อยากทราบเรื่องพระเจ้าห้าพระองค์คะ ใครรู้ช่วยบอกที

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ตะกร้า, 9 กันยายน 2010.

  1. ตะกร้า

    ตะกร้า สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +18
    ดิฉันได้อ่านเรื่องพระเจ้าห้าพระองค์มานิดหน่อย มีความสนใจอยากจะเรียนรู้เพิ่มเติม มีใครรู้บ้างมั้ยคะ
    อยากทราบพุทธประวัติของพระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์มากคะ
    แล้วก็สงสัยว่าสมัยก่อนคนเราสูงกันมากเลยใช่มั้ยคะเพราะที่อ่านมาพระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์สูงมาก

    พระพุทธเจ้าองค์ที่ 1 พระกุกกุสันโธ
    พระบวรกายสูง 44 ศอก พระชนมายุ 4 หมื่นปี

    พระพุทธเจ้าองค์ที่ 2 พระโกนาคมโน
    พระบวรกายสูง 30 ศอก พระชนมายุ 4 หมื่นปี

    พระพุทธเจ้าองค์ที่ 3 พระกัสสโป
    พระบวรกายสูง 20 ศอก พระชนมายุ 2 หมื่นปี

    พระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 พระสมณโคตโม (พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา)
    พระบวรกายสูง 8 ศอก พระชนมายุ 80 ปี

    พระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 พระเมตเตยโย
    พระบวรกายสูง 80 ศอก พระชนมายุ 8 หมื่นปี

    พระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์สูงมากเลยใช่มั้ยคะ พระชนมายุก็เยอะมากด้วย ถ้าใครไม่รู้ลองคำนวณดู 1 ศอก เท่ากับ 44.42 เซนติเมตร นะคะ

    ใครทราบช่วยบอกทีนะคะ
    ขอบคุณคะ
     
  2. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,054
    ครูบาอาจารย์ ท่านเคยเล่าเรื่องพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ ก็ตรงกันกับในตำราครับ
     
  3. วรรณนรี05

    วรรณนรี05 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    313
    ค่าพลัง:
    +903
    โมทนา ค่ะ แต่จะคราดเคลื่อน ตรง พระองค์ที่2 เรื่องอายุของท่านค่ะลองทบทวนถ้าผิดถูก อย่างไรก็ขอ อภัย ดังนี้ค่ะ

    โกนาคะมะ สัมพุทโธ ติงสะหัตถะสะมุคคะโต ติงสะวัสสะหัสสานิ อายุ ตัสสะ มะเหสิโน
    พระ โกนาคมมะ สัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงมีพระวรกายสูงสามสิบศอก ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ (ทรงมีพระชนมายุสามหมื่นปี)

    ที่มาจากบทสวด อุปปาตะสันติ มนต์สำหรับระงับเหตุร้ายทั้งปวง *
     
  4. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,054
    ปัจจุบัน ญาณธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์ รวมเป็นหนึ่งเดียวที่พระศรีอริยเมตตรั เนื่องจาก พระพุทธเจ้าองค์ ที่ 1 ถึง 4 ใน ภัทรกัปป์นี้ท่านเข้าพระนิพพานไปแล้ว จึงเป็นหน้าที่ของพระศรีอริยเมตรัย ทำหน้าที่ในพระพุทธศาสนา แต่ยุคนี้ยังอยู่ในกาลศาสนาของพระสมณโคดม

    ถ้าว่ากันถึงหน้าที่ของบุคคลในพุทธศาสนานั้น ในยุคนึง เขาเหล่านั้นมักจะมีหน้าที่กันจนครบอายุของศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น อย่างเช่น พระอุปคุต หรือพระอรหันต์อีกหลายพระองค์ ท่านเป็นประเภทพระอรหันต์หมดกิเลส แต่ยังไม่ละขันธ์เข้านิพพาน ครบกาลศาสนาห้าพันปี ท่านก็จะเข้านิพพาน อย่างพระอุปคุต ผมกล้ายืนยัน เพราะว่ายังสามารถเข้าถึงได้ปัจจุบันท่านยังปรากฏให้เห็นรูปธรรมของท่านได้ แต่ทั้งนี้ต้องเกี่ยวพันกันมากับท่านจึงจะเข้าถึงตรงนี้ได้ ผมเข้าใจว่ามีคนน้อยคนที่จะเห็นรูปธรรมของพระอุปคุตว่าท่านมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร ขณะนี้ผมกำลังให้ช่างปั้นรูปเหมือนของพระอุปคุตขึ้นมา เพื่อเป็นสื่อญาณเมื่ออาราธนาท่านขึ้นมาทำหน้าที่ทางศาสนา เท่าที่เห็นยังไม่มีที่ใดที่สร้างรูปเหมือนได้ใกล้เคียงกับรูปลักษณ์จริงของพระอุปคุตตามที่ท่านปรากฏให้ผมเห็น ส่วนใหญ่เขานำเอาคติด้านโชคลาภ(ปางอุ้มบาตร แหงนมองดวงอาทิตย์)มาสร้าง

    เมื่อพระอุปคุตท่านมีหน้าที่ ในช่วงกึ่งกลางศาสนาของพระพุทธเจ้าโคดม ท่านก็ต้องมาทำหน้าที่ปราบมารอีกวาระนึง วันออกพรรษานี้ผมทำพิธีจะอาราธนาท่านขึ้นมาทำหน้าที่ของท่าน แน่นอนว่าต้องมีศาสน์ศิลป์เกี่ยวกับพระแม่คงคา แม่ย่านาง พญานาค เป็นต้นมาเกี่ยวข้อง เพราะพระอุปคุตท่านอยู่ในน้ำ(สะดือทะเล)

    หากใครสนใจเรื่องของพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ ก็ควรหมั่นภาวนาให้เข้าถึงหรือไปสัมผัสกับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับระบบของพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ เช่นแม่กาเผือก พระศรีอริยเมตรัย โพธิญาณ เป็นต้น ถ้าเข้าถึงจุดนี้ได้ จะเป็นมรรควิถีการนำจิตวิญญาณตนเองไปสู่ยุคศาสนาของพระศรีอริยเมตรัย ครับ

    เมื่อปฏิบัติเข้าถึงมรรควิถีของสิ่งเหล่านี้ได้ ก็จะเข้าใจเรื่องราวของการสร้างบารมีของตนเองได้ อย่างเช่น ในช่วงศาสนาของพระพุทธเจ้าโคดม เราวนเวียนสร้างบารมีมาอย่างไร ในทศชาติเคยเกิดเป็นอะไรมาบ้าง ณ สถานที่ใด เกี่ยวข้องกับใครมาบ้าง ปัจจุบันเขาอยู่ที่ไหน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องจำเป็นที่ผู้สร้างบารมีควรรู้ ถ้ายังไม่รู้ก็จะสร้างบารมีได้ยากสักหน่อย เพราะไม่รู้จะไปตั้งต้นตรงไหน หากเมื่อรู้แล้ว ก็จะเป็นจิ๊กซอ ต่อกันเรื่อยๆครับ

    ปัจจุบันนี้ ครูบาอาจารย์ที่ท่านทำหน้าที่สอนครองธรรมของของพระโพธิสัตว์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็น พระอริยฤษี อย่างเช่น ปู่ฤาษีจักรวาล ปู่ฤษีมุนีดาบส ปู่ฤษีกไลยโกฏิ ปู่ฤษีตาไฟ ปู่ฤษีกัสสปะ(อิสิกัสปะ) ท่านก็ยังอยู่และหากเราเข้าถึงก็สามารถพูดคุยกับท่านได้(ทางจิต) ท่านเหล่านี้เมื่อท่านบรรลุธรรมแล้ว ท่านก็จะอยู่ทำหน้าที่สอนพระโพธิสัตว์ไปเรื่อยๆ ไม่ปรารถนาเข้าพระนิพพาน ที่จริงมีอีกหลายท่าน อย่างองค์สำคัญๆ เช่น พระธรรม พระเวท ท่านก็ทำหน้าที่อยู่เหมือนเดิม แต่ใครจะเข้าถึงหรือไม่ เป็นเรื่องเฉพาะของแต่ละบุคคล

    มหาเทพต่างๆ ในยุคปัจจุบันนี้ ท่านก็สร้างบารมีในพระพุทธศาสนา อย่างพ่อพระอินทร์ พระพรหม พระอิศวร พระนารายณ์ ยุคนี้ท่านก็สร้างบารมีในศาสนาของพระพุทธเจ้าเช่นกัน ที่สำคัญก็คือตัวเราเองเข้าถึงตรงนี้ให้ได้ด้วยตนเองเสียก่อน จึงจะสามารถรู้ได้ว่าใครมีหน้าที่และเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาอย่างไร

    อย่างญาณธรรมของพระอินทร์ ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ ท่านมีสื่อญาณหลายอย่าง อยู่ตามสถานที่หลายแห่ง เช่น ที่พระเจ้าใหญ่อินแปลง จ. อุบลฯ ที่ภูเขาควาย ประเทศลาว เป็นต้น และคงจะมีอีกหลายที่ ท่านจะเปิดให้ตามวาระที่ต้องทำศาสน์ศิลป์ให้สอดคล้องกับระบบของพระพุทธเจ้าห้าพระองค์

