ดุจเม็ดทรายคงคามหานที ทั้งนี้ต่างองค์ต่างก็กำลังเผยแพร่พระสัทธรรมในเรื่องนี้อยู่ด้วยเช่นกัน โดยกล่าวว่า "ปุถุชนทั้งหลาย จงเชื่อฟังธรรมบรรยายนี้ อันเป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงเห็นว่าดีและประทานอารักขาคุ้มครองไว้แล้วด้วยกันทุกคนเถิด"

    สารีบุตร เธอสำคัญเป็นอย่างอย่างไร เหตุใดจึงกล่าวว่า ธรรมบรรยายเรื่องสุขาวดีพุทธเกษตรนี้ จึงเป็นธรรมที่องค์พระพุทธเจ้าทั้งปวงทรงเห็นดีและประทานอารักขาคุ้มครองไว้แล้ว ที่เป็นเช่นก็เพราะสาธุชนชายก็ดี หญิงก็ดี ได้มีโอกาศสดับตรับฟังพระธรรมในเรื่องนี้แล้ว กระทำจิตตนให้มนัสสิการแด่พระนามของพระอมิตภะพุทธเจ้า และ ชื่อแห่งพระสูตรที่ว่า"อมิตยุวยุหสูตร หรือ จุลสุขาวดีวยุหสูตร" นี้แล้ว สาธุชนผู้นั้นจะได้รับการอารักขาคุ้มครองจากปวงพระพุทธเจ้ทุกๆ พระองค์ แล้ว เขาจะไม่คลาดแคล้วไปจากการได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในอนาคตกาลเลย (บรรดาอริยสาวก พระโพธิสัตต์ พระมหาโพธิสัตต์ ปวงเทพยดาทุกพระองค์ผู้นั่งฟังคำเทศนาของพระศากมุนีพุทธเจ้าในขณะเทศนาเรื่อง"สุขาวดีพุทธเกษตร" อยู่แล้วในขณะนั้น) จึงพึงเชื่อฟังคำของตถาคต และเชื่อฟังประกาศิตของปวงพระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น สารีบุตร ถ้ามีใครสาธยายมนต์ไม่ในอดีตกาล ปัจจุบันกาล หรืออนาคตกาล แสดงความปรารถนาที่จะได้ไปเกิดในดินแดนสุขาวดีพุทธเกษตร ของพระอมิตภะพุทธเจ้าแล้ว เขาเหล่านั้นจักเป็นผู้ไม่คลาดแคล้วไปจากการจะบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเลย และจะได้ไปเกิดในดินแดนสวรรค์ชั้นสุขาวดีตามความประสงค์เป็นแน่แท้ ถ้ามีศรัทธาเชื่อถือแล้วควรสาธยายมนต์แสดงความปรารถนา ที่จะได้ไปเกิดในดินแดนสวรรค์ชั้นสุขาวดีนั้นด้วย

    ดูกรสารีบุตร ตถาคตกล่าวสรรเสริญพระคุณอันวิเศษยิ่งของปวงพระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น ณ บัดนี้ฉันใด ปวงพระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นก็ย่อมจะกล่าวสรรเสริญพระคุณอันวิเศษของตถาคตฉันนั้นด้วย ด้วยถ้อยคำที่ว่า พระศากยมุนีพุทธเจ้าได้กระทำการอันยากยิ่งให้สำเร็จได้ กล่าวคือ การทำให้บรรลุถึงซึ่งอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในสหัสโลกธาตุนี้ ซึ่งอยู่ภายใต้ความเสื่อมถอย 5 ประการ คือ ความเสื่อมแห่งกัลป์ ความเสื่อมแห่งสัตว์ ความเสื่อมแห่งทิฎฐิ ความเสื่อมแห่งอายุ และความเสื่อมแห่งกิเลส และเพื่อประโยชน์แก่เวไนยสัตว์ทั้งปวง พระองค์ทรงเผยแพร่ธรรม อันเป็นสิ่งที่ยากยิ่งแก่การจะเข้าใจของเวไนยสัตว์ดังนี้ ดูก่อนสารีบุตรในสหัสโลกธาตุนี้ ตถาคตได้ฝ่าฝืนความยากลำบาก บรรลุถึงซึ่งอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ และเพื่อประโยชน์แก่เวไนยสัตว์ได้ประกาศพระธรรมอันเป็นสิ่งที่ยากจะเข้าใจได้ ความเหนื่อยยากในการประกอบภารกิจนั้นเห็นปานฉะนี้แล