    อย่างญาณธรรมของพระพรหม พระอิศวร พระนารายณ์ สื่อญาณสำคัญของท่านที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าห้าพระองค์อยู่ที่ประเทศเขมร ตามปราสาทหินต่างๆ หากใครมีหน้าที่มาทำ การรับรู้เรื่องเหล่านี้จะเป็นเรื่องง่ายเพราะสื่อญาณเขาเปิดรออยู่แล้วแค่ผู้ที่ทำหน้าที่ จูนคลื่นจิตของตัวเองเข้าไปก็จะสัมผัสสื่อสารกับท่านเหล่านี้ได้

    และสื่อญาณของปู่ฤาษีองค์ต่างๆ ญาณธรรมของท่านอยู่ที่ภูเขาควาย ประเทศลาว

    ซึ่งการรู้สิ่งเหล่านี้จะทำให้การทำสิ่งต่างๆที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ จะทำได้ถูกต้อง

    แต่แน่นอนว่าผู้ที่มีหน้าที่ต้องนำธาตุขันต์ของตนเองไปในเขตหรือสถานที่นั้นๆพร้อมกับเครื่องสักการะที่เป็นสัญญลักษณ์ แล้วก็จะเชื่อมกระแสญาณต่างๆเข้าสู่ระบบของพระพุทธเจ้าห้าพระองค์

    พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทั้งมีธาตุขันธ์อยู่และที่ละไปแล้ว ท่านก็อยู่ในระบบนี้หมด เพียงแต่ท่านใดจะรู้ได้มากน้อย ก็ตามวาสนาบารมีและหน้าที่ของแต่ละบุคคล

    จะเห็นว่าระบบของพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ ณ เวลานี้ สถานที่หลักๆจะเกี่ยวข้องกับ 3 ประเทศคือ ไทย ลาว เขมร ซึ่งเป็นอาณาเขตที่ สามพระโพธิสัตว์ ท่านแบ่งเขตกันทำหน้าที่ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
     
  5. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    พระองค์ที่ 4 ทำไมอายุน้อยจัง เพราะเรารู้เห็นอยู่..............

    ต่อไปยุคพระองค์ที่ 5 คนในยุคนั้นก็ต้องบอกว่า พระองค์ที่ 4 อายุ 2 หมื่นปีขึ้นไป นั่นแหละ..........

    คนที่ไหนจะอายุยืนขนาดนั้น ?????????????? ร้อยกว่าปี ยังน่าเชื่อบ้าง .
     
  6. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,054
    ตัวอย่างรูปญาณธรรมที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ ท่านเมตตาปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรมได้อย่างที่เห็นครับ ผมอธิษฐานบวงสรวงในพิธีรับองค์พระจักรพรรดิ์ เมื่อ 26 มิ.ย. 2553 ที่พุทธสถานพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ จ. หนองคาย ปู่ฤษีมุนีดาบส ท่านมาเป็นเจ้าพิธีให้ รูปที่เห็นนั้นเป็นญาณธรรมของหลายพระองค์ มีทั้งขององค์พระจักรพรรดิ์ มหาเทวี พ่อพระอินทร์ ปู่ฤษี ฯลฯ

    และในสิ่งที่ปรากฏนั้น ส่วนหนึ่งเป็นญาณธรรมของหลวงปู่ทองทิพย์ จ. หนองคาย ด้วย อันนี้สำหรับผู้ที่มีตาและผู้ที่เกี่ยวข้องจึงจะสามารถเข้าถึงและเข้าใจได้ ที่สำคัญก็คือถ้าถึงอธิษฐานบารมี สิ่งเหล่านี้ก็จะปรากฏให้เห็นได้ ในทางเป็นทิพย์จะปรากฏภาพที่เป็นรูปธรรมอีกแบบนึง ครับ

    ผมเข้าใจว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ ท่านจะปรากฏให้เห็นเป็นระยะๆ ตราบเท่าที่เราทำศาสน์ศิลป์ที่เป็นสื่อญาณได้ถูกต้อง และกระทำด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1_1.JPG
      P1_1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      234.6 KB
      เปิดดู:
      242
    • P1_2.JPG
      P1_2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      179.2 KB
      เปิดดู:
      185
    • P12.JPG
      P12.JPG
      ขนาดไฟล์:
      270.6 KB
      เปิดดู:
      178
    • P13.JPG
      P13.JPG
      ขนาดไฟล์:
      226 KB
      เปิดดู:
      191
    • P14.JPG
      P14.JPG
      ขนาดไฟล์:
      257.3 KB
      เปิดดู:
      379
    • P15.JPG
      P15.JPG
      ขนาดไฟล์:
      248 KB
      เปิดดู:
      173
    • P17-1.JPG
      P17-1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      203.5 KB
      เปิดดู:
      162
    • P21.JPG
      P21.JPG
      ขนาดไฟล์:
      267.2 KB
      เปิดดู:
      176
    • P22.JPG
      P22.JPG
      ขนาดไฟล์:
      152.7 KB
      เปิดดู:
      181
    • P18.JPG
      P18.JPG
      ขนาดไฟล์:
      264.2 KB
      เปิดดู:
      183
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กันยายน 2010
  7. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,188
    ค่าพลัง:
    +20,866
    อนุโมทนา....สาธุ ครับ

    บันไดธรรม มาจากพระนิพพานเลย นะครับ
    มหากุศลโดยแท้
     
  8. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    อย่างรอยพระพุทธบาท๔รอย รอยที่ 1 ใหญ่สุดไล่มาเล็ก พอพระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 พระเมตเตยโย จะมาประทับรวมเป็นรอยพระพุทธบาทใหญ่รอยเดียว
     
  9. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    คนต้นกัปอายุนับกันเป็นอสงไขยปี = 1ปีตามด้วยเลขศูนย์ 140 ตัว
    พระพุทธเจ้าทั้งหลายจะไม่มาอุบัติเมื่ออายุเกิน 100000 ปี(มนุษย์กิเลสน้อยไป)
    และอายุน้อยกว่า 100 ปี(มนุษย์กิเลสมากไป)
     
  10. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,054
    พระพุทธเจ้าห้าพระองค์ ที่เบื้องบนกำหนดให้สร้างบนโลกมนุษย์ เท่าที่ท่านเปิดให้ทราบแล้วมี 2 สถานที่คือ ที่ จ. หนองคาย(องค์พระสร้างเสร็จแล้ว) และที่ภูเขาควาย ประเทศลาว อยู่ระหว่างเตรียมการก่อสร้าง

    สัปดาห์ที่แล้วผมพาคณะไปภาวนาที่ภูเขาควาย เป็นเวลา 3 คืน ก็ได้รับทราบบัญชาจากพ่อพระอินทร์ ว่าให้สร้างพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ ณ สถานที่ ที่ผมไปภาวนา ท่านบอกรายละเอียดให้หลายอย่าง ผมก็ได้ประสานกับพระสงฆ์ที่ท่านรอสร้างพระพุทธเจ้าห้าพระองค์อยู่แล้ว แต่ยังไม่มีแนวทางว่าจะทำศาสน์ศิลป์อย่างไร เมื่อได้พบกันครูบาอาจารย์ รวมถึงพ่อพระอินทร์ ท่านก็ได้เปิดให้รับรู้ว่าแต่ละคนที่มาเกิดนั้นรับบัญชามาจากเบื้องบน มาสร้างพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ ผมมีหน้าที่สร้างพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ในฝั่งไทย ส่วนพระสงฆ์ที่ลาวนั้นท่านต้องนำสร้างในฝั่งลาว แต่ผมต้องไปช่วยบารมีท่านสร้างบารมี ในเรื่องของศาสน์ศิลป์ที่จะทำเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ เช่น การครอบภูมิ(การขอสถานที่สำหรับสร้างอาณาบริบริเวณขององค์พระ) การกำหนดเขตแดนของภพภูมิ ลำดับการดำเนินการสร้าง รวมทั้งศาสน์ศิลป์ในการบวงสรวงบอกกล่าวต่างๆ

    ซึ่งการสร้างพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ที่ภูเขาควายนั้น เป็นงานยักษ์(งานใหญ่) และสร้างในเขตภูมิยักษ์ที่ดุร้าย เขาไม่ยอมอนุโมทนาง่ายๆ ต้องอาศัยเหตุปัตจจัยที่ถูกต้องหลายประการ

    งานนี้สมเด็จโต กับปู่่สังกะสา ท่านจะเป็นผู้ใหญ่คอยดูเรื่องการป้องกันพวกยักษ์ ส่วนพระสงฆ์(ฝั่งลาว)ผมและคณะมีหน้าที่ดำเนินการสร้าง ขณะเดียวกันเบื้องบนได้ส่งยักษ์ที่มีฤทธิ์ตนนึงมาคอยทดสอบบารมี หลวงปู่โตท่านบอกว่างานนี้ห้ามผิดพลาด หากทำผิดพลาดก็สร้างพระไม่สำเร็จ ยักษ์ตนนั้นจัดการเราแน่

    ก่อนกลับผมได้อธิษฐานพระแม่ธรณี ขึ้นมาชี้สถานที่ พร้อมทั้งตำแหน่งที่ประดิษฐานพระพุทธเจ้าห้าพระองค์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้ตำแหน่งบนก้อนหินขนาดใหญ่ 5 ก้อน พระศรีฯอยู่ตรงกลาง ส่วนอีก 4 พระองค์ หันไปทางทิศทั้งสี่ ขนาดองค์พระท่านให้ใช้ขนาดเดียวกับพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ที่จ.หนองคาย แต่ท่านอนุโลมให้สร้างเป็นพระปูนได้ โดยให้เน้นที่เครื่องบรรจุในองค์พระ พร้อมกันนั้นท่านก็ให้สร้างองค์พระอินทร์กับม้าคู่บารมีของพระศรีฯด้วย ซึ่งโดยรวมแล้วก็คือศาสน์ศิลป์เดียวกันกับพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ในฝั่งไทย

    ก่อนออกพรรษาก็จะไปทำพิธีครอบภูมิ งานนี้ต้องอาราธนาปู่สังกะสากับ ย่าสังกะสี(ท่านปู่่-ท่านย่า) ไปด้วย

    งานสร้างพระพุทธเจ้าห้าพระองค์เป็นงานของสามโลก ผมก็มาทำตามหน้าที่ ท่านให้ทำอะไรก็ต้องทำเพราะรับบัญชา(สัจจะ)มาแล้ว

    ด้านล่าง เป็นภาพสถานที่จัดสร้างพระพุทธเจ้าห้าพระองค์และรูปปั้นพ่อพระอินทร์บนยอดเขา รวมทั้งรูปปั้นยักษ์ที่เป็นภูมิสถานที่
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P3.jpg
      P3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      404.4 KB
      เปิดดู:
      158
    • P2.jpg
      P2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      200.2 KB
      เปิดดู:
      149
    • P1.jpg
      P1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      457.2 KB
      เปิดดู:
      194
    • P5.jpg
      P5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      441.9 KB
      เปิดดู:
      263
    • P4.jpg
      P4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      428.7 KB
      เปิดดู:
      196
    • P7.jpg
      P7.jpg
      ขนาดไฟล์:
      399.6 KB
      เปิดดู:
      185
    • P10.jpg
      P10.jpg
      ขนาดไฟล์:
      394.2 KB
      เปิดดู:
      157
    • P9.jpg
      P9.jpg
      ขนาดไฟล์:
      92.4 KB
      เปิดดู:
      232
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2010
  11. singhol

    singhol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,376
    ค่าพลัง:
    +1,941
    กราบอนุโมทนาสาธุด้วยครับ..ขอให้ภารกิจนี้สำเร็จสมดังตั้งใจไว้...เพื่อเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ในภาคหน้า
     
  12. linake119

    linake119 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +578
    ขออนุโมทนากับความรู้ที่ได้เพิ่มเติมทุกท่านครับ
    คุณ Takkor ครับ สำหรับเรื่องราวของพระเจ้า 5 พระองค์นั้น ผมว่ามีผู้ที่นำเสนอดีๆ ในนี้อยู่มากอยู่แล้วพอควร คงจะไม่มานำเสนอให้ครับ รู้สึกว่าจะมีอยู่ที่หัวๆ ครับ
    สำหรับเรื่องความเป็นไปได้ในเรื่องของความสูง และอายุนั้น หากเราพิจาณาตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์นั้น เราจะพบว่า ในอดีต มนุษย์มีขนาดร่างกายที่ใหญ่มากกว่าปัจจุบัน แต่สำหรับอายุนั้น ไม่ได้มากมายอะไร แต่ปัจจุบันศาสตร์ทางด้านการชะลอความชรามีหลักฐานเพิ่มเติมว่า มนุษย์เรา อาจมีอายุที่ยืนยาวได้มากขึ้นจากที่คาดเดิมคือ 150 ปี เป็น 200 ปี ดังนั้นก็อาจเป็นไปได้ว่า ในอนาคตนี้มนุษย์เราก็อาจจะมีอายุที่ยืนยาวกว่าบรรพบุรุษเราเองก็ได้
    แต่หากว่าเราพิจารณาตามเหตุปัจจัย ความเป็นไปได้หรือไม่นั้น ก็คงต้องตอบว่า ขึ้นกับความบริสุทธิ์ของมนุษย์ ขึ้นกับกรรมของมนุษย์ในยุคสมัยนั้นร่วมกันว่าเป็นอย่างไร หากว่ามนุษย์สมัยนั้นรวมกันแล้ว เป็นกลุ่มที่มีบุญวาสนาบารมีสร้างมาอย่างดี ก็อาจเป็นไปได้ว่าการมีชีวิตที่มีอายุยืนยาว และมีความเป็นหนุ่มเป็นสาวที่ยืนยาวก็เป็นไปได้มากขึ้น เพราะกรรมดีสนับสนุน ตามหลักกฎแห่งกรรม แต่หากยุคนั้นเป็นยุคสมัยที่กลุ่มคนโดยส่วนใหญ่ที่มาเกิด เป็นกลุ่มคนที่สร้างกรรมชั่วเป็นหลัก เป็นอันมาก การที่จะมีอายุยืน รูปร่างสวยงามก็คงจะเป็นไปได้ยาก เนื่องจากกรรมชั่วให้ผล
    เอาอย่างง่ายๆในปัจจุบัน ว่าทำไมบางประเทศจึงมีแต่ความทุกข์ยาก อดอยาก เพราะส่วนหนึ่งคือกรรมชั่วเป็นเหตุให้คนที่มีความชั่วไปรวมกัน(ตามกฎแรงดึงดูด) เขาเหล่านั้นยิ่งลำบากมากขึ้น ได้รับการตอบสนองด้วยการที่ทำอะไรก็ไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากกรรมชั่วให้ผล และบีบให้ทำกรรมชั่วมากขึ้น ความวุ่นวายก็จะมากขึ้น แต่หากมีผู้ที่เริ่มสร้างส่งเสริมความดี ค่อยๆกระทำเรื่องคุณงามความดีให้แพร่กระจายไป ความอยู่ดีมีสุขก็เริ่มเกิดขึ้นการที่จะมีขนาดร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง ดูดี อายุยืนก็เป็นไปได้ง่ายขึ้น เป็นต้น
    หากว่า ไม่เห็นภาพ เอาง่ายๆ ก็ให้
    1. มีอายุยืนอยู่ให้ถึงสมัยพระศรีอริยเมตไตรย์ แล้วดูว่าเป็นจริงหรือไม่
    2. กระทำกรรมนั้นเองแล้วก็รอดูผลเอา
    3. กระทำกรรมดีไปเป็นเทวดา หรือพรหม เพื่อให้มีอายุที่ยืนยาวมากพอที่จะเห็นความเป็นไปของสังสารวัฏ
    4. เจริญกสินให้ได้อภิญญา เพื่อสามารถย้อนอดีต ดูอนาคตและปัจจุบันไม่ต้องสงสัย
    5. ไปนิพพาน ถามพระพุทธเจ้าองค์จริงว่า สมัยของท่านเป็นอย่างนั้นอย่างงี้จริงตาในคัมภีร์ว่าหรือไม่
    ก็ลองเลือกเอาครับว่า จะเลือกอันไหนที่จะเป็นการพิสูจน์ความจริงครับ
    สาธุ
     
  13. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    ในสมัย ต้นปฐมกัป มีพญากาเผือกสองตัวผัวเมีย ทำรังอยู่ที่ต้นมะเดื่อริมฝั่งแม่น้ำคงคาอันเป็นธรรมชาติสถาน รื่นรมย์ ในเวลาต่อมาต่อมา พระโพธิสัตว์ ได้ทรงปฏิสนธิเกิดในครรภ์แม่พญากาเผือก พร้อมกันถึง ๕ พระองค์ เมื่อครบทศมาส แม่กาเผือกก็ออกไข่ ณ ที่รังต้นมะเดื่อ จำนวน ๕ ฟอง (สถานที่นี้ในกาลต่อมาเรียกว่า วัดพระเกิด) และคอยเฝ้า ดูแลรักษาไข่ด้วยความทะนุถนอมเป็นอย่างดี อยู่ มาวันหนึ่งพญากาเผือกออกไปหากินถิ่นแดนไกลไปถึงสถานที่แห่งหนึ่งอันสมบูรณ์ ด้วยธรรมชาติ แม่กาเผือกเพลินหากินอาหาร ชื่นชมกับธรรมชาติจนมืดค่ำ เกิดลมพายุใหญ่พัดกระหน่ำมืดครึ้มทั่วไปหมด ทำให้หาหนทางออก ไม่ถูก จึงหลงอยู่ในบริเวณสถานที่นั้น (สถานที่นั้นในกาลต่อมาเรียกว่า เวียงกาหลง) แม่กาเผือกได้อยู่ที่เวียงกาหลง คืนหนึ่ง จนเช้าจึงรีบถลาบินกลับที่พัก แต่ปรากฏว่ากิ่งไม้มะเดื่อที่ทำรังอยู่ถูกลมพายุใหญ่พัดหักล้มลงไปในแม่น้ำ แม่กาเผือกตกใจรีบบินถลาหาลูกที่ยังอยู่ในไข่ แต่หาเท่าไรก็ไม่พบ ด้วยความเศร้าโศกเสียใจ ในที่สุดก็สิ้นใจตายอย่างน่าสงสาร

    แต่ด้วยอานิสงส์ที่มีความเมตตารักลูกอันบริสุทธิ์กับทั้งที่ลูกของแม่กา เผือกเป็นพระโพธิสัตว์ถึง ๕ พระองค์ จึงเป็นกุศลหนุนส่งให้แม่กาเผือกไปจุติยังแดนพรหมโลกชั้นสุทธาวาส ได้พระนามว่า “ฆติกามหาพรหม” จักได้เป็นผู้ถวาย อัฏฐะบริขาร บวชแก่ลูกทั้ง ๕ พระองค์ เมื่อจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนไข่ทั้ง ๕ ถูกลมพัดตกน้ำไหลไปในสถานที่ต่าง ๆ ไข่ฟองที่ ๑ แม่ไก่เก็บไปดูแลรักษา ไข่ฟองที่ ๒ แม่นาคราชเก็บไปดูแลรักษา ไข่ฟองที่ ๓ แม่เต่า เก็บไปดูแลรักษา ไข่ฟองที่ ๔ แม่โคเก็บไปดูแลรักษา ไข่ฟองที่ ๕ แม่ราชสีห์เก็บไปดูแลรักษา