    เมื่อองค์พระผู้มีพระภาคเจ้าศากยมุนี ทรงเทศนาจุลสุขาวดีวยุหสูตรจบลงแล้ว พระสารีบุตรอรหันต์เจ้าและอริยสงฆ์ทั้งหลาย อีกทั้ง พระโพธิสัตต์ พระมหาโพธิสัตต์ เทพบุตร เทพธิดา มนุษย์และเหล่าอสูรคนธรรพ์ทั่วโลก บรรดาที่ได้มาสดับพระธรรมบรรยายนี้ ต่างมีความเลื่อมใส แสดงความปิติยินดีชื่นชมและกระทำความเคารพแด่พระองค์โดยทั่วกัน

    มหาสุขาวดีวยุหสูตร กล่าวไว้ว่า

    1.....หากสรรพสัตว์ทั้งหลาย ได้ยินพระนามแห่งพระอมิตตาพุทธเจ้า และเกิดจิตศรัทธาอย่างแรงกล้า และมีใจที่อิ่มเอิบ ระลึกถึงพระนามของพระองค์ แม้หนึ่งครั้ง...ถึงสิบครั้ง...ถ้าบุคคลนั้นมีใจอยากไปอุบัติในสุขาวดีพุทธเกษตร เขาจักได้ไปอุบัติที่นั่นตามความประสงค์ และไม่ต้องกลับมาเกิดในภพภูมิที่ตกต่ำอีก
    2.....สรรพสัตว์ใดมีจิตรศรัทธาในพระปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้า จนถึงพระปัญญาอันยิ่งใหญ่แห่งกุศลบุญทั้งหลายและมีจิตศรัทธามุ่งอุทิศตนเพื่อสืบทอดพระศาสนา สัตว์นั้นจักได้ถือโอปปาติกกำเนิด สามารถไปเกิดในสุขาวดีโดยทันที ณ สระสัปปตรัตนโบกขรณ์ แน่นอน

    มหาสันนิบาตสูตร กล่าวไว้ว่า

    ....หากสาธุชน ชายหญิง ใด้ก็ดีได้นั่งสมาธิภาวนาระลึกถึงองค์พระอมิตาพุทธเจ้าจนจิตเกิดสมาธิต่อเนื่อง ไม่วุ่นวายหากนับได้คืนหนึ่งก็ดีจนถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนก็ดี บุคคลนันจักได้เห็นพระอมิตาพุทธเจ้าอย่างแน่นอน หากไม่ได้เห็นตอนกลางวัน ในเวลากลางคืนก็จะได้เห็นพระองค์อย่างแน่นอน (ในนิมิตขณะนั่งสมาธิ หรือในความฝัน)


    อมิตายุรธยานสูตร กล่าวไว้ว่า

    ผู้ที่ปรารถนาที่จะไปอุบัติในสุขาวดีพุทธเกษตร นั้น พึงบำเพ็ญกุศลให้ครบใน 3 ประการ และควรมีการฝึกสมถกรรมฐาน 16 อย่าง