    ครั้นในกาลเวลาต่อมา พระโพธิสัตว์ทั้ง ๕ ก็ประสูติออกจากไข่ ปรากฏเป็นมนุษย์บุรุษรูปงานทั้ง ๕ พระองค์ และเจริญเติบโตอยู่กับแม่เลี้ยงด้วยความกตัญญู รู้จักหน้าที่ ทดแทนบุญคุณจนถึงอายุได้ ๑๒ ปี ด้วยบุญกุศลเก่าหนุนส่งก็มีจิตคิดที่จะออกบวชบำเพ็ญเนกขัมมะบารมี เป็นฤาษีอยู่ในป่า จึงได้อำลาแม่เลี้ยงของตนเหมือนกันทั้ง ๕ พระองค์ ฝ่ายแม่เลี้ยงก็ไม่ขัดความประสงค์ อนุญาตให้ลูกไปบวช บำเพ็ญบารมีอยู่ในป่าด้วยความอนุโมทนา

    แม่ เลี้ยงทั้ง ๕ เป็นปณิธานที่มุ่งมั่น จะบำเพ็ญบารมีพระโพธิญาณ เพื่อเป็นพระพุทธเจ้าโปรดสัตว์โลกให้พ้นจากกองทุกข์ในวัฏฏะสงสาร จึงฝากนามของแม่เลี้ยงไว้กับลูกเพื่อเป็นอนุสรณ์ตำนานไว้แก่โลกต่อไปในภาค หน้า เมื่อลูกได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าโปรดโลกแล้วตามลำดับพระนามดังต่อไปนี้

    องค์ที่ ๑ มีพระนามว่า พระกกุสันโธ เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นไก่

    องค์ที่ ๒ มีพระนามว่า พระโกนาคมโน เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นนาค

    องค์ที่ ๓ มีพระนามว่า พระกัสสโป เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นเต่า

    องค์ที่ ๔ มีพระนามว่า พระโคตโม เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นโค

    องค์ที่ ๕ มีพระนามว่า พระศรีอาริยเมตไตรโย เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นราชสีห์

    ในกัปนี้ชื่อว่า ภัททกัป เป็นกัปที่เจริญที่สุดเพราะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกนี้ถึง ๕ พระองค์ จึงเป็นที่มาของ คำว่า “นโมพุทธายะ” นะ คือ พระกกุสันโธ โม คือ พระโกนาคมโน พุท คือ พระกัสสโป ธา คือ พระโคตโมยะ คือ พระศรีอาริยเมตไตรโย จนเป็นคาถาที่ใช้สืบต่อกันมา ฝ่าย พระโพธิสัตว์ ทั้ง ๕ เมื่อออกบวชเป็นฤาษีก็ได้บำเพ็ญเพียรพระกัมมัฏฐานจนสำเร็จญาณอภิญญาสมาบัติ อยู่มาวันหนึ่งได้เหาะมาหาอาหารผลไม้ และบำเพ็ญเพียรธรรมที่ป่าดอยสิงกุตตระ ณ ใต้ต้นนิโครธ อันร่มเย็นด้วยกิ่งไม้สาขาใหญ่ ฤาษีทั้ง ๕ ได้มาพบกัน ณ ที่นี้โดยไม่ได้นัดหมาย จึงสอบถามถึงความเป็นมาของกันและกันจนรู้ว่าแต่ละองค์ก็มีแต่แม่เลี้ยง ฤาษีทั้ง ๕ จึงร่วมกันตั้งสัจจะอธิษฐานขอให้ได้พบแม่บังเกิดเกล้า ด้วยอำนาจสัจจะอธิษฐานธรรมอันบริสุทธิ์ดังก้องไปถึงพรหมโลก ท้าวฆติกามหาพรหม ซึ่งเดิมคือ แม่กาเผือก ทราบเหตุการณ์ทั้งหมดจึงจำแลงเพศเป็นรูปเดิม ขนขาวสวยงาม มาปรากฏตัวอยู่ข้างหน้าของฤาษีทั้ง ๕ เมื่อลูกฤาษีได้ทราบเรื่องราวทั้งหมด ก็รู้สึกสลดสังเวชใจและสำนึกบุญคุณอันใหญ่หลวงของแม่กาเผือก จึงน้อมนมัสการผู้เป็นแม่ กราบขอสัญลักษณ์อนุสรณ์ผู้บังเกิดเกล้าไว้บูชา ได้มาเป็นผ้าฝ้ายเป็นตีนกาสัญลักษณ์ของแม่กาเผือกให้แก่ลูกฤาษีทั้ง ๕ ไว้ใช้เป็นไส้ประทีปจุดบูชาทุกวันพระ และต่อมาได้กลายเป็นประเพณีจุดประทีปตีนกาบูชาแม่กาเผือก ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ลอยกระทง เป็นตำนานสืบไว้ตลอดกาลนาน


    ฤาษี โพธิสัตว์ทั้ง ๕ ต่างพากันตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรรักษาศีลธรรมภาวนามิได้ขาดจนดับขันธ์ ได้ไปจุติบนเทวโลกชั้นดุสิตพิภพ และในกาลต่อมาก็วนเวียนบำเพ็ญเพียรบารมีทุกภพชาติที่กำเนิดเกิดในสงสารวัฏ นี้ จนบารมีเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ทั้ง 30 ทัศแล้ว ก็ ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ฆติกามหาพรหมผู้เป็นแม่ต้นกัปโลกา ก็จะนำเอาบริขาร คือ บาตรไตรจีวร มาถวายลูกโพธิสัตว์ทั้ง ๕ พระองค์ในชาติสุดท้ายที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าโปรดโลกทุกพระองค์

    กาลเวลาอันยาวนานผ่านไปจนถึงปัจจุบัน พระโพธิสัตว์ลูกแม่กาเผือก ก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าโปรดโลกไปแล้วถึง ๔ พระองค์ ตามลำดับดังนี้

    พระกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๔ หมื่นปี มีเขมวตีนนครของพระเจ้าเขมะเป็นราชธานี

    พระโกนาคมโนสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๓ หมื่นปี มีโสภวตีนนครของพระเจ้าโสภะเป็นราชธานี

    พระกัสสโปสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๒ หมื่นปี มีพาราณสีนครของพระเจ้ากิงกิเป็นราชธานี


    พระโคตโมสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๘๐ ปี มีกบิลพัสดุ์นครของพระพุทธเจ้าสุทโธทนะเป็นราชธาน

    ส่วน พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๕ อันเป็นลูกองค์สุดท้ายของแม่กาเผือก คือ พระศรีอริยเมตไตรย์ จักเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ ในภัททกัป จะมีอายุถึง ๘ หมื่นปี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2010
  14. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    นิทานแม่กาเผือก
    "ปฐมกาลปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ของพระโพธิสัตว์เจ้า ๕ พระองค์"

    ย้อนหลังไป ๒๐ อสงไขย กับอีก ๑ มหาแสนกัปป์ สมัยอยู่ในช่วง มัณฑกัปป์ ที่มีพระพุทธเจ้าได้เสด็จมาอุบัติตรัสรู้ในโลก ๔ พระองค์ คือ

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตัณหังกรพุทธเจ้า
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมธังกรพุทธเจ้า
    พระสัมมาสัมพุทธสรณังกรพุทธเจ้า
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีปังกรพุทธเจ้า

    ในสมัย
    พระพุทธเจ้าทีปังกร นั้น ยังมีไก่ป่าตัวหนึ่งอาศัยอยู่ไม่ไกลจากอารามที่ประทับของพระองค์ ตอนกลางวันก็จะเที่ยวออกหากินภายในบริเวณวัด ได้มีโอกาสพบเห็นพระพุทธเจ้าอยู่เป็นประจำ ก็บังเกิดความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า จึงเกิดมีความปรารถนาอยากเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง...

    วิตกอยู่หลายวันเพราะคิดว่าตัวเองเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉาน จะคิดการได้สำเร็จหรือไม่จนร่างกายผ่ายผอม อยู่มาวันหนึ่งเป็นวันคืนเดือนเพ็ญ ๑๕ ค่ำ พระจันทร์เต็มดวงจึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อทูลถามปัญหาข้อใจนั้น พระองค์ทรงทราบด้วยญาณวิถีแห่งพระองค์ว่า จะมีไก่ตัวหนึ่งมีความประสงค์จะเข้ามาเฝ้าเพื่อต้องการทูลถามปัญหาทั้งปวง เป็นปัญหาที่จะนำมาซึ่งประโยชน์แก่สัตว์โลกทั้งหลาย เป็นปัญหาที่ไม่เคยมีใครๆ เคยถามมาก่อนพระองค์จึงได้ทรงตรัสเรียกไก่ตัวนั้นที่พักอยู่ใต้ต้นไม้ใกล้ๆ นั้นให้เข้ามาหา

    "ดูก่อนเจ้าไก่ ! เจ้าจงเข้ามาเถิด เราจะช่วยยกปัญหาอันหนักออกจากจิตให้"

    ฝ่ายไก่เมื่อได้ยินพระดำรัสนี้ จึงเกิดความอัศจรรย์เป็นยิ่งนัก เพราะพระองค์ทรงรู้ความคิดของตนเอง จึงตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้พระองค์ให้ทรงรู้ความคิดของตนเอง จึงตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้ พระองค์ทรงให้การต้อนรับในท่าอิริยาบถที่สบายเป็นกันเองกับไก่ด้วยการประทับนั่งห้อยพระบาทคงข้างพระพุทธอาสน์เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถของพระวรกายแล้วได้ตรัสว่า

    “เจ้ามีปัญหาคาจิตอันใด ก็ถามเราได้เลย”

    ไก่จึงทูลถามว่า

    "ข้าพระพุทธองค์เป็นสัตว์ที่เกิดมาด้วยภูมิอันต่ำแต่มีความปรารถนาที่ตั้งใจจริงอยากเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคตกาลเสมือนดังพุทธองค์ ความต้องการวันนี้อของข้าพระพุทธเจ้าไม่รู้ว่าจะบรรลุดังเจตจำนงหรือไม่"

    เมื่อพระพุทธองค์ได้ทราบแล้วจึงทรงแสดงธรรมการสร้างบารมีทังหลายให้ไก่ได้ฟังว่าจักสำเร็จได้ ด้วยการสร้างบารมีทั้งหลายอันยาวนานนั้น บุคคลที่ทำการสร้างบารมีนั้นเรียกว่าพระโพธิสัตว์ เมื่อยังไม่ได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งนั้น เรียกว่า อนิยตโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่แน่ใจว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่ ครั้นเมื่อได้รับพยากรร์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้วจึงได้ชื่อว่า
    พระนิยตโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่จะได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน


    เมื่อไก่ได้ฟังแล้วจึงได้ทูลถามถึงพิธีการปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าครั้งแรก พระพุทธองค์จึงตรัสถึงประเพณีที่นิยมว่าให้ก่อกองทรายให้เป็นรูปเจดีย์และหาเครื่องสักการะต่างๆ อันควรที่จะหาได้ เช่น ดอกไม้ แล้วกล่าวคำสรรเสริญแก่พระรัตนตรัย ต่อจากนั้นให้ตั้งสัจจอธิษฐานปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคต แล้วในที่สุดให้ตั้งใจสมาทานศีลห้าเป็นพื้นฐานก่อน เมื่อถึงวันพระก็ให้สมาทานศีลแปดตามกำลังความเหมาะสม และสภาวะของตนแล้วตั้งใจบำเพ็ญบารมีไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
    ไก่ประเสริฐตัวนั้น จึงทูลลาพระชินสีห์กลับไปยังที่พักของตนและได้เดินเวียนประทักษิณรอบแห่งธรรมสภานั้นก่อนด้วยความเคารพบูชาที่มีต่อพระพุทธองค์ ในวันต่อมาไก่ตัวนั้นก็ได้เดินไปที่หาดทรายอันขาวสะอาดบริสุทธิ์ดังดอกฝ้าย จึงได้ใช้เท้าของตัวเองเขี่ยทรายให้เป็นกอง แล้วตั้งจิตจำนงอันแน่วแน่พร้อมกับส่งเสียงออกมาทางปากว่า

    <O:p
    "เราจะเป็นพระพุทธเจ้า ๆ ๆ ๆ อยู่อย่างนี้ตลอดเวลาโดยไม่รู้เหน็ดเหนื่อย จนทรายสูงขึ้รท่วมตัวไก่"
    <O:p</O:p


    ยังมี อีเห็น ตัวหนึ่งมีลักษณะคล้ายกับชะมดและพังพอน มีลำตัวเรียวยาวขาสั้น หางยาวมีปากแหลมยาวกำลังออกหากินอยู่บริเวณนั้น ได้ยินเสียงไก่จึงคิดจะจับกิน ครั้นมาเห็นอาการของไก่ดังนั้นจึงแปลกใจและไก่เองก็ไม่มีความกลัวตายเลยจึงเข้าไปถามไก่ เมื่อได้รับรู้ความจริงดังนั้นก็ เกิดศรัทธาอยากจะเป็นพระพุทธเจ้าบ้างจึงช่วยไก่นั้นก่อเจดีย์ทราย โดยเอาขาหน้าทั้งสองเขี่ยทรายขึ้น เอาขาหลังทั้งสองเหยียบกันไว้ ทำให้ทรายสูงขึ้นโดนลำดับจนถึงเที่ยงคืน <O:p</O:p


    ยังมี เต่า ตัวหนึ่งออกหากินอยู่บริเวณนั้น ได้ยินไก่และอีเห็นจึงเกิดความสงสัยค่อยคลานมาดูแล้วก็ต้องอัศจรรย์ใจแก่ภาพที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้า ที่เห็นไก่และอีเห็นกำลังช่วยกันก่อเจดีย์ทรายปากก็ร้องว่า<O:p</O:p

    "เราจะเป็นพระพุทธเจ้า ๆ ๆ ๆ"



    <O:p>อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพราะสัตว์ทั้งสองนี้ อันที่จริงนั้นจักอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้เพราะถ้าอีเห็นเจอไก่เมื่อไรก็ต้องไล่จับกินเสียเมื่อนั้นแต่ณ ที่นี้สัตว์ทั้งสองอยู่ด้วยกันถมช่วยกันทำงานด้วยความตั้งใจสามัคคีกันอีก เต่าจึงเข้าไปถามไถ่เพื่อให้แจ้งใจ เมื่อได้รับทราบเหตุการณ์อันนั้นจากไก่ ซึ่งถือว่าเป็นพี่ใหญ่ ในขณะนั้นก็บังเกิดความเลื่อมใส จึงขออนุญาตไก่ช่วยร่วมสร้างเจดีย์ทรายกองนั้น เพื่อความที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าด้วย โดยเต่าได้ใช้หัวบ้าง กระดองบ้าง ใต้ท้องกระดองบ้าง ดันทรายขึ้นให้เป็นกองตามความสามารถของตน ที่จะกระทำได้ สัตว์ทั้งสามปฏิบัติก่อการใหญ่ โดยการพยายามทำทรายให้เป็นกองใหญ่ จนเวลาล่วงเลยไปถึงบ่ายสองโมง</O:p


    <O:p

    จะขอกล่าวถึง โค ตัวหนึ่งกำหลังกินหญ้าอยู่บริเวณใกล้แม่น้ำเนรัญชรานั้น มีนายพรานคนหนึ่งออกป่าล่าสัตว์ได้เห็นโคตัวนั้น จึงใช้หน้าไม้ยิงใส่โคตัวนั้น แต้โคตัวนั้นได้วิ่งหนีไปจนไกล โคตัวนั้นได้หนีมาจนกระทั่งมาพบสัตว์ทั้งสามตัว คือ ไก่ อีเห็น เต่า กำลังก่อเจดีย์ทราย ดังนั้นจึงเข้าไปถามด้วยความอัศจรรย์ใจในเหตุการณ์นั้น ครั้นเมื่อได้รู้ดังนั้นจึงขออนุญาตจากไก่ได้ร่วมสร้างเจดีย์ทราย <O:p</O:p

    "เพื่อปรารถนาเป็นหน่อของพุทธางกูรด้วย"<O:p</O:p


    </O:p

    เมื่อไก่อนุญาตแล้วโคก็เข้าไปช่วยโดยใช้เท้าทั้งข้างหน้าและข้างหลังเขี่ยทรายให้สูงขึ้น บางครั้งก็พูดออกมาว่า ถ้าแม้นายพรานตามมาทันและจะมาฆ่าแล่เอาเนื้อตนไป ก็ไม่เสียดายและ พร้อมที่จะทานเลือดเนื้อนี้ แลชีวิตนี้ เพื่อพระโพธิญาณอันประเสริฐนั้น แล้วก็เปล่งคำว่า<O:p</O:p

    "เราจะเป็นพระพุทธเจ้า ๆ ๆ ๆ ไปพร้อม กับสัตว์ทั้งสามนั้น"</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2010
  15. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    ฝ่ายนายพราน เมื่อติดตามโคนั้นมาใกล้เข้าได้ยินสัตว์ทั้งสี่ร้องระเบ็งเซ็งแซ่นั้น จึงเข้าไปแอบดูได้เห็นอาการของสัตว์ทั้งสี่นั้นแล้ว จึงซ่อนอาวุธไว้ในป่า แล้วจึงเดินเข้าไปหาสัตว์ทั้งสี่นั้น ฝ่ายสัตว์ทั้งสี่นั้นก็ไม่ได้แสดงอาการสะดุ้งตกใจกลัวแม้แต่น้อย กลับมองดูตนเองด้วยความเมตตา จึงเข้าไปถามไถ่ผู้เป็นประธานใหญ่ในที่นั่น จึงได้เล่าเหตุการณ์นั้นให้ฟัง นายพรานนั้นถือว่าตนเองเป็นมนุษย์ย่อมมีปัญญามากกว่าสัตว์ทั้งสี่นั้นจึงลองถามปัญหาธรรมต่างๆ จากไก่ ไก่ก็ตอบให้หายข้องใจได้หมด แต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อเต็มที่ จึงถามว่าปัญหาที่ท่านตอบมาท่านรู้มาแต่ที่ใด ไก่จึงตอบว่าตนเองเพิ่งได้ไปเฝ้า พระพุทธเจ้าทีปังกร มาเมื่อวานนี้เอง