    กุศล 3 ประการมีดังนี้

    1. ต้องเป็นผู้มีความกตัญญู ยินดีและหมั่นปฏิบัติมารดา บิดา ครูอาจารย์และรักษากุศลกรรม 10 และมีผู้มีจิตเมตตา กรุณาอยู่เป็นนิจด้วย
    ***ทางกาย คือ ไม่กระทำ 3 ประการคือ ปาณาติฆาต (ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต) อทินนาทาน (การลักขโมย) กาเมสุมิจฉาจร (ประพฤติผิดในกาม)
    ***ทางวาจา คือ ไม่ใช้วาจาให้เป็นไปในลักษณะนี้คือ มุสาวาท (พูดเท็จ) ปิสุณวาจา (พูดส่อเสียด) ผรุสวาจา (พูดคำหยาบ) สัมผัปปลาปะ (พูดเพ้อเจ้อ)
    ***ทางใจ คือ ไม่ให้ตนได้นึกคิดถึงเรื่องต่อไปนี้ อภิชฌา (โลภอยากได้ของคนอื่น) พยาบาท (ปองร้ายผู้อื่น) มิจฉาทิฐิ (เห็นผิดจากธรรม)
    2. ต้องยึดถือเอาพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ตนอย่างสมบูรณ์ด้วยศีล และจารีตประเพณี
    3. ต้องมีโพธิจิต เชื่อกฎแห่งกรรม ศึกษาสวดสาธยายมนต์ต่าง ๆ ในพระคัมภีร์

    สมถกรรมฐาน 16 อย่างคือ การนั่งสมาธิกำหนดจิตให้สงบ จดจ่อกับเรื่องราวหรือคุณวิเศษ ของดินแดนสุขาวดีพุทธเกษตรดังนี้ คือ เพ่งอยู่ตรงต้นไม้ทิพย์ สระโบกขรณี ปราสาทมณเฑียร รูปกายของพระอมิตาพุทธเจ้า รูปกายของพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ รูปกายของพระมหาสถานปราปต์มหาโพธิสัตว์ เป็นต้น หากทำสมาธิได้ก็จะได้เห็นแดนสุขาวดีพุทธเกษตรได้ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอให้ตายก่อนไปอุบัติ
    อมิตายุรธยานสูตร ระบุไว้ชัดว่า แดนสุขาวดีพุทธเกษตรมีการจัดแบ่งระดับสัตว์ที่จะไปอุบัติ ตามคุณสมบัติ(กรรม) ที่ติดตัวออกเป็น 3 ระดับ นับได้ทั้งสิ้น 9 รูปแบบ ดังนี้

    ระดับแรก สำหรับผู้ที่มีจิตใจสูง มีจริตโน้มไปในทางโพธิสัตวยาน มีอยู่ 3 รูปแบบ ได้แก่

    รูปแบบที่หนึ่ง เป็นรูปแบบของบุคคลที่มีคุณสมบัติสามประการนี้ ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ นั่นคือ

    1.ผู้ซึ่งมีจิตกรุณา ไม่เบียดเบียนชีวิตอื่น ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตามบัญญัติของพระพุทธเจ้า
    2.ผู้ศึกษาและท่องพระสูตรมหายานฉบับต่างๆ
    3.ผู้บำเพ็ญตนอยู่ในอนุสสติหกอยู่เสมอ คือ ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า(พุทธานุสติ) ระลึกถึงคุณของพระธรรม(ธัมมานุสติ) ระลึกถึงคุณของพระสงฆ์(สังฆานุสติ) ระลึกถึงคุณของศีล(สีลานุสติ) ระลึกถึงคุณของทานที่ตนได้บริจาคไว้(จาคานุสติ) และระลึกถึงธรรมที่ทำให้บุคคลกลายเป็นเทวดา(เทวตานุสติ)