    นายพรานจึงเชื่อและขอร่วมในการสร้างบารมีจากไก่ด้วย ไก่และสัตว์ทั้งหลาย คือ อีเห็น เต่า โค ก็อนุโมทนาและยินดีให้ร่วม นายพรานจึงได้สร้างเจดีย์กับสัตว์เหล่านั้น ด้วยตนเองเป็นมนุษย์สามารถทำการสร้างเจดีย์ได้รวดเร็วและสวยงาม ครั้งเสร็จทั้งหมดจึงให้นายพรานนั้นไปหาดอกไม้มา นายพรานก็ได้ไปเก็บดอกบัวสีขาวสะอาด ซึ่งกำลังตูมอยู่มา ๕ ดอก ทั้งหมดได้พากันอาบน้ำชำระร่างกายแล้ว จึงพากันไปสักการะเจดีย์ทรายนั้น


    "พร้อมกับตั้งสัจจะอธิษฐานโดยให้ไก่เป็นผู้นำก่อน ต่อจากนั้นก็ อีเห็น เต่า โคและนายพรานตามลําดับ"


    เมื่ออธิษฐานเสร็จแล้ว ไก่ผู้เป็นประธานจึงให้ทั้งหมดได้ร่วมกันสมาทานศีล ๕ เสร็จแล้วไก่ก็ทำประทักษิณรอบเจดีย์ทรายนั้น แล้วแยกย้ายกันกลับไปที่อยู่ของตนในเวลานั้นแล ฝ่ายพญานาคที่อยู่ใต้บาดาล ณ ที่นั้นก็ได้มานำเอาเจดีย์นั้นลงไปบูชาที่เมืองบาดาลของตนด้วยกำลังแห่งฤทธิ์

    หลังจากหน่อพุทธางกูรทั้ง ๕ ตายจากภพชาติแห่ง ไก่ อีเห็น เต่า โค และมนุษย์ ด้วยแรงแห่งสัจจาอธิษฐานสัญญาไว้ต่อกัน เมื่อคราวนั้นความปรารถนาต่อความเป็นพุทธเจ้า ...

    ชาติต่อมาจึงได้มาเกิดร่วมพร้อมกันเป็นลูกของ แม่กาเผือก
    โดยที่กาเผือกสองผัวเมียได้อาศัยอยู่ในป่าใหญ่ ทำรังอยู่บนต้นมะเดื่อใกล้ริมฝั่งแม่น้ำ อยู่ต่อมาแม่กาเผือกก็ตกไข่ออกมา ๕ ฟอง แม่กาเผือก ๒ ผัวเมีย ก็ได้แบ่งวาระกันดูแลรักษาไข่เป็นอย่างดีด้วยความรักความเอ็นดู ถ้าวันไหนแม่กาเผือกออกจากรังไปหาอาหาร ผู้มีหน้าที่เฝ้าดูไข่ก็ต้องเป็นของแม่กาเผือก ในทางตรงกันข้ามถ้าวันไหนแม่กาเผือกได้ออกจากรังไปหาอาหารบ้าง ผู้ที่รับผิดชอบรังไข่ทั้ง ๕ ฟอง ก็ต้องเป็นของพ่อกาเผือก ผลัดกันทำหน้าที่นี้เรื่อยมา

    อยู่มาวันหนึ่งวาระแห่งการหาอาหารเป็นของพ่อกาเผือกได้ออกไปจากรังตั้งแต่เช้า วันนั้นบังเอิญว่าแม่กาเผือกมีธุระที่จะออกไปนอกรังบ้าง จึงได้ทิ้งไข่ไว้แต่เพียงลำพัง เป็นจังหวะเหมาะที่ฝนได้ตกลงมาห่าใหญ่จนกลายเป็นพายุมีลมพัดฟ้าร้อง ฟ้าผ่าบ้าง ประหนึ่งว่ามีความพิโรธโกรธใครมิทราบ สายลมได้พัดพาเอาต้นไม้โค่นลงมาราบเรียบดังหน้ากลอง สิ่งไหนก็ต้านทานไม่อยู่ แม้แต่ขุนเขาเองก็แทบจะเอาตัวไม่รอดเช่นกัน ดีที่ยังมีพืชพันธ์แมกไม้ต่างปกคลุมเป็นเกาะป้องกันไว้ให้ มิฉะนั้นแล้วก็คงจะลอยไปตามสายลมอย่างไม่มีวันกลับ

    ด้วยฤทธิ์เดชแห่งสายลมประกอบกับสายฝน จึงได้พัดพาต้นไม้มะเดื่ออันเป็นที่ทำรังของสองผัวเมียกาเผือก ได้รับอานิสงส์พลอยหักพังไปตามพันธุ์ไม้อื่นๆ ด้วย ทำให้ไข่ทั้ง ๕ ฟองพลัดตกลงไปสู่สายน้ำ

    <O:p"ด้วยโอกาสวาสนาบารมีธรรมแห่งพระโพธิสัตว์ธรรมชาติอันใดก็ทำอันตรายมิได้"</O:p
    <O:pโดยมิได้ตกลงบนพื้นดิน โขดหิน กระทบไม้ สิ่งที่จะเป็นอันตรายต่อไข่นั้นต่างก็หลีกทางให้ โดยความพอใจ สายแห่งน้ำฝนบวกกับกระแสไหลแห่งแม่น้ำ ได้พักนำพาเอาไข่ทั้ง ๕ ฟอง ไปสู่สถานที่ต่างกันตามยถากรรมแห่งหน่อพุทธังกูรนั้น สายแห่งน้ำทำให้ไข่ทั้ง ๕ ฟอง ได้รู้จักแห่งความพลัดพรากจากกันโยไหลไปตามกระแสน้ำคนละทิศทางทางกัน



    พอฝนหยุดตกเวลาก็ล่วงเลยไปหลายชั่วยาม กว่ากาเผือกสองผัวเมียจะบินกลับมาถึงรังได้ก็ยากเย็นแสนเข็ญ เพราะภูมิประเทศแปรเปลี่ยนไปด้วยอำนาจแห่งพายุอันแสนโหดร้ายนั้น เที่ยวบินเสาะแสวงหาต้นไม้มะเดื่อที่ทำ
    </O:p
    รังกว่าจะได้พบก็นาน แต่ก็ได้เห็นแต่เพียงซากไม้มะเดื่อที่โค่นล้มลงฟาดท่าแม่น้ำเท่านั้น มองไปตามซอกมุมิ่งก้านสาขาไม้มะเดื่อก็ไม่พบฟองไข่ของตน จึงกลับบินสู่ท้องฟ้าอีกครั้งกลับไปมาสายตาจ้องมองหาไข่ของตนก็ไม่พบ กลับบินลงมาเที่ยวหาบนพื้นดิน ผิวน้ำ ซอกโขดหินก็ยังไม่พบ คิดว่าลูกของตนคงตายไปแล้ว

    ด้วยความอาดูรโศกเศร้าก็เกิดขึ้นยิ่งเท่าทวีคูณ ด้วยความรักที่มีต่อไข่ของตน ไม่เป็นอันจะกินจะนอนแลไม่ได้พากันออกหาอาหารเป็นเวลาหลายวัน ร่างกายก็ซูบผอมจนต้องตรอมใจตาในที่สุด ด้วยความอาลัยอาดูรต่อลูกรัก ด้วยแรงแห่งผลกรรมที่ได้กระทำบุญกุศลบารมีที่ได้เป็นผู้ให้กำเนิดก่อแห่งหน่อพุทธังกูร ด้วยเจตนาผลนำส่งให้แม่กาเผือกได้ไปเกิดในพรหมโลกเป็นพระพรหม ชื่อว่า ฆฎิการมหาพรหม เสวยสุขในสวรรค์พรุ่งพร้อมไปด้วยทิพยสมบัติ มีเทพธิดาเป็นบริวารมากมาย
    </O:p


     
  16. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    กล่าวถึงไข่หน่อพุทธางกูรทั้ง ๕ ใบ เมื่อสายน้ำได้พัดพาไปอย่างไม่รู้ทิศทาง เมื่อฝนหยุด น้ำก็ลด ไข่ทั้ง ๕ ฟอง ก็ตกไปคนละทิศละทางใกล้บ้างไกลบ้าง ตามแรงแห่งกระแสน้ำที่จะพัดพาไป

    ไข่ใบที่ ๑ ไหลลอยไปตกค้างอยู่ชายป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบริเวณที่แม่ไก่ตัวหนึ่งมีชื่อว่า กกุสันธตาทีสวาที ลงมากินน้ำและอายน้ำ ด้วยเดชะแห่งบุญของหน่อพุทธังกูรจึงดลจิตให้แม่ไก่เกิดความเมตตาแล้วได้นำไปฟูมฟักเลี้ยงดูไว้ เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน ไข่นั้นก็ฟักออกมาแต่ไม่ออกมาเป็นสัตว์โดยทั่วไป กลับฟักออกมาเป็นมนุษย์มีบุคลิกลักษณะครบ ๓๒ บริบูรณ์ด้วยความงามสดใสแห่งเพศชาย แม่ไก่ก็เฝ้าเลี้ยงไว้เสาะแสวงหาอาหารหล่อเลี้ยงมาจนเติบใหญ่