    บุคคลเหล่านี้สามารถอุบัติในแดนสุขาวดีได้ ถ้าเพียงกระทำกิจเหล่านี้สำเร็จอย่างน้อยภายใน 1 ถึง 7 วัน และอุทิศความดีงามทั้งหลายที่ตนได้กระทำมาเพื่อการอุบัติในแดนสุขาวดี ในขณะที่พวกเขาไกล้สิ้นใจ พระอมิตาภะ พระอัครสาวกทั้งสองคือพระอวโลกิเตศวรโพธิสตว์กับพระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ พร้อมด้วยเหล่าพระโพธิสัตว์ ภิกษุสาวก และเทวดานับร้อยพันจะเสด็จมารับด้วยพระองค์เอง พวกเขาจะนิมิตเห็นภาพของปราสาทที่สร้างขึ้นจากรัตนชาติทั้งเจ็ด พระอัครสาวกจะประทานบัลลังก์เพชรแก่พวกเขา ส่วนพระอมิตาภะจะฉายรัศมีอันวิจิตรไปทั่วร่างกายที่กำลังแตกดับของพวกเขา พระโพธิสัตว์ทั้งหลายจะกล่าวคำสรรเสริญคุณธรรมของพวกเขา เมื่อเห็นดังนั้น พวกเขาจะเกิดปิติเป็นอย่างยิ่ง และในบัดดลก็จะเห็นร่างของตนเองนั่งอยู่บนบัลลังก์เพชร ติดตามพระพุทธองค์ไปอุบัติยังสุขาวดี เมื่ออุบัติแล้วก็จะได้เห็นพระกายอันสมบูรณ์ของพระอมิตาภะ และ พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย จะได้เห็นพระแพพรรณรังสีส่องแสงสว่างเห็นป่ารัตนชาติ และได้ยินเสียงธรรมอันประเสริฐพร้อมที่จะบรรลุโพธิญาณได้ในทันที

    รูปแบบที่สอง เป็นรูปแบบของบุคคลที่ไม่จำเป็นต้องศึกษาจดจำหรือ สวดพระสูตรมหายาน แต่พวกเขาก็เข้าใจความจริงที่แฝงอยู่ในคำสอนเหล่านั้น(บางแห่งเขียนว่าเป็นผู้แตกฉานในปรมัตถธรรม) เชื่อมั่นในความจริงนั้นโดยไม่พูดให้ร้ายหลักคำสอนมหายาน เชื่อมั่นในกฎแห่งกรรม และอุทิศคุณธรรมทั้งหลายที่ตนได้กระทำไว้เพื่อการมุ่งสู่สุขาวดีในขณะที่พวกเขาไกล้สิ้นใจ พระอมิตาภะ กับ พระอัครสาวกทั้งสองพร้อมด้วยบริวารติดตามอีกจำนวนนับไม่ถ้วน จะเสด็จมาประทานบัลลังก์ทองและกล่าวสรรเสริญพวกเขาว่าเป็นผู้ที่เข้าใจและมีศรัทธาในธรรม ดังนั้นจึงเสด็จมารับและเชื้อเชิญให้ไปอยู่ในสุขาวดี พวกเขาจะเห็นร่างของตนเองนั่งอยู่บนบัลลังก์ทอง และในบัดดลนั้นเองพวกเขาก็ได้ไปอุบัติอยู่ในทะเลสาบแห่งรัตนชาติทั้งเจ็ดที่สุขาวดี บัลลังก์ทองของพวกเขาจะกลายเป็นดอกบัวรัตนอันงดงาม และจะบานออกหลังจากที่พวกเขาอยู่ในนั้นนานหนึ่งคืน ร่างของพวกเขาจะกลายเป็นสีทอง มีดอกบัวรัตนรองรับอยู่ เมื่อพวกเขาลืมตาขึ้นก็จะได้เห็นพระอมิตาภะและ พระโพธิสัตว์ทั้งหลายกำลังฉายรัศมีมายังร่างของพวกเขา และจะได้ยินเสียงธรรมอันลึกซึ้ง หลังจากเจ็ดวันแห่งการฟังธรรม พวกเขาก็จะบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ

    รูปแบบที่สาม เป็นรูปแบบของบุคคลที่เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม ไม่จาบจ้วงคำสอนมหายาน ได้ปลูกฝังความคิดที่จะบรรลุโพธิญาณสูงสุดและ อุทิศคุณธรรมทั้งหลายที่ตนได้กระทำมาเพื่อการมุ่งสู่สุขาวดี ในขณะที่พวกเขากำลังสิ้นใจ พระอมิตาภะ พร้อมทั้งอัครสาวกทั้งสองและผู้ติดตามจำนวนมาก จะเสด็จมาประทานดอกบัวให้ พวกเขาจะนิมิตเห็นพระพุทธเจ้าจำนวน 500 พระองค์เสด็จมารับ จะเห็นตนเองนั่งอยู่บนดอกบัวทองนั้น ดอกบัวจะหุบปิดร่างของเขาไว้ และพาพวกเขาติดตามพระพุทธะทั้งหลายไปอุบัติในทะเลสาบรัตนะที่สุขาวดี หลังจาก 1 วัน และ 1 คืนที่นั่น ดอกบัวจะบานออก ภายใน 7 วันต่อมา พวกเขาจะได้เห็นพระกายของพระอมิตาภะแต่ไม่ชัดเจนนัก ต้องรอให้ถึงสัปดาห์ที่สี่จึงจะเห็นพระพุทธกายได้ชัดเจน จากนั้นพวกเขาก็จะได้ฟังธรรมอันประเสริฐ จะได้เดินทางไปสักการะพระพุทธเจ้าทั่วทุกสารทิศเพื่อเรียนรู้ธรรมเมื่อเวลาผ่านไปสามกัลป์เล็ก ก็จะได้เข้าสู่ภูมิธรรมแรกของพระโพธิสัตว์(มุทิตาภูมิ)

    ในรูปแบบที่สาม นี้มีคำอธิบายที่แตกต่างกันออกไป ข้อมูลบางแห่งระบุว่า พระอมิตาภะและพระมหาโพธิสัตว์ทั้งสองใช้อำนาจฌานเนรมิตดอกบัวทองในพระหัตถ์ให้กลายเป็นพระพุทธเจ้าจำนวน 500 พระองค์ มารับผู้มีคุณสมบัติข้างต้น เมื่ออุบัติแล้วจะใช้เวลา 1 วันเต็มดอกบัวจึงจะบานออก จากนั้นอีก 7 วันจะได้เฝ้าฟังธรรมจากพระอมิตาภะและพระอัครสาวกทั้งสอง ฟังอยู่ 37 วันก็จะบรรลุโพธิญาณ

    ระดับสอง สำหรับบุคคลประเภทกลางๆ ผู้มีจริโน้มไปทางสาวกยาน มีอยู่ 3 รูปแบบได้แก่

    รูปแบบที่สี่ เป็นรูปแบบบุคคลที่รักษาศีลห้าและแปด มีความสำรวมในการบริโภค(ตรงนี้อาจมีนัยยะหมายถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์ด้วย) เป็นผู้ปฏิบัติตามข้อบัญญัติทางศีลธรรมไม่กระทำอนันตริยกรรม(กรรมหนักฝ่ายบาปอกุศล 5 อย่าง) ไม่สร้างปัญหาหรือเบียดเบียนชีวิตอื่นใด อีกทั้งอุทิศความดีงามทั้งหลายที่กระทำมาเพื่อมุ่งสู่สุขาวดี ขณะที่พวกเขาไกล้สิ้นใจ พระอมิตาภะพร้อมทั้งเหล่าภิกษุและบริวารจะปรากฎตรงหน้า จะทรงฉายรัศมีสีทอง พร้อมกับประทานคำสอนในเรื่องกฎไตรลักษณ์ ความปิติล้นพ้นจะบังเกิดแก่พวกเขา จะนิมิตเห็นตนเองคุกเข่าถวายความเคารพพระพุทธองค์อยู่บนดอกบัว ก่อนที่พวกเขาจะเงยศรีษะขึ้น ก็สามารถอุบัติอยู่ในแดนสุขาวดีแล้ว ต่อมาดอกบัวนั้นจะบานออกเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงธรรมบัญญัติในเรื่องอริยสัจสี่ จากนั้นพวกเขา จากนั้นพวกเขาจึงได้บรรลุอรหัตตผลในทันที จะเกิดปัญญาญาณ และมีอายตนะทั้งหกเหนือธรรมดา