    ไข่ใบที่ ๒ ไหลลอยไปตามกระแสน้ำไปตกค้างอยู่ ณ ชายป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่อยู่ของแม่นาคตัวหนึ่ง มีชื่อว่า โกนาคมโน ในขณะที่แม่นาคกำลังแวกว่ายไปมาตามกระแสน้ำ กำลังเพลิดเพลินไปตามกระแสน้ำไหลอยู่นั้น ก็เหลือบตามไปเห็นไข่ฟองหนึ่ง ซึ่งน้ำซัดมาติอยู่ที่ชายหาด มานาคจึงนำไข่ไปเก็บไว้ในถ้ำ บำรุงเฝ้ารักษาไว้เป็นอย่างดี ด้วยความรักเสมือนว่าเป็นลูกของตนแท้ๆ อยู่มาไม่นาน ไข่ใบนั้นก็แตกออกมา ที่ปรากฏแก่สายตาของแม่นาค ภายในไข่ใบนั้นเป็นร่างกายของทารกผู้ชายรูปร่างหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู แม่นาคได้เฝ้าถนอมรักเลี้ยงดูแสวงหาอาหารมาให้กินอย่างไม่อดอยาก จนทารกนั้นเติมใหญ่ขึ้นมามีรูปร่างหน้าตาดีบุคลิกน่าเกรงขาม

    ไข่ใบที่ ๓ ไหลไปตามกระแสน้ำ มุ่งหน้าไปไกลไปตกค้างอยู่บนเกาะทรายแห่งหนึ่ง เป็นสถานที่ที่แม่เต่าตัวหนึ่งชื่อว่า กัสสัปโป กำลังจะไปตากอากาศบนหาดทรายนั้น หลังจากที่เที่ยวเสาะแสวงหาอาหารการกินจนอิ่มท้องแล้ว จึงไปแสวงหาที่พักผ่อนบ้าง ในบางขณะที่กำลังขึ้นจากแม่น้ำก็ได้พบไข่ใบหนึ่ง ทันทีที่ได้พบก็เกิดความเตตารักใคร่จึงได้นำไปเก็บไว้ อยู่ต่อมาอีกไม่นานไข่ใบนั้นก็ฟักออกมาเป็นเด็กน้อยรุปงามโสภา แม่เต่าก็เลี้ยงมาจนเติบใหญ่ตามกำลังความสามารถของตน แต่มนุษย์นั้นก็มีความกตัญญูรู้คุณเมื่อโตแล้วก็หาเลี้ยงตอบบ้างเช่นกัน

    ไข่ใบที่ ๔ น้ำก็ซัดพาลอยไปค้างอยู่ริมฝั่งแม่น้ำบริเวณท่าแห่งหนึ่ง เป็นท่าที่แม่โคตัวหนึ่งชื่อว่า โคตรมะ ลงมากินน้ำที่ท่าน้ำอยู่เป็นประจำ วันนั้นได้พบไข่ใบหนึ่งก็เกิดความเมตตาปราณีเกิดกุศลจิตขึ้นมา จึงนำไปเก็บไว้ ณ ที่พักของตน อยู่มาไม่นาน ไข่ใบนั้นก็แตกออกมาเป็นมนุษย์ดูน่ารักน่าเอ็นดู แม่โคก็เอานมตนเองให้กินเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่

    ไข่ใบที่ ๕ ได้ไหลไปตามกระแสน้ำซัดไปตกค้างอยู่ชายป่าท่าน้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นท่าน้ำที่แม่ราชสีห์ตัวหนึ่งชื่อว่า อริยเมตไตรโย กำลังจะลงมากินน้ำและพบไข่ใบนั้นเข้าก็เกิดกุศลเมตตาจิต คิดเป็นกุศลจึงได้นำเอาไข่ใบนั้นเก็บไปรักษาไว้เป็นอย่างดี ณ ภายในถ้ำอันเป็นที่อยู่ของคนเอง อยู่มาไม่นานไข่นั้นก็แตกกะเทาะเปลือกออกมา ภายในไข่นั้นเป็นร่างของทารก ราชสีห์ก็เฝ้าเลี้ยงดูแสวงหาอาหารมาป้อน ป้องกันอันตรายต่างๆ ให้จนทารกนั้นเติบใหญ่ขึ้นมา

    วันเวลาล่วงเลยไป... เด็กทั้ง ๕ คน ก็เจริญเติบโตขึ้นมาจนอายุย่างเข้า ๑๖ ปี จึงได้เกิดความสงสัยว่า
    “เรานี้เกิดมาจากไหน แม่ที่เลี้ยงเราจนเติบใหญ่อยู่จนทุกวันนี้เป็นแม่บังเกิดเกล้าจริงหรือ ? ด้วยว่าแม่เราเป็นสัตว์ แต่เราเองเป็นมนุษย์ ไม่น่าจะใช่เป็นแม่ผู้บังเกิดเกล้าแน่นอน

    ทั้ง ๕ คน ต่างก็คิดสงสัยเหมือนกนหมดทุกคน จึงตัดสินใจเข้าไปถามแม่เลี้ยงของตน ถึงเหตุการณ์แต่หนหลังว่า มีความเป้นมาอย่างไร ทั้งแม่ไก่ มานาค แม่เต่า แม่โค และแม่ราชสีห์ ต่างก็เล่าและตอบถึงเรื่องราวเหตุการณ์ตั้งแต่หนหลังให้ลูกฟังว่า
    "ได้พบเห็นไข่ลอยมาตามสายน้ำมาติดเกาะ ติดชายหาด ติดท่าน้ำ แม่ก็เลยเก็บมาเฝ้าดูแลรักษาไว้ ไม่นานเจ้าก็กะเทาะเปลือกออกมาเป็นทารก แม่ก็เลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่จนถึงทุกวันนี้แหละ แท้จริงแล้วแม่เป็นเพียงแม่เลี้ยง มิใช่แม่บังเกิดเกล้าที่แท้จริงของเจ้าหรอก อันว่าแม่ที่แท้จริงของเจ้านั้นแม่ก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร อยู่ที่ไหน แม่ก็อยากจะทราบอยู่เหมือนกัน เพราะเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จะพบเจ้านั้น ก่อนนั้นฝนตกลงมาอย่างแรง อีกทั้งมีพยุพัดแรงจัดด้วยต้นไม้หักกันระเนระนาด พอหลังจากนั้นมาแม่ก็ได้พบเจ้า ซึ่งขณะนั้นยังคงเป็นไข่อยู่"

    เมื่อหน่อพุทธางกูรทั้ง ๕ ได้รับทราบแห่งความจริงของชีวิตแล้ว ก็คิดอยากพบแม่ที่แท้จริง จึงไปกราบลาแม่เลี้ยงของตนเพื่อออกเดินทางไปติดตามหาแม่ผู้บังเกิดเกล้า แต่การไปนั้นจะขอบวชเป็นฤาษีด้วยเพื่อสะดวกต่อการแสวงหา อีกทั้งเพื่อเป็นการบำเพ็ญบารมีด้วย จึงได้เข้าไปอาศัยอยู่ในป่าต่อไป

    เหตุการณ์แห่งหน่อพุทธังกูรทั้ง ๕ กระทำอยู่นั้นเป็นพฤติกรรมที่ต่างก็ได้นัดหมายกันไว้ก่อน ต่างก็กระทำเหมือนกันทุก ๆ อย่าง แม่เลี้ยงทั้ง ๕ ก็อนุญาตและอวยชัยให้พรให้ไปดีมีสุขสมหวังปราศจากทุกข์โศกโรคภัยต่างๆ ไป แล้วก็อย่าให้ลับ ขอให้กลับมาเยี่ยมเยือนแม่บ้าง ถ้าได้ถึงฝั่งตรัสรู้ธรรมได้เป็นพระโพธิญาณพุทธเจ้าแล้ว แม่ก็ขอฝากชื่อแม่ไว้ด้วย เพื่อจะได้เป็นอนุสรณ์ของแม่ไว้ในวันข้างหน้า ด้วยว่า

    แม่ไก่ขอฝากชื่อของตนเองไว้กับลูก ขอให้เป็นชื่อของพระพุทธเจ้าในอนาคตว่า “กุกกุสันธะ”

    แม่นาคขอฝากชื่อของตนเองไว้กับลูก ขอให้เป็นชื่อของพระพุทธเจ้าในอนาคตว่า “โกนาคมนะ”

    แม่เต่าขอฝากชื่อของตนเองไว้กับลูก ขอให้เป็นชื่อของพระพุทธเจ้าในอนาคตว่า “กัสสปะ”

    แม่โคขอฝากชื่อของตนเองไว้กับลูก ขอให้เป็นชื่อของพระพุทธเจ้าในอนาคตว่า “โคตมะ”

    แม่ราชสีห์ขอฝากชื่อของตนเองไว้กับลูก ขอให้เป็นชื่อของพระพุทธเจ้าในอนาคตว่า“อริยเมตโตรยะ”

    หลังจากนั้นชายหนุ่มทั้ง ๕ ก็เดินทางไปบำเพ็ญศีลภาวนาอยู่ในป่าตามสถานที่ของตนเองต่อไป
     
  17. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    กล่าวถึง ท้าวสักกเทวราช เมื่อได้ทราบว่าหน่อพุทธางกูรทั้ง ๕ ออกบวชเป็นฤาษีเดินทางเข้าไปพงไพร จึงตรัสสั่งให้ วิสสุกรรมเทพบุตร ให้ลงไปจัดเตรียมการต้อนรับวิสสุกรรมเทพบุตร เมื่อได้รับสั่งเช่นนี้แล้ว จึงเหาะลงมายังโลกมนุษย์ตรงไปยังป่าหิมพานต์ ตรงสถานที่หน่อพุทธังกูรเดินทางเข้าไปนั้น แล้วเนรมิตอาศรมทั้งห้าหลังเรียงรายกันไปตามลำดับ ซึ่งจัดตั้งห่างกันไว้พอเหมาะพอควร จัดเครื่องบริขารอันเป็นของใช้สอยสำหรับดาบสทั้งหลาย และได้จัดเตรียมอาหารการกินไว้อย่างครบครัน พร้อมกันนั้นก็ได้เนรมิตต้นไทรใหญ่ให้เป็นที่ร่มเงาร่มเย็นไว้ใกล้อาศรมละหนึ่งต้น และได้เนรมิตบังลังก์ไว้ด้วย เพื่อจะให้ฤาษีทั้ง ๕ ได้ผักผ่อนคลายอารมณ์ตามเวลาอันควร พร้อมได้จารึกชื่อฤาษีทั้ง ๕ ไว้ที่หน้าอาศรม

    เมื่อหน่อพุทธางกูรทั้ง ๕ แต่ละองค์ต่างก็เดินทางมาถึงอาศรมที่เนรมิตไว้นั้น และได้อ่านคำจารึกที่ได้เขียนไว้ที่อาศรมนั้น ต่างก็รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เกิดจากพระอินทร์เป็นผู้สร้างไว้เพื่อตน เมื่อเห็นเครื่องบริขารของดาบสที่จัดเตรียมไว้ จึงได้บวชเป็นฤาษีแล้วตั้งใจบำเพ็ญเพียรภาวนาอย่างจริงจัง ฤาษีทั้ง ๕ ได้บำเพ็ญธรรมกรรมฐานอย่างตั้งใจทำ เพื่อต้องการอยากเห็นหน้าแม่ผู้บังเกิดเกล้าของตน หลังจากที่ได้พลัดพรากจากกันมาตั้งแต่เป็นไข่นั้น
    อยู่มาวันหนึ่ง หลังจากที่ได้บำเพ็ญตบะไปได้ระยะหนึ่งแล้ว ฤาษีทั้ง ๕ ก็ได้ออกมาพักผ่อนตามที่ต่างๆ ด้วยความเบิกบานสำราญใจ จึงมาได้พบกันเข้าโดยบังเอิญที่ภูเขาลูกหนึ่ง ชื่อว่า สิงคุตตระปิฎฐา ใต้ต้นไม้นิโครธอันมีกิ่งก้านสาขาที่ร่มเย็นสบายยิ่งนัก เมื่อได้มีโอกาสต่างก็ไต่ถามชื่อเสียงเรียงนามของกันและกัน พร้อมทั้งความเป็นมา

    เมื่อได้ทราบความเป็นมาแห่งชีวิตของแต่ละท่านแล้ว พวกตนทั้ง ๕ ต่างก็เกิดมาจากไข่เหมือนกัน มีเหตุการณ์ที่จะต้องพลัดพรากจากกัน โดยถูกกระแสน้ำพัดพาที่ต่างกัน แล้วได้อาศัยอยู่กับสัตว์ผู้ที่มีจิตเมตตากรุณาได้นำเอาเลี้ยงไว้จนมีชีวิตรอดมาได้ พร้อมทั้งได้ออกเดินทางมาบวชเป็นฤาษีในป่านี้ เพื่อต้องการอยากเห็นหน้าแม่ ซึ่งเหตุการณ์แห่งชีวิตดังกล่าวเหมือนกันทุกประการ จากนั้นก็ได้จัดเรียงลำดับพี่น้องกันว่าคนที่ตกค้างอยู่หัวน้ำเป็นพี่คนโต คนที่ตกค้างอยู่ใต้แม่น้ำถัดมาก็เป็นน้องถัดกันมาตามลำดับก่อนหลัง ทั้งนี้ก็เพราะว่าทั้ง ๕ คนได้สันนิษฐานเอาว่า

    "พวกตนคงจะเป็นพี่น้องเกิดร่วมท้องมารดาเดียวกัน"
    ดังนั้นจึงได้พากันตั้งจิตอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงดลบันดาลให้แม่บังเกิดเกล้าของเราชงมาปรากฏกายต่อหน้าพวกเราด้วยเถิด

    กล่าวถึง แม่กาเผือก เมื่อกลับมาที่รังของตนแล้ว ไม่เห็นหน้าลูกก็เสียใจอาลัยรักจนขาดใจตาย แล้วไปเกิดเป็น ฆฏิการพรหม ในสวรรค์จนอายุได้ ๑๒,๐๐๐ ปี ด้วยอานุภาพแห่งอธิษฐานบารมี หลังจากที่ฤาษีทั้ง ๕ อธิษฐานแล้วก็ร้อนไปถึงฆฏิการพรหมผู้เป็นแม่ เมื่อเล็งญาณวิถีอันวิเศษลงมายังเมืองมนุษย์แล้ว ได้เห็นลูกชายทั้ง ๕ คนได้เป็นฤาษีบำเพ็ญเพียรบารมีอยู่ท่ามกลางป่าหิมพานต์ มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่อยากจะเห็นหน้าผู้เป็นแม่ เมื่อรู้ดังนี้แล้วจึงลงจากสวรรค์ จำแลงแปลงกายเป็นกาเผือก เปล่งเสียงร้องออกมาว่า

    "กา กา กา กา กา" เรียกลูกทั้ง ๕ ที่เป็นฤาษีให้เข้ามาหา เมื่อฤาษีทั้ง ๕ ได้ยินเช่นนั้น จึงได้พากันเข้ามาหา ต่อจากนั้นจึงได้พากันซักถามถึงสาเหตุแห่งความเป็นมาตั้งแต่หลังก่อนเก่า ฆฏิการพรหมจึงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ลูกทั้ง ๕ ฟัง ตั้งแต่ต้นจนถึงวันที่ได้พลัดพรากจากกัน เมื่อลูก ๆทั้งหลายต้องการอยากจะพบเห็นแม่ก็เลยลงมาจากสวรรค์ตามความตั้งใจของลูก จึงจำแลงแปลงกายเป็นกาเผือกมา เพื่อจะบอกให้รู้ว่าแม่บังเกิดเกล้าที่แท้จริงของลูก คือ กาเผือก

    ฆฏิการพรหม เมื่อรู้ถึงความปรารถนาของลูก ๆ มีความยินดีปรีดาจึงได้ทำด้ายตีนกาให้ลูกคนละเส้น แล้วบอกว่า

    “ตีนกานี้ เป็นรูปรอยเท้าของแม่ ถ้ารักและคิดถึงแม่ก็ให้เคารพกราบไหว้ด้ายตีนกานี้ ก็จะสำเร็จสมปรารถนา”และแล้ว ฆฏิการพรหมก็ได้กลับคืนไปยังสวรรค์ตามเดิม

    ฤาษีทั้ง ๕ เมื่อได้รับด้ายตีนกาจากแม่แล้ว จึงนำไปตั้งไว้ในสถานที่อันสมควร ตั้งใจบำเพ็ญเพียรภาวนา และเคารพกราบไหว้ด้ายตีนกาที่แม่ให้ไว้นั้นเป็นประจำทุก ๆวัน ครั้นตายจากโลกนี้ไปแล้ว ก็ได้ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต เมื่อจิตติจากสวรรค์ชั้นดุสิตแล้ว ก็ได้มาเวียนว่ายตายเกิดท่องเที่ยวไปเกิดในภพต่างๆ จนนับภพนับชาติไม่ถ้วน ทั้งนี้ ก็เพื่อบำเพ็ญบารมี ๓๐ ทิศ เมื่อบำเพียรบารมีครบแล้วก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าตามลำดับ

    ข้อมูลทั้งหมดจากเวปพลังจิตนี่หล่ะครับ
    พอดีผมโหลดจากทอเร้นมา
     
  18. naitiw

    naitiw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,612
    ค่าพลัง:
    +2,887
    เป็นตามกำหนดน่ะ คืออายุและความสูงของมนุษย์เราจะค่อยๆลดลงเรื่อยๆ จากนั้นก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เป็นแบบนี้สลับกันไป

    เสียดายไม่ตั้งใจศึกษา จำไม่ไ่ด้แล้วว่าค่าอายุและความสูงอยู่ที่เท่าไหร่ จำได้แต่ว่าเตี้ยจนได้ขึ้นบันไดเก็บเม็ดพริก
     
  19. นักรบธรรม

    นักรบธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    970
    ค่าพลัง:
    +1,178

    พระพุทธเจ้า ห้าพระองค์ มีอยู่ตอนหนึ่งที่ ทุกพระองค์ได้โตเป็นหนุ่ม แล้วเกิดความสงสัยตัวเองว่าทำไมหน้าตาไม่เหมือน พ่อแม่ และได้รับคำตอบจากพ่อแม่ผู้เลี้ยงดู จนที่สุดก็ได้เหาะไปตามหาที่มาของตนเอง แล้วทุกพระองค์ก้ได้มาพบกัน ณ สถานที่แห่งหนึ่งโดยบังเอิญ เกิดความสงสัยว่าทำไมหน้าตาคล้ายกันทุกคน จึงลงมานั่งคุยกัน สุดท้ายก็ได้เล่าเรื่องแต่ละองค์สู่กันฟัง
    ปัจจุบัน สถานที่แห่งนั้น คือ พระมหาเจดีย์ สเวดากอง ที่เก็บบริขาล ของพระพุทธเจ้าทั้ง 4 พระองค์
    ที่มาที่ไป ติดตามจากหนังสือด้านล่างครับ
    ยืมจากหนังสือ ตำนาน สุวรรณภูมิ
    [​IMG]

    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...