    รูปแบบที่ห้า เป็นรูปแบบของบุคคลที่รักษาศีลแปดพร้อมกับสำรวมระวังในการบริโภคมาแล้วอย่างน้อย 1 วันกับ 1 คืน หรือไม่ก็เป็นพวกที่รักษาศีลสิบของสามเณรมาอย่างน้อย 1วันกับ 1 คืน หรือ ไม่ก็เป็นพวกทีรักษาศีลธรรมอันดี ไม่ทำลายเกียรติของตน ไม่ละเลยการปฏิบัติบูชาอย่างน้อย 1 วันกับ 1 คืนเช่นเดียวกัน และอุทิศกุศลที่ตนกระทำมาเพื่อมุ่งสู่สุขาวดี ขณะที่พวกเขาไกล้สิ้นใจ จะได้เห็นพระอมิตาภะพร้อมด้วยบริวารอยู่เบื้องหน้า จะทรงฉายรัศมีสีทองพร้อมกับประทานดอกบัวรัตนะให้ จากนั้นพวกเขาจะได้ยินเสียงร้องสรรเสริญพวกเขามาจากฟากฟ้า และเห็นตนเองนั่งอยู่บนดอกบัวที่ได้รับมานั้น ดอกบัวจะหุบรอบตัวเขา และพาไปอุบัติในทะเลสาบรัตนะที่สุขาวดี หลังจากนั้น 7 วันดอกบัวจะบานออก เขาจะตื่นขึ้นมาทำความเคารพพระพุทธองค์ และจะได้ยินเสียงธรรมอันทำให้ได้เข้าสู่กระแสแห่งนิพพาน(บรรลุโสดา) เมื่อเวลาล่วงไปครึ่งกัลป์ พวกเขาจะสามารถบรรลุอรหัตตผล กลายเป็นพระอรหันต์ได้ในที่สุด

    รูปแบบที่หก เป็นรูปแบบของกุลบุตรกุลธิดาที่มีความกตัญญู เลี้ยงดูผู้มีพระคุณ มีจิตใจเมตตากรุณาต่อโลก(บ้างก็ว่ารักษาศีลห้าเป็นนิจ) ขณะที่พวกเขาไกล้สิ้นใจ จะได้พบกับบัณฑิต(คนดี) มาบรรยายให้เห็นภาพดินแดนสุขาวดี ได้สดับเรื่องราวของปณิธาน 48 ข้อ ของพระธรรมกร(อดีตชาติของพระอมิตภะ) ในชั่วอึดใจหลังจากที่พวกเขาสิ้นใจ ก็จะไปอุบัติในแดนสุขาวดี จากนั้น 7 วันดอกบัวจึงจะบานออก พวกเขาจะได้พบกับพระอัครสาวกทั้งสอง คือ พระอวโลกิเตศวรและพระมหาสถามปราปต์ และจะได้เรียนธรรมะจากท่าน เมื่อเวลาล่วงไป 1 กัลป์เล็ก พวกเขาจะได้บรรลุอรหัตตผล

    ระดับสาม สำหรับบุคคลที่มีมิจฉาทิฐิ ประกอบอกุศลกรรมไว้ มี อยู่ 3 รูปแบบเช่นกัน ได้แก่

    รูปแบบที่เจ็ด เป็นรูปแบบของพวกที่กระทำกรรมชั่วไว้มากแต่ไม่เคยกล่าวร้ายต่อคำสอนมหายาน พวกเขาเป็นคนโง่และไม่มี หิริ(ละอายชั่ว) โอตัปปะ(เกรงกลัวบาป) แต่ขณะไกล้สิ้นใจ มีโอกาสได้พบบัณฑิต (คนดีหรือกัลยาณมิตร) ที่สวดสรรเสริญคำสอนมหายานหัวข้อหลักๆ ให้ฟัง เมื่อได้ยินชื่อพระสูตรต่างๆ เหล่านั้นแล้ว พวกเขาก็จะหลุดพ้นจากบาปหนักที่จะผูกพันให้อยู่ในสังสารวัฏนับได้ 1000 กัลป์ บัณฑิตผู้นั้นจะสอนให้เขากล่าวบูชาพระอมิตาภะ ด้วยการเปล่งวาจา "นโม อมิตาภะ" เมื่อเอ่ยพระนามแล้ว บาปกรรมอันที่จะผูกพันเขาของพวกเขาไว้ในสังสารวัฏจะหลุดออกนับได้ 50 ล้านกัลป์ เวลานั้นพระอมิตาภะจะสร้างภาพนิมิตของพระองค์ รวมทั้งภาพนิมิตของพระอัครสาวกทั้งสองไปรับเขา เขาจะเห็นรัศมีของพระอมิตาภะองค์นิมิตสาดส่องไปทั่วห้องก่อนสิ้นใจ จากนั้นเขาก็จะนั่งอยู่บนดอกบัวติดตามพระพุทธนิมิตไปอุบัติในทะเลสาบรัตนะที่สุขาวดีเช่นกัน ดอกบัวจะบานออกเมื่อเวลาล่วงไป 7 สัปดาห์ เขาจะได้เห็นพระอัครสาวกทั้งสองอยู่เบื้องหน้า สาดส่องพระฉัพพรรณรังสีและแสดงธรรมอันลึกซึ้ง ศรัทธาจะเกิดขึ้น เขาจะตั้งจิตปรารถนาขอบรรลุโพธิญาณสูงสุด เมื่อเวลาผ่านไป 10 กัลป์เล็ก เขาจะเกิดปัญญาและสามารถเข้าสู่ ภูมิธรรมแรกของพระโพธิสัตว์(นอกจากนั้น พวกที่มีโอกาสได้ยินชื่ของพระรัตนตรัย-พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็สามารถไปอุบัตินแดนสุขาวดีได้เช่นเดียวกัน)

    ในอีกด้านตำราของอาจารย์เสถียรระบุว่า บุคคลเหล่านี้ จะไปอุบัติในดอกบัวตูม ซึ่งต้องใช้เวลายาวนานถึง 77 วัน ดอกบัวจึงจะบานออก ข้อมูลนอกจากนี้ไม่มีอะไรแตกต่างกัน

    รูปแบบที่แปด เป็นรูปแบบของบุคคลที่ละเมิดศีลห้าศีลแปด ตลอดจนข้อบัญญัติทางศีลธรรมอื่นทั้งหมด พวกเขาโง่เขลาขนาดที่สามารถขโมยข้าวของสงฆ์(ไม่ว่าจะเป็นปัจเจกสงฆ์หรือ ชุมชนสงฆ์) พวกที่สั่งสอนธรรมผิดๆได้โดยไม่มีหิริโอตัปปะ ซ้ำยังยกย่องตนเองในการกระทำผิดๆ เหล่านั้น บุคคลเหล่านี้สมควรที่จะไปสู่อบายภูมิขระที่พวกเขาไกล้สิ้นใจ จะเห็นไฟนรกวิ่งเข้ามาหาในทุกทิศทุกทาง แต่ก็มีบัณฑิตใจกรุณามาแนะนำสั่งสอนให้เห็นคุณธรรมและบารมีของพระอมิตาภะ ท่านจะบรรยายให้เห็นพลังของพระพุทธองค์ ให้เห็นคุณธรรมของ ศีล สมาธิ ปัญญา และนิพพาน หลังจากได้ยิน พวกเขาจะหลุดพ้นจากบาปอันจะผูกพันเขาไว้ในสังสารวัฏนับได้ 80 ล้านกัลป์ ไฟนรกอันดุเดือดจะเปลี่ยนเป็นลมเย็นบริสุทธิ์ พัดโชยให้เห็นดอกไม้สวรรค์จำนวนมากมาย ในแต่ละดอกจะมีภาพนิมิตของพระพุทธเจ้า หรือ พระโพธิสัตว์ประทับอยู่เพื่อรอรับพวกเขา ในขณะนั้นเอง พวกเขาก็จะได้ไปอุบัติอยู่ในทะเลสาบรัตนะที่สุขาวดี หลังจากเวลาล่วงไป 6 กัลป์ ดอกบัวจึงจะบานออก จากนั้นพระอัครสาวกทั้งสองจะแสดงธรรมเกี่ยวกับพระสูตรมหายานอันลึกซึ้ง เมื่อได้ยินเสียงธรรม พวกเขาจะสามารถกำหนดจิต(แรก) ไปสู่ทางเพื่อบรรลุโพธิญาณสูงสุดได้(กล่าวโดยง่ายคือเกิดโพธิจิตกับบุคคลนั้น)

    รูปแบบที่เก้า เป็นรูปแบบของพวกที่กระทำชั่วหนักและมาก รวมถึงพวกที่กระทำอนันตริยกรรม สมควรที่จะตกไปสู่อบายภูมิเพื่อทนทุกข์ที่ตนก่อนับนับหลายๆ กัลป์ แต่ขณะไกล้สิ้นใจได้มีโอกาสพบกับบัณฑิตผู้มาปลอบโยนและสอนธรรมให้ โดยสอนให้พวกเขาระลึกถึงพระอมิตาภะ แต่เพราะถูกรบกวนด้วยวิบากแห่งทุกข์ที่ทำไว้ ทำให้พวกเขาไม่สามารถระลึกถึงพระพุทธองค์ได้ บัณฑิตจึงสอนให้พวกเขาเอ่ย พระนามของพระอมิตาภะ ให้พวกเขาท่อง"นโม อมิตาภะ" จนครบ 10 ครั้งด้วยจิตที่สงบ ด้วยการเอ่ยพระนามซ้ำๆ เช่นนั้น จะช่วยลบล้างบาปที่จะผูกพันพวกเขาไว้ในสังสารวัฏนับได้ 80 ล้านกัลป์ เขาจะเห็นดอกบัวทองปรากฎอยู่เบื้องหน้าในเวลาตาย และจะได้ไปอุบัติอยู่ในสุขาวดี ดอกบัวจะบานออกเมื่อเวลาผ่านไป 12 มหากัลป์ จากนั้นพระอัครสาวกทั้งสองจะสอนให้พวกเขาเข้าใจภาวะที่แท้ของธรรมชาติทั้งหลาย รวมทั้งข้อปฏิบัติที่จะลบล้างบาป เมื่อได้ยินธรรม พวกเขาจะเกิดปิติและมุ่งความคิดสู่พระโพธิญาณ

    ในอีกด้านหนึ่ง อาจารย์เสถียรชี้ว่า บุคคลเหล่านี้จะได้รับฟังธรรมจาก พระมหาโพธิสัตว์ จำนวน 7 ท่าน คือ พระอวโลกิเตศวร พระมหาสถามปราปต์ พระกษิติครรภ์ พระศรีอาริยเมตไตรย พระมัญชุศรี พระสมันตภัทร และ พระวัชรปราณี จนบังเกิดโพธิจิตกับบุคคลนั้น

    ที่มา
    http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=6045
     
  2. toottoo

    toottoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    720
    ค่าพลัง:
    +3,255
    Amitabha.Sukhavati.jpg

    ระดับสอง รูปแบบที่สี่

    ขอนอบน้อมพระอมิตาภพุทธเจ้าแห่งแดนสุขาวดีโลกธาตุ
    ขอนอบน้อมพระอริยอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์
    ขอนอบน้อมพระมหาสถามปราปต์มหาโพธิสัตว์

    ขออนุโมทนาด้วยครับ

    พระ.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 มีนาคม 2007
  3. สมรปราง

    สมรปราง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2008
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +263
    อนุโมทนาเจ้าของกระทู้ รู้แล้วใครประทับอยู่บนบังลังก์ดอกบัวสีทอง?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤษภาคม 2009
  4. ศรัทธาในพระองค์

    ศรัทธาในพระองค์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2009
    โพสต์:
    166
    ค่าพลัง:
    +40
    อนุโมทนาคะ ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆที่นำมาเสนอนะคะ

    อยู่เพื่อทำความดีนี้เพื่อแม่ อยู่เพื่อแผ่อายุพระพุทธศาสนา
    อยู่เพื่อสร้างบารมีที่ทำมา อยู่เพื่อพาสรรพสัตว์ขัดจิตใจ

    ขอบุญบารมี จงมีแด่ผู้เมตตาด้วยเถิด
     

แชร์หน้านี้

Loading